ผมมีความรู้ใหม่ที่ทำให้เราเข้าใจเรื่องของภัยพิบัติ ลองอ่านดูครับ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย bkgolf1999, 2 มกราคม 2007.

  1. bkgolf1999

    bkgolf1999 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +98
    ผมมีความรู้ใหม่ที่ทำให้เราเข้าใจเรื่องของภัยพิบัติ ลองอ่านดูครับ

    ผมได้ศึกษาความรู้นี้มา จากบราห์มา กุมารี มหาวิทยาลัยทางจิตของโลก ซึ่งเป็นที่ปรึกษาด้านสันติภาพขององค์การสหประชาชาติ มีสำนักงานใหญ่ที่ประเทศอินเดีย และสาขาทั่วโลก 7000 กว่าแห่งใน 90 ประเทศ

    หลายท่านคงเคยอ่านเรื่อง ฉันคือใคร ฉันมาจากไหน ดวงวิญญาณสูงสุด ที่ผมเคยนำมาโพสไว้แล้ว
    เดี๋ยวผมจะสรุปเรื่องเหล่านี้อย่างย่อๆ ใหม่ เพื่อที่จะต่อไปถึงเรื่องของวงจรโลก ซึ่งจะอธิบายไว้เกี่ยวกับภัยพิบัติของโลกด้วย...

    นี่เป็นความรู้ทางจิตที่เรียกว่า ราชาโยคะ ของสถาบันนี้นะครับ
    แต่ว่าก็ลองอ่านดูนะครับ ถือว่าเป็นนิทานเรื่องนึงละกัน...

    ฉันคือดวงวิญญาณ

    [​IMG]

    ดวงวิญญาณเป็นพลังงานชีวิต เป็นเหมือนดวงดาวเล็กๆ ที่กำลังเปล่งประกายที่กลางหน้าผาก
    ดวงวิญญาณเป็นอมตะ คงอยู่ตลอดไป ไม่มีวันดับสูญ...

    ดวงวิญญาณมีธรรมชาติดั้งเดิมคือ ความสงบ ความสุข ความรัก ความบริสุทธิ์ และพลังอำนาจ
    เหมือนเวลาเรากินกาแฟ หากเราต้องการให้กาแฟมีรสหวาน เราก็จะถามหาน้ำตาล
    ทำไมเราถึงถามหาน้ำตาลหละ... เพราะเราเคยกินมันมาแล้ว เราเคยสัมผัสมันมาแล้ว
    เช่นเดียวกัน เวลานี้ ทั้งโลกกำลังร้องหาโลกที่สงบสุข ความสงบ ความสุข...
    หรือว่า มีใครคนนึงกำลังร้องหาความทุกข์มั้ย ???
    ทำไมหละ ทุกคนถึงร้องหาความสงบ ความสุข ความรัก...
    เพราะ... มันเป็นธรรมชาติดั้งเดิมของเรา มันเป็นสิ่งที่เราเคยมี เราเคยสัมผัสมันมาแล้ว
    และ เราก็มีสิทธิ์ที่จะนำมันกลับคืนมาอีกครั้ง...

    แล้วดวงวิญญาณมาจากไหน?

    [​IMG]

    ดวงวิญญาณ มี บ้านของดวงวิญญาณ...

    เป็นอาณาเขตที่ไกลออกไปจากโลกวัตถุ เป็นโลกแห่งแสงสีแดงทองนิ่งสงัดอย่างสมบูรณ์
    ดวงวิญญาณทั้งหมดเคยอยู่ ณ ที่นั่น ในสภาวะที่นิ่งสงัดสมบูรณ์ ในสภาพที่บริสุทธิ์ที่สุด
    บ้านนั้นเรียกว่า ดินแดนนิพพาน โลกวิญญาณ ปรโลก พรหมโลก ฯลฯ
    ณ ที่นั่นเป็นบ้านที่เราจากมาและต้องกลับไป...

    พ่อของดวงวิญญาณคือใคร?

