อนิจจาพระเณร ไหว้เทพ ไหว้ผี คิดว่าอย่างไร ???

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย อธิมุตโต, 15 พฤษภาคม 2010.

  1. อธิมุตโต

    อธิมุตโต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    4,741
    ค่าพลัง:
    +13,087
    อ่านข่าวนี้แล้ว รู้สึกทะแม่ง ๆ พระและเณรซึ่งเป็นหน่อเนื้อพุทธภูมิ ต้องขอขมา เทวา แล้วอย่างนี้เทพท่านจะรับได้หรือ พระศีล 227 เณรศีล 10 แล้ว เทพยาดาเล่า ศีลอะไร ไม่ได้ลยหลู่ แต่ทะแม่ง ๆ ยังไงไม่รู้สิ คนอิ่น คิดไงไม่รู้นะ

    [​IMG]

    [/FONT][FONT=ms sans-serif, Tahoma, DB ThaiTextFixed, Thonburi]
    [/FONT]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. aszxas502

    aszxas502 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    45
    ค่าพลัง:
    +126
    ถือ เป็น เทวตานุสติ 1 ใน อนุสติ ๑๐

    ถ้าระดับพระอริยะ ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป ไม่ว่าจะไปเกิดเ็ป็นเทวดา หรือพหรมชั้นไหน ก็น่าไหว้ครับ ยิ่งพระอนาคามี ขึ้นไป ไม่ต้องมาเกิดแล้วครับ

    พระสงฆ์ ที่ยังเป็นสมมุติสงฆ์ ไหว้ ระดับพระอริยะที่ไปเกิดเป็นเทวดาพหรม ที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ ก็ไม่ผิดหรอกครับ
     
  3. sron2006

    sron2006 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    541
    ค่าพลัง:
    +1,202
    ทุกสิ่ง อนิจจัง ไม่เที่ยงแท้
     
  4. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,949
    ค่าพลัง:
    +43,556
    อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจะระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู อะนุตตะโร ปุริสสะธัมมะสาระถิ สัตถาเทวะมนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ<!--colorc--><!--/colorc-->


    พระคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นมีเป็นเอนกประการ สุดที่จะพรรณนา แต่เมื่อรวบรัดกล่าวโดยย่อแล้วก็มี ๙ ประการ คือ

    ๑. อรหํ เป็นผู้ไกลจากข้าศึก คือ กิเลส อีกนัยหนึ่งว่า เป็นผู้ที่ไม่มีที่รโหฐาน หมายความว่า แม้แต่ในที่ลับ ก็ไม่กระทำบาป

    ๒. สมฺมาสมฺพุทฺโธ เป็นผู้ที่ตรัสรู้โดยชอบด้วยพระองค์เอง

    ๓. วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน เป็นผู้ที่ถึงพร้อมด้วยวิชาและจรณะ วิชาและจรณะนี้ได้แสดงแล้วในปริจเฉทที่ ๗ ตอน สัพพสังคหะ ตรงมัคคอริยสัจจ ขอให้ดูที่นั่นด้วย

    ๔. สุคโต แปลว่า ทรงไปแล้วด้วยดี ซึ่งในที่นี้มีความหมายถึง ๔ นัย คือ

    ก. เสด็จไปงาม คือไปสู่ที่บริสุทธิ์ อันเป็นที่ที่ปราศจากโทษภัยทั้งปวง ซึ่งหมายถึง อริยสัจจทั้ง ๔

    ข. เสด็จไปสู่ฐานะอันประเสริฐ คือ อมตธรรม อันเป็นธรรมที่สงบระงับจากกิเลสและกองทุกข์ทั้งปวง

    ค. เสด็จไปในที่ถูกที่ควร คือพ้นจากวัฏฏะ ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป

    ง. ทรงตรัสไปในทางที่ถูกที่ชอบ คือทรงเทสนาในสิ่งที่เป็นความจริงและเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขแก่ผู้ฟัง ประมวลลักษณะแห่งพระพุทธดำรัสได้เป็น ๖ ลักษณะ ดังจะแสดงโดยย่อที่สุด ดังนี้

