ปริศนาคำสาปแห่งราชวงศ์โรมานอฟ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 17 ตุลาคม 2010.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    [​IMG]โศกนาฏกรรมที่คร่าชีวิตเด็กและ ราษฎรรัสเซีย หลายร้อยคนไป เมื่อเร็วๆนี้ ได้เคยเกิดขึ้นมา ครั้งหนึ่งแล้วครับ เมื่อร้อยกว่าปีมานี่เอง และเกิดขึ้นในวันมหามงคลด้วยคือ ระหว่างเฉลิมฉลอง พิธีราชาภิเษก ของกษัตริย์แห่ง ราชวงศ์ โรมานอฟ มีคนตายนับพัน

    ราชวงศ์โรมานอฟ (Romanov dynasty) ได้ปกครองรัสเซียเป็นเวลานานถึง 300 ปี มีจักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรหลายองค์ เช่น ปีเตอร์มหาราช คันทรีมหาราชินี แต่แล้วพอถึง ค.ศ. 1918 ราชวงศ์โรมานอฟ ก็ต้องประสบกับโศกนาฏกรรมร้ายแรง ปิดฉากราชวงศ์ที่เคยยิ่งใหญ่ลงความหายนะที่เกิดขึ้นนี้ ว่ากันว่า ส่วนหนึ่งมาจากคำสาปแช่งของ บุรุษที่มีพลังอำนาจจิตสูงส่ง นาม รัสปูติน (Rasputin)!
    [​IMG]ปี ค.ศ. 1896 นิโคลาส และอเล็กซานดรา ทรงราชาภิเษกขึ้นเป็นซาร์และซาริน่าปกครองอาณาจักร อันไพศาลของรัสเซีย พิธีราชาภิเษกนั้นยิ่งใหญ่ กึกก้องกัมปนาทด้วยเสียงปืนใหญ่ ขบวนแห่สู่ พระราชวังเครมลิน ประกอบด้วยเหล่าทหารองครักษ์ นับพัน มีการดื่มเฉลิมฉลองกันทั่วทั้งเมือง ผู้คนแก่งแย่งเบียร์และขนมปังที่นำมาแจกกันอย่างชุลมุน กลายเป็นจลาจล ราษฎรทั้งชายหญิงและเด็กโดนเหยียบตายไปกว่าพันคน!

    นับเป็นการเริ่มต้นรัชกาลใหม่ ที่น่าสยดสยองยิ่ง และหลอกหลอนความรู้สึก ของสมาชิกราชวงศ์ ทุกพระองค์ตลอดเวลา

    [​IMG]สิ่งปรารถนาอันใหญ่หลวง ของพระเจ้าซาร์นั้นก็คือ เจ้าชายรัชทายาท ผู้จะเป็นประมุของค์ต่อไปของรัสเซีย แต่แล้วก็ทรงกลับไปได้แต่พระราชธิดาถึง 4 พระองค์ นับตั้งแต่ โอลก้า ทาเทียน่า มาเรีย และ อนาสตาเซีย

    ซาร์และซาริน่าทรงไม่ละความพยายาม ทั้งสองพระองค์สวดอ้อนวอน ขอพรต่อเทพเจ้าให้ประทานพระโอรส และท้ายที่สุดก็สมพระทัย ในวันที่ 5 สิงหาคม 1904 พระองค์ก็ได้เจ้าชายรัชทายาท อเล็กไซ นิโคลาวิช โรมานอฟ

    หากทว่า นิโคลาสกับอเล็กซานดราก็ต้องทรงระทมทุกข์อีกครั้ง เมื่อพบว่าเจ้าชายน้อยอเล็กไซ มีพลานามัยไม่สมบูรณ์ ทรงประชวรด้วยโรคร้าย ฮีโมฟีเลีย ถ้าเป็นแผล โลหิตจะไหลไม่หยุด จนถึงอาจสิ้นพระชนม์ได้ และโรคนี้ไม่มีวิธีรักษา!

