โลกหลัง 2012 สู่มิติที่ 5 ศ.นพ.ประสาน ต่างใจ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ไม้บรรทัด, 18 สิงหาคม 2010.

  1. ไม้บรรทัด

    ไม้บรรทัด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2008
    โพสต์:
    116
    ค่าพลัง:
    +293
    <TABLE class=contentpaneopen><TBODY><TR><TD class=contentheading width="100%">โลกหลัง 2012 สู่มิติที่ห้า
    ศ.นพ.ประสาน ต่างใจ
    </TD><TD class=buttonheading align=right width="100%"> </TD><TD class=buttonheading align=right width="100%"> </TD><TD class=buttonheading align=right width="100%"> </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE class=contentpaneopen><TBODY><TR><TD vAlign=top>หนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2545 เขียนโดยศาสตราจารย์ นายแพทย์ ประสาน ต่างใจ ซึ่งเป็นผู้ที่สนใจค้นคว้าเรื่องวิทยาศาสตร์ทางจิต ควอนตัมฟิสิกส์กับอภิปรัชญาของศาสนาแทบทุกศาสนา ซึ่งเน้นความสอดคล้องต้องกันเป็นพิเศษระหว่างแนวคิดของวิชาการใหม่ๆ กับพุทธศาสนา เมื่อดูเผินๆ แล้วอาจจะไม่เกี่ยวกัน แต่แท้ที่จริงแล้วเป็นเรื่องที่สืบเนื่องกัน เพราะสัจธรรมนั้นแปลว่า ความจริงแท้ของธรรมหรือความรู้ธรรมชาติ ก็คือจิตวิญญาณอันเป็นพื้นฐานของสรรพชีวิตในโลกจักรวาล

    [​IMG]

    หนังสือเล่มนี้มีทั้งหมด 23 ตอน ซึ่งสามารถแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนแรกคือโลกในยุคมิติที่สี่ ซึ่งเป็นโลกในยุคปัจจุบันที่กำลังป่วยและอยู่ในขั้นวิกฤตเกือบทุกๆ ด้าน ทั้งทางด้านสภาพแวดล้อม การพังทลายของเศรษฐกิจ สังคม การเมือง พร้อมกันนั้นยังเต็มไปด้วยปัญหาสงครามและความรุนแรง นอกจากนี้การป่วยของโลกยังแสดงออกถึงการล่มสลายของสังคมมนุษย์ และความล่มสลายที่ว่านี้จะเกิดขึ้นภายในสองสามทศวรรษข้างหน้า โดยนับตั้งแต่ปี ค.ศ.2012 เป็นต้นไปถึงปี ค.ศ.2030 โลกจะถึงเวลาแห่งการล่มสลายเกือบจะสิ้นเชิงในทุกด้าน เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในโลกยุคนี้ยังสอดรับกับปฏิทินของเผ่ามายาที่บอกว่าในช่วงตั้งแต่เดือนสิงหาคม ค.ศ.1987 – 2012 จะเป็นช่วงเวลาระหว่างกลางของมิติที่สี่สู่มิติที่ห้า ซึ่งถือเป็นช่วงที่อันตราย เพราะเป็นช่วงที่มีล่มสลายทางธรรมชาติ ส่วนที่สองก็คือ โลกในยุคที่ย่างก้าวเข้าสู่มิติที่ห้า จะมีการเปลี่ยนแปลงทางจิตวิญญาณของมนุษย์ คือช่วงเวลาที่มนุษยชาติส่วนหนึ่งจะมีวิวัฒนาการไปสู่จิตวิญญาณใหม่ที่บริสุทธิ์ เกิดการสร้างสังคมใหม่ อารยธรรมใหม่ขึ้นมาท่ามกลางซากปรักหักพังของสังคมเก่า เกิดกระบวนการ New Age ต่างๆ กลุ่มแพทย์ทางเลือก กลุ่มจิตวิญญาณใหม่ ขบวนการสตรีนิเวศ พร้อมกับขบวนการความเชื่ออื่นๆ อีกมากมาย ที่นำไปสู่ชีวิตที่ยั่งยืน ชุมชนที่ยั่งยืน กระบวนการต่างๆ เหล่านี้จะเอื้ออำนวยให้มนุษย์สามารถสะท้อนสู่ความคิดภายในได้ จนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงวิสัยทัศน์ใหม่ ดังนั้นอนาคตของโลกจึงไม่ใช่จะเลวร้ายและน่าสะพรึงกลัว หากทว่าขึ้นอยู่กับการสะท้อนสู่ภายในหรือกระบวนการทางจิตวิญญาณของมนุษย์นั้นเอง และวิวัฒนาการทางสังคมที่น่าสนใจก็คือ ทิศทางใหม่ที่เกิดขึ้นจากความขัดแย้งกันของความหลากหลายที่ดำรงอยู่ในระบบ Chaos ที่โกลาหลที่ไร้ระเบียบจึงดำรงอยู่ไม่ได้หรือไม่ได้นาน ที่สุดความไร้ระเบียบจะกลับสู่ระเบียบ

    ประเด็นหลัก/คุณค่าที่คู่ควรกับจิตตปัญญาศึกษา: การก้าวหน้าไปสู่กระบวนทัศน์ใหม่ สู่สังคมอันยั่งยืนได้ต้องมีมิติที่สาม ซึ่งเป็นมิติรากฐานของการเปลี่ยนแปลงที่เรียกว่าการหักเลี้ยวอย่างยิ่งใหญ่ที่ว่านี้ก็คือ มิติทางจิตหรือการปฏิวัติทางจิตวิญญาณ ซึ่งมาจากการตื่นขึ้นมาของการรับรู้ในคุณค่าและความหมายของการเป็นมนุษย์ด้วยตัวของเราเอง แทนที่จะเชื่อผู้นำหรือวีรบุรุษคนใด พร้อมกันนั้นการปฏิวัติทางจิตวิญญาณของมนุษย์จะเป็นหนทางที่นำไปสู่การแก้ปัญหาวิกฤตเกือบทุกด้านของโลกที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้

    โลกหลัง 2012 สู่มิติที่ห้า ของ ศ.นพ.ประสาน ต่างใจ
    (ประสาน ต่างใจ (2545). โลกหลัง 2012: สู่มิติที่ห้า. กรุงเทพมหานคร: สถาบันวิถีทรรศน์, จำนวน 148 หน้า)
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ...ใครได้อ่านแล้ว ช่วยกันเล่าน่ะครับ...:'(
     
  2. Nirvana

    Nirvana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    8,188
    ค่าพลัง:
    +20,865
    เห็นด้วยครับ....และเชื่อว่าจะเป็นเช่นนั้น จริงๆ :cool:
     
  3. blackangel

    blackangel เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,750
    ค่าพลัง:
    +1,919
    พอดีหาบทความเจอครับ

    หมอประสานทำนาย 2012 น้ำท่วมโลก

    เมื่อวันที่ 29 พ.ค.โครงการผู้จัดการสุขภาพ จัดกิจกรรม “อุทยานอนุรักษ์สุขภาพ ครั้งที่ 11” ณ บ้านเจ้าพระยา ถ.พระอาทิตย์ ซึ่งมีประชาชนให้ความสนใจเข้าร่วมกิจกรรมจำนวนมาก โดยในช่วงบ่าย คุณสนธิ ลิ้มทองกุล,ศ.น.พ.ประสาน ต่างใจ และ ดร.เทียนชัย วงศ์ชัยสุวรรณ ได้ร่วมกันเสวนา เรื่อง “พุทธศาสตร์กับอนาคตโลก โลกอนาคต” ซึ่งมีผู้สนใจเข้ารับฟังอย่างล้นหลาม ทีมข่าวคุณภาพชีวิต ผู้จัดการออนไลน์ได้นำการเสวนาตอนหนึ่งในเรื่องดังกล่าวมานำเสนอ ดังนี้

    สนธิ - รายการผู้จัดการสุขภาพ ซึ่งจัดเดือนละ 1 ครั้งนั้น นอกเหนือจากในงานจะมีผู้ทรงคุณวุฒิและผู้รอบรู้ในแนวทางตะวันออก ก็คือแนวทางใช้ภูมิปัญญาโบราณมาแนะนำให้กับพวกเรา เป็นวิชาและชั้นเรียนแล้ว นอกจากนั้นจะมีการเสวนาเป็นประจำ วันนี้เป็นอีกวันหนึ่งของการสัมมนา เรื่องโลกอนาคตและปัจจุบัน โดยมีการผสมผสานวิทยาศาสตร์ พุทธศาสตร์เข้าด้วย ผู้ที่เชิญมาล้วนเป็นผู้ที่มีความสามารถมีภูมิปัญญาด้านนี้โดยเฉพาะ

    ท่าน นพ.ประสาน ต่างใจ ซึ่งเป็นที่ให้ความสนใจเรื่องของวิทยาศาสตร์กับพุทธศาสตร์มานานแล้ว และท่านสามารถอธิบายความให้เข้าใจได้ ส่วนผู้ทรงคุณวุฒิอีกท่านคือ อ.เทียนชัย วงศ์ชัยสุวรรณ เป็นนักอนาคตศาสตร์ อาจารย์เทียนชัยได้มองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว อาจารย์จะเล่าให้ฟังว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เกิดขึ้นเพราะอะไร โดย อ.เทียนชัยใช้หลักพุทธธรรมอธิบายความเหมือนกัน และต่อไปอีกว่า แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป จากการวิพากษ์วิจารณ์และเขียนหนังสือหลายเล่ม พบว่าอาจารย์ไม่ผิด พูดได้ถูกต้องหมดเลย พูดถึงความเสื่อมของสังคม ความเห็นแก่ตัว ในหนังสือของท่านั้นอาจารย์บอกว่าโลกกำลังจะเปลี่ยนไปหมดแล้วตอนนี้ ดูจากการเชื่อมโยงแนวโน้มโลกน่าจะดีขึ้น ดีขึ้นตรงที่ว่าชุมชนต่างๆ ชุมชนย่อย ชุมชนเล็ก ชุมชนน้อยพากันเกิดขึ้นและแต่ละชุมชนจะมีเครือข่ายที่เชื่อมโยงกัน และอนาคตโลกก็ต้องพึ่งพากับชุมชนพวกนี้

    อุทยานสุขภาพที่นี่ก็คือ 1 ในชุมชนที่เกิดขึ้น จากความเห็นใจกัน มาร่วมกันสร้างภูมิปัญญา สร้างความเข้าใจซึ่งกันและกัน นี่คือเอกลักษณ์และเอกภาพที่พวกเราร่วมกันทำให้เกิดขึ้น ในขณะเดียวกันชุมชนลักษณะเช่นนี้ แต่อาจจะคนละหัวข้อกันก็มีอยู่เป็นหมื่น เป็นแสน เป็นล้านชุมชน ซึ่งแต่ละชุมชนเป็นพลังขับเคลื่อนสังคมโลก อย่างชนิดที่เรียกว่าขับเคลื่อนออกมาแล้วจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ของโลกไปในทิศทางอีกทิศทางหนึ่ง ซึ่งจะกลายเป็นโลกอีกโลกหนึ่งซึ่งไม่เหมือนกัน ผมจึงอยากเปิดเรื่องนี้โดยอยากให้ อ.เทียนชันอธิบาย สิ่งที่ผมเพิ่งพูดให้ผู้มีเกียรติฟัง เพื่อผู้มีเกียรติจะได้เข้าใจว่า อ.เทียนชัยหมายความอย่างไร

    เทียนชัย – ผมเป็นคนสนใจเรื่องที่คุณสนธิพูดถึงคือเรื่องอนาคตศาสตร์และหลายครั้งพยายาม จะนำศาสตร์ตะวันออกมาอธิบายให้เห็นว่าอนาคตโลกเคลื่อนตัวอย่างไร ผมใช้ศาสตร์ที่สำคัญอยู่ประมาณ 2-3 ศาสตร์ ศาสตร์พุทธอันหนึ่ง ศาสตร์เต๋าอันหนึ่งมาประสานกัน เรียกว่าการประสานศาสตร์ระหว่าง 2 สายศาสตร์เข้าด้วยกัน

