มโนมยิทธิ กับ มหาสติปัฏฐาน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย คนเก่า, 24 พฤศจิกายน 2004.

  1. คนเก่า

    คนเก่า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    1,355
    ค่าพลัง:
    +15,055
    บ่อยครั้งที่ได้เห็นการแสดงความเห็นในที่ต่างๆ ว่ากล่าวการปฏิบัติแบบใดแบบหนึ่งว่าดีกว่า โดยเฉพาะให้การยกย่องการปฏิบัติแบบมหาสติปัฏฐานสี่ว่าเป็นทางสายเอกพร้อมกับทับถมปรามาสการปฏิบัติแบบมโนมยิทธิ

    ผมมักบอกเล่าสั้นๆเสมอว่า ธรรมของพระพุทธองค์เป็นหนึ่งเดียว ไม่ค่อยได้อธิบายมาก เพราะไม่ต้องการถกเถียงเอาชนะกับใคร โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่บ่อยครั้งคาดได้ว่าผู้ถามมิได้ถามเพื่อความรู้อย่างแท้จริง หากถามเพื่อต้องการจุดประเด็นให้เกิดความแตกแยกเท่านั้น ผู้ที่เข้าไปแสดงความเห็นเกี่ยวกับประเด็นนี้ในเว็บต่างๆ กรุณาระมัดระวังอย่าตกเป็นเครื่องมือให้พวกอเวจีเหล่านี้ปั่นหัวเอาได้

    และเพื่อให้เกิดความชัดเจนเป็นธรรมทานแก่ผู้สนใจใคร่รู้ จึงขอใช้ความเข้าใจของตนแจกแจงให้เป็นประโยชน์บ้าง

    ผมเองเคารพศรัทธาในครูบาอาจารย์หลายสำนัก หลายสายการปฏิบัติ ซึ่งล้วนแล้วมั่นใจอย่างถวายหัวว่าท่านต่างเป็นพระสงฆ์สาวกแห่งพระบรมศาสดาอย่างเต็มภาคภูมิ ล้วนแล้วให้ความเมตตาอย่างเปี่ยมล้น เฝ้าสั่งสอนให้ศิษย์โง่คนนี้ ได้มีวาสนาลิ้มรสสัมผัสพระสัทธรรมอันบริสุทธิ์บ้าง ยังไม่เคยเห็นท่านสอนขัดกันแม้แต่น้อย

    การปฏิบัติแบบมหาสติปัฏฐานสี่ โดยมักมีการภาวนาพุทโธพร้อมจับลมหายใจ เป็นหลักในการฝึกและทรงสมาธิ จากนั้นก็มาใช้สติจับที่อิริยาบท ต่อมาก็จับเวทนา หรือความรู้สึกหลักๆ 3 อย่าง คือ สุข ทุกข์ และไม่สุขไม่ทุกข์

    จากเวทนาก็มาเป็นจิต คือให้เฝ้าดูการเสวยอารมณ์ทุกขณะจิต แล้วก็มาดูธรรม หรือธรรมชาติ ซึ่งที่สุดแล้วก็จะเข้าใจอย่างถ่องแท้ในกฎแห่งธรรมชาติ อันมีหลักใหญ่ๆที่เป็นแม่บท เช่น กฎพระไตรลักษณ์ กฎแห่งกรรม และพระอริยสัจจ เป็นที่สุด

    มโนมยิทธิที่หลวงพ่อเมตตานำมาสอนลูกหลานก็มิได้ทิ้งการปฏิบัติเหล่านี้ของมหาสติปัฏฐาน การทำแบบครึ่งกำลังต้องใช้ทั้งกำลังสมาธิซึ่งต้องมีพื้นฐานจากอานาปานุสสติเช่นกัน จับยึดพุทธานุสสติเช่นกัน และใช้กำลังแห่งวิปัสสนาญาณเพื่อเข้าถึงความไม่ลังเลสงสัยในกฎแห่งธรรม(ชาติ)ที่พระพุทธองค์ทรงสอนสั่งไว้ จนสามารถละวางอวิชชาความโง่ได้ชั่วคราว ละนิวรณ์อันเป็นอุปสรรคขัดขวางการได้ผลแห่งจากปฏิบัติได้ชั่วคราว ทั้งหมดนี้เพื่อเสวยผลสุดท้าย คือ อารมณ์พระนิพพาน