    [​IMG]

    ดวงวิญญาณทั้งหมด เป็นพี่น้องกัน และมีพ่อหนึ่งเดียวกัน
    เราทุกคนจึงมี 2 พ่อ พ่อที่ให้กำเนิดร่างกาย และพ่อของดวงวิญญาณ
    เราเป็นดวงวิญญาณ พ่อของเราจึงเป็นดวงวิญญาณสูงสุด
    ท่านเป็นทั้งพ่อและแม่ของเรา
    ท่านอาศัยอยู่ที่บ้านกับเราในตอนแรกเริ่ม
    และแล้ว เราก็ลงมาเล่นบทบาทของเราบนโลกใบนี้
    เราจากบ้าน จากพ่อมาบนโลกใบนี้
    แล้วเราก็เริ่มสร้างเรื่องราวของเราเอง เราลืมบ้าน และลืมพ่อ
    พ่อของเราอาศัยอยู่ในโลกวิญญาณ ที่บ้านของเราเสมอ
    ท่านไม่ต้องลงมาเกิดในร่างกาย
    ท่านจึงเป็นมหาสมุทรแห่งความรู้ ความรัก ความสงบ ความสุข ฯลฯ

    เวลานี้... ท่านมาแล้ว
    ท่านมาเพื่อปลดปล่อยพวกเราออกจากโลกแห่งความทุกข์ และพาเรากลับบ้าน
    ท่านมาเตือนเราอีกครั้ง ว่าเราเป็นใคร (เราเป็นดวงวิญญาณ)
    เรามาจากไหน (โลกวิญญาณ) และพ่อของเราเป็นใคร (ดวงวิญญาณสูงสุด)
    ท่านเปิดเผยถึงตอนต้น ตอนกลาง และตอนจบของโลก
    และท่านก็จะพาเรากลับบ้าน


    ท่านพูดว่า เพียงแค่ลูกจดจำพ่อ ลูกก็จะกลับมาบริสุทธิ์
    เพราะตอนนี้ ทุกดวงวิญญาณไม่บริสุทธิ์ เต็มไปด้วยกิเลส
    แต่มีเพียงดวงวิญญาณที่บริสุทธิ์เท่านั้นที่จะกลับบ้านได้
    แต่ ทุกดวงวิญญาณต้องกลับบ้าน... ดังนั้น
    ถ้าหากเราไม่กลับมาบริสุทธิ์ด้วยการจดจำพ่อของเรา
    เราจะต้อง...

    โลกนี้เดินเป็นวงจร วงจรละ 5000 ปี ตลอดไป...

    [​IMG]

    โลกนี้ เดินเป็นวงจร วงจรละ 5000 ปี ไม่มีที่สิ้นสุด...
    แต่ละวงจรเหมือนกันทุกประการ
    เหมือนกับ นาฬิกา ไม่ว่าจะหมุนกี่รอบก็ผ่านเลข 10
    กี่รอบก็ผ่านเลข 10 ตัวเดิม
    เหมือนกับ วีดีโอ ที่ไม่ว่าจะเปิดกี่รอบ ก็เหมือนกันทุกประการ
    ที่วินาทีนี้ ถ้าแมลงวันบินผ่านหน้าผู้อ่าน
    อีก 5000 ปีข้างหน้ามันจะบินผ่านด้วยท่าทางเดียวกัน
    และเมื่อ 5000 ปีที่แล้ว มันก็เคยบินผ่านด้วยท่าทางนี้เหมือนกัน...

    ดวงวิญญาณเป็นดวงดาวที่แสนมหัศจรรย์
    จุดที่สุดแสนเล็ก กลับเต็มไปด้วยบทบาททั้งหมดที่เราต้องเล่น
    บทบาททั้งหมด ชีวิตของเราทั้งหมดถูกกำหนดไว้ในดวงวิญญาณของเราแล้ว
    ด้วยเหตุนี้เอง เราจึงสามารถมองเห็นอนาคตได้ หากเราอยู่ในความนิ่งเงียบลึกล้ำ
    หากอนาคตไม่ได้ถูกกำหนดไว้แล้ว เราจะมองเห็นมันได้อย่างไร...

    และด้วยเหตุนี้เอง ละครซ้ำรอยทุกประการ ทุก 5000 ปี
    และ ทุกอย่างที่เราเล่นบทบาท ถูกบันทึกไว้ในตัวเราทั้งหมด
    เราจึงรู้สึกว่า เราเคยเล่น เคยเห็นมันมาแล้ว
    เพราะ เราเคยทำมาแล้วจริงๆ เมื่อวงจรที่แล้ว...
    (ที่เรียกว่า เดอจาวู)

    ขณะนี้ โลกอยู่ในยุคที่เป็นสิริมงคลที่สุด
    โลกแห่งความทุกข์นี้กำลังจะจบสิ้น
    โลกแห่งความสุขกำลังจะกลับมาอีกครั้ง เหมือนเมื่อ 5000 ปีที่แล้ว
    สวนเอเดน สวนดอกไม้ของอาหล่า แอตแลนติส ยูโทเปีย เอลโดราโด้
    กำลังจะกลับมาอีกครั้ง...
    โลกจะกลับไปสู่สภาพที่สงบสุข และสวยงามที่สุด "อีกครั้ง..."
     