    (๑) ไม่จริง ไม่กอปร์ด้วยประโยชน์ ไม่เป็นที่รักที่ชอบใจของผู้อื่น ไม่ตรัส

    (๒) ไม่จริง ไม่กอปร์ด้วยประโยชน์ แม้จะเป็นที่รักที่ชอบใจของผู้อื่น ก็ไม่ตรัส

    (๓) จริง แต่ไม่กอปร์ด้วยประโยชน์ ไม่เป็นที่รักที่ชอบใจของผู้อื่น ไม่ตรัส

    (๔) จริง แต่ไม่กอปร์ด้วยประโยชน์ แม้จะเป็นที่รักที่ชอบใจของผู้อื่น ก็ไม่ตรัส

    (๕) จริงและกอปร์ด้วยประโยชน์ถึงจะไม่เป็นที่รักที่ชอบใจของผู้อื่นก็รู้กาลที่จะตรัส

    (๖) จริงและกอปร์ด้วยประโยชน์และเป็นที่รักที่ชอบใจของผู้อื่นด้วยก็รู้กาลที่จะตรัส

    ๕. โลกวิทู พระพุทธองค์ทรงรู้โลกอย่างแจ่มแจ้งด้วยประการทั้งปวง คือ ทรงรู้จักโลก รู้จักเหตุเกิดของโลก รู้จักธรรมที่ดับของโลก และรู้จักทางปฏิบัติให้ถึงธรรมที่ดับของโลก

    อีกนัยหนึ่ง หมายถึงการแจ้งโลกทั้ง ๓ คือ สังขารโลก สัตวโลก และโอกาสโลก

    ก. สังขารโลก หมายถึง สังขารธรรม คือ รูปนาม ได้แก่ จิต เจตสิก รูปทั้งหมด ซึ่งเกิดขึ้นด้วยเหตุปัจจัย ด้วยการปรุงแต่ง ทำให้หมุนเวียนไปในสังสารวัฏฏ จำแนกโลกได้เป็นหลายนัย เช่น

    โลกนับว่ามี ๑ ได้แก่ สพฺเพ สตฺตา อาหารฏฺฐิกา สัตว์ทั้งหลายย่อมอยู่ได้ด้วยต้องอาศัยอาหารเหมือนกันหมด

    โลกนับว่ามี ๒ ได้แก่ นาเม จ รูเป จ คือ นาม ๑ รูป ๑ หรืออีกนัยหนึ่ง ว่าได้แก่ อุปาทินนกสังขาร ๑ อนุปาทินนกสังขาร ๑

    โลกนับว่ามี ๓ ได้แก่ ตีสุ เวทนาสุ คือ เวทนา ๓ มี สุขเวทนา ทุกขเวทนา และ อทุกขมสุขเวทนา

    โลกนับว่ามี ๔ ได้แก่ จตูสุ อาหาเรสุ คือ อาหาร ๔ มี กพฬีการาหาร ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร และวิญญาณาหาร อีกนัยหนึ่งว่าได้แก่ สติปัฏฐาน ๔

    โลกนับว่ามี ๕ ได้แก่ ปญฺจสุ อุปาทานกฺขนฺเธสุ คือ อุปาทานขันธ์ ๕ อีกนัยหนึ่งว่าได้แก่ อินทรีย ๕

    โลกนับว่ามี ๖ ได้แก่ ฉสุ อชฺฌตฺติเกสุ อายตเนสุ คืออายตนะภายใน ๖ อีกนัยหนึ่งว่าได้แก่ นิสสรณียธาตุ ๖

    โลกนับว่ามี ๗ ได้แก่ สตฺตสุ วิญฺญาณฏฺฐิตีสุ คือวิญญาณฐีติ ๗ อีกนัยหนึ่งว่าได้แก่ โพชฌงค์ ๗

    โลกนับว่ามี ๘ ได้แก่ อฏฺฐสุ โลกธมฺเมสุ คือ โลกธรรม ๘ อีกนัยหนึ่งว่าได้แก่ อริยอัฏฐังคิกมัคค ๘

    โลกนับว่ามี ๙ ได้แก่ นวสุ สตฺตาวาเสสุ คือ สัตตาวาส ๙ อีกนัยหนึ่งว่าได้แก่ โลกุตตรธรรม ๙

    โลกนับว่ามี ๑๐ ได้แก่ ทสสุ อกุสลกมฺมปเถสุ คือ อกุสลกรรมบถ ๑๐ อีกนัยหนึ่งว่าได้แก่ กุสลกรรมบถ ๑๐

    โลกนับว่ามี ๑๒ ได้แก่ อายตนะ ๑๒

    โลกนับว่ามี ๑๘ ได้แก่ ธาตุ ๑๘

    ข. สัตวโลก บาลีเป็น สัตตโลก หมายถึง บุคคล คือสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ซึ่งทรงแจ้ง ประเภท (บุคคล ๑๒) , เหตุให้เกิด, นิสัย, จริต, บารมี แห่งสัตว์เหล่านั้นทั้งสิ้น