    เรื่องนี้ ซาร์ทรงปิดเป็นความลับแก่โลกภายนอก ห้ามผู้หนึ่งผู้ใดเข้ามาเยือนในพระราชวัง ยกเว้นผู้สนิทสนมใกล้ชิด เพียงไม่กี่คน
    [​IMG]ระหว่างนั้น ทั้งพระองค์และ พระราชินี ก็ทรงเสาะแสวงหา หมอเก่งๆ มารักษาพระราชบุตร ด้วยเหตุ ทั้งสององค์ทรงฝักใฝ่ ในศาสนา ตลอดจนมนตร์วิชา ลี้ลับต่างๆ การเสาะหานี้จึงได้นำมาสู่ ความหายนะ แห่งราชวงศ์โรมานอฟ

    หนึ่งในผู้ที่ทรงเชื้อเชิญ ให้มารักษา เป็น บุรุษลึกลับกลับจากป่าในไซบีเรีย นาม เกรกอรี่ รัสปูติน ตอนที่อเล็กซานดรานำ เขาผู้นี้มาในวัง อเล็กไซ เจ้าชายน้อยกำลังบรรทม เจ็บปวดรวดร้าว จากอาการเลือดตกในใกล้สิ้นพระชนม์

    รัสปูตินสามารถช่วยชีวิตอเล็กไซไว้ได้!

    ปริศนาที่ยังคงอยู่จนถึงทุกวันนี้คือ เขารักษาอาการขององค์รัชทายาทได้อย่างไร?

    บางคนมั่นใจว่า เขาใช้วิธีสะกดจิต
    บางคนแย้งว่า เป็นเพราะเหตุบังเอิญ
    [​IMG]แต่จะอธิบายเหตุบังเอิญได้อย่างใด ในเมื่อการรักษาเยียวยานั้นเป็นไป อย่างได้ผลตลอดระยะเวลายาวนานถึง 12 ปี เรียกว่า ถ้าเจ้าชายน้อยมีแผลครั้งใด รัสปูตินก็สามารถช่วยไว้ได้ทุกครั้ง

    ซาริน่าทรงเชื่อมั่นว่ารัสปูตินได้รับ พลังอำนาจพิเศษจากเทพเจ้า พระนางจึงทรงเชิญให้เขาเข้ามา พำนักอยู่ในพระราชฐานชั้นใน เพื่อดูแลถวายการรักษาอเล็กไซอย่างใกล้ชิด

    และนี่เองที่ทำให้รัสปูตินได้มีโอกาส คลุกคลีกับสาวสรรพ์กำนัลในแห่งพระราชวัง จนกลายเป็นข่าวลืออื้อฉาวถึงสัมพันธ์สวาทที่เขามีต่อเหล่านางข้าหลวง ตลอดจนเจ้าหญิง และแม้กระทั่งซารีน่าอเล็กซานดราก็มิได้เว้น!

    ยิ่งไปกว่านั้น รัสเซียได้เข้าร่วม ในสงครามโลกครั้งที่ 1 ใน ค.ศ. 1914 พระเจ้าซาร์ทรงเห็นความสำคัญ ของศึกครั้งนี้ จึงทรงออก ร่วมในการบัญชาการ เป็นเหตุให้ต้องเหินห่างพระ ราชวัง เปิดโอกาสให้รัสปูตินได้กระทำการบัดสีต่างๆ ได้ตามอำเภอใจ

    หนักขึ้น ด้วยในขณะนั้น เขาเป็นที่โปรดปรานของ ซาริน่าอย่างยิ่ง อีกทั้งพลังสายตาอันแข็งกล้าของเขา ก็ยังสยบผู้คนให้ตกอยู่ใต้ อำนาจได้อีกด้วย
    นับเป็นก้าวย่างที่ราชวงศ์โรมานอฟ ถึงจุดเสื่อมสลายอย่างรวดเร็ว
    ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่า

    “พระราชินีทรงคิดว่า พระเจ้าได้สื่อสารกับ พระราชวงศ์โดยผ่านทางรัสปูติน เมื่อเขาพูดถึงสิ่งใด พระนางก็จะทรง ปฏิบัติตามโดยไม่รอช้า ดังนั้น เมื่อรัสปูตินแนะนำให้ตั้ง ใครดำรงตำแหน่งสูงๆ หรือขับไล่ผู้หนึ่งผู้ใดให้พ้นไปเสียจากวัง พระนางก็จะทรงทำตา มคำแนะนำของเขาทันทีเขา จึงเป็นผู้ที่มีอิทธิพลอย่างยิ่งในพระราชวัง”

