NEW ! NEW AGE PLUS+ พลังงานใหม่ พลังงานอิสระ.. GRAND NATURE ..

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Little Duck, 25 กุมภาพันธ์ 2010.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. วสุธรรม

    วสุธรรม พลังรักอมตะ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    2,323
    ค่าพลัง:
    +8,220
    สดชื่น...แจ่มใสครับ

    [MUSIC]http://palungjit.org/attachments/a.1040278/[/MUSIC]
    REFRESH
     
  2. Naraporn_N

    Naraporn_N เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มกราคม 2010
    โพสต์:
    214
    ค่าพลัง:
    +1,002
    วันนี้รู้สึกเศร้าจังเลยค่ะ..
     
  3. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,696
    ค่าพลัง:
    +51,932
    Everybody Wants To Rule The World
    •♥• Tears For Fears

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=2E6eSCYUY_o&feature=related]YouTube - Everybody Wants To Rule The World •♥• Tears For Fears[/ame]
     
  4. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,696
    ค่าพลัง:
    +51,932
    The Action Never Die ... is Rule The World
    Hanuman And Sujja
     
  5. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,696
    ค่าพลัง:
    +51,932
    สิ่งที่ดี...สำหรับทุกคน

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  6. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,696
    ค่าพลัง:
    +51,932
    ผู้ทำได้ ต้องกลับมาทำให้สำเร็จ

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  7. banpong

    banpong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,434
    ค่าพลัง:
    +1,770
    สา......ธุ ครับ เจ้ หนุมาน
     
  8. Little Duck

    Little Duck เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +1,981
    [​IMG]

    อาสาฬหบูชา วันที่ 26 กรกฎาคม 2553 ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8/8

    26/7/2553 = 26+7+2+5+5+3 = 48 =12 = DHL



    ขอเชิญทุกท่านเวียนเทียนในค่ำคืนนี้ การเวียนเทียน เปรียบเสมือนการการขับเคลื่อนกงล้อแห่งธรรม ..
    [​IMG]

    โปรดร่วมแรงร่วมใจทำสมาธิแผ่เมตตาส่งพลัีง
    รักอันปราศจากเงื่อนไข ขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศโลก เพื่อปรับพลังงานความสมดุลย์ให้เกิดสันติสุขแก่มนุษยชาติ

    แล้วเราจะได้พบกัน เวลา 22 : 22

    UNIVERSE ..
     
  9. ingshie

    ingshie เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2010
    โพสต์:
    77
    ค่าพลัง:
    +531
    <object width="480" height="385"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/CigISPlRj_M&amp;hl=en_US&amp;fs=1?color1=0x006699&amp;color2=0x54abd6"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowscriptaccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/CigISPlRj_M&amp;hl=en_US&amp;fs=1?color1=0x006699&amp;color2=0x54abd6" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="480" height="385"></embed></object>

    สวัสดีค่ะ ขอให้ทุกคนมีความสุข นะคะ

    วันนี้ไปทำบุญมาค่ะ ก็ได้ไปในพื้นที่รอบนอก ต้นไม้เขียวขจี

    ธรรมชาติงดงาม ชวนให้รู้สึกดี เหลือเกิน

    อย่าทำงานหนักมากเกินไปนะคะ พักผ่อนบ้าง ดูต้นไม้ อยู่กับธรรมชาติ

    ทำให้ผ่อนคลายมากๆเลยค่ะ เป็นหลักการง่ายๆ ที่ชุมชนคนเมือง ไม่ค่อยได้ทำกัน


    ลองเปิดใจรับฟังเสียงจากธรรมชาติดูสิคะ :D
     
  10. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728
    ถึงแม้ข้าพเจ้าจะไม่ได้นั่งสมาธิ ณ เวลา 22.22 ในวันอาสาฬหบูชา แต่ในคืนนั้นในขณะนั่งรอเวียนเทียนหน้าโบสถ์ ข้าพเจ้าก็ได้ทำจิตให้เย็นสบาย โดยการกำหนดไปที่ ลิ้นปี่ และสัมผัสได้ถึงความเย็น ข้าพเจ้าแผ่มันออกไปจากศูนย์กลางเป็นคลื่นวงกลม แผ่กระจายออกไป แม้มันจะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆก็ตาม อย่างไรก็ดี เช้าวันเข้าพรรษา ข้าพเจ้าก็ได้รับการ CONFIRM บางอย่างเรียบร้อยแล้ว

    เมื่อข้าพเจ้าได้กลับไปเปิดในสมุดบันทึกที่ผ่านมา ข้าพเจ้าพบว่า ข้าพเจ้าได้ละเลยไปหลาย KEY และ อธิบายอย่างขาดตกบกพร่องไปอีกหลาย KEY อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าเองก็พบว่า ทุกสิ่งที่ผ่านมาล้วนแต่เป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไปทั้งสิ้น หลายท่านที่เคยอยู่ในห้องนี้ก็กำลังเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นในแง่ความคิด และ การปฏิบัติ ไม่เว้นแม้แต่ตัวข้าพเจ้าเอง ที่ค่อย ๆ เปลี่ยนความคิดไปในแง่บวกเพิ่มมากขึ้น

    ข้าพเจ้าจำเป็นต้องกลับมาเรียบเรียง KEY ใหม่ตั้งแต่ต้นอีกครั้งภายในเดือน ส.ค 53 นี้ โดยความละเอียดของแต่ละคีย์จะขยายความเพิ่มมากขึ้นตามระดับขั้นสติสัมปชัญญะของตัวข้าพเจ้าเอง

    สิ่งที่ข้าพเจ้าจะได้ลงรายละเอียดเพิ่มในอนาคตอันถูกลำดับไปตามความเชื่อแห่งกาลเวลานี้ เปรียบได้เสมือนกับที่ข้าพเจ้ากำลังทำวิทยานิพนธ์ก่อนจะก้าวขึ้นสู่อีก ระดับของสติสัมปชัญญะ