    ศาสตร์พุทธผมเรียกว่า หลักปฏิจจสมุปบาท หรือเรียกว่า อิทัปปัจจยตาศาสตร์ และอีกศาสตร์หนึ่งคือ วัฏสงสาร คือการที่ทุกสิ่งมีขบวนการเคลื่อนตัวเป็นช่วงๆ เป็นจังหวะ เหมือนกับชีวิต ชีวิตของพวกเราทุกคนมีช่วงจังหวะของการเกิด ช่วงเกิดก็เป็นช่วงเด็ก ช่วงขยายตัวเป็นอีกช่วงหนึ่ง เมื่อขยายตัวเต็มที่ก็จะเป็นช่วงชีวิตที่แก่ และช่วงที่จากไป ศาสตร์นี้เองเป็นที่มาของการนำศาสตร์นี้มาใช้วิเคราะห์สังคมศาสตร์ ระบบสังคมทุกระบบที่ผ่านมาในโลกนี้ รวมทั้งทุนนิยมมันก็มีจังหวะของประวัติศาสตร์เป็นช่วงๆ ของการเปลี่ยนผ่าน

    ช่วง ปัจจุบันของทุนนิยม ถือว่าเป็นช่วงที่เรียกว่าหลังยุคที่ทุนนิยมรุ่งเรืองสูงสุด ถามว่ารุ่งเรืองสูงสุดช่วงไหน ผมอธิบายว่าเป็นยุคซึ่ง ระบบทุนนิยมเกิดดุลอำนาจกันระหว่าง 2 ฝ่าย คือฝ่ายทุนนิยมกับสังคมนิยม ซ้าย-ขวา เกิดดุลอำนาจกัน ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2

    หลังจาก สงครามโลกครั้งที่ 2 ผ่านไปถึงปี 1970 ช่วงนี้เป็นช่วงทุนนิยม สังคมนิยมวิกฤติแล้ว ระบบที่พังตัวไประบบแรกคือ ระบบสังคมนิยม เห็นการล่มสลายของความยิ่งใหญ่ของโซเวียต และระบบที่ตามมาก็คือระบบทุนนิยมที่เกิดวิกฤติใหญ่ ปัจจุบันถือเป็นช่วงจังหวะวิกฤติใหญ่ของทุนนิยม เป็นจังหวะวิกฤติของระบบและบางครั้งมีวิกฤติซ้ำซ้อนด้วย เราไม่ได้เผชิญวิกฤติสังคมนิยมและทุนนิยมเท่านั้น ยังมีวิกฤติอีกรูปแบบหนึ่งที่เผชิญหน้าและเคลื่อนเข้ามา เรียกว่าวิกฤติสิ่งแวดล้อม ตอนนี้คลื่นวิกฤติสิ่งแวดล้อมกำลังกระหน่ำ ตัวอย่างที่สำคัญคือสึนามิ และตามด้วยวิกฤติโรคภัยไข้เจ็บ เป็นวิกฤติที่กระหน่ำเข้ามา พอระบบมันเกิดวิกฤติมันมักจะก่อให้เกิดวิกฤติทั้งระบบ ยกตัวอย่างเวลาดอกไม้เบ่งบานเต็มที่ เมื่อมันเฉามันเฉาทุกจุดของดอกไม้ หมายความว่าสิ่งที่เราเผชิญอยู่คือโครงสร้างทุกจุดของระบบโลกทุนนิยมกำลัง วิกฤติทั้งหมด รวมทั้งระบบวัฒนธรรมพื้นฐานที่เรามีชีวิตอยู่ด้วย เราคงได้อ่านตัวเลขวิกฤติวัยรุ่น เราทุกคนคงตระหนักกันมาก เพราะปัจจุบันวัยรุ่นเริ่มเกิดปัญหาใหญ่ เรามีการทำแท้งกันปีละประมาณ 300,000 คนในช่วงปัจจุบัน

    สิ่งที่ประหลาดกรณีประเทศไทยน่าสนใจมาก ในช่วงเด็กไอคิวเด็กไทยประมาณ 90 พอสิบกว่าขวบขึ้นไปแทนที่ไอคิวจะมากขึ้นไอคิวลดลงเหลือ 80 กว่า นี่คือมาตรฐานไอคิวเด็กไทยในปัจจุบัน หมายความว่าเรากำลังเผชิญวิกฤติทางวัฒนธรรมและเรากำลังเผชิญอีกวิกฤติหนึ่ง ในแง่ของจิตวิญญาณของเรา โลกที่เป็นมากในยุคปัจจุบันคือโรคเครียด แปลแบบพุทธคือโลกความทุกข์นั่นเอง และยาที่ขายดีที่สุดในโลกปัจจุบันคือยาแก้เครียด และดูจากสถิติผู้หญิงเครียดมากกว่าผู้ชาย 2 เท่า นี่คือโลกที่เคลื่อนตัวสู่ Chaos(ความไร้ระเบียบ)

    ในเวลาเดียวกันทุกวิกฤติการณ์เป็นเรื่องของ ธรรมชาติ มีวิกฤติเรื่องอะไรก็ตามทีก็จะมีกระบวนการเคลื่อนไหวของมนุษย์ก่อตัวขึ้น เป็นกระแสที่จะพุ่งตัวเองออกจากภาวะวิกฤติตรงนั้นเกือบทุกกระบวนการ ตัวอย่างง่ายๆ กระบวนการสิ่งแวดล้อมถือว่าเป็นจุดเปิดใหญ่ของวิกฤติการณ์สิ่งแวดล้อม ปัจจุบันมีการรวมกลุ่มของคนที่สนใจเรื่องสิ่งแวดล้อมอยู่ทั่วโลก เกิดแนวคิดใหม่เรื่องสิ่งแวดล้อม เกิดวิชาที่เรียกว่านิเวศน์วิทยา รวมถึงนิเวศน์แนวลึก เกิดกลุ่มนักการเมืองในยุโรปและอเมริกา เรียกกลุ่มการเมืองสีเขียว นี่คือวิกฤติทุกวิกฤติเกิดพัฒนาการขึ้นมา

    พวก เราถือว่าเกิดวิกฤติสุขภาพ จึงเกิดชุมชนเพื่อสุขภาพขึ้น เล็กบ้างใหญ่บ้าง ปัจจุบันสุขภาพแบบทางเลือกกลายเป็นภูมิปัญญาที่ขายดีที่สุดในโลก หนังสือจำนวนหนึ่งหากไปดูตลาดหนังสือจะมีเซคชั่นใหญ่มากที่รุกตลาดแพทย์แผน ปัจจุบัน คนส่วนใหญ่มาอ่านตำราสุขภาพทางเลือกกันหมด และเกิดกลุ่มเล็กกลุ่มน้อยขึ้นมา ในกระบวนการการเคลื่อนตัว

    นอกจาก นี้จะเห็นกลุ่มเอ็นจีโอซึ่งไม่ใช่เล็ก กลุ่มเอ็นจีโอโตขึ้นมาจากวิกฤติเล็กๆ ที่เกิดขึ้นในชนบทบ้าง ในเมืองบ้าง และบางประเทศจำนวนกลุ่มเอ็นจีโอมีนับล้าน อินเดียมีเป็นล้าน ยุโรปมี 6-7 แสนกลุ่ม เป็นการเกิดขึ้นมาของกลุ่มคนจำนวนหนึ่งที่หันมาสนใจว่าจะหาทางแก้วิกฤติและ มีการตั้งองค์กรของตนเองขึ้นมา เรียกว่า Self Organization เป็นการจัดตั้งตัวเอง เพราะเริ่มตระหนักรู้ว่าระบบแก้ปัญหาไม่ได้ จะแก้ปัญหาได้ขึ้นอยู่กับชุมชนต้องมีการช่วยกันเอง ก็เกิดแนวคิดเรื่องเศรษฐกิจเพียงพอและอะไรหลายอย่างที่ไหลสะพัดขึ้นมา แนวคิดเรื่องเกษตรอินทรีย์ เป็นวิกฤติที่เกิดขึ้นมา นั่นคือวิกฤติที่เกิด ทำให้เกิดกลุ่มคนขึ้นมาเต็มไปหมด ในสังคมไทยก็จะเห็นวิกฤติและเห็นการรวมกลุ่มกันเพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤติที่ เผชิญอยู่ คนกรุงเทพฯ ก็เช่นกัน หากย้อนไปจะไม่พบกลุ่มขนาดนี้ ที่มารวมตัวกันแล้วมาพูดคุยเรื่องภูมิปัญญา มาสนใจปัญหาสุขภาพ วิกฤติเหล่านี้ทำให้เกิดขึ้นของกระบวนทัศน์ใหม่ เป็นกระแสอีกอันหนึ่งที่กำลังเกิดขึ้น

    หมอประสานกับผมไม่น่าจะมาเจอ กัน แต่ตอนนี้เป็นเพื่อนสนิทกัน เพราะว่าตอนนี้เรารู้ว่าถึงเวลาที่ต้องบูรณาการความรู้เข้าด้วยกัน หากเราไม่บูรณาการความรู้หรือชุดความรู้เข้าด้วยกัน มันก็จะไม่สามารถแก้ปัญหาโลกหรือสังคมในภาวะปัจจุบันที่เผชิญอยู่ได้

    สนธิ - ก่อนที่จะไปที่หมอประสาน ขอทวนที่ อ.เทียนชัยพูดถึงระบบสังคมนิยม คือลักษณะคล้ายกึ่งๆ รัฐสวัสดิการ ขณะเดียวกันก็จะมีการทำหลายอย่างเพื่อส่วนรวมและเน้นส่วนรวมเป็นหลัก ขณะที่ทุนนิยมจะบอกว่าให้สวัสดิการส่วนรวมมากก็ไม่ดี เพราะฉะนั้นรัฐก็ควรจะปล่อยให้ทุกคนสู้ด้วยตัวเอง หลักทุนนิยมก็คือ ใครเข้มแข็งกว่าคนนั้นอยู่ได้ ใครที่อ่อนแอกว่าก็ต้องล้มหายตายจากไป ทุนนิยมก็จะบอกว่าราคาน้ำมันในโลกนี้เท่าไหร่ก็ต้องขึ้นเท่านั้น ต้นทุนค่าไฟฟ้าเท่าไหร่คนใช้ก็ต้องจ่ายเท่านั้น น้ำประปาก็ต้องคิดกันไปจะกินฟรีไม่ได้ การศึกษาต้องออกสู่นอกระบบ ต้นทุนของมหาวิทยาลัยเท่าไหร่ก็ต้องคิดเท่านั้น อย่างนั้นแล้วการศึกษาก็ไม่ใช่หน้าที่ของรัฐที่จะมาให้การสนับสนุน พูดง่ายๆ คือไม่มีเงินก็อย่าเรียน ทุนนิยมเป็นอย่างนั้นจริงๆ เป็นปัญหาทางการเมืองที่ไม่อยากเอามาพูด อยากเชิญหมอประสานวิพากษ์ต่อจากที่ อ.เทียนชัยพูด หรือจะวิพากษ์เรื่องที่ต้องการ

    น.พ.ประสาน – ชุมชนที่มาอยู่ที่นี่อย่างอุ่นหนาฝาคั่งแสดงว่า ความใฝ่ฝันหรือการค้นหาทางรอดของเรา ที่เกิดขึ้นมาเองทุกครั้งที่มีวิกฤติเกิดขึ้น ขยายต่อจากที่ อ.เทียนชัยพูดว่า เรากำลังจะตายเพราะเรากำลังใกล้ตายนี้เอง ทำให้เราแสวงหาว่าทางรอดอยู่ตรงไหน หมายความว่าสังคมเราที่มีรูปแบบที่เป็นอยู่อย่างนี้ไม่ว่าสังคมนิยมหรือทุน นิยม มันผิดทั้งคู่ เพราะตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ผิด เมื่อกำลังจะตายเราซึ่งอยู่ในนั้น เราซึ่งมีเนื้อหาสาระอย่างนั้นจะหาทางรอดอย่างไร

