เรื่องเด่น บุญ"พระเจดีย์ทราย"ยิ่งใหญ่ไพศาล

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย แมวน้ำ9, 11 เมษายน 2011.

  1. แมวน้ำ9

    แมวน้ำ9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    689
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +512
    อานิสงส์ก่อสร้างพระเจดีย์ทราย

    10-1.jpg

    อนิสงส์ก่อสร้างพระเจดีย์ทราย จะมั่งคั่งด้วยทรัพย์สมบัติ (กรณีก่อสร้างเจดีย์ทรายในวัด อย่างในเทศกาลสงกรานต์ ถือว่าเป็นการขนทรายเข้าวัด ใช้หนี้สงฆ์ ที่เราอาจจะนำฝุ่นทรายของวัดติดตัว ออกไปโดยไม่รู้ตัว ทำให้เราไม่มีบาปกรรมติดตัว)

    เรื่องเล่าอานิสงส์ในสมัยพุทธกาล

    ในเมื่อพระองค์เสด็จประทับอยู่ ณ บุพพารามมหาวิหารในนครสาวัตถี ได้เทศนาถึงอานิสงส์ก่อเจดีย์ทราย แล้วตั้งความปรารถนาไว้ เป็นใจความว่า วันหนึ่ง เป็นฤดูร้อนอากาศร้อนอบอ้าวมาก พระเจ้าปัสเสนทิโกศล ทรงพักผ่อนพระอิริยาบถให้สบาย ณ หาดทรายริมฝั่งแม่น้ำ ไม่ห่างจากพระนครเท่าใดนัก ได้ทรงทอดพระเนตร เห็นทรายขาวสะอาดราบเรียบดีนัก มีพระดำริว่าควรทำเป็นรูปเจดีย์ขึ้น เพื่อบูชาพระรัตนตรัย ดีกว่าที่เราจะมาเดินเล่นโดยเปล่าประโยชน์ เมื่อทรงดำริเช่นนั้น แล้วก็รีบลงมือก่อ เป็นรูปเจดีย์ด้วยพระองค์เอง พวกบริวารทั้งหลายที่ตามเสด็จ ก็ลงมือก่อตามไปด้วย เมื่อสำเร็จแล้ว มองก็เป็นทิวแถว สวยงาม เกิดมีความปิติยินดีเป็นที่ยิ่ง เพราะนับดูแล้วมี ๘ หมื่น ๔ พันองค์พระบรมกษัตริย์ ทรงโสมนัสเป็นยิ่งนัก ก็เสด็จกลับมาสู่ บุพพารามมหาวิหาร ถวายอภิวาท แล้วก็นั่งอยู่ส่วนข้างหนึ่ง แล้วกราบทูลถึงอานิสงส์ ของการก่อพระเจดีย์ทรายบูชาพระรัตนตรัย ที่พระองค์ได้ทรงกระทำมาแล้ว โดยตลอด

    พระพุทธองค์ทรงโปรดประทานพระธรรมเทศนาว่า มหาราชดูกรมหาบพิตร นรชนหญิงชายทั้งหลายเหล่าใด มีศรัทธาเลื่อมใสอุตสาห์พากเพียรพยายาม ทำการก่อสร้างพระเจดีย์ทราย ใหญ่น้อยก็ดี มีจำนวนถึง ๓ หมื่น ๔ พันองค์นั้น หรือว่าจะมากน้อยแค่ไหนก็ตาม ด้วยศรัทธาอันแรงกล้า ก็จะไม่ไปสู่ อบายภูมิตลอดร้อยชาติ ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ ก็จะเป็นผู้มั่งคั่งด้วยทรัพย์สมบัติบริวารเป็นอันมาก ครั้นตายไปจากมนุษย์โลก ก็จะไปเกิดในสวรรค์เสวยทิพย์สมบัติ แม้พระตถาคตก็เคยได้กระทำมาแล้ว ในครั้งเป็นพระโพธิสัตว์ บำเพ็ญบารมีอยู่แล้วพระองค์ นำอดีตนิทานมาแสดงต่อไปว่า

    ครั้งนั้นพระตถาคต ได้เกิดในตระกูลอนาถา พอเจริญวัยขึ้นก็ต้องเข้าป่าแสวงหาฟืนมาขายเลี้ยงชีพ กระทำอย่างนี้เป็นอาจิณ อยู่มาวันหนึ่ง ได้เห็นทรายขาวสะอาด บริสุทธิ์ผุดผ่องในราวป่า ก็มีจิตผ่องใสศรัทธา ใคร่จะก่อพระเจดีย์บูชาพระรัตนตรัย จึงสละเวลาไม่ตัดฟืนทั้งวัน ได้ก่อพระเจดีย์ทรายเสร็จแล้วได้ฉีกผ้าห่ม
    ผืนหนึ่ง
    ปักเป็นธงชัย แล้วบูชาพระรัตนตรัย ในพุทธบาทศาสดาของพระติสสะสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วตั้งความปรารถนาว่า ขอให้ข้าพเจ้าได้สำเร็จพระโพธิญาณ ในอนาคตกาลโน้นเทอญ ครั้นทำลายขันธ์แล้วไปเกิดอยู่ชั้นดาวดึงส์มีวิมานสูง ๑๒ โยชน์ เสวยทิพย์สมบัติอยู่ถึง พันปีทิพย์ เมื่อสิ้นอายุขัยแล้ว ได้จุติมาเกิดเป็น พระราชโอรสของพระเจ้าพาราณสี ได้ท่องเที่ยวอยู่ในมนุษย์โลก บำเพ็ญบารมีญาณ จนเต็มเปี่ยมดีแล้ว จึงได้มาอุบัติเป็นพระตถาคต ดังที่มหาบพิตร ปรารภอยู่ขณะนี้ เมื่อจบพระธรรมเทศนาลงแล้ว พระเจ้าปัสเสนทิโกศล พร้อมด้วยบริวารทั้งหลายก็มีความยินดีโสมนัส ในการที่พระองค์ทรงก่อ พระเจดีย์ทราย บูชาคุณพระรัตนตรัย
    โดยไม่เปล่าประโยชน์



