:::มนุษย์ถูกสร้างโดยผู้มาจากอวกาศ?:::

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Aqua-ma-rine, 30 มีนาคม 2010.

  1. Aqua-ma-rine

    Aqua-ma-rine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    820
    ค่าพลัง:
    +1,242
    พอดูหนังเรื่อง fourth kind จบ ก็มาตั้งคำถามกับตัวเอง แบบค่อยๆ ปะติดปะต่อทีละนิดว่า

    1.มนุษย์โลกถูกสร้างโดยผู้มาจากอวกาศใช่มั้ย ด้วยเทคโนโลยีพันธุกรรมศาสตร์ หลายเหตุการณ์ในชีวิตเราถูกจัดฉาก โดยผู้สร้างพวกเราหรือเปล่า

    เราลองมาดูทฤษฎีนี้และคิดไปพร้อมๆ กันดีกว่า...

    2.เรื่องเทพ เทวดา นางฟ้า เรื่องผี เรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เช่น พญานาค มังกร เมืองลับแล มิติลี้ลับ ชาติภพ ภูมิต่างๆ เก็บไว้ก่อน

    เอาเรื่องน่าคิดจากข้อ 1. ก่อน พอเข้าใจข้อแรกแล้ว ข้อ 2.จะทะลุปรุโปร่ง ตามมาเอง

    ก่อนที่จะไปดูว่าหนัง fourth kind สื่อเกี่ยวกับอะไร อย่างไรกันนะ และจะเอาไปบวกกับเรื่อง The Truman Show ได้บ้างมั้ย

    ขอชี้แจงก่อนว่า ข้อเขียนนี้ไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ความเชื่อด้านศาสนา หรือมีเจตนาร้ายในเรื่องไหนๆ ทั้งนั้น

    เป็นแค่ความเชื่อส่วนตัว ที่เอามาตั้งสมมติฐาน และแสดงความคิดเห็นเท่านั้นเอง


    The Fourth Kind (1-2-3-4 ช็อค)


    The Fourth Kind เป็นภาพยนตร์ทริลเลอร์เหนือธรรมชาติ เรื่องราวชวนสั่นประสาทได้เกิดขึ้นในรัฐอลาสก้าในปี 1972 มีการแจ้งเหตุถึงการสูญหายไปอย่างไร้ร่อยรอย ของประชาชนที่เพิ่มจำนวนขึ้นทุกปี

    แม้ว่าจะมีเอฟบีไอเข้ามาสืบสวนด้วยตัวเอง แต่ความจริงนั้นก็ยังถูกฝังเอาไว้ ในพื้นที่ซึ่งถูกปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวตลอดปี

    ในเขตอันห่างไกลจากตัวเมือง ดร. อบิเกล ไทเลอร์ (มิลล่า โจโววิช) จิตแพทย์สาวได้เริ่มทำการบันทึกช่วงเวลาการรักษาคนไข้ ที่ได้รับผลกระทบทางจิตใจจากบางสิ่ง ซึ่งมันก็ทำให้เธอค้นพบหลักฐานช็อคโลกที่สุด เท่าที่เคยมีการบันทึกกันมา

    ซึ่งเกี่ยวกับการถูกสิ่งมีชีวิตจากต่างดาวลักพา ตัวด้วยการผสมผสานระหว่างฟุตเตจจากเหตุการณ์จริง และเหตุการณ์ที่จำลองขึ้นมาเพื่อใช้ในการเล่าเรื่อง

    The Fourth Kind คือภาพยนตร์ที่จะเปิดโปงความลับอันน่าสะพรึงกลัว ของเหยื่อและผู้เห็นเหตุการณ์ ในการถูกรุกรานจากสิ่งมีชีวิตนอกโลก

    ซึ่งคำอธิบายของทุกคนนั้นก็สอดคล้องกันอย่างน่าประหลาดใจ และความเชื่อในเรื่องลี้ลับของทุกคนก็จะถูกทดสอบตลอดทั้งเรื่อง และถูกเปิดเผยขึ้นเป็นครั้งแรกที่นี่...


    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" hasbox="2"><TBODY hasbox="2"><TR hasbox="2"><TD hasbox="2"><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#000000 hasbox="2"><TBODY hasbox="2"><TR hasbox="2"><TD class=recommend_tx vAlign=top hasbox="2">เรียลลิตี้/ไซไฟ สุดสยอง! เรื่องแรกของโลก

    คุณเชื่อหรือเปล่าว่า หนังไซไฟปนสยอง จะมาหลอมรวมกับ เรียลลิตี้เรื่องจริงผ่านจอ และมันได้เกิดขึ้นแล้วใน The Fourth Kind



    - The Fourth Kind เป็นหนังทริลเลอร์เหนือธรรมชาติ ซึ่งมีโครงสร้างไม่เหมือนกับหนังเรื่องใดที่ผ่านๆ มา เพราะนี่คือการผสมผสานกันระหว่างฟุตเตจจากเรื่องจริง และเหตุการณ์จำลองที่สร้างขึ้นมาใช้ในการเล่าเรื่อง นั่นคือสาเหตุที่ทำให้มีคนกล่าวขวัญว่า The Fourth Kind คือหนัง เรียลลิตี้/ไซไฟ เรื่องแรกของโลก!


    - แม้จะผลงานการกำกับหนังใหญ่ครั้งแรกของ โอลาทุนเด้ โอซุนซานมี่ แต่เขาเคยเป็นผู้ช่วยของผู้กำกับ/คนเขียนบทดาวรุ่งอย่าง โจ คาร์นาฮาน ที่เคยมีผลงานสุดเข้มข้นมาแล้วเช่น Smokin' Aces, Narc และ Pride and Glory มาแล้ว

    <!--/div-->



    </TD></TR><TR><TD class=recommend_tx vAlign=top></TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/majorhomepage_69bg.gif></TD></TR><TR><TD>




    </TD><TD background=images/bg-bottom-review.gif></TD><TD>




    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" hasbox="2"><TBODY hasbox="2"><TR><TD>




    </TD><TD background=images/bg-top-detail.gif></TD><TD>




    </TD></TR><TR hasbox="2"><TD background=images/majorhomepage_67bg.gif></TD><TD hasbox="2"><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#000000 hasbox="2"><TBODY hasbox="2"><TR><TD>





    </TD></TR><TR hasbox="2"><TD class=recommend_tx vAlign=top hasbox="2">
    ว่ากันว่า มนุษย์ต่างดาว จะมาปรากฏร่างให้เรนในสถานะที่แตกต่างกัน 4 ระดับ นั่นคือ 1. การเห็น 2. การค้นพบ 3. การติดต่อ และ 4. การลักพาตัว ซึ่งจนกระทั่งบัดนี้ ระดับสี่ “การลักพาตัว” คือระดับที่มีการถูกบันทึกเอาไว้ได้น้อยที่สุด และนี่เป็นส่วนหนึ่งของแรงบันดาลใจที่ทำให้เกิดหนังการตีแผ่เรื่องราวใน The Fourth Kind


    ย้อนกลับไปเมื่อเดือนตุลาคม ปี 2004 ผู้กำกับ โอลาทุนเด้ โอซุนซานมี่ ได้ทำการปิดกล้องหนังเรื่อง The Cavern และมุ่งหน้าไปยังรัฐนอร์ธ แคโรไลน่า สำหรับการทำโพสต์โปรดักชั่น ซึ่งทำให้เขามีโอกาสได้สัมผัสกับเหตุการณ์พิศวง ที่จะถูกนำมาเล่าในภาพยนตร์เรื่องล่าสุด The Fourth Kind


    โดยมีเพื่อนร่วมอาชีพของเขาคนหนึ่งเล่าว่า มีนักจิตวิทยาสาวคนหนึ่งอาศัยอยู่ในเมืองเล็กๆ อันห่างไกลในแถบทะเลเบอร์ริง ซึ่งอยู่ในเขตรัฐอลาสก้า เธอทำการศึกษาปัญหาอาการนอนไม่หลับของคนไข้ ซึ่งภายหลังก็ทำให้เธอได้พบข้อมูลที่น่าสะพรึงกลัว


    สิ่งที่ โอซุนซานมี่ ได้ยินทำให้เขารู้สึกสนใจ โดยเฉพาะการที่มันมีหลักฐานที่ชัดเจนและน่าเชื่อถือ เขาจึงตัดสินใจออกตามหาจิตแพทย์สาวคนนั้นจนพบ ซึ่งถึงแม้ว่าเธอจะเกิดอาการลังเลในตอนแรก แต่สุดท้ายเธอก็ยอมเปิดเผยเรื่องราวทั้งหมด


    ในฤดูใบไม้ร่วงปี 2000 กลุ่มคนไข้ของจิตแพทย์สาวคนนี้ ได้รับการบำบัดโดยการสะกดจิตลึก ซึ่งปฏิกริยาตอบรับก็เผยให้เห็นถึงพฤติกรรมที่บ่งบอกถึงการเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตต่างดาว โดยพวกเขาทุกคนจะเล่าว่าเห็นนกฮูกสีขาวอยู่ภายนอกหน้าต่าง


    พวกเขาตื่นขึ้นมากแต่ไม่สามารถขยับตัวเหมือนร่างกายเป็นอัมพาต จากนั้นพวกเขาได้ยินเสียงที่น่าสะพรึงกลัวจากสิ่งมีชีวิตที่อยู่ด้านนอกประตู ก่อนที่ผู้บุกรุกจะเข้ามาดึงร่างออกไปจากห้อง ซึ่งหลังจากนั้นความทรงจำของพวกเขาก็เปลี่ยนเป็นสีดำมืด


    เมื่อจิตแพทย์สาวคนนั้นสำรวจลงไปในเรื่องเหตุการณ์พิศวง เธอได้ค้นพบถึงประวัติศาสตร์การหายตัวไปของผู้คนในระแวกนี้ รวมถึงกิจกรรมที่แปลกประหลาดของคนที่อ้างว่าเคยถูกลักพาตัวไป


    ซึ่งย้อนกลับใปตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 60 ซึ่งยิ่งขุดลงไปถึงต้นตอมากเท่าไร ก็ทำให้เธอยิ่งเชื่อในเรื่องที่ไม่น่าเชื่อมากขึ้นเท่านั้น เรื่องราวจากปากคำของเหยื่อไม่ใช่ความทรงจำที่ถูกแต่งขึ้น หากแต่เป็นหลักฐานชิ้นสำคัญ ที่บอกได้ถึงการถูกลักพาตัวไปโดยมนุษย์ต่างดาว!



    ระดับแรก “การเห็น”

    เหตุการณ์การเห็นวัตถุลึกลับเกิดขึ้นในรัฐอลาสก้าหลายครั้ง เช่นในเดือนกุมภาพันธ์ปี ค.ศ 1965 เจ้าหน้าที่กองทัพอากาศและลูกเรือสหรัฐฯ ได้เดินทางจากท่าอากาศยานในอลาสก้าไปยังประเทศญี่ปุ่น ทันใดนั้นเรดาร์พวกเขาก็จับสัญญาณของสิ่งแปลกปลอมขนาดมหึมาได้สามลำที่ว่ากันว่าคือ ยูเอฟโอ


    โดยพวกมันได้บินผ่านเครื่องบินเจ็ต F-169 ผ่านน่านน้ำแปซิฟิก และหายไปด้วยความเร็วที่มากกว่า 1500 ไมล์ ต่อชั่วโมง


    ในปี ค.ศ.1972 พันเอกพิเศษแห่งของกองทัพอากาศสหรัฐ เวนเดลล์ ซี สตีเว่นส์ ได้ให้ปากคำถึงภาพฟุตเตจของยูเอฟโอเหนือน่านฟ้าอลาสก้าที่ถูกบันทึกเอาไว้ และการหายตัวไปอย่างลึกลับของสมาชิกวุฒิสภา นิค เบจิส ที่เขาเล่าว่าเป็นการแทรกแซงของสิ่งมีชีวิตนอกโลก



    เดือนพฤศจิกายน ปี ค.ศ.1986 เครื่องบินเดินทางออกจากชายฝั่งเมืองแองเคอเรจ โดยมีกัปตันเคนจู เทราอุชิ และลูกเรือของแจแปน แอร์ไลน์ เที่ยวบิน 1628 ได้บอกเป็นเสียงเดียวกันถึงยานบินไม่ระบุสัญชาติ ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าเครื่องบินพาณิชย์ถึงสองเท่า โดยคำให้การของพวกเขาก็ยังได้รับการสนับสนุนจากสัญญาณเรดาร์ด้วย


    เหตุการณ์ที่น่าสนใจอีกเหตุการณ์หนึ่ง และเป็นประสบการณ์ของ จอห์น คาลาแฮน อดีตหัวหน้าฝ่ายสืบสวนอุบัติเหตุ สหพันธ์บริหารการบิน นั่นคือเหตุการณ์เครื่องบินโดยสาร 747 ของสายการบินเจแปน แอไลน์ ถูกยานต่างดาวบินติดตามเหนืออาลาสก้า ถึง 31 นาที


    โดยกัปตันได้บรรยายว่ามันมีลักษณะเหมือนลูกบอล ที่มีแสงรอบๆ และมีขนาดใหญ่กว่าเครื่องบิน 747 ราว 4 เท่า โดย คาลาแฮน ยังบอกว่าเรดาห์จับภาพมันได้อีกด้วย!


