พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เมื่อวานนี้ (วันศุกร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2554 หรือวันมาฆบูชา) คุณกุ้งมังกอน , ผบทบ.คุณกุ้งมังกอน , สาวสองพันปี และผม ออกเดินทางไป สนส.ผาผึ้ง เพื่อร่วมงานผ้าป่า "ปลดหนี้ รุ่งเรืองบารมี ศรีชัยผาผึ้ง" และ เพื่อไปเวียนเทียนที่องค์พระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง เริ่มออกเดินทางประมาณ 8 โมงเช้า กว่าจะถึง สนส.ผาผึ้งก็บ่ายแล้ว แต่ไปทันฟังเทศน์

    หลังจากเทศน์มหาชาติ ( 13 กัณฑ์) พระอาจารย์นิล นำคณะพระสงฆ์ , อุบาสก และอุบาสิกา นำผ้าห่ม(อีกผืน) ขึ้นห่มองค์พระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา , ธรรมบูชา และสังฆบูชา ต่อมา ก็มาช่วยกันนับเงินผ้าป่า

    หลังจากนั้น ตอนค่ำ พระอาจารย์นิล ท่านได้นำคณะพระสงฆ์ , อุบาสก และอุบาสิกา เวียนเทียนรอบองค์พระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง

    พอเวียนเทียนกันเรียบร้อยแล้ว หลายๆท่าน(รวมทั้งผม) ลงไปเติมแรง น้ำพริกที่โรงทาน อร่อยมากครับ

    กว่าจะเดินทางลงมาจาก สนส.ผาผึ้ง ก็สามทุ่มกว่า

    มาถึงกรุงเทพฯ ตี 3 กว่าๆครับ

    เป็นสิ่งที่ประทับใจมากครับ

    โมทนาสาธุครับ


    .
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เทศน์มหาชาติ
    การเทศน์มหาชาติ เป็นประเพณีของไทยมาแต่โบราณกาล คือ ตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยมาจนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ การเทศน์มหาชาติมีการจัดเป็นประจำทุกปี ในระหว่างเดือน 11 เดือน 12 หรือเดือน 1 (เดือนอ้าย) ในปัจจุบันนี้ได้เปลี่ยนไปตามสถานการณ์ที่เหมาะสม บางแห่ง นิยมทำกันหลังออกพรรษาพ้นหน้ากฐินไปแล้ว อาจทำในวันขี้น 8 ค่ำกลางเดือน 12 หรือในวันแรม 8 ค่ำก็ได้ ซึ่งในช่วงนี้น้ำเริ่มลดและข้าวปลาอาหารกำลังอุดมสมบูรณ์ จึงพร้อมใจกันทำบุญทำทานและเล่นสนุกสนานรื่นเริง แต่ในภาคอีสานนั้นนิยมทำกันในเดือน 4 เรียกว่า "งานบุญผะเหวด" ซึ่งเป็นช่วงที่เสร็จจากการทำบุญลานเอาข้าวเข้ายุ้ง ในภาคกลาง บางท้องถิ่นทำกันในเดือน 5 ต่อเดือน 6 ก็มี งานเทศน์มหาชาตินั้นจะทำในกาลพิเศษจะทำในเดือนไหนก็ได้ไม่จำกัดฤดูกาล บางแห่งนิยมทำในเดือน 10


    มหาชาติเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพระเวสสันดรอันเป็นพระชาติสุดท้ายของพระบรม โพธิสัตว์ ก่อนที่จะมาประสูติเป็นเจ้าชายสิทธัตถะและออกบวชจนตรัสรู้เป็นพระสัมมา สัมพุทธเจ้า ซึ่งการเทศน์มหาชาตินั้น ประกอบด้วยพระคาถาภาษาบาลี จำนวน 1,000 พระคาถา ลักษณะการเทศน์เรียกว่า เทศน์คาถาพัน หรือเทศน์มหาชาติ มหาชาติทั้ง 13 กัณฑ์ ได้มีการแต่งเป็นร่ายยาวด้วยท่วงทำนองอันเพราะพริ้ง และการเทศน์แต่ละกัณฑ์ ก็จะมีท่วงทำนองที่แตกต่างกันออกไป
    เมื่อการเทศน์มหาชาติแต่ละกัณฑ์จบลงก็จะมีปี่พากย์ประโคมเพลงประจำภัณฑ์รับกัณฑ์เทศน์ด้วย
    การ เทศน์มหาชาตินั้น เป็นการสั่งสอนคนให้รู้จักบาปบุญคุณโทษ ประโยชน์ และมิใช่ประโยชน์ รู้จักให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา และเป็นการสรรเสริญพระเกียรติคุณขององค์ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สมัยที่พระองค์เสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์พระนามว่า เวสสันดรในพระชาติสุดท้ายก่อนที่จะได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ โดยที่พระเวสสันดรทรงบำเพ็ญทาน รักษาศีล และเจริญภาวนา กล่าวคือ ทรงบำเพ็ญทาน ด้วยการพระราชทานวัตถุสิ่งของแก่ชาวเมือง พระราชทานช้างปัจจัยนาเคนทร์แก่พราหมณ์ชาวเมืองกาลิงคะ พระราชทานพระชาลีและพระกัณหา ซึ่งเป็นพระโอรสและพระธิดาแก่พราหมณ์ชูชก พระราชทานพระนางมัทรีซึ่งเป็นพระมเหสีแก่ท้าวสักกะ พระเวสสันดรทรงรักษาศีล รักษาคำสัตย์ คือ เมื่อพระองค์ตรัสว่าจะพระราชทานสิ่งใดแล้ว พระองค์ก็พระราชทานสิ่งนั้นดังที่ตรัสไว้ พระเวสสันดรได้เจริญภาวนาด้วยการเสด็จออกผนวช เจริญภาวนาอยู่ ณ เขาวงกต ทรงสละความเป็นอยู่อย่างกษัตริย์แล้วดำรงพระชนม์ชีพอย่างนักบวช จึงทำให้คนส่วนใหญ่ที่ได้ฟังเทศน์มหาชาติแล้วมีอุปนิสัยจิตใจอ่อนโยน มีศรัทธาปสาทะในพระพุทธศาสนา ยินดีในการให้ทาน รักษาศีล และเจริญภาวนา ตามพระจริยาวัตรของพระเวสสันดร นั่นคือ สามารถทำให้ความเห็นแก่ตัว หรือความยึดมั่นถือมั่นว่า “นั่นเรา นั่นของเรา” ค่อย ๆ เบาบางลง จนกระทั่งหมดสิ้นไปในที่สุด
    การเทศน์มหาชาติมีอิทธิพลต่อสังคมไทย ในด้านความเชื่อ คือ เชื่อว่าผู้ใดได้ฟังเทศน์มหาชาติครบ ๑๓ กัณฑ์ จบภายในวันเดียว ผู้นั้นก็จะได้รับอานิสงส์ ๕ ประการ คือ
    1. จะได้เกิดในศาสนาของพระศรีอริยเมตไตรยซึ่งจะมาอุบัติเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต
    2. จะได้ไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์ เสวยทิพยสมบัติอันโอฬาร
    3. จะไม่ไปเกิดในอบาย ทุคติ วินิบาต
    4. จะเป็นผู้มีลาภ ยศ ไมตรี และความสุข
    5. จะได้บรรลุมรรค ผล นิพพาน เป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา
    นอกจากนี้ ยังมีอิทธิพลต่อสังคมไทยในด้านต่าง ๆ เช่น ศีลธรรม จริยธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี วรรณกรรม จิตรกรรม การศึกษา ตลอดถึงการเมืองการปกครองของไทยอีกด้วย

    ตามตำนานเทศน์มหาชาติ 13 กัณฑ์
    การเทศน์มหาชาติ คือการมหากุศลที่เตือนบุคคลให้น้อมรำลึกถึงการบำเพ็ญบุญ คือความดีที่ยิ่งยวด อันมีการสละความเห็นแก่ตัว เพื่อผลประโยชน์สูงอันไพศาลของมวลมนุษยชาติเป็นสำคัญเป็นเทศกาลที่คงความ หมายอย่างแท้จริง