    ผมจะวิพากษ์วิจารณ์ ในด้านตะวันตกสักนิด เพลโต บอกว่ามีอยู่ทั้งหมด 3 ยุค 3 สมัย ยุคแรกสุดคือยุคแห่งความดี หรือ The Good คือคนอยู่ในร่องในรอย คนกลัวความผิด อยู่ในศีลธรรม มีแต่ความระมัดระวังตัวเอง มีศีลธรรมตลอดเวลา ยุคแห่งความดีสิ้นสุดเมื่อวิทยาศาสตร์โผล่ขึ้นมา ก็มียุคแห่งความจริง ความดีมันไม่มีเหตุผล มันมองไม่เห็นว่าความดีมันอยู่ตรงไหน มันอยู่แต่ว่าฉันมีกินไหม ลูกฉันเป็นอย่างไร ก็หันมาหาความจริงด้วยวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ก็ก้าวหน้าขึ้นมา เราอยู่ในช่วงผ่านของความดีกับความจริงอันนั้น The Good and The True ทั้ง 2 อันกำลังจะตาย เราคุ้นเคยอยู่กับมันและแสวงหา ไม่เช่นนั้นเราไม่มานั่งรวมกัน และมีอีกหลายชุมชนที่รวมกันเพื่อแสวงหาทางรอดของกลุ่มเราและลูกหลานเรา บางคนไปทางจิตนิยม บางคนไปทางพุทธศาสนา หรือเต๋าศาสตร์ หรือศาสตร์ต่างๆ นานา ทั้งหมดเป็นเรื่องของการปลอบประโลมใจและมีความจริงอยู่ในนั้นด้วย ไม่ใช่แค่ปลอบเฉยๆ นี่คือพยายามหาทางออกไปทางอื่นๆ นอกเหนือจากทางจิต ทางศาสนา ทางวัฒนธรรม

    เรากำลังเข้าไปสู่วัฒนธรรมใหม่ที่เพลโตเรียก ว่า ความสวยงาม ความงดงามหรือ The beautiful เราผ่าน The Good ,The True มันกำลังจะพังทั้งคู่ คำว่าบูรณาการผมจะพยายามทำความเข้าใจกับคำว่าเป็นองค์รวม หรือคำว่า ผ่านพ้นตัวตน มันมีความละเอียดแตกต่างกัน ความว่าบูรณาการเป็นการมองจากภายนอกมาสู่ภายใน วิชานี้กับวิชานี้เอามารวมกันจากภายนอกมาสู่ภายใน แต่ความเป็นทางเซนนั้นหมายถึงการมองจากภายในด้านเดียวแล้วให้ทะลุทะลวง เมื่อวันทะลุทะลวงตัวเองมันไม่มีอัตตาอยู่ในนั้น มันก็จะออกไปสู่ภายนอกเอง การรวมกันทั้งภายนอกกับภายในเราเรียกว่าความเป็นองค์รวม ที่มีจิตวิญญาณร้อยรวมทั้งหมดเข้าด้วยกัน ไม่ใช่สักแต่ว่าเรากวาดขยะเอามารวมกันเฉยๆ แล้วเรียกว่ารวมกัน ไม่ใช่ทับซ้อนกันแล้วพึ่งพากันส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่มันมีจิต มันเนื้อใน มีแก่นในที่ร้อยรวมทั้งหมดเข้าด้วยกัน นั่นคือความเป็นองค์รวม ทั้งหมดและบางส่วน ทั้งหมดและบางส่วนไล่ขึ้นไป ใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ นี่คือความเป็นองค์รวม เรากำลังไปสู่ตรงนั้น ความเป็นหนึ่งเดียวของทุกสิ่งทุกอย่าง เราไปสู่ความงดงามที่เหลื่อมล้ำ เราจะผ่านพ้นความเป็นตัวตน

    ในอดีตที่เรารู้ ที่เราผ่านมานั้น ในยุคของความดีก็จริง ในยุคของความจริงก็จริง เรากำลังจะผ่านมาทั้ง 2 ยุคตามที่เพลโตว่านั้น แท้ที่จริงคือการอยู่รอด เป็นจิตของสัตว์โลกธรรมดาๆ สัตว์โลกทุกชนิดต้องอยู่รอด อย่างที่คุณสนธิว่าไว้ จะอยู่รอดได้ต้องแข็งแรงกว่า เป็นชีววิทยาเบื้องต้นธรรมดาๆ ที่ใช้กันอยู่ เราเรียนผ่านทั้งความดีและความจริงเพื่ออยู่รอดทั้งนั้น ทั้งที่แท้แล้วมี 3 ระดับ เราเรียนเพื่ออยู่รอดอันแรกสุด อันนั้นเป็นสันชาติญาณของสัตว์ เก็บอารมณ์ของสัตว์ แต่เราจะต้องผ่านพ้นทั้งสัญชาติญาณและอารมณ์ เราจะต้องผ่านพ้นความเป็นสัตว์ ในฐานะที่เป็น Animal ให้ได้ เมื่อผ่านพ้นความเป็นสัตว์แล้วเราก็จะเรียนเพื่อรู้ ว่าผู้รู้คือฉัน เมื่อผู้รู้ต้องใช้ปัญญา ใช้ความฉลาด ความเป็นมนุษย์ ความเป็นผู้ประเสริฐ ถ้าไปผูกพันซึ่งกันและกัน อันนี้เรากำลังไปสู่ตรงนั้น รู้ว่าฉันรู้ และจะอยู่กันได้อย่างไร จึงจะเหมาะสม

    เราจะผ่านพ้นนอกจากตัวตน เรายังผ่านพ้นเรื่องของประเทศชาติ เรายังผ่านพ้นสังคมของมนุษยชาติ ผ่านพ้นสังคมของสิ่งแวดล้อมทั้งหลาย รวมทั้งสัตว์ทั้งหลาย ต้นไม้ทั้งหลาย เราจะเรียนไปตามลำดับ นั่นคือสิ่งที่เราเรียนไปสู่อนาคต ซึ่งจะไปถึงอยู่ขณะนี้ และเส้นทางที่เราจะเดินไปยังต้องมีวิวัฒนาการต่อไปอีก จะเรียนเพื่อรู้รอด เรียนเพื่อรู้ว่ารู้ และต่อไปเรียนเพื่อรู้แจ้งหรือเรียนเพื่อตรัสรู้ พระพุทธเจ้าบอกว่าทุกคนต้องนิพพาน

    สัตว์โลกทั้งหลายแหล่ เกิดขึ้นมาบนโลก 4 มิติ พระพุทธเจ้าพูด ไม่มีตรงไหนสักนิดหนึ่งที่ผิด ทำไมพระองค์ฉลาดลึกล้ำ จนกระทั่งขณะนี้วิทยาศาสตร์ยุคใหม่ ตามพระพุทธเจ้าไปทุกอัน ทุกอัน อย่างไม่น่าเชื่อ พระพุทธเจ้าไม่ได้เพียงแค่สัมผัสกับความจริงและรับรู้ความจริงอย่างถ่องแท้ เท่านั้น พระพุทธเจ้ายังเป็น สัพพัญญู ก็คือ มหา Genius พระพุทธเจ้าจึงเป็นองค์ศาสดาที่ผิดปกติสักหน่อย คือฉลาดลึกลับเหลือเกิน พระพุทธเจ้าจะบอกว่ามนุษย์เราทั้งหลายแหล่โดยปัจเจกนั้น ประกอบด้วยองค์ประกอบ 2 ประการ คือ จิตกับกาย หรืออีกนัยหนึ่งเรียก นามรูป

    นาม คือความรู้สึกและองค์ประกอบทางจิตทั้งหลายแหล่ และรูป นั้นก่อประกอบด้วย 2 ประการ 1.ก่อประกอบด้วยแรงธรรมชาติ คือแรงแห่งวัตถุ 2.คุณภาพ ทั้ง 2 อย่างขณะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ใหม่ ผมเขียนไว้ว่าเราจงอย่าอธิบายศาสนศาสตร์หรือพุทธศาสตร์โดยอาศัยวิทยาศาสตร์ หรือเหตุผล เพราะวิทยาศาสตร์กับเหตุผลที่เราใช้อยู่นั้น ตามพุทธศาสตร์ไม่ได้หรอกครับ มันคนละระดับกัน พอวิทยาศาสตร์ใหม่จะพิสูจน์สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ซึ่งละเอียดกว่าเยอะแม้แต่เรื่อง Self Organization System ที่ อ.เทียนชัยพูดถึง ปฏิจจสมุปบาท ส่วนหนึ่ง Special Theory ของ Realistically ของ ไอสไตน์ ส่วนหนึ่งที่เอามาบวกเข้ากับ Self Organization System ที่ อ.เทียนชัยพูดถึง

    ผมจะพูดถึงการแสวงหาที่วิทยาศาสตร์เก่า เหตุผลสร้างให้เราอยู่เหนือสัตว์โลกทั้งหลาย แล้วเราก็มอมเมาตัวเอง หลงตัวเองอยู่กับสิ่งอันนั้น จนกระทั่งก่อให้เกิดภัยพิบัติ วิกฤติทั้งหลายที่เกิดขึ้นมานี้ ทำให้เราหันมาแสวงหา แล้วเราจะพบ เมื่อเราแสวงหาและละทิ้งสิ่งที่กำลังจะตายจากไป อย่างถ่องแท้แล้วเราจะพบ แท้ที่จริงแล้ว สิ่งที่ดีงามทั้งหลายแหล่ เกิดขึ้นจากภายใน เกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ตามที่เราสามารถละทิ้งตัวตนและทำความรู้ทั้งหมด เป็นการบูรณาการจากภายนอกไปสู่ภายใน รวมกันเป็นองค์รวมอันนี้ที่จะนำไปสู่การอยู่รอด และเชื่อมโยงขึ้นเป็นเครือข่าย แต่เครือข่ายที่อยู่ภายนอกนั้นเองจะชักจูงเครือข่ายที่อยู่ภายใน เข้ามาร้อยรวมทั้งหมดเข้ามาด้วยกัน เรากำลังมาเส้นทางที่ถูก แต่เรากำลังจะเสียหาย ต้องเจ็บ ต้องมีสึนามิ มีไข้หวัดนก มีไข้เลือดออก เป็นสิ่งที่เป็นธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลง ต้องมีกระแสของการเปลี่ยนแปลง เราต้องทำใจได้ ไม่มีอะไรในโลกนี้คงอยู่ถาวรนอกจากนิพพาน ต้องเวียนว่ายตายเกิดเป็นสงสารวัฎอย่างที่ อ.เทียนชัยว่า