    ข้าพเจ้ากมีความตั้งใจ และจำเป็นจะต้องทำมันให้ "เสร็จสิ้นทันเวลา" ตามสัญญาภายในที่ ได้ตั้งเป้าหมายไว้ ข้าพเจ้าเห็นทุกอย่างเขียน และถูกต่อให้เป็นภาพเรียบร้อยแล้วภายใน จินตนาการ 22.22 ยุคแห่งความรัก ความเมตตาที่ทุก ๆ คนพากันเข้าใจในสรรพสิ่ง และดำรงอยู่กับธรรมชาติ ตลอดชั่วอายุที่ถูกกำหนดด้วยกาลเวลา อย่างสง่างาม

    ด้วยรัก

    JINTAWADEE PAVEENA

     
  11. ศิลปินชนบท

    ศิลปินชนบท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    773
    ค่าพลัง:
    +1,678
    เหมือนกำลังทบทวน และหาคำตอบในบางสิ่งอยู่ในขณะนี้
    แต่ก็ยังเหมือนรออะไรบางอย่าง>>>ไม่รู้ว่าคืออะไรเหมือนกันค่ะ hello2

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=Obdwf96pZ50&feature=related]YouTube - modern dog: "...before"[/ame]
     
  12. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728
    WELCOME THE BETTER DAY WITH HEAL THE WORLD


    There's a place in your heart
    And I know that it is love
    And this place could be much brighter than tomorrow
    And if you really try
    You'll find there's no need to cry
    In this place you'll feel there's no hurt or sorrow

    There are ways to get there
    If you care enough for the living
    Make a little space
    Make a better place...

    Heal the world
    Make it a better place
    For you and for me and the entire human race
    There are people dying
    If you care enough for the living
    Make a better place for you and for me

    If you want to know why
    There's a love that cannot lie
    Love is strong
    It only cares of joyful giving
    If we try
    We shall see
    In this bliss
    We cannot feel fear or dread
    We stop existing and start living

    Then it feels that always
    Love's enough for us growing
    So make a better world
    Make a better world...

    Heal the world
    Make it a better place
    For you and for me and the entire human race
    There are people dying
    If you care enough for the living
    Make a better place for you and for me

    And the dream we were conceived in
    Will reveal a joyful face
    And the world we once believed in
    Will shine again in grace
    Then why do we keep strangling life
    Wound this earth
    Crucify its soul
    Though it's plain to see
    This world is heavenly be God's glow

    We could fly so high
    Let our spirits never die
    In my heart I feel you are all my brothers
    Create a world with no fear
    Together we cry happy tears
    See the nations turn their swords into plowshares

    We could really get there
    If you cared enough for the living
    Make a little space
    To make a better place...

    Heal the world
    Make it a better place
    For you and for me and the entire human race
    There are people dying
    If you care enough for the living
    Make a better place for you and for me

    Heal the world
    Make it a better place
    For you and for me and the entire human race
    There are people dying
    If you care enough for the living
    Make a better place for you and for me

    Heal the world
    Make it a better place
    For you and for me and the entire human race
    There are people dying
    If you care enough for the living
    Make a better place for you and for me

    There are people dying
    If you care enough for the living
    Make a better place for you and for me

    There are people dying
    If you care enough for the living
    Make a better place for you and for me

    You and for me
    You and for me
    You and for me
    You and for me
    You and for me
    You and for me
    You and for me
    You and for me
    You and for me
    You and for me

    คำแปล

    มีสถานที่หนึ่งในใจคุณ
    และฉันรู้ว่ามันเปี่ยมไปด้วยรัก
    สถานที่นั้นจะสว่างไสวยิ่งกว่าวันพรุ่ง
    และหากเธอพยายามอย่างแท้จริง
    เธอจะพบว่าไม่จำเป็นเลยที่จะต้องร่ำไห้
    ที่แห่งนี้ จะไม่มีความเจ็บปวดและเศร้าหมอง

    หลากหลายหนทางที่จะเข้าไปในที่นั้น
    ถ้าเธอใส่ใจกับการมีชีวิตมากพอ
    สร้างช่องว่างเล็กๆ
    เพื่อทำให้ที่ที่เป็นอยู่ดีขึ้น

    รักษาโลกไว้ ทำให้มันดีขึ้น
    เพื่อเธอและฉัน
    และเพื่อมนุษยชาติทั้งมวล

    มีประชากรโลกกำลังสิ้นใจ
    ถ้าเธอใส่ใจกับการมีชีวิต มากพอ
    ทำให้มันดีขึ้น เพื่อเธอและฉัน

    หากเธอต้องการรู้ว่า
    ทำไมยังมีรักที่ไม่หลอกลวง
    ความรักมีพลัง และมันก็มีแต่จะให้ความสุข


    ถ้าเราพยายาม เราจะพบกับความสุขอันล้นพ้น
    ไม่ต้องกังวลถึงความหวาดกลัวใดๆ
    หยุดความเป็นอยู่ในวันนี้ และเริ่มชีวิตใหม่

    มันจะทำให้คุณรู้สึกว่า ความรัก
    เพียงพอสำหรับที่เราจะได้รับจนกว่าเราจะโต
    เพื่อทำให้โลกเราดีขึ้น

    รักษาโลกไว้ ทำให้มันดีขึ้น
    เพื่อเธอและฉัน
    และเพื่อมนุษยชาติทั้งมวล
    มีประชากรโลกกำลังสิ้นใจ
    ถ้าเธอใส่ใจกับการมีชีวิต
    ทำให้มันดีขึ้น เพื่อเธอและฉัน


    และเมื่อมีความฝันในใจ เราจะฉายประกายความสุขออกมา
    และโลกที่เราเคยเชื่อถือนี้ ก็จะส่องสว่างขึ้นมาสวยงามอีกครั้ง