    ...บุญสงกรานต์หรือตรุษสงกรานต์ของภาคอีสานกำหนดทำกันในเดือนห้า ปรกติมี 3 วัน โดยเริ่มแต่วันที่ 13 เมษายน ถึง


    วันที่ 15 เมษายนเหมือนกับภาคกลาง วันที่ 13 เมษายน เป็นวันต้น คือ วันมหาสงกรานต์ วันที่ 14 เมษายน คือวันกลางเป็น
    วันเนา และวันที่ 15 เมษายน คือวันสุดท้าย เป็นวันเถลิงศก ชาวอีสานถือเป็นวันขึ้นปีใหม่

    [​IMG] ...คำว่า สงกรานต์ เป็นคำสันสกฤต แปลว่า ผ่านหรือเคลื่อนย้ายเข้าไป ในที่นี้หมายถึง พระอาทิตย์ผ่านหรือเคลื่อนย้ายเข้า
    ไปในจักรราศรีหนึ่งเป็นเดือนที่เริ่มต้นปีใหม่ การทำบุญสงกรานต์จะมีพิธีสรงน้ำพระพุทธรูป พระสงฆ์ ผู้ใหญ่ ผู้เฒ่าผู้แก่ นอก
    จากนี้ชาวบ้านจะทำบุญตักบาตรก่อพระเจดีย์ทรายและมีการละเล่นสาดน้ำกันอย่างสนุกสนานนานตลอดทั้ง 3 วัน

    [​IMG] ...ประเพณีในการทำบุญอีกอย่างหนึ่งเทศกาลนี้ คือ การปล่อยสัตว์ เช่น นก ปู ปลา หอย เต่า การสรงน้ำพระพุทธรูป ที่
    สำหรับสรงน้ำพระพุทธรูปมักเป็นที่ใดที่หนึ่ง ที่เห็นว่าเหมาะสม ซึ่งตามปรกติมักใช้ศาลาการเปรียญ บางวัดก็จัดสร้างหอสรง
    ขึ้นแล้วอันเชิญพระพุทธรูปในประดิษฐานไว้ เพื่อทำการสรงในวันสงกรานต์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 เมษายน 2023
  2. แมวน้ำ9