    [​IMG]ความเหิมเกริมของรัสปูตินทำให้เชื้อพระ วงศ์และข้าราชบริพารกลุ่มหนึ่งไม่อาจทนต่อไปได้ โดยเฉพาะเจ้าชาย ยูสโซปอฟ ซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์ผู้มั่งคั่งที่สุดองค์หนึ่ง เจ้าชายจึงทรงวางแผนกับผู้ใกล้ชิด ลวงรัสปูตินให้มาเยือนวังของพระองค์ใน นครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก แล้วล่อให้เขาลงไปยังห้องใต้ดิน จากนั้น ก็ให้รัสปูตินดื่มไวน์ชั้นเยี่ยมที่ทรงเก็บไว้ และกินแป้งราดครีมอันโอชะ หากทว่าทั้งอาหารและไวน์นี้ได้เจือปนไซยาไนด์ เพียบ ขนาดฆ่าคนธรรมดาได้ถึงสิบคนสบายๆ

    แต่รัสปูตินไม่ธรรมดา ทั้งดื่มทั้งกินสารพิษ ร้ายเข้าไปแล้วก็ยังมีทีท่าปกติ

    ยูสโซปอฟ แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง นี่ต้องเป็นอำนาจของปิศาจร้ายแน่ๆ ด้วยความโกรธและตกใจ เจ้าชายจึงชักปืนรีวอลเวอร์ ออกมากระหน่ำยิงรัสปูตินจนล้มคว่ำ แน่ใจว่าหนนี้นักบวชชั่วคงตายแน่นอน ยูสโซปอฟเข้าไปก้มดูร่างที่นอนนิ่งอยู่ หากทว่าร่างนั้นกลับลืมตา จ้องถมึงทึงพลางคำราม “แกไอ้บัดซบ” ยูสโซปอฟตระหนกสุดขีด แล้ววิ่งขึ้นบันไดร้องลั่น “มันไม่ตาย! มันยังมีชีวิต!”
    [​IMG]ไม่เพียงแต่จะพยุงร่างตัวเองขึ้นได้ แต่รัสปูตินยังสามารถเดินโซซัดโซเซ ออกไปยังสนามหน้าวัง โดยมีกลุ่ม ผู้วางแผนฯ วิ่งไล่ระดมยิงตามหลัง อย่างบ้าคลั่ง แต่กระสุนปืนไม่อาจปลิดชีพ ของนักบวชผู้มีพลังจิตนี้ได้ สุดท้ายเมื่อไม่รู้จะ ทำฉันใด เหล่าเพชฌฆาต จำเป็นจึงจับร่างของรัสปูตินโยนลง ในแม่น้ำเนวาที่ไหล ผ่านนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก อากาศที่หนาวจัดทำให้น้ำ บางส่วนกลายเป็นน้ำแข็ง

    ยาพิษและกระสุนปืนไม่ระคายเคืองแก่รัสปูติน แต่เขาตายเพราะจมน้ำ!

    ข่าวความตายอย่างหฤโหดของรัสปูตินแพร่กระจายไปทั่วอาณาจักร สร้างความโศกศัลย์แก่อเล็กซานดรายั่งนัก นอกจากนี้ยังทรงหวั่นไหวอย่างยิ่ง เนื่อง จากก่อนหน้าการตายไม่ นานนัก นักบวชผู้หยาบช้าได้เขียนบันทึกสั้นๆ ถึงพระองค์ไว้ว่า “ขอให้ทรงรับรู้ว่า ถ้าหากเชื้อพระวงศ์องค์ใดทำให้หม่อมฉันตาย พระ องค์และครอบครัวจะต้องสิ้นพระชนม์ภายในสองปี จากฝีมือของประชาชนรัสเซีย” เกรกอรี รัสปูติน มีนาคม 1917 ไม่ถึง 3 เดือนหลังการตายของรัสปูติน กระแสแห่งการปฏิวัติหลั่งไหลเข้ามาสู่นครหลวงของรัสเซีย ขบวนชาวนาและคนงานอุตสาหกรรมแห่กันเข้ามาถวายฎีกาปรับปรุงระบบการบริหารประเทศ แต่องครักษ์วังหลวงกลับต่อต้านด้วยอาวุธปืน ความจลาจลวุ่นวายบังเกิดขึ้น และผลสุดท้ายซาร์ก็จำต้องสละราชบัลลังก์ พระองค์และเชื้อพระวงศ์ถูกควบคุมตัวอย่างแข็งแรง และถูกนำไปกักขังไว้ ณ ไซบีเรียอันห่างไกลและกันดาร