    ทำไมเราต้องดำเนินชีวิตด้วยความกดดัน
    ทำให้โลกต้องสร้างบาดแผลให้กับตัวเอง
    มันก็เห็นชัดเจนอยู่แล้ว
    โลกนี้คือสวรรค์ที่พระเจ้าสร้างขึ้น

    เราโบยบินได้สูงไกลสายตา
    ปลดปล่อยวิญญาณอันอมตะ
    ฉันรู้สึกว่าพวกเธอทุกๆคนคือพี่น้อง
    ร่วมกันสร้างโลกที่ไร้ซึ่งความหวาดกลัว
    เราจะร่วมร้องไห้ด้วยน้ำตาที่เป็นสุข
    เปลี่ยนการรบ สู่ความราบรื่น

    เราสามารถทำได้จริง
    ถ้าเธอใส่ใจกับการมีชีวิต

    สร้างช่องว่างเล็กๆ
    เพื่อทำให้ที่ที่เป็นอยู่ดีขึ้น

    รักษาโลกไว้ ทำให้มันดีขึ้น
    เพื่อเธอและฉัน
    และเพื่อมนุษยชาติทั้งมวล
    มีประชากรโลกกำลังสิ้นใจ
    ถ้าเธอใส่ใจกับการมีชีวิต
    ทำให้มันดีขึ้น เพื่อเธอและฉัน

    เพื่อเราทุกคน
     
  13. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728
    หากจะมีท่านใด นำ MP3 มาลง ขอให้เป็นหน้า 53 อันเป็นหน้าถัดไปของหน้านี้ เพื่อให้เสียงเพลง REFRESH ที่คุณวสุธรรมนำมาลงไว้ในหน้านี้ ทำหน้าที่เพิ่มความสดชื่น และกระแสดี ๆ ของห้องนี้ต่อไป
     
  14. Sopasiri

    Sopasiri เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    449
    ค่าพลัง:
    +912
    心から君を愛してる ♪ I love you from my heart. I love you all from my heart. All from heart is love. แต่ละนาทีจากหัวใจคือความรัก ♪ World peace not war.
     
  15. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 สิงหาคม 2010
  16. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,696
    ค่าพลัง:
    +51,932
    *** สัญญาใจที่สุดจะแสนยิ่งใหญ่ ****

    สัจจะ คือ สัญญาใจตนเอง
    เป็น สัญญาที่ทำขึ้นไว้กับใจตนเอง
    ท่าน เคยให้สัจจะว่า...จะทำอะไรบางอย่างเกี่ยวกับศาสนา !!!!

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  17. วสุธรรม

    วสุธรรม พลังรักอมตะ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    2,323
    ค่าพลัง:
    +8,220
    [​IMG]
    เข้าพรรษาแล้วนะครับ
    สงบจิต รักษาศีล ตั้งมั้นการทำความดี
     
  18. วสุธรรม

    วสุธรรม พลังรักอมตะ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    2,323
    ค่าพลัง:
    +8,220
    ของฝากอย่างดี..แด่เพื่อนธรรมทั้งหลาย

    สิ้นโลก เหลือธรรม 4
    แสดงธรรม โดย พระราชนิโรธรังสี (เทสก์ เทสรังสี)
    วัดหินหมากเป้ง อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย


    อายตนะภายในที่ว่ามานี้ มันเป็นของหลอกลวงเหมือนกันจะเชื่อมันเป็นของจริงเป็นของจังทั้งหมดไม่ได้ ของทั้งหมดที่มีอยู่ในโลกนี้ จะต้องเป็นของจริงบ้าง ของปลอมบ้าง ด้วยกันทั้งนั้น สรรพสังขารทั้งหลายซึ่งมีอยู่ในโลกนี้ทั้งหมด ไม่ว่าสิ่งสารพัดวัตถุ สัตว์มนุษย์ ทั้งปวง ล้วนแต่เป็นของหลอกลวงกันทั้งนั้น
    โลก คือ จิต ของคนเรา มาหลอกลวงจิตให้หลงในสิ่งต่างๆ ว่าเป็นจริงเป็นจัง แต่แล้วสิ่งเหล่านี้เป็นแต่เพียงมายาเท่านั้นเกิดมาแล้วก็สลาย แตกดับไปตามธรรมดาของมัน