    ค. โอกาสโลก หมายถึง ภูมิ อันเป็นที่ตั้งแห่งสังขารธรรม คือ เป็นที่อาศัยเกิด อาศัยอยู่ของสัตว์ทั้งหลาย ซึ่งมีจำนวนรวม ๓๑ ภูมิ

    ๖. อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ ทรงสามารถฝึกอบรมสั่งสอนแนะนำผู้ที่สมควรฝึกได้เป็นอย่างเลิศไม่มีใครเสมอเหมือน ทั้งนี้เพราะทรงทราบอัธยาศัยของสัตว์นั้น ๆ

    ๗. สตฺถา เทวมนุสฺสานํ ทรงเป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ซึ่งไม่มีศาสดาใดจะเทียมเท่า เพราะทรงนำสัตว์ทั้งหลายให้พ้นจากกองทุกข์ได้

    ๘. พุทฺโธ ทรงเห็นทุกอย่าง (สพฺพทสฺสาวี), ทรงรู้ทุกสิ่ง (สพฺพญฺญู) ทรงตื่น , ทรงเบิกบานด้วยธรรม

    ๙. ภควา ทรงเป็นผู้ที่มีบุญที่ประเสริฐสุด ทรงสามารถจำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์ตามควรแก่อัตตภาพของสัตว์นั้น ๆ

    สวากขาโต ภะคะวา ธัมโม สันทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปะนะยิโก ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิติ.<!--colorc--><!--/colorc-->

    คำว่า “ธรรมคุณ ๖” ซึ่งยังคงเป็นบทสวดสรรเสริญพระธรรมคุณที่เรามักคุ้นกันดีในภาษาบาลี ซึ่งคนส่วนใหญ่มักไม่ค่อย รู้และไม่เข้าใจความหมาย ได้แต่สวดๆตามกันไป ด้วยเหตุนี้ เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจดียิ่งขึ้น จึงได้นำอรรถาธิบายของคำนี้ จาก พจนานุกรมพุทธศาสน์ ของ รองศาสตราจารย์ดนัย ไชยโยธา ที่เขียนให้เข้าใจง่ายๆว่า

    คุณของพระธรรม มี ๖ ประการ ดังที่นักปราชญ์ได้ร้อยกรองเป็นบทสวดสำหรับน้อมนำระลึกไว้ในใจ ดังนี้

    ๑. สวากขาโต ภควตา ธัมโม หมายถึง ธรรมอันพระผู้มีพระภาคตรัสดีแล้ว
    พระองค์ตรัสไว้เป็นความจริงแท้ อีกทั้งงามในเบื้องต้น อันได้แก่ ศีล งามในท่ามกลาง อันได้แก่ สมาธิ และงามในที่สุด อันได้แก่ ปัญญา พร้อมทั้งอรรถและพยัญชนะ ประกาศพรหมจรรย์หรือหลักการครองชีวิตอันประเสริฐ บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิง

    ๒. สันทิฏฐิโก หมายถึง ผู้ปฏิบัติจะพึงเห็นชัดด้วยตนเอง

    ผู้ใดปฏิบัติ ผู้ใดบรรลุ ผู้นั้นย่อมเห็นประจักษ์ด้วยตนเอง ไม่ต้องเชื่อตามคำ บอกเล่าของผู้อื่น ผู้ใดไม่ปฏิบัติ ไม่บรรลุ ผู้อื่นจะบอกก็เห็นไม่ได้

    ๓. อกาลิโก หมายถึง ไม่ประกอบด้วยกาล

    ผู้ปฏิบัติไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา พร้อมเมื่อใดบรรลุได้ทันที บรรลุเมื่อใดเห็นผลได้ทันที นั่นคือ ให้ผลในลำดับแห่งการบรรลุ ไม่เหมือนผลไม้อันให้ผลตามฤดูกาล

    ๔. เอหิปัสสิโก หมายถึง ควรเรียกให้มาดู

    พระธรรมเป็นคุณอัศจรรย์ดุจของประหลาดที่ควรเชิญชวนให้มาชมและพิสูจน์ หรือท้าทายต่อการตรวจสอบ เพราะเป็นของจริงและดีจริง

    ๕. โอปนยิโก หมายถึง ควรน้อมเข้ามา

    ผู้ปฏิบัติควรน้อมเข้ามาไว้ในใจของตน หรือน้อมใจเข้าไปให้ถึงด้วยการปฏิบัติ ให้เกิดมีขึ้นในใจ