    โดยซารีน่าและเจ้าหญิงทั้ง สี่องค์ได้แอบซ่อนทองและ อัญมณีเอาไว้ในพระภูษาเป็นอันมาก หากทว่าไม่รอดพ้นมือ ของทหารปฏิวัติซึ่งขี้เมาและกักขฬะ

    นอกจากนี้ ยังเชื่อกันว่าเจ้าหญิงผู้งดงาม ไร้เดียงสาบริสุทธิ์ทั้ง 4 องค์ ก็ไม่รอดพ้นการย่ำยีทางเพศ จากทหารเหล่านี้เช่นกัน!

    นับเป็นชะตากรรมที่พลิกผันชีวิตอันสูงส่ง ลงมาต่ำสุดอย่างน่าสมเพชยิ่งนัก
    เมษายน 1918 ครอบครัวราชวงศ์ โรมานอฟ ถูกนำไปไว้ในบ้านหลังหนึ่ง แถบภูเขาอูรัล ถึงตอนนี้พระเจ้าซาร์ก็ทรง ได้แต่ฝากความหวังไว้กับพระเจ้า และไม่ได้ตระหนัก รู้ได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับ พระองค์ อีก บันทึกสุดท้ายของพระองค์คือ

    “อากาศอบอุ่นและสบาย ไม่มีข่าวใดจากภายนอก”

    ยามดึกของคืนวันที่ 16 กรกฎาคม 1918 ครอบครัวโรมานอฟกับบริพาร และแพทย์ผู้ดูแล รักษา ทั้งหมดถูกปลุกขึ้นและนำตัวลงไปยังห้องใต้ดิน ต่อหน้ากลุ่มนักโทษสูงศักดิ์ นายทหารผู้ควบคุมได้อ่านประกาศ

    “ด้วยเหตุที่วงศาคณาญาติของท่านดำเนินการโจมตีโซเวียตรัสเซีย คณะกรรมการบริหารแห่งอูรัล จึงตัดสินประหารท่าน”

    แถวทหารเพชฌฆาต 12 นาย ประทับปืนขึ้นยิงกราดยังกลุ่มนักโทษ พวกเขาร่วงผล็อยราวใบไม้

    ยูรอฟสกี้ ผู้ควบคุมการประหารก้าวเดินสำรวจ เจ้าชายน้อยอเล็กไซยังไม่สิ้นพระชนม์ ยูรอฟสกี้ ยกปืนพกขึ้นยิงองค์รัชทายาท 2-3 นัด ก็เป็นอันปิดฉากราชวงศ์โรมานอฟ

    คำสาปของนักบวชอลัชชีผู้ทรงอำนาจจิตแรงกล้านั้น ได้สร้างความวิบัติแก่ราชวงศ์โรมานอฟอย่างน่าเศร้า และสยดสยองยิ่ง

    ขอบคุณที่มา http://www.artsmen.net

    http://writer.dek-d.com]
     
  2. lldreamll

    lldreamll Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +84
    โหดร้าย=มนุษย์
    อ่านแล้วเหนื่อยใจครับ
     