    การเทศน์ทุกกัณฑ์จะมีผู้เป็นเจ้าภาพจัดกัณฑ์เทศน์ ถวาย เมื่อพระที่ตนรับกัณฑ์เทศน์ขึ้นเทศน์เจ้าภาพจะจุดเทียนบูชาคาถาหว่านข้าวตอก ข้าวสาร การเทศน์ในสมัยก่อนพระเจ้าของกัณฑ์จะอ่านจากอักษรธรรม(อักษรลาว) ซึ่งจารลงบนใบลานเป็นแผ่นยาว คำว่า "จาร" มาจากภาษาเขมรแปลว่า การเขียนด้วยเหล็กแหลมบนใบลาน แต่ปัจจุบันจะนิยมพิมพ์ลงบนใบลานเป็นตัวหนังสือไทยปัจจุบัน เป็นเรื่องราวในแต่ละกัณฑ์ ทั้งนี้เพื่อความสะดวกสำหรับพระรุ่นใหม่ เมื่อจบกัณฑ์จะตีฆ้องเป็นสัญญาณ การเป็นเจ้าของกัณฑ์ในหมู่บ้านในชนบทอาจแบ่งเจ้าภาพเป็นคุ้ม เรื่องราวและประวัติความเป็นมาแต่ละกัณฑ์มีดังนี้

     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ตำนานเทศน์มหาชาติทั้ง 13 กัณฑ์
    กัณฑ์ที่ 1 ทศพร
    เป็นกัณฑ์ที่พระอินทร์ประสาทพรแก่พระนางผุสดี ก่อนที่จะจุติลงมาเป็นพระราชมารดาของพระเวสสันดร ภาคสวรรค์ พระนางผุสดีเทพอัปสรสิ้นบุญท้าวสักกะเทวราช สวามีทรงทราบจึงพาไปประทับยังสวนนันทวันในเทวโลก พร้อมให้พร 10 ประการ คือให้ได้อยู่ในปราสาทของพระเจ้าสิริราชแห่งนครสีพี ขอให้มีจักษุดำดุจนัยน์ตาลูกเนื้อ ขอให้มีคิ้วดำสนิท ขอให้พระนามว่าผุสดี ขอให้มีโอรสที่ทรงเกียรติยศเหนือกษัตริย์ทังหลายและมีใจบุญ ขอให้มีครรภ์ที่ผิดไปจากสตรีสามัญคือแบนราบในเวลาทรงครรภ์ ขอให้มีถันงามอย่ารู้ดำและหย่อนยาน ขอให้มีเกศาดำสนิท ขอให้มีผิวงาม และข้อสุดท้ายขอให้มีอำนาจปลดปล่อยนักโทษได้
    กัณฑ์ที่ 2 หิมพานต์
    เป็นกัณฑ์ที่พระเวสสันดรบริจาคทานช้างปัจจัยนาค ประชาชนสีพีโกรธแค้นจึงขับไล่ให้ไปอยู่เขาวงกต พระนางเทพผุสดีได้จุติลงมาเป็นราชธิดาของพระเจ้ามัททราช เมื่อเจริญชนม์ได้ 16 ชันษา จึงได้อภิเษกสมรสกับพระเจ้ากรุงสญชัยแห่งสีวิรัฐนคร ต่อมาได้ประสูติพระโอรสนามว่า "เวสสันดร" ในวันที่ประสูตินั้นได้มีนางช้างฉัททันต์ตกลูกเป็นช้างเผือกขาวบริสุทธิ์จึง นำมาไว้ในโรงช้างต้นคู่บารมี ให้นามว่า "ปัจจัยนาค" เมื่อพระเวสสันดรเจริญชนม์ 16 พรรษา ราชบิดาก็ยกราชสมบัติให้ครอบครองและทรงอภิเษกกับนางมัทรี พระราชบิดาราชวงศ์มัททราช มีพระโอรส 1 องค์ชื่อ ชาลี ราชธิดาชื่อ กัณหา พระองค์ได้สร้างโรงทาน บริจาคทานแก่ผู้เข็ญใจ ต่อมาพระเจ้ากาลิงคะแห่งนครกาลิงครัฐได้ส่งพราหมณ์มาขอพระราชทานช้างปัจจัย นาค พระองค์จึงพระราชทานช้างปัจจัยนาคแก่พระเจ้ากาลิงคะ ชาวกรุงสัญชัย จึงเนรเทศพระเวสสันดรออกนอกพระนคร
    กัณฑ์ที่ 3 ทานกัณฑ์
    เป็นกัณฑ์ที่พระเวสสันดรทรงแจกมหาสัตสดกทาน คือ การแจกทานครั้งยิ่งใหญ่ ก่อนที่พระเวสสันดรพร้อมด้วยพระนางมัทรี ชาลีและกัณหาออกจากพระนคร จึงทูลขอพระราชทานโอกาสบำเพ็ญมหาสัตสดกทาน คือ การให้ทานครั้งยิ่งใหญ่ อันได้แก่ ช้าง ม้า โคนม นารี ทาสี ทาสา สรรพวัตถาภรณ์ต่างๆ รวมทั้งสุราบานอย่างละ 700
    วนประเวศ
    กัณฑ์ที่ 4 วนประเวศ
    เป็นกัณฑ์ที่สี่ กษัตริย์เดินดงบ่ายพระพักตร์สู่เขาวงกต เมื่อเดินทางถึงนครเจตราชทั้งสี่กษัตริย์จึงแวะเข้าประทับพักหน้าศาลาพระนคร กษัตริย์ผู้ครองนครเจตราชจึงทูลเสด็จครองเมือง แต่พระเวสสันดรทรงปฎิเสธ และเมื่อเสด็จถึงเขาวงกตได้พบศาลาอาศรมซึ่งท้าววิษณุกรรมเนรมิตตามพระบัญชา ของท้าวสักกะเทวราช กษัตริย์ทั้งสี่จึงทรงผนวชเป็นฤๅษีพำนักในอาศรมสืบมา
    กัณฑ์ชูชก
    กัณฑ์ที่ 5 ชูชก
    เป็นกัณฑ์ที่ชูชกได้นางอมิตดามาเป็นภรรยา และหมายจะได้โอรสและธิดาพระเวสสันดรมาเป็นทาส ในแคว้นกาลิงคะมีพราหมณ์แก่ชื่อชูชก พำนักในบ้านทุนวิฐะ เที่ยวขอทานตามเมืองต่างๆ เมื่อได้เงินถึง 100 กหาปณะ จึงนำไปฝากไว้กับพราหมณ์ผัวเมีย แต่ได้นำเงินไปใช้เป็นการส่วนตัว เมื่อชูชกมาทวงเงินคืนจึงยกนางอมิตดาลูกสาวให้แก่ชูชก นางอมิตดาเมื่อมาอยู่ร่วมกับชูชก ได้ทำหน้าที่ของภรรยาที่ดี ทำให้ชายในหมู่บ้านเปรียบเทียบกับภรรยาตน หญิงในหมู่บ้านจึงเกลียดชังและรุมทำร้ายทุบตี นางอมิตดา ชูชกจึงเดินทางไปทูลขอกัณหาชาลีเพื่อเป็นทาสรับใช้ เมื่อเดินทางมาถึงเขาวงกตก็ถูกขัดขวางจากพรามเจตบุตรผู้รักษาประตูป่า
    กัณฑ์จุลพน
    กัณฑ์ที่ 6 จุลพน
    เป็นกัณฑ์ที่พรานเจต บุตรหลงกลชูชก และชี้ทางสู่อาศรมจุตดาบส ชูชกได้ชูกลักพริกขิงแก่พรานเจตบุตรอ้างว่าเป็นพระราชสาสน์ของพระเจ้ากรุง สญชัย จึงได้พาไปยังต้นทางที่จะไปอาศรมฤๅษี
    กัณฑ์มหาพน
    กัณฑ์ที่ 7มหาพน
    เป็นกัณฑ์ป่าใหญ่ ชูชกหลอกล่ออจุตฤๅษีให้บอกทางสู่อาศรมพระเวสสันดรแล้วก็รอนแรมเดินไพรไปหา เมื่อถึงอาศรมฤๅษี ชูชกได้พบกับอจุตฤๅษี ชูชกใช้คารมหลอกล่อจนอจุตฤๅษีจึงให้ที่พักหนึ่งคืนและบอกเส้นทางไปยังอาศรม พระเวสสันดร
    กัณฑ์กุมาร
    กัณฑ์ที่ 8 กัณฑ์กุมาร
    เป็นกัณฑ์ที่พระเวสสันดรทรงให้ทานสองโอรสแก่เฒ่าชูชก พระนางมัทรีฝันร้ายเหมือนบอกเหตุแห่งการพลัดพราก รุ่งเช้าเมื่อนางมัทรีเข้าป่าหาอาหารแล้ว ชูชกจึงเข้าเฝ้าทูลขอสองกุมาร สองกุมารจึงพากันลงไปซ่อนตัวอยู่ที่สระ พระเวสสันดรจึงลงเสด็จติดตามสองกุมาร แล้วจึงมอบให้แก่ชูชก
    กัรฑ์มัทรี
    กัณฑ์ที่ 9 กัณฑ์มัทรี
    เป็นกัณฑ์ที่พระนางมัทรีทรงได้ตัดความห่วงหาอาลัยในสายเลือด อนุโมทนาทานโอรสทั้งสองแก่ชูชก พระนางมัทรีเดินเข้าไปหาผลไม้ในป่าลึก จนคล้อยเย็นจึงเดินทางกลับอาศรม แต่มีเทวดาแปลงกายเป็นเสือนอนขวางทาง จนค่ำเมื่อกลับถึงอาศรมไม่พบโอรส พระเวสสันดรได้กล่าวว่านางนอกใจ จึงออกเที่ยวหาโอรสและกลับมาสิ้นสติต่อเบื้องพระพักตร์ พระองค์ทรงตกพระทัยลืมตนว่าเป็นดาบสจึงทรงเข้าอุ้มพระนางมัทรีและทรงกันแสง เมื่อพระนางมัทรีฟื้นจึงถวายบังคมประทานโทษ พระเวสสันดรจึงบอกความจริงว่าได้ประทานโอรสแก่ชูชกแล้ว หากชีวิตไม่สิ้นคงจะได้พบ นางจึงได้ทรงอนุโมทนา
    กัณฑ์สักกบรรพ
    กัณฑ์ที่ 10 สักกบรรพ
    เป็นกัณฑ์ที่พระอินทร์จำแลงกายเป็นพราหมณ์มาขอพระนางมัทรี แล้วถวายคืนพร้อมถวายพระพร 8 ประการ
    ท้าว สักกะเทวราชเสด็จแปลงเป็นพราหมณ์เพื่อทูลขอนางมัทรี พระเวสสันดรจึงพระราชทานให้ พระนางมัทรีก็ยินดีอนุโมทนาเพื่อร่วมทานบารมีให้สำเร็จพระสัมโพธิญาณ เป็นเหตุให้เกิดแผ่นดินไหวสะท้าน ท้าวสักกะเทวราชในร่างพราหมณ์จึงฝากนางมัทรีไว้ยังไม่รับไป ตรัสบอกความจริงและถวายคืนพร้อมถวายพระพร 8 ประการ
    กัณฑ์มหาราช
    กัณฑ์ที่ 11 มหาราช
    เป็นกัณฑ์ที่เทพเจ้าจำแลงองค์ทำนุบำรุงขวัญสองกุมารก่อนเสด็จนิวัติถึง
    มหา นครสีพี เมื่อเดินทางผ่านป่าใหญ่ชูชกจะผูกสองกุมารไว้ที่โคนต้นไม้ ส่วนตนเองปีนขึ้นไปนอนต้นไม้ เหล่าเทพเทวดาจึงแปลงร่างลงมาปกป้องสองกุมาร จนเดินทางถึงกรุงสีพี พระเจ้ากรุงสีพีเกิดนิมิตฝันตามคำทำนายยังความปีติปราโมทย์ เมื่อเสด็จลงหน้าลานหลวงตอนรุ่งเช้าทอดพระเนตรเห็นชูชกพากุมารน้อยสององค์ ทรงทราบความจริงจึงพระราชทานค่าไถ่คืน ต่อมาชูชกก็ดับชีพตักษัยด้วยเพราะเดโชธาตุไม่ย่อย ชาลีจึงได้ทูลขอให้ไปรับพระบิดาพระมารดานิวัติพระนคร ในขณะเดียวกันเจ้านครลิงคะได้โปรดคืนช้างปัจจัยนาคแก่นครสีพี
    กัณฑ์ฉกษัตริย์
    กัณฑ์ที่ 12 ฉกษัตริย์
    เป็นกัณฑ์ที่ทั้งหกกษัตริย์ถึงวิสัญญีภาพสลบลงเมื่อได้พบหน้า ณ อาศรมดาบสที่เขาวงกต
    พระ เจ้ากรุงสญชัยใช้เวลา 1 เดือน กับ 23 วันจึงเดินทางถึงเขาวงกต เสียงโห่ร้องของทหารทั้ง ๔ เหล่า พระเวสสันดรทรงคิดว่าเป็นข้าศึกมารบนครสีพี จึงชวนพระนางมัทรีขึ้นไปแอบดูที่ยอดเขา พระนางมัทรีทรงมองเห็นกองทัพพระราชบิดาจึงได้ตรัสทูลพระเวสสันดรและเมื่อหก กษัตริย์ได้พบหน้ากันทรงกันแสงสุดประมาณ รวมทั้งทหารเหล่าทัพ ทำให้ป่าใหญ่สนั่นครั่นครืนท้าวสักกะเทวราชจึงได้ทรงบันดาลให้ฝนตกประพรมหก กษัตริย์และทวยหาญได้หายเศร้าโศก
    กัณฑ์นครกัณฑ์