    ๖. ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ หมายถึง อันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน

    ผลอันเกิดจากการปฏิบัติธรรมนั้น ทุกคนที่น้อมนำมาปฏิบัติ จะรู้ซึ้งถึงผลแห่ง พระธรรมนั้นด้วยตนเอง ทำให้กันไม่ได้ เอาจากกันไม่ได้ และรู้ได้ประจักษ์ในใจ ของตนเอง

    สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
    อุชุปฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
    ญายะปฎิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
    สามีจิปฎิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
    ยะทิทัง จัตตาริ ปุริสสะ ยุคานิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา
    เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
    อาหุเนยโย ปาหุเนยโย ทักขิเนยโย
    อัญชะลีกะระนีโย อะนุตตะรัง ปุญญะเขตตัง โลกัสสาติ.<!--colorc--><!--/colorc-->


    คำว่า “สังฆคุณ ๙” ก็เป็นบทสวดสรรเสริญคุณของพระสงฆ์ ซึ่งเป็นหนึ่งในพระรัตนตรัย ความหมายของคำนี้ รองศาสตราจารย์ดนัย ไชยโยธา ได้เขียนอธิบายไว้ใน พจนานุกรม พุทธศาสน์ ดังนี้

    คุณของพระสงฆ์ หมายถึง คุณความดีที่พระสงฆ์มีอยู่ประจำตน พระสงฆ์ที่มีคุณความดีได้รับยกย่องมาตั้งแต่ครั้งพุทธกาล คือ พระอริยสงฆ์ พระสงฆ์ผู้บรรลุมรรคและผลขั้นต่างๆ สำหรับสมมติสงฆ์ พระสงฆ์โดยสมมติในปัจจุบันนี้ หากมีข้อวัตรปฏิบัติอันน่าเลื่อมใสศรัทธา ก็อนุโลมตามคุณของพระอริยสงฆ์ได้

    <!--coloro:#A0522D--><!--/coloro-->สังฆคุณมี ๙ ประการ ๔ ประการแรกเป็นเหตุ และ ๕ ประการหลังเป็นผล ดังต่อไปนี้ <!--colorc--><!--/colorc-->

    ๑. สุปฏิปันโน พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้ปฏิบัติดีคือ
    ๑. ปฏิบัติไปตามมัชฌิมาปฏิปทา อันเป็นทางสายกลาง ไม่หย่อนนัก ไม่ตึงเครียดนัก
    ๒.ปฏิบัติไม่ถอยหลัง ปฏิบัติได้ดีเท่าเดิมหรือก้าวหน้าสูงขึ้นไป
    ๓.ปฏิบัติตามรอยพระบาทของพระพุทธเจ้า

    ๒. อุชุปฏิปันโน พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้ปฏิบัติตรง คือ
    ๑.ไม่ปฏิบัติลวงโลก คือ ปฏิบัติต่อหน้าคนอย่างหนึ่ง ปฏิบัติลับหลังคนอีกอย่างหนึ่ง
    ๒.ไม่ปฏิบัติเพื่อโอ้อวด คือ ปฏิบัติเพื่อให้คนทั่วไปเห็นว่าตนปฏิบัติเคร่งครัดกว่าใครๆ
    ๓.ปฏิบัติตรงต่อพระพุทธเจ้าและพระสาวกด้วยกัน ไม่อำพรางความในใจ ไม่มีแง่งอน

    ๓. ญายปฏิปันโน พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้ปฏิบัติถูกทาง คือ
    ๑.ปฏิบัติมุ่งธรรมเป็นใหญ่
    ๒.ปฏิบัติถือความถูกต้องเป็นสำคัญ
    ๓.ปฏิบัติเพื่อความตรัสรู้

    ๔. สามีจิปฏิปันโน พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้ปฏิบัติสมควร คือ
    ๑.ปฏิบัติน่านับถือ สมควรได้รับความเคารพ
    ๒.ปฏิบัติชอบอย่างยิ่ง
    ๓.ปฏิบัติดีที่สุด

    ๕. อาหุเนยโย พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้ควรแก่สิ่งของคำนับ
    คือ ควรได้รับสิ่งของที่เขานำมาถวาย เพราะท่านมีคุณสมบัติ ๔ ประการดังกล่าว แล้วข้างต้นนั้น ด้วยว่าสิ่งที่เรียกว่าอาหุนะ เป็นของที่ท่านใช้บูชาคุณความดีของคน เมื่อพระสงฆ์ประกอบด้วยคุณสมบัติเช่นนั้น จึงควรแก่อาหุนะ คือ สิ่งของคำนับ