    จึงเห็นได้ว่าหากตัดญาณ 8 และฤทธิ์ทางใจออกไป การปฏิบัติแบบมโนมยิทธิและมหาสติปัฏฐานก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันนั่นเอง

    หากผู้ใดจะถนัดปฏิบัติอย่างไรจนได้ผล ย่อมขึ้นอยู่กับจริตวาสนาที่สร้างสมบำเพ็ญมา หาใช่ควรเลือกปฏิบัติแบบใดแบบหนึ่งเพราะดีกว่าอีกแบบหนึ่งไม่

    ผู้ที่เหมาะจะปฏิบัติแบบมโนมยิทธิ คือเหล่าลูกหลานที่ติดตามหลวงพ่อมานานมากๆ ซึ่งมีจริตซุกซน อยากรู้อยากเห็น ชอบทดลอง ชอบฤทธิ์ชอบเดช ชอบเครื่องรางของขลัง เรียกว่าติดอย่างนี้ ชอบอย่างนี้มาหลายอสงไขยกัปปแล้ว เหมือนดังพระสารีบุตรที่ยังติดอาการแบบลิง จะบังคับเลิกนะเป็นไปไม่ได้ ต่อให้เป็นพระอรหันต์แล้วยังเลิกไม่ได้เลย ก็ย่อมต้องใช้ความชอบความติดนี้ให้เป็นประโยชน์ที่สุด เป็นบันไดเป็นทางสายเอก (แบบลิงๆ) เพื่อเข้าสู่พระนิพพาน

    มีเคล็ดที่ต่างจากการปฏิบัติแบบมหาสติฯ อยู่อีกเล็กน้อย ซึ่งก็เป็นกรณีเฉพาะสำหรับลูกหลานหลวงพ่อเท่านั้น คือด้วยเหตุที่หลวงพ่อท่านบำเพ็ญบารมีปลายมาแล้วถึง 16 อสงไขยแสนกัปปหย่อนไปไม่กี่ชาติ ลูกหลานที่ติดตามมาจึงระหกระเหินตามต้อยๆจนลิ้นห้อย เหงือกแห้งกันแถว ต่อให้เพิ่งมาคิดตามเอาค่อนทาง ระยะเวลาที่บำเพ็ญยังเกินกำหนดไปหลายขุม แถมหลายท่านจับใจจับใจว่าพ่อเก่ง แม่เก่ง ปู่เก่ง ย่าเก่ง พี่เก่ง บำเพ็ญเพื่อพระโพธิญาณกันทั้งน้าน เลยเอาบ้างซิ เดี๋ยวจะน้อยหน้า เดินทางไกลไม่พอ ยังยกช้างขึ้นแบกเอาโก้อีกตะหาก

    แต่ก็อย่านึกลำพองไปนะครับ หลวงพ่อเตือนแล้วเตือนอีกจนปากเปียกปากแฉะว่า ใครนึกว่าตนเองดีแล้ว ก็เลวเมื่อนั้น จงคอยเฝ้าพิจารณาให้เห็นความผิด ความเลวของตนอยู่เสมอ เพื่อจะได้ปรับปรุงแก้ไขให้ดีให้ได้

    ฉะนั้นส่วนใหญ่ กำลังจึงเกินแล้วเกินอีกไปหลายขุมกันแทบทุกคน ที่ไม่รู้จักจบก็เพราะตามพ่อ(แฮะๆ กราบเท้าขอขมาพ่อ ลูกเปล่าโทษพ่อนาขอรับ) พอพ่อหักมุมบ๊ายบายเอาดื้อๆ จะให้ไปเริ่ม ก.ไก่ ข.ไข่ อีกก็เบื่อตายชัก พ่อจึงต้องให้ Thesis ระดับ Post Grad. เหล่าฝูงวานรจึงจะค่อยสนใจมานั่งแคะ แกะไปแคะมาก็เรียบร้อย ไปป๋ออยู่กับพ่อกันเป็นแถวๆ

    จึง ซ.ต.พ. ด้วยประการฉะนี้ละครับท่านสารวัตร

    ใครใคร่ปฏิบัติอย่างไร ถนัดอย่างไหน ก็ทำกันไปเถิด น่าโมทนาสาธุทั้งสิ้น ล้วนแล้วเป็นธรรมของพระบรมศาสดาประทานไว้เพื่อความที่สุดแห่งทุกข์ทั้งสิ้น ขออย่านำมากล่าวทับถมกันเลยนะว่า อย่างนี้ดีกว่าอย่างนั้น เพราะเป็นการปรามาสพระธรรมอย่างน่าสังเวช
     