  3. โมก

    โมก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    435
    ค่าพลัง:
    +1,737
    ไม่ทราบว่าเจ้าของกระทู้มีเจตนาใดนะ ราชวงศ์โรมานอฟถูกหยิบยกขึ้นมาพูดในเมืองไทยและโด่งดังมากในช่วงหลังโดยคนมีอำนาจในสภา ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าคำพูดเหล่านี้จะหลุดปากออกมาจากนักการเมืองไทย คนที่น่าจะมีความรู้และคุณธรรม รู้กาลเทศะ ใช้ความรู้ความสามารถช่วยกันพัฒนาประเทศชาติ ไม่ใช่ช่วยกันเผาประเทศ ไม่น่าเชื่อว่าสิ่งเหล่าออกมาจากปากคนที่ได้ชื่อว่า..เป็นคนไทย....อยู่บนแผ่นดินไทย ที่น่าเกลียดชังคือหยิบยกตัวอย่างการล่มสลายของราชวงศ์โรมานอฟมาพูด....และพูดไม่หมด
    ไม่แปลกที่โลกนี้จะมีคนอย่างรัสปูติน เมื่ออำนาจอยู่ในมือคนชั่ว สิ่งอันชั่วร้ายย่อมเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา
    เหตุใดราชวงศ์โรมานอฟล่มสลาย???
    นั่นเพราะความละเลยไม่เอาใจใส่ไม่สนใจใยดีในอาณาประชาราษฎ์ อย่าว่าแต่ราชวงศ์ลงมาลำบากช่วยเหลือราษฎรที่ทุกข์ยาก ไม่เคยแม้แต่จะชายตามองลงมาว่าคนเหล่านี้คือราษฎรของพวกเขา เป็นคนที่พวกเขาต้องดูแล นั่นก็เป็นความหยิ่งยโสถือตัวสไตล์ราชวงศ์ฝรั่ง ราชวงศ์โรมานอฟอนเฟะและปล่อยให้มีการรีดนาทาเร้นกับเหล่าคนชั้นแรงงานและชาวนาเพื่อเอาไปบำรุงชนชั้นสูง
    พระเจ้าซาร์นิโคลัสบ้าสงคราม เมื่อเศรษฐกิจตกต่ำต่อเนื่องบวกกับภาวะสงคราม ประชาชนเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้านานวันยิ่งทวีคูณ แต่ละบ้านขนมปังยังแทบไม่มีจะกินผลผลิตยังต้องส่งไปบำรุงบำเรอคนที่สบายกว่า จึงเกิดความเกลียดชังไปทุกหัวระแหง เมื่อความอดทนต่อการถูกละเลยไม่ใยดีจากราชวงศ์ถึงขีดสุดบวกกับการปลุกปั่นจากพวกบอลเซวิคที่ต้องการการเปลี่ยนแปลง ทำให้ประชาชนเกิดการแข็งข้อพวกบอลเซวิคไม่มีกำลังพอ จึงใช้กลุ่มผู้ใช้แรงงานและชาวนาเป็นหัวหอกหลัก(คุ้นๆมั้ยในเมืองไทย...คำว่า"รากหญ้า") นำไปสู่การปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองในที่สุด
    ดิฉันเคยได้พูดคุยกับเพื่อนชาวฮอลแลนด์คนหนึ่ง เขาศีกษาประวัติศาสตร์ในหลายประเทศ เขาสนใจประเทศไทย และไม่แปลกใจเลยว่าทำไมการปกครองแบบไทยๆจึงยังคงอยู่ได้ในกระแสโลกปัจจุบัน เขาพูดอย่างน่าคิดว่า "สังคมไทยไม่เหมือนที่อื่น กษัตริย์ไทยน่ายกย่อง ผมอิจฉาคนไทย คนไทยได้พบกษัตริย์ของพวกเขาอย่างใกล้ชิด พวกผมแทบไม่เคยเห็นหน้ากษัตริย์ของผมเลย พวกเขามีโลกส่วนตัว"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ตุลาคม 2010
  4. ปลาแมว

    ปลาแมว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +797
    ไม่รู้นะครับ แต่ผมกลับมองว่าเจ้าของกระทู้มไม่ได้มีเจตนาอย่างที่คุณเข้าใจนะ คือเรื่องราชวงศ์โรมานอฟ ผมว่าจะพูดถึงก็ไม่แปลก เพราะโดยเนื้อแท้ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับประเทศไทย มีแต่คนพยายามจะเชือมว่ามันเกี่ยว แต่ผมว่า ใจคนนี่แหละ ดึงมันมาเกี่ยวเอง เรื่องราวมันก็ตั้งอยู่ของมันแบบนั้นน่ะครับ เป็นอดีตที่ผ่านมาแล้ว เป็นประวัติศาสตร์ที่จบไปแล้ว จริงมั้ยครับ