    ๖. ปาหุเนยโย พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้ควรแก่การต้อนรับ
    คือ ผู้ปฏิบัติงามเช่นนี้ เมื่อท่านไปในบ้านใดเมืองใด ย่อมเป็นผู้สมควรแก่การต้อน รับเหมือนการต้อนรับแขกผู้มีเกียรติ พระสงฆ์อยู่ในฐานะนั้น

    ๗. ทักขิเณยโย พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้ควรแก่ทักษิณา ควรแก่สิ่งของทำบุญ
    คือ พระสงฆ์ผู้มีคุณสมบัติดังกล่าวย่อมอยู่ในฐานะที่ควรแก่การรับทักษิณาทานที่เขาถวาย เพราะผู้ถวายทานแก่ท่านย่อมได้รับประโยชน์ตามที่ปรารถนา แม้การอุทิศกุศลเพื่อผู้ตาย พระสงฆ์ก็จัดเป็นทักขิไณยบุคคล คือ ควรรับทักษิณาทานนั้นๆ

    ๘. อัญชลีกรณีโย พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้ควรแก่การทำ อัญชลี
    คือ พระสงฆ์เป็นผู้มีคุณความดีอยู่ในสันดาน ย่อมอยู่ในฐานะที่ใครๆควร แสดงความเคารพด้วยการกราบไหว้ เพราะทำให้ผู้ไหว้มีความรู้สึกว่าตนได้ไหว้ผู้ที่มีคุณธรรมสมควรแก่การไหว้ ทั้งเป็นการช่วยให้ผู้ไหว้เจริญด้วยพรทั้ง ๔ ประการ อันได้แก่ อายุ วรรณะ สุขะ พละ ด้วย

    ๙. อนุตตรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสะ พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นเนื้อนาบุญของโลก คือ พระสงฆ์เป็นผู้บริสุทธิ์ ทักษิณาที่บริจาคแก่พระสงฆ์ ย่อมมีอานิสงส์มาก เปรียบเหมือนนามีดินดีและน้ำดี พืชที่หว่านไปย่อมให้ผลไพบูลย์ จึงเป็นที่บำเพ็ญบุญของพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย
     
  5. ภราดรภาพ

    ภราดรภาพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +2,762
    กล่าวกันว่า
    ก่อนจะกราบไหว้พระพุทธเจ้า ให้กราบไหว้บิดามารดาเราก่อน
    ก่อนจะกราบไหว้พระพุทธเจ้า ให้กราบไหว้บรรพบุรุพแลบรรพกษัตริย์เราก่อน
    ก่อนจะกราบไหว้พระพุทธเจ้า ให้กราบไหว้ครูบาอาจารย์เราก่อน
    ก่อนจะกราบไหว้พระพุทธเจ้า ให้กราบไหว้เทพเทวัญที่ปกปักรักษาเราก่อน
    ก่อนจะกราบไหว้พระพุทธเจ้า ให้กราบไหว้พระโพธิสัตว์เราก่อน
    ก่อนจะกราบไหว้พระพุทธเจ้า ให้กราบไหว้พระพระอริยะเจ้าเราก่อน
    ก่อนจะกราบไหว้พระพุทธเจ้า ให้กราบไหว้ปัจเจกพุทธเจ้าเราก่อน

    เพราะก่อนจะเป็นพระพุทธเจ้า ย่อมเกิดจากสิ่งเหล่านี้ก่อน

    สุดท้าย

    ก่อนจะกราบไหว้พระพุทธเจ้า ให้น้อมใจไว้เหนือกล้าเหนือกระหม่อม


    และ

    "ยามใดที่รู้สึกและยอมรับกับสิ่งนี้ได้ ใจที่มันขัดแย้งก็จะมลายหายไป"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 พฤษภาคม 2010
  6. datedoctor

    datedoctor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    539
    ค่าพลัง:
    +678
    ควรจะกราบไหว้ขี้หมา ด้วย สำหรับผู้ที่ตื่นแล้วทุกสรรพสิ่งล้วนศักดิ์สิทธิ์
     
  7. ภราดรภาพ

    ภราดรภาพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +2,762
    นิทานเซ็น สอนหรือเปล่าว่า แค่เห็นขี้ ก็ทำให้เห็นปริศนาธรรมได้เช่นกัน เลยต้องกราบขี้