    สนธิ – หมอประสานพูดถึงเพลโต เพลโตเป็นปราชญ์ชาวกรีกหลายพันปีมาแล้ว ให้คำจำกัดความการปกครอง ปรัชญาทางด้านประชาธิปไตย และพูดถึงพระพุทธเจ้าเป็น มหา Genius คือ สุดยอดอัจฉริยบุรุษ ผมอยากจะเรียนถาม อ.เทียนชัย เมื่อกี้หมอประสานพูดว่า เราต้องยอมรับว่า สรรพสิ่งทั้งหลายมาแล้วต้องยอมรับกับมันและต้องดิ้นรนที่จะหาทางหลุดพ้นจาก มันให้ได้ พูดง่ายๆ คือต้องล้มหายตายจากกันไป อยากจะถามอาจารย์ 2-3 ประเด็น เรื่องวิทยาศาสตร์เก่าและวิทยาศาสตร์ใหม่คืออะไรและเชื่อมโยงกับแนวพุทธ ศาสนาตรงไหนบ้าง ข้อ 2 คือผมมีความรู้สึกว่า ส่วนหนึ่งที่เราต้องการมากที่สุด คือเราต้องการองค์ความรู้ว่าสึนามิที่เกิดขึ้น ไม่เพียงเพราะแผ่นดินแยกอย่างเดียว หรือว่าไข้หวัดนกเกิดเพราะไก่เป็นหวัด หลักการที่ อ.เทียนชัยพูดว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมันมีเหตุ มีปัจจัยทำให้เกิดขึ้น แล้วแต่ละเหตุปัจจัยก็จะมีหลายเหตุปัจจัยเชื่อมโยงกัน เหมือนเด็กคนหนึ่งที่เกเรมาก ก้าวร้าว เมื่อเด็กคนนี้ไม่ไหว้ผู้ใหญ่ แล้วยังแสดงมารยาทเลวทรามต่อผู้ใหญ่ พูดไม่เพราะ เรามองก็จะบอกว่าใช้ไม่ได้ นิสัยเลวทราม แต่ทุกครั้งเราไม่ได้มองเช่นนั้น แต่ที่มันเป็นอย่างนั้นเพราะมันมีเหตุปัจจัย ว่าพ่อแม่ไม่สั่งสอน ทำไมพ่อแม่ไม่สั่งสอน เพราะไม่มีเวลา แล้วทำไมพ่อแม่ไม่มีเวลา เพราะพ่อแม่ต้องทำมาหากิน เพราะสังคมมันบีบบังคับอย่างนั้น มุ่งมั่นแต่เรื่องเงินทอง มันก็โยงกลับไปกลับมา

    เทียนชัย – เรื่องวิทยาศาสตร์ใหม่ วิทยาศาสตร์เก่า ผมจะไม่ใช้ แต่จะใช้คำว่ากระบวนทัศน์ใหม่กับเก่า หมายถึงว่าในแต่ละยุคจะเกิดชุดความรู้ในทุกๆ ด้าน เป็นระบบอันหนึ่งที่จะอธิบายสถานการณ์ของสังคม แต่ละช่วง พอระบบเคลื่อนผ่านยุคสมัยก็จะเกิดชุดความรู้ใหม่ ก็จะเกิดสภาวะการณ์หรือสังคมที่เคลื่อนผ่านไป หมายความว่าชุดความรู้เดิม ไม่ว่าจะเป็นสังคมศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ หรืออะไรก็ตาม มันเริ่มจะหมดอำนาจในการอธิบายหรือการแก้ปัญหาวิกฤติการณ์ได้

    ช่วง ที่ผ่านมา มันเกิดสิ่งที่สำคัญเกิดกระบวนทัศน์ใหม่ คือวิกฤติสิ่งแวดล้อม ซึ่งรุนแรงมาก คนเริ่มตระหนักในปี 1970 และคลื่นสิ่งแวดล้อมมันแรงขึ้นเรื่อยๆ มันทำให้เกิดแนวคิดใหม่ในการอธิบายสังคมใหม่ ต่างเกือบจะสิ้นเชิงกับระบบคิดเก่า เพราะสมัยเก่าเราจะใช้มนุษย์เป็นศูนย์กลาง เราสร้างอารยธรรมมนุษย์ เราคำนึงถึงมนุษย์เท่านั้นในการสร้างอารยธรรม มีการปล้นชิงความมั่งคั่งจากธรรมชาติ เราตัดไม้ทำลายป่าเละเทะหมดเลย โค่นภูเขาเป็นลูก ๆ เอามาสร้างเมือง โดยที่ไม่เคยคำนึงถึงธรรมชาติเลย มีนักปราชญ์ที่เตือนเรื่องนี้ คือ รัสเซล เป็นนักวิทยาศาสตร์เก่งมากคนหนึ่ง ท่านเคยเตือนเรื่องนี้ไว้ตั้งนานแล้ว แต่คนมองไม่ค่อยเห็นวิกฤติ อันนี้เป็นวิกฤติใหญ่ แต่ว่าเราหลงไปทำลายธรรมชาติลงไปมหาศาลมาก วิกฤติอันนี้นำไปสู่การคิดการเกิดใหม่ คือเอาธรรมชาติเป็นศูนย์ คิดอะไรก็ต้องเอาธรรมชาติเป็นศูนย์ก่อน เพราะมนุษย์เองเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ เกิดนักคิดหลายคนที่เสนอว่า ธรรมชาติคือแม่ คุณกำลังทำลายแม่ของคุณ แม่ของตัวเอง เท่ากับในที่สุด ถ้าหากคุณทำลายไปเรื่อยๆ การทำลายแม่ตัวเองก็เท่ากับการทำลายชีวิตของตนเอง ธรรมชาติถูกทำลายไปหมดแล้วเหลืออะไร จะเหลือตึกสูงกี่พันชั้นเราอยู่ได้หรือ ถนนมีรถเต็มไปหมด สิ่งเหล่านี้ หรือที่เราเรียกว่าอารยธรรม เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในวิกฤติสิ่งแวดล้อม

    ส่วนท่านนักวิกฤติสิ่งแวด ล้อมท่านหนึ่ง นี่คุณต้องรื้อประวัติศาสตร์ใหม่หมดเลยนะ ที่เขียนไว้ทั้งหมดงานประวัติศาสตร์ทั้งหมดที่เราอ่านกันมา ที่เราเรียนกันมา ตั้งแต่ชั้นประถม นั่นเป็นประวัติศาสตร์ที่เอามนุษย์เป็นศูนย์กลาง ไปดูตามพิพิธภัณฑ์โบราณ นึกว่าเป็นแหล่งความรู้ บางทีอาจไม่ใช่เพราะสิ่งที่ยกย่องในพิพิธภัณฑ์โบราณเป็นฝีมือของมนุษย์เป็น เครื่องมือของมนุษย์ที่คิดขึ้นเท่านั้น นี่คือพิพิธภัณฑ์โบราณ คือทุกอย่างมันอธิบายความสามารถของสมอง คิดเทคโนโลยีขึ้นมา แล้วบอกว่าเทคโนโลยีพวกนั้นเป็นตัวที่ปรับเปลี่ยนโลก และธรรมชาติไม่มีความหมายเลย เราเก่งทำเทคโนโลยีมากเท่าไหร่ ยิ่งเท่ากับเราทำลายธรรมชาติ มากขึ้นเท่านั้น เหมือนกับการจับปลา สมัยก่อนมีปลาเยอะ ในท้องทะเล เทคโนโลยีมันพัฒนาวิธีการจับปลามา เดี๋ยวนี้ปลาลดน้อยลง สูญพันธุ์เป็นทิวแถว เพราะความยิ่งใหญ่ของเทคโนโลยี เพราะเทคโนโลยีมันวิ่งสวนทางกับธรรมชาติ การดำรงอยู่กับธรรมชาติ แนวคิดอันนี้มันเกิด

    จนกระทั่งเกิดการนำเสนอว่า แนวทางเศรษฐกิจใหม่ เรื่องการพัฒนาการอย่างยั่งยืน ซึ่งถูกเสนอกันในยุโรป และปัจจุบันได้เป็นที่ยอมรับในหมู่นักวิชาการ แต่ว่าโลกมันไปไหนไม่ได้ ขืนไปอย่างนี้ต่อไปจะเกิดวิกฤติใหญ่มาก ใหญ่อย่างที่คิดไม่ถึง ใหญ่กว่าสึนามิ อาจจะเป็น 10 เท่าของสึนามิที่คุณเห็นอยู่ เพราะว่าเราดูปรากฎการณ์เห็นชัดแล้วเช่นปรากฎการณ์หลอมละลายของน้ำแข็ง เกิดแนวน้ำแข็งทั่วโลกกว้าง 30 ไมล์ ยาวเกือบ 130 ไมล์เหมือนแผ่นดินไหวอยู่กลางขั้วโลกและนี่ก็เป็นปรากฎการณ์หนึ่งที่เห็นชัด มาก แม้แต่บนยอดหิมาลัยซึ่งเป็นที่กำเนิดแม่น้ำ 3 สายใหญ่ ฮวงโห แยงซีเกียงและแม่น้ำโขง ปัจจุบันได้เกิดการละลายของน้ำแข็งจนกระทั่งเกิดปรากฎการณ์ที่บางช่วงแม่น้ำ จะทะลักแยงซีเกียง ทะลักท่วมทุกปี น้ำโขงเคยมีในบางช่วงจะหายไปเลย บางช่วงก็จะไหลทะลัก บางช่วงก็จะหายไป เป็นปรากฎการณ์ที่เกิดวิกฤติสิ่งแวดล้อมของโลก

    จนกระทั่งนักการเมือง เองก็เกิดทฤษฎีอย่างหนึ่ง ทฤษฎีการเมือง เกิดแนวคิดเรื่องการเมืองสีเขียว เคลื่อนไหวกันในยุโรป และอเมริกา พรรคที่ 3 ก็เป็นพรรคสีเขียว นี่เป็นกระแสที่เกิดจากวิกฤติสิ่งแวดล้อม กระแทกจนเกิดการแตกของกระบวนทัศน์ คุณจะเลือกพัฒนาการแบบยั่งยืนคุณจะเลือกการเมืองสีเขียวหรือการเมืองอย่าง ปัจจุบัน นี่คือการเสนอแนวทางตามความคิดออกมาค่อนข้างจะชัดเลยทีเดียวระหว่าง 2 สาย เหมือนมีรอยแตกตรงนี้นะ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบอกว่า เศรษฐกิจพอเพียง คุณทักษิณก็บอกว่าพออยู่เหมือนกัน แต่พอของแกเยอะหน่อย พอแบบไม่พอ เป็นโลกที่คิดแยกแบบนี้ นักวิชาการมีอายุหน่อยก็ตายไปกับเศรษฐกิจพอเพียง คือเราต้องรู้แล้วว่า เราจะอยู่ เราต้องคำนึงถึงแม่ผู้ให้กำเนิด พัฒนาการก็ต้องไปด้วยกันระหว่างลูกกับแม่ที่เป็นธรรมชาติ

    กระบวน ทัศน์มันก็มีที่แตกจากกัน คือข้างบน ภาครัฐ ภาคคนมีเงินทั้งหลายจีดีพีลูกเดียว ทำอย่างไรก็ได้ให้ขยาย 4-5% หมายความว่าต้องขนมาทุกอย่าง มีทรัพยากรเท่าไหร่ก็ต้องทำลาย เมื่อภาครัฐไม่เอาก็เกิดกระแสที่เรียกชุมชนออกมาเพื่อดันให้เกิดการเคลื่อน กระแสชุมชนเป็นกระแสรักสิ่งแวดล้อม เช่น เขื่อนปากมูลที่สู้กันยาวนาน เพราะฝ่ายหนึ่งบอกว่าจะเอาเทคโนโลยีไปกั้นเขื่อนทำให้ปลาตาย ประชาชนก็จะเอาปลาไว้ เกิดการชนกันหลายจุดเหมือนกันในโลก

    ผมเคยเขียน วิกฤติแอฟริกา ปัจจุบันไม่ใช่สงครามเรื่องชนชั้น แต่จะเป็นสงครามแย่งชิงทรัพยากร ที่สำคัญคือเรื่องน้ำ ต้องระวังให้ดี น้ำที่คุณเห็นอาจจะเจอสงครามแย่งชิง แม้แต่ในประเทศไทย ปีที่แล้วคืออะไร แล้งจัดใช่ไหม เริ่มต้นปีนี้ร้อน ปลายปีคืออะไร อาจจะแล้งอีก หากแล้งต่อกัน 2-3 ปี สงครามแย่งชิงน้ำซึ่งเป็นทรัพยากรใหญ่มากของสังคมไทยอาจจะเกิดขึ้น เป็นสิ่งที่อยากจะฝากไว้ เหมือนฝ่ายประชาชนเคลื่อนกระแสหนึ่ง ภาครัฐเคลื่อนกระแสหนึ่ง เป็นจุดที่แตกออกมา เป็น 2 กระแสที่กำลังปฏิสัมพันธ์กันอยู่ค่อนข้างจะมากเหมือนกัน