    กัณฑ์ที่ 13 นครกัณฑ์
    เป็นกัณฑ์ที่หกกษัตริย์นำพยุหโยธาเสด็จนิวัติพระนคร พระเวสสันดรขึ้นครองราชย์แทนพระราชบิดาพระเจ้ากรุงสญชัยตรัสสารภาพผิด พระเวสสันดรจึงทรงลาผนวชพร้อมทั้งพระนางมัทรี และเสด็จกลับสู่สีพีนคร เมื่อเสด็จถึงจึงรับสั่งให้ชาวเมืองปล่อยสัตว์ที่กักขัง ครั้นยามราตรีพระเวสสันดรทรงปริวิตกว่า รุ่งเช้าประชาชนจะแตกตื่นมารับบริจาคทาน พระองค์จะประทานสิ่งใดแก่ประชาชน ท้าวโกสีห์ได้ทราบจึงบันดาลให้มีฝนแก้ว 7 ประการ ตกลงมาในนครสีพีสูงถึงหน้าแข้ง พระเวสสันดรจึงทรงประกาศให้ประชาชนขนเอาไปตามปรารถนา ที่เหลือให้ขนเข้าพระคลังหลวง ในกาลต่อมาพระเวสสันดรเถลิงราชสมบัติปกครองนครสีพีโดยทศพิธราชธรรมบ้านเมือง ร่มเย็นเป็นสุขตลอดพระชนมายุ


     
  4. นายเฉลิมพล

    นายเฉลิมพล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    141
    ค่าพลัง:
    +460
    เป็นวัดเล็กๆยอดผ้าป่าขนาดนี้ถือว่าไม่ธรรมดาเลยครับ โมทนาสาธุครับ

    โมทนาสาธุทุกประการครับ
     
  5. นายเฉลิมพล

    นายเฉลิมพล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    141
    ค่าพลัง:
    +460
    สาธูอนุโมทนาสาธุครับ
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    โรคต้อหินตรวจก่อนป้องกันตาบอดได้

    โรคต้อหิน เป็นโรคของดวงตาที่สำคัญและอันตราย โรคนี้จะมีการทำลายขั้วประสาทตาและเส้นใยประสาทตาอย่างค่อยเป็นค่อยไป....