  2. bkgolf1999

    bkgolf1999 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +98
    ผมขอขยายความนะครับ เพื่อจะได้เข้าใจแจ่มแจ้งยิ่งขึ้น
    แต่ยาวหน่อยนะครับ...

    ข้างบนผมพิมพ์ไว้แล้วอะครับ ตอบคำถามเว๊บอื่นมา เลยก๊อบปี้มา
    มันสรุปๆ อย่างย่อ

    ในเรื่องของภัยพิบัติอะครับ... ที่มันจะหนักมากยิ่งขึ้นๆๆ
    เพราะ ดูจากเรื่องของวงจรน่ะครับ... มันกำลังจะหมดเวลาแล้ว

    วงจรแต่ละวงจรเหมือนกันทุกประการ แบ่งเป็น 4 ยุคที่เท่ากัน
    คือ ยุคทอง ยุคเงิน ยุคทองแดง และยุคเหล็ก

    ยุคทองและยุคเงิน เป็นยุคที่โลกเป็นสวรรค์ โลกมีแต่ความสุข
    ไม่มีความทุกข์ใดๆ ธรรมชาติให้ความสะดวกสบายแก่มนุษย์
    มนุษย์ ณ ที่นั่น เป็นราวกับ "เทพ"
    เพราะ พวกเขาเต็มเปี่ยมด้วยคุณธรรม และปราศจากกิเลสอย่างสมบูรณ์
    เป็นเพราะว่า แรกเริ่มนั้น ดวงวิญญาณทั้งหมด 6000 ล้าน
    อยู่ในโลกวิญญาณ ในสภาพบริสุทธิ์ที่สุด
    และเมื่อวงจรโลกเริ่มขึ้น ดวงวิญญาณก็ลงเล่นบทบาทของตนเอง
    (ลงมาทีละกลุ่มเล็กๆ จะลงมาหมดเมื่อหมดวงจรพอดี
    ดังนั้นประชากรโลกจึงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ)

    เมื่อดวงวิญญาณมีสภาพที่บริสุทธิ์ วัตถุธาตุต่างๆ ก็บริสุทธิ์
    สัตว์ก็บริสุทธิ์ ไม่มีความก้าวร้าวรุนแรง
    เหมือนในคัมภีร์ที่บอกว่า สิงโตและแกะกินน้ำบ่อเดียวกัน
    เมื่อดวงวิญญาณลงมาเล่นบทบาทในร่างกายใหม่ๆ
    เขาเข้าใจว่าเขาคือดวงวิญญาณที่กำลังใช้ร่างกายนี้
    เมื่อร่างกายนี้แก่ลง เขาก็นั่งในความสงบและจากร่างกายนั้นไป
    จึงมีการกล่าวว่า ในสวรรค์นั้นทุกคนเป็นอมตะ
    เพราะ ในขณะนั้นทุกคนมีสำนึกว่าเขาคือดวงวิญญาณ
    แต่เมื่อเวลาผ่าน ดวงวิญญาณก็ตกต่ำลง โลกก็ตกต่ำลงตามกาลเวลา
    เข้าสู่ยุคเงิน สภาพที่โลกเป็นสวรรค์ 80% แต่ก็ยังคงเป็นสวรรค์
    ยังคงมีแต่ความสุขเท่านั้น....
    แต่เมื่อเวลาผ่านไปมากยิ่งขึ้น ดวงวิญญาณใช้ชาติเกิดมากขึ้น
    เริ่มหลงลืมตนเอง ว่าเขาเป็นใคร เริ่มมีสำนึกที่เป็นร่างกาย...
    คิดว่าเขาเป็นร่างกาย โลกจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่
    จากความเป็นหนึ่งเดียวกัน ทวีปเดียว ภาษาเดียว ศาสนาเดียว อาณาจักรเดียว...
    จึงแตกแยกเป็นทวีปต่างๆ มากมาย

    ในยุคสองยุคแรกนั้น โลกเป็นสวรรค์
    ที่จดจำกันมาในตำนานว่าเป็น สวนเอเดน สวนของอัลหล่า
    แอตแลนติส ยูโทเปีย เอลโดราโด้ ฯลฯ