    ดั่งเฉกเช่น ได้ยินแค่เสียงหินกระทบกับต้นไผ่ ก็บรรลุธรรมได้ฉันนั้น อย่างนี้ต้องกราบต้นไผ่ด้วยนะครับ

    555
     
  8. emaN resU

    emaN resU เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    2,944
    ค่าพลัง:
    +3,294

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • chit.gif
      chit.gif
      ขนาดไฟล์:
      134 KB
      เปิดดู:
      917
  9. manganiss

    manganiss เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2009
    โพสต์:
    256
    ค่าพลัง:
    +636

    เข้ามาฮา ท่านพี่พรานพิเศษ...ทำไปด้ายยยยย
     
  10. Konbarb

    Konbarb เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +206
    ไร้สาระ งมงายกันไปเรื่อย แล้วอย่างนี้ชาวพุทธจะมีอะไรเป็นสรณะ
     
  11. tumkuk

    tumkuk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    586
    ค่าพลัง:
    +1,851
    -*-โนคอมเม้น-*-ใครจะทำอะไรรู้ตัวเองกันทั้งนั้น-*-เวงกำเวงกำบ้านเมืองก็ร้อนอากาศก็ร้อนมาช่วยกันดีกว่าไม่ไม่ใช่หรือ-*-อะไรสบายใจก็ปล่อยแต่อย่าให้งมงายคนเราในเมื่อมันไม่สบายใจจะทำการสิ่งใดก็ไร้ผลดี.....อนิจา โลกเราหนอ
     
  12. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,949
    ค่าพลัง:
    +43,556

    ไม่เข้าใจ ฉันพูดผิดตรงไหนหล่ะ คุณ
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt1>watta2508
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    สงสัยอ่านแล้วคิดแค่แง่เดียวตามอักษรที่พิมพ์ไว้
    ลองค้นหาอีกแง่มุมสิจ๊ะ แล้วคงจะเข้าใจสิ่งที่สร้อยฟ้าฯ ต้องการสื่อจริงๆ
     
  13. emaN resU

    emaN resU เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    2,944
    ค่าพลัง:
    +3,294
    สร้อยฟ้ามาลา<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_3304232", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    เมื่อราวสองพันปีก่อน... มีคนที่กล่าวความจริง มิได้กล่าวเท็จเลย
    แต่ก็ยังถูกทรมาณ เหยียดหยามเยาะเย้ย และประหัตถ์ประหารด้วยวิธีการทรมาณที่สุดวิธีหนึ่งของชนหมู่มากในยุคสมัยนั้น



    แล้วท่านจะไปใส่ใจความคิดเห็นขัดแย้งกับคำพูดท่านทำไมกัน ถ้าเขาอยากบอกเหตุผลเขาคงอดไม่ได้หรอกที่จะแสดงมันออกมา
    แต่เขาไม่แสดงเหตุผลออกมา... ก็อย่าไปอยากรู้เหตุผลของเขาเลย
    ปล่อยให้ความคิดเห็นนั้นเป็นสมบัติของเขา เราอย่าเขลาไปเก็บความคิดเห็นนั้นมาเป็นสมบัติของตนเองเลย... สติปัญญามักบอกว่ารกหัวสมอง

    เจตนาดีส่งออกไปแล้ว... ผู้ที่มีภาวะสติปัญญาพอจะเข้าใจได้ว่าต้องการสื่อสารอะไร ก็ได้รับรู้และเข้าใจแล้ว
    สติปัญญาของเหล่าสัตว์โลกมีไม่เท่ากัน จะกะเกณฑ์ให้รับรู้และเข้าใจไปในแนวทางเดียวกันหมดนั้น เป็นไปได้ยากยิ่งหรือเป็นไปไม่ได้เลย

    ความชัดเจนเป็นจริงของผู้ประจักษ์ชัดแล้ว กล่าวพรรณนาสาธยายจนน้ำลายแห้งให้ผู้ไม่เคยประจักษ์ความชัดเจนนั้น... กล่าวจนขาดใจตายกันไปข้างหนึ่ง บุคคลผู้ไม่เคยประจักษ์ความชัดเจน ไหนเลยจะล่วงรู้นัยแห่งความชัดเจนนั้นได้

    สีสันน่ะท่าน สวยงามดี แบบนี้แหละโลกมนุษย์ถึงมีรสชาติไง
    ถ้าใครชอบแบบเห็นตามๆกัน คล้อยเรียงกันไปเป็นระเบียบในแนวทางเดียวกันเสมอ... บุคคลนั้นควรจะไปอุบัติเป็นมดแน่แท้ทีเดียว