    เช่นมนุษย์เกิดมาจากธาตุ 4 ประชุมกันเข้าเป็นก้อนอันหนึ่งเขาเรียกกันว่า ก้อนธาตุ จิตมนุษย์เข้าไปยึดถือเอา จึงสมมุติเรียกว่าเป็นมนุษย์ เป็นหญิง เป็นชาย เป็นหนุ่ม เป็นสาว แต่งงานกันมีลูกออกมา หลงรักหลงใคร่ แล้วก็โกรธเกลียดชังกัน เบียดเบียน ฆ่าฟัน อิจฉาริษยา ซึ่งกันและกัน ส่วนอาชีพการงานก็เหมือนกัน เกิดมาในโลกกับเขาแล้ว จะไม่ทำก็อยู่กับเขาไม่ได้ ต้องกระทำ ทำมาค้าขาย หรือกสิกรรมกสิกร หรือเป็นข้าราชการทำไปจนวันตายก็ไม่จบไม่สิ้น คนนี้ตายไปแล้วคนใหม่เกิดมา ตั้งต้นทำอีก ยังไม่ทันหมดทันสิ้นก็ตายไปอีกแล้ว
    ตราบใดโลกนี้ยังมีอยู่ มนุษย์คนเราก็เกิดมาทำอยู่อย่างนี้ร่ำไปทุกๆ คน เมื่อตายไปแล้วก็ไม่มีใครหอบเอาสิ่งที่ตนกระทำไว้นั้นไปด้วยสักคนเดียว แม้แต่ร่างกายก็ทอดทิ้ง เว้นแต่กรรมดี และกรรมชั่วที่ตนทำไว้เท่านั้น ที่ตามจิตใจของตนไป
    โลกจิต ที่มีวิญญาณครองยังหลอกจิตได้ ไม่เห็นแปลกอะไรเลย แม้ที่สุด โลกที่หาวิญญาณครองไม่ได้ ก็ยังหลอกจิตเลย เราจะเห็นได้จากสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เช่น ป่า ดง พงไพร ต้นไม้ประกอบด้วยพันธ์ไม้นานาชนิด เกิดในดงงดงาม เขียวชอุ่ม ประกอบด้วย กิ่ง ก้านดอก ผล เป็นช่อระย้า เรียงลำดับเป็นระเบียบเรียบร้อย ยิ่งกว่าคนเอาไปประดับตกแต่งไว้ ใครเห็นแล้วก็นิยมชมว่าสวยงาม ส่วนผาเล่าก็มีชะโงกเงื้อมงุ้ม เป็นตุ่ม เป็นต่อม มีชะง่อน ชะเงื้อม เพิงผา ดูน่าอัศจรรย์ เป็นหลั่นเป็นถ้องแถว ดังคนเอามาเรียงลำดับให้วิจิตรงดงาม
    ส่วนแม่น้ำลำธารซึ่งตกลงแต่ที่สูงแล้วก็ไหลลงสู่ที่ต่ำ เป็นลำธาร มีแง่มีมุม เป็นลุ่มเป็นดอน มีน้ำไหลวกวนเวียน มีหมู่มัจฉาปลาหลากหลายพันธุ์ว่ายวนเป็นหมู่ๆ ดูแล้วก็จับใจ ดูไป เพลินไปทำให้ใจหลงใหลไปตามๆ กัน ดูแล้วเหมือนของเหล่านั้นจะเป็นจริงเป็นจังเดี๋ยวๆ ของเหล่านั้นก็อันตรธานหายจากความทรงจำของเรา หรือมิฉะนั้นคนเราก็จักต้องอันตรธานหายไปจากสิ่งเหล่านั้น ไม่มีอะไรเหลือหลออยู่ในโลกนี้สักอันเดียว เป็นอนิจจังทั้งสิ้น
    เมื่อของในโลกนี้เป็นของหลอกลวงได้ "ธรรม" ธรรมที่เป็นโลกีย์ ก็หลอกลวงได้เหมือนกัน เราจะเห็นได้จากการนั่งสมาธิภาวนา เมื่อจิตจะรวมเข้าเป็นสมาธิ ตกใจผวา เหมือนกับมีคนมาผลักบางทีมีเสียงเปรี้ยง เหมือนเสียงฟ้าผ่าลงมาก็มี บางทีกายของเราแตกออกเป็นซีกๆ ก็มี บางทีมีแสงสว่างจ้าขึ้นมาแลเห็นสิ่งต่างๆ เข้าใจว่าเป็นจริงเป็นจัง พอลืมตาขึ้นหายหมด สารพัดแต่มันจะเกิด บางทีพอจิตจะรวมเข้าไป ปรากฏเห็นภูต ผี ปีศาจ ทำเป็นหน้ายักษ์ หน้ามารมาเลยกลัววิ่งหนี เลยเสียสติเป็นบ้าไปก็มี ธรรมที่ยังเป็นโลกีย์อยู่ก็หลอกลวงได้ เช่นเดียวกับโลกๆ เรานี้แหละ

    บางทีเราพิจารณาร่างกายอันนี้ให้เป็นอสุภะ เมื่อใจเราน้อมเชื่อมั่นว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ มันเลยเกิดอสุภะขึ้นมา เปื่อยเน่าเฟะไปทั้งตัวเลย แต่แท้ที่จริงแล้ว ร่างกายมันก็เป็นอสุภะธรรมดาๆ เท่าที่มันมีอยู่นั้นแหละ แต่เราเข้าใจผิด หลงไปเชื่อตามจิตมันหลอก เลยหลงเชื่อว่าเป็นอสุภะจริงๆ ไปยึดถือเอาจนเหม็นติดไม้ติดมือติดตัว ไปไหนก็มีแต่กลิ่นอสุภะทั้งนั้น
    จิตเราที่ฝึกหัดให้เข้าถึงธรรมแล้ว แต่ธรรมนั้นมันยังเป็นโลกียะอยู่ มันหลอกได้เหมือนกัน พระพุทธเจ้าจึงเทศนาว่า "จิตหลอกจิต" เราจะสังเกตได้อย่างไรว่าจิตหลอกจิต เรื่องของใจ จิต กับ ใจมันคนละอันกัน ดังภาษาชาวบ้านที่พูดกันว่า ใจๆ นั่นแหละ ใจ เขาหมายเอาของที่เป็นกลางกลาง อะไรทั้งหมดที่เป็นของกลางแล้ว เขาเรียกว่า ใจ ทั้งนั้น

    คราวนี้มาพูดถึงเรื่อง จิต คือผู้คิด ผู้นึก ผู้ปรุง ผู้แต่งสัญญาอารมณ์ร้อยแปดพันเก้า ไม่มีที่สิ้นสุด นั้นเป็นเรื่องของ จิตตามความรู้สึกของคนทั่วไปแล้ว จิต กับ ใจ มักจะเป็นอันเดียวกัน ดังพูดออกมาเมื่อไม่สบายว่า "ไม่สบายใจ จิตใจหงุดหงิด" ดังนี้ เป็นต้นถ้าสบายใจก็บอกว่า "จิตใจมันปลอดโปร่งโล่งไปหมด"
    จิต กับ ใจ แยกออกไว้เป็นคนละส่วนกัน บางทีท่านก็เรียกว่า จิตเป็นของผ่องใสอยู่เป็นนิจ แต่อาคันตุกะกิเลสจรมา ทำให้จิตเศร้าหมองต่างหาก หรือบางทีท่านก็ว่า จิตเป็นของเศร้าหมอง จิตนี้เป็นของผ่องใสสะอาด อะไรหลายอย่าง ต่างๆ นานา ทำให้ผู้ศึกษาเรื่องจิต เรื่อง ใจ ยุ่งกันไปหมด