    วิทยาศาสตร์ สมัยใหม่ไม่ใช่ยุคนิวตันแล้ว ไม่ไปไหนแล้ว คิดแบบนิวตันคือการมองโลกเป็นกลไกเหมือนระบบอันหนึ่ง แต่ละส่วน แต่ละส่วน เป็นส่วนๆ บางคนเรียก Atomism มันมีความเป็นตัวของมันเอง เช่น เราจะแก้นาฬิกาเราถอดส่วนหนึ่งของนาฬิกาออกเอาส่วนใหม่ใส่เข้าไปก็เดินได้ (สนธิ – หากอธิบายทางธุรกิจคือมีแผนกมากเกินไป และแต่ละแผนกเป็นอิสระต่อกัน) ทีนี้บูรณาการคืออะไร หากจะเข้าใจบูรณาการคือเข้าใจตัวเรา สมอง หัวใจ ปอด ตับ ทุกส่วนแยกจากกันไม่ได้เลย

    สนธิ – ถ้ามองแบบนิวตันฟิสิกส์ มองว่าเด็กคนนี้กิริยาเลวทรามมากก็จบแค่นั้น หากมองแบบควอนตัมฟิสิกส์ คือเอาทุกอย่างมาเชื่อมกัน คือ พ่อแม่ไม่สั่งสอนและกลับไปเรื่องสังคม เป็นการมองแบบองค์รวม

    เทียนชัย – แนวคิดของพระพุทธเจ้าเรื่องปฏิจจสมุปบาท หมายถึงทุกสิ่งที่ดำรงอยู่ไม่เป็นตัวตนเป็นอิสระ ทุกอย่างประกอบซึ่งกันและกัน ชุดความรู้เหมือนกัน มันไม่สามารถแยกเป็นดุ้น เป็นรัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ นิติศาสตร์ เป็นการแพทย์ หรือสังคมศาสตร์ได้ มันต้องบูรณาการเข้าด้วยกันนี่เป็นการมองของโลกสมัยใหม่ทุกอย่างเชื่อมโยง กันหมด

    สนธิ – ผมต้องขยายความนิดหนึ่ง ถ้าจะพูดเรื่องนิวตันฟิสิกส์กับควอนตัมฟิสิกส์ อ.เทียนชัยกำลังบอกว่า สมัยก่อนเราถูกสอนให้มองแบบนี่ถูก นี่ผิด นี่คือนิวตันฟิสิกส์ แต่ความถูก ผิดในควอนตัมฟิสิกส์ก็คือ มันมีส่วนสัมพันธ์กับสถานที่และเวลา ถูกวันนี้อาจจะผิดในอีก 2 ปีข้างหน้า ผิดวันนี้อาจจะผิดในอีก 5 ปีข้างหน้า เพราะฉะนั้นแล้วถ้ามองแบบควอนตัมฟิสิกส์ก็ต้องแบบควรหรือไม่ควร ถ้ามองแบบควรหรือไม่ควรก็มองแบบพุทธ พุทธมองแบบใช้สำนึกอย่างที่บอก อ.เทียนชัยบอกว่า แต่ก่อนเรามองแบบวิทยาศาสตร์ เศรษฐศาสตร์การเมือง ตอนนี้มันต้องเชื่อมกันหมดเศรษฐศาสตร์ต้องเกี่ยวพันกับการเมือง การเมืองต้องเกี่ยวพันกับสังคม สังคมเกี่ยวพันกับวัฒนธรรม วัฒนธรรมเกี่ยวพันกับอารยธรรม ทุกอย่างต้องรวมกันหมดถึงจะมองแล้วเข้าใจ หากยังมองอย่างแยกส่วนเราจะไม่เข้าใจ
    เหมือนที่เรามองว่ารัฐธรรมนูญให้ ประชาชนเลือกพรรคการเมืองนั้น เพื่อให้พรรคการเมืองเข้มแข็ง เรามองแค่นี้จบก็บอกว่ามันถูกต้องแล้ว แต่หากเรามองย้อนกลับไปเหตุ ปัจจัยที่เกิดขึ้นว่า เหตุปัจจัยที่เข้ามาเล่นการเมืองคือการแย่งชิงผลประโยชน์ เมื่อเป็นการเข้ามาแย่งชิงผลประโยชน์ แล้วพรรคการเมืองก็ต้องมีทุน เมื่อพรรคการเมืองต้องมีทุนใครเป็นเจ้าของทุนคนนั้นก็เป็นเจ้าของพรรคการ เมือง เมื่อเป็นเจ้าของพรรคการเมือง สรุปแล้วการเมืองก็อยู่ภายใต้ทุน ซึ่งเป็นเจ้าของการเมือง สรุปก็คือเราก็มีการเมืองหรือประชาธิปไตยแบบทุน เจ้าของทุนเป็นคนกำหนดว่าประชาธิปไตยต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ น.พ.ประสานจะเพิ่มเติมอะไรหรือไม่

    น.พ.ประสาน – ควอนตัมแมคคานิคอยู่ตรงกลางคือความละเอียด ในโลกนี้ความหยาบอย่างยิ่งคือเรื่องใดก็ตามที่เราสามารถมองเห็นได้ด้วยตา เนื้อของเรา หูเราได้ยิน หรือกายสัมผัสว่ามันนุ่ม หรือรส กลิ่นต่างๆ เป็นต้น อวัยวะที่เราใช้สื่อทั้ง 5 อันความหยาบ หยาบแบบนี้เองสร้างชุดความรู้ขึ้นมา ส่วนพระสงฆ์ศึกษาเรื่องจิตและจิตวิญญาณ ซึ่งเป็นสิ่งละเอียดอย่างยิ่ง ขณะนี้มีวิทยาศาสตร์ใหม่คือ ละเอียด ควอนตัมแมคคานิคที่พูดกัน วิทยาศาสตร์ที่เรียกว่าวิทยาศาสตร์นิวตันนั้นทุกสิ่งทุกอย่างมองในรูปของ กลไก เหตุก่อผลตายตัวทำนายได้ มีทุกสิ่งทุกอย่างเป็นชิ้นส่วนเอามาประกอบกัน อันนั้นเป็นความหยาบเรารับรู้ได้ด้วยหูหรือตาของเรา และกายสัมผัส ลิ้น จมูกเรา เป็นความหยาบทั้งหลาย แต่หากเราลงไปละเอียดจริงๆ เท่าที่เราสามารถลงไปได้ระดับนาโนมิเตอร์ อะตอม เราจะพบว่าในระดับนั้นไม่มีชิ้นส่วนแล้ว เป็นอะไรก็ได้ทั้งนั้น อยากจะเป็นอย่างนี้ก็เป็น เป็นอย่างนั้นก็เป็น มันไม่มีอะไรที่เราจะไปกำหนด ควบคุมมันได้ คล้ายกับเรื่องของจิตที่พิสูจน์ไม่ได้ แต่ควอนตัมพิสูจน์ได้ แต่ไม่ละเอียดขนาดนั้น ตกลงเรามี 3 อย่างคือ หยาบ ละเอียดและละเอียดอย่างยิ่ง นี่คือหลักการสำคัญขององค์ความรู้ ที่ให้วิธีคิดและวิวัฒนาการมาตลอด

    ชุดความรู้มาจากไหน มาจากวิธีคิดของเรา วิธีคิดมาจากไหนมาจากจิตและจินตนาการ มีวิวัฒนาการตามลำดับมาตลอด เป็นการเปลี่ยนแปลง ต่อเนื่อง เชื่อมต่อ เสื่อมสลาย เกิดใหม่ เป็นหลักปฏิจจสมุปบาททั้งนั้น เพราะฉะนั้นหากเราจะเข้าใจเรื่องอย่างนี้ได้ถ่องแท้ต้องทำใจว่า ทุกอย่างมันเปลี่ยนแปลง ต่อเนื่องและเสื่อมสลายและเกิดใหม่ได้ตลอดเวลา กายก็เช่นนั้น จิตก็เช่นนั้น จนกระทั่งถึงละเอียดที่สุด ถึงระดับจิตวิญญาณจึงจะหลุดพ้น เพราะระดับจิตวิญญาณนั้นจะคงที่ นิพพานนั้นคงที่ตายตัว คำว่าจิตวิญญาณคือเส้นทางที่เราเดินไปสู่ตรงนั้น นิพพานเป็นสิ่งที่คงที่ ไม่มีอะไรจะหยั่งลงไปได้ทั้งนั้น เพราะเหตุว่าอยู่ในอีกมิติหนึ่งแล้ว มิติแห่งความคงที่ไม่เปลี่ยนแปลง แต่หากเรายังอยู่ในวัฏสงสารเราจะเปลี่ยนแปลง เกิดใหม่ตลอดเวลา วิทยาศาสตร์ก็เป็นอย่างนั้น วิทยาศาสตร์กับศาสนาในวิทยาศาสตร์ใหม่ไม่ได้แตกต่างกัน เพียงแต่ลงไปไม่ได้ละเอียดขนาดนั้น แต่ว่าลงไปในเส้นทางเดียวกับจิต ขึ้นละเอียดเฉยๆ ไม่ใช่ละเอียดอย่างยิ่ง เส้นทางที่เราไปในที่สุดเราจะได้ใช้เส้นทางสืบเนื่ององค์ความรู้ของเราไป เรื่อยๆ

    ต่อไปเราต้องปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าสอน พระพุทธเจ้าบอกว่าให้เรารู้สิ่งที่ถูกต้อง ระดับนั้นคือระดับที่ละเอียดอย่างยิ่ง ซึ่งระดับละเอียดไม่สามารถดำเนินการด้วยห้องทดลองหรือเหตุผล แต่ต้องปฏิบัติ ศาสนาพุทธสอนอย่างเดียวคือปฏิบัติ ปริยัติมีความหมายจริง แต่ต้องปฏิบัติเท่านั้น ทำสมาธิ เข้าฌานหยั่งรู้ การรู้แจ้ง เส้นทางที่เราจะอยู่รอดในอนาคตคือตรงนี้ เราต้องอยู่โดยหาเส้นทางภายใน ทิ้งความหยาบ หรือแม้แต่สิ่งที่ละเอียดอย่างระดับควอนตัมก็ต้องทิ้งบางส่วนเพื่อแสวงหา เส้นทางภายใน การทำสมาธิ การทำจิตเมื่อเราทำไปถึงขั้นหนึ่งเราจะรู้เองว่าอะไรคือถูกผิด โดยไม่ต้องมีใครมาสอนอีกแล้ว เป็น ปัจจัตตังธัมเวทิตัปโพ เป็นประสบการณ์ตรงที่ทุกคนต้องได้รับ