    เมื่อดวงวิญญาณเริ่มหลงลืมตนเอง
    ถูกครอบงำด้วยสำนึกที่เป็นร่างกาย
    จึงเป็นสัญลักษณ์ในคัมภีร์ ที่บอกว่า
    เมื่ออาดัมและอีฟกินแอปเปิ้ลที่งูยื่นให้ ก็เริ่มตระหนักรู้ว่าเขาเปลือย
    นั่นเป็นสัญลักษณ์ว่า... เมื่อได้กินสิ่งที่กิเลสนั้นหยิบยื่นให้
    เขาก็หลงลืมตนเองว่าเขาไม่ใช่ร่างกาย เขาคิดว่าเขาเป็นร่างกาย
    เขาก็เริ่มเห็นว่าตัวเองเปลือย... นั่นเป็นสัญลักษณ์ของสำนึกที่เป็นร่าง

    จากเวลากลางวัน โลกเข้าสู่เวลากลางคืน
    เพราะโลกถูกครอบงำด้วยสำนึกที่เป็นร่างกาย
    บทบาทของความทุกข์จึงเริ่มต้นขึ้น
    สิ่งแรกที่มนุษย์กราบไหว้คือ ศิวลึงค์
    จริงๆ หมายถึง SHIVA LINGAM (ชีว่าลิงกัม)
    หินรูปวงรีไข่ของพระเจ้าชีว่า (พระเจ้าชื่อ "ชีว่า")
    เพราะดวงวิญญาณยังคงจดจำพ่อของเขาได้
    ว่าเป็นจุดแห่งแสงที่มีรัศมีเป็นรูปวงรีไข่ เขาจึงปั้นรูปปั้นรูปไข่ขึ้นมากราบไหว้

    ต่อมา เขาจึงปั้นรูปปั้นของเทพต่างๆ ขึ้นมา
    เพราะ เขาจำได้ว่า ครั้งหนึ่ง โลกเคยมีเหล่าเทพนั้นอาศัยอยู่
    และขณะนั้นโลกเต็มไปด้วยความสุข
    เขาจึงปั้นรูปปั้นของเหล่าเทพนั้นขึ้นมา
    และกราบไหว้ หวังว่าเทพเหล่านั้นจะกลับมาอีกครั้ง
    เขาหารู้ไม่ ว่าแท้จริงแล้ว มันเป็นรูปปั้นของเขาเองนั่นแหละ
    เขาเกิดใหม่เรื่อยๆ ลืมไปว่าเขาเคยเป็นเทพในยุคทองนั่นแหละ

    และเหตุนี้เอง ศาสนาฮินดูจึงไม่มีศาสดา
    เพราะ มันสืบเนื่องมาจากศาสนาเทพในยุคทองและยุคเงิน
    ศาสนาเทพในยุคทองและยุคเงิน ไม่มีการกราบไหว้บูชาสิ่งใด
    เพราะพวกเขาคือเทพ ที่มีคุณธรรมสูงส่ง
    แต่เมื่อเข้าสู่ยุคทองแดง เขาไม่สามารถเรียกตนเองว่าเทพได้อีกต่อไป
    เพราะเขาไม่มีคุณธรรมหลงเหลืออยู่ เขาเต็มไปด้วยกิเลส
    เขาจึงเรียกตนเองว่าฮินดู ตามชื่อของที่ตั้งของพวกเขา
    คือแม่น้ำอินดัส หรือแม่น้ำสินธุ

    และเมื่อโลกเข้าสู่ความมืดมิดมากยิ่งขึ้น
    โลกตกต่ำมากยิ่งขึ้น
    ผู้นำศาสนาต่างๆ จึงเริ่มลงมาจากโลกวิญญาณ มาก่อตั้งศาสนาของตนเอง
    เปรียบเหมือนแสงเทียนในเวลาที่ทั้งห้องมืดมิด
    ทุกคนจึงถูกดึงดูดมาทีแสงเทียนเหล่านั้น
    แต่กระนั้น แสงเทียนก็ไม่ได้ทำให้โลกสว่างเหมือนตอนที่เป้นกลางวัน
    เทียนต่างๆ มากมายได้ถูกจุดขึ้นมากขึ้นๆ และค่อยๆ ดับลงๆ
    โลกก็ยังคงมืดมิดเช่นเดิม

    ยุคทองแดงผ่านไป เข้าสู่ยุคเหล็ก ยุคที่ตกต่ำที่สุด
    โลกมืดมิดอย่างสมบูรณ์
    แต่ก็ยังไม่ที่สุด จึงยังไม่ถึงเวลาที่พระอาทิตย์จะขึ้น
    จนกว่าวงจรนี้จะจบลง พระอาทิตย์ถึงจะมา
    และทำให้โลกกลับมาเป็นกลางวันอีกครั้ง