  2. คนเก่า

    คนเก่า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    1,355
    ค่าพลัง:
    +15,055
    ว้า ว่าจะเขียนให้เป็นกลางๆ กลอนพาไป ออกแนวเบ่งๆจนได้ อันนี้เป็นความเลวของผมเองครับ เผลอไม่ได้เป็นอวดดี ขี้เบ่งอย่างนี้แหละ ขออภัยด้วยครับ กรุณาอย่านำข้อความทำนองนี้ไปใช้อธิบายกับท่านที่ปฏิบัติแบบมหาสติฯนะครับ จะเป็นชนวนให้เกิดความไม่พอใจ แตกคอกันเปล่าๆ

    ความจริงหลวงพ่อก็กล่าวชมท่านที่มุ่งปฏิบัติแบบสุกขวิปัสโกว่ามีกำลังใจที่เข้มแข็งมาก เปรียบเหมือนเอาผ้าผูกตาให้เดิน ท่านก็ไปของท่านจนถึงที่หมายได้
     
  3. กระเจียว

    กระเจียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,354
    ค่าพลัง:
    +2,011
    ขอบพระคุณมากค่ะ คุณคนเก่า กระทู้ดีมากค่ะ:cool:
     
  4. โมฆบุรุษ

    โมฆบุรุษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    420
    ค่าพลัง:
    +6,023
    ขอบคุณครับพี่คนเก่า:cool:

    ผมเพิ่งฟังหลวงพี่สมปองท่านเทศน์ของวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๔๒ จบไปเมื่อไม่ถึง ๒ ชั่วโมงที่แล้วเองครับ
    ท่านบอกว่า พระไตรปิฎก ๔๕ เล่ม มี ๘๔๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ก็เพราะจริตมนุษย์แต่ละคนนั้นต่างกัน
    แต่สุดท้าย คำสอนขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาก็คือ
    ขันธ์ ๕ ไม่เที่ยง ขันธ์ ๕ ไม่มีในเรา เราไม่มีในขันธ์ ๕
    (หรือเอาแบบชาวบ้านก็คือ ไม่มีอะไรเป็นตัวเรา ไม่มีอะไรเป็นของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา ซึ่งก็คือสักกายทิฏฐินั่นเอง)
     
  5. มารสะท้าน

    มารสะท้าน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +97
    ครับ สำสอนของพุทธศาสนาที่มีมากนั้น ก็เหมือนอย่าที่คุณโมฆบุรุษบอกน่ะครับ คนเราต่าจิตต่างใจ
    คำสอนจึงต้องปรับให้เหมาะกับอุปนิสัยของแต่ละคน
    แตจุดประสงค์ก็เหมือนกัน คือหมดทุกข์

    เปรียบเหมือนคนป่วย หลายคนก็หลายโรค
    หมอก็ต้องให้ยาต่างกัน
    แต่จุดประสงค์เดียวกัน นั่นก็คือ....
    ให้หายจากโรคนั่นเอง.....

    ไม่ว่าจะเป็นมโมยิทธิ-อาณาปานสติ-หรือมหาสติ......
    ต่างก็เป็นทางอันเป็นไปเพื่อสงบระงับ
    แล้วแต่ว่าใครจะเหมาะกับการฝึกแบบไหน

    :cool:


    --------------------------------------------------

    มารสท้าน
     
  6. santosos

    santosos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    1,165
    ค่าพลัง:
    +3,212
    ถ้าคุณได้เห็นสิ่งต่างๆจากมโนม คุณควรเข้าให้ถึงนิพพานที่แท้ ตามพุทธพจน์