    ระดับสอง “การค้นพบ”

    หลักฐานของสิ่งมีชีวิตนอกโลกมีมาตั้งแต่ยุคเมโสโปเตเมีย ซึ่งถูกจารึกอยู่ในแผ่นดินช่วงยุคสมัยของชาวสุเมเรียน (ประมาณ 3,500 ปีก่อนคริสตกาล) โดยคำว่า Anunnaki (อ่านว่า AN.AN.NA.KI) ซึ่งเป็นภาษาสุเมเรียน แปลว่าพระเจ้าผู้ลงมาจากเบื้องบน


    Annunaki คือเหล่าเทพเจ้าของชาวสุเมเรียนโบราณ ชนชาติที่เจริญแล้วซึ่งอารยธรรมอย่างน่าพิศวง ต้นกำเนิดแห่งอารยธรรมทั้งปวงของมนุษยชาติ และมีอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ที่ไม่มีที่มาที่ไป


    ไม่มีใครบอกได้ว่าชาวสุเมเรียนโบราณเอาวิทยาการและเทคโนโลยีเหล่านั้นมาจากไหน ยกเว้นแต่จารึกโบราณของพวกเขาที่ระบุเอาไว้ว่า “มาจากพระเจ้า” หรือ Anunnaki


    คำตอบมีอยู่ในจารึก “คิวนิฟอร์ม” ของชาวสุเมเรียน ก็คือพระเจ้าของพวกเขาเดินทางมาจากดาวเคราะห์ดวงที่สิบสองของระบบสุริยะ หรือที่เรารู้จักกันในนามของ Planet X ชาวสุเมเรียนเรียกดาวเคราะห์ดวงนั้นว่า Nibiru


    เป็นเรื่องน่าพิศวงที่คนโบราณเมื่อเกือบหมื่นปีก่อนรู้จักดาวเคราะห์ที่พวกเราไม่รู้จัก รู้จักดาวเคราะห์ทุกดวงในระบบสุริยะ คำนวณวงโคจรของมันได้ถูกต้องเสียอีก แถมรู้จักอุบัติการการเฉี่ยวชนระหว่างดาวเคราะห์ชื่อ TIAMAT กับ MARDUK/NIBIRU จนก่อให้เกิดโลกของเราในปัจจุบันขึ้น


    สามารถอธิบายต้นกำเนิดของ Asteroid Belt ที่กั้นระหว่างดาวเคราะห์ชั้นในกับชั้นนอกของระบบสุริยะได้อย่างน่าพิศวงที่สุด และทั้งหมดนี้พวกเขาได้รับความรู้มาจาก Anunnaki หรือ “พระเจ้าจากอวกาศ” นั่นเอง



    ระดับสาม “การติดต่อ”

    บรรดาผู้ที่สนใจหรือฝักใฝ่ในเรื่อง ยูเอฟโอ ต่างเชื่อมั่นว่า มียานอวกาศลึกลับบินมาตกในบริเวณป่าใกล้กับเมืองเคกส์เบิร์ก (Kecksburg) รัฐเพนซิลเวเนีย เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม ค.ศ.1969


    ประจักษ์พยานนับพันคนทั้งในรัฐเพนซิลเวเนียและรัฐใกล้เคียง เช่น มิชิแกน, โอไฮโอ หรือออนทรีโอในแคนาดา ต่างก็เห็นกับตาว่ามีวัตถุสุกสว่างขนาดใหญ่บินผ่านท้องฟ้าเหนือบริเวณที่พวกเขาอยู่ และไปตกพร้อมกับเสียงระเบิดดังสนั่นทางตะวันตกของรัฐเพนซิลเวเนีย


    หลังจากนั้นกองทัพสหรัฐฯ ก็ระดมกำลังตรวจสอบพื้นที่บริเวณนั้นและปิดกั้นไม่ให้ประชาชนเข้าไปใกล้ที่เกิดเหตุ แต่หลังจากค้นหากันอยู่นาน นายทหารที่ร่วมค้นหาพร้อมกับเจ้าหน้าที่ของนาซ่าก็ออกมาบอกว่าไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ ทั้งสิ้นในบริเวณดังกล่าว พร้อมกับมีรายงานออกมาว่าเป็นเพียงแค่สะเก็ดดาวตกลงมาเท่านั้น


    อย่างไรก็ดี มีพยานในที่เกิดเหตุหลายคนยืนยันหนักแน่นว่า พวกเขาเห็นเจ้าหน้าที่นำรถบรรทุกมาขนวัตถุขนาดใหญ่พอๆ กับรถเต่า (โฟล์คสวาเกน) และมีลักษณะคล้ายกับผลต้นโอ๊กออกจากบริเวณที่เกิดเหตุในค่ำคืนวันนั้น โดยสิบเอก คลิฟฟอร์ด สโตน อดีตทหารบกกองทัพสหรัฐ


    เป็นอีกคนหนึ่งที่บอกว่า เขาเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ยานต่างดาวตกที่เพนซิลเวเนียในครั้งนั้น และยังมีมนุษย์ต่างดาวที่รอดชีวิตอยู่ด้วย แต่รัฐบาลก็ตัดสินใจปกปิดเรื่องนี้ โดย สโตน ยังบอกว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ต่างดาวมีถึง 57 สปีซี่ และหลายสปีซี่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์


    กรณีนี้คล้ายกับการพบซาก ยูเอฟโอ และมนุษย์ต่างดาวอันโด่งดังในเมืองรอสเวลล์เมื่อเดือน ก.ค. ปี 2490 จึงมีการเรียกชื่อเหตุการณ์ ยูเอฟโอ ตกในรัฐเพนซิลเวเนียครั้งนั้นว่า “เหตุการณ์รอสเวลล์ที่เพนซิลเวเนียส์” (Pennsylvania's Roswell)



    ระดับสี่ “การลักพาตัว”

    การหายตัวไปของ เบตตี้ และ บาร์นีย์ ฮิลส์ ถือเป็นครั้งแรกที่มีการบันทึกเกี่ยวกับการถูกลักพาตัวไปโดยมนุษย์ต่างดาว โดยเรื่องเกิดขึ้นเมื่อ 19 กันยายน 1961 ขณะที่ เบตตี้ และ บาร์นีย์ สองสามีภรรยาขับรถผ่านแดนทะเลทรายของรัฐนิวแฮมเชียร์ จู่ๆ ก็มียานอวกาศลึกลับแล่นขวางหน้า และบังคับให้สองสามีภรรยาคู่นี้หยุดรถ


    สิ่งมีชีวิตในยานนั้นมีอยู่ 5 คน (ตัว) สูง 5 ฟุต ตาโต ไม่มีจมูก และผิวหนังสีเทา เมื่อคนพวกนี้มาใกล้ สองสามีภรรยาก็รู้สึกเหมือนถูกสะกดจิต ทั้งคู่ถูกนำตัวเข้าไปในยานและถูกตรวจสอบทางกายภาพ มนุษย์ต่างดาวเหล่านั้นสอบถามสองสามีภรรยาโดยใช้พลังจิต แต่เมื่อเขาพูดกันเองก็พูดด้วยภาษาแปลกประหลาด


    คนทั้งสองเปิดเผยภายใต้สภาวะสะกดจิตเหมือนๆ กันว่า รู้สึกกลัวจับใจเมื่อได้เห็นสิ่งที่เชื่อว่าเป็นมนุษย์ต่างดาวมุ่งหน้าเข้ามาหา แต่ไม่สามารถขยับเนื้อขยับตัวเพื่อหลบหนีจากที่เกิดเหตุได้ บรรดาคนที่เผชิญหน้ากับเหตุการณ์ประหลาดเหล่านี้บอกว่า


    ถ้าไม่รู้สึกหมดเรี่ยวแรงก็จะรู้สึกเหมือนเป็นอัมพาตชั่วคราวไปทั้งตัว ไม่มีปัญญาแม้แต่จะขยับแขนขยับขา



    นอกเหนือจาก สภาพหมดปัญญาจะหลบหนีแล้ว เหยื่อยังอาจถูกบังคับให้ทำอย่างหนึ่งอย่างใดด้วย เช่น กรณีของ บาร์นีย์ ที่บอกว่าเขารู้สึกเหมือนถูกบังคับให้ก้าวลงจากรถ และทันทีที่เท้าทั้งสองข้างสัมผัสพื้น สิ่งมีชีวิตประหลาด 2 ราย ก็ตรงเข้ามาขนาบข้าง ตอนนั้นเองที่เขารู้สึกผ่อนคลายไปทั่วร่างทั้งๆ ที่ในใจยังเต็มไปด้วยความหวาดกลัวอยู่เต็มเปี่ยม


    เบตตี้ ฮิลล์ บอกว่า ผู้ที่จับเธอมาเก็บตัวอย่างผิวหนังจากต้นแขน เก็บผม ขี้หู และตัดเล็บไปทดสอบ และถูกตรวจสอบภายในร่างกายด้วยเครื่องมือที่เหมือนเป็นท่อหรือสายไฟ ส่วนปลายเป็นเข็มยาวสอดเข้าไปในช่องคลอด ซึ่ง เบตตี้ ฮิลล์ ได้รับคำบอกจากผู้ที่ลักพาตัวเธอว่าเป็นการ "ทดสอบความสามารถในการตั้งครรภ์" นั่นเอง


    จากนั้นทั้ง เบตตี้ และ บาร์นีย์ ก็ถูกลบความทรงจำ และถูกปล่อยตัวออกมา ซึ่งภายหลังสองสามีภรรยาคู่นี้ถูกสะกดจิต ทั้งคู่ก็เล่าเหตุการณ์นี้อย่างละเอียด จนเป็นเรื่องน่าสนใจอย่างมาก และได้ออกโทรทัศน์รายการพิเศษในปี 1975





    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>




    The Truman Show


    ทรูแมน เบอร์แบงค์ (จิม แคร์รี) เป็นหนุ่มชาวอเมริกันธรรมดา ๆ คนหนึ่ง ที่มีวิถีชีวิตปกติสุข เขามีภรรยาที่แสนดี (ลอร่า ลินนีย์) ที่เป็นนางพยาบาล เป็นคู่ชีวิต

    แต่แล้ววันหนึ่ง ก็มีกล้องวีดีโอตกลงมาจากฟ้า เขาจึงตั้งข้อสงสัย ต่อมาเขาได้พบความผิดปกติขึ้นเรื่อย ๆ ในชีวิตประจำวันของเขา แต่คนรอบข้างเขาไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ ภรรยาหรือเพื่อน ๆ ก็พยายามปลอบใจว่าไม่มีอะไร

    จนกระทั่งวันหนึ่ง ทรูแมนได้พบกับ ลอเรน ซิลเวียร์ (นาตาชา แมคเอลฮอล) อดีตคนรัก เธอพยายามบอกทรูแมนว่า ชีวิตของเขานั้นไม่ใช้คนธรรมดา แต่แล้วเธอก็ดูเหมือนถูกคุกคามจากกลุ่มคนลึกลับ

    จนในที่สุด ทรูแมนก็พบว่า ชีวิตของเขานั้นเป็นเพียงตัวละครตัวหนึ่งในรายการเรียลลิตี้ที่ชื่อ Truman Show ซึ่งเป็นรายการโทรทัศน์ที่มียอดคนดูมากที่สุดในโลก