    เรื่อง อณุศรา ทองอุไร

    ดวงตา คือหน้าต่างส่องโลก คำที่สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญในการมองเห็น การทะนุถนอมดูแลรักษาดวงตา จึงสำคัญ เพื่อที่จะได้มีดวงตาไว้ใช้ประโยชน์ในชีวิตยืนนาน

    [​IMG]

    คงได้ยินมาบ้างเกี่ยวกับอันตรายที่เกิดจากโรคต้อหิน สาเหตุของการมองไม่เห็นในกลุ่มคนที่มีอายุ 40 ปี ขึ้นไป พญ. ณฐมน ศรีสำราญ จักษุแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญโรคต้อหินผู้ใหญ่และเด็ก สังกัดกองจักษุกรรม สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กล่าวว่าโรคต้อหิน เป็นโรคของดวงตาที่สำคัญและอันตราย โรคนี้จะมีการทำลายขั้วประสาทตาและเส้นใยประสาทตาอย่างค่อยเป็นค่อยไป อาจมีความดันตาปกติหรือสูงก็ได้

    การทำลายดังกล่าวมีผลทำให้ลานสายตาหรือความกว้างของการมองเห็นแคบลง หากไม่ทำการรักษา จะสูญเสียการมองเห็นไปในที่สุด หากตรวจพบช้า อันตรายถึงขั้นมองไม่เห็น และแม้ว่าตรวจพบแล้ว แต่ทำการรักษาไม่สม่ำเสมอ ก็อาจสูญเสียการมองเห็นได้ และการสูญเสียที่เกิดจากโรคต้อหินนั้น เป็นการสูญเสียถาวรที่ไม่สามารถจะแก้ไขให้กลับคืนมาเป็นปกติได้อีก

    สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคต้อหิน

    มักไม่ทราบสาเหตุ แต่ในรายที่ทราบสาเหตุนั้น อาจเกิดจากโรคตาอื่นๆ เช่น การอักเสบภายในลูกตา เนื้องอกหรือมะเร็งในลูกตา การใช้ยาบางชนิด เช่น สเตียรอยด์ เป็นเวลานาน หรือเคยมีประวัติได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรงที่ตามาก่อน

    ลักษณะและชนิดของต้อหิน

    โรคต้อหิน แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ

    ชนิดที่ 1.... ต้อหินชนิดมุมเปิด เป็นชนิดที่พบบ่อยที่สุด เกิดจากการมีความดันในลูกตาเพิ่มทีละน้อย เป็นเวลานานโดยที่ผู้ป่วยไม่มีอาการอะไรเลย จนกระทั่งถูกทำลายไปแล้วประมาณ 40-50% จึงเริ่มแสดงอาการ

    ชนิดที่ 2..... ต้อหินชนิดมุมปิด เกิดจากการที่มุมระหว่างม่านตากับกระจกตาแคบ ทำให้เกิดการอุดตันของทางระบายน้ำหล่อเลี้ยงภายในลูกตา ส่งผลให้ความดันตาสูงขึ้น ถ้าเป็นแบบเรื้อรังมักไม่มีอาการผิดปกติ แต่ถ้าเป็นแบบเฉียบพลัน มักจะมีอาการรุนแรง อาการที่พบบ่อยและนำผู้ป่วยมาพบแพทย์ ได้แก่ ปวดศีรษะ ปวดตา ตามัว คลื่นไส้ อาเจียน เห็นแสงสีรุ้งรอบดวงไฟ

    กลุ่มเสี่ยงที่จะเป็นโรคต้อหิน

    แม้จะพบได้ตั้งแต่เด็กแรกเกิดจนถึงผู้สูงอายุ แต่กลุ่มเสี่ยงที่มีโอกาสเป็นโรคต้อหิน ได้แก่

    - อายุ 40 ปีขึ้นไป

    - มีประวัติครอบครัวและญาติใกล้ชิดเป็นโรคต้อหิน

    - มีระดับความดันในลูกตาสูง

    - สายตาสั้นมากหรือยาวมาก

    - เป็นโรคเบาหวาน โรคหัวใจหรือโรคความดันโลหิตสูง

    - มีความผิดปกติของเลือดและเส้นเลือด ซึ่งส่งผลให้เลือดที่ไปเลี้ยงบริเวณขั้วประสาทตาไม่ดีด้วย

    - ใช้ยาสเตียรอยด์เป็นเวลานาน ไม่ว่าจะเป็นในรูปยาหยอดตา ยากิน ยาฉีด ยาทา หรือยาพ่น โดยไม่อยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์

    - เคยผ่าตัดตาหรือมีประวัติได้รับบาดเจ็บที่ตาอย่างรุนแรงมาก่อน

    - อาชีพหรือกิจกรรมบางประเภทที่เพิ่มความดันบริเวณคอและใบหน้า อาจทำให้ความดันตาสูงขึ้นและควบคุมโรคต้อหินได้ยาก เช่น นักดนตรีประเภทเป่า นักร้องโอเปร่า นักยกน้ำหนัก หรือกีฬาที่ต้องมีการวางศีรษะต่ำกว่าตัว เช่น โยคะ จากที่กล่าวมาทั้งหมด มีเพียงปัจจัยเดียวที่สามารถควบคุมและเปลี่ยนแปลงได้ คือ ความดันในลูกตาที่สูง เพราะหากปล่อยไว้จนผิดปกติแล้ว ขั้วประสาทตาและเส้นใยประสาทตา ก็จะถูกทำลาย

    วิธีป้องกันและรักษาโรคต้อหิน

    [​IMG]

    โรคต้อหินเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ตาบอดแบบถาวร โรคนี้เมื่อมีการสูญเสียการมองเห็นแล้ว การมองเห็นของดวงตาจะไม่สามารถกลับคืนมาเป็นปกติได้อีก ไม่ว่าจะใช้การรักษาด้วยวิธีใดก็ตาม สิ่งที่เราทุกคนควรกระทำ คือ การเข้ารับการตรวจตาจากจักษุแพทย์แต่เนิ่นๆ โดยเฉพาะบุคคลที่มีความเสี่ยงดังกล่าวข้างต้น และในรายที่มีอาการปวดตาและศีรษะพร้อมกันอย่างรุนแรง เพื่อให้แพทย์ประเมินความดันลูกตาและการมองเห็นว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติหรือไม่ สิ่งสำคัญที่เน้นสำหรับการตรวจต้อหิน คือ การดูมุมตา, การประเมินขั้วประสาทตาและเส้นใยประสาทตา ซึ่งเป็นโครงสร้างที่ได้รับการกระทบกระเทือนโดยตรงจากโรคต้อหิน และการตรวจลานสายตา

    แพทย์จะทำการรักษาเพื่อควบคุมไม่ให้ต้อหินลุกลามมากขึ้นจากเดิม สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การตรวจพบเร็ว ซึ่งจะสามารถช่วยป้องกันหรือรักษาการมองเห็นไว้กับเราได้นานขึ้น และการเฝ้าระวังไม่ไห้โรคเป็นมากขึ้นหรือแย่ลงอย่างรวดเร็ว การรักษาโรคต้อหินนั้น แพทย์จะทำการลดความดันในลูกตาโดย 3 วิธีหลัก คือ

    1. การใช้ยา มีทั้งชนิดหยอด ชนิดเม็ดและชนิดน้ำ ที่จะช่วยลดความดันตา

    2. เลเซอร์ เป็นการรักษาเพื่อลดความดันตา ในผู้ป่วยที่มีภาวะต้อหินเฉียบพลัน หรือใช้ป้องกันภาวะต้อหินเฉียบพลันในผู้ป่วยที่มีมุมตาแคบได้ มักใช้ร่วมกับยาลดความดันตา

    3. การผ่าตัด แพทย์จะทำช่องเพื่อระบายน้ำภายในลูกตา จากช่องลูกตาส่วนหน้าออกมาสู่ภายนอกลูกตา และอยู่ใต้ต่อเยื่อบุตา เพื่อลดความดันภายในลูกตา

    คนไทยเสี่ยงเป็นโรคต้อหินเพิ่มสูงขึ้น

    พบว่าคนไทยมีโอกาสเป็นโรคต้อหินสูงกว่าคนชาติตะวันตก เช่น 1 ใน 6 ของประชากรที่อายุมากกว่า 50 ปี มีโอกาสเป็นโรคต้อหินชนิดมุมปิด โดยหากตรวจพบในระยะที่ขั้วประสาทตาของคนไข้ยังไม่ถูกทำลาย แพทย์สามารถทำการรักษาเพื่อป้องกันได้

    โพสต์ทูเดย์ Lifestyle : โรคต้อหินตรวจก่อนป้องกันตาบอดได้

    .