    ขณะนี้ ดูตามเข็มนาฬิกา
    โลกอยู่ในยุคสุดท้าย ที่เรียกว่ายุคเหล็ก
    แต่ 100 ปีสุดท้าย เป็นยุคที่เป้นสิริมงคลที่สุด
    ยุคที่เรียกว่า ยุคเพชร
    ซ้อนกันอยู่กับยุคเหล็ก
    ผู้ที่ได้พบพระอาทิตย์แห่งความรู้ ก็จะก้าวข้ามมาสู่ยุคเพชรนี้
    ส่วนผู้ที่ยังคงหลับใหลในความไม่รู้ก็ยังคงจมอยู่ในความทุกข์ที่ถึงที่สุดของโลกยุคเหล็ก


    100 ปีสุดท้ายนี่เอง ที่พระอาทิตย์แห่งความรู้ฉายแสง
    ท่านผู้เป็นพ่อของเราทุกคน ผู้เป็นดวงวิญญาณสูงสุด ได้มา และเปิดเผยความจริง
    เปิดเผยว่าเราเป็นใคร ท่านเป็นใคร และเปิดเผยถึงตอนต้น ตอนกลาง และตอนจบของโลก


    เมื่อพระอาทิตย์ฉายแสง กลางคืนก็จะต้องจบสิ้น
    กลางวันก็จะต้องมา


    เพราะขณะนี้ พ่อสูงสุด ดวงวิญญาณสูงสุด ได้มาแล้ว
    ท่านมาสอนความรู้นี้ที่เรียกว่าราชาโยคะ
    และท่านจะพาเรากลับบ้าน
    ท่านมาแนะนำตนเอง ว่าท่านคือพ่อของเราทุกคน
    ท่านชื่อ "ชีว่า" (SHIVA) เสียงก้องๆ กลายเป็นยะโฮวาห์
    ท่านมาสอนวิธีการเชื่อมโยงติดต่อกับท่าน
    เพราะขณะนี้ ดวงวิญญาณไม่บริสุทธิ์
    เราไม่สามารถกลับบ้านได้โดยไม่บริสุทธิ์
    เพราะเราจากบ้านลงมาอย่างบริสุทธิ์ เราจึงต้องกลับไปอย่างบริสุทธิ์
    ท่านจึงมาสอนวิธีการกลับมาบริสุทธิ์
    ท่านพูดว่า เพียงแค่จดจำพ่อ แล้วลูกก็จะกลับมาบริสุทธิ์


    เพราะเหตุนี้เอง วงจรนี้กำลังจะจบสิ้น
    โลกใหม่กำลังถูกสร้างขึ้นอย่างแฝงตัว
    เมื่อถึงเวลา พ่อสูงสุดของเราจะได้รับการเปิดเผยไปทั้งโลก
    ทุกคนจะรู้ว่าพ่อของเราได้มาแล้ว
    โลกเก่านี้จึงจะต้องถูกทำลาย...
    นี่แหละครับ เราจึงเห็นกันอยู่ทุกวันนี้แหละ
    และมันจะหนักขึ้นเรื่อยๆ

    และแล้วโลกใหม่ที่สงบสุขก็จะกลับมาอีกครั้ง
    เหมือนที่หลายคนเชื่อว่าโลกที่สงบสุขกำลังจะมาไงครับ..

    เข้าใจป่าวครับ... ยาวมากเลย...
    ไม่เข้าใจก็โทรมาแลกเปลี่ยนกันได้นะครับ 0869136282
    แอดเมลล์มาก็ได้นะครับ bkgolf1999@hotmail.com
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กุมภาพันธ์ 2007
  3. boko0121

    boko0121 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,612
    ค่าพลัง:
    +7,736
    ขอบคุณมากเลยครับ พี่นี้เก่งจริงๆ
     
  4. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    ดีครับคุณ bkgolf 1999 เป็นความรู้ที่สมบูรณ์แบบครับ..
    เรื่องที่มาที่ไปของจิตวิญญาณ และวงจรของเวลาของยุค

    เรียกว่าถึงเวลาที่ดวงจิตเราทุกคน
    จะต้องกลับคืนสู่ที่ที่เราจากมานานแสนนานเสียที
    จากความไม่รู้ เพราะเวียนตาย-เวียนเกิดกันมาแล้วหลายภพชาติ
    แสงสว่างในช่วงสุดท้ายนี้ จะมีใครรับได้รู้กันได้บ้าง
    ถือเป็นสิ่งที่กล่าวตรงกันหลายแห่งครับ ที่เรียกว่า "ข่าวสารอันประเสริฐ"
    ในคัมภีร์ไบเบิ้ล ในช่วงก่อนวันพิพากษาครับ..ขอบคุณครับ
     
  5. แม่นายมล

    แม่นายมล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    1,069
    ค่าพลัง:
    +6,258
    ณ ตอนนี้ คำว่า ไม่เข้าใจ ไม่มี

    ขอบคุณนะคะ
     
  6. น้องหน่อยน่ารัก

    น้องหน่อยน่ารัก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    1,976
    ค่าพลัง:
    +4,975
    ผมสงสัยว่าท่านนี้คือหนึ่งในสามร่มโพธิ์ศรี
    ท่านคือพระศรีอาริยเมตไตรย์ตัวจริง คือพระเมสิอาร์


    ใช่ไหม?
     