    สนธิ - อย่างนิวตันฟิสิกส์ที่ถูกสอนมาว่า 2+2 ต้องเท่ากับ 4 แต่ควอนตัมฟิสิกส์บอกว่ามันอาจเป็น 3.999999 หากเราไปยึดว่าเป็น 4 ตลอดจะเป็นการปิดกระบวนทัศน์ในการทำความเข้าใจ ทุกอย่างมีการเริ่มต้นและเปลี่ยนตอนกลางและล่มสลายในตอนปลาย ถ้าจะยกกรณีหวัดนกเป็นกรณีนิวตันฟิสิกส์กับควอนตันฟิสิกส์ อ.เทียนชัยบอกว่า การฆ่าไก่ 60 ล้านตัว คือการแก้ปัญหาแบบนิวตันฟิสิกส์ แต่หากมองแบบควอนตันฟิสิกส์ต้องมองย้อนว่านี่คือวิถีชีวิตของเรา ที่ให้เกิดหวัดนก เพราะระบบต้องการเร่งการผลิตไก่ให้ไก่เจริญเติบโต 2-3 เดือนแล้วฆ่า คือจับไก่มาอยู่ในโรงงาน และให้กินผสมฮอร์โมนเพื่อเร่งให้ไก่นั้นโตขึ้น นั่นผิดธรรมชาติของไก่ เพราะไก่เป็นสัตว์ปีกที่ต้องมีเนื้อที่วิ่งเล่น ทำให้ไก่อ่อนแอและง่ายต่อการติดเชื้อ ทำให้เกิดหวัดนก การแก้หวัดนกก็ต้องแก้วิถีชีวิตพวกเรา

    หากจะมองแบบควอนตัมฟิสิกส์เรา ต้องใช้พระราชดำรัสของสมเด็จญาณสังวร อ.เทียนชัยบอกให้ใช้ธรรมชาติเป็นศูนย์ เราเคยเอะใจบ้างหรือไม่ ที่รัฐบาลชุดนี้บอกว่าจะใช้ประชาชนเป็นศูนย์รวม ใช้ประชาชนไม่ได้เพราะประชาชนมีกิเลส ประชาชนอยากกิน อยากใช้ อยากรวย อยากมีรถ เมื่อใช้ประชาชนเป็นศูนย์รวมก็เป็นการส่งเสริมทำร้ายและทำลายธรรมชาติ ทุกอย่างเท่าที่มีอยู่ เร่งผลิตไก่ เพิ่มปริมาณรถยนต์ สร้างถนน ธรรมชาติสอนให้มีขันติ 1.ให้รู้จักพอ 2.ให้มีขันติ 3. เคารพธรรมชาติ ธรรมชาติให้ผลไม้ออกปีละ 1 ครั้ง เราก็มีความสุขกับการออกผลปีละ 1 ครั้ง แต่คนพยายามเอาชนะธรรมชาติ ทำให้ผลไม้ออกตลอดปี ส่งเสริมกิเลสของคน มีคำถามว่าเมื่อรู้ว่าพระพุทธเจ้าปฏิบัติจนมรรคผลนิพพาน ทำไมคนไม่ปฏิบัติอย่างพระพุทธเจ้า

    น.พ.ประสาน – มันมีพื้นฐานสิ่งมีชีวิตคืออยู่รอด การอยู่รอดต้องประกอบด้วยกิเลส และวิทยาศาสตร์ยังติดเขี้ยวเล็บให้กิเลสหวือหวา เราไม่ยอมผ่านจากรู้รอดไปอยู่รู้และรู้แจ้ง พระพุทธเจ้าก็บอกว่าเราเกิดมาเกิดทุกข์ วิธีปฏิบัติที่จะหลุดทุกข์ต้องทำอย่างนี้ แต่วิทยาศาสตร์หรือการเมือง โดยเฉพาะระบบการศึกษาที่ให้เราหาเงินอย่างเดียว โดยไม่ต้องทำอะไรเลย เราไปติดบ่วงที่เราเองสร้างขึ้นมา เราก็ให้บ่วงนั้นรัดคอจนขยับไม่ได้ เราจึงไม่ยอมทำตามพระพุทธองค์ เพราะที่เราคิดเทคโนโลยีเราต้องการเอาชนะธรรมชาติ แต่ความจริงเราอยู่ในธรรมชาติหากเราออกนอกธรรมชาติเมื่อไหร่ คือเราพัง

    เทียน ชัย - มนุษย์เป็นลูกของธรรมชาติ และให้เรากลับไปสู่การเป็นตัวเรา การเป็นมนุษย์ เราเกิดขึ้นมาบนกระแสธรรม ความจริงมนุษย์อยู่ในยุคชุมชนนานมาก ชุมชนเป็นฐานกระแสธรรม หลักของชุมชนคือ มีชีวิตอย่างเรียบง่าย สงบ รักสันติภาพ คือหลักนิพพานของพระพุทธเจ้า ความสงบเย็น ในใจของคุณมีความสงบเย็นดำรงอยู่ หลักที่ 2 ของชุมขน คือเมตตากรุณา ช่วยเหลือกันและกัน เมตตา กรุณา มุฑิตา อุเบกขา ศาสนาอื่นก็เช่นกัน หลักต่อไปคือหลักธรรมชาติ คนโบราณนับถือธรรมชาติเรียกน้ำว่าแม่ แผ่นดินก็เรียกแม่พระธรณี บูชาต้นไม้ คนโบราณเรียนรู้กฎธรรมชาติ เราศึกษากฎแห่งธรรมตั้งแต่โบราณ ความจริงอารยธรรมของมนุษย์ทุกจุดของโลก มีพื้นฐานอยู่ที่ธรรม เราเกิดมาด้วยหลักความดี ลึกๆ ในใจของเรามีความดี สายพุทธบอกว่า จิตเดิม หากจะเข้าถึงพุทธเข้าถึงจิตเดิมก่อน ตกแต่งความดีความงามที่อยู่ภายในที่มีอยู่เต็มเปี่ยม แม้แต่อารยธรรมผ่านมา 2-3 พันปีทุกคนยังติดอยู่กับศาสนา เรายังมีความดีความงามอยู่

    หมอ ประสานได้พูดถึงโลกแห่งความจริง ก็มีประโยชน์ทำให้เราเข้าใจกฎเกณฑ์ต่างๆ เพราะวิทยาศาสตร์ทำให้เราเข้าใจทุกจุด เรียกโลกทางกาย ทางวัตถุ แต่โลกปัจจุบันกำลังพาเราก้าวผ่านวิทยาศาสตร์หยาบสู่วิทยาศาสตร์ละเอียด เริ่มเห็นการคืนสู่สามัญเหมือนกัน คุณต้องเข้าใจพื้นฐานของจิตเดิม เข้าใจธรรมชาติ รักธรรมชาติ ใกล้ความสงบความเย็น วิทยาศาสตร์สมัยใหม่กำลังดึงเรากลับสู่โลก และเข้าใจโลกที่ซับซ้อนมากขึ้นกว่าเดิมด้วย อาจจะซับซ้อนมากกว่ายุคพระพุทธเจ้าด้วย เป็นการเกิดของแนวคิดของโลกบูรณาการ ความสมัยใหม่ที่จะซับซ้อนขึ้นและจะยกระดับการเรียนรู้ของเรา แต่ต้องพยายามเข้าใจเรียนรู้วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ และจะก้าวออกไปสู่สิ่งที่เรียกว่านิพพาน

    น.พ.ประสาน – ชีวิตของมนุษย์นั้นแต่ละบุคคลประกอบไปด้วยจิตกับกาย หรืออาจจะอธิบายว่าเป็นนามรูป นามนั้นคือความรู้สึกสิ่งอื่นๆ ที่เป็นองค์ประกอบของจิต ส่วนกายนั้นความสัมพันธ์สิ่งที่พระพุทธเจ้าพูดก็คือ ส่วนกายประกอบด้วยแรงธรรมชาติ ซึ่งเป็นแรงวัตถุรวมกับคุณภาพ ตรงนี้เองหากมองเฉยๆ อาจจะไม่ทราบ แต่ที่ผมติดตามผมถึงบอกว่าทำไมพระพุทธเจ้ารู้เช่นนี้ เพราะเหตุว่าทุกคนมีความดีกับความชั่ว ทุกคนมีทั้ง Evil และ Goodness อยู่ในตัวเอง นั่นคือคุณภาพ วิทยาศาสตร์ขณะนี้พิสูจน์ 2 อย่าง ตามพระพุทธเจ้ามาทั้งหมด คือ กายนั้นประกอบด้วย 2 อย่าง อันที่ 1 คือแรง เช่น แรงโน้มถ่วง อีกอันหนึ่งที่ละเอียดลงไปที่ระดับของเซลล์ของอะตอม โปรตอน อิเลคตรอน ทั้งหมดมีคุณภาพ อิเลคตรอนมีดีและไม่ดี ประกอบเป็นตัวเรา เซลอยู่ในตัวเรา พระพุทธเจ้าบอกว่าคุณภาพเป็นสิ่งหนึ่งขององค์ประกอบของกาย เรียก qualia คือสิ่งที่เป็นคุณสมบัติของอิเลคตรอน

    เทียนชัย – เต๋า จะบอกว่าพลังที่เป็นธรรมชาติมีสิ่งที่เรียกว่าหยาง หยางคือความเป็นผู้ชายก้างร้าว แข็งกระด้าง กับความเป็นหยินประกอบกัน แต่ธรรมชาติของชีวิตมีหยินเป็นฐานนะ เวลาที่พลังธรรมชาติผสานกันหยิน-หยางได้อย่างมีดุลภาพ คือพลังชีวิตที่ยิ่งใหญ่ จะเกิดการแตกตัวไปทุกด้านจาก 1 ไป 2 3 4 ถ้าเราเข้าใจกิเลสก็จะตรัสรู้ได้ กิเลสทั้งหลายเป็นทั้ง 2 ด้าน ด้านที่สอนธรรมกับเรา เมื่อเรารู้กิเลสได้เราก็ตรัสรู้ได้ ทุกมิติของสังคมล้วนให้คุณค่ากับเราหากเราเข้าใจ

    สนธิ – ช่วงสุดท้ายนะครับเราจะเริ่มต้นที่คำถาม อ.เทียนชัย ปัญหาเรื่องกรีนเฮาว์เอฟเฟ็กจะทำให้น้ำแข็งขั้วโลกละลายรุนแรงจนทำให้น้ำ ทะเลท่วมหลายประเทศจะเกิดเมื่อไหร่ แถบไหน

    เทียนชัย – กระทบกับโลกแต่บอกไม่ได้ว่าเมื่อไหร่ แล้วก็ตอบไม่ได้ว่าการละลายจะเป็นแบบไหน มันอาจจะมีได้ 2 แบบ คือ แบบที่ละลายไปเรื่อยๆ ปัจจุบันอยู่ในช่วงละลายไปเรื่อยๆ สมัยก่อนมีนักหนังสือพิมพ์อยู่ตรงไหนก็ถ่ายได้ แต่สมัยนี้จะยืนถ่ายตรงไหนต้องระวังต้องหาจุดตั้งให้ดี ถ้าจุดตั้งไม่มีมันยุบลงไปเลย เพราะฉะนั้นนี่เป็นยุคที่น้ำแข็งละลายค่อนข้างมาก อีกสักพักจะเกิดการเสียสมดุลใหญ่แต่บอกไม่ได้ แต่มีแนวโน้มจะเป็นเช่นนั้น แต่เรื่องที่เป็นอันตรายกว่าน้ำแข็งละลาย คือ ผลเอฟเฟ็กที่จะมีให้อุณหภูมิโดยทั่วไปของโลก แต่รุนแรงแค่ไหนบอกไม่ได้เหมือนกัน แต่จะทำให้ร้อนขึ้นหรือเย็นลง ซึ่งดุลความร้อนของโลกจะเกิดการเคลื่อนตัวครั้งใหญ่เป็นการปรับตัวครั้งใหญ่ ของระบบ