    แมวน้ำ9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    689
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +512
    ว่าด้วยผลแห่งการก่อพระเจดีย์ทราย
    [๗๗] เราเป็นดาบสชื่อเทวละ อาศัยอยู่
    ที่ภูเขาหิมพานต์ ที่จงกรมของเราเป็นที่อัน
    อมนุษย์เนรมิตให้ ณ ภูเขานั้น
    ครั้งนั้น เรามุ่นมวยผมสะพายคนโทน้ำ
    เมื่อจะแสวงหาประโยชน์อันสูงสุด ได้ออกไปจาก
    ป่าใหญ่
    ครั้งนั้น ศิษย์ ๘๔,๐๐๐ คน อุปัฏฐากเรา
    เขาทั้งหลายขวนขวายเฉพาะกรรมของตนอยู่ใน
    ป่าใหญ่
    เราออกจากอาศรม ก่อพระเจดีย์ทราย
    แล้วรวบรวมเอาดอกไม้นานาชนิดมาบูชาพระเจดีย์
    นั้น
    เรายังจิตให้เลื่อมใสพระเจดีย์นั้น แล้ว
    เข้าไปสู่อาศรม พวกศิษย์ได้มาประชุมพร้อมกัน
    ทุกคนแล้ว ถามถึงความข้อนี้ว่า
    ข้าแต่ท่านผู้ประเสริฐ สถุปที่ท่านนมัส-
    การก่อด้วยทราย แม้ข้าพเจ้าทั้งหลายก็อยากจะรู้
    ท่านอันข้าพเจ้าทั้งหลายถามแล้ว ขอจงบอกแก่
    ข้าพเจ้าทั้งหลาย.
    เราตอบว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายผู้นี้
    พระจักษุ มียศใหญ่ ท่านทั้งหลายได้พบแล้วใน
    บทมนต์ของเรามิใช่หรือ เรานมัสการพระพุทธ -
    เจ้าผู้ประเสริฐสุด มียศใหญ่เหล่านั้น.
    ศิษย์เหล่านั้นได้ถามอีกว่า พระพุทธเจ้า
    ผู้มีความเพียรใหญ่ รู้ไญยธรรมทั้งปวง ทรงเป็น
    ผู้นำโลกเหล่านั้น เป็นเช่นไร มีคุณเป็นอย่างไร
    มีศีลเป็นอย่างไร พระพุทธเจ้าผู้มีพระยศใหญ่
    เหล่านั้นเป็นดังฤา.
    เราได้ตอบว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลาย มี
    พระมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ มีพระทนต์
    ครบ ๔๐ ถ้วน มีดวงพระเนตรดังตาแห่งโคและ
    เหมือนผลมะกล่ำ
    อนึ่ง พระพุทธเจ้าเหล่านั้นเมื่อเสด็จ
    ดำเนินไป ก็ย่อมทอดพระเนตรดูเพียงชั่วแอก
    พระชานุของพระองค์ไม่ลั่น ใคร ๆ ไม่ได้ยิน
    เสียงที่ต่อ
    อนึ่ง พระสุคตทั้งหลาย เมื่อเสด็จดำเนิน
    ไป ย่อมไม่รีบร้อนเสด็จดำเนินไป ทรงก้าว
    พระบาทเบื้องขวาก่อน นี้เป็นธรรมดาของพระ-
    พุทธเจ้าทั้งหลาย
    และพระพุทธเจ้าเหล่านั้น เป็นผู้ไม่
    หวาดกลัว เปรียบเหมือนไกรสรมฤคราช ฉะนั้น
    พระพุทธเจ้าเหล่านั้น ไม่ทรงยกพระองค์ และ
    ไม่ทรงข่มขี่สัตว์ทั้งหลาย
    ทรงหลุดพ้นจากการถือตัวและดูหมิ่น
    ท่านเป็นผู้มีพระองค์เสมอในสัตว์ทั้งปวง พระ-
    พุทธเจ้าทั้งหลายเป็นผู้ไม่ทรงยกพระองค์ นี้เป็น
    ธรรมดาของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
    และพระสัมพุทธเจ้าทั้งหลายเมื่อเสด็จ
    อุบัติขึ้น พระองค์ทรงแสดงแสงสว่าง ทรงประ-
    กาศวิการ ๖ ทั่วพื้นแผ่นดินนี้ทั้งสิ้น
    ทั้งพระองค์ทรงเห็นนรกด้วย ครั้งนั้น
    ไฟนรกดับ มหาเมฆยังฝนให้ตก นี้เป็นธรรมดา
    ของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
    พระพุทธเจ้าผู้มหานาคเหล่านั้น เป็น
    เช่นนี้ พระพุทธเจ้าผู้มียศใหญ่เหล่านั้น ไม่มีใคร
    เทียมเท่าพระตถาคตทั้งหลาย เป็นผู้มีพระคุณหา
    ประมาณมิได้ ใคร ๆ ไม่เกินพระองค์ไปโดย
    เกียรติคุณ.
    ศิษย์ทุกตนเป็นผู้มีความเคารพ ชื่นชม
    ถ้อยคำของเรา ต่างได้ปฏิบัติเช่นนั้น ตามสัตติ
    กำลัง
    พวกเขามีความเพลิดเพลินในกรรมของ
    ตน เชื่อฟังถ้อยคำของเรา มีฉันทะอัธยาศัยน้อม
    ไปในความเป็นพระพุทธเจ้า พากันบูชาพระเจดีย์
    ทรายในกาลนั้น เทพบุตรผู้มียศใหญ่ จุติจากชั้น
    ดุสิต บังเกิดในพระครรภ์ของพระมารดา หมื่น
    โลกธาตุหวั่นไหว
    เรายืนอยู่ในที่จงกรมไม่อาศรม ศิษย์
    ทุกคนได้มาประชุมพร้อมกันในสำนักของเรา
    ถามว่า แผ่นดินบันลือลั่น ดุจโคอุสภะ คำรณ
    ดุจมฤคราช ร้องดุจจระเข้ จักมีผลเป็นอย่างไร.
    เราตอบว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระ-
    องค์ใดที่เราประกาศ ณ ที่ใกล้พระสถูปคือกอง-
    ทราย บัดนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้มีโชค เป็น
    ศาสดาพระองค์นั้น เสด็จลงสู่พระครรภ์พระ-
    มารดาแล้ว.
    เราแสดงธรรมกถาแก่พวกศิษย์เหล่านั้น
    แล้ว กล่าวสดุดีพระมหามุนี ส่งศิษย์ของตนไป
    แล้ว นั่งขัดสมาธิ
    ก็เราเป็นผู้สิ้นกำลังนอนเจ็บหนัก ระลึก
    ถึงพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด ทำกาลกิริยา ณ ที่
    นั้นเอง
    ครั้งนั้น ศิษย์ทุกคนพร้อมกันทำเชิง
    ตะกอนแล้ว ยกซากศพของเราขึ้นเชิงตะกอน
    พวกเขาล้อมเชิงตะกอน ประนมอัญชลี
    เหนือเศียร อันลูกศรคือ ความโศกครอบงำ ชวน
    กันมาคร่ำครวญ
    เมื่อศิษย์เหล่านั้นพิไรรำพันอยู่ เราได้
    ไปใกล้เชิงตะกอน สั่งสอนพวกเขาว่า เราคือ
    อาจารย์ของท่าน แน่ะท่านผู้มีปัญญาดีทั้งหลาย
    ท่านทั้งหลายอย่าได้เศร้าโศกเลย
    ท่านทั้งหลายควรเป็นผู้ไม่เกียจคร้าน
    พยายามในประโยชน์ของตน ทั้งกลางคืนและ
    กลางวัน ท่านทั้งหลายอย่าได้ประมาท ควรทำ
    ขณะเวลาให้ถึงเฉพาะ
    เราพร่ำสอนศิษย์ของตนแล้วกลับไปยัง
    เทวโลก เราได้อยู่ในเทวโลกถึง ๑๘ กัป
    ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๕๐๐ ครั้ง และ
    ได้เสวยราชสมบัติในเทวโลกเกินร้อยครั้ง
    ในกัปที่เหลือ เราได้ท่องเที่ยวไปอย่าง
    สับสน แต่ก็ไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการ
    ก่อเจดีย์ทราย
    ในเดือนที่ดอกโกมุทบาน ต้นไม้เป็นอัน
    มากต่างก็ออกดอกบานฉันใด เราก็เป็นผู้อันพระ-
    ศาสดาผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ให้บานแล้วใน
    สมัย ฉันนั้นเหมือนกัน
    ความเพียรของเรานำธุระน้อยใหญ่ไป นำ
    เอาธรรมที่เป็นแดนเกษมจากโยคะมา เราตัด
    กิเลสเครื่องผูก ดังช้างตัดเชือกแล้ว ฉะนั้น เป็น
    ผู้ไม่มีอาสวะอยู่
    ในกัปที่แสนแต่กัปนี้ เราได้สรรเสริญ
    พระพุทธเจ้าใด ด้วยการสรรเสริญนั้น เราไม่รู้จัก
    ทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการสรรเสริญ
    เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว . . . คำสอน
    ของพระพุทธเจ้า เราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้.
    ทราบว่า ท่านพระปุฬินุปปาทกเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วย
    ประการฉะนี้แล.
    จบปุฬินุปปาทกเถราปทาน
    อรรถกถาปุฬินุปปทากเถราปทาน
    พึงทราบเรื่องราวในอปทานที่ ๗ ดังต่อไปนี้ :-
    บทว่า จตฺตลีสทิชาปิ จ ได้แก่ ชื่อว่า ทิชา เพราะเกิด ๒ ครั้ง
    อธิบายว่า ชื่อว่า ทิชา เพราะฟันที่งอกขึ้นในวัยเป็นเด็กหักไปแล้ว งอกขึ้นอีก
    และฟันเหล่านั้นจึงชื่อว่า ทิชา ก็การพยากรณ์ในนิทานกถา ข้าพเจ้าได้กล่าว
    ไว้แล้วในหนหลังแล้วทีเดียว.
    จบอรรถกถาปุฬินุปปาทกเถราปทาน__
     