  7. bkgolf1999

    bkgolf1999 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +98
    ท่านในที่นี้ เป็นพ่อของเราทั้งหมดครับ...
    ท่านเป็นดวงวิญญาณสูงสุด เป็นสิ่งสูงสุด พระเจ้านั่นแหละครับ
    ท่านไม่มีร่างกายของท่านเอง ท่านไม่มาเกิดเหมือนกับเรา
    ท่านไม่ใช่ผู้ที่มีร่างกายใดๆ ท่านเป็นเพียงจุดเล็กๆ เท่านั้น
    แต่เต็มไปด้วยความรู้และพลังอำนาจ

    ท่านเป็นผู้ชำระล้างบาปด้วย
    ถ้าจะบอกว่าท่านเป็นพระเมสิอาร์ก็คงจะใช่

    ประเด็นสำคัญไม่ใช่อยู่แค่ที่การเข้าใจอะครับ...
    แต่อยู่ที่ว่า ถ้าหากเราเข้าใจว่ามันเป็นอย่างนั้น
    และเราต้องกลับบ้านจริงๆ เนี่ย
    เราจะกลับมาบริสุทธิ์ได้อย่างไร?
    ในเมื่อตอนนี้ทุกดวงวิญญาณไม่บริสุทธิ์
    ถ้าหากดวงวิญญาณที่เป็นเหมือนแบตเตอรี่อ่อนๆ สามารถชาร์จตัวเองได้
    แหล่งจ่ายไฟจะมีประโยชน์อะไรจริงมั้ยครับ..
    ดังนั้น ราชาโยคะ จึงมีความหมายคือ
    การมีโยคะกับผู้เป็นราชา
    หมายถึง การเชื่อมโยงกับผู้เป็นใหญ่สูงสุด...

    และด้วยการเชื่อมโยงกับท่านนี่เอง ที่เราจะสามารถกลับมาบริสุทธิ์ได้
    และนี่คือวิธีการที่ท่านสอนให้เราทำความเพียรพยายามด้วยตนเอง

    มันเหมือนกับว่า เราแต่ละคนเป็นเด็กเล็กๆ ออกมาจากบ้านของเราอย่างสะอาด
    เราก็ลงมาเล่นของเราอย่างสนุกสนาน
    เล่นตอนแรกๆ ก็สนุกมีความสุขดี
    แต่พอเล่นไปๆ มันเบื่อๆ มันมีความทุกข์ ก็ไม่อยากจะเล่นละ อยากจะกลับบ้าน
    บางคนก็บอกตัวเองว่า ฉันอยากจะกลับบ้าน ไม่อยากจะมาที่นี่อีกละ
    แต่ยังไม่ถึงเวลา พ่อก็จะไม่มารับกลับบ้าน เราก็ต้องเล่นๆ ต่อไป
    จนถึงเวลาที่พ่อมารับกลับบ้าน พ่อเห็นลูกสกปรกมอมแมม
    พ่อก็สอนวิธีอาบน้ำให้กับลูก ท่านเพียงแต่สอน ท่านไม่ได้มาอาบให้เรา
    ่ท่านให้ความเคารพแก่เรา อยากอาบก็อาบ ไม่อาบก็ไม่ต้องอาบ
    เพราะมันอาจจะหนาว...
    แต่เมื่อถึงเวลากลับบ้าน พ่อก็จะพาลูกกลับบ้าน
    สำหรับผู้ที่ได้อาบน้ำสะอาด แต่งตัวชุดใหม่เอี่ยม ก็กลับบ้านด้วยความสุข
    สำัหรับผู้ที่ยังมอมแมม พ่อก็จะจับแก้ผ้าอาบน้ำ แล้วก็กลับบ้านอย่างชีเปลือย

    เป็นเหมือนการเปรียบเทียบอะครับ... หมายความว่า เมื่อวงจรแต่ละวงจรจบสิ้นลง ดวงวิญญาณทั้งหมดจะต้องกลับสู่ที่ที่เราจากมา และต้องกลับไปในสภาพที่บริสุทธิ์... (สะอาด)