    จิต นี้ถ้าเราจะพิจารณาด้วยสามัญสำนึกแล้ว มันให้คิดให้นึก ให้ปรุง ให้แต่ง ไปต่างๆ นานา สารพัดร้อยแปดพันอย่าง ยากที่บุคคลจะห้ามให้อยู่ในอำนาจของตนได้ แม้ที่สุดแต่นอนหลับไปแล้วยังปรุงแต่งท่องเที่ยวไปเลย อย่างเราเรียกว่า ฝัน ปรุงแต่งไปทำธุรกิจการงานต่างๆ ไปทำสวน ทำนา ไปค้าขาย หาเงิน หาทอง อาชีพต่างๆ หรือ อาฆาตบาดหมาง ฆ่าฟันกัน เป็นต้น

    ถ้าเราฝึกหัด จิต ของตนที่ดิ้นรนนี้ให้สงบอยู่เป็นหนึ่งได้แล้ว เราจะมองเห็นจิตที่เป็นหนึ่งนั้น เป็นหนึ่งอยู่ต่างหาก กิเลสมีโทสะ เป็นต้นนั้น อยู่อันหนึ่งต่างหาก จิต กับ กิเลส มิใช่อันเดียวกันถ้าอันเดียวกันแล้ว ใครในโลกนี้จะทำใจให้บริสุทธิ์ได้ จิต เป็นผู้ไปปรุงแต่งเอา กิเลส มาไว้ที่จิตต่างหาก แล้วก็ไม่รู้ว่าอันใดเป็น จิตอันใดเป็น กิเลส

    พระพุทธเจ้าพระองค์ตรัสว่า จิตตัง ปภัสสรัง อาคันตุเกหิกิเลเสหิ จิตเป็นของผ่องใสอยู่ทุกเมื่อ กิเลสเป็นอาคันตุกะจรมาต่างหาก นี้ก็แสดงว่าพระพุทธองค์ตรัสไว้ชัดแล้ว

    ของในโลกนี้ต้องประสมกันทั้งหมดจึงเป็น โลก ของอันเดียวมีแต่ ธรรม คำสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ผู้เห็นธรรมเป็นของหลายอย่างต่างๆ กัน ผู้นั้นได้ชื่อว่ายังเข้าไม่ถึงธรรม นัยหนึ่งเหมือนกันน้ำเป็นของใสสะอาด เมื่อบุคคลนำเอาสีมาประสมย่อมมีสีต่างๆ เช่น เอาสีแดงมาประสมน้ำก็เลยเป็นสีแดงไป เมื่อเอาสีดำมาประสมน้ำก็เลยเป็นสีดำไป สุดแท้แต่จะเอาสีอะไรมาประสม น้ำก็เปลี่ยนแปลงไปเป็นสีนั้นๆ แท้จริงแล้วน้ำเป็นของใสสะอาดอยู่ตามเดิม หากผู้มีปัญญา สามารถกลั่นกรองเอาน้ำออกมาได้ น้ำก็ใสสะอาดเป็นปกติอยู่ตามเดิม สีเป็นเครื่องประสมให้น้ำเป็นไปต่างๆ

    น้ำเป็นของมีประโยชน์มาก สามารถชำระของสกปรกสิ่งโสโครกทั้งปวงให้สะอาดได้ ความสะอาดของตนมีอยู่แล้ว ยังสามารถแทรกซึมเข้าไปในสิ่งโสโครกทั้งปวง ชำระเอาสิ่งโสโครกเหล่านั้นออกมาได้ นี่ก็ฉันใด ผู้มีปัญญาทั้งหลายย่อมสามารถกลั่นกรองเอาจิตของตนที่ปะปนกับกิเลสออกมาได้ฉันนั้น
    คราวนี้มาพูดกันถึงเรื่อง จิต กับ ใจ ให้เข้าใจกนก่อนจึงค่อยพูดกันถึงเรื่องกิเลส อันเกิดจากจิตต่อไป

    จิต คือผู้คิด ผู้นึก ผู้ปรุง สังขาร สัญญาอารมณ์ทั้งหมดเกิดจากจิต เมื่อพูดถึงจิตแล้วไม่นิ่งเฉยได้เลย แม้ที่สุดเรานอนอยู่ก็ปรุงแต่งไปร้อยแปดพันเก้า อย่างที่เราเรียกว่า ฝัน นั่นเอง จิตไม่มีการนิ่งอยู่เฉยได้ จิตนอนหลับไม่เป็น แลไม่มีกลางคืน กลางวันเสียด้วย ที่นอนหลับนั้นมิใช่จิต กายต่างหาก มันเหนื่อยจึงพักผ่อนจิต เป็นของไม่มีตัวตน แทรกซึมเข้าไปอยู่ได้ในที่ทุกสถาน แม้แต่ภูเขาหนาทึบก็ยังแทรกเข้าไป แทรกทะลุปรุโปร่งได้เลย จิต นี้มีอภินิหารมาก เหลือที่จะพรรณนาให้สิ้นสุดได้

    ใจ คือผู้เป็นกลางๆ ในสิ่งทั้งปวงหมด ใจก็ไม่มีตัวตนอีกนั่นแหละ มีแต่ผู้รู้อยู่เฉยๆ แต่ไม่มีอาการไป อาการมา อดีตก็ไม่มีอนาคตก็ไม่มี บุญแลบาปก็ไม่มี นอกแลในก็ไม่มี กลางอยู่ตรงไหนใจ ก็อยู่ตรงนั้น ใจ หมายความเป็นกลางๆ ดังภาษาชาวบ้านเขาเรียกกันว่า ใจมือ ก็หมายเอาท่ามกลางมือ ใจเท้า ก็หมายเอาท่ามกลางเท้า แม้ที่สุดเมื่อถามถึงใจคนเรา ก็ต้องชี้เข้าท่ามกลางหน้าอก แต่แท้จริงแล้วที่นั้นไม่ใช่ใจนั่นเป็นแต่หทัยวัตถุ เครื่องสูบฉีดเลือดที่เสียแล้วกลับเป็นของดีให้ไปหล่อเลี้ยงสิ่งต่างๆ ในสรรพางค์ร่างกายเท่านั้น ตัวใจแท้มิใช่วัตถุ เป็นนามธรรม