    .
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    'ปอด'เป็นหนองจาก'แบคทีเรีย'ในช่องปาก

    จากกรณีที่มีการนำเสนอข่าว นายชูลักษณ์ กุลสุวรรณ อายุ 42 ปี สามีของ นางนพขวัญ นาคนวล ผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 มีอาการไข้สูง แน่นหน้าอกหายใจไม่ออก เจ็บซี่โครงด้านซ้าย และไอ ผลการวินิจฉัยปรากฏว่า มีภาวะปอดอักเสบ ติดเชื้อ น้ำท่วมปอด มีหนองจำนวนมากอยู่ในปอด จนท้ายที่สุดแพทย์จากสถาบันโรคทรวงอก กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ทำการผ่าตัดใหญ่เอาหนองออกมาได้กว่า 200 ซีซี โดยคาดว่าสาเหตุของการเจ็บป่วยในครั้งนี้น่าจะมาจาก “เชื้อแบคทีเรีย” ในช่องปากนั่นเอง

    ผศ. (พิเศษ) ทันตแพทย์ไพศาล กังวลกิจ ประธานราชวิทยาลัยทันตแพทย์แห่งประเทศไทย อธิบายว่า แบคทีเรียในช่องปากของคนเราแบ่งเป็น 3 กลุ่มใหญ่ คือ 1. แอโรบิค แบคทีเรีย (Aerobic Bacteria) แบคทีเรียชนิดนี้เจริญเติบโตโดยอาศัยออกซิเจน 2. แอนแอโรบิค แบคทีเรีย (Anaerobic bacteria) ไม่อาศัยออกซิเจน และ 3. แฟคคัลเตทีพ แบคทีเรีย (Facultative bacteria) อยู่ได้ทั้งที่มีออกซิเจนและไม่มีออกซิเจน

    กรณีของคนไข้ราย นี้เข้าใจว่าสำลักลงปอด โดยเชื้อที่จะไปปอดนั้นไปได้ 3 ทางคือ 1. ไปตามช่องพังผืดที่ติดต่อระหว่างช่องปากไปคอไปปอด 2. สำลักเข้าไป และ 3. ไปตามเส้นเลือด โดยมีการติดเชื้อในกระแสเลือดซึ่งพบได้น้อย ที่เราเจอได้คือจากปากไปคอไปปอด แต่คนไข้รายนี้คงไม่ใช่เพราะไม่มีอาการเจ็บคอ คือ จากปากไปปอดเลยมันต้องผ่านคอ ถ้ากลืนไม่เจ็บคอ คอปกติ ไม่แข็ง คงไม่ใช่ กรณีนี้มีประวัติว่าสำลักก็อาจจะเป็นไปได้ว่าสำลักเอาน้ำลาย และเชื้อโรคในช่องปากเข้าไปในปอดเลย ทั้งนี้หากคนไข้เป็นโรคเบาหวานด้วย จะทำให้ติดเชื้อได้ง่าย พอติดเชื้อจะติดเชื้อรุนแรง

    กรณีของ คนไข้รายนี้มีการย้อมสีแล้วเห็นเชื้อเป็นแกรมบวกหรือแกรมลบแต่เวลาไป เพาะเชื้อมันไม่ขึ้น อย่าง “แอนแอโรบิค แบคทีเรีย” โดนออกซิเจนไม่ได้ถ้าโดนมันจะตาย ตาม รพ.ทั่วไปการเพาะเชื้อจะเป็นการเพาะเชื้อที่อาศัยออกซิเจน คือ “แอโรบิค แบคทีเรีย” เพราะการเพาะเชื้อที่ไม่อาศัยออกซิเจนมีวิธีการเก็บเชื้อเฉพาะที่ยุ่งยากและ เพาะเชื้อยากมาก ดังนั้นโดยทั่วไปจึงเพาะแต่ “แอโรบิค แบคทีเรีย” พอเพาะเชื้อไม่ขึ้นแต่เราเห็นตัวเชื้อจากการย้อมสี ก็สันนิษฐานว่าน่าจะเป็น “แอนแอโรบิค แบคทีเรีย” ที่ไม่อาศัยออกซิเจน ซึ่งเชื้อพวกนี้อาการมักจะรุนแรง

    ผู้อ่านไม่ต้องตกใจเพราะ แบคทีเรียมีในช่องปากทุกคนอยู่แล้ว สิ่งสำคัญคือควรพยายามดูแลสุขภาพอนามัยช่องปากให้ดี ด้วยการแปรงฟัน ดูแลสุขภาพฟัน พบทันตแพทย์ ขูดหินปูน ดูเรื่องความสะอาด ฟันผุ โรคเหงือก ซึ่งเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรค เพราะถึงจะสำลักน้ำลายโอกาสติดเชื้อจะน้อยลง แต่ถ้าอนามัยในช่องปากไม่ดีเชื้อโรคก็แพร่กระจายไปที่อื่นได้

    ช่อง ปากของคนเราจะเป็นบริเวณที่มีเชื้อโรคเยอะ และหลากหลายมาก ดังนั้นเชื้อโรคในช่องปากสามารถทำให้เกิดโรคที่อื่น ๆ ได้ด้วย เช่น เวลารับประทานอาหารเข้าไปแล้วดูแลสุขภาพในช่องปากไม่ดี เชื้อแบคทีเรียก็จะได้อาหารที่ตกค้างอยู่ในช่องปากเจริญเติบโต ทำให้ฟันผุ เหงือกอักเสบ เมื่อมีโรคในช่องปากแล้ว พอเข้าสู่เส้นเลือดก็จะกระจายไปในที่อื่น ๆ ได้ด้วย

    เชื้อ แบคทีเรีย 3 กลุ่มนี้ถ้าเข้ากระแสเลือดมันไปได้หมด เช่น ขึ้นสมองก็ได้ โดยอาการจะเริ่มด้วยปวดหัวอย่างรุนแรง อาจมีอาการเกร็งและชัก หมดสติ ไข้สูง ลงไปที่ปอดก็ได้เช่นกรณีคนไข้รายนี้ อาการคือจะเหนื่อยหอบ หายใจลำบาก ไข้สูง แน่นหน้าอก ไปที่ไตก็ทำให้ไตอักเสบ ไม่ทำงาน ปัสสาวะออกน้อยลง หรือไปที่หัวใจก็ได้ ดังนั้นคนทั่วไปที่ใส่พวกวัสดุอุปกรณ์และอวัยวะเทียม เช่น ข้อเข่าเทียม ข้อตะโพกเทียม ต้องดูแลอนามัยช่องปากให้ดี เนื่องจากเวลาเกิดเหงือกอักเสบ ฟันผุ มันซ่อนอยู่ในปากซึ่งเรามองไม่เห็น ถ้าเชื้อโรคไปตามกระแสเลือดบริเวณข้อเทียมไม่มีเม็ดเลือดขาวมาฆ่าเชื้อโรคก็ จะทำให้เกิดการอักเสบติดเชื้อทันที

    ผู้ป่วยที่มีฟันผุร่วม ด้วยเป็นไปได้หรือไม่ที่เชื้อแบคทีเรียจะผ่านเข้าสู่ ปอดทางฟันผุ ? ผศ. (พิเศษ) ทันตแพทย์ไพศาล กล่าวว่า คิดว่าคงไม่ใช่เพราะฟันผุจะมีอาการติดเชื้อจากฟันไปโพรงประสาทฟันเข้าไปที่ ปลายรากฟัน ไปที่กระดูก จะมีการติดเชื้อบวมให้เราเห็น ก่อนเชื้อโรคจะเข้าไปในช่องพังผืดไปที่คอและลงปอดคนไข้จะต้องมีอาการเจ็บคอ หน้าบวม คางบวม

    มีการตั้งข้อสังเกตว่าฟันผุแล้วดื่มเครื่อง ดื่มแอลกอฮอล์จะยิ่งทำให้ติด เชื้อได้ง่าย ? ผศ. (พิเศษ) ทันตแพทย์ไพศาล กล่าวว่า ดื่มเหล้าอาจจะไม่เกี่ยวทางตรงสักเท่าไหร่ อาจจะเกี่ยวในทางอ้อมคือ คนที่ดื่มเหล้าอาจจะไม่ใส่ใจอนามัยช่องปากแล้วเวลาเมาก็อาจจะมีโอกาสสำลัก ได้