    แต่ถ้าจะดึงให้เกี่ยวจริง ๆ ก็ต้องบอกว่า ในโลกมีประเทศอยู่ไม่มากที่ยังมีสถาบันกษัตริย์อยู่ การที่สถาบันจะอยู่ได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการวางตัวของพวกเค้าเอง หลายประเทศที่ยังมีอยู่และประชาชนยอมรับ ก็ต้องดูว่าเค้าทำตัวยังไง และบางประเทศที่สถาบันดังกล่าวล่มสลายไปแล้วก็ต้องดูด้วยว่าเค้าทำตัวยังไง มันก็มีเหตุเกิดก่อนทั้งนั้นครับ ล้วนแต่ตัวเองทำตัวเองกันทั้งนั้น

    ประเทศที่ประชาชนอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุขคือประเทศที่สถาบันจะอยู่ได้อย่างรอดปลอดภัยครับ โรมานอฟแห่งรัสเซียคือตัวอย่างที่ชัดเจนว่า ถ้าประชาชนเลือดขึ้นหน้าเพราะทนความยากแค้นไม่ไหวแล้ว ผลลัพธ์คืออะไร ไทยเรายังห่างจากจุดนั้นเยอะครับ ไม่ดึงมาเกี่ยวได้ผมว่าจะดีกว่าครับ
     
  5. ๛อาภากร๛

    ๛อาภากร๛ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,580
    ทางประวัติศาสตร์
    ราชวงศ์โรมานอฟ มีความเกียวพันธ์กับเอกราชใน ร.ศ.112 ของสยาม และล่มสลายในช่วงประมาณ ปลายรัชสมัยพระจุลจอมเกล้านะครับ ทั้งราชวงศ์จักรี และ ราชวงศ์โรมานอฟ มีความแน่นแฟ้นกันมากในรัชสมัย

    แต่เรื่องอาถรรพ์ไม่เกี่ยวข้องกับไทย ตามหลักธรรมหลักกรรมเวรใครเวรมัน กะว่าจะลงภาพแต่เห็นว่ารอไว้ก่อน วันนี้เลยเอามาลงครับ ไม่ขอโต้เถียงผู้ใด ขอลงภาพแค่นั้น เพื่อผู้ต้องการศึกษา

    หนังสือพิมพ์ อิลุสซาเซีย หรือ อิลุสสตาชั่น ผมไม่แน่ใจสําเนียงภาษาว่าอ่านเช่นไรกันแน่นะครับ เป็นหนังสือพิมพ์ของฝรั่งเศษ ที่ได้รับการสนับสนุนของรัฐบาลฝรั่งเศษในสมัยนั้น

    ภาพนี้เป็นปริศนาจนถึงปัจจุบันว่า ใครคือผู้ส่งภาพมาถึงฝรั่งเศษ มาได้อย่างไร และมีจุดประสงค์เพื่ออะไร แต่ก็ทําให้ทั้งฝรั่งเศษ และ อังกฤษ ไม่กล้าทําการรุกรานกับไทยมากนัก

    [​IMG]


    ภาพใหญ่ครับแยกไฟล์ไว้


    [​IMG]

    ภาพในหนังสือพิมมีมากกว่านั้นแต่จะไม่ลงนะครับ เดี๋ยวเอาภาพถ่ายมาให้ชม
     
  6. ๛อาภากร๛

    ๛อาภากร๛ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,580
    [​IMG]


    ภาพนี้พระองค์เสด็จมาไทย
    [​IMG]


    [​IMG]

    นี่หล่ะครับพระเจ้าซาส์ปัจฉิมกษัตรยิ์ของราชวงศ์ผูกพันธ์กับไทยมากในสถาบันกษัตริย์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ตุลาคม 2010
  7. ๛อาภากร๛

    ๛อาภากร๛ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,580
    ขออภัยครับ ภาพนี้ เป็นการประพาสอิตาเลียน ในการประพาสยุโรปครั้งที่ 2 นะครับผมขออนุญาติลบภาพเพื่อกันข้อมูลผิดพลาด แต่นอกนั้นเป็นพระเจ้าซาถูกต้องละนะครับ
    [​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...