ขอเชิญท่านที่มีความจงรักภักดีและเทิดทูนในสมเด็จพระนเรศวรมหาราช

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย จงรักภักดี, 28 เมษายน 2009.

  1. อุกามณี

    อุกามณี Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2009
    โพสต์:
    45
    ค่าพลัง:
    +73
    "มหาศาลในสิ่งหวัง สมหวังในสิ่ง..ขอ
    ถ้าท้อ..มาหาเรา สิ่งใด..ที่ใฝ่ฝัน
    มไหศวรรย์..... พลันให้เจ้า"
    มไหศวรรย์..... คือใคร..?
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC02336.JPG
      DSC02336.JPG
      ขนาดไฟล์:
      470.4 KB
      เปิดดู:
      46
    • DSC02337.JPG
      DSC02337.JPG
      ขนาดไฟล์:
      504.9 KB
      เปิดดู:
      33
    • DSC02340.JPG
      DSC02340.JPG
      ขนาดไฟล์:
      476.1 KB
      เปิดดู:
      33
    • DSC02341.JPG
      DSC02341.JPG
      ขนาดไฟล์:
      431.3 KB
      เปิดดู:
      31
    • DSC02348.JPG
      DSC02348.JPG
      ขนาดไฟล์:
      456.7 KB
      เปิดดู:
      38
    • DSC02342.JPG
      DSC02342.JPG
      ขนาดไฟล์:
      480.6 KB
      เปิดดู:
      34
    • DSC02343.JPG
      DSC02343.JPG
      ขนาดไฟล์:
      456.5 KB
      เปิดดู:
      41
    • DSC02344.JPG
      DSC02344.JPG
      ขนาดไฟล์:
      565.5 KB
      เปิดดู:
      36
    • DSC02345.JPG
      DSC02345.JPG
      ขนาดไฟล์:
      448.1 KB
      เปิดดู:
      40
    • DSC02346.JPG
      DSC02346.JPG
      ขนาดไฟล์:
      475.7 KB
      เปิดดู:
      37
    • DSC02347.JPG
      DSC02347.JPG
      ขนาดไฟล์:
      588.6 KB
      เปิดดู:
      39
    • DSC02349.JPG
      DSC02349.JPG
      ขนาดไฟล์:
      501.7 KB
      เปิดดู:
      33
    • DSC02350.JPG
      DSC02350.JPG
      ขนาดไฟล์:
      555.2 KB
      เปิดดู:
      31
    • DSC02351.JPG
      DSC02351.JPG
      ขนาดไฟล์:
      539.7 KB
      เปิดดู:
      38
    • DSC02352.JPG
      DSC02352.JPG
      ขนาดไฟล์:
      575.6 KB
      เปิดดู:
      34
    • DSC02353.JPG
      DSC02353.JPG
      ขนาดไฟล์:
      563.2 KB
      เปิดดู:
      36
    • DSC02354.JPG
      DSC02354.JPG
      ขนาดไฟล์:
      558.4 KB
      เปิดดู:
      34
  2. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,898
    ค่าพลัง:
    +6,434
    นึกอะไรขึ้นได้อย่างหนึ่งค่ะพี่อุกามณี
    คุณรุ้งเธอเรียกพระประธานองค์ใหญ่ที่สุดในวัดชุมพลฯว่า สมเด็จองค์ปฐม หมายถึงพระพุทธเจ้าพระองค์แรกค่ะ

    ซื้อหนังสือพงศาวดารจีนของคุณทวีป วรดิลก ได้เกร็ดประวัติศาสตร์เกี่ยวกับท่านจางจิวเจิ้ง (บุคคลที่เป็นรูปแทนตัวของทางสายธาตุ รูปขุนนางจีน) น่าสนใจ ทางสายธาตุคาดว่าท่านมาใช้บั้นปลายของชีวิตในกรุงศรีอยุธยาค่ะ

    และอีกเล่มที่น่าสนใจคือ คนไท ทิ้งแผ่นดิน เป็นเรื่องที่ต่อจากสามก๊กเลยค่ะ เพราะขงเบ๊งทำให้คนไทต้องอพยพย้ายถิ่นฐาน เข้ามาสู่ดินแดนสุวรรณภูมิที่ขอมเคยปกครองอยู่ อ่านไปแค่คำนำ ว่าจะรอดูหนังซึ่งจะเข้าวันที่ 10 เมษายน 2553 นี้ค่ะ
     
  3. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,898
    ค่าพลัง:
    +6,434
    <TABLE style="BORDER-COLLAPSE: collapse" cellSpacing=1 width=760 border=0><TBODY><TR><TD><!-- HEADER END --><!-- MENU_BAR START--><SCRIPT language=JavaScript><!--function change_language(sel){var index = sel.selectedIndex;if (index != '0' && index !='')window.location.href = 'change_lan.php?lan=' +sel.options[index].value;}//--></SCRIPT><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=white border=0><TBODY><TR><TD>
    <TABLE cellSpacing=1 width=760 bgColor=#808080 background=image/bg_orange.gif border=0><TBODY><TR><TD align=middle width="12%" height=19>หน้าแรก </TD><TD align=middle width="11%" height=19> + เพิ่มคำศัพท์ </TD><FORM><TD align=middle width="12%" height=19> </TD></FORM></TR></TBODY></TABLE>​
    </TD></TR></TBODY></TABLE><!-- MENU_BAR END --><!-- Search bar --><SCRIPT language=JavaScript><!--function search_submit() { blank= document.searchform.kword.value; if(blank == '') { alert("Fill Search keyword"); document.searchform.kword.focus(); } else { document.searchform.action = "search.php"; document.searchform.submit(); }}//--></SCRIPT><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#efebef border=0><TBODY><TR><TD>
    <!-- BEGIN DYN: serow1 --><!-- END DYN: serow1 -->​
    </TD><TD align=middle height=50>[SIZE=+0]<FORM style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; PADDING-TOP: 0px" name=searchform action=search.php method=get><INPUT type=hidden name=search_sid> <INPUT size=25 name=kword> <!-- BEGIN DYN: serow2 --><!-- END DYN: serow2 --><INPUT style="FONT-WEIGHT: bold; BORDER-LEFT-COLOR: #69f; BORDER-BOTTOM-COLOR: #69f; COLOR: #fff; BORDER-TOP-STYLE: outset; BORDER-TOP-COLOR: #69f; BORDER-RIGHT-STYLE: outset; BORDER-LEFT-STYLE: outset; BACKGROUND-COLOR: #036; BORDER-RIGHT-COLOR: #69f; BORDER-BOTTOM-STYLE: outset" onclick=search_submit() type=button value=ค้นหา> ค้นหาเพิ่มเติม[/SIZE]
    </FORM></TD></TR></FORM></TBODY></TABLE><!-- Search bar -->
    <!-- HERE START --><!-- NAME: here_static.html -->
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD height=22> ตำแหน่ง : มไหสวรรย์ ค้นหา </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    <!-- END: here_static.html --><!-- HERE START --><HR color=#ffcc00 noShade SIZE=2>
    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="80%" bgColor=#f6f6f6> ผลการค้นหา: 4 </TD><TD align=right bgColor=#f6f6f6><FORM style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; PADDING-TOP: 0px" action=search.php method=post><INPUT type=hidden value=search name=switch> <INPUT type=hidden name=c_title> <INPUT type=hidden name=c_url> <INPUT type=hidden name=c_name> <INPUT type=hidden name=c_email> <INPUT type=hidden name=c_scont> <INPUT type=hidden name=c_lcont> <INPUT type=hidden name=c_user1> <INPUT type=hidden name=c_user2> <INPUT type=hidden name=c_user3> <INPUT type=hidden name=c_user4> <INPUT type=hidden name=c_user5> <INPUT type=hidden value=94988 name=search_sid> <INPUT type=hidden name=search_path> <INPUT type=hidden name=c_pagenum> <INPUT type=hidden name=c_sep> <INPUT type=hidden value=มไหสวรรย์ name=kword> <SELECT name=u_sort> <OPTION value=title selected>คำศัพท์</OPTION> <OPTION value=scont>ความหมายหรือคำแปร</OPTION> <OPTION value=visit>จำนวนเข้าชม</OPTION></SELECT><SELECT name=u_order> <OPTION value=asc>น้อยไปมาก</OPTION> <OPTION value=desc selected>มากไปน้อย</OPTION></SELECT><INPUT class=cinput type=submit value=ปรับ>
    </FORM></TD></TR></FORM></TBODY></TABLE>


    <TABLE cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG] มไหศวรรย์ [ N ] greatness</B>
    [ English ]supremacy; sovereignty [ Def ] ความเป็นใหญ่ในแผ่นดิน <NOTES>(สันสกฤต)</NOTES>
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG] มไหศวรรย์ [ N ] great wealth</B>
    [ Syn ] สมบัติใหญ่ <NOTES>(สันสกฤต)</NOTES>
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG] มไหศวรรย์ [ N ] great power</B>
    [ English ]great might; absolute power [ Syn ] อำนาจใหญ่ <NOTES>(สันสกฤต)</NOTES>
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG] มไหศวรรย์ </B>
    [มะไหสะหฺวัน] น. อํานาจใหญ่; สมบัติใหญ่; ความเป็นใหญ่ในแผ่นดิน. (ส. มไหศฺวรฺย, มไหศฺวรฺยฺย).
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ลองหาคำแปลของคำว่า มไหศวรรย์ มาจากเวปพลังจิตส่วนพจนานุกรมแล้วได้ดังข้างบนนี้ค่ะ
     
  4. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,898
    ค่าพลัง:
    +6,434
    ประวัติศาสตร์จีน หน้า 475 เขียนไว้ว่า
    นี่เป็นเหตุการณ์ตรงกับสมัยของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ที่ทรงมีพระราชสาส์นไปยังพระจักรพรรดิจีนเพื่อจะอาสาไปปราบญี่ปุ่น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 เมษายน 2010
  5. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,898
    ค่าพลัง:
    +6,434
    เชื่อมช่วงเวลาประวัติศาสตร์เข้าหากัน





    ถึงพี่อุกามณี

    มีรูปเยอะจริงๆเลยนะคะพี่ ^^
     
  6. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    คัดลอกมาถ่ายทอดต่อครับ ท่านใดสนใจในรายละเอียดก็สามารถค้นคว้า

    หาได้จากแหล่งที่มานะครับ

    พระยาพลเทพ" แห่งกรุงรัตนโกสินทร์<!-- main-content-block -->


    <!-- 8 เมษายน 2553 - 00:00 -->
    8 เมษายน 2553 - 00:00


    วันนี้-วันที่ ๘ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๓ ตรงกับวันแรม ๙ ค่ำ เดือน ๕ ปีขาล สิ้นสุด "ฤกษ์โจร" ที่เริ่มมาจาก ๐๑.๔๐ น. วานนี้ และเข้าสู่ "ภูมิปาโลฤกษ์" วันนี้ตั้งแต่เวลา ๐๔.๐๐ น. สถานการณ์บ้านเมืองมีอะไรหมุนเวียนเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง ท่านคงทราบกันแล้วนะครับ สำหรับท่านที่ดึงข้อความตรงนี้จาก "เว็บไซต์ไทยโพสต์" ไปเผยแพร่ตั้งแต่ตัวหนังสือพิมพ์ยังไม่ขึ้นแท่นคงจะได้เปรียบหน่อย เพราะอย่างน้อยท่านที่อ่านก่อนก็จะได้รู้ก่อนว่า
    เมื่อจันทร์เล็งอังคารวันนี้ "ตอนเช้ามืด" จะขึ้นรถ-ลงเรือ-ไปเหนือ-ล่องใต้ต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะบ้านเมืองมีเกณฑ์จะเกิดอุบัติเหตุ จะเป็นอุบัติเหตุแบบไหน-อย่างไร ใครจะไปรู้ แต่จากฟืนๆ ไฟๆ ทั้งในใจกลางเมือง และริมรอบขอบเมือง เป็นที่ต้องขีดเส้นใต้ ฉะนั้น ช่วงนี้
    มีสติ ดีกว่ามีสตางค์ครับ!........
    ..... สรุปให้เห็นรูปร่างแห่งอำนาจเฉพาะกิจที่เกิดจาก พ.ร.ก.ฉุกเฉินก็คือ ต่อจากนี้จะมีการตั้ง "ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคงเป็นผู้ถือดาบอาญาสิทธิ์ จากนั้นก็มี รัฐมนตรีกลาโหม ผบ.ทบ.-ผบ.ทร.-ผบ.ทอ.-ผบ.ตร.และปลัดกระทรวง ทั้งหมดประมาณ ๒๗ ท่าน รวมเป็น "ศูนย์กลางประกาศิต" ดาบอาญาสิทธิ์"....... และก็ควรทราบกันต่อไปด้วยว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงที่ประกาศใช้นี้ มีชื่อเต็มๆ ว่า "พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.๒๕๔๘" ผู้ให้กำเนิด พ.ร.ก.ฉบับนี้ก็คือนายกรัฐมนตรีในสมัยนั้นที่ชื่อ "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" ...... ดร.บวรศักดิ์ให้เหตุผลสนับสนุนการออก พ.ร.ก.ฉุกเฉินนี้ไว้ว่า
    "ที่มีหลายฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์การออก พ.ร.ก.มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนนั้น ต้องเข้าใจด้วยว่า การบริหารราชการนั้นต้องคำนึงถึงคนหมู่มาก โดยเฉพาะในภาวะที่เกิดขึ้น ถ้าจะต้องรักษาสิทธิของประชาชนทุกคนทั้งหมดจะทำได้อย่างไร ดังนั้น คนหมู่น้อยก็ต้องเข้าใจด้วย".............
    ......... เมื่อวานนี้ วันที่ ๗ เมษายน ย้อนหลังกลับไป ๒๔๓ ปี จะเป็นวันที่ ๗ เมษายน พ.ศ.๒๓๑๐ คือวันที่ "ไทยเสียกรุงศรีอยุธยา" แก่พม่า ครั้งที่ ๒ ณ สมัยแห่งพระเจ้าเอกทัศน์นั่นเอง
    "พระมหาบุญโฮม ปริปุณณสีโล" วัดท่าไทร สุราษฎร์ธานี ท่านเรียบเรียงไว้ในเว็บไซต์ของท่านว่า
    วันอังคารเดือน ๕ ขึ้น ๙ ค่ำ ปีกุน (จ.ศ.๑๑๒๙) ตรงกับวันที่ ๗ เมษายน พ.ศ.๒๓๑๐ เวลาประมาณบ่ายสามโมง พม่าจุดไฟสุมรากกำแพงเมืองตรงหัวรอที่ริมป้อมมหาชัย และยิงปืนใหญ่ระดมเข้าไปในพระนครจากบรรดาค่ายที่รายล้อมทุกค่าย พอเพลาพลบค่ำกำแพงเมืองตรงที่เอาไฟสุมทรุดลง เวลา ๒ ทุ่ม แม่ทัพพม่ายิงปืนเป็นสัญญาณให้ทหารเข้าพระนครพร้อมกันทุกด้าน ทหารอยุธยาที่รักษาหน้าที่เหลือกำลังจะต่อสู้ พม่าก็สามารถเข้าพระนครได้ในเวลาค่ำวันนั้นทุกทาง นับเวลาตั้งแต่พม่ายกมาตั้งล้อมพระนครได้ ๑ ปี กับ ๒ เดือน จึงเสียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่าข้าศึก
    .............................
    สาเหตุหนึ่งที่ทำให้เสียกรุงมาจาก "คนทรยศ" ตามคำให้การของชาวกรุงเก่า หน้า ๑๗๔ บอกว่า "...มีคนไทยชื่อ พระยาพลเทพ ข้าราชการในกรุงศรีอยุธยาเอาใจออกห่าง ลอบส่งศาสตราวุธเสบียงอาหารให้แก่พม่า สัญญาว่าจะเปิดประตูคอยรับเมื่อพม่าเข้าโจมตี และประตูที่พระยาพลเทพเปิดให้ก็เป็นประตูเมืองทางทิศตะวันออก เข้าใจว่าคงเป็นบริเวณหัวรอ หรือจะห่างจากบริเวณนี้ก็ไม่เท่าใด ซึ่งพม่าก็ได้ระดมเข้าตีปล้นกรุงศรีอยุธยามาทางนี้ ตามที่พระยาพลเทพนัดหมายไว้ โดยเข้าไปได้ในเวลากลางคืน ส่วนวันตามคำบอกของชาวกรุงเก่านั้น ตรงกับวันที่กรุงแตกดังกล่าวมาแล้วข้างต้นเหล่านี้ เป็นเรื่องที่เชลยไทยได้เห็นในขณะนั้น..."
    การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งนี้ เป็นการสูญเสียที่ใหญ่หลวงของชาติไทย ทหารพม่าไล่ฆ่าฟันผู้คนล้มตายเป็นอันมาก ทรัพย์สินสมบัติสูญเสียถูกทำลาย ถูกขุดค้นไปทั่วทุกแห่งหน โดยตั้งใจจะไม่ให้ไทยมีทรัพย์สมบัติอะไรเหลืออยู่ แม้แต่วัดวาอารามอันวิจิตรงดงาม เป็นที่เคารพในพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นศาสนาเดียวกับพม่า พม่าก็เอาไฟเผาและเอาไฟสุมพระพุทธรูปพระศรีสรรเพ็ชรดาญาณ เพื่อให้ทองคำหุ้มองค์ละลาย เก็บเอาทองคำที่หุ้มองค์พระพุทธรูปหนัก ๒๘๖ ชั่ง (๒๓๘.๓๓ กิโลกรัม) ไปใช้ประโยชน์ที่เมืองพม่า อีกทั้งได้กวาดต้อนผู้คนไปเป็นเชลยและทาสยังเมืองพม่า พม่าเอาไฟเผาบ้านเรือนทำลายข้าวของต่างๆ อยู่ ๑๕ วัน.............

    *อย่างน้อยก็เป็นการทบทวนความรู้เกี่ยวกับ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ฯ และประวิติศาสตร์ตอนเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒
    ขอขอบคุณแหล่งที่มา คุณเปลว สีเงิน www.thaipost.net
     
  7. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    เทศาตรีฤกษ์

    ..... "เทศาตรีฤกษ์" บางท่านอาจสงสัยว่าหมายถึงอะไร เพื่อเป็นการศึกษา ผมจะนำจากเว็บไซต์ "กายวิภาคจักรราศี ๓๒" มาให้ท่านอ่านบางส่วน ดังนี้
    เทศาตรี ถ้าจะแปลตามรากศัพท์จริงๆ แล้ว เทศา แปลว่า สถานที่ ตรี แปลว่า สาม หากแปลรวมกันแล้ว หมายถึง สถานที่ ๓ แห่ง หรือ สามลักษณะ ในที่นี้ได้แก่
    ๑.ตลาด หรือแหล่งซื้อขายสินค้า และอาหารทุกชนิด นอกจากตลาดสด ร้านสะดวกซื้อ ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านอาหาร ฯลฯ แล้ว ในปัจจุบันยังรวมไปถึงการซื้อขาย และให้บริการทางอินเทอร์เน็ต หรืออีคอมเมิร์ซอีกด้วย
    ๒.สถานที่สำหรับให้บริการต่างๆ เช่น ที่ทำการไปรษณีย์ สถานีขนส่ง ร้านเสริมสวย ร้านตัดผม ร้านตัดเย็บเสื้อผ้า ร้านนวดแผนโบราณ อู่ซ่อมรถ ฯลฯ
    ๓.สถานเริงรมย์ทุกชนิด เช่น โรงภาพยนตร์ โรงละคร สวนสนุก สวนสัตว์ ร้านคาราโอเกะ สถานบันเทิงยามค่ำคืน พวกบาร์ ไนต์คลับ สถานอาบอบนวด โรงแรมม่านรูด ฯลฯ...............


    แหล่งที่มา : http://www.thaipost.net/news/090410/20593
     
  8. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,898
    ค่าพลัง:
    +6,434
    ห่วงประเทศชาติจังเลย

    ได้ข่าวลือที่มีการยืนยันเกี่ยวกับการป่วยหนักของคนๆหนึ่งที่อยู่นอกประเทศ

    ขออภัยแต่อยากติดตามเรื่องนี้ว่าจริงหรือไม่จริง เพราะเรื่องนี้ช่วยประเทศได้

    ถ้าเขาป่วยหรือจากไป ม๊อบจะจบ ขออภัยที่อดแสดงความเห็นการเมืองในเวลานี้ไม่ได้ค่ะ

    อ้างอิง

    http://www.oknation.net/blog/sigree/2010/04/09/entry-3
     
  9. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,898
    ค่าพลัง:
    +6,434
    <CENTER>เมื่อแดนดินแม่กันดาร
    จิตวิญญาณของก๋งล่องลอย
    เก็บเสื่อหมอนของใช้นิดหน่อย
    เจ้านกน้อยโผบินจากรัง

    ฝ่าคลื่นลม ภูเขา ทะเล
    ชิ้นสำเภาที่ใกล้จะพัง
    สร้างชีวิตใหม่โพ้นฟากฝั่ง
    คือความหวังของจีนสยาม

    เช้าจรดเย็น หนักเข็ญเท่าใด
    ขอข้าวเพียงหนึ่งชาม
    ข้าวและน้ำที่กินทุกคำ
    จดจำสำนึกคุณ

    หลากธรรมเนียมหลายที่มา
    กี่ภาษาเชื้อชาติใด ๆ
    ฟากฝั่งฝายังผืนดินไทย
    ย่อมเป็นไทย ผองไทยทั้งสิ้น

    เกิดจากแดนแคว้นเมืองไกล
    หากวันใดไร้สิ้นชีวัน
    อยากฝากกายวิหคพลัดถิ่น
    ใต้แผ่นดิน บ้านเมืองเห่งนี้

    ทุกชีวิตทำมาหากิน
    บนแผ่นดินสยาม
    ข้าวและน้ำที่กินทุกคำ
    จดจำสำนึกคุณ

    เกิดจากแดนแคว้นเมืองไกล
    หากวันใดไร้สิ้นชีวัน
    อยากฝากกายวิหคพลัดถิ่น
    ใต้แผ่นดิน บ้านเมืองเห่งนี้

    เกิดจากแดนแคว้นเมืองไทย
    หากวันใดไร้สิ้นชีวิน
    อยากฝากกายวิหคพลัดถิ่น
    ใต้แผ่นดินพระเจ้าอยู่หัวฯ


    จดจำสำนึกคุณ</CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER>


    ฝากชาวไทยเชื้อสายจีนทุกคน และขอส่งจิตไปให้คนที่คาดว่านอนป่วยอยู่ที่ดูไบได้ยินด้วยค่ะ

    โปรดจดจำสำนึกคุณแผ่นดินที่มาอยู่อาศัย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 เมษายน 2010
  10. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,898
    ค่าพลัง:
    +6,434
    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/11z4VwVENaY&color1=0xb1b1b1&color2=0xcfcfcf&hl=en_US&feature=player_embedded&fs=1 width=640 height=385 type=application/x-shockwave-flash allowScriptAccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>
     
  11. จมื่นราชฯ

    จมื่นราชฯ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    17
    ค่าพลัง:
    +57
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 เมษายน 2010
  12. โมเย

    โมเย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    877
    ค่าพลัง:
    +3,210
    ผืนแผ่นดินไทยนี้ สังเกตุดีดีว่า

    หากใครทำสิ่งที่มิชอบแล้ว ย่อมได้รับผล ไปตามกรรม เป็นธรรมดา


    ภาวนา ช่วยชาติ
    ขอให้ชาติไทยดำรงอยู่ ด้วยความสง่างาม
    ภายใต้พระบารมี ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว


    ขอพระองค์ทรงพระเจริญ

    ของดวงพระวิญญาณ บูรพมหากษัตริย์ คุ้มครองผืนแผ่นนี้ดินด้วยเทอญ
     
  13. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466

    <CENTER>

    [​IMG]

    เพลงชาติ
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=521 border=0><TBODY><TR><TD width=280>ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย</TD><TD width=237>เป็นประชารัฐ ไผทของไทยทุกส่วน</TD></TR><TR><TD width=280>อยู่ดำรงคงไว้ได้ทั้งมวล</TD><TD width=237>ด้วยไทยล้วนหมาย รักสามัคคี</TD></TR><TR><TD width=280>ไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด</TD><TD width=237>เอกราชจะไม่ให้ใครข่มขี่</TD></TR><TR><TD width=280>สละเลือดทุกหยาดเป็นชาติพลี </TD><TD width=237>เถลิงประเทศชาติไทยทวี มีชัย ชโย</TD></TR></TBODY></TABLE>​
    </CENTER>
     
  14. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    <TABLE width="45%" align=right border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#99cc00>เพลงชาติไทย
    </TD></TR><TR><TD bgColor=#99cc00>Thailand is the unity of Thai blood and body.
    The whole country belongs to the Thai people, maintaining thus far for the Thai.
    All Thais intend to unite together.
    Thais love peace, but do not fear to fight.
    They will never let anyone threaten their independence.
    They will sacrifice every drop of their blood to contribute to the nation,
    will serve their country whith pride and prestige--full of victory, Chai Yo.


    </TD></TR><TR><TD bgColor=#99cc00>ที่มา: หนังสือ THAILAND in the 90s ของสำนักนายกรัฐมนตรี </TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
  15. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    <TABLE borderColor=#00ac00 cellSpacing=0 cellPadding=5 width=620 bgColor=white border=1><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#008600>ตำนานเพลงชาติไทย </TD></TR><TR><TD>
    <TABLE width=610 align=center border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=HeadLine colSpan=2>กว่าจะเป็นเพลงชาติไทย</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR height=5><TD>[​IMG]</TD></TR><TR bgColor=#cccccc height=1><TD>[​IMG]</TD></TR><TR height=5><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body>โดย motasports</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=10 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=list2 vAlign=bottom align=right></TD></TR></TD></TR><TR><TD vAlign="top " align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=right border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><CAPTION align=bottom></CAPTION></TABLE>
    เพลงชาติไทยเป็นสัญลักษณ์ประจำชาติ แสดงความเป็นเอกราชของชาติ เป็นแหล่งรวมใจของคนในชาติให้เป็นจุดเดียวกัน สร้างความภูมิใจในศักดิ์ศรี สิทธิเสรีภาพระหว่างคนในชาติ และเพื่อปลุกใจให้เกิดความรักชาติ กว่าจะมาเป็นเพลงชาติในปัจจุบันนั้นได้รับการประพันธ์ ออกมามากมายโดยมีเนื้อร้องและทำนองที่แตกต่างกันไป ผมจึงได้รวบรวมประวัติแบบย่อมาได้ดังนี้ครับ
    </TD></TR><TR><TD vAlign="top " align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><CAPTION align=bottom>พระยาศรีสุนทรโวหาร </CAPTION></TABLE>ในสมัยปลายรัชกาลที่ ๔ เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๙๕ ได้มีนายทหารอังกฤษ ๒ คน ซึ่งเข้ามาเป็นครูฝึกทหารเกณฑ์ในวังหลวงและวังหน้า คือ ร้อยเอก อิมเปย์ (Impey) และร้อยเอก น๊อกซ์ (Thomas G. Knox) นายทหารอังกฤษทั้ง ๒ นายนี้ ได้ใช้เพลง “ ก๊อดเซฟเดอะควีน” (God Save the Queen) เป็นเพลงฝึกสำหรับทหารแตร และประเทศอังกฤษเองก็ได้ใช้เพลง “ก๊อดเซฟเดอะควีน” นี้เป็นเพลงประจำชาติ

    การฝึกทหารของไทยสมัยนั้นใช้แบบอย่างของประเทศอังกฤษ ดังนั้นเพลง “ ก๊อดเซฟเดอะควีน” จึงถูกใช้เป็นเพลงเกียรติยศ ถวายความเคารพต่อพระมหากษัตริย์ และใช้สำหรับกองทหารไทยในระหว่างปี พ.ศ. ๒๓๙๕ ถึง ๒๔๑๔ เรียกกันว่า “เพลงสรรเสริญพระบารมีอังกฤษ” ...ต่อมา พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) จึงได้ประพันธ์เนื้อร้องขึ้นมาใหม่ โดยใช้ทำนองเพลง “ก๊อดเซฟเดอะควีน”เดิม แต่ตั้งชื่อเพลงขึ้นใหม่ว่า “จอมราชจงเจริญ” นับได้ว่าเป็นเพลงชาติฉบับแรกของประเทศสยาม

    </TD></TR><TR><TD vAlign="top " align=left>
    เพลง "จอมราชจงเจริญ"
    แต่งโดย พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร)
    ทำนอง ก๊อดเซฟเดอะควีน
    “ความสุขสมบัติทั้งบริวาร เจริญพละ ปฏิภาณผ่องแผ้ว
    จงยืนพระชน...มาน นับรอบร้อย แฮ
    มีพระเกียรติเพริศแพร้ว เล่ห์ เพี้ยง จันทร”

    </TD></TR><TR><TD vAlign="top " align=left>ต่อมาปี พ.ศ. ๒๔๑๔ พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเสด็จประพาสเมืองสิงคโปร์ ซึ่งในขณะนั้นสิงคโปร์ยังคงเป็นเมืองขึ้นของประเทศอังกฤษ กองทหารดุริยางค์สิงคโปร์จึงบรรเลงเพลง “ก๊อดเซฟเดอะควีน” เพื่อถวายความเคารพ

    เมื่อทรงเสด็จกลับถึงพระนคร พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงตระหนักดีว่าประเทศมีความจำเป็นจะต้องมีเพลงชาติที่เป็นของตัวเองเพื่อแสดงถึงความเป็นเอกราชของชาติ จึงได้โปรดเกล้าให้ตั้งคณะครูดนตรีไทยขึ้น เพื่อทรงปรึกษาหาเพลงชาติที่มีความเป็นสยามประเทศ มาใช้แทนเพลง “ก๊อดเซฟเดอะควีน” คณะครูดนตรีไทยได้เลือก “เพลงทรงพระสุบัน”หรือเรียกอีกอย่างว่า “เพลงบุหลันลอยเลื่อน” ซึ่งเป็นพระราชนิพนธ์ของ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ ๒) โดยนำมาเรียบเรียงใหม่ให้มีความเป็นสากลขึ้นโดยนาย เฮวุดเซน (Heutsen)นับเป็นเพลงชาติไทยฉบับที่สอง ใช้บรรเลงในระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๑๔-๒๔๓๑

    สำหรับเพลงชาติไทยฉบับที่สาม คือ เพลง “สรรเสริญพระบารมี” (ฉบับปัจจุบัน) ประพันธ์โดย ปโยตร์ สชูโรฟสกี้ (Pyotr Schurovsky) นักประพันธ์เพลงชาวรัสเซีย คำร้องเป็นพระนิพนธ์ของสมเด็จฯกรมพระนริศรานุวัตติวงศ์ ใช้บรรเลงเป็นเพลงชาติในระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๓๑-๒๔๗๕

    </TD></TR><TR><TD vAlign="top " align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=right border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><CAPTION align=bottom>ขุนวิจิตรมาตรา </CAPTION></TABLE>

    เพลงชาติไทยฉบับที่สี่ คือ เพลง “ชาติมหาชัย” ใช้เป็นเพลงชาติในระหว่างการเปลี่ยนแปลงการปกครองปี พ.ศ. ๒๔๗๕ โดยอาศัยทำนองเพลงมหาชัย ส่วนคำร้องนั้นประพันธ์โดยเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี (สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา) เพื่อใช้ขับร้องและบรรเลงปลุกเร้าใจประชาชน ก่อให้เกิดความรักชาติและสร้างความสามัคคีในระหว่างที่มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ต่อมาจึงดำริจะให้มีเพลงชาติแบบสากล จึงได้มีการมอบหมายให้พระเจนดุริยางค์ (ปิติ วาทยะกร) แต่งทำนองเพลงชาติฉบับแรกขึ้น โดยมีขุนวิจิตรมาตรา (สง่า กาญจนาคพันธุ์) แต่งคำร้อง

    </TD></TR><TR><TD vAlign="top " align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><CAPTION align=bottom>เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี </CAPTION></TABLE>
    เพลง "ชาติมหาชัย"
    คำร้อง เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี (สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา)
    ทำนอง เพลงมหาชัย
    “สยามอยู่คู่ฟ้าอย่าสงสัย เพราะชาติไทยเป็นไทยไปทุกเมื่อ
    ชาวสยามนำสยามเหมือนนำเรือ ผ่านแก่งเกาะเพราะเพื่อชาติพ้นภัย
    เราร่วมใจร่วมรักสมัครหนุน วางธรรมนูญสถาปนาพาราใหม่
    ยกสยามยิ่งยงธำรงชัย ให้คงไทยตราบสิ้นดิน ฟ้า”

    </TD></TR><TR><TD vAlign="top " align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=right border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><CAPTION align=bottom>พระเจนดุริยางค์ </CAPTION></TABLE>
    เพลงชาติไทยฉบับที่ห้า คือ เพลงชาติฉบับพระเจนดุริยางค์ ผู้ประพันธ์ทำนองมีคำร้องประพันธ์โดยขุนวิจิตรมาตรา (สง่า กาญจนาคพันธุ์) ใช้เป็นเพลงชาติระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๗๕-๒๔๗๗ ในปีพุทธศักราช ๒๔๗๗ รัฐบาลได้ตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณาเพลงชาติขึ้นคณะหนึ่ง ประกอบด้วยพระเจ้าวรวงศ์เธอกรมหมื่น-นราธิปพงศ์ประพันธ์ ทรงเป็นประธาน มีกรรมการท่านอื่นๆดังนี้คือ พระเรี่ยมวิรัชพากย์, พระเจนดุริยางค์, หลวงชำนาญนิติเกษตร,จางวางทั่ว พาทยโกศล และนายมนตรี ตราโมท คณะกรรมการชุดนี้มีหน้าที่พิจารณาเกี่ยวกับเพลงชาติโดยเฉพาะผลการตัดสินปรากฏว่า เพลงที่ได้รับคัดเลือกคือฉบับที่ประพันธ์โดย จางวางทั่ว พาทยโกศล
    </TD></TR><TR><TD vAlign="top " align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><CAPTION align=bottom>จางวางทั่ว พาทยโกศล </CAPTION></TABLE>สำหรับเพลงชาติแบบไทยฉบับนี้ ซึ่งต่อมาเรียกว่าเพลงชาติ “แบบไทย” นั้น ท่านผู้แต่งได้ดัดแปลงทำนองมาจากเพลงหน้าพาทย์สำคัญของไทยที่มีชื่อว่าเพลง “ตระนิมิตร” ให้สามารถบรรเลงเป็นทางสากลได้ ซึ่งเพลง “ตระนิมิตร”นี้เป็นเพลงที่ถือว่าเป็นเพลงครู นักดนตรีจะใช้บรรเลงในพิธีสำคัญต่างๆ เช่น งานไหว้ครู บรรเลงเป็นการอัญเชิญครูบาอาจารย์เทวดาทั้งหลายมาประชุมกันเพื่อความเป็นสิริมงคล ดังนั้นจึงมีความหมายอันควรแก่การเคารพนับถือ เป็นสิริมงคลเหมาะสมที่จะใช้เป็นเพลงชาติไทยได้ เพลงชาติฉบับนี้ได้ใช้เป็นเพลงบรรเลงออกอากาศทางวิทยุกระจายเสียงของกรมโฆษณาการอย่างเป็นทางการอยู่ระยะหนึ่ง ส่วนเพลงชาติในแบบสากลฉบับของ พระเจนดุริยางค์ (ปิติ วาทยะกร) นั้นก็ยังคงนำมาใช้บรรเลงอยู่ด้วยในหลายๆโอกาสเช่นกัน จึงอาจจะกล่าวได้ว่าในยุคนั้นชาติไทยหรือประเทศสยาม ณ เวลานั้นของเรามีเพลงชาติไทยถึง ๒ แบบ ๒ ทำนอง ต่อมาภายหลังคณะกรรมการชุดเดียวกันนี้ได้มีการพิจารณาว่าให้ใช้เพลงชาติเพียงเพลงเดียวคือให้ยกเลิกเพลงชาติ “แบบไทย”และเลือกเพลงชาติตามแบบ “สากล” ให้คงไว้ใช้ต่อไป </TD></TR><TR><TD vAlign="top " align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=right border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><CAPTION align=bottom>ฉันท์ ขำวิไล </CAPTION></TABLE>เมื่อสรุปทำนองหลักของเพลงชาติไทยได้แล้ว ทางคณะกรรมการฯจึงได้จัดให้มีการประกวดบทร้องขึ้นใหม่ ซึ่งคณะกรรมการฯได้พิจารณาให้รางวัลแก่บทร้อง ๒ ฉบับ คือบทร้องของ นายฉันท์ ขำวิไล และบทร้องของขุนวิจิตรมาตรา





    เพลงชาติฉบับที่หก คือ เพลงชาติฉบับพระเจนดุริยางค์ ที่เพิ่มคำร้องของนายฉันท์ ขำวิไล เข้าต่อจากคำร้องของขุนวิจิตรมาตรา ใช้เป็นเพลงชาติระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๗๗-๒๔๘๒ เป็นเพลงชาติที่เป็นฉบับของทาง “ราชการ” ฉบับแรก และในปี พุทธศักราช ๒๔๘๒ รัฐบาลเปลี่ยนชื่อประเทศจาก “ สยาม” มาเป็น “ประเทศไทย” ทำให้เกิดการแก้ไขเนื้อร้องใหม่อีกครั้งหนึ่ง โดยประกาศให้ยื่นประกวดเนื้อเพลงที่แต่งให้เข้ากับทำนองเพลงชาติที่มีอยู่เดิม มีรางวัลให้ผู้ชนะเป็นเงิน ๑,๐๐๐ บาท การประกวดครั้งนี้ถือเป็นเนื้อร้องเพลงชาติที่แน่นอนสืบไปโดยมีคณะรัฐมนตรีเป็นผู้วินิจฉัยตัดสินในชั้นสุดท้าย สำหรับเพลงชาติฉบับนี้ เนื่องจากมีความยาวมาก ช่วงระยะหนึ่งได้ตัดตอนแบ่งการร้องออกเป็นช่วงเช้าและช่วงเย็น ช่วงละ ๒ บท พอมาตอนหลังจึงตัดตอนเหลือเฉพาะเพลงบรรเลงเท่านั้น


    </TD></TR><TR><TD vAlign="top " align=left>เพลงชาติไทย ฉบับพิสดาร
    คำร้อง สง่า กาญจนาคพันธุ์ และฉันท์ ขำวิไล
    ทำนอง พระเจนดุริยางค์
    “แผ่นดินสยามนามประเทืองว่าเมืองทอง ไทยเข้าครองตั้งประเทศเขตแดนสง่า
    สืบเผ่าไทยดึกดำบรรพ์โบราณลงมา รวมรักษาสามัคคีทวีไทย
    บางสมัยศัตรูจู่โจมตี ไทยพลีชีวิตร่วมรวมรุกไล่
    เข้าลุยเลือดหมายมุ่งผดุงไผท สยามสมัยโบราณรอดตลอดมา
    อันดินสยามคือว่าเนื้อของเชื้อไทย น้ำรินไหลคือว่าเลือดของเชื้อข้า
    เอกราชคือเจดีย์ที่เราบูชา เราจะสามัคคีร่วมมีใจ
    รักษาชาติประเทศเอกราชจงดี ใครย่ำยีเราจะไม่ละให้
    เอาเลือดล้างให้สิ้นแผ่นดินไทย สถาปนาสยามให้เทอดไทยไชโย
    เหล่าเราทั้งหลายขอน้อมกายถวายชีวิต รักษาสิทธิ์อิสระ ณ แดนสยาม
    ที่พ่อแม่สู้ยอมม้วยด้วยพยายาม ปราบเสี้ยนหนามให้พินาศสืบชาติมา
    ถึงแม้ไทย ไทยด้อยจนย่อยยับ ยังกู้กลับคงคืนได้ชื่นหน้า
    ควรแก่นามงามสุดอยุธยา นั้นมิใช่ว่า จะขัดสนหมดคนดี
    เหล่าเราทั้งหลายเลือดและเนื้อเชื้อชาติไทย มิให้ใครเข้าเหยียบย่ำขยำขยี้
    ประคับประคองป้องสิทธิ์อิสรเสรี เมื่อภัยมีช่วยกันจนวันตาย
    จะสิ้นชีพไว้ชื่อให้ลือลั่น ว่าไทยมันรักชาติไม่ขาดสาย
    มีไมตรีดียิ่งทั้งหญิงชาย สยามมิวายผู้มุ่งหมายเชิดชัยไชโย”
    </TD></TR><TR><TD vAlign="top " align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=right border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><CAPTION align=bottom>หลวงสารานุประพันธ์ </CAPTION></TABLE>
    ในเดือนกันยายนปีเดียวกันนั้นเอง ผลปรากฏว่าผู้ชนะได้แก่เนื้อร้องที่ประพันธ์โดย นายพันเอกหลวงสารานุประพันธ์ (นวล ปาจิณพยัคฆ์) ซึ่งส่งเข้าประกวดในนามของกองทัพบก คณะกรรมการได้คัดเลือกบทเนื้อร้องของหลวงสารานุประพันธ์เสนอให้คณะรัฐมนตรีวินิจฉัย ที่ประชุมปรึกษาพิจารณาแล้วลงมติรับบทเพลงนั้น โดยแก้ไขไปบ้างตามความเหมาะสม รัฐบาลจึงได้ประกาศใช้เป็นเพลงชาติไทยฉบับปัจจุบัน เมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ ดังที่เราได้ยินได้ฟังกันจนถึงทุกวันนี้...


    </TD></TR><TR><TD vAlign="top " align=left>เพลงชาติไทยในปัจจุบัน
    ทำนอง : พระเจนดุริยางค์
    คำร้อง : นายพันเอกหลวงสารานุประพันธ์ (นวล ปาจิณพยัคฆ์)
    “ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย
    เป็นประชารัฐ ไผทของไทยทุกส่วน
    อยู่ดำรงคงไว้ได้ทั้งมวล
    ด้วยไทยล้วนหมาย รักสามัคคี
    ไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด
    เอกราชจะไม่ให้ใครข่มขี่
    สละเลือดทุกหยาดเป็นชาติพลี
    เถลิงประเทศชาติไทยทวีมีชัยชโย"


    ฟังเพลงชาติไทยฉบับพิสดารได้ที่นี่ : คลิ๊กเพื่อฟังเพลง

    แหล่งที่มา �ӹҹ��ŧ�ҵ����

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  16. ศรัทธา_พิสุทธิ์

    ศรัทธา_พิสุทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    138
    ค่าพลัง:
    +205
    แนวหลัง

    คำร้อง : พระนางเธอลักษมีลาวัณ ในรัชกาลที่ 6
    ทำนอง : เอื้อ สุนทรสนาน

    ขอสหายชายหญิงอย่านิ่งช้า
    โปรดคิดหาเงินช่วยหน่วยทหาร
    พวกเราได้อยู่เป็นสุขสนุกสำราญ
    เพราะทหารกันภัยไว้แทนเรา

    ทหารเหนื่อยเมื่อยล้าแสนสาหัส
    ราษฎร์ควรจัดสิ่งของสนองเขา
    ทหารต้องรบทหารต้องสู้มิรู้เซา
    ราษฎร์ควรเอาทรัพย์ช่วยทุกหน่วยกอง

    ทหารเป็นแนวหน้ารักษาเขต
    ราษฎร์แนวหลังระวังเหตุทั่วทั้งผอง
    จงร่วมจิตคิดสมัครรักปรองดอง
    เพื่อพี่น้องชาวไทยสบชัยเอย
     
  17. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    มารู้จัก ท่าน พันเอก ร่มเกล้า กันหน่อยครับ


    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=160><TABLE cellSpacing=4 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=middle>คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle width=165 height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=4 background=/images/linedot_vert3.gif>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=7 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม รอง เสธ.พล.ร.2 รอ. ค่ายจักรพงษ์ อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี จากกองกำลังบูรพา ที่เสียชีวิต ในเหตุการณ์ปะทะระหว่างกำลังทหารกับกลุ่มผู้ชุมนุม เมื่อคืน(10 เม.ย.) ที่ผ่านมา ยังคงเป็นเรื่องที่ถูกตั้งข้อสงสัยว่า พ.อ.ร่มเกล้า นายทหารกล้าผู้นี้ ถูกคนเถื่อนชี้เป้าให้ยิง หรือ ถูกลูกหลงจากกระสุนจริงของคนเถื่อน

    พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม เป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 25 (ตท.25) นักเรียนนายร้อยจปร.รุ่น 36 เพื่อนๆเรียกชื่อเล่นกันว่า"เปา"ก่อนมาดำรงตำแหน่งที่ พล.ร.2 รอ. เป็นผบ.ฉก.35 (ยศ พ.ท.) ดำเนินการด้านยุทธศาสตร์ในพื้นที่ อ.สุคิริน และ อ.แว้ง จ.นราธิวาส เป็นเวลากว่า 6 เดือน โดยปฏิบัติการเดินเท้า เข้าทำความเข้าใจกับคนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

    พ.อ.ร่มเกล้า บอกถึงการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ภาคใต้ในครั้งนั้นว่า ตั้งแต่ลงพื้นที่ 6 เดือน กระสุนไม่เคยออกจากกระบอกแม้แต่นัดเดียว

    "การแก้ไขปัญหามี 2 อันดับ คืออันดับแรกแก้ที่ปลายเหตุ หมายความว่าให้คนไทยพุทธป้องกันการละทิ้งถิ่นฐาน และทำให้พี่น้องมุสลิมกลาง ให้ความร่วมมือกับรัฐ ส่วนอันดับสอง คือการแก้ที่สาเหตุ เป็นการแก้ไขในระยะยาว ที่ต้องทำให้คนในพื้นที่เกิดความรู้สึกต่อต้านกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ ผมเข้าไปในพื้นที่ ใช้วิธีเข้าไปคุยกับทุกหลังคาเรือน หากเรารู้ว่าคนนี้ น่าจะเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ความรุนแรง แต่ไม่มีหลักฐานพิสูจน์ได้ เราจะเข้าไปคุยกับเขาบ่อยๆ ซึ่งสามารถทำให้ลดการเกิดเหตุรุนแรงขึ้นได้เนื่องจาก เมื่อเราเข้าไปพูดคุยเป็นมิตรกับเขาบ่อยๆ เขาจะเกรงใจ เราจะหยุดการฆ่าด้วยการฆ่าไม่ได้"

    "ผมเดินเข้าไปบอกถึงความเป็นคนไทยกับชาวบ้านในพื้นที่ เพื่อให้เกิดความรู้สึกว่าเป็นคนไทยเหมือนกัน ผมเดินเข้าไปบอกชาวบ้านว่า ผมเป็นจีน มาจากซัวเถา เพราะแม่ผมเป็นคนจีน คุณมาจากไหนไม่รู้ พูดภาษายาวี แต่เราเป็นคนไทยด้วยกัน เขาก็งง แล้วถามผมว่าแล้วคนไทยคืออะไร ผมก็บอกไปว่าก็พวกเราทั้งหมดคือคนไทย บางทีผมยังต้องเอาประวัติศาสตร์สมัยสมเด็จพระนเรศวร ลงไปบอกกับพี่น้องในพื้นที่ว่า นักรบจนถึงชนชั้นขุนนางในอดีตก็มีคนมุสลิม เราร่วมรบกันมา อยู่ร่วมกันมานานแล้ว ปลุกความรักชาติให้เขา" ทั้งหมดเป็นแนวความคิดและแนวปฏิบัติของ พ.อ.ร่มเกล้า เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง ผบ.ฉก.35 ในพื้นที่ อ.สุคิริน และ อ.แว้ง จ.นราธิวาส
    .................................

    แหล่งที่มา : Crime - Manager Online


    *** ขอคารวะท่านครับ












    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 เมษายน 2010
  18. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,898
    ค่าพลัง:
    +6,434
    "ผมเดินเข้าไปบอกถึงความเป็นคนไทยกับชาวบ้านในพื้นที่ เพื่อให้เกิดความรู้สึกว่าเป็นคนไทยเหมือนกัน ผมเดินเข้าไปบอกชาวบ้านว่า ผมเป็นจีน มาจากซัวเถา เพราะแม่ผมเป็นคนจีน คุณมาจากไหนไม่รู้ พูดภาษายาวี แต่เราเป็นคนไทยด้วยกัน เขาก็งง แล้วถามผมว่าแล้วคนไทยคืออะไร ผมก็บอกไปว่าก็พวกเราทั้งหมดคือคนไทย บางทีผมยังต้องเอาประวัติศาสตร์สมัยสมเด็จพระนเรศวร ลงไปบอกกับพี่น้องในพื้นที่ว่า นักรบจนถึงชนชั้นขุนนางในอดีตก็มีคนมุสลิม เราร่วมรบกันมา อยู่ร่วมกันมานานแล้ว ปลุกความรักชาติให้เขา" ทั้งหมดเป็นแนวความคิดและแนวปฏิบัติของ พ.อ.ร่มเกล้า เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง ผบ.ฉก.35 ในพื้นที่ อ.สุคิริน และ อ.แว้ง จ.นราธิวาส

    ขออนุโมทนาค่ะ ขอร่วมส่งผู้พันไปสู่ดินแดนอันสงบสุขนิรันดร์



    ดูภาพข่าวที่นักข่าวต่างประเทศส่งมาให้ ช่อง 11 มาออกอากาศเมื่อสักครู่นี้ เห็นทหารเข้าไปลาก พ.อ. ร่มเกล้า ออกจากจุดปะทะ น่าสงสารมาก น่าสงสารทหารมากค่ะ

    รัฐบาลและทหารต้องการให้ประชาชนพลังเงียบช่วยทำอะไร ขอให้บอกค่ะ ขอให้กำลังใจและขอร่วมมือร่วมใจเต็มที่ ขอให้แจ้งประชาชนเถิดว่าพลังเงียบจะช่วยชาติอย่างไรได้บ้าง


    รักเธอ ประเทศไทย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 เมษายน 2010
  19. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    .................

    เพื่อนถูกบุกกระหน่ำ อริล้ำทั่วสิงขร
    เพราะห่วงแหนแดนมารดร จึงมอบชีพเป็นชาติพลี
    เพื่อนสู้ด้วยมือเปล่า จู่โจมเข้ารุกราวี
    กระสุนหมดแต่ยังมี สติมั่นในดวงมาลย์
    มิยอมให้ธงชาติใด ปลิวไสวบนทัพฐาน
    แม้ร่างจะแหลกราญ แต่ไตรรงค์คงยั่งยืน
    ขอเทิดเพื่อนร่วมตาย ด้วยอาลัยสุดจักฝืน
    หากช้ำต้องกล้ำกลืน เพื่อหน้าที่อันจีรัง
    ..................

    ขอเชิญทหารกล้า จงนิทรายังที่เนา
    หลับเถิดอย่าหมองเศร้า จะปกป้องผองผไท


    ขอเทิดเพื่อนร่วมตาย ด้วยอาลัยสุดจักฝืน
    หากช้ำต้องกล้ำกลืน เพื่อหน้าที่อันจีรัง
     
  20. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>ต้อนรับสงกรานต์ 2553</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย สิริอัญญา </TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>11 เมษายน 2553 14:26 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=left height=12>[​IMG]</TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=7 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>วันมหาสงกรานต์ประจำปี 2553 จะมาถึงในวันพุธที่ 14 เมษายน 2553 ซึ่งชนเผ่าไทยแต่โบราณถือว่าวันมหาสงกรานต์นี้คือวันขึ้นปีใหม่และได้เฉลิมฉลองในฐานะที่เป็นวันขึ้นปีใหม่ต่อเนื่องมาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้

    คำว่า “สงกรานต์” นั้นไม่ได้หมายถึงสัตว์น้ำตัวเล็กๆ สีแดงๆ ที่เกือบจะสูญพันธุ์ไปแล้ว แต่หมายความว่าย้ายหรือเปลี่ยน ซึ่งมีอยู่ 3 ชนิด

    คือสงกรานต์เดือน ได้แก่วันที่พระอาทิตย์โคจรย้ายจากราศีหนึ่งไปยังอีกราศีหนึ่ง การย้ายในลักษณะเช่นนี้เกิดขึ้นทุกเดือน จึงเรียกว่าสงกรานต์เดือน

    อีกชนิดหนึ่งคือ อายันสงกรานต์ ได้แก่วันที่พระอาทิตย์โคจรขึ้นไปถึงกึ่งขอบฟ้าข้างทิศเหนือ หรือลงมาข้างทิศใต้ มีชื่อเรียกเฉพาะว่าอายันสงกรานต์เหนือ และอายันสงกรานต์ใต้ตามลำดับ

    จะเป็นวันเวลาใดที่พระอาทิตย์โคจรไปถึงกึ่งขอบฟ้าข้างทิศเหนือและข้างทิศใต้ย่อมเป็นเรื่องที่นักดาราศาสตร์และนักคำนวณปฏิทินโหราศาสตร์เขาจะคิดคำนวณกัน เป็นเครื่องบ่งบอกฤดูกาลและวิบัติต่างๆ ซึ่งปัจจุบันนี้แทบจะไม่ใช้กันแล้วเพราะมีวิธีคำนวณที่ดีกว่าและแม่นยำกว่า

    ส่วนชนิดที่กล่าวถึงนี้ก็คือมหาสงกรานต์ หมายถึงวันที่พระอาทิตย์โคจรย้ายจากราศีมีนขึ้นสู่ราศีเมษ ซึ่งปีหนึ่งจะมีครั้งเดียว และถือว่าเป็นการเปลี่ยนปี เพราะถือกันมาว่าราศีเมษเป็นจุดสูงสุดของจักรราศี หรือท้องฟ้า เมื่อพระอาทิตย์โคจรเข้าราศีเมษ จึงถือเป็นวันครบรอบปีหนึ่งๆ และถือเป็นวันเริ่มปีใหม่ด้วย

    ในแต่ละปีนั้นแม้ว่าพระอาทิตย์จะโคจรจากราศีมีนเข้าสู่ราศีเมษไม่ตรงวันเวลานาทีกันนัก แต่โดยรวมแล้วก็จะตกอยู่ในช่วงระหว่างวันที่ 13-14 เมษายน ซึ่งปีนี้วันเวลาที่พระอาทิตย์โคจรย้ายเข้าสู่ราศีเมษจะตรงกับวันพุธที่ 14 เมษายน 2553 ซึ่งทางจันทรคติตรงกับวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 6 เวลา 07 นาฬิกา 21 นาที จึงถือว่าวันนี้เป็นวันขึ้นปีใหม่

    ความจริงวันปีใหม่ของไทยนั้นออกจะเลอะเทอะเต็มที ทั้งนี้อาจเนื่องจากประวัติความเป็นชาติของไทยนั้นยาวนานและมีการเปลี่ยนผ่านมากมาย

    บ้างก็ถือเอาวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5 เป็นวันขึ้นปีใหม่ บ้างก็ถือเอาวันมหาสงกรานต์เป็นวันขึ้นปีใหม่ และเมื่อครั้งที่ยังนับถือจุลศักราชกันอยู่ ก็จะถือเอาวันที่ 16 เมษายน 2553 เป็นวันขึ้นปีใหม่และปัจจุบันก็ไปถือตามฝรั่ง คือถือเอาวันที่ 1 มกราคม เป็นวันขึ้นปีใหม่

    แต่ถ้าจะให้เรียกว่าวันปีใหม่ไทยกันโดยทั่วไปแล้วในปัจจุบันนี้ก็ต้องถือว่าวันมหาสงกรานต์ยังคงเป็นวันที่ได้รับการยอมรับนับถือมากที่สุด

    เมื่อเป็นวันปีใหม่ก็เป็นวันเปลี่ยนปี แต่ที่ยังมีปัญหากันอยู่ก็คือปีนักษัตร ซึ่งยังมีคติถือต่างกันอยู่ถึง 3 แบบ

    พวกหนึ่งถือว่าเมื่ออนุโลมถือวันปีใหม่เป็นวันที่ 1 มกราคม ปีนักษัตรก็ต้องเริ่มแต่วันที่ 1 มกราคม ด้วย ส่วนอีกพวกหนึ่งถือว่าปีนักษัตรเป็นปีเฉพาะ ต้องถือเอาวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5 เป็นวันเปลี่ยนปีนักษัตร ซึ่งเท่าที่ติดตามค้นคว้าก็ยังไม่เห็นเหตุผลต้นปลายอันเป็นที่มา

    ส่วนอีกพวกหนึ่งรวมทั้งผู้เขียนบทความนี้ด้วยถือว่าวันมหาสงกรานต์คือวันเปลี่ยนปีนักษัตร เพราะเมื่อไล่เรียงตำนานที่ไปที่มาแล้วก็มีเรื่องราวนิทานปรัมปรารองรับสอดคล้องต้องกันอยู่

    นั่นคือเรื่องราวของการเล่นพนันขันต่อระหว่างท้าวกบิลพรหมกับมานพหนุ่มที่ท้าทายประชันความรู้กันว่าแต่ละวันเวลา “ศรี” อยู่ที่ไหน ในที่สุดท้าวกบิลพรหมก็แพ้พนันเพราะไม่สำนึกในฐานะและวุฒิของตนว่าเป็นถึงพรหม กลับไปท้าเด็กเล่นพนัน จึงต้องตัดหัวให้เป็นเดิมพัน

    ทว่าหัวของท้าวกบิลพรหมนั้นหากตกถึงพื้นก็จะกลายเป็นไฟประลัยกัลป์ล้างผลาญโลก จึงต้องเอาพานทองรองรับแล้วไปจัดเก็บไว้ในถ้ำแห่งหนึ่ง ถึงขวบปีก็ให้บุตรีทั้ง 7 คนหมุนเวียนเปลี่ยนกันเข้าเวรอัญเชิญเศียรพระพรหมออกจากถ้ำ ไปทำทักษิณาวัตรรอบเขายุคลธร

    เป็นขบวนของเทวดา นางฟ้า และบริวารใหญ่โต ขบวนดังกล่าวนี้จะมีสัตว์ประจำปีนักษัตรนำขบวน มีเทวดาถือธงประจำปีนักษัตรนำหน้า จึงเป็นที่มาของการเปลี่ยนปีนักษัตรในวันนี้ ซึ่งเข้าที่เข้าท่าอ้างอิงที่มาได้ดีกว่าการถือคติแบบอื่นๆ

    เนื่องจากบุตรีของท้าวกบิลพรหมนั้นมีถึง 7 องค์ มีชื่อต่างๆ กัน มีเครื่องทรงและการกินอยู่ต่างๆ กัน มีหน้าที่ผลัดกันเข้าเวรตามวันที่เป็นวันสงกรานต์

    ในปีนี้ เนื่องจากวันมหาสงกรานต์ตรงกันวันพุธ ดังนั้นบุตรีท้าวกบิลพรหมองค์ที่จะต้องเข้าเวรในวันมหาสงกรานต์ที่เป็นวันพุธจึงต้องเข้าเวรเป็นนางสงกรานต์เวรประจำปีนี้

    บุตรีของท้าวกบิลพรหมที่เป็นนางสงกรานต์เวรปีนี้มีชื่อว่าพระนางมณฑาเทวี ทรงพาหุรัด ทัดดอกจำปา มีแก้วไพฑูรย์เป็นอาภรณ์ เสวยภักษาหารนมเนย พระหัตถ์ขวาทรงเหล็กแหลม พระหัตถ์ซ้ายทรงไม้เท้า เสด็จยืนมาบนหลังลา

    จากพระนามของนางสงกรานต์ ตลอดจนการแต่งเครื่องทรงอาภรณ์ต่างๆ ได้มีคติพยากรณ์สงกรานต์ขึ้นเป็นคำพยากรณ์ใช้สำหรับทำนายทายทักสงกรานต์ประจำปี

    ดังนั้นคำพยากรณ์สงกรานต์ปีนี้จึงเป็นไปตามพระนาม การแต่งองค์ทรงเครื่อง และการทรงสัตว์พาหนะของนางสงกรานต์เวร ซึ่งสรุปความได้ดังต่อไปนี้

    เนื่องเพราะพระนามนางสงกรานต์เวรปีนี้ทรงพระนามว่าพระนางมณฑาเทวี ดังนั้นตั้งแต่วันที่ 14 เมษายน 2553 นี้เป็นต้นไป ผู้หญิงจะมีบทบาทและอำนาจมากขึ้นในบ้านเมือง จะเป็นผู้มีอำนาจชี้ขาดและแก้ไขปัญหาสำคัญๆ ของชาติให้ลุล่วงไป

    พระนางสงกรานต์เวรทรงพาหุรัด ทัดดอกจำปา มีแก้วไพฑูรย์เป็นอาภรณ์ มีความหมายว่าความสามัคคีในบ้านเมืองที่ชำรุดทรุดโทรมเสื่อมถอยมาระยะเวลาหนึ่ง จะค่อยๆ ฟื้นคืนเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ผ่านมา

    เพชรนิลจินดาและอัญมณีต่างๆ จะมีราคาสูงขึ้น การผลิต การแปรรูป และการส่งออก จะคึกคักเฟื่องฟูมากขึ้น

    พระบรมเดชานุภาพแห่งพระมหากษัตริย์จะแผ่ขจรขจายไพศาล ด้วยพระปรีชาญาณในการกำจัดผองภัยและขจัดปัดเป่าเมฆหมอกอันมืดดำให้ผ่านพ้นไปด้วยดี

    เพราะเหตุที่พระนางสงกรานต์เวรเสวยภักษาหารเป็นนมเนย พวกฝรั่งมังค่าชาติตะวันตกจะเข้ามามีบทบาทในทางเศรษฐกิจและการเมืองในประเทศไทยมากขึ้น ประเทศไทยจะถูกแทรกแซงจากมหาอำนาจตะวันตกมากขึ้น ในขณะที่การค้าขายและการลงทุนจะได้รับการเกื้อหนุนเป็นการตอบแทน

    โดยเฉพาะการสนับสนุนการผลักดันดัชนีในตลาดหุ้นและสินค้าล่วงหน้าจะเกิดขึ้นอย่างผิดหูผิดตา

    การที่นางสงกรานต์เวรทรงเหล็กแหลมในพระหัตถ์ขวา ทรงไม้เท้าในพระหัตถ์ซ้าย และเสด็จยืนมาบนหลังลา มีความหมายที่ต้องพยากรณ์เป็นเนื้อความรวมกัน

    โดยรวมก็คือ วิบากกรรมจากการใช้คนโง่หรือการใช้คนด้วยความชอบใจเป็นหลัก ไม่ได้ยึดถือการใช้คนเพราะเป็นคนดีมีฝีมือเป็นหลัก จึงทำให้มีอุปสรรคและปัญหาหนักหน่วงกว่าที่คาดคิด

    ผู้เป็นรัฏฐาธิปัตย์มีอาการซวนเซ แต่ไม่ถึงกับล้ม เพราะมีไม้เท้าพยุง แต่ดำรงตนอยู่ด้วยความประมาทเกินการ แม้กระนั้นวาสนาและอานิสงส์แห่งกุศลในบางบรรพ์ยังคงค้ำจุนไว้ได้มาก จึงสามารถตัดสินใจในวาระสำคัญอย่างเฉียบขาด ใช้อำนาจเป็นธรรม ยับยั้งกลียุคได้

    ในปีใหม่ไทยที่จะมาถึงนี้ การคำนวณเกณฑ์ฝนปรากฏว่าจะมีฝนตก 300 ห่า ตกในจักรวาล 120 ห่า ตกในป่าหิมพานต์ 90 ห่า ตกในมหาสมุทร 60 ห่า เหลือตกในโลกมนุษย์เพียง 30 ห่าเท่านั้น หมายความว่าฝนจะน้อย ภักษาหาร มังสาหารในที่ลุ่มยังพอได้ผล แต่ในที่สูงที่ดอนจะเสียหายมาก

    ครั้นดูจากเกณฑ์นาคให้น้ำ และเกณฑ์น้ำ ปรากฏว่าปีนี้นาคให้น้ำ 7 ตัว หมายความว่าฝนจะน้อย อากาศจะแล้ง สอดคล้องกับเกณฑ์น้ำที่ตกปูมเตโช ซึ่งบอกความหมายตรงตัวว่าโลกจะร้อนขึ้น อากาศจะร้อนจัด น้ำจะขาดแคลน

    ส่วนเกณฑ์ธัญญาหารชื่อวิบัติ หมายความว่าข้าวกล้าในนาจะได้ผลแค่ครึ่งเดียว อีกครึ่งหนึ่งเสียหายหมด พืชพันธุ์ธัญญาหารอื่นๆ ก็ได้ผลเพียงพอประมาณเท่านั้น

    จากปูมวันสงกรานต์ดังกล่าว สำหรับปีนี้กลับมีห้วงเวลาคาบเกี่ยวอันน่าพิศวง ที่เมื่อสัมพันธ์กับการในฟ้าอากาศแล้ว จะมีความสุดโต่งสองขั้วเกิดขึ้นในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน

    ช่วงวันที่ 14-21 เมษายน 2553 พระอาทิตย์โคจรเข้าสู่ราศีเมษเป็นมหาอุจม์ แต่เป็นกาลกิณีจร ทับลัคนาดวงเมือง ต้องด้วยบทพยากรณ์ว่ากาลีอุจจาวิหายะติ แปลความว่าจะเกิดหายนะครั้งใหญ่ที่สุดในบ้านเมือง มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขึ้นในบ้านเมือง

    ครั้นล่วงถึงวันที่ 21 เมษายน 2553 พระอาทิตย์จรเปลี่ยนคุณสมบัติจากกาลีจร กลายมาเป็นมนตรีจร เปลี่ยนสภาพจากโทษอนันต์เป็นคุณมหันต์ในพริบตา พระสยามเทวาธิราชจะแผ่พระบารมี ระงับดับกลียุคและทุกข์เข็ญในบ้านเมือง

    แต่จะเป็นรูปแบบใดและวิธีใด มนุษย์เดินดินอย่างเราท่านไหนเลยจะไขลิขิตแห่งสวรรค์ได้!


    ขอบคุณแหล่งที่มา : Daily News - Manager Online



    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     

แชร์หน้านี้

Loading...