    ด้าน นางนพขวัญ นาคนวล หรือ “จุ๋ม” เล่าว่า ก่อนไปโรงพยาบาล สามีมีอาการแน่นหน้าอกหายใจไม่ออก เจ็บซี่โครงด้านซ้าย ไข้สูงและไอ จุ๋มก็นึกว่าน่าจะเป็นโรคเกี่ยวกับหัวใจ ไม่คิดว่าเกี่ยวกับปอด ก็เลยพามาที่สถาบันโรคทรวงอก ตอนแรกก็ยังวินิจฉัยไม่ได้ว่าเป็นอะไร ตอนหลังมีการเอกซเรย์ปอดจึงพบว่าปอดขาวมาก มีอาการอักเสบติดเชื้อเป็นหนอง การรักษาในขั้นตอนแรกแพทย์ได้ทำการรักษาด้วยการเจาะปอดโดยต่อท่อสายยาง เพื่อดูดเอาหนองออก แต่อาการก็ไม่ดีขึ้น จนแพทย์ตัดสินใจรักษาขั้นที่ 2 คือ ฉีดยาเข้าปอด เป็นยาเฉพาะในการฆ่าเชื้อหนองชนิดนี้ อาการก็ไม่ดีขึ้นเช่นกันเพราะไข้ยังสูงอยู่ แพทย์จึงตัดสินใจใช้วิธีที่ 3 คือ การผ่าตัด ตอนแรกจะส่องกล้อง แต่เนื่องจากในปอดของสามี มีพังผืดบางส่วนที่มารัดบริเวณปอด และพบว่าหนองมีความข้น และเหนียวมากกว่าปกติ อีกทั้งยังมีการอักเสบเรื้อรังของช่องบุปอด จึงต้องผ่าตัดใหญ่ โดยทางทีมแพทย์สถาบันโรคทรวงอกได้ล้างหนอง และลอกเยื่อหุ้มปอดที่อักเสบออก พบว่าสามารถล้างหนอง และลอกหนองออกได้ถึง 200 ซีซี ซึ่งที่ผ่านมามีผู้ป่วย 2 รายที่ป่วยในลักษณะเดียวกัน ดูดหนองออกมาได้มากที่สุดแค่ 20 ซีซี เท่านั้น จุ๋มยินดีที่จะให้นำเสนอเรื่องนี้ออกไป เพราะอยากให้เป็นอุทาหรณ์สำหรับทุกคนจะได้รู้จักแบคทีเรียชนิดนี้ และดูแลสุขภาพช่องปากของตัวเอง อย่างไรก็ตาม ตอนนี้อาการสามีเริ่มดีขึ้นแล้ว แต่ยังต้องดูแลอาการใกล้ชิดวันต่อวันต่อไป.

    นวพรรษ บุญชาญ : รายงาน

    http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=532&contentId=122093



    .
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <table border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td class="alt2" style="border: 1px inset;"> ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    เมื่อ วานนี้ (วันศุกร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2554 หรือวันมาฆบูชา) คุณกุ้งมังกอน , ผบทบ.คุณกุ้งมังกอน , สาวสองพันปี และผม ออกเดินทางไป สนส.ผาผึ้ง เพื่อร่วมงานผ้าป่า "ปลดหนี้ รุ่งเรืองบารมี ศรีชัยผาผึ้ง" และ เพื่อไปเวียนเทียนที่องค์พระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง เริ่มออกเดินทางประมาณ 8 โมงเช้า กว่าจะถึง สนส.ผาผึ้งก็บ่ายแล้ว แต่ไปทันฟังเทศน์

    หลังจากเทศน์มหาชาติ ( 13 กัณฑ์) พระอาจารย์นิล นำคณะพระสงฆ์ , อุบาสก และอุบาสิกา นำผ้าห่ม(อีกผืน) ขึ้นห่มองค์พระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา , ธรรมบูชา และสังฆบูชา ต่อมา ก็มาช่วยกันนับเงินผ้าป่า

    หลังจากนั้น ตอนค่ำ พระอาจารย์นิล ท่านได้นำคณะพระสงฆ์ , อุบาสก และอุบาสิกา เวียนเทียนรอบองค์พระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง

    พอเวียนเทียนกันเรียบร้อยแล้ว หลายๆท่าน(รวมทั้งผม) ลงไปเติมแรง น้ำพริกที่โรงทาน อร่อยมากครับ

    กว่าจะเดินทางลงมาจาก สนส.ผาผึ้ง ก็สามทุ่มกว่า

    มาถึงกรุงเทพฯ ตี 3 กว่าๆครับ

    เป็นสิ่งที่ประทับใจมากครับ

    โมทนาสาธุครับ


    .
    </td> </tr> </tbody></table>



    ในคืนวันมาฆบูชา ผมและสาวสองพันปี ได้มีโอกาสหนึ่งในชีวิต ที่ได้จุดพลุ ที่ พระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา

    รูปถ่ายในวันงานผ้าป่า "ปลดหนี้ รุ่งเรืองบารมี ศรีชัยผาผึ้ง" ผมรอรูปจากคุณลุงต้อย , คุณแด๋น และ สาวสองพันปี ครับ เมื่อได้รูปมาแล้ว จะมาลงให้ชมกัน

    โมทนาสาธุครับ


    .
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    22 สาเหตุของความตาย ใกล้ตัวกว่าที่คิด

    คนเรามีโอกาสเสียชีวิตในอัตรา 1 ต่อ 1

    ขณะที่สาเหตุของการตายโดยทั่วไปมักเกี่ยวข้องกับด้านสุขภาพ แต่ก็พบว่าคนเรามักจะพบกับจุดจบของชีวิตในวิธีที่แตกต่างและแปลกประหลาดต่าง กันออกไป

    คณะกรรมการความปลอดภัยแห่งชาติสหรัฐฯ (The National Safety Council) ได้เผยแพร่รายงานข้อเท็จจริงด้านการบาดเจ็บ ซึ่งรวบรวมสถิติอุบัติเหตุที่อาจก่อให้เกิดการสูญเสียชีวิตและบาดเจ็บจาก ทั่วโลก

    และพบว่านี่คือสาเหตุที่อาจก่อให้เกิดการเสียชีวิตและบาดเจ็บ (อัตราการบาดเจ็บ/เสียชิวิต ต่อประชากร(คน))


    ถูกกัดหรือโจมตีโดยสุนัข: อัตราเสี่ยง 1 ต่อ 119,998

    [​IMG]


    ถูกฟ้าผ่า: อัตราเสี่ยง 1 ต่อ 81,701

    [​IMG]


    ถูกต่อยโดยสัตว์ประเภทแตน, ต่อ และผึ้ง: อัตราเสี่ยง 1 ต่อ 62,950

    [​IMG]


    ถูกโจมตีด้วยพายุ: อัตราเสี่ยง 1 ต่อ 51,199

    [​IMG]


    การสัมผัสหรือรับกระแสไฟฟ้า, รังสี, อุณหภูมิ และแรงกดดัน: 1 ต่อ 9,412

    [​IMG]


    การสัมผัสกับความร้อนตามธรรมชาติที่เกินปกติ: 1 ต่อ 6,174

    [​IMG]


    การถูกยิงด้วยอาวุธปืนโดยไม่ตั้งใจ: 1 ต่อ 5,981

    [​IMG]


    อุบัติเหตุจากการขนส่งทางอากาศ: 1 ต่อ 5,862

    [​IMG]


    อุบัติเหตุจากจักรยาน: 1 ต่อ 4,147

    [​IMG]


    สัมผัสกับควัน, ไฟ และเปลวเพลิง: 1 ต่อ 1,235

    [​IMG]


    จมน้ำ: 1 ต่อ 1,073

    [​IMG]



    อุบัติเหตุจากรถจักรยานยนต์: 1 ต่อ 802

    [​IMG]


    อุบัติเหตุของคนเดินถนน: 1 ต่อ 623

    [​IMG]


    ถูกทำร้ายร่างกายด้วยอาวุธปืน: 1 ต่อ 300

    [​IMG]


    อุบัติเหตุจากผู้โดยสารรถยนต์: 1 ต่อ 272

    [​IMG]


    การพลัดตกจากที่สูง: 1 ต่อ 184

    [​IMG]


    อุบัติเหตุจากสารพิษ: 1 ต่อ 139

    [​IMG]


    การทำร้ายตนเอง: 1 ต่อ 115

    [​IMG]


    อุบัติเหตุทางรถยนต์: 1 ต่อ 85

    [​IMG]


    โรคลมปัจจุบัน: 1 ต่อ 28

    [​IMG]


    โรคมะเร็ง: 1 ต่อ 7

    [​IMG]


    โรคหัวใจ: 1 ต่อ 6

    [​IMG]


    ที่มา มติชนออนไลน์

    .

    http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1297317319&grpid=&catid=09&subcatid=0902


    .