    โดยมี คริสตอฟ (เอ็ด แฮร์ริส) เป็นผู้กำกับ ซึ่งได้กำหนดชีวิตให้เขามาตั้งแต่ก่อนเขาจะเกิดซะอีก ซึ่งทำให้ทรูแมนพยายามจะหนีออกจากโลกสมมติใบนี้ให้ได้




    ต่อไปนี้เป็นข้อมูลจากเวปนี้ ที่พูดถึงทฤษฎีพระเจ้าจากอวกาศมานานแล้ว

    http://mythland.org/v3/thread-4-1-1.html


    Ancient Astronaut: บทที่ 1 อารัมภบท

    Sitchin, God, Nibiru, Ancient, Astronaut

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR><TD id=postmessage_13 class=t_msgfont>


    จากงานเขียนของ วิลเลียม เซเลอร์ และแรงบันดาลใจจากภาพอภิมหาคลาสสิคแห่งวงการพระเจ้าจากอวกาศ อันเป็นภาพของกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ชาวมายาโบราณนาม ปากัล-Pakal มาเป็นบทความอภิมหายาว The Return of Ancient Astronauts

    ด้านล่างคือสารบัญ สำหรับผู้ต้องการลัดไปอ่านบทที่สนใจโดยเฉพาะ


    จิ๊กซอว์แห่งประวัติศาสตร์ ชิ้น ส่วนเล็กๆที่จะนำมาประกอบกันเพื่อยืนยันทฤษฎี "พระเจ้าจากอวกาศ" ทั้งจากตำนานโบราณ วรรณคดี โบราณวัตถุต่างๆที่ขุดค้นพบกัน ที่บ่งชี้ว่าครั้งหนึ่งพระเจ้าจากห้วงเวหาได้เหินลงมาสร้างอาณานิคมอยู่บน โลกมนุษย์ของเรา

    หลายชิ้นได้รับการยอมรับแล้วจากวงการวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน ในขณะที่อีกหลายๆชิ้นยัง"หาคำตอบกันไม่ได้"


    ลายเส้นบนพื้นราบ ลวดลายเรขาคณิตบนที่ราบนาซก้าและที่อื่นที่มีลักษณะเดียวกัน เป็นลวดลายที่สร้างขึ้นมาโดยคนโบราณโดยมีความน่าประหลาดคือ มันสามารถมองเห็นได้จากทางอากาศเท่านั้น

    นี่คือไอเดียใหม่ๆ ที่จะชยายความให้ท่านฟังว่า คนโบราณสร้างลวดลายเหล่านี้ขึ้นมาได้อย่างไรและสร้างมันขึ้นมาเพื่ออะไร


    โบราณสถานขนาดยักษ์ ที่ กระจัดกระจายอยู่ทุกหนแห่งบนโลกบูดๆเบี้ยวๆใบนี้ หรือเป็นความจริงตามในพระคัมภีร์ที่ว่า "กาลครั้งหนึ่ง เคยมียักษ์อาศัยอยู่บนโลกใบนี้"

    คนโบราณสร้างอนุสรณ์สถานด้วยหินยักษ์หนัก 2,000,000 ปอนด์ได้อย่างไร ในเมื่อด้วยวิทยาการของโลกปัจจุบัน ด้วยเครื่องมือที่ทันสมัย มันก็ยังเป็นไปได้อย่างยากเย็น บางทีไอเดียบางอย่างในบทนี้ อาจเป็นคำตอบที่ถูกต้องในอนาคต


    ปิระมิด-ปิระมิด-ปิระมิด สูงน้อยหน่อยก็ 400 ฟิต ที่สูงมากหน่อยก็ 2,300 ฟิต แถมพบในชนชาติโบราณที่เจริญผิดยุคแทบทุกชาติ พวกเขาสร้างมันขึ้นมาทำไม?

    นี่คือหลักฐานที่บ่งบอกว่า ปิระมิดคือโบราณสถานที่เกิดขึ้นมาพร้อมอารยธรรมมนุษย์และทำหน้าที่อย่างหลากหลาย เป็นจุดสังเกตในการลงจอด เป็นลานบินฉุกเฉิน สถานีเติมเสบียง หลุมหลบภัย และศาสนสถานเพื่อประกอบพิธีบวงสรวง ข้อสรุปของบทนี้คือ ปิระมิดถูกสร้างขึ้นเพื่อให้มนุษย์มีโอกาสได้ติดต่อกับพระเจ้า - - The Contact


    ปริศนาแห่งตำนานโบราณ ความลับของนักบินอวกาศยุคโบราณ ที่ซุกซ่อนอยู่ในตำนานของชนชาติที่เจริญด้วยอารยธรรมอย่างผิดยุค พันธุวิศวกรรม ยานอวกาศในคัมภีร์ไบเบิล และไขข้อข้องใจที่ว่า ทำไมแนวคิดเกี่ยวกับพระเจ้าจากอวกาศจึงไม่เป็นที่ยอมรับของคนหมู่มาก


    From Myth to Myth จากตำนานสู่ตำนาน จากปริศนาสู่ปริศนาที่ซับซ้อนกว่า จะนำพาท่านไปพบกับเรื่องราวอันชวนพิศวงของ

    * ชนชาติสุเมเรียน ทายาทของทวยเทพจากดาวเคราะห์ดวงที่สิบ
    * เรื่องลึกลับในคัมภีร์ไบเบิล นักท่องอวกาศยุคโบราณผู้สมอ้างตนเป็นพระเจ้า
    * มหากาพย์กิลกาเมช วรรณกรรมเรื่องยิ่งใหญ่ที่ไม่ได้เป็นเพียงตำนานวีรบุรุษธรรมดาๆ
    * มหาภารตะ เพียงจินตนาการหรือสงครามนิวเคลียร์ยุคก่อนประวัติศาสตร์จริงๆ...





    พาหนะของทวยเทพ "มนุษย์อินทรีย์" ของสุเมเรียน, "นาวาแห่งสวรรค์(Boat of Heaven)" ของอียิปต์, "วิมานะ" ของอินเดีย, "มังกรบิน" ของตะวันออกไกล, "พญางูมีปีก" ในอเมริกากลาง และบัลลังก์ลอยฟ้าที่ถูกกล่าวถึงบ่อยๆในจารึกของชนชาติฮีบรู ฯลฯ มันคืออะไร?


    การบวงสรวงบูชายัญ แกะ วัว แพะ หรือแม้กระทั่งมนุษย์ พระเจ้าที่ว่ากันว่าอมตะต้องการอาหารเหล่านี้ไปทำไม? ศาสนสถานหลายแห่งบ่งชี้ว่า มันคือสถานที่ที่พระเจ้าเสด็จลงมา"เติมเสบียง" ที่เรียกร้องเอาจากมนุษย์ ยะโฮวา เรียกร้องวัว 100 ตัวลูกแกะ 100 ตัว ลูกแพะร้อยตัว

    ยะโฮวาเอาไปทำไม เก็บไว้ในตู้เสบียงของยานขณะเดินทางหรือ? คิฮัวโคเทิล เทพโบราณของอเมริกากลางต้องการให้มีการสังเวยมนุษย์ทุกสัปดาห์ พระเจ้าองค์นี้ต้องการมนุษย์เพื่ออะไร เอาไปกินหรือแค่ต้องการชิ้นส่วน?


    สงครามนิวเคลียร์ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ "ยาวราวเจ็ดชั่วตัวคน ขับเคลื่อนด้วยเปลวไฟในตัวเอง สามารถทำลายเมืองได้ทั้งเมือง"

    เคลื่อนที่เป็นวิถีโค้ง ร้ายแรงราวกับรวมพลังจากทั่วสากลโลกเอาไว้ อานุภาพการทำลายเต็มไปด้วยไฟ ควัน และคลื่นความร้อนราวกับดวงอาทิตย์ขึ้นพร้อมกันทีละสิบดวง

    อาวุธนี้สามารถแปรสภาพพื้นที่รอบบริเวณได้ในพริบตา มันเผาผลาญธัญญาหารจนเกรียมวายวอดไปทั้งท้องทุ่ง ผู้คนจะผมเผ้าขาวโพลนและหลุดร่วง นกบนท้องฟ้าจะเปื้อนฝุ่นละอองสีขี้เถ้า ตกลงมาตายนับพันตัว

    มิช้ามินาน อาหารและเสบียงที่มีจะเป็นพิษจนหมดสิ้น วิธีการหนีรอดจากไฟบรรลัยกัลป์นี้ของทหารภารตะโบราณคือ ถอดเสื้อผ้าและชุดเกราะออก ลงไปชำระกายในน้ำครับ เพื่อมิให้ฝุ่นละอองนี้ติดตัว" - - จาก มหาภารตะ


    วิทยาการแห่งชีวิต - - Biotechnology of the God พระเจ้าทรงปั้นแต่งมนุษย์ขึ้นจากฝุ่นผงแห่งพสุธา เป่าลมหายใจให้มีชีวิต ประทานสติปัญญา เรื่องราวจากพระคัมภีร์เหล่านี้แฝงไว้ด้วยฉากหลังที่เต็มไปด้วยความซับซ้อน ของกระบวนการพันธุวิศวกรรม

    ทูตสวรรค์ที่อยู่กินกับหญิงสาวชาวมนุษย์ การผสมข้ามสายพันธุ์ของมนุษย์และพระเจ้า เข้าแทรกแซงวิวัฒนาการตามธรรมชาติของมนุษย์ เรื่องราวเหล่านี้ยังคงสร้างความกังขาและถกเถียงกันอย่างไม่จบสิ้น

    บัดนี้เทคนิคทางพันธุวิศกรรมที่เรียกว่า "cross-species cell transfer" และ "recombinant DNA" กำลังจะให้คำตอบเราและยืนยันกับเราว่า อย่างช้าๆ...มนุษย์กำลังเจริญรอยตามพระผู้สร้างในอดีต...


    อมตะ ไม่ใช่หนังสือรางวัลซีไรท์ แต่เป็นความลับแห่งอายุขัยของพระเจ้า


    Orion: Home of the God? พระเจ้าโบราณของพวกเราไปอยู่เสียที่ไหน? บางทีร่องรอยขนาดยักษ์ที่พระเจ้าทิ้งเอาไว้บนโลก ดวงจันทร์ ดาวอังคาร คือ step เล็กๆที่พระเจ้าต้องการให้เราก้าวตามไป เมื่อผนวกเข้ากับปริศนาแห่ง Orion แล้ว พระเจ้าของเราน่าจะอยู่ ณ จุดใดจุดหนึ่งบริเวณกลุ่มดาว Orion - - มุมมองใหม่ที่ไม่ใช่ Nibiru...


    พลิกฟ้าคว่ำดิน ไม่ใช่วิทยายุทธในหนังจีน... แต่เป็นเรื่องราวของทฤษฎี Pole Shift, Pole Round ซึ่งได้ให้ข้อสังเกตกับเราว่า การที่แกนโลกเปลี่ยนแนวนั้น สัมพันธ์กับการตั้งถิ่นฐานของอายธรรมโบราณอย่างไร แกนโลกกำลังจะพลิกในเร็ววันนี้จริงหรือไม่ ถ้าจริง มันจะพลิกเมื่อใด?


    Akkadian Seal - จารึกดินเหนียวชิ้นเล็กๆในพิพิธภัณฑ์เบอร์ลิน ที่ Zecharia Sitchin บอกว่า มันคือข่าวสารจากโลกโบราณที่บอกกับเราว่า บรรพชนของเรารู้จักระบบสุริยะจักรวาลเป็นอย่างดี

    จารึกดินเหนียวชิ้นนี้แสดงให้เห็นถึง ดวงอาทิตย์ ดาวเคราะห์ทั้งเก้า (รวมไปถึง... Nibiru) Titan ดวงจันทร์ของดาวเสาร์ ดวงจันทร์ของโลกเรา

    แต่ไม่ยักกะมีพลูโต นักวิชาการหลายคนค้าน Sitchin ว่าด้วยเรื่องของจำนวนดาวเคราะห์และ scale ที่ผิดสัดส่วน Akkadian Seal คือความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนงั้นรึ? ไม่มั้ง... ไปฟังเค้าเถียงกันหน่อยเป็นไร


    บทสรุป ปัจจุบัน พระเจ้าจากอวกาศเหล่านี้อยู่ที่ไหน ปรากฏในรูปแบบใด พระเจ้าเคยสัญญาว่าจะหวนกลับมาสู่โลกมนุษย์ คำสัญญานี้จะเป็นจริงเหมือน "I'll Back!" กับภาคต่อของคนเหล็ก Terminator หรือไม่ และถ้ากลับมาจริง พระเจ้าจะกลับมาเพื่ออะไร?