    เข้าใจป่าวคับ ไม่เข้าก็ใจก็ถามได้ครับ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 มกราคม 2007
  8. NuJanBaBor

    NuJanBaBor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    440
    ค่าพลัง:
    +1,861
    ใครรู้เว็บต่างประเทศเกี่ยวกับภัยพิบัติบ้างค่ะ

    อยากรู้ว่าข้อมูลจะตรงกันไหม
     
  9. Akira

    Akira Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +25
    ขอให้ความเห็นนิดนะครับ ในฐานะชาวพุทธ ถือว่าแลกเปลี่ยนกันในสิ่งที่ท่านอาจเคยรู้มาแล้ว เรียนมาจากพระปฏิบัติดีท่านหนึ่งน่ะครับ

    ความเชื่อทางศาสนาและปรัชญา แบ่งออกเป็น 2 แบบคือ
    1. เทวนิยม เช่น ฮินดู อิสลาม คริสต์ ฯลฯ
    2. อเทวนิยม คือ พุทธศาสนา เพียงศาสนาเดียว

    หลักการคือ ความจริงของพุทธนั้น ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ไม่มีตัวตน ภาวะนิพพานเช่นเดียวกัน, แต่ศาสนาแบบเทวนิยมนั้นธรรมทั้งปวงจะข้องกับความเป็นอัตตาทั้งสิ้น เช่น จิตวิญญาณไม่มีการตาย มีพระเจ้าผู้สร้าง และมีอำนาจสั่งให้เกิดสิ่งต่างๆ
    ในศาสนาพราหมณ์ ฮินดู เชน ก็มีการบังคับ และฝึกจิตของตนจนดี เชื่อว่าเมื่อสะอาดบริสุทธ์ จะสามารถเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับภาวะพระเจ้า(ฝึกจิตเป็นอาตมันต์ เพื่อจะรวมกับปรมาตมันต์-เขียนผิดขออภัย) และทำให้บางคนในศาสนาเหล่านั้นก็คิดเอง และคิดว่าเป็นภาวะนิพพานเหมือนของศาสนาพุทธ

    แต่นิพพานของพุทธคือ วิสังขาร คือการไม่ปรุงแต่ง ผู้ที่จิตใจเข้าสู่นิพพานได้ คือจิตของผู้เข้าใจโลกเข้าใจธรรมแห่งความไม่ปรุงแต่ง มีผลเป็นพระโสดาบัน ได้รับรู้นิพพานที่เป็นอสังขตธรรม และเมื่อวางกายวางจิตได้ ก็จะเข้าไปสู่ความไม่ปรุงแต่งสมบูรณ์และไม่ต้องเวียนตายเวียนเกิดอีก

    ธรรมที่เป็นการปรุงแต่ง 3 อย่างของปุถุชนนั้นคือ
    1. หาอารมณ์ที่พอใจ เมื่อเบื่อ ทุกข์ ก็ไปหาอารมณ์เพลิดเพลิน ดูหนัง เดินเล่น ผลส่วนใหญ่ส่งคนไปอบายภูมิ เพราะติดกิเลส ราคะ โทสะ โมหะ
    2. คนฉลาดมากขึ้นก็จะทำตัวเป็นคนดี ไม่พยายามรับรู้อารมณ์ที่ทำให้เราได้เป็นทุกข์ นั้นคือปรุงแต่งความเป็นคนดี เพื่อให้ได้อารมณ์ที่ดี(ตามกฏแห่งกรรม) ถือศีลแบบศีลพัตปรามาส
    3. คนที่ฉลาดยิ่งกว่านั้น ก็รู้ว่าดีได้ก็ชั่วได้ ถ้ายังรับรู้อารมณ์ดีได้ ก็พลาดไปรับรู้อารมณ์ที่ชั่วได้ จึงพยายามไม่รับรู้อารมณ์หยาบๆ เช่นการเข้าฌานที่มีรูปและอรูป ถือเป็นการปรุงแต่งขั้นละเอีดยเพื่อสู่ภพภูมิพรหม จิตเหมือนบริสุทธ์เพราะหนีอารมณ์ จนไม่ได้สัมผัสกับกิเลส ฝึกเก่งๆ เข้าใจไปเองว่าจิตเป็นอัตตา คือบังคับได้ สุดท้ายก็ตายไปเป็นพรหม-อัตตารวมกับบรมอัตตา และบางศาสนาเข้าใจว่าภาวะนี้คือนิพพานแบบพุทธ