    .
     
  10. guawn

    guawn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    10,642
    ค่าพลัง:
    +42,113
    มหาอนุโมทนาสาธุ กับทุกท่านที่ร่วมสร้างพระเจดีย์และบุญต่างๆ
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    นิทานสอนใจ : เปิบมหาพิสดาร!

    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
    20 กุมภาพันธ์ 2554 10:45 น.

    [​IMG]
    ขอบคุณภาพประกอบจาก
    http://learnamericanenglishonline.com



    เห็น คำว่า "เปิบพิสดาร" ที่ร้านไหนทุกคนก็ทราบว่าที่นั่นขายอาหารอร่อย และคงมีความพิเศษพิสดารต่าง ๆ นานา แต่ "เปิบมหาพิสดาร" เรื่องนี้ ไม่ซ้ำแบบใคร เป็นเรื่องพิสดารเกินกว่าเรื่องใด ๆ ที่ทุกคนเคยได้พบเห็นได้ยินมา

    ความพิสดารในอดีตกาลครั้งนี้ เกิดขึ้นที่เมืองพาราณสี...

    เริ่มเรื่องด้วยการที่เศรษฐีคนหนึ่งได้ถึงแก่กรรมลง พระราชาจึงมีพระกระแสรับสั่งให้ทายาทเศรษฐีนาม "คันธกุมาร" เข้าเฝ้าเพื่อทรงปลอบโยนให้คลายโศก แล้วจึงพระราชทานตำแหน่งเศรษฐีให้แทนบิดา

    ต่อมาผู้รักษาเรือนคลังของเศรษฐีผู้วายชนม์ก็ขนทรัพย์สมบัติที่เก็บ รักษาไว้มาให้คันธเศรษฐีดูพลางแจงให้ทราบว่าส่วนไหนเป็นของบิดา และส่วนไหนตกทอดมาจากปู่ของเขา

    คันธเศรษฐีเห็นทรัพย์สมบัติจำนวนมหาศาลที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ให้ตนแล้ว ก็คิดว่าบรรพบุรุษทั้งหลายไม่ฉลาดเลยที่พากันสะสมทรัพย์สินไว้มากมายแล้ว ละทิ้งไปเสีย เพราะฉะนั้น เขาจะต้องนำทรัพย์สมบัติเหล่านั้นไปด้วยให้จงได้

    คงจะทราบดีอยู่แล้วว่า ตามคติของชาวพุทธนั้น การที่คนเราจะนำทรัพย์สินติดตัวหลังจากกลับโลกไปแล้วได้นั้นจะต้องทำบุญทำ ทานในพระพุทธศาสนา และสงเคราะห์คนยากไร้เจ็บป่วย แต่คันธเศรษฐีก็ไม่ฉลาดพอที่จะทราบ และกระทำดังกล่าว เขาคิดแค่จะใช้สมบัติเหล่านี้ให้หมดไปก่อนตายเท่านั้น

    เศรษฐีจึงเริ่มดำเนินการใช้จ่ายเงินเพื่อการ "เปิบมหาพิสาดาร" ของตัวเองโดยจ่ายเงินสองแสนแรกสร้างห้องอาบน้ำประดับประดาไปด้วยแก้วผลึก จัดสร้างบัลลังก์สำหรับนั่ง ถาดใส่อาหาร ตั่งสำหรับวางอาหาร และมณฑปที่ตกแต่งประตูหน้าต่างอย่างวิจิตรงดงามด้วยเงินหลายแสนบาท แล้วจ่ายเงินจำนวนพันสำหรับอาหารแต่ละมื้อ

    ครั้นใกล้ถึงวันเพ็ญ คันธเศรษฐีก็ให้เตรียมอาหารราคาเรือนแสน ทั้งยังสละเงินอีกหนึ่งแสนตกแต่งพระนครจนงดงาม ใช้ให้คนเที่ยวตีกลองป่าวประกาศเชิญชวนประชาชนมาชมการเปิบมหาพิสดารของตน ราษฎรทั้งหลายจึงเตรียมผูกเตียงซ้อนเตียงขึ้น (คงทำคล้าย ๆ อัฒจันทร์สมัยนี้) เพื่อจะชมการเปิปกันให้ชัด ๆ

    วันนั้นมีชายบ้านนอกบรรทุกฟืนเพื่อแลกเปลี่ยนกับเสื้อผ้า และเสบียงอาหารคนหนึ่งเข้ามาพักกับสหายของตนในเมือง พอทราบข่าวการบริโภคอาหารของคันธเศรษฐีก็ชักชวนกันไปดู

    ฝ่ายเศรษฐีก็อาบน้ำชำระร่างกายอยู่ในห้องแก้วผลึกโดยใช้น้ำหอมถึง 16 หม้อ จากนั้นจึงขึ้นนั่งบัลลังก์เปิดสีหบัญชรให้ประชาชนชม แล้วคอยบริวารที่จะยกอาหารมาจึงบริโภคอาหารเรือนแสนโดยมีการฟ้อนรำ และมโหรีบรรเลงขับกล่อมต่อหน้าประชาชนทั้งปวง

    ส่วนชายบ้านนอก เมื่อชมการบริโภคอาหารของเศรษฐีแล้วก็เกิดความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะได้ บริโภคบ้าง แม้ไม่สมหวังก็จะขอตาย สหายของเขาจึงต้องเข้าไปอ้อนวอนคันธเศรษฐีให้ช่วยชีวิตเพื่อนไว้ ครั้งแรกเศรษฐีไม่ยอมด้วยกลัวว่าจะเป็นตัวอย่างให้คนอื่น ๆ พากันมาขอบ้าง

    แต่ด้วยเห็นแก่ชีวิตชายบ้านนอกคนนั้น จึงออกปากให้โดยมีข้อแม้ว่า ชายคนนั้นต้องมาทำงานในบ้านของตนครบ 3 ปีเสียก่อนถึงจะมีสิทธิ์บริโภคอาหาร มหาชนทั้งหลายเมื่อทราบเรื่องในครั้งนี้ต่างก็ขนานนามชายบ้านนอกนั้นว่า "นายภัตตภติกะ"

    ขอบคุณภาพประกอบจาก http://pinoytutorial.com
    ด้านนายภัตตภติกะก็ไม่ย่อท้อ ทำกิจการทุกอย่างโดยเรียบร้อยทั้งงานในบ้าน ในป่า ไม่ว่าจะเป็นกลางวัน หรือกลางคืน และเมื่อครบ 3 ปีตามสัญญา คันธเศรษฐีก็อนุญาตให้จัดงาน "เปิบมหาพิสดาร" ขึ้นในคืนวันเพ็ญท่ามกลางสายตามหาชน

    ได้เวลานายภัตตภติกะก็อาบน้ำชำระร่างกายในห้องแก้วผลึกด้วยน้ำหอม 16 หม้อตามแบบคันธเศรษฐีทุกประการ แล้วจึงขึ้นนั่งบัลลังก์เพื่อเตรียมลิ้มรสอาหาร

    กาลนั้น มีพระปัจเจกพุทธเจ้าที่ภูเขาคันธมาทน์ในป่าหิมพานต์พระองค์หนึ่งทรงออกจาก นิโรธสมาบัติ หรือเข้าถึงความดับครบเจ็บวันในวันที่เจ็ด ทรงเล็งเห็นด้วยพระญาณ จึงทรงเหาะมาบิณฑบาตอาหารจากนายภัตตภติกะ ฝ่ายนายภัตตภติกะผู้สู้อุตส่าห์อดทนทำงานถึง 3 ปี เพียงเพื่อจะลิ้มรสอาหารมื้อนี้ ยังไม่ทันได้ตักเข้าปากสักคำก็เหลือบเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าเข้าจึงกลับคิด ได้ว่า

    "เพราะเราไม่ได้ทำทานเอาไว้ใน กาลก่อน ชาตินี้จึงเกิดมายากจนถึงเพียงนี้ อาหารมื้อนี้ถ้าเราบริโภคเข้าไปก็จะยังประโยชน์ต่อเราเพียงแค่วันเดียว แต่ถ้าเราถวายแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว อาหารนี้ก็จะยังประโยชน์ต่อเรามากกว่าพันโกฏิกัลป์ทีเดียว"