    </TD></TR></TBODY></TABLE>














     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มีนาคม 2010
  2. Aqua-ma-rine

    Aqua-ma-rine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    820
    ค่าพลัง:
    +1,242
    http://mythland.org/v3/thread-5-1-1.html


    Ancient Astronaut: บทที่ 2 นักบินหรือพระเจ้า ?

    Revisited, Ancient, พระเจ้า, อากาศยาน, นักบิน

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR><TD id=postmessage_15 class=t_msgfont>



    กรณีศึกษาที่น่าสนใจของนายจอห์น


    ในราวปี 1930 นักบินชาวอเมริกันและออสเตรเลีย ได้รับภารกิจให้เป็นทีมสนับสนุนการสำรวจป่าลึกแห่งหนึ่งในนิวกีนี พวกเขาต้องทำการบินเพื่อลงจอดบนเกาะและลำเลียงเสบียง

    รวมไปถึงเครื่องมือต่างๆ แน่นอนว่าพวกเขาพบกับชาวพื้นเมืองของที่นั่น บนเกาะเล็กๆแถบนิวกีนีที่มีลักษณะถูกตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง

    ชาวป่าประหลาดใจกับการมาของพวกเขา และยิ่งตระหนกกับ"นกยักษ์"ที่นักบินโดยสารมาด้วย นักบินทั้งสองมาที่เกาะบ่อยๆเพื่อส่งเสบียง

    และแน่นอน พวกเขาไม่ลืมที่จะทิ้งของฝากเล้กๆน้อยๆ เช่นอาหารกล่อง หรือ โค้ก ให้กับชาวป่าเพื่อสร้างมิตรภาพ ไม่มีใครเอะใจกับเหตุการณ์ช่วงนั้นจนกระทั่งเวลาผ่านไปสิบกว่าปี


    นักสำรวจอีกทีมได้มาที่เกาะนี้ พวกเขาประหลาดใจกับพฤติกรรมของชนพื้นเมืองที่นี่ โดยเฉพาะเมื่อเครื่องบินของทีมสำรวจลงจอด ที่หมู่บ้านของชาวป่า นักสำรวจทีมนั้นได้พบกับเทวรูปศักดิ์สิทธิ์ของชาวป่า เป็นรูปแกะสลัก"นกยักษ์"ที่เห็นได้ชัดว่าเลียนแบบเครื่องบินใบพัดสองชั้น

    เซอร์ไพรส์กว่านั้น... ชาวป่าเหล่านี้ได้ทำแม้กระทั่งกล่องที่เลียนแบบวิทยุสื่อสารของนักบินที่ทำจากไม้ไผ่!!


    ล่ามพื้นเมืองที่ไปกับคณะนักสำรวจได้สอบถามชาวป่าเหล่านี้พบว่า พวกเขาได้ทำสิ่งเหล่านี้ขึ้นเพื่อรำลึกถึงพระเจ้าจากท้องฟ้า ผู้มาพร้อมกันนกยักษ์ "Jon Frum"

    และมาทราบกันทีหลังเมื่อทีมสำรวจชุดนี้สืบสาวราวเรื่องขึ้นไปว่า ทีมนักบินที่มาที่เกาะนี้ชุดแรกนั้นชื่อ John และชื่อ Jon Frum นี้ก็น่าจะมาจากคำว่า "John From New York" ซึ่งเป็นคำปกติธรรมดาเวลาที่จอห์น - นักบินคนนั้นแนะนำตัว


    อ่านแล้วพอปิ๊งอะไรขึ้นมาบ้างไหมครับ?





    หรือว่าสิ่งประดิษฐ์โบราณเหล่านี้ เป็นสิ่งที่บรรพชนเราทำเลียนแบบ "นกเหล็ก" ที่พวกเขาเคยเห็น



    จิ๊กซอชิ้นเล็กๆเท่าที่พอจะเอามาเชื่อมเพื่อเป็นภาพใหญ่ๆโดยรวมของพระเจ้าจากอวกาศ ที่เราจะพูดถึงกันก็ได้แก่


    ลายเส้นขนาดยักษ์ บนพื้นราบทั่วโลก เช่นลวดลายบนที่ราบนาซก้าและถนนในบริเวณใกล้เคียง เช่น ceques อันเป็นถนนสายสำคัญที่ผ่านบริเวณโบราณสถานหลายแห่งในโบลิเวีย หรือ Ley Line ในอังกฤษ ที่เป็นเส้นตรงเชื่อมกองหินโบราณหลายๆแห่งเข้าด้วยกัน


    ปิระมิดหลากสไตล์ ซึ่งตรงนี้เราจะมาพูดถึงกันโดยละเอียดในภายหลัง เพราะดูเหมือนว่านอกจากวัตถุประสงค์ทางศาสนาแล้ว ปิระมิดเหล่านี้ยังถูกสร้างขึ้นมาด้วยประโยชน์ใช้สอยที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นในอียิปต์ อเมริกากลาง จีน เมโสโปเตเมีย หรือแม้แต่ในอเมริกาใต้


    สิ่งก่อสร้างขนาดยักษ์ ที่ยักษ์สมชื่อ เพราะบางที่ใช้หินก้อนขนาดสองล้านปอนด์ในการสร้าง คนโบราณสร้างมันขึ้นมาด้วยเทคโนโลยีไหน? การสร้างอาจไม่มีปัญหาแต่การขนย้ายเล่า เรื่องนี้แม้แต่วิศวกรระดับโลกยังส่ายหน้าด้วยความกังขา


    บันทึกโบราณ ที่เขียนถึงพระเจ้าผู้สามารถไปไหนมาไหนได้ทางอากาศ ทั้งคัมภีร์ Enuma Elish, อัลกุรอาน, โปโปล วู (มายา), มหาภารตะ, ไบเบิ้ล, และจารึกดินเหนียวที่บันทึกการเดินทางของพระเจ้าที่เราพบกันในตะวันออกกลาง


    ประตูสวรรค์ (Heaven Gates - - หรือจะ Star Gates ตามหนังดีล่ะครับ) เป็นประตูหรือช่องทางที่ใช้สัญจรระหว่างโลกและสวรรค์ที่ปรากฏอยู่ในตำนาน หากมองตามประวัติศาสตร์ที่เราทราบ สถานที่ติดต่อระหว่างสวรรค์กับโลกนี้ มีการพัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไป

    ลองไปหาตำนานสุเมเรียนสักเล่ม หรือคัมภีร์พันธสัญญาเก่ามาอ่านสิครับ จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ก่อนที่ศาสนสถานขนาดมหึมาจะถูกสร้างขึ้นนั้น ถ้ำหรือซอกหินตามธรรมชาติ คือแหล่งที่พระเจ้าใช้เสด็จลงมายังโกลมนุษย์ ในบางคราว

    ก็มีเฉพาะนักบวชชั้นสูงหรือกองอารักขาเท่านั้นที่สามารถเข้าไปในสถานที่หวงห้ามเหล่านี้ได้ ในบางครั้ง สถานที่เหล่านี้ กลับดูเหมือนหลุมหลบภัยที่ใช้ป้องกันกัมมันตรังสีมากกว่าศาสนสถาน

    </TD></TR></TBODY></TABLE>



    รวมมิตรปิระมิด

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR><TD id=postmessage_16 class=t_msgfont>


    "He who wonders discover that this in itself is wonderful" - - M.C. Escher

    มาต่อเรื่องของเรากันเลยดีกว่า กับ Ancient Astronauts Revisited (ต่อไปจะพูดย่อๆว่า AA หรือ AAR เพื่อความคล่องปาก)


    เชื่อว่าทุกท่าน คงรู้จักและคุ้นเคยกับปิระมิดเป็นอย่างดี เจ้าสิ่งก่อสร้างโบราณขนาดมหึมานี้ นักโบราณคดีเค้าว่ามันมีวิวัฒนาการมาจากรูปทรงของภูเขาครับ ใครเรียนประวัติศาสตร์หรืออารยธรรมโลกมาก็คงได้ข้อมูลจากอาจารย์ตรงกันว่า ทุกชาติทุกภาษาที่สร้างปิระมิดล้วนแต่พัฒนารูปทรงของมันมาจากภูเขาทั้งสิ้น

    ทั้งนี้เพราะคนโบราณเชื่อกันว่า เทพเจ้าของพวกเขาสถิตย์อยู่บนขุนเขานั่นเอง ตัวอย่างเช่น ภูเขาโอลิมปัสของกรีก เขาไกรลาสของอินเดีย เขาแอนดิสในอเมริกาใต้ รวมไปถึงฟูจิซังภูเขาไฟที่มีภูมิทัศน์สวยงามที่สุดในญี่ปุ่น

    ในไบเบิลเองก็กล่าวถึงยะโฮวา ในฐานะผู้สวมบทบาทของ "พระเจ้าแห่งขุนเขา" ด้วยครับ


    แต่ นักลึกลับศาสตร์และนักจานผีวิทยา(OFOlogist) กลับมองลึกลงไปกว่านั้น พวกเขาเชื่อว่าการสร้างปิระมิดของคนโบราณ คือมรดกตกทอดที่มนุษย์ได้รับมาจากพระเจ้า(ซึ่งมาจากอวกาศ?)

    ตัวอย่างง่ายๆ ชนชาติที่เจริญผิดยุคในสมัยโบราณนั้น ล้วนแล้วแต่มีวัฒนธรรมที่เกี่ยวพันกับการสร้างปิระมิดอย่างล้ำลึก บางชาติเช่นสุเมเรียนและอินคาถึงกับมีบันทึกระบุไว้ชัดเจนเลยว่า ศาสตร์ในการสร้างปิระมิดขนาดใหญ่นั้น พวกเขาได้รับการถ่ายทอดจาก"พระเจ้า"ครับ


    อืม... ฟังดูคลาสสิคและก็เป็นไปได้มากเสียด้วย เพราะปิระมิดหลายแห่งนั้น ต่อให้ใช้เทคโนโลยีและกำลังคนที่มีในศตวรรษที่ 21 ก็ยังทำได้ยาก

    ลำพังคนโบราณที่อาศัยเพียงแรงหรือเครื่องไม้เครื่องมือง่ายๆนั้นไม่น่าจะสร้างขึ้นมาได้ นอกจากอาศัยความช่วยเหลือของ "พระเจ้า" เท่านั้น คำพูดนี้ว่ากันตามความน่าจะเป็นและการศึกษาทางโบราณคดีนะครับ มิได้ดูถูกสติปัญญาของคนโบราณแต่ประการใด


    Why The Pyramids Everywhere...

    ปิ ระมิดทั้งหลายที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วโลกใบนี้ ล้วนแต่มีสถาปัตยกรรมและรูปแบบเป็นของตัวเอง นับว่าน่าแปลกนะครับ ปิระมิดเหล่านี้มีอยู่แทบจะทุกทวีป ทั้งใน ยุโรป อเมริกา แอฟริกา ตะวันออกกลางและตะวันออกไกล เอเชียแปซิฟิค รวมทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของเราด้วย กระจายกันอยู่ทุกสารทิศว่างั้นเถอะครับ

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    อิรัค : สิ่งก่อสร้างทรงปิระมิดโบรารที่เราเรียกกันว่าซิกกูรัต(Ziggurat) ในเมือง Ur ของดินแดน Sumer โบราณ

    อียิปต์ : ปิระมิดแบบ step ในเมืองซัคคารา

    อียิปต์ : หมู่ปิระมิดทั้งสามที่เมืองกีซา หรือมหาปิระมิดนั่นเองครับ ที่นี่เป้นปิระมิดที่มีลักษณะโดดเด่น เพราะผนังของปิระมิดถูกทำให้ราบเรียบ(อย่างน้อยก็ในสมัยก่อน ปัจจุบันไม่เรียบแล้วล่ะครับ เพราะผุพังไปตามกาลเวลาและน้ำมือมนุษย์)

    นักเขียนชื่อเกรแฮม แฮนค็อค ได้ให้ข้อสังเกตเกี่ยวกับปิระมิดที่กีซาเอาไว้ว่า สิ่งก่อสร้างที่เป็น ground plan ของบริเวณนั้นดูแตกต่างจากสิ่งก่อสร้างอื่นที่อยู่เบื้องบน เนื่องจากอายุอานามที่ปาเข้าไปถึง 10,500 B.C. หรือหมื่นสองพันกว่าปีนั่นเทียว แต่ตัวปิระมิดแห่งกีซาและปิระมิดเล็กที่รายรอบ กลับสร้างขึ้นราวๆ 2,500 B.C. เท่านั้นเอง ซึ่งนับว่าแปลกมาก

    เพราะอายุอานามที่แตกต่างกัน ถึงขนาดนั้นนั่นเอง ทำให้หลายคนเชื่อว่า ปิระมิดสามหลังนั้นถูกสร้างเพื่อคร่อมทับซากโบราณสถานในยุคก่อน แต่ข้อนี้ไม่มีใครยืนยันได้เต็มปากเต็มคำหรอก

    อีกอย่างนะครับ เสียงเล่าลือที่หนาหูเกี่ยวกับอุโมงค์ลับใต้ดินที่อยู่ใต้ปิระมิดนั้น ช่างเย้ายวนใจนักโบราณคดีและผู้ชื่นชอบเรื่องลึกลับเสียเหลือเกิน เป็นที่น่าเสียดายว่าปัจจุบันทรายได้กลบทับบริเวณนั้นไปหมดแล้ว ครั้นจะมีการรื้อขุดค้นเพื่อหาอุโมงค์ดังกล่าว รัฐบาลอียิปต์และองค์การที่เกี่ยวกับมรดกโลกเค้าคงยอมอยู่หรอกนะครับ ฮึ่ม...