    จิต กับ ใจ โดยความหมายแล้วก็อันเดียวกัน ดังพระพุทธเจ้าตรัสว่า "จิตอันใด ใจก็อันนั้น ใจอันใด จิตก็อันนั้น"จิต กับ ใจ เป็นไวพจน์ของกันแลกัน ดังพุทธภาษิตว่า จิตตังทันตัง สุขาวหัง จิตที่ฝึกดีแล้วนำความสุขมาให้ หรือ มโนปุพพังคมาธัมมา ธรรมทั้งหลายมีใจถึงก่อน เป็นต้น แต่โดยส่วนมากท่านจะพูดถึงเรื่องจิตเป็นส่วนมาก เช่นเรื่องพระอภิธัมม์ จะพูดแต่เรื่องจิตเจตสิกทั้งนั้น จะเป็นเพราะจิตทำงานมากกว่าใจ ไม่ว่าจะเรื่องของกิเลส หรือเรื่องของการชำระกิเลส (คือ ปัญญา) เป็นหน้าที่ของจิตทั้งนั้น

    กิเลสมิใช่จิต จิตมิใช่กิเลส แต่จิตไปยึดเอากิเลสมาปรุงแต่งให้เป็นกิเลส ถ้าจิตกับกิเลสเป็นอันเดียวกันแล้ว ใครในโลกนี้จะชำระกิเลสให้หมดได้
    จิต แล กิเลส เป็นแต่นามธรรมเท่านั้น หาได้มีตัวมีตนไม่จิตที่ส่งไปทางตา หู เป็นต้น ก็มิใช่ตา หู เป็นกิเลส แต่จิตกระทบกับอายตนะจึงเป็นเหตุให้เกิดกิเลสเท่านั้น เมื่อตาเป็นต้น กระทบกับรูปให้เกิดความรู้สึก แล้วความรู้สึกนั้นก็หายไป จิตไปตามเก็บเอาความรู้สึกนั้นมาเป็นอารมณ์ จึงเกิดกิเลส ดีแลชั่ว รักแลชังต่างหาก ผู้ไม่เข้าใจ ไปหลงว่าจิตเป็นกิเลส ไปแก้แต่จิต ตัวกิเลสไม่ไปแก้ ไม่ไปแยกเอาจิตให้ออกจากกิเลส อย่างนี้ แก้เท่าไรๆ ก็แก้ไม่ออก เพราะแก้ไม่ถูกจุดสำคัญของจิต จิตไปหลงยึดเอาสิ่งสารพัดวัตถุเครื่องใช้ต่างๆมาเป็นของกูๆ ติดมั่นอยู่ในสิ่งนั้นๆ มันเลยเป็นกิเลส

    เป็นต้นว่า เรือกสวน ไร่นา ทรัพย์สินเงินทอง วัตถุต่างๆแม้ที่สุดแต่บุตร ธิดา สามี ภรรยา พี่ ป้า น้า อา เป็นที่สุด ว่าเป็นของกูๆจิตเลยเป็นกิเลส แต่สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นมันเป็นอยู่อย่างไร มันก็เป็นอยู่อย่างนั้น มันหาได้ไปเป็นตามความหลงยึดมั่นถือมั่นของเราไม่ดังภรรยาสามีของเรา หลงยึดมั่นถือมั่น สำคัญว่าเป็นของเราจริงๆราวกับว่าเอาหัวใจของเขามาไว้ในหัวใจของเราเลยทีเดียว เวลาเขาคิดจะทำมิจฉาจาร เขาไม่ได้บอกเราเลยสักนิดเดียว พอรู้เรื่อง เราเกิดความทุกข์ระทมใจแทบตาย นี่ก็เพราะความหลง ไม่เห็นตามความเป็นจริงของมันนั่นเอง ยิ่งเป็นสิ่งที่หาวิญญาณไม่ได้เสียแล้ว ก็ยิ่งไปกันใหญ่ เช่น เพชร นิล จินดา ราคามากๆ เก็บใส่ตู้ใส่หีบไว้แน่นหนากลัวขโมยจะมาลักเอาไป แต่ตัวมันเองหาได้รู้สึกอะไรไม่ ใครมาลักมาขโมยเอาไปก็ไม่มีความรู้สึก จะโวยวายก็ตัวเจ้าของผู้ไปยึดมั่นถือมั่นนี้ต่างหาก กิเลสตัวผู้ไปยึดถือนี้มันร้ายกาจเอาเสียจริงๆ ไม่ว่าอะไรทั้งหมด มันเข้าไปยึดถือเอาเลยแล้วก็ฝังตัวลึกเข้าไปจนถอนไม่ขึ้นจิต ใจ และ กิเลส มีความหมายดังได้อธิบายมานี้
    จิต ผู้ที่ไม่ได้ฝึกฝนอบรมไว้ให้ดีแล้ว มีแต่จะนำให้กิเลสมาทับถมถ่ายเดียว ตรงกันข้าม ถ้าเป็นผู้ได้ฝึกฝนอบรม จิต ไว้ดีแล้วก็จะเป็นขุมทรัพย์อันมหาศาล เพราะจิตเป็นผู้แส่ส่ายแสวงหากิเลสใส่ตัวเอง พร้อมๆ กันนั้นก็เป็นผู้แสวงหาปัญญามาให้ตัวอีกด้วย