    ในหมู่อริยบุคคลผู้ซึ่งนับได้ว่าอยู่ในแนวทางความประพฤติธรรมเดียวกัน... ยังมีลีลาการใช้สติปัญญาแตกต่างกันเลย
    แล้วในหมู่ปุถุชนซึ่งมีแนวทางความประพฤติธรรมที่ยังไม่เข้าร่องเข้ารอยแก่นธรรมและวุ่นวายหลากหลายความหลง... ย่อมมีลีลาการใช้สติปัญญาแตกต่างกันอย่างมากหลากหลายลีลาปุถุชนปัญญา




    แสดงความไม่เห็นด้วย แต่ไม่บอกว่าไม่เห็นด้วยตรงไหนด้วยเหตุใดและมีแนวทางความคิดที่คิดว่าประเทืองปัญญากว่าตรงไหน... ก็ลึกลับซ่อนเร้น สมกับชื่อห้องดีอ่ะ








    ฝึกขันติอหิงสาไงจ๊ะสร้อย...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 16 พฤษภาคม 2010
  14. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,949
    ค่าพลัง:
    +43,556
    อิ อิ สงสัยคราวต่อไปต้องพูดตรงๆ แล้วหล่ะ
    แต่นั่นไม่ใช่นิสัยของเค้าอ่ะ
    ชอบพูดแล้วให้คนอื่นคิด
    คิดมากไป เตลิดเปิดเปิง
    ไม่ตรงกับสิ่งที่ต้องการสื่อ
    กลายเป็นเข้าใจในคำ ที่ผิดไป....

     
  15. emaN resU

    emaN resU เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    2,944
    ค่าพลัง:
    +3,294
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->สร้อยฟ้ามาลา<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_3304318", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    อิ อิ สงสัยคราวต่อไปต้องพูดตรงๆ แล้วหล่ะ
    เราเห็นว่าที่สร้อยโพส มันตรงแล้วอ่ะ...


    แต่นั่นไม่ใช่นิสัยของเค้าอ่ะ

    ชอบพูดแล้วให้คนอื่นคิด
    คิดมากไป เตลิดเปิดเปิง
    ไม่ตรงกับสิ่งที่ต้องการสื่อ
    กลายเป็นเข้าใจในคำ ที่ผิดไป....
    เรื่องปัญญาแนวทางพุทธะ ต้องคิดให้ได้เองเข้าใจให้ได้เองอยู่แล้ว
    ตถาคตสิทธัตถะยังบอกวิธีให้ไปคิดและเข้าใจเองเลย ให้แนวทางแนะวิธีการคิด ที่จะนำพาไปสู่ความเข้าใจ ตถาคตสิทธัตถะไม่ได้ให้ความเข้าใจแก่ศิษย์ผู้หนึ่งผู้ใดเลย

    บอกเส้นทาง แต่การไปถึงมันก็มีกำลังของบุคคลเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้เดินทางไปได้ด้วยความเร็วไม่เท่ากัน และไปถึงจุดหมายไม่พร้อมกัน

    Destiny Rally's Festival on The EARTH.
     
  16. DeathStriker

    DeathStriker Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +52
    เห็นแล้วเหนื่อยครับ
     
  17. โทสะ

    โทสะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +466
    มองให้ลึกลงไปถึงระดับ จิต อย่ายึดติดกับสมมติ

    จะถามว่า พระ สำหรับนักปฏิบัติ คือท่านผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ตั้งแต่ขั้นโสดาบันบุคคลขึ้นไป จะสมมติว่าเป็นพระสงฆ์ สามเณร แม่ชี ฆราวาสผู้ครองเรือน ก็ตาม ถ้าระดับจิตถึงขั้นนั้นแม้นเรียกสมมติว่าเป็นอย่างอื่นก็ตาม ท่านเหล่านั้นก็เป็นอาริยะบุคคล แต่ทุกวันนี้ เราไปยึดกับสมมติ ว่าเป็นนั่น เป็นนี่ ทุกวันนี้ของจริงหายาก ของปลอมมีเยอะ แม้จะสมมติว่าเป็นนั่น เป็นนี่ก็ติดอยู่เพียงรูปแบบ แต่ จิต มิได้ถูกยกระดับขึ้น ไม่ยึดติดในธาตุ ในขันธ์ เกาะเกี่ยว สืบเนื่องด้วยโลภ โกรธ หลง รังแต่จะไปสู่แดนอบายภูมิ จะสมมติเรียกแบบใดก็แล้วแต่ หากระดับจิตยังไม่ได้ถูกยกขึ้น เหล่านักปฏิบัติ ไม่เรียกว่าพระ เป็นเพียงนักอยากบวช เท่านั้น
     