    ตามความเชื่อพุทธ การปรุงแต่ง 3 แบบในทุกศาสนาบนโลกนั้นมีมาตลอดทุกยุคทุกสมัย พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ได้พบทางที่ไม่ใช่ทั้ง 3 ทางที่มีการก่อน คือการรู้รูปและนาม จนพ้นการปรุงแต่ง เพื่อหนีพ้นวัฏฏะ ซึ่งมีเฉพาะในศาสนาพุทธ เมื่อมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาจุติเท่านั้น พระพุทธเจ้าองค์ต่างๆ ไม่ได้เป็นปางของเทพในศาสนาใดๆ ทั้งนั้น

    ดังนั้น นิพพานศาสนาพุทธจึงมีความไม่ปรุงแต่งโดยความคิดมนุษย์ดังข้างต้น
     
  10. NuJanBaBor

    NuJanBaBor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    440
    ค่าพลัง:
    +1,861
    ไม่ค่อยเข้าใจ ว่าสื่อถึงอะไรกันแน่???????????
     
  11. bkgolf1999

    bkgolf1999 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +98
    อืมๆ ครับ ขอบคุณทุกความคิดเห็นครับ
    ขอขอบคุณสำหรับการแลกเปลี่ยนของคุณ Akira ด้วยครับ...
    ได้เข้าใจขึ้นอีกระดับนึง...
     
  12. น้องหน่อยน่ารัก

    น้องหน่อยน่ารัก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    1,976
    ค่าพลัง:
    +4,975
    เท็จ สร้าง จริง
    จริง สร้าง เท็จ



    เทพลงมาสร้างเรื่องราว ติดต่อเบื้องบน สร้างรากฐานรอ ...

    สุดท้ายจริงหรือเท็จล้วนไม่ใช่
    เพราะเหนือกว่าจริงหรือเท็จนั่นแหละใช่
     
  13. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,696
    ค่าพลัง:
    +51,932
    *** พยากรณ์เริ่มผิดพลาด **** ต่อไป...การพยากรณ์ ลมฟ้าอากาศ จะผิดพลาด...เนื่องจาก ใช้สถิติเก่าจากปริมาณทรัพยากร ดิน น้ำ ลม ไฟ เท่าเดิม....แต่ปัจจุบัน โลกมีปริมาณ "น้ำ" เพิ่มมากขึ้นที่ลอยมาตามกระแสลมจักรวาลจากภายนอกโลก....ทุกสิ่งทุกอย่างจึงจะเปลี่ยนแปลงไป...ช่วงแรกอาจดูโหดร้าย แต่ก็เป็นไปตาม "การกระทำที่ทำไปแล้ว" ของแต่ละคน...เมื่อผ่านพ้นความรุนแรง โลกจะสมบูรณ์ดังในอดีต น้ำจะแทรกเข้าไปทุกอนู ไม่ว่าจะเป็น หิน ทราย เหล็ก และ มนุษย์ พันธุกรรมจะถูกปรับให้สมบูรณ์ มนุษย์ที่ผ่านสรรพภัยทั้งปวงกึ่งพุทธกาลไปได้ จะมีร่างกายที่สมบูรณ์ โรคภัยต่างๆ จะสูญหายไป...โลกจะเป็นเหมือนดั่งสวรรค์ คือ การเข้ายุคพระศรีอาริย์ นั่นเอง.... (พระศรีอารย์ "ไม่มีตัวตน" จนกว่าพุทธศาสนาที่มีพระโคดมเป็นพระพุทธเจ้าจะครบ ๕,๐๐๐ ปี...อย่า หลงเชื่อผู้ไม่หวังดีกับชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ของไทย ที่นำความเชื่อและศรัทธาของชาวพุทธมาหลอกลวง และแทรกคำสอนที่ผิดและก่อให้เกิดความแตกแยก และความรุนแรงในประเทศได้) - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  14. กัลคี

    กัลคี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2007
    โพสต์:
    101
    ค่าพลัง:
    +568
    พระศรีอารย์จะยังไม่มาในยุคนี้จะมีแต่ผู้แอบอ้างเท่านั้น
     
  15. กัลคี

    กัลคี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2007
    โพสต์:
    101
    ค่าพลัง:
    +568
    ยุคนี้เป็นยุคเหล็ก อายุมนุษย์สั้นเหลือแค่ 100 ปีก็เป็นเพราะยุคนี้
    ยังดีที่ตอนนี้เข้าสู่ยุคสามร่มโพธิ์ศรีแล้วเริ่มเข้ายุคนี้ก็ตอนเดือนพฤษภาคม 2549
    เราก็กำลังรอคอยว่าใครคือสามใบโพธิ์
     

แชร์หน้านี้

Loading...