  3. แมวน้ำ9

    แมวน้ำ9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    689
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +512
    การก่อพระเจดีย์ทรายได้บุญเช่นเดียวกับการสร้างพระพุทธรูปด้วยมือของเราเอง เพราะพระเจดีย์ทรายจัดเป็น(อุเทสิกเจดีย์) สิ่งที่สร้างขึ้นแทน(องค์พระพุทธเจ้า) เพื่อบูชาพระพุทธเจ้า การก่อพระทรายขอให้ทำด้วยความเคารพ อย่าทำเล่นๆสนุกๆ ทุกๆท่านจะได้อานิสงส์ที่(ยิ่งใหญ่) อุทิศบุญกุศลช่วยเหลือ(ดวงวิญญาณ)ที่ตกทุกข์ได้ยาก บุญก่อพระทรายเป็นบุญพิเศษ ทำให้เราเกิดมากี่ชาติก็จะเป็นคนสวยคนรวยและถ้านำ(ฉัตร-ธง)ไปบักบูชาพระทรายก็จะทำให้ได้เกิดเป็น(พญาใหญ่)ไม่ตกนรกตรอด100ชาติ เพราะเค้านับบุญพระทรายกันเป็น"เม็ด"พระเจดีย์ทราย1องค์เราไม่สามารถนับเม็ดทรายได้ฉันใดบุญพระเจดีย์ทรายก็มีมากฉันนั้น กราบโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ ค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 เมษายน 2011
  4. แมวน้ำ9

    แมวน้ำ9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    689
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +512
    ปกติผู้คนจะนึกว่าการก่อพระทรายต้องทำกันในวัน(สงกรานเท่านั้น) จริงๆแล้วในวันวิสาขะบูชา ก็มีการก่อพระเจดีย์ทราย มีให้เห็นกันทางภาคเหนือ(ปอยจ่าตี่) และ ที่สมุทรปราการหลายๆวัดก็มีการก่อพระเจดีย์ทรายกันค่ะ หรือแม้แต่ถ้าเราจะเป็นเจ้าภาพถวายทรายในการก่อสร้าง(วิหารทาน)ในวัดต่างๆ ก่อนที่เราจะถวายทรายเราไปก่อพระเจดีย์ถวายแล้วตบแต่งกองทรายนั้นให้เป็นพระเจดีย์แล้วบูชาพระรัตนตรัย "บุญ" ก็จะกว้างขวางยิ่งๆขึ้นอีก สาธุ สาธุ สาธุ ค่ะ
     
  5. แมวน้ำ9

    แมวน้ำ9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    689
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +512
    [​IMG]
    ปอยจ่าตี่ หรือ ประเพณีก่อเจดีย์ทราย