  18. ratercracker

    ratercracker เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    484
    ค่าพลัง:
    +729
    คงเป็นพระและสามเณรส่วนน้อยอะครับ ใครก็ทำผิด เข้าใจผิดกันได้ สักวันหนึ่งเขาคงเข้าใจเอง เมื่อเข้าใจก็ปฎิบัติที่ถูกที่ควร

    บัว 4 เหล่า มีอยู่ทุกยุค ทุกสมัย ทุกสีผิว ชนชาติ ทุกศาสนา ทุกสังคม

    คน ! เลือกเกิดได้ไหม เลือกไม่ได้ เกิดเพราะกรรม แต่เลือกที่จะทำได้

    มนุษย์ทุกคนมีเหตุผลของการกระทำ แต่เขาเอาอะไรมาเป็นสัจจะ มาวัดผลการกระทำ

    สัจธรรมคืออะไร คือการเข้าใจชีวิต เข้าใจอย่างมีสติ เข้าใจโดยมีปัญญา ไม่หลง ไม่ยึดติด ไม่ปรุงแต่ง รู้แล้วปล่อยวาง เพราะมันเป็นเช่นนั้นเอง
     
  19. Namushakamunibutsu

    Namushakamunibutsu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,347
    ค่าพลัง:
    +2,618
    เอาเข้าไป มีศีลเยอะกว่าแล้วจะไปไหว้เทวดาศีลน้อยกว่าทำไม - -

    อืม คนเราเลือกเกิดได้นะครับ ใช้กรรมเลือกเกิดด้วยสติไงครับ
    ระลึกถึงกุศลในวาระสุดท้ายของชีวิต มีสุคติเป็นที่ไปอยู่แล้วครับ
     
  20. เส้นทางสายใหม่

    เส้นทางสายใหม่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    143
    ค่าพลัง:
    +360
    ศีลเยอะกว่า แต่ถ้าทำไม่ได้ก็ควรจะไปไหว้น๊ะ เพราะเทวดาท่านมีศีลของท่านอยู่แล้ว ศีล 5 หรือ 8 ท่านครบไม่ขาด และมีหิริโอตะปะ ถ้าเป็นพรหมก็ พรหมวิหาร 4 ประการ ......ฯลฯ

    ไม่เหมือนพระบางรูป ศีล 227 ข้อ ขาดทุกข้อ แม้เป็นพระก็ไม่ควรกราบไหว้

    ปุถุชน ศีล 5 - 8 สามารถเป็นได้ถึง อริยะบุคคล เมื่อตายไปแล้วย่อมไปสู่สวรรค์ ไปเกิดเป็นเทวดา นางฟ้า เป็นเทพ เป็นพรหม เป็นต้น

    นี้ก็มาจากศีล จะหาว่าศีลสูงกว่าแล้วไม่ควรไหว้ก็หาไม่

    ครูบาอาจารย์เรา ญาติสนิทเรา ฯลฯ ที่เป็นเทวดาเป็นพรหมก็มีเยอะ ที่ท่านเหล่านี้เคยเป็นมนุษย์มาก่อน และตอนเป็นมนุษย์ ท่านเคยเป็นพระมาก่อนเมื่อละสังขารแล้วไปเกิดเป็นเทวดา เป็นพรหมก็เยอะ ........................

    ท่านก็นึกเสียว่าการกราบไหว้นี้เป็นการกราบไหว้ในคุณงามความดีเสียสิ หรือจะนึกเสียว่าเป็นการไหว้ผู้มีพระคุณ เป็นการกราบไหว้ผู้ใหญ่ มันจะได้ไม่หนักใจเสีย ไหว้ในที่นี้คือไหว้ในธรรมที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอน และเมื่อทำตามแล้วผลคือได้สวรรค์สมบัติ พรหมสมบัติ มนุษย์สมบัติ ฯลฯ นี่ก็คือการคิดไหว้สักการะพระธรรม แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์

    มันจะได้ไม่หนักใจ ไม่เหนื่อยใจคิดมาก ลกจิตลกใจ ดูการกระทำผู้อื่น ไม่ดูจิตตนเอง แล้วมันจะได้อะไร.....
     

แชร์หน้านี้

Loading...