    น.พ.ประสาน – อาทิตย์ที่แล้วช่องบีบีซีเวิลด์ลงข่าวว่านักวิทยาศาสตร์ที่กรีนแลนด์ไปทำการ สำรวจและตามติดที่นั่นเป็นปีๆ แล้วสรุปผลการละลายของน้ำแข็งเฉพาะที่กรีนแลนด์อย่างเดียวมีปริมาณเท่ากับ 1 ตันต่อวัน ถ้าคำนวณการใช้น้ำของคนในนิวยอร์กในเวลา 1 เดือนจะท่ากับน้ำที่ละลายในกรีนแลนด์ 1 วัน น้ำทั้งหมดที่มีอยู่ในโลกก็จะละลายหมดหรือใกล้หมดในช่วงเวลาประมาณ 5-7 ปี หากมองว่ากรีนแลนด์ที่อยู่ไกลๆ ขั้วโลกเหนือเป็นการการละลายของน้ำในแก้ว นั้นก็หมายความว่าจะมีน้ำจำนวนมากขึ้นมากกว่าเก่า แล้วบนน้ำแข็งบนยอดเขาหิมาลัย หรือบนยอดเขาต่างๆ รวมทั้งที่ขั้วโลกใต้ซึ่งก็ละลายเช่นเดียวกัน

    ขณะที่อุณหภูมิที่ขั้ว โลกเหนือและใต้สูงกว่าปกติถึง 6 องศาเซลเซียส ปีที่แล้ว 2.5 องศาก็แย่แล้วแต่นี่ขึ้นถึง 6 ถ้ารวมทั้งหมดแล้วน้ำแข็งก่อนยุคอุตสาหกรรมเรามีน้ำแข็ง19 ร้อยล้านตัน ถ้าละลายออกไปวันละ 1 ล้านตัน จะใช้เวลาตามที่ผมคำนวณ 5-7 ปี คือ ประมาณปี 2012 ตัวเลขตรงนี้หน้าคิด ซึ่งเป็นตัวเดียวกับตัวเลขที่ชาวเผ่ามายาคำนวนขึ้น (ชาวมายา ได้ทำปฏิทินจำนวน 22 เดือน โลกหมุนเวียนพระอาทิตย์ 365.222 ตรงกับทุกอย่าง ดาราศาสตร์ตรงกับของชาวมายาพอดี แต่พอปี 2012 ทุกอย่างหยุดทั้งหมด) ขณะเดียวกันผู้แสวงหาความรอด ความดีงาม ถ้าไม่มีกิเลส ไม่มีวิกฤตจะมีอกิเลสหรือ เป็นเพราะเราแสวงหาต่างหาก สิ่งนั้นจะกระทบจิตใจของเรา ว่าเรารับได้หรือไม่ เราต้องเรียนรู้ครับ เราเกิดมาเพื่อเรียน โคจรไปเรื่อยๆแต่อย่าเพิ่งตื่นเต้น ทุกสิ่งมันยืดได้และหดได้ ซึ่งนี่เป็นความโชคดี

    สนธิ – ปัญหาการตกค้างของสารพิษในเนื้อสัตว์หรือพืชผักทำให้เกิดโรคต่างๆ กับมนุษย์ เช่น มะเร็ง เบาหวาน หัวใจวาย ไตวาย จะแก้อย่างรวดเร็วได้อย่างไร

    เทียน ชัย – การแก้ไขอย่างรวดเร็วไม่ได้หรอก เราต้องเข้าใจว่าโรคเกิดจากการเสียดุลธรรมชาติ สังคม เรื่องสุขภาพไม่ใช่เรื่องของตัวเรา มันเป็นเรื่องของสังคม ชุมชน สิ่งแวดล้อม ที่เสียดุลกันทั้งหมด อาจไม่ได้แก้เฉพาะร่างกายของเราให้แข็งแรงเท่านั้น เพราะหากไปเดินตามถนนในกรุงเทพยังไงร่างกายเราก็ต้องทรุด เหลือต้นไม้อยู่เท่าไหร่ มันมีแต่มลภาวะ รถยนต์กับต้นไม้เ่ยวๆ กลางถนน ซึ่งรถยนต์เป็นแหล่งผลิตโรคที่มากมายมหาศาลยิ่งกว่าบุหรี่ เกือบทุกโรคที่เป็นอยู่พันกว่าชนิด

    สนธิ - เราอยู่ในระบบทุนนิยมที่รุมเร้ามา เราจะซื้อของอะไรก็ตามจะหาความปลอดภัยไม่ได้ สิ่งที่ระมัดระวังตลอดช่วงระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมานี่คือเรื่องอาหารการกิน อาหารถ้ากินไม่เป็นกินไม่ดีก็จะทำให้เราขาดภูมิต้านทาน พวกเรายังทานอาหารกันไม่เป็นอยู่มาก วันนี้ถ้าเราหลีกเลี่ยงหมู ได้ก็เลี่ยง จะทานปลาแม่น้ำอย่างเดียว และที่สำคัญต้องทานอาหารสดๆ จากกระทะ ดีกว่าทานอาหารสำเร็จรูป แน่นอนไม่ต้องใส่ผงชูรส การซื้อผักมาล้าง ผักนั้นมีเชื้อโรค ยอมเสียค่าน้ำเปิดแช่ทิ้งไว้สักครึ่งชั่วโมงแล้วค่อยทาน 2 การทานผลไม้ก็ต้องระวังเพราะผมไม้สมัยนี้แช่ฟอร์มาลีนทั้งนั้น สมัยก่อนผมนิยมทานมะละกอ พอมีจีเอ็มโอก็เลิกเดี๋ยวนี้เลยทานแต่สับปะรด พวกแตงจะฉีดยาหมด มันไม่ได้เกิดขึ้นภายในวัน 2 วัน แต่ถ้าลองทานไป 1 ปี หรือ 2 ปี ร่างกายจะสร้างภูมิต้านทานโดยปริยาย อาหารบนถาดเยอะๆ ทิ้งไว้ทั้งวันอย่าทานเด็ดขาด

    สนธิ – ปัญหาข้อสุดท้ายเรื่องวิกฤตทางอารมณ์ทำให้สังคมวิบัตินั้นเกิดเพราะคนขาด ศีลธรรมควบคุมจิตใจควรจะแก้ไขให้รวดเร็วได้อย่างไร การโกงกินคอรัปชั่นระบาดรวดเร็วไปทั่วทุกชุมชนแล้ว

    เทียนชัย – น่าจะถาม “คุณทักษิณ” ซึ่งจริงบ้านเมืองนี้ไม่ใช่ของ “ทักษิณ” แต่เป็นของเราทุกคนที่ต้องแสดงบทบาทที่สำคัญในการรักษาประเทศและสังคม พวกเราต้องมีส่วนร่วมนอกจากเราต้องสร้างชุมชนสุขภาพโดยการพึ่ง ตัวเองแล้วชุมชนก็ควรจะมีบทบาทที่จะแสดงทิศทางทางการเมืองในเรื่องของ คอรัปชั่นที่เราไม่เห็นด้วย หนังสือพิมพ์ผู้จัดการก็เป็นคลังความรู้และปัญญาที่เป็นส่วนหนึ่งที่ต้าน กระแสคอรับชั่นได้ แต่ถ้าจะแก้รวดเร็วก็คงทำไม่ได้ ปัญหาแต่ละอย่างมันมีความสลับซับซ้อนของปัญหาสูงมาก หรือว่าจะแก้อย่างไรให้คนเป็นคนดีปุปปักทำไม่ได้แต่หากเราจะสร้างชุมชนทาง ปัญหาเล็กๆ สร้างหน่วยองค์ความรู้ขึ้นมา เช่น หน่วยครอบครัว จะเป็นการเรียนรู้นอกระบบ โดยพ่อแม่จะเข้าไปมีส่วนดูแลลูก เราคงต้องช่วยกันสร้างขึ้นมา ซึ่งการเมืองในเชิงพื้นที่เพราะถ้าเราสร้างชุมชนแบบนี้ขึ้นมาในทุกๆ จุดของสังคม สร้างให้มากที่สุดก็จะเป็นแหล่งแพร่ระบาดของความรู้ เช่น การใช้ชีวิตอยู่ข้างนอกอย่างไร การรับประทานอาหารให้ได้ประโยชน์ทำอย่างไร เยาชนอาจจะได้เรียนรู้ของการมีชีวิตในยุคใหม่อย่างไร ชุมชนจะมีส่วนช่วยสังคมและโลกได้ เล็กบ้างใหญ่บ้างแล้วมาเชื่อมประสานกัน ในแง่ความรู้แลกเปลี่ยนกัน ในที่สุดก็เกิดพัฒนาการการรับรู้ของแต่ละชุมชนเล็กๆ ในสังคม

    สนธิ - เมื่อทุกคนรู้ว่าทุกข์เป็นสิ่งไม่ดี เร้าร้อนทรมานอยากเสวยสุขทั้งนั้น แต่ทำไมสังคมยังส่งเสริมด้วยอบายมุข ให้คนวิ่งเข้าหากิเลสอย่างเมามัน

    น.พ.ประสาน – ระบบการศึกษาตั้งอยู่บนพื้นฐานของบ่วง 2 อย่างคือ บ่วงแห่งกิเลสและบ่วงแห่งระบบความรู้ที่ใช้กันอยู่แล้วเข้าใจว่าจริงแล้ว ซึ่งก็คือ วิทยาศาสตร์ ซึ่งความจริงมีแค่หนึ่งคือวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ ต่อมาเป็นฟิสิกส์ โตขึ้นเคมีและเป็นชีววิทยา วิทยาศาสตร์มีแค่ 3 แต่ก็แบ่งได้ออกเป็น 2 กลุ่ม คือ วิทยาศาสตร์ประยุกต์ ได้แก่ หมอ วิศวะเพื่อสร้างเทคโนโลยีเพื่อให้เราอยู่ด้วยความสุข สะดวกสบาย นั้นคือ ความเร่าร้อน อีกกลุ่มคือ วิทยาศาสตร์สังคม ซึ่งตั้งอยู่ในกลุ่มชีววิทยาเป็นส่วนใหญ่ โดยลอยตัวอยู่ มนุษย์ด้วยกันเข้าข้าง ชีววิทยาที่ใช้อยู่ผิดทั้งหมด แต่มันอยู่ได้เพราะมนุษย์มักเข้าข้างตัวเอง มีความคิดเป็นอัตตาคือมนุษย์ถูกเสมอ เราจึงติดบ่วงของเราเอง

    ขณะนี้ เรากำลังต่างยุคจากความดี ความจริงทางวิทยาศาสตร์ เรากำลังจะไปสู่ยุคใหม่คือยุคแห่งความงาม ความดีพร้อมคือเรื่องของจิต ความละเอียด แต่ก็อย่าไปกลัว อย่างเรื่องน้ำแข็งอาจจะหยุดละลายก็ได้ ส่วนคำทำนายของเผ่ามายาก็อย่ากลัว เพราะเราไม่ได้ตาย เพราะเราตายเพียงบางส่วนคือในส่วนของโลก 4 มิติเราก็คืนเขาไป แต่ส่วนของจิตที่ไม่ได้อยู่เฉพาะโลกนี้แต่อยู่ในทุกๆโลกทุกจักวาลไม่มีวัน ตาย ฉะนั้นเราอย่าไปกลัว การที่ตาเราไม่เห็นแล้วไม่มี เพราะมีหลายสิ่งที่ขณะมีชีวิตอยู่เราก็ไม่สามารถมองเห็นหรือรับรู้ได้

    - - - -- - - - - - - - - - - - - - - -- - - -
    ข่าว จาก : ผู้จัดการออนไลน์ 30 พฤษภาคม 25--

    ที่มา
    ��ͻ���ҹ�ӹ�� 2012 ��ӷ����š - Dek-D.com > Board






    ส่วนอันนี้เป็นไฟล์เสียง เสวนาเรื่อง พุทธศาสตร์กับอนาคตโลก สำหรับคนที่ขี้เกียจอ่าน
    ฟังได้จากเวปนี้ครับ http://www.tamdee.net/dhamma/play.asp?QID=60
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 สิงหาคม 2010
  4. ไม้บรรทัด