    ถ้าคุณได้เห็นสิ่งต่างๆจากมโนม คุณควรเข้าให้ถึงนิพพานที่แท้ ตามพุทธพจน์
     
  7. พฤติจิต

    พฤติจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ธันวาคม 2004
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +230
    ขออนุโมทนาสาธุกับคุณคนเก่าอย่างยิ่งครับ
    ขอขมาพระรัตนตรัย ครูอุปัชฌา ทั้งหลายของข้าพเจ้าก่อนที่จะแสดงความเห็นลงไปอาจผิดถูกอย่างไรอโหสิกรรมด้วยเทอญ
    ผมคิดว่าคนที่มาค้านและมาโต้แย้งในการฝึกกรรมฐาน แบบ มโนมยิทธิ ธรรมกาย และก็พุทโธ อะไรก็ตามซึ่งมีอยู่มากมายหลายวิธีมากๆซึ่งก็ขึ้นอยู่กับ บุรพกรรมเก่าของแต่ละคนว่า จิต จะมีจริตอย่างไรกับการฝึกอย่างไร ถ้าคนที่เข้าใจในแต่ละวิธี และกระบวนการ การปฏิบัติของแต่ละวิธี นั้นก็จะเข้าใจว่า เออ นี่นะ ก็คือ มหาสติปฐานสูตรนั่นเอง ไม่ได้มีอะไรที่แตกต่างกันเลยนะครับเพราะเค้าไม่เข้าใจเค้าเลยกล้าที่จะเพลี่ยงพร้ำลบหลู่ ครูบาอาจารย์ ทั้งหลายในแต่ละสาย
    ข้อสังเกตง่ายๆ นะครับ
    ครูบาอาจารย์ ของพวกเราทั้งหลายไม่ว่าจะเป็น หลวงปู่มั่น หลวงพ่อฤาษี หลวงปู่สด หลวงพ่อพุธ และพระอริยะสงฆ์ทั้งหลายท่านไม่เคยที่จะตำหนิ หรือ จะไปพูดว่ากล่าวการปฏิบัติสายอื่นๆเลย เพราะ ทุกท่านนั้นเห้นว่าเป้นการเห็นถูก แม้ทางไปจะไม่เหมือนกันแต่ จุดหมายปลายทางก็ที่เดียวกัน คือ พระนิพพาน
    ส่วนพวกคนเหล่านั้นๆ ไม่ว่าจะเป็น คนที่ดีแต่อรรถ แต่ไม่รู้จักธรรม ก็สักแต่พูดเรื่อยเฉื่อย ไปเรื่อยๆครับ ขอจงอย่า เอา อายตนะ ของเราไปรับ และรู้ มาสะสมเป็นอกุศลกรรม(มโนกรรม)เลยนะครับ ...ผมว่า กรรมส่งผลของกรรมแน่ๆ ผู้มีมิจฉาทิฐฐิ ย่อม มีทุกขติภูมิเป็นที่ตั้งอยู่แล้วครับ
     
  8. waratrick

    waratrick Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +26
    อนุโมทนาสาธุครับ กรรมฐานก็มีตั้ง40 ให้เลือกเอาให้เหมาะกับจริต จะกล่าวว่าอะไรดีกว่ากันก็คงจะไม่ได้ ถ้าถูกกับจริต หรือบุญบารมีที่สั่งสมมาก็พัฒนาได้เร็ว ไม่มีอะไรดีกว่ากันหรอกครับ ดีเสมอกันหมด ผู้ค้นพบคือ องค์ตถาคต หากไม่ดี ไม่จริง ก็คงจะไม่มาบอกให้เลือกปฏิบัติกันตามจริตหรอกครับ การที่พูดกันว่าสายนี้ดีกว่าสายนี้ ครูของเราดีกว่าครูคนนี้ สุดท้ายก็คงจะยังไม่ดี ผมว่าครูที่ยิ่งใหญ่ทีสุดก็คือ พระพุทธเจ้านั่นแหล่ะครับ ก็ครูเดียวกันทั้งหมดนั่นแหล่ะครับ สาธุ
     
  9. marine24

    marine24 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    2,223
    ค่าพลัง:
    +15,632
    ศาสนาพุทธในอินเดียล่มสลายเพราะต่างคนต่างสำนัก อวดอ้างว่า อาจารย์ สำนักของตนดีกว่าสำนักอื่น เกิดความแตกแยกในเหล่าชาวพุทธ จนต้องพบกับความล่มสลาย
    ตามผมได้รับการอบรมมา อย่ายกเปรียบเทียบ อวดอ้างว่าครูอาจารย์ตน เหนือกว่า ครูอาจารย์ของผู้อื่น ผมฝึกสติปัฏฐานสี่ แต่ก็ชอบอ่านวิธีปฏิบัติของ มโนยิทธิเพราะผมนับถือหลวงปู่ปาน หลวงพ่อฤษีลิงดำ (สร้างจูงใจให้ผมหันมาศึกษาการนั่งสมาธิ) หลวงพ่อพุธ (เป่ากระหม่อมให้ผมและให้พระผงแก่ผม) หลวงปู่ฝั้น(ท่านเคยมาเข้าฝันผม)
     