    บ่อเกิดกิเลสของจิต ก็ไม่พ้นจากอายตนะทั้ง 6 ซึ่งจิตเคยใช้อยู่ประจำแล้ว อายตนะทั้ง 6 นี้ เป็นสมบัติอันล้ำค่าของจิตเท่ากับแก้วสารพัดนึกของจิตก็ว่าได้ จะใช้ให้ไปดูรูปที่สดสวยงดงามสักปานใดก้ได้ ตา ก็ไม่อั้น ตามัว ตาเสีย ไปหาแว่นมาใส่ก็ยังได้ หู ก็ยิ่งใช้ได้ดีใหญ่เลย ตาหลับแล้วหูยังได้ฟัง ได้ยินสบายเลย จมูก ก็เช่นเดียวกัน ไม่ต้องไปยืมเอาตา แลหู มาดมกลิ่นแทน แต่จมูกจะต้องรับหน้าที่คนเดียว ดมกลิ่นเหม็น กลิ่นหอมด้วยตนเองทั้งนั้นลิ้น ก็ไม่ต้องเกี่ยงให้ตา หู จมูกมาทำหน้าที่รับรสแทนเลย พอป้อนอะไรเข้าในปากเท่านั้นแหละ ไม่ว่าอะไรทั้งหมด ลิ้นจะต้องรับหน้าที่รับรู้ว่า รสเผ็ด เค็มหวาน เปรี้ยว อร่อย แลไม่อร่อย ทันที กาย ก็รับรู้ว่าสัมผัสอันนี้นิ่มนวล อ่อน แข็ง อะไรต่างๆ ยิ่ง ใจ แล้ว มโนสัมผัส รู้คิดนึกอะไรต่อมิอะไรด้วยตนเอง ไม่ต้องไปเกี่ยวข้องด้วยอายตนะทั้ง 5 หรือจิตใดๆ ทั้งสิ้น เป็นหน้าที่ของใจโดยเฉพาะเลยทีเดียว
    สิ่งทั้ง 5-6 นี้เป็นของเก่า เคยรับใช้จิตมานานแล้วจนคล่องแคล่วทีเดียว แต่ให้ระวังหน่อย ของเก่าเราเคยใช้มา ให้ความสุขสบายมานานนั้น มันอาจทำพิษให้เราเมื่อไรก็ได้ ดังโบราณท่านกล่าวไว้ว่า ข้าเก่า งูเห่า เมียรัก ไม่ควรไว้วางใจ ของ 3 อย่างนี้ มันอาจทำพิษให้เราเมื่อไรก็ได้

    เมื่ออธิบายให้เข้าใจถึงเรื่อง จิต แล ใจ พร้อมด้วย กิเลสเครื่องเศร้าหมองของจิตแล้ว ผู้ต้องการที่จะกำจัดกิเลสให้พ้นออกจากจิตของตน พึงหัดสมาธิให้ชำนาญเสียก่อน จึงแยกจิตแลกิเลสออกจากกันได้ ถ้ามิฉะนั้นแล้ว จิตแลกิเลสจะเป็นอันเดียวกันเลยไม่ทราบว่าจะแยกอย่างไรกันออก ถ้ามีสมาธิแลชำนาญแล้ว การแยกจิตแลกิเลสออกจากกัน จะค่อยง่ายขึ้น คือจิตตั้งมั่นในอารมณ์อันเดียวแล้ว เรียกว่า สมาธิ สมาธิไม่มีอาการส่งส่ายไปภายนอก นั้นเป็นที่ตั้งฐานของการต่อสู้กับกิเลส จิตที่มันส่งส่ายไปหาอารมณ์ภายนอกนั้น มันส่งส่ายไปหากิเลส

    ถ้าหากเรากำหนดรู้เท่าทัน อย่าให้มันไปหมายมั่นสัญญาจดจำแลปรุงแต่ง ให้มีแต่เพียงรู้เฉยๆ กิเลสมันก็จะไม่เกิดขึ้น เพราะจิตนี้กว่าจะเกิดกิเลสขึ้น มันต้องจดจำ ดำริ ปรุงแต่ง มันจึงเกิดขึ้นถ้าเพียงแต่รู้เฉยๆ กิเลสไม่มี เช่น ตาเห็นรูป ก็สักแต่ว่าเห็น มันก็ไม่เกิดกิเลสอะไร

    ถ้าตาเห็นรูป จดจำว่าเป็นหญิง เป็นชาย ว่าดำ ว่าขาวสวย แลไม่สวย แล้วดำริ ปรุงแต่งไปต่างๆ นานา มันก็เกิดกิเลสตามเราปรุงแต่ง จึงมาทับถมจิตเราที่ผ่องใสอยู่แล้วให้เศร้าหมองไปสมาธิเลยเสื่อม กิเลสเลยเข้ารุมล้อม
    หูฟังเสียงก็เช่นเดียวกัน เมื่อหูฟังเสียงก็สักแต่ว่าฟังอย่าไปจดจำ หรือดำริ ปรุงแต่งในเสียงนั้นๆ ฟังแล้วก็ผ่านไปๆ มันก็จะไม่เกิดกิเลสอะไร เหมือนกับเราฟังเสียงนก เสียงกา หรือเสียงน้ำตก เป็นต้น ส่วนอายตนะอื่นๆ นอกนั้น มีจมูกเป็นต้น ก็ทำนองเดียวกัน

    เมื่อเราฝึกหัดสมาธิให้ชำนิชำนาญแล้ว เวลาอายตนะทั้งหลาย มีตาเห็นรูป เป็นต้น จะกำหนดจิตให้เข้าถึงสมาธิ แล้วจิตก็จะมองเห็นรูป สักแต่ว่ารูปเฉยๆ จะไม่จดจำว่ารูปเป็นหญิง เป็นชายเป็นหนุ่ม เป็นแก่ ขาวแลดำ สวย แลไม่สวย แล้วก็ไม่ดำริปรุงแต่งไปต่างๆ นานา กิเลสก็จะไม่เกิดในที่นั้นๆ การชำระจิตอย่างที่ว่ามานี้เป็นแต่ชำระได้ชั่วคราว เพราะเหตุทำสมาธิให้มั่นคงชำนิชำนาญ ถ้าสมาธิไม่มีกำลังแล้ว ไม่ได้ผลเลย ถ้าจะชำระจิตให้สะอาดหมดจริงจังแล้ว ต้องทำวิปัสสนา ซึ่งจะกล่าวต่อไปข้างหน้า