    ไม้บรรทัด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2008
    โพสต์:
    116
    ค่าพลัง:
    +293
    เทียน ชัย - มนุษย์เป็นลูกของธรรมชาติ และให้เรากลับไปสู่การเป็นตัวเรา การเป็นมนุษย์ เราเกิดขึ้นมาบนกระแสธรรม ความจริงมนุษย์อยู่ในยุคชุมชนนานมาก ชุมชนเป็นฐานกระแสธรรม หลักของชุมชนคือ มีชีวิตอย่างเรียบง่าย สงบ รักสันติภาพ คือหลักนิพพานของพระพุทธเจ้า ความสงบเย็น ในใจของคุณมีความสงบเย็นดำรงอยู่ หลักที่ 2 ของชุมขน คือเมตตากรุณา ช่วยเหลือกันและกัน เมตตา กรุณา มุฑิตา อุเบกขา ศาสนาอื่นก็เช่นกัน หลักต่อไปคือหลักธรรมชาติ คนโบราณนับถือธรรมชาติเรียกน้ำว่าแม่ แผ่นดินก็เรียกแม่พระธรณี บูชาต้นไม้ คนโบราณเรียนรู้กฎธรรมชาติ เราศึกษากฎแห่งธรรมตั้งแต่โบราณ ความจริงอารยธรรมของมนุษย์ทุกจุดของโลก มีพื้นฐานอยู่ที่ธรรม เราเกิดมาด้วยหลักความดี ลึกๆ ในใจของเรามีความดี สายพุทธบอกว่า จิตเดิม หากจะเข้าถึงพุทธเข้าถึงจิตเดิมก่อน ตกแต่งความดีความงามที่อยู่ภายในที่มีอยู่เต็มเปี่ยม แม้แต่อารยธรรมผ่านมา 2-3 พันปีทุกคนยังติดอยู่กับศาสนา เรายังมีความดีความงามอยู่

    หมอ ประสานได้พูดถึงโลกแห่งความจริง ก็มีประโยชน์ทำให้เราเข้าใจกฎเกณฑ์ต่างๆ เพราะวิทยาศาสตร์ทำให้เราเข้าใจทุกจุด เรียกโลกทางกาย ทางวัตถุ แต่โลกปัจจุบันกำลังพาเราก้าวผ่านวิทยาศาสตร์หยาบสู่วิทยาศาสตร์ละเอียด เริ่มเห็นการคืนสู่สามัญเหมือนกัน คุณต้องเข้าใจพื้นฐานของจิตเดิม เข้าใจธรรมชาติ รักธรรมชาติ ใกล้ความสงบความเย็น วิทยาศาสตร์สมัยใหม่กำลังดึงเรากลับสู่โลก และเข้าใจโลกที่ซับซ้อนมากขึ้นกว่าเดิมด้วย อาจจะซับซ้อนมากกว่ายุคพระพุทธเจ้าด้วย เป็นการเกิดของแนวคิดของโลกบูรณาการ ความสมัยใหม่ที่จะซับซ้อนขึ้นและจะยกระดับการเรียนรู้ของเรา แต่ต้องพยายามเข้าใจเรียนรู้วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ และจะก้าวออกไปสู่สิ่งที่เรียกว่านิพพาน

    น.พ.ประสาน – ชีวิตของมนุษย์นั้นแต่ละบุคคลประกอบไปด้วยจิตกับกาย หรืออาจจะอธิบายว่าเป็นนามรูป นามนั้นคือความรู้สึกสิ่งอื่นๆ ที่เป็นองค์ประกอบของจิต ส่วนกายนั้นความสัมพันธ์สิ่งที่พระพุทธเจ้าพูดก็คือ ส่วนกายประกอบด้วยแรงธรรมชาติ ซึ่งเป็นแรงวัตถุ รวมกับคุณภาพ ตรงนี้เองหากมองเฉยๆ อาจจะไม่ทราบ แต่ที่ผมติดตามผมถึงบอกว่าทำไมพระพุทธเจ้ารู้เช่นนี้ เพราะเหตุว่าทุกคนมีความดีกับความชั่ว ทุกคนมีทั้ง Evil และ Goodness อยู่ในตัวเอง นั่นคือคุณภาพ วิทยาศาสตร์ขณะนี้พิสูจน์ 2 อย่าง ตามพระพุทธเจ้ามาทั้งหมด คือ กายนั้นประกอบด้วย 2 อย่าง อันที่ 1 คือแรง เช่น แรงโน้มถ่วง อีกอันหนึ่งที่ละเอียดลงไปที่ระดับของเซลล์ของอะตอม โปรตอน อิเลคตรอน ทั้งหมดมีคุณภาพ อิเลคตรอนมีดีและไม่ดี ประกอบเป็นตัวเรา เซลอยู่ในตัวเรา พระพุทธเจ้าบอกว่าคุณภาพเป็นสิ่งหนึ่งขององค์ประกอบของกาย เรียก qualia คือสิ่งที่เป็นคุณสมบัติของอิเลคตรอน

    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->blackangel<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_3673915", true); </SCRIPT>
    :cool::cool:
     
  5. Tawan1990

    Tawan1990 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    191
    ค่าพลัง:
    +320
    เยอะมากคับ อ่านตาลายเลย *_*
     
  6. mamboo

    mamboo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +1,973
    อยากรู้จังว่าเค้าสร้างที่หลบภัย ไปไว้ที่ไหน ???
     
  7. changpinit

    changpinit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2009
    โพสต์:
    55
    ค่าพลัง:
    +294
    ขอบคุณคุณblackangel ที่ทำให้เห็นความเชื่อมโยงของสรรพสิ่ง ขออนุโมทนาบุญด้วยครับ
     
  8. nonglynne

    nonglynne เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    44
    ค่าพลัง:
    +376
    คิดแล้วก็ใจหายแต่จะพยายามสั่งสมบุญให้มากที่สุดคะ
     
  9. ratercracker

    ratercracker เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    484
    ค่าพลัง:
    +729
    เห็นอะไร ควอนตั้มๆ พุทธศาส นิพพาน แวปๆ

    ตาลาย ปักหมุดไว้ก่อน ค่อยมาอ่าน
     
  10. นายเบทร์

    นายเบทร์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    882
    ค่าพลัง:
    +91
    แน่ใจแล้วเหรอ ว่ามนุษย์สามมิติอย่างเรา จะเอามิติที่ 5

    ผมคนนึงล่ะ ที่ไม่เอา T_T
     
  11. เทพเมรัย

    เทพเมรัย Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    262
    ค่าพลัง:
    +80
    ตามความเข้าใจของผม ตัวเราล้วนมีตัวตนยึดติดกับจักรวาล 4 มิติ(space-time) ตามที่นักฟิสิกส์กล่าวไว้ และเราก็รู้สึกว่าเป็นเช่นนั้น เพราะความรู้สึกนึกคิดของเราล้วนถูกออกแบบมาเพื่อจักรวาล 4 มิติ โดยแท้ และจริงๆแล้วศักยภาพของมนุษย์ควรจะไปได้ถึงจุดใด พระพุทธเจ้าตรัสว่า ถึงจุดสูงสุดที่มิติของจักรวาลจะพึงมี (นิพพาน) แสดงว่า เราต้องเรียนรู้อีกเยอะกว่าจะถึงจุดนั้น และคงไม่ง่ายนัก เพราะสิ่งนี้เป็นนามธรรมล้วนๆ ชั่ง ตวงวัด ไม่ได้อย่างที่คุ้นเคยอีกแล้ว

    การเคลื่อนเข้าสู่มิติที่ 5 ตามที่อ้างมา ก็ไม่อาจบอกได้ว่าเป็นมิติของอะไรแน่ มิติของจิตกระนั้นหรือ แต่ผมคิดว่าจิตน่าจะมีมิติรองรับได้มากมายจนอนันต์เลยแหละ ไม่เกี่ยวกับปรากฏการณ์ภัยพิบัติอะไรหรอก
    เรารู้จัก แรงโน้มถ่วงกันดีใช่ไหม นี่คือพื้นฐานของแรงในจักรวาล แม้เราคุ้นเคยอย่างดี แต่ทว่า ไม่มีผู้ใดตรวจจับอนุภาคหรือคลื่นความโน้มถ่วงได้เลย มันไม่เคยทำปฏิกิริยากับเครื่องมือวิทยาสาสตร์ใดๆเลย แต่มันมีอิทธิพลต่อทุกอนุภาคที่มีมวล น่าทึ่งมาก
    จนมีผู้ตั้งข้อสังเกตุไว้ว่า ก็เพราะคลื่นหรืออนุภาคโน้มถ่วงนี้ มันแสดงตัวตนอยู่ในจักรวาลระดับ 5 มิติ เราจึงหามันไม่เจอ อ้าว..... แล้วจะทำอย่างไรอ่ะถึงจะเจอ
    นักฟิสิกส์ที่ฉลาดที่สุดในโลก ณ ตอนนี้ ตอบว่า " ไม่รู้อ่ะ" แต่พระอาจารย์ในพุทธศาสนา สายเจโตวิมุตติ กลับยิ้มอย่างเมตตา ก่อนจะเหาะขึ้นฟ้าไป โอ......ทั้งๆที่กายท่านก็มีมวล แต่เหตุใดแรงโน้มถ่วงทำอะไรไม่ได้เลย น่าคิดๆ คล้ายกับว่าตัวท่านเปลี่ยนไปเป็น anti-graviton ซะอย่างนั้นแหละ

    ผมมานั่งคิดว่า ลำพังมิติต่างๆของจักรวาล จะสามารถมีอิทธิพลควบคุมและเปลี่ยนแปลงคุณภาพของจิตใจมนุษย์ได้อย่างไร ถ้าเป็นเช่นนั้นได้จริง โลกอาจไม่จำเป็นต้องมีพระพุทธเจ้าหรือศาสดาท่านอื่นๆก็ได้ รอให้โลกถึงยุคมิติที่ 5 ก็สามารถเข้าถึงธรรมได้เอง มันแปร่งๆชอบกล คล้ายๆบรรดาศาสดาทั้งหลายล้มเหลวโดยสิ้นเชิง
    แต่ผมกลับคิดว่า การเปลี่ยนแปลงของโลกนั้นต้องเปลี่ยนแปลงอยู่แล้วแน่นอน ตามวัฏจักร แต่ไม่อาจทราบว่าเมื่อใด และมนุษย์ย่อมได้รับผลกระทบโดยตรง จะมากจะน้อยก็ขึ้นกับขนาดของความรุนแรง ถ้ารุนแรงมากๆ เช่นน้ำท่วมโลกจนมิดภูเขา อันนี้ไม่ต้องไปพูดถึงเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และสิ่งแวดล้อมให้เสียเวลา เพราะยังไงมันก็ล่มจมไปพร้อมกับน้ำท่วมนั่นแหละ
    มนุษย์ที่เหลือรอดบางส่วน ย่อมผจญชะตากรรมอันรันทด และตื่นตระหนัก ด้วยอารยะธรรมสิ้นสูญในพริบตา จากเคยโลภมากๆก็จะโลภน้อยๆ เพราะไม่มีอะไรจะให้โลภมากนัก จากที่โมโหโกรธามากๆ ก็ผ่อนลง เพราะอริมันตายไปหมดแล้ว จากที่เคยลุ่มหลงงมงาย ไร้มนุษยธรรม กลับกลายมาเป็นเห็นอกเห็นใจ เพื่อนร่วมชะตากรรม ที่ตกระกำลำบาก
    การช่วยเหลือเกื้อกูลจึงเกิดขึ้น เมตตา กรุณาก็งอกงาม พูดง่ายๆก็ว่า หลังฝนตก ฟ้าย่อมใส

    " จะหาพลังใดเล่ามาเปลี่ยนใจคน เท่าใจตน"

     
  12. อาจีฟา

    อาจีฟา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    199
    ค่าพลัง:
    +307
    ถ้ามีระบบสังคม มีระบบต่างๆที่ดีกว่าทุกวันนี้
    มิติที่5หรืออะไรก็ตาม ก็จัดมาเลยครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...