    คิดได้ดังนั้นนายภัตตภติกะจึงก้มลงกราบพระปัจเจกพุทธเจ้าด้วยท่าเบญจางคประดิษฐ์แล้วถวายบิณฑบาตแก่พระองค์

    เมื่อใส่อาหารลงไปได้ครึ่งหนึ่ง พระผู้เป็นเจ้าก็ทรงปิดบาตรเสีย แต่นายภัตตภติกะขอร้องให้ทรงรับไปเสียทั้งหมดเพื่อผลบุญจะได้เต็มที่ หลังจากที่พระผู้เป็นเจ้ารับแล้วนายภัตตภติกะจึงขอพรให้ตนมีความสุขในทุก ๆ ชาติ และขอให้ได้มีส่วนแห่งธรรมที่พระปัจเจกพุทธเจ้าพึงมีด้วยเถิด

    พระผู้เป็นเจ้าทรงประทานว่า

    "ขอให้ท่านจงสำเร็จสมความมุ่งหมาย ประสงค์สิ่งใดจงได้เต็มเปี่ยมดุจพระจันทร์วันเพ็ญ และแก้วมณีโชติรสฉะนั้น"

    จากนั้นก็ทรงตั้งจิตอธิษฐานให้มหาชนทั้งปวงสามารถมองเห็นพระองค์เหาะ กลับไปยังภูเขาคันธมาทน์แจกอาหารแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าหลายร้อยพระองค์ที่ ประทับอยู่ ณ ที่นั่น ซึ่งก็แจกกันได้อย่างทั่วถึงโดยไม่รู้จักหมด

    มหาชนเห็นดังนั้นก็พร้อมใจกันเปล่งเสียงสาธุการดังสนั่นราวกับ อสนีบาต คันธเศรษฐีได้ยินก็เข้าใจว่าเป็นเสียงหัวเราะเยาะของมหาชนเมื่อเห็นนายภัต ตภติกะบริโภคอาหารด้วยท่าทางเปิ่นเทิ่นตามแบบยาจกบ้านนอก แต่เมื่อทราบเรื่องราวที่แท้จริงจากบริวารก็เรียกนายภัตตภติกะเข้ามาเพื่อขอ อนุโมทนาแบ่งบุญ ซึ่งนายภัตตภติกะก็ยินยอมแบ่งให้ตามส่วน ด้านคันธเศรษฐีจึงแบ่งทรัพย์ให้กึ่งหนึ่ง

    แม้แต่พระราชาที่ทรงสดับข่าว ก็ยังขอแบ่งบุญจากนายภัตตภติกะ เขาได้รับพระราชทานทรัพย์สมบัติมากมาย แล้วยังได้รับพระราชทานคำว่า "เศรษฐี" เป็น "ภัตตภติกะเศรษฐี" อีกด้วย

    คงจะไม่แปลกใจในผลบุญของนายภัตตภติกะ ด้วยเขาบริจาคทานอันทำได้ยากยิ่ง บริจาคทานอันสุจริตทั้งหมดแก่ผู้มีจิตบริสุทธิ์ด้วยศรัทธาเต็มเปี่ยม จึงได้รับอาริสงส์ทั้งในปัจจุบัน และอนาคต

    ครั้นสมัยพุทธกาลนายภัตตภติกะก็ถือกำเนิดมาเป็น "สุขกุมาร" บรรพชาเป็นสามเณรแล้วบรรลุธรรมตั้งแต่อายุ 7 ขวบดังนี้แล

    //////////////

    ขอขอบคุณนิทานเรื่องสั้น "ธรรมะบันดาลใจ นิทานต้นแบบแห่งความดี" สำนักพิมพ์ในเครือสถาพรบุ๊คส์


    .

    Life & Family - Manager Online -
     
  12. jirautes

    jirautes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    195
    ค่าพลัง:
    +575
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 13 คน ( เป็นสมาชิก 2 คน และ บุคคลทั่วไป 11 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>sithiphong, ปฐม+ </TD></TR></TBODY></TABLE>

    สวัสดีตอนเช้า วันจันทร์ แจ่มใส ครับ

    ผมจะแจ้งรายการงานบุญ ที่ชมรมพระวังหน้า และท่านสมาชิกชมรมพระวังหน้า ได้ร่วมทำบุญอะไรบ้าง ผมจะแจ้งให้ทุกๆท่านทราบทาง Email ครับ

    โมทนาสาธุครับ

    .


    .
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    รูปงานผ้าป่า "ปลดหนี้ รุ่งเรืองบารมี ศรีชัยผาผึ้ง" , การเวียนเทียนในวันมาฆบูชา และ การถวายพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง

    ในวันที่ 18 - 19 กุมภาพันธ์ 2554

    ขอขอบคุณ คุณแด๋น ที่ส่งรูปมาให้ชมครับ


    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG]

    .




    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กุมภาพันธ์ 2011
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  17. Pinkcivil

    Pinkcivil เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +1,644
    โมทนาด้วยครับ พระเจดีย์นี่ยิ่งดูยิ่งสวยครับ :cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กุมภาพันธ์ 2011
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ในช่วงการสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง

    ทาง สนส.ผาผึ้ง ไม่มีไฟฟ้าใช้ ใช้ไฟฟ้าจากเครื่องปั่นไฟมาโดยตลอดครับ

    งานบุญต่อไป จะสร้างฉัตรถวายหลวงปู่พระอุปคุตเถระเจ้า (พระบูชาพระอุปคุตเถระเจ้า ที่สระโบกขรณี)

    และ พระอาจารย์นิล ท่านมีความเห็นว่า น่าจะทำ โซล่าเซลล์ ไว้ด้วย

    รายละเอียด ผมจะนำมาแจ้งอีกครั้งนะครับ

    โมทนาสาธุครับ

    .
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เท่าที่คุยกับพี่แอ๊ว

    พี่แอ๊วแจ้งว่า ทางนายอำเภอ และ อบต. มีโครงการที่จะมาปฎิบัติธรรม ในวันสำคัญทางศาสนา โดยจะนำนักเรียน นักศึกษา และ ประชาชนผู้ที่สนใจ ขึ้นมาปฎิบัติธรรมกันที่ พระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง

    ส่วนอนาคต อาจจะทำเป็นสถานที่มาสักการะพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง โดยผู้ที่มาเที่ยวที่ ศูนย์ผ้าไหมบ้านเขว้า ได้เดินทางขึ้นมาสักการะพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้งครับ

    โมทนาสาธุครับ


    .
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    [​IMG]

    พระอาจารย์นิล ไหว้ หลวงปู่จื่อ ครับ

    ในวันงานวันสุดท้าย การถวายพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้งให้กับคณะสงฆ์ หลวงปู่จื่อ ท่านเป็นประธานสงฆ์ในการรับมอบพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง สู่พระศาสนาครับ

    ------------------------------------------------------------------

    <TABLE class=tborder id=post4376278 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">14-02-2011, 04:52 PM </TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right>#2099 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->sithiphong<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_4376278", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Dec 2005
    สถานที่: ชมรมพระวังหน้า
    ข้อความ: 39,698
    พลังการให้คะแนน: 16935 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_4376278 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- google_ad_section_start -->อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    พระครูสุวิมล ภาวนาคุณ (หลวงพ่อจื่อ) จ.ชัยภูมิ


    [​IMG]
    ภาพในงาน มุทิตาจิต หลวงพ่อจื่อ ครบรอบอายุ ๖๔ปี ณ วัดเขาตาเงาะอุดมพร จ.ชัยภูมิ

    [​IMG]
    ใส่บาตรหลวงพ่อจื่อในยามเช้า

    โพสโดยkai9nui

    -------------------

    หลวงปู่จื่อเป็นพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบและเป็นพระนักพัฒนาที่ชาวบ้านรักและเคารพนับถือเป็นอย่างมาก ขอให้หลวงปู่มีสุขภาพแข็งแรงนะครับ
    โพสโดย torres





    .

    ที่มา www.bp.or.th

    .



    .
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ในวันงานสมโภชพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง

    ผมเป็นผู้ถวายจตุปัจจัยและสังฆทาน แด่องค์นี้ครับ

    เห็นแล้วจำได้เลยครับ

    .<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    .<!-- google_ad_section_end --> <!-- / message --><!-- sig -->
     

แชร์หน้านี้

Loading...