    “ปอยจ่าตี่” คืองานบูชาเจดีย์ทรายของชาวไต (ไทยใหญ่) จัดทำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อบูชาพระพุทธองค์ ซึ่งเชื่อว่าถ้าได้ร่วมประเพณีนี้จะได้กุศลที่ยิ่งใหญ่ นอกจากนี้ยังเป็นการสะเดาะเคราะห์ ทำให้เคราะห์กรรมไม่ดีต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับตัวเราให้จางหายไป สิ่งร้ายจะกลายเป็นดี สิ่งที่ดีอยู่แล้วจะยิ่งดีขึ้นไปและถือเป็นพระเพณีขอฝนให้ตกต้องตามฤดูกาลอีกด้วย
    ประวัติความเป็นมาของการสร้างเจดีย์ทรายหรือจ่าตี่ทราย มีเล่าไว้หลายเรื่อง ดังเช่น
    1. จากเอกสารของสภาวัฒนธรรม อำเภอขุนยวย เขียนไว้ว่า ประวัติความเป็นมาของปอยจ่าตี่ จากหนังสือไทยใหญ่กล่าวไว้ว่า ในสมัยพุทธกาล มัลลกษัตริย์แห่งกรุง กุสินาราได้เรียกประชุมเสนาอำมาตย์และข้าราชบริพาร โดยตรัสว่าปีที่ผ่านมาได้มีการจัดงานพิธีเกี่ยวกับพระศพของพระพุทธเจ้าไปแล้ว ณ สาลวันอุทยาน ในปีนี้ควรจัดงานอะไร เพื่อรำลึกถึงพระคุณขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้มีพราหมณ์ผู้หนึ่งซึ่งเป็นโหรหลวง ได้เสนอความคิดเห็นว่าควรให้ชาวบ้านชาวเมืองร่วมแรงร่วมใจกันก่อกองเจดีย์ทราย ถวายเป็นพุทธบูชา ซึ่งจะได้อานิสงส์ทั้งทางโลกและทางธรรม คือทำให้ชีวิตอยู่เย็นเป็นสุข และได้รับบุญกุศลมากเพราะตรงกับวันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพานของพระพุทธองค์ ครั้นตกลงเป็นเอกฉันท์แล้ว มัลลกษัตริย์จึงได้บัญญัติทำเจดีย์ทรายถวายเป็นพุทธบูชาในวันเพ็ญเดือน 6 ของทุกปีตั้งแต่นั้นมา
    2. จากเอกสารหน่วยแหล่งวิทยาการ เรื่องศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น รวบรวมโดยนายสง่า วงศ์สุวรรณ และคณะ กล่าวถึงประวัติประเพณีปอยจ่าตี่ หรือเจดีย์ทรายว่า ประวัติความเป็นมาจากหนังสือธรรมะของชาวไทยใหญ่กล่าวไว้ว่า ในสมัยพุทธกาลมีชายคนหนึ่งทำมาหาเลี้ยงชีพด้วยความสุจริต ประพฤติตนอยู่ในศีลธรรม ขยันหมั่นเพียร ทำแต่ความดีเป็นเนืองนิจจวบจนชายผู้นี้ถึงแก่กรรมลงด้วยบุญกุศลที่ได้ทำดีมาโดยตลอดจึงได้ไปเกิดในสรวงสวรรค์ เป็นเทวดาใช้ชีวิตอยู่อย่างสุขสบาย คิดอยากได้อะไรก้นได้สมดังหวังทุกประการ เสวยสุขอยู่เช่นนี้เป็นเวลาเกือบ 1 แสนปี ก็จะสิ้นสุดบุญ เมื่อใกล้จะตาย ร่างของเทวดาองค์นั้นได้เปลี่ยนไปจากที่เคยเต่งตึงสวยสดงดงาม กลายเป็นเหี่ยวแห้งไม่สดใสเหมือนเดิม ซึ่งเป็นลางบอกเหตุว่าอายุขัยของการเป็นเทวดาใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว เทวดาองค์นั้นจึงเริ่มคิดว่าจะทำอย่างไรดี ด้วยความเป็นเทวดาที่มีหูตาทิพย์ สามารถทราบได้ว่าคุณความดีที่ทำไว้ในโลกมนุษย์ใกล้จะหมดแล้ว และจะต้องไปรับกรรมที่เคยทำไว้แต่ปางก่อนในนรกแน่นอน จึงได้เดินทางไปพบเพื่อนเทวดาอีกองค์หนึ่งเพื่อปรึกษาหารือ เพื่อนเทวดาก็แนะนำว่ายังมีเทวดาผู้หยั่งรู้อีกองค์หนึ่งซึ่งสามารถหยั่งรู้และมีวิธีแก้ไขต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นกับมนุษย์ เทวดา และสรรพสัตว์ทั้งหลาย ชื่อว่าพระเจ้าวิปาลี เมื่อทราบดังนั้น เทวดาจึงเดินทางไปพบและเล่าเรื่องให้ฟัง