  10. oun_narak

    oun_narak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +265
    ธรรมดาผมจะเคารพในพระรัตนตรัยทั้งสามเป็นที่ตั้งอยู่นะครับแต่พอดี ผมได้ไปปฎิบัติธรรมที่แห่งหนึ่ง เค้าบอกว่าผี ไม่มีจริงเป็นเพียงสิ่งที่เราจินตนาการขึ้น นรกสวรรค์อยู่ที่ใจหมดเลยครับ พระก็พูดให้ฟัง ฆราวาสที่มากับพระก็บอกว่า นรกสวรรค์อยู่ที่ใจ พระไตรปิฏก 84000 มากไปเป็นสิ่งที่คนสืบต่อกันมาแต่งขึ้นจริงๆแล้วไม่น่าจะถึง84000 ผมได้ฟังดังนั้นตอนแรกก็ไม่คิดอะไร ใจผมนี่มันเลวววววว คูณ1000 ปรามาศ ใหญ่เลยทั้งๆที่ผมพยายามข่มนะครับ แต่ใจมันเลว สรุปเค้าก็สอนถูกผมก็ทำใจยอมรับได้ในส่วนที่ตัดของกรรมฐานและวิปัสนา คือใจมันเผลอปรามาศแต่กาย วาจาไม่ได้แสดงออกแต่พยายามข่มด้วนสมถ อยากถามว่าผมควรจะวางตัวอย่างไรถึงจะถูกครับเวลาเจอสถานการณ์แบบนี้
     
  11. คนเก่า

    คนเก่า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    1,355
    ค่าพลัง:
    +15,055
    แล้วไปแล้วก็แล้วไป เอาคืนมาไม่ได้ ได้แต่ขอขมาพระรัตนตรัย และระมัดระวังใจ เอาผิดเป็นครูนะครับ

    ถ้ายังไม่มีครูบาอาจารย์ที่เราเคารพศรัทธาชัดเจน ควรพยายามแสวงหาให้พบ ท่านจะเป็นหลักจะช่วยให้เรามีความก้าวหน้าได้อย่างจริงจัง แต่ก็ขึ้นอยู่กับตัวเราว่าใฝ่ดีและมีความเพียรเพียงใด จะดีจะชั่วขึ้นอยู่กับตัวเราทั้งสิ้นที่จะเลือกเอง

    หากยังไม่พบครูบาอาจารย์ แต่ยังใฝ่ศึกษา ใฝ่ปฏิบัติด้วยตนเอง ยึดสมเด็จพระบรมครูเป็นที่พึงนั่นแหละครับ ถูกต้องที่สุดแล้ว ไม่ว่ากรรมฐานกองใด ก็ล้วนแล้วอยู่ในเขตแห่งมรรค 8 อันสรุปลงเป็น 3 คือ ศีล สมาธิ ปัญญา อันเป็นอริยสัจจแห่งกงล้อธรรม ที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้โดยชอบดีแล้ว

    ผู้ที่ยังชอบศึกษาไปเรื่อยๆ ก็ไม่สมควรตำหนิ เพราะจริตวาสนาเป็นเช่นนั้น ตราบใดที่ยังไม่อิ่มก็ย่อมยังต้องแสวงหา จะห้ามให้หยุดอยู่กับที่ก็ไม่ได้ ตราบเมื่อพบที่ถูกใจถูกจริตนั่นแหละ เจ้าตัวจึงเลือกที่จะหยุดเอง ด้วยหมดประโยชน์ที่จะแสวงหาต่อไป
     
  12. KomAon11

    KomAon11 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    4,803
    ค่าพลัง:
    +18,984
    ผมได้แต่แอบคิด(ว่า)>>>
    อยากให้ผีไปบีบคอพวกนี้จริงๆ

    แล้วก็ตอนตายไปคุยกับ พระยายมราช.. ว่า ไปทะลึ่งตัดพระธรรมของพระพุทธเจ้าอย่างไร

    ความเป็นจริงก็ขอให้เขารู้พิสูจน์ได้ เจอกับตัวเองได้ไวไวนะครับ เรื่อง นรก สวรรค์ ผี เทวดาเนี่ย
     
  13. นโมโพธิสัตโต

    นโมโพธิสัตโต ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ผู้ดูแลเว็บบอร์ด สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,167
    กระทู้เรื่องเด่น:
    20
    ค่าพลัง:
    +29,715
    สติปัฏฐานสี่ เป็นทางสายเอก

    พระสาวกผู้ปฏิบัติดีแต่ละท่าน น้อมนำมาเป็นมรรควิธีของท่านเอง ตามจริต


    ..รูปแบบ ก็คือรูปแบบ..