    ฌาน สมาธิ วิทยาศาสตร์ ใช้นามธรรมพิจารณารูปอย่างเดียวกัน แต่ต่างกันในความหมายแลความประสงค์ ฌาน แลสมาธิ ดังอธิบายมาแล้ว จะอธิบายซ้ำอีกเล็กน้อย เพื่อทวนความจำ

    ฌาน พิจารณาด้วยนามธรรม คือ จิต เอาไปเพ่งรูปธรรมคือ เช่นเพ่งร่างกายอันนี้ให้เห็นเป็นธาตุ 4 คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม จิตน้อมเชื่อมั่นว่าตัวของเราเป็นสิ่งนั้นจริงๆ จนเกิดภาพเป็นดินขึ้นมาจริงๆบางทีตนเองพิจารณาเห็นภาพหลอกลวง ว่าเป็นสิ่งนั้นจริงๆ จนกลัวเลยเกิดวิปริตจิตเป็นบ้าก็มี แลยังมีอาการมากกว่านี้อีกแยะ นี้เป็นเรื่องของ ฌาน

    เรื่องของ สมาธิ ก็พิจารณาอย่างนั้นเหมือนกัน แต่พิจารณาเป็น 2 นัย คือ ไม่เห็นแต่ภายใน เห็นทั้งภายนอกด้วย เห็นภายใน คือเห็นแบบฌาน เห็นว่าร่างกายเราเป็นอสุภะ เปื่อยเน่าเป็นของน่าเกลียด ความเห็นอีกอันหนึ่งเห็นว่ามันจะน่าเกลียดอะไร เราอยู่ด้วยกันมาแต่ไหนแต่ไรมา เราก็ไม่เห็นเป็นอะไร มันเป็นอสุภะก็ของธรรมดาของร่างกาย มันเป็นธรรมชาติของมันอยู่อย่างนั้นแต่ไรมาแล้ว นี่เป็นความเห็นของผู้ฝึกหัดสมาธิ

    เรื่องของ วิทยาศาสตร์ ก็พิจารณาอย่างนั้น พิจารณาจนนิ่งแน่วลงสู่เรื่องนั้นจริงๆ ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วก็จะไม่รู้เรื่องเหล่านั้นเช่น พิจารณากายวิภาค เห็นเรื่องของกายมนุษย์คนเรามีชิ้นส่วนประกอบด้วยสิ่งต่างๆ ให้เคลื่อนไหวไปมาได้อย่างนี้ๆ แล้วก็บันทึกไว้เป็นตำรา ดีเหมือนกัน ถ้าไม่มีวิทยาศาสตร์ เราเกิดมาก็ไม่ได้เห็นสิ่งต่างๆ ในโลกนี้ วิทยาศาสตร์ เป็นเครื่องมือสร้างโลก ของผู้ยังติดอยู่ในโลก ยังไม่เบื่อ บางคนอายุตั้ง 100 ปี ยังไม่อยากตายยังขออยู่ไปอีกสัก 50 - 60 ปีก่อน นักวิทยาศาสตร์สร้างโลกยังไม่จบตายไปแล้ว คนอื่นเกิดมาสร้างใหม่อีก ตายแล้วเกิด เกิดแล้วตามมาสร้างโลก อย่างนี้ไม่รู้จักจบสิ้น


    ***มีเนื้อหาน่าสนใจอีกหลายกระทู้***

    อ้างอิง
    http://palungjit.org/threads/เมือถูกมาร-หรือ-อสูรเข้าแทรก-ควรปฏิบัติ-อย่างไร.251007/



     
  19. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    โอ้ ไม่ได้มาเยี่ยมหลายวัน ห้องนี้ตกไปหลายหน้า แวะมาดันกระทู้ก่อนนะ
    เดี๋ยวจะเข้ามาตามเก็บข้อมูล และแบ่งปันข้อมูลบ้าง
    ขอให้ทุกท่านประสบแต่ความสุขความเจริญ
     
  20. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    พระจันทร์ทรงกลดท่ามกลางเมฆหมอกปกคลุมโลก

    คืนวันอาสาฬหบูชาที่ 26 กรกฎาคม 2553 <O:p</O:p
    พระจันทร์ทรงกลดท่ามกลางเมฆหมอกปกคลุมโลก<O:p</O:p
    ดิฉันทำสมาธิอยู่ที่บ้าน ช่วงที่ทำสมาธิ จิตสงบนิ่งดีมาก <O:p</O:p
    สงบเย็นสบายอยู่ภายใน มากกว่าทุกวันที่เคยทำมา
    <O:p</O:p
    คืนนั้นจำได้ว่าท้องฟ้ามีเมฆมาก และคิดว่าคงไม่เห็นพระจันทร์แน่แล้ว<O:p</O:p
    แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อถอยออกจากสมาธิแล้วลงไปกรวดน้ำที่หน้าบ้าน<O:p</O:p
    บนท้องฟ้าที่มีเมฆหม่นปกคลุมอยู่ทั่วไป<O:p</O:p
    กลับปรากฏจันทร์เพ็ญอยู่หลังม่านหมอก <O:p</O:p
    สาดแสงรัศมีเป็นวงกว้างดั่งจันทร์ทรงกลด
    <O:p</O:p
    ดิฉันรู้สึกแปลกใจมาก เพราะในเวลาที่มีเมฆหมอกปกคลุมท้องฟ้าจนมืดครึ้ม<O:p</O:p
    ยังปรากฏจันทร์ฉายออกมาได้<O:p</O:p
    จึงตระหนักได้ว่าพุทธานุภาพนั้นยิ่งใหญ่เหนือประมาณ<O:p</O:p
    มหาโมทนา สาธุ<O:p</O:p
    <O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 สิงหาคม 2010
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...