พร้อมทั้งขอคำแนะนำพระเจ้า วิปาลี เทวดาผู้หยั่งรู้ได้ฟังดังนั้นแล้วจึงหลับตาลงชั่วครู่แล้วลืมตาขึ้นแนะนำว่า หากไม่อยากไปรับกรรมในนรกก็จงไปก่อกองเจดีย์ทรายถวายพระพุทธเจ้าที่ริมฝั่งมหาสมุทรให้ได้ถึง 500 กอง จึงจะรอดพ้นจากเหตุการณ์ดังกล่าวไปได้ เทวดาได้ฟังดังนั้นก็ดีใจมากและรีบจะไปทำตามคำบอกทุกประการ เวลาผ่านไปจนเหลือ 7 วัน เทวดาองค์นั้นก็จะสิ้นบุญ จึงได้เดินทางไปที่หาดทรายริมฝั่งมหาสมุทร และลงมือก่อสร้างเจดีย์ทรายแดพระพุทธองค์เพื่อสะเดาะเคราะห์ เมื่อก่อเจดีย์ทรายไป พอจะครบ 500 กอง ก็มีลมพายุและคลื่นมาพัดเอาเจดีย์ทรายเหล่านั้นพังทลายหายไป ในแต่ละวันเหตุการณ์ก็เป็นเช่นนั้นทุกครั้ง จวบจนครบ 7 วัน ยมฑูตก็ขึ้นมาจากนรกเพื่อรับเอาตัวเทวดาซึ่งสิ้นบุญลงไปใช้กรรมในนรก เมื่อยมฑูตปรากฏขึ้นก็ได้แจ้งเรื่องแก่เทวดา ฝ่ายเทวดาก็ยินดีจะไปรับกรรมดังกล่าว แต่ได้ขอร้องยมฑูตว่าขอให้รอไว้ก่อนจนกว่าตนจะก่อสร้างเจดีย์ทราย 500 กองครบเสียก่อน ยมฑูตก็ตกลงตามคำขอ เทวดาจึงลงมือก่อกองเจดีย์ทรายต่อไป แต่ก็มีลมพายุและคลื่นมาพัดเอาเจดีย์ทรายละลายหายไปครั้งแล้วครั้งเล่าจนยมฑูตรอไม่ไหวจึงกลับไปเมืองนรก ฝ่ายเทวดาไม่ลดความพยายามได้ก่อเจดีย์ทรายจนครบ 500 กอง ได้ในวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ซึ่งเป็นวันวิสาขบูชา ด้วยผลบุญดังกล่าว จึงทำให้เทวดาองค์นั้นพ้นจากเคราะห์กรรม แลได้เสวยสุขอยู่ในสรวงสวรรค์ต่อไป จากเรื่องราวดังกล่าวนี้ ทำให้ชาวไทยใหญ่นิยมจัดงาน “ปอยจ่าตี่” ก่อกองเจดีย์ทรายเพื่อบูชาพระพุทธองค์กันทุกหมู่บ้านในช่วงเดือน 6 ของทุกปี
    3. จากเอกสารโรเนียวเย็บเล่มภาษาไต ชื่อ “หย่าสี่สองเหลินคำ” เขียนโดยเจเรแสงเฮิง บ้านแม่สาว อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ กล่าวว่าเดือน 5 เป็นวาระการเปลี่ยนศักราช เนื่องจากธิดาท้าวมหาพรหมเปลี่ยนวาระอุ้มเศียรบิดาไว้ในแต่ละปี ตามตำนานเล่าว่า หลังจากเกิดโลกาวินาศไฟประลัยกัลป์ล้างโลก น้ำท่วมโลก แล้วมีดอกบัว 5 ดอก ผุดขึ้นที่กลางสระใหญ่เป็นจุดเริ่มต้นของภัทรกัลป์นี้ ในกัลป์นี้มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ 5 พระองค์และในดอกบัว 5 ดอก มีจีวร 5 ชุด พระพรหมได้ลงมาอัญเชิญจีวรทั้ง 5 ชุดขึ้นไปไว้ในพรหมโลก เมื่อถึงเวลาที่พระพุทธเจ้าแต่ละองค์มาตรัสรู้ ท้าวมหาพรหมและคณะจะนำผ้าจีวรลงมาถวายตามลำดับ และขณะนี้พระพุทธเจ้าตรัสรู้ไปแล้ว 4 พระองค์ คือ พระศรีอาริยเมตไตย ซึ่งมาตรัสรู้ต่อจากยุคพระโคดมพุทธเจ้า บรรดาพระพรหมที่ลงมาในมนุษย์โลกมาได้สูดกลิ่นดินหอมแล้ว เกิดความพอใจพากันขุดมาชิมดู หลังจากชิมดินหอมแล้ว ทำให้วิชาญาณ(เหาะเหินเดินอากาศ)เสื่อมไม่สามารถเหาะกลับไปสู่พรหมโลกได้ จึงอาศัยอยู่ในมนุษย์โลกต่อมาจนถึงปัจจุบัน เหล่าพรหมและเทวดาได้ประชุมปรึกษาเรื่องวิธีการกำหนดราศีฤดูกาล และพิจารณาหาผู้ที่มีความสามารถกำหนดราศีฤดูกาลได้ ซึ่งท้าวมหาพรหมได้รับอาสาเป็นผู้จัดทำ พร้อมกับสัญญาว่าหากไม่สามารถทำให้สำเร็จก็จะให้ศีรษะเป็นประกัน ต่อมาเมื่อไม่สามารถกำหนดราศีฤดูกาลให้ดีทัดเทียมกันได้พระอินทร์จึงขอให้ศาสดาพยากรณ์ (งะพอหมอกยาม) กำหนดฤดูกาลเป็นฤดูร้อน ฝน หนาว ซึ่งเป็นฤดูกาลตราบจนถึงปัจจุบัน พระอินทร์จึงบอกธิดาทั้ง 7 ของท้าวมหาพรหมว่า ใครสามารถตัดศีรษะของท้าวมหาพรหมได้จะอภิเษกยกขึ้นเป็นอัครมเหสี ธิดา 6 องค์ไม่สามารถทำได้ แต่ธิดาองค์สุดท้าย(วันเสาร์) ได้ใช้เส้นผมขึงกับโครงไม้ ทำเป็นเลื่อยใช้เลื่อยคอของท้าวมหาพรหมจนขาด พอขาดแล้วนำไปไว้ที่ไหนก็ไม่ได้ ไว้ในน้ำก็น้ำจะแห้ง ไว้บนบกก็เกิดไฟไหม้ จำเป็นที่ธิดาทั้ง 7 จะต้องผลัดเปลี่ยนกันทูนศีรษะของบิดาไว้คนละ 1 ปี หมุนเวียนกันไว้คนละ 1 ปี หมุนเวียนกันไปตลอดกาล พอถึงเดือน 5 ของแต่ละปีก็จะเปลี่ยนกันครั้งหนึ่ง ธิดาองค์ที่หมดภารกิจก็จะถือโอกาส ล้างมือ อาบน้ำ ซักผ้า สระผม ให้สดชื่น หลังจากที่รับภารกิจมานานเป็นเวลาแรมปี ด้วยเหตุนี้จึงถือเป็นประเพณีว่า พอถึงเดือน 5 เปลี่ยนศักราชใหม่ จะพากันอาบน้ำชำระร่างกาย สระผม ปัดกวาดทำความสะอาดบ้านเรือน ในโอกาสขึ้นปีใหม่ให้เป็นกรณีพิเศษ สำหรับตัวท้าวมหาพรหมนั้น พระอินทร์ได้ทูลถามมารดาของท้าวมหาพรหมว่า จะสามารถหาศีรษะของใครมาต่อแทนได้ มารดาตอบว่าศีรษะของใครอะไรก็ได้ที่นอนหันหัวไปทางทิศเหนือ พระพรหมาและเทวดาทั้งหลายจึงพากันลงมายังโลกมนุษย์ และได้พบช้างตัวหนึ่งกำลังนอนหันหัวไปทางทิศเหนือ จึงตัดหัวช้างนั้นนำไปต่อกับตัวของท้าวมหาพรหม ทำให้ท้าวมหาพรหมฟื้นคืนชีพและได้รับขนานนามว่า “ มหาปิงแน่” (พระพิฆเนศ) ส่วนตัวช้างก็ได้นำฟืนมาก่อกองไฟสุมฌาปนกิจจนเสร็จกิจ เหล่าพระพรหมและเทวดาทั้งหลายได้ประชุมปรึกษากันว่า บาปที่ตัดเศียรพระมหาพรหมนี้จะตกแก่ใคร พระอินทร์ตอบว่า ตกแก่ชาวเมืองทั้งหลาย เพราะชาวเมืองอยู่ใต้อิทธิพลของดวงดาวชะตาราศีฤดูกาลและถามต่อไปว่า หากต้องไถ่บาปจะต้องทำอย่างไรบ้าง พระอินทร์ตอบว่า ต้องพากันก่อเจดีย์ทราย ถวายน้ำ ถวายดอกไม้ สรงน้ำพระพุทธรูป และพระสงฆ์ให้ทำขนมไปทำบุญ ผู้เฒ่าผู้แก่และพระสงฆ์ผู้ทรงศีล อธิษฐานขอให้พ้นจากบาปและได้รับความสุขความเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป จึงเกิดมีประเพณีรดน้ำดำหัว คารวะผูเฒ่าผู้แก่ ทำขนมประเพณีแจกจ่ายและถวายพระสงฆ์สืบกันมาจนทุกวันนี้
    การจัดงานปอยจ่าตี่ จะเริ่มก่อนวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ประมาณ 7 –10 วัน โดยแต่ละหมู่บ้านจะจัดคนออกป่าวประกาศไปตามบ้านเรือนต่างๆ ให้ทราบถึงกำหนดจัดงาน
    เพื่อให้ชาวบ้านตระเตรียมเครื่องบูชาต่างๆ และปัจจัยที่จะถวายวัด รวมทั้งช่วยกันขนทรายเข้าวัด การก่อกองเจดีย์ทายนั้นจะเริ่มจากการเอาไม้กระดานมาทำเป็นกรอบสี่เหลี่ยม ชั้นล่างสุดจะกว้าง ชั้นบนขึ้นมาจะแคบลงตามส่วน ทำเก้าชั้นส่วนยอดสวมด้วยฉัตร การเททรายลงใส่กรอบสี่เหลี่ยมทั้ง 9 ชั้น ถือตามฤกษ์ชะตาร้อยแปด ดังนี้
    ทิศเหนือ 12 กระป๋อง
    ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ 6 กระป๋อง
    ทิศตะวันออก 15 กระป๋อง
    ทิศตะวันออกเฉียงใต้ 8 กระป๋อง
    ทิศใต้ 17 กระป๋อง
    ทิศตะวันตกเฉียงใต้ 10 กระป๋อง
    ทิศตะวันตก 19 กระป๋อง
    ตะวันตกเฉียงเหนือ 12 กระป๋อง