    แต่เนื้อหานั้นคือ

    กาย เวทนา จิต ธรรม สักแต่เป็น กาย เวทนา จิต ธรรม

    ไม่มีเราในฐานทั้งสี่นั้นเป็นที่สุด

    ไม่ว่าสายไหน ผู้ใด แจ้งในจิตด้วยวิมุติญาณทัศนะเช่นนี้แล้ว

    ย่อมเป็นไปตามที่พุทธดำรัสรับรอง

    ...........................................................................

    ถึงฝั่งแต่ไม่ลงเรือ คลื่นก็ซัดให้กลับทะเล....ครับผม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 ตุลาคม 2006
  14. นาๆจิตตัง

    นาๆจิตตัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    220
    ค่าพลัง:
    +412
    ธรรมใดก็ไร้ค่าถ้าไม่ทำ...
    การบรรลุหรือสำเร็จมรรคผล...ไม่ได้สำเร็จด้วยการคิด การนึก หรือการพูด
    แต่สำเร็จด้วยการกระทำ (ปฏิบัติ)...
    ปิง วัง ยม น่าน แม่น้ำทั้งหลาย ไหลมารวมกันลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยาฉันใด
    การปฏิบัติทั้งแบบ สุขวิปัสสโก เตวิชโช ฉฬภิญโญ ปฏิสัมภิทัปปัตโต ก็ไหลรวมกันไปสู่พระนิพพานฉันนั้น
    เป็นธรรมดาของโลก...(โลกธรรม 8)
    มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ มีสรรเสริญก็มีนินทา มีทุกข์ก็ต้องมีสุข
    ก็คงต้องฝึกฝนกันไป ไม่ให้หวั่นไหว หรือจิตแลใจกระเพื่อมไปกับสิ่งเหล่านั้น
    ตามคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า......
    ถ้าเราคิดดี พูดดี ทำดี ผลที่ออกมาก็คือความสุข เรียกว่าสัมมาทิฐิ
    ถ้าเราคิดไม่ดี พูดไม่ดี ทำไม่ดี ผลที่ออกมาเป็นความทุกข์ เรียกว่ามิจฉาทิฐิ
    ธรรมต้องเกิดจากเหตุและดับเพราะเหตุทั้งนั้น

    "ตัสมา ทะเท อัปปะติวานะจิตโต ยัตถะ ทินนัง มะหัปผะลัง"
    เป็นคนควรเป็นผู้มีจิตไม่ท้อถอย
    "ปุณณานิ ปะระโลกัสสะมิง ปะติฏฐา โหนติ ปาณินันติ"
    บุญย่อมเป็นที่พึ่งพาอาศัยของสัตว์ทั้งหลายในโลกหน้าได้ฉะนั้นแล

    โมทนาสาธุ......ครับ
     
  15. KomAon11

    KomAon11 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    4,803
    ค่าพลัง:
    +18,984
    พลังงานที่ดี ย่อมทำให้รู้แจ้งในสิ่งต่างๆ...

    การสะสมความดีเป็นสิ่งที่ดี ... การฝึกมโนมยิทธินี้ก็เพื่อความดี วิปัสสนาญาณ ตามแต่พระท่านจะสอน

    ก็เริ่มสอนวิปัสสนาตั้งแต่เริ่มแรกแล้วนี่ครับ..กว่าจะฝึกได้ จิตต้องดีพอควรนะ...ต้องเข้าใจความไม่เที่ยงของกายบ้างแล้ว ศีลก็ต้องอย่างน้อยศีล 5 ..

    ก็ตรงทางขนาดไหนแล้ว

    การสอนธรรมะแบบต่างๆ ก็แล้วแต่จริตคนจะรับได้ เหมาะที่จะรับสิ่งนั้น แล้วเกิดปลายทางเหมือนกัน คือ การหมดกิเลส นั่นเอง... ไปมัวดูแต่ปลายทาง ไม่ดูต้นทางชาวบ้านเขา .. ไม่ได้มาทางเดียวกัน จะรู้ได้อย่างไรว่าแบบนั้นเขามีกรรมวิธีพุทธะที่ต่างกันอย่างไร..
     

แชร์หน้านี้

Loading...