    ปริศนาอีกประการที่อยู่ใกล้ๆกับกีซาก็คือสฟิงซ์ครับ น่าแปลกใจมากที่สฟิงซ์นั้นเลือกสร้างในทำเลที่โดดเด่นมากๆ และมองเห็นได้ง่ายแม้ว่าอยู่บนชั้นบรรยากาศ แถมรูปร่างและพื้นที่รายรอบนั้นก็ดันไปใกล้เคียงกับพื้นที่บนดาวอังคารที่ เรียกว่า ไซโดเนีย อย่างเป็นที่สุด

    อันว่าไซโดเนียนี้คือพื้นที่ที่ NASA ไปได้ภาพถ่ายใบหน้าคนบนดาวอังคารมานั่นเองครับ แม้จะมีแถลงการออกมามากมาย และมีหนังสือสนับสนุนจานักวิชาการยืนยันว่ามันเป็นเพียงภูเขาธรรมดาก็ เหอะ...


    ปิระมิดของชาวมายา


    เม็กซิโก : ปิระมิดแบบ step สุดสูงแห่งเมือง ชิเซ่น-อิทซา, มองเต อัลบาน, วิหารในเมืองพาเลงกอ, ที่ซึ่งมีส่วนคล้ายคลึงกับหมู่ปิระมิดแห่งกีซาอย่างน่าประหลาด

    อันนี้เป็นปริศนาที่ชวนให้ขบกันหัวแตกอีกประการหนึ่งในวงการโบราณคดีเหมือนกันครับ ว่าทำไม๊ทำไมชนโบราณแห่งอเมริกาใต้ถึงได้บุกบั่นขึ้นไปสร้างปิระมิดและศาสนสถานกันบนเขาสูงนัก

    ปิระมิดหลายๆลูกจงใจต่อเสริมเติมยอดให้โดดเด่นเป็นพิเศษ ราวกับว่าสร้างเพื่อให้สามารถสังเกตได้ง่ายจากทางอากาศกระนั้น...

    เม็กซิโก : ไซต์ทางโบราณคดีที่ขุดค้นกันใหม่ที่โชลูลาซึ่งตั้งอยู่บริเวณภูเขาไฟโปโปเค เตเพเทิล หรือ เอล โปโป(El popo) ในภาษาโบราณของชนพื้นเมือง อันแปลว่า "man-made moutain" หรือภุเขาที่สร้างขึ้นด้วยฝีมือของมนุษย์

    ซึ่ง บริเวณนี้เองที่ตำนานของชาวอินคากล่าวไว้ว่า เควซซัลโคเทิลเทพผู้ยิ่งใหญ่ได้เสด็จลงมาสู่ผืนโลกครั้งแรก โชลูลามีความหมายในภาษาอังกฤษว่า "the place of flight" ครับ น่าคิดดีป่ะ? และในบริเวณใกล้ๆกันมีปิระมิดที่เรียกกันว่า "Piramide Tepanapa" อยู่

    เป็นปิระมิดยักษ์ใหญ่ที่มีความสูงถึง 200 ฟุต และฐานโดยรอบรวม 1300 ฟุต นับเป็นปิระมิดที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกาใต้ อ้อ... อาจจะใหญ่ที่สุดในโลกด้วยซ้ำ

    ปิระมิดแห่งนี้มีวิหารเล็กๆประดับอยู่ด้านบนเพื่อประกอบพิธีกรรมลึกลับบาง ประการ ซึ่งภายหลังในยุคที่สเปนรุกรานวิหารดังกล่าวก็แปรสภาพกลายเป็นโบสถ์คริสต์ไป และยังคงอยู่ตราบถึงปัจจุบัน

    เม็กซิโก: ปิ ระมิด เทรส ซาโปเทส (1400-1300 B.C.) ของชาวออลเม็ค นับเป้นปิระมิดดินเผาที่เก่าแก่ที่สุดในเมโสอเมริกา เป้นแหล่งโบราณคดีอีกแหล่งหนึ่งที่ทำให้วงการโบราณคดีงงกันเป็นไก่ตาแตก เพราะออลเม็คคืออารยธรรมของชนผิวดำครับ

    "มีอารยธรรมของนิโกรในอเมริกาก่อนยุคค้าทาส? มันจะเป็นไปได้ไงในเมื่อประวัติศาสตรืที่เราเรียนมา นิโกรจากอาฟริกาขึ้นฝั่งสู่โลกใหม่กับเรือค้าทาสของชาวยุโรป ก่อนหน้านั้นอเมริกากลางไม่เคยมีนิโกรหรือชาวยุโรปไปพำนักอาศัยอยู่แน่ๆ..."

    หลายท่านอาจจะเถียงผมแบบนี้ ก็ตรงกับที่ผมคิดและสงสัยน่ะนะครับ ซึ่งเราก็คงต้องงงกันต่อไปตราบใดที่ปริศนานี้ยังไขกันไม่กระจ่างชัด เรื่องของชาวออลเม็คนั้น มีคนโยงเข้ากับโมอายที่เกาะอีสเตอร์และหอคอยคนบาปบาเบลด้วย


    เม็กซิโก : ปิระมิดและวิหารสุริยเทพของชาวอินคาที่เมืองติโอติฮัวกัน หนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของชาวอินคาที่รู้จักกันไปทั่วโลก จอห์น มิเชล กล่าวในงานเขียนของเขาว่า วิหารสุริยานั้นใช้มาตรและหน่วยวัดที่ตรงกับหน่วยวัดของชาวฮีบรูว์โบราณ ซึ่งก็บังเอิญว่าไปตรงกับหน่วยวัดที่ใช้กับกองหินยักษ์ สโตนเฮนจ์ ในอังกฤษ หรือโบราณสถานทั้งสองที่มีความเกี่ยวพันกันทั้งที่อยู่กันคนละทวีปครับ?

    กัวเตมาลา : ที่นี่เป็นชุมชนโบราณของชาวมายาที่ชื่อว่า El Miradors ซึ่งเต็มไปด้วยปิระมิดสไตล์มายามากมาย ในจำนวนนี้มีปิระมิดที่ใหญ่ที่สุดชื่อ Trige pyramid รวมอยู่ด้วยครับ

    เปรู : วิหารแห่งพระอาทิตย์ของชาวโมเช่ (Moche) สิ่งมหัศจรรย์อีกอย่างในวงการโบราณคดี เพราะสร้างจากอิฐดินเผานับสิบๆล้านก้อน และในเปรุอีกเช่นกัน บริเวณที่เรียกกันว่า Huaca del Sol ในหุบเขาโมเช่ มีปิระมิดทรงสูงสร้างจากอิฐดินเผา ด้านหน้าของปิระมิดมีวิหารที่ชื่อ Huaca del luna วิหารที่ใช้บวงสรวงพระเจ้า ซึ่งตำนานของคนพื้นเมืองกล่าวว่านั่งเรือสีทองลงมาจากท้องฟ้า


    โบลิเวีย : Akapana ซึ่งเป็น Platform-Pyramid ในเมืองเทียฮัวนาโค นักโบราณคดีคะเนอายุของมันเอาไว้ว่าสร้างขึ้นเมื่อ 1580 B.C. สถาปัตยกรรมของปิระมิดนี้นับว่าคล้ายคลึงกับที่ยิปต์อย่างน่าประหลาด

    ชวา : Cani Sukuh Pyramid ที่อยู่ใกล้ๆเมืองไทยของเรานี่เอง นักโบราณคดีกล่าวว่า มันน่าประหลาดที่ปิระมิดในชวากลับไปมีลักษณะการออกแบบคล้ายกับปิระมิดใน อเมริกาใต้ ใครครับ? ใครกันที่หอบเอาสถาปัตยกรรมแบบอินคาข้ามน้ำข้ามทะเลมาถึงอินโดนีเซียเพื่อน บ้านของเรา


    หมู่เกาะริวกิว: เคยเล่าไปแล้วในตอนโบราณสถานใต้น้ำแห่งโยนากุนิ (อยากอ่านวีรกรรมและการค้นพบของนายอาราทาเกะ นักประดาน้ำชาวญี่ปุ่นก็คลิก ที่นี่ ได้เลยครับสำหรับผู้ยังไม่เคยอ่าน)

    ปัจจุบันยังถกเถียงกันอยู่ว่า แนวกำแพงซึ่งอยู่ใต้น้ำและแผ่นหินที่คล้ายกับปิระมิดมากๆนั้น เกิดขึ้นโดยฝีมือของธรรมชาติหรือว่าเป็น man-made

    อายุอานามของมันก็ราวๆ แปดพันปีก่อน ค.ศ. หรือหมื่นกว่าปีก่อนนู้น... ตรงกับยุคแอตแลนติสเลยเนอะ

    จีน: ปิระมิดขาว (The White Pyramid) แห่งเมืองซีอาน ซึ่งนักสำรวจชาวเยอรมันนาม ฮาร์ทวิก ฮาวดอร์ฟ ได้เขียนในหนังสือเกี่ยวกับปิระมิดในแผ่นดินจีนของ เขาว่า มีปิระมิดดินเหนียวในลักษณะเดียวกันนับพันๆลูก กระจัดกระจายอยู่ทั่วแผ่นดินมังกรอันไพศาล

    เสียดายที่ไม่มีนักสำรวจชาวตะวันตกหน้าไหนเข้าไปศึกษาอย่างใกล้ชิดได้ ก็แหงสิครับ อยู่หลังม่านไม้ไผ่ออกขนาดนั้น ปิระมิดขาวมีความสูงประมาณ 200 ฟุต ตั้งอยุ่บริเวณใกล้เคียงกับสุสานของฉินสื่อหวง หรือจิ๋นซีฮ่องเต้นั่นเอง

    โพลีนีเซีย: "Modest Pyramid" ในตองกาบู วิหารทรงปิระมิดในตาฮิติ และแลงกีปิระมิดในตัวฮาลา

    กรีซ: ปิระมิดแห่งเฮลลินิกอนใกล้ๆกับอาร์กอส เป็นปิระมิดเล็กๆที่ยังสร้างไม่เสร็จ จากการศึกษาของนักโบราณคดีพบว่า การก่อสร้างดังกล่าวขาดการต่อเติมยอดขึ้นไปอีกประมาณ 10 ฟุต

    ปิระมิดนี้จึงจะเสร็จสมบูรณ์ อะไรกันหนอที่ทำให้คนโบราณเหล่านี้ละทิ้งงานไปเสียกลางครัน และที่สำคัญพวกเขาเป็นใครกันครับ เนื่องจากอายุอานามของปิระมิดที่อาร์กอสนั้น มันเก่ากว่ามหาปิระมิดที่อียิปต์เสียอีก


    หมู่เกาะคานารี: ปิระมิดแห่งกุยมาร์ ที่ซึ่งนักสำรวจชื่อ ธอร์ เฮเยอร์ดาห์ล ได้ให้ข้อสังเกตไว้ว่า "มันเป็น step pyramid ที่มีสถาปัตยกรรมคล้ายกับปิระมิดของคนโบรารในเปรูและโบลิเวียอย่างที่สุด ทั้งที่หมู่เกาะเหล่านี้ไม่น่าจะรับอิทธิพลเหล่านั้นมาได้ เนื่องจากอยู่คนละซีกโลกกัน แถมสภาพภูมิศาสตร์ที่โดนตัดขาดจากโลกภายนอกยังมาเป็นตัวคั่นอีกต่างหาก"

    สหรัฐอเมริกา: ปิระมิดโบราณแห่งคาโฮเกีย รัฐอิลลินอย เป็นปิระมิดทำมาจากดินเหนียว ซึ่งคาดว่ายังมีปิระมิดลักษณะนี้ตกค้างหลงสำรวจในดินแดนมะริกันอีกเป็นจำนวน มาก

    จิ๊กซอว์ชิ้นเล็กๆที่จะนำมาประกอบเป็นภาพรวมเพื่อไขปริศนาของเราในวันนี้ มีคีย์สำคัญอยู่ที่"พระเจ้า"ครับ พระเจ้าของคนโบราณที่สั่งให้มีการสร้างปิระมิดเหล่านี้ขึ้นมา และบางครั้ง บันทึกเรื่องราวของคนโบราณก็บอกเอาไว้อย่างชัดเจนว่า "พระเจ้า"บางองค์ได้เสด็จลงมาควบคุมและสั่งการก่อสร้างด้วยตนเอง


    เคยได้ยินชื่อของ Gudea ไหมครับ? Gudea คือผู้สร้างซิกกูรัตแห่งลากาซ (น่าสังเกตว่าบทบาทของเทพองค์นี้คล้ายคลึงกับเทพบางองค์ในหลายๆอารยธรรม อาทิเช่น Kothar-Hasis แห่งบาบิโลน, เฮเฟตัสหรือวัลแคนของกรีกและโรมันโบราณ, ส่วนในอียิปต์นั้น บทบาทนี้ตกเป็นของเทพเจ้าธ็อธบิดาแห่งความรู้และวิทยาศาสตร์ )

    ว่ากันว่า Gudea ถูกยกย่องให้ขึ้นเป็นเทพในภายหลัง เขาออกแบบซิกกูรัตหลายแห่งในตะวันออกกลางภายใต้การชี้นำของพระเจ้าหรือ Annunnaki


    Zecharia Sitchin เจ้าของเรื่อง 12th Planet อันลือเลื่องให้ข้อสังเกตว่า มีความเกี่ยวเนื่องบางประการระหว่างปิระมิดทั้งสามแห่งอียิปต์และปิระมิด แห่งพระอาทิตย์ในทิโอติฮัวกันว่า มันตั้งอยู่ ณ 43.5 องศาเหมือนกัน แถมมีลักษณะการก่อสร้างคล้ายกันอย่างนะประหลาดทั้งขนาดและความสูง

    เชื่อไหมครับว่า ปิระมิดที่เกี่ยวข้องกับตำนานพระเจ้าจากอวกาศนั้น มีความเหมือนกันอย่างอย่างน่าทึ่งมากๆ ปิระมิดเหล่านี้ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นสุสานของกษัตริย์

    และก็ไม่ใช่ศาสนสถานที่ใครๆจะพากันเข้านอกออกในได้อย่างอิสระ ไอ้ใช้ประกอบพิธีกรรมน่ะก็มีแหละครับ แต่เฉพาะในเวลาที่พระเจ้าเสด็จลงมาเยี่ยมเยือนเท่านั้น

    ในเวลาปกติปิระมิดเหล่านี้คือสถานที่ต้องห้าม เป็นดินแดนศักดิสิทธิ์ที่ไม่อนุญาตให้คนทั่วไปย่างกรายผ่านอย่างเด็ดขาด


    หรือว่ามันคือ... ลานจอดอากาศยาน...

    ครับ! จั่วหัวเอาไว้แบบนี้หลายท่านก็คงทราบแล้วว่าต่อไปผมจะพูดถึงเรื่องอะไร ขอให้นึกภาพในยุคปัจจุบันตามผมไปก่อนนะครับ ลองนึกถึงตึกระฟ้าใหญ่ๆที่มีลานจอดเฮลิคอปเตอร์ดูนะครับ ไม่แปลกใช่ไหมที่ไหนก็มีกันถ้วนหน้า ไม่เพียงแต่จะใช้จอด ฮ. เท่านั้นนะครับ เครื่องบินที่ขึ้นลงตามแนวดิ่งเช่นแฮร์ริเออร์ของนาโต้ ก็อาศัยที่จอดเหล่านี้ได้เช่นกัน

    แล้วสมัยโบราณยุคเดียวกับที่สร้างปิระมิดกันนั้น เค้ามีเครื่องบินใช้กันแล้วเรอะ? อืมห์... จะว่าไงดีล่ะ ลองหาบทความเรื่องวิมานะ หรือ นักบินอวกาศยุคโบราณ ซึ่งผมเคยนำมาลงแล้วก่อนหน้านี้อ่านกันดูนะครับ เผื่อจะเห็นภาพอะไรชัดเจนขึ้น

    มาถึงตอนนี้ ก็น่าจะอนุมานกันได้บ้างแหละน่า ว่าปิระมิดใหญ่ๆในสมัยโบรารนั้น จุดประสงค์ในการสร้าง ก็คงเพื่อเป็นลาดลงจอดหรือจุด landing ให้กับพระเจ้าจากอวกาศนั่นเอง เอาอะไรมาพูดหรือครับ? ลองดูลักษณะของปิระมิดโบราณดีๆนะครับ มันมีพื้นที่หน้าตัดอยู่ด้วยตรงยอด

    มันชวนให้คิดไหมล่ะว่า ลักษณะช่างไปคล้ายคลึงกับลานจอด ฮ. บนตึกระฟ้าเป็นที่สุด อีกประการ ความแข็งแกร่งของฐานปิระมิดพวกนี้ทำให้มั่นใจได้เลยครับว่า สามารถรองรับการลงจอดของเครื่องขึ้นลงแนวดิ่งได้ทุกประเภท

    แม้แต่เครื่องบินในปัจจุบันที่เป็นเครื่องบินประเภทเบา เข้าท่าใช่ไหมล่ะครับไอเดียนี้ แถมปิระมิดเหล่านี้ส่วนใหญ่ยังไปสร้างกันไว้ในที่สูงๆ ทั้งนี้อาจจะเพื่อให้ง่ายต่อการสังเกตจากทางอากาศก็ได้


    แค่ลานจอด ฮ. ถึงกับต้องลงทุนสร้างปิระมิดเลยเรอะ?

    ก็ คงงั้นมั้งครับ อย่าลืมสิว่า ปัญหาประการหนึ่งของเครื่องขึ้นลงแนวดิ่งก็คือ ฝุ่นและดินครับปลิวฟุ้งไปเลยแน่ๆ แถมลงจอดในที่ชุมชนแล้วด้วยนะ อะไรๆมันจะปลิวไปกับแรงลมบ้างก็ไม่รู้

    แถมน้ำหนักเครื่องก็อาจทำให้ดินยุบได้หากไม่มีการทำฐานที่ดี ที่หนักที่สุดก็คือ หากอากาศยานของพระเจ้าดันขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนตร์ที่ปนเปื้อนรังสีเข้า การไปจอดในที่ชุมชนคงไม่โสภาเท่าไหร่แน่ๆ

    ...เพราะงั้นล่ะมั้ง ในตอนแรกๆของไบเบิลจึงกล่าวถึงบทบาทของยะโฮวาและเอโลฮิมว่า เวลาที่พระเจ้าเหล่านี้จะเสด็จลงมายังโลกเพื่อพบมนุษย์แต่ละครั้ง มักจะเสด็จลงมาบริเวณที่เป็นภูเขาสูงหรือมีหินใหญ่กำบังอยู่เป็นอันดับแรก เพื่อป้องกันรังสีหรือ?


    หลุมหลบภัยมากกว่าล่ะมั้ง?

    ย้อน กลับมาดูที่อียิปต์ ปิระมิดจำนวนมากที่เข้าใจว่าสร้างเพื่อเก็บพระศพของฟาโรห์นั้น จริงๆแล้วกลับไม่ใช่เสียแล้วสิครับ ปิระมิดหลายลูกเต็มไปด้วยห้องลับมากมาย ที่นักโบราณคดีขบไม่แตกว่าจะสร้างขึ้นมาทำพระแสงของ้าวอะไรกัน

    ตัวอย่างเช่น ห้องที่เรียกกันว่า Queen Chamber และห้องลับใต้ดินในปิระมิดของสเนเฟรูครับ แต่ก็แปลกนะครับ ที่ห้องที่นักโบราณคดีว่ากันว่าเป็นห้องเก็บพระศพนั้น ทำไม๊ทำไมการออกแบบถึงได้ไปคล้ายคลึงกับหลุมหลบภัยในสมัยปัจจุบันนัก

    ปิระมิดเก่าๆในยุคต้นเช่น ปิระมิดแห่งไมซีรินุส, ยูนาส, เทตี ต่างก็มีห้องใต้ดินครบครัน ไม่มีหลักฐานใดๆที่ระบุว่าปิระมิดเหล่านี้สร้างขึ้นเพื่อเก็บพระศพของบรรดา คนในราชวงศ์ แต่ละที่ก็ล้วนมีอุโมงค์ใต้ดินที่ขุดลึกลงไปชนิดลึกมากๆ คนโบราณเค้าขุดกันลงไปทำไมครับ ขุดไว้หลบระเบิดนิวเคลียร์เรอะ?


    "...ก็อาจเป็นไปได้นา"


    ไม่ ใช่คำพูดนายโซนิคนะครับ ^^! อันนี้มาจากคำกล่าวของนักวิทยาศาสตร์บางท่าน ที่ทำการศึกษาสถาปัตยกรรมและบริเวณรายรอบของปิระมิดเหล่านั้นอย่างลึกซึ้ง

    น่าแปลกตรงที่ว่าปิระมิดที่กล่าวมาถูกออกแบบราวกับหลุมหลบภัยในสมัยใหม่ แถมเป็นหลุมหลบภัยชั้นดีเมื่อเกิดสงครามนิวเคลียร์ด้วยครับ เนื่องจากทางเดียวที่จะรอดพ้นจากรังสีและพิษร้ายของนิวเคลียร์บอมบ์ได้ ก็คือการลงไปอยู่ใต้ดิน

    (ว่างๆลองหาหนังสือหรือบทความว่าด้วยเรื่องของระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิมาและนา งาซากิมาอ่านเล่นกันนะครับ ลักษณะของความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้น มีแต่อยู่ใต้ดินหรือศูนย์กลางแรงระเบิดนั่นแหละ ถึงจะได้รับผลกระทบน้อยที่สุด - - ระเบิดปรมาณูส่วนใหญ่ระเบิดกลางอากาศสูงเหนือพื้นดินขึ้นไปนะครับ อย่าลืมเสีย)

    ดูเหมือนเป็นสิ่งก่อสร้างแบบโบราณๆ แต่ความหนาจากอิฐและดินนี่แหละครับ ที่ช่วยป้องกันแรงทะลุทะลวงของรังสีแกมมาจากนิวเคลียร์บอมบ์ได้เปHนอย่างดี

    ...สำหรับเรื่องการใช้นิวเคลียร์เป็นอาวุธสงครามนั้น ผมจะกล่าวถึงในตอนต่อๆไปของชุดนี้ครับ


    ส่วนนี่คือปิระมิดที่พบแถบหมุ่เกาะในแปซิฟิคครับ...​


    มา ดูกันหน่อยครับ กับข้อมูลที่นักเขียนชื่อ Mark และ Richard Wells ได้เขียนเอาไว้ พวกเขากล่าวว่า ตำแหน่งที่ตั้งของปิระมิดกับตำแหน่งดาวบนท้องฟ้าดูจะมีความสัมพันธ์กันเป็น พิเศษ โดยเฉพาะกับกลุ่มดาวนายพรานหรือ Orion's belt ครับ...

    ทฤษฎีนี้ไม่น่าประหลาดเพราะรู้กันมานานแล้ว ในเว็บของผมก็เพิ่งเอาบทความที่ได้จากน้องโอลงไปแหม่บๆ แต่ทราบไหมครับว่า นอกจากปิระมิดทั้งสามที่กีซาแล้ว ปิระมิดที่เมืองซีอานในจีน และที่ทิโอติฮัวกันในเม็กซิโกนั้นห็มีลักษณะคล้ายกันไม่มีผิด มันบังเอิญเกินไปไหมจ๊ะแฟนๆจ๋า?


    สรุป

    เรื่อง ของเราในวันนี้ พูดกันถึงแต่ปิระมิดเพียวๆ ที่สูงตั้งแต่ 40-400 ฟุต ฐานมีขนาดตั้งแต่ 100-2300 ฟุต ภายในมีอุโมงค์และห้องลับที่ขุดลึกลงถึงชั้นใต้ดิน สถาปัตยกรรมเชิงโครงสร้างเป็บแบบขั้นบันไดบ้าง ผนังเรียบบ้าง วัสดุในการก่อสร้างส่วนมากจะหาได้ในท้องถิ่น

    ซึ่งก็มีทั้งหินก้อนมหึมาที่เอามาตัด อิฐดินเผา อิฐดินเหนียว และบนยอดของปิระมิดส่วนมากมีลักษณะเป็นหน้าตัด บางแห่งมีวิหารเล็กๆประดับอยู่ด้านบนเสียด้วย สำหรับจุดประสงค์ในการสร้างนั้น ผมคงสรุปไม่ได้ 100 เปอร์เซ็นต์หรอกนะครับว่าสร้างขึ้นเพื่ออะไรกันแน่

    ก็ผมเกิดไม่ทันยุคนั้นนี่นะ^^! จึงได้แต่อ้างข้อสันนิษฐานของชาวบ้านมาอีกต่อหนึ่งว่า ปิระมิดหลากขนาดหลายไสตล์ที่ระจัดกระจายกันอยู่ทั่วทุกมุมโลกนั้น วัตถุประสงค์ในการสร้างน่าจะประกอบด้วย

    เพื่อเป็นจุดชี้พิกัดจากทางอากาศ, หลุมหลบภัย, ลานจอดอากาศยานที่ขึ้นลงแนวดิ่ง, รวมไปถึงเป็นสถานที่ประกอบพิะกรรมอันศักดิ์สิทธิ์เพื่อบวงสรวงพระเจ้าจาก อวกาศ...

    ...และทั้งหมดทั้งเพนี้คือสิ่งที่เกิดขึ้น ในยุคสมัยอันไกลโพ้นที่มนุษย์และพระเจ้าอาศัยอยู่ร่วมกัน






    อ่านตอนอื่นๆ ได้จาก link


    http://mythland.org/v3/thread-6-1-1.html


    http://mythland.org/v3/thread-7-1-1.html


    http://mythland.org/v3/thread-22-1-1.html


    http://mythland.org/v3/thread-27-1-1.html


    http://mythland.org/v3/thread-29-1-1.html


    http://mythland.org/v3/thread-30-1-1.html


    http://mythland.org/v3/thread-32-1-1.html


    ขอบคุณเวป


    http://www.mythland.org/intro/v3/slideintro.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มีนาคม 2010
  3. Aqua-ma-rine

    Aqua-ma-rine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    820
    ค่าพลัง:
    +1,242
    ภาพแกะสลักและอารยธรรมของชาวสุเมเรียน น่าคิด น่าสนใจ


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]



    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]
     
  4. Aqua-ma-rine

    Aqua-ma-rine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    820
    ค่าพลัง:
    +1,242
    จากข้อมูลข้างบน ถ้ามนุษย์ต่างดาวมีถึง 50 กว่าสปีชีส์ และบางสปีชีส์รูปร่างหน้าตาคล้ายมนุษย์

    ก็อาจเป็นไปได้มั้ยว่า มนุษย์โลกแบบผิวขาว ผิวดำ ผิวเหลือง มีแม่แบบมาจากมนุษย์ต่างดาว กรรมวิธีคล้ายๆ กับการโคลนนิ่ง (ต้องอ้างอิงเรื่อง avatar)


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    มีให้จินตนาการอีกหลายแบบใน link นี้


    Extraterrestials - Kesara
     
  5. ดอนdon

    ดอนdon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,580
    ค่าพลัง:
    +3,291
    แปลกแต่จริง เรื่องราวในอดีตทำไมพวกเราจำกันไม่ได้ ไม่มีการเล่าขานแบบสืบทอด มีแต่ตำนาน นิยาย ที่เสริม อันนี้ก็งงนะ อย่างบ้านเราก็ค้นเจออารยธรรมแค่ไม่เกิน2000กว่าปี แล้วก็โดดมาเจออุดร5000ปี แล้วก็ข้ามไปไดโนเสาร์เลย
     
  6. Aqua-ma-rine

    Aqua-ma-rine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    820
    ค่าพลัง:
    +1,242
    ประเด็นที่คุณดอนบอกนั่นแหละ เราก็คิด และคุณโซนิค จากเวปที่เราไปหาข้อมูลมาก็พูดถึงประเด็นนี้เหมือนกัน สำหรับเรา ตอนเด็ก เรียน ม.2 เคยเห็นวัตถุบินบนม้องฟ้าพร้อมเพื่อนอีกคน รร.อยู่ใน กทม.นี่แหละ พอมาทำงาน ได้เคุยกับเพื่อนร่วมงานอย่างน้อย 3 คน เคยเห็นเหมือนกัน
     
  7. Aqua-ma-rine

    Aqua-ma-rine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    820
    ค่าพลัง:
    +1,242
    มันมีตำนานอันนึง ที่คนเกือบจะทั่วโลกละมั้ง พูดถึงกัน เพียงแต่ชื่อบุคคลกับสถานที่เปลี่ยนไปตามบริบทแวดล้อม ก็คือเรื่องน้ำท่วมโลก ตำนานนี้แม้แต่ภาคอีสานบ้านเรา (รวมถึงประเทศลาวด้วยหรือเปล่าไม่แน่ใจ) พูดถึงพญาแถน ผู้สร้างฟ้า สร้างแผ่นดินโลก เคยล้างโลกด้วยน้ำ

    เคยเอาคีย์เวิร์ดเรื่องน้ำท่วมโลก search จากเวปต่างประเทศดู ก็ไปเจอตำนานแบบนี้ของประเทศแถบอัฟริกาด้วย
     
  8. Aqua-ma-rine

    Aqua-ma-rine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    820
    ค่าพลัง:
    +1,242
    วิพาภร - พลังจิต - พระพุทธเจ้าตรัสถึงมนุษย์ต่างดาว


    พระพุทธเจ้าตรัสถึงมนุษย์ต่างดาว


    <HR SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->[​IMG]



    จักรวาลอันหนึ่ง โดยยาวและโดยกว้าง ประมาณ ๑,๒๐๓,๔๕๐ โยชน์ (๑ โยชน์ = ๑๖ กิโลเมตร)

    ส่วนโดยรอบปริมณฑลทั้งสิ้น (ของจักรวาลนั้น) ประมาณ ๓,๖๑๐,๓๕๐ โยชน์

    ขนาดหนาของแผ่นดิน ในจักรวาลนั้น

    แผ่นดินนี้ กล่าวโดยความหนา มีประมาณถึงเท่านี้ คือ ๒๔๐,๐๐๐ โยชน์
    ขนาดหนาของน้ำรองแผ่นดิน สิ่งที่รองแผ่นดินนั้นหรือ

    คือน้ำอันตั้งอยู่บนลม โดยความหนามีประมาณถึงเท่านี้ คือ ๔๘๐,๐๐๐ โยชน์

    ขนาดความหนาของลมรองน้ำ

    ลมอัน (พัดดัน) ขึ้นฟ้า (โดยความหนา) มีประมาณ ๙๖๐,๐๐๐ โยชน์ นี่เป็นความตั้งอยู่พร้อมมูลแห่งโลก

    ขนาดภูเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ) และต้นไม้ประจำทวีป
    อนึ่ง ในจักรวาลที่ตั้งอยู่พร้อมมูลอย่างนี้นั้น มี

    ภูเขาสิเนรุอันเป็นภูเขาสูงที่สุด หยั่ง (ลึก) ลงไปในมหาสมุทร ๘๔,๐๐๐ โยชน์ สูงขึ้นไป (ในฟ้า) ก็ประมาณเท่ากันนั้น

    ภูเขาใหญ่ทั้งหลาย คือภูเขายุคันธร ภูเขาอิสินธร ภูเขากรวีกะ ภูเขาสุทัสสนะ ภูเขาเนมินธระ

    ภูเขาวินตกะ ภูเขาอัสสกัณณะ อันตระการไปด้วยรัตนะหลากๆ ราวกะภูเขาทิพย์ หยั่ง (ลึก) ลงไป

    (ในมหาสมุทร) และสูงขึ้นไป (ในฟ้า) โดยประมาณกึ่งหนึ่งแต่ประมาณแห่งภูเขาสิเนรุไปตามลำดับ

    ภูเขาใหญ่ทั้ง ๗ นั้น (ตั้งอยู่) โดยรอบภูเขาสิเนรุเป็นที่อยู่ของ (จาตุ)มหาราช เป็นที่ๆ เทวดา และยักษ์อาศัยอยู่

    ภูเขาหิมวาสูง ๕๐๐ โยชน์ ยาวและกว้าง ๓,๐๐๐ โยชน์ (เท่ากัน) ประดับไปด้วยยอดถึง ๘๔,๐๐๐ ยอด

    ต้นชมพู (หว้า) ชื่อนคะ วัดรอบลำต้นได้ ๑๕ โยชน์ ลำต้นสูง ๕๐ โยชน์ และกิ่ง (แต่ละกิ่ง)

    ก็ยาว ๕๐ โยชน์ แผ่ออกไปวัดได้ ๑๐๐ โยชน์โดยรอบ และสูงขึ้นไปก็เท่ากันนั้น ด้วยอานุภาพของ

    ต้นชมพู (นี้) ไรเล่า ทวีปนี้จึงถูกประกาศชื่อว่า ชมพูทวีป
    ก็แลขนาดของต้นชมพูนี้ใด ขนาดนั้นนั่นแหละเป็นขนาดของต้นจิตรปาฏลี
    (แคฝอย) ของพวกอสูร

    ต้นสิมพลี (งิ้ว) ของพวกครุฑ ต้นกทัมพะ (กระทุ่ม) ในอมรโคยานทวีป ต้นกัปปะในอุตตรกุรุทวีป

    ต้นสิรีระ (ซึก) ในบุพพวิเทหทวีป ต้นปาริฉัตตกะ ในดาวดึงส์ เพราะเหตุนั้นแล ท่านโบราณจารย์จึงกล่าวไว้ว่า

    (ต้นไม้ประจำภพและทวีป คือ) ต้นปาฏลี ต้นสิมพลี ต้นชมพู ต้นปาริตฉัตตะของพวกเทวดา

    ต้นกทัมพะ ต้นกัปปะ และต้นที่ ๗ คือ ต้นสิรีสะ ดังนี้

    ขนาดภูเขาจักรวาล

    ภูเขาจักรวาล หยั่ง (ลึก) ลงไปในมหาสมุทร ๘๒,๐๐๐ โยชน์
    สูงขึ้นไป (ในฟ้า) ก็เท่ากันนั้น

    ภูเขาจักรวาลนี้ตั้งล้อมโลกธาตุทั้งสิ้นนั้นอยู่

    ขนาดของภพและทวีป

    ในโลกธาตุนั้น มีดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ ภพดาวดึงส์ ๑๐,๐๐๐ โยชน์ ภพอสูร มหานรกอเวจี และชมพูทวีปก็เท่ากันนั้น

    อมรโคยานทวีป ๗,๐๐๐ โยชน์ บุพพวิเทหทวีปก็เท่านั้น อุตตรกุรุทวีป ๘,๐๐๐ โยชน์ อนึ่ง ในโลกธาตุนั้น

    ทวีปใหญ่ๆ ทวีป ๑ ๆ มีทวีปน้อยเป็นบริวาร ทวีปละ ๕๐๐
    สิ่งทั้งปวง (ที่กล่าวมานี้) นั้น (รวม) เป็นจักรวาล ๑ ชื่อว่า โลกธาตุอัน ๑ ๑ในระหว่างแห่งโลกธาตุ

    ทั้งหลายมีโลกันตนรก (แห่งละ ๑)

    ๑. มหาฎีกาว่า จักรวาล ก็คือโลกธาตุ โลกธาตุได้ชื่อว่า จักรวาล ก็เพราะมีภูเขาจักรวาล ซึ่งสัณฐานดังกง

    รถล้อมอยู่โดยรอบเท่านั้นเองไม่ใช่จักรวาลอัน ๑ โลกธาตุอัน ๑

    ๒. ท่านว่าจักรวาลหรือโลกธาตุนั้นมีมากนัก ช่องว่างในระหว่างจักรวาล ๓ จักรวาลต่อกัน มีโลกันตนรก ๑

    ทุกแห่งไป โดยนัยนี้ คำว่า โลกันตนรก ก็แปลว่า นรกอันตั้งอยู่ในช่องระหว่างจักรวาล ๓ อันนั่นเอง

    พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ใน "จูฬนีสูตร" พระไตรปิฎก หน้า ๒๑๕ เล่ม ๒๐ ว่า

    จักรวาล ประกอบด้วยดวงจันทร์ โลก ดวงอาทิตย์ และดาวเคราะห์ทั้งหลายโคจร ไปร่วมกัน

    จะมีขุนเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ) (เป็นภูเขาทิพย์ที่เห็นได้เฉพาะผู้มีอภิญญา) ทวีปต่างๆ ที่ตั้งชื่อกันในสมัยนั้นคือ ชมพูทวีป อปรโคยานทวีป อุตรกุรุทวีป และปุพพวิเทหทวีป มหาสมุทรทั้ง ๔ (นับกันได้ในสมัยนั้น)

    มีนรกขุมต่างๆ สวรรค์ชั้นต่างๆ และพรหมโลกชั้นต่างๆ

    โลกธาตุ มี ๓ ขนาด คือ โลกธาตุอย่างเล็กมีจำนวนพันจักรวาล

    โลกธาตุอย่างกลางมีจำนวนล้านจักรวาล

    โลกธาตุอย่างใหญ่มีจำนวน แสนโกฏิจักรวาล

    ทั้งโลกธาตุอย่างเล็กก็ดี อย่างกลางก็ดี อย่างใหญ่ก็ดี ยังมีอีกจำนวนมากมาย

    "ทุกสิ่งทุกอย่างมีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และแตกดับไปในที่สุด"

    กำเนิดของโลกพระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ใน "อัคคัญญสูตร" พระไตรปิฎก หน้า ๖๑ เล่ม ๑๑ ว่า

    เกิดมีน้ำขึ้นในห้วงอวกาศอันมืดมิดก่อนแล้วนานๆไปเกิดการรวมตัวงวดเข้าเป็นง้วนดิน แล้วพัฒนาเป็นกระบิดิน

    ต่อไปเป็นเครือดิน จากนั้นมีต้นข้าวและพืชทั้งหลายเกิดขึ้น ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ หมู่ดาว

    นรกขุมต่างๆ เทวโลกและพรหมโลกชั้นต่างๆ ก็เกิดขึ้นเอง

    กำเนิดชีวิตพระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า "เพราะมีความอยาก จึงมีการเกิดเป็นสัตว์เป็นบุคคลขึ้นมา

    เมื่อไม่มีความอยากการเกิดเป็นสัตว์เป็นบุคคลก็ไม่มี"

    <!-- / message --><!-- sig --><!-- / message --><!-- sig -->
     
  9. Aqua-ma-rine

    Aqua-ma-rine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    820
    ค่าพลัง:
    +1,242
    ๑) ชมพูทวีป ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ)

    -มีธาตุมรกตอยู่ทางทิศใต้ของเขาสิเนรุ แสงสะท้อนของธาตุมรกตทำให้ทองฟ้าและมหาสมุทรของชมพูทวีปมีสีน้ำเงินแกมเขียว

    -มนุษย์ที่ชมพูทวีป มีความสูง ๔ ศอก มีอายุประมาณ ๑๐๐ ปี (อาจตายก่อนอายุได้ ไม่แน่นอน)

    -มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ อายุยิ่งหย่อนขึ้นอยู่กับคุณธรรม ไม่แน่นอน

    -สมัยของพระพุทธเจ้าพระนามว่า "พระวิปัสสี" มนุษย์ในชมพูทวีปมีอายุถึง ๘๐,๐๐๐ ปี

    -สมัยของพระพุทธเจ้าพระนามว่า "พระเรวะตะ" มนุษย์ในชมพูทวีปมีความสูงถึง ๘๐ ศอก

    -แต่เมื่อคุณธรรมเสื่อมลง จิตใจหยาบช้าลง อาหารเลวลง อายุก็ลดลง ร่างกายก็เตี้ยลง

    -ต่อไปภายภาคหน้ามนุษย์ในชมพูทวีป จะมีอายุเพียง ๑๐ ปี เท่านั้น และตัวจะเตี้ยถึงขนาดต้องสอยมะเขือกิน เรียกยุคนั้นว่า "ยุคทมิฬ" เป็นยุคที่เสื่อมที่สุดของ "ชมพูทวีป"

    -ดอกไม้ประจำชมพูทวีปคือ "ชมพู (ไม้หว้า)" ...เพราะเหตุนี้ ถึงเรียกว่า "ชมพูทวีป"

    เพราะดอกไม้ประจำทวีปนี้คือ ดอก "ชมพู"

    -ชมพูทวีป เป็นทวีปเดียวที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ต้องมาตรัสรู้ที่ทวีปนี้เท่านั้น


    [​IMG]
     
  10. Aqua-ma-rine

    Aqua-ma-rine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    820
    ค่าพลัง:
    +1,242
    ๒) อมรโคยานทวีป ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ)

    -เป็นแผ่นดินกว้าง ๗,๐๐๐ โยชน์ ประกอบด้วยเกาะ และแม่น้ำใหญ่น้อย

    -มีธาตุแก้วผลึกอยู่ทางทิศตะวันตกของเขาสิเนรุ แสงสะท้อนของธาตุแก้วผลึกทำให้ทองฟ้าและมหาสมุทรของอมรโคยานทวีปมีสีแก้วผลึก

    -มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ มีรูปหน้าเหมือนพระจันทร์ครึ่งซีก มีใบหน้าวงกลม คล้ายวงพระจันทร์ คนหน้าเหมือนดั่งเดือนแรม จมูกโด่ง คางแหลม

    -มนุษย์ที่อมรโคยานทวีป มีความสูง ๖ ศอก มีอายุ ๕๐๐ ปี (จะไม่ตายก่อนอายุ เป็นกฏตายตัว)

    -ดอกไม้ประจำอมรโคยานทวีปคือ "กะทัมพะ (ไม้กระทุ่ม)"


    [​IMG]
     
  11. Aqua-ma-rine

    Aqua-ma-rine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    820
    ค่าพลัง:
    +1,242
    [​IMG]


    ๓) ปุพพวิเทหะทวีป ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ)

    -เนื้อที่กว้าง ๗,๐๐๐ โยชน์ มีเกาะ ๔๐๐ เกาะ
    -มีธาตุเงินอยู่ทางทิศตะวันออกของเขาสิเนรุ แสงสะท้อนของธาตุเงินทำให้ทองฟ้า และมหาสมุทรของปุพพวิเทหะทวีปมีสีเงิน

    -มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ มีรูปหน้าเหมือนพระจันทร์เต็มดวง คนหน้ากลมเหมือนดวงจันทร์ มีใบหน้าตอนบนโค้งตัดลงมาเหมือนบาตร

    -มนุษย์ที่ปุพพวิเทหะทวีป มีความสูง ๙ ศอก มีอายุ ๗๐๐ ปี (จะไม่ตายก่อนอายุ เป็นกฏตายตัว)

    -ดอกไม้ประจำปุพพวิเทหะทวีปคือ "สิรีสะ (ไม้ทรึก)"



     
  12. Aqua-ma-rine

    Aqua-ma-rine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    820
    ค่าพลัง:
    +1,242
    ๔) อุตรกุรุทวีป ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ)



    [​IMG]


    -มีพื้นที่เป็นรูปสี่เหลี่ยม เนื้อที่กว้าง ๘,๐๐๐ โยชน์ เป็นที่ราบ

    -มีธาตุทองคำอยู่ทางทิศเหนือของเขาสิเนรุ แสงสะท้อนของธาตุทองคำทำให้ทองฟ้า และมหาสมุทรของอุตรกุรุทวีปมีสีเหลืองทอง

    -มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ รูปร่างงาม มีลักษณะใบหน้าเป็นรูป ๔ เหลี่ยม รักษาศีล ๕ เป็นนิจ

    ไม่ยึดถือสมบัติ บุตร ภรรยา สามี ว่าเป็นของๆตน

    -มนุษย์ที่อุตรกุรุทวีป มีความสูง ๑๓ ศอก มีอายุ ๑,๐๐๐ ปี (จะไม่ตายก่อนอายุ เป็นกฏตายตัว)

    -มีต้นไม้นานาชนิด ดอกไม้ประจำอุตรกุรุทวีปคือ "กัปปรุกขะ (กัลปพฤกษ์)"
    ถ้าอยากได้อะไร ก็ไปนึกเอาที่ต้นกัลปพฤกษ์ จะสมปรารถนา

    -มนุษย์ที่อุตรกุรุทวีป เมื่อตายจากทวีปนี้ ทุกคนจะได้ไปเกิดใน "เทวภูมิ ชั้นตาวติงสาห์ภูมิ" ทุกๆคน เป็นกฏตายตัว

    -ในภาษาบาลี "อุตร" แปลว่า "เหนือ" ...เพราะเหตุนี้ ถึงเรียกทวีปนี้ว่า "อุตรกุรุทวีป"
     
  13. Aqua-ma-rine

    Aqua-ma-rine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    820
    ค่าพลัง:
    +1,242
    จากสติปัญญาอันน้อยนิดของตัวเอง คิดว่าพระพุทธเจ้าท่านตรัสถึงระบบสุริยจักรวาลของพวกเรา ว่ามีสหพันธรัฐดวงดาวร่วมแกแล็คซี่อะไรบ้าง และคงมีการมาเยือนชมพูทวี หรือโลกของเรา ตั้งแต่ในสมัยโบราณแล้ว

    แต่คนสมัยก่่อน เรียกมนุษย์จากดาวดวงอื่นว่าเทวดา และก็คงจะมีรูปร่างหน้าตาต่างๆ กันไป เช่น ดาวบลาๆๆ มีผิวสีเขียว คนยุคต่อๆ มา เลยไปจินตนาการเรื่องเทพเจ้าที่มีผิวสีเขียวกันไป

    และบางมนุษย์ต่างดาวก็อาจจะมีผิวเรืองแสง คนก็ไปจินตนาการวาเป็นเทพเจ้าที่มีแสงเรืองรองอะไรกันไปอีก

    ที่คิดว่าคนสมัยก่อนมองมนุษย์ต่างดาวว่าเป็นเทวดาเพราะ มนุษย์ต่างดาวมีเทคโนโลยีด้านการคมนาคมที่ล้ำกว่าคนโบราณ เช่น ไปไหนมาไหนด้วยวัตถุบิน คนโบราณก็มองว่าเป็นการเหาะเหิรเดินอากาศ

    รวมถึงเทคโนโลยีอื่นๆ ที่ล้ำกว่าคนโบราณ ทำให้คนโบราณตื่นตะลึง เช่น การเสกน้ำ เสกไฟ ก็คงเป็นวิทยาการของมนุษย์ต่างดาวอย่างนึง
     
  14. Aqua-ma-rine

    Aqua-ma-rine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    820
    ค่าพลัง:
    +1,242
    ตั้งแต่เด็กๆ ก่อนจะได้เห็นปรากฏการณ์แปลกบนท้องฟ้า ก็ฝักใฝ่เรื่องสิ่งมีชีวิตจากดาวดวงอื่นอยู่แล้ว

    ทั้งอ่านหนังสือ ดูหนัง คุยกับคนคอเดียวกัน พอมาอ่านกระทู้นี้

    http://palungjit.org/threads/คุณคือ-ผู้พเนจรจากฟากฟ้า-wanderer-หรือ-เมล็ดพันธุ์แห่งดวงดาว-star-seed-หรือไม่.231789/


    [​IMG]


    แล้วดู fourth kind เข้าไปอีก ก็ยิ่งตื่นตะลึงได้อีก


    [​IMG]


    [​IMG]
     
  15. chaiyapol

    chaiyapol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +180
    เป็นความรู้ให้น่าอ่านดีครับ แต่ยังไงก็ยังเชื่อพระพุทธเจ้าอยู่ดี โลกเกิดขึ้นจากธาตุ4 มาประกอบกันตามสภาวะธรรม