    เมื่อเททรายลงในกรอบเจดีย์ทั้งสี่ด้านครบทั้ง 108 กระป๋องแล้ว จึงให้เทลงใปตรงกลางกรอบสี่เหลี่ยมตามจำนวนอายุของบุคคลนั้นๆ

    เครื่องบูชาประกอบด้วย
    1. ทราย ซึ่งหมายถึงธาตุดิน 20 ส่วน บูชาโดยเอาใส่กระบอกไม้ไผ่ 20 กระบอก
    2. น้ำ หมายถึงธาตุน้ำ 12 ส่วน บูชาโดยใส่กระบอกจำนวน 12 กระบอก
    3. พัด หมายถึงธาตุลม บูชาโดยใส่กระบอกจำนวน 6 ด้าม
    4. อื่นๆ เช่นดอกไม้ ธูป เทียน ตุง กระทง ฉัตร ธงทิว สายรุ้งหลากสี ใช้ประดับเจดีย์ทรายให้สวยงาม

    ก่อนวันงาน 3 – 7 วัน ชาวบ้านและศรัทธาวัดจะช่วยกันขนทรายมาที่วัดทุกวัน โดยจะใช้เวลาในตอนเย็น โดยขนทรายมากองไว้ยังที่ๆ ทางวัดจัดเตรียมไว้ จนพอเพียงที่จะก่อเจดีย์ทรายได้ ชาวบ้านบางส่วนก็จะช่วยกันทำพัด ตัดกระดาษทำตุง ธงทิว กระบอกน้ำ กระบอกทราย สานผาหลาดสะมาด (ราชวัตร) และที่สำหรับวางข้าวซอมต่อ ทั้งนี้จะมีการทำอาหารเลี้ยงผู้ที่มาช่วยเตรียมงานด้วย
    พอขึ้น 14 ค่ำ เดือน 6 เป็นวันสุดท้ายของการขนทรายเข้าวัด คณะศรัทธาวัดจะช่วยกันตกแต่งองค์เจดีย์ทราย ประดับธงทิว ตุง ฉัตร สายรุ้ง ดอกไม้นานาชนิด บริเวณรอบๆ เจดีย๋กั้นด้วยผาหลาดสะมาด (ราชวัตร) ทั้งสี่ด้าน เจาะประตูเข้าด้านหนึ่ง ยามค่ำคืนจุดประทีปโคมไฟสว่างไสวในตอนเย็นของวันนี้ ทางวัดจะจัดเตรียมการต่างซอมต่อโหลง หรือถวายข้าวมธุปายาสด้วย โดยจะมีหนุ่มสาวผู้เฒ่าผู้แก่แต่งกายด้วยชุดไตหลากหลายสีสวยงามเดินทางมุ่งสู่วัดนำขนมนมเนย ผลไม้ต่างๆ กล้วย อ้อย ข้าวสาร อาหารแห้ง ดอกไม้ ธูปเทียน มาถวายที่วัด ซึ่งจะมีคณะศรัทธาคอยรับและช่วยเหลือกันนำสิ่งของอาหารเหล่านี้ไปจัดสำรับ และเตรียมถวายเป็นข้าวมธุปายาสในวันรุ่งขึ้น

    พอถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 เช้าตรู่จะมีพิธีต่างซอมต่อโหลง โดยนำซอมต่อ หรือกระทงข้าวไปถวายที่เจดีย์ทราย พอสายมีการถ่อมลีก ถวายภัตตาหารเพลแด่พระสงฆ์
    และเลี้ยงอาหารผู้ที่มาร่วมงาน ทั้งนี้ตอนบ่ายจะมีการทำบ้องไฟมาจุดเป็นพุทธบูชาเพื่อให้ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล
     
  6. pandablahblah

    pandablahblah Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    316
    ค่าพลัง:
    +71
    อนุโมทนาสาธุนะคะ แฮปปี้อยากสร้างบ้างค่ะ เกิดมาไม่เคยเลย สรงน้ำพระด้วยค่ะ ฮือๆ เศร้า แต่ถ้าอายุยืนยาวไปถึงสงกานต์หน้า แฮปปี้มีโอกาส ก็จะสร้าง ก็จะสรงน้ำพระด้วยค่ะ ^^

    สงกานต์นี้คงผ่านก่อน เพราะยางรถแตกค่ะ ออกไปไหนไม่ได้ ไม่ได้ทานข้าวมาสองวันแล้วค่ะ ฮือๆ T^T
     
  7. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,732
    เป็นไรมากไหมคะเนี่ย เข้าเวปฯได้ ก็ส่งเน็ตฯหาญาติหรือเพื่อนหาความช่วยเหลือก็ได้ค่ะ ไปติดอยู่แถวไหนคะเนี่ย ..
    (คงไม่มุขนะ)
     
  8. porntips

    porntips เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    955
    ค่าพลัง:
    +2,410
    ทำไมถึงไม่ได้กินข้าว กินมาม่าแทนหรือไง
     

แชร์หน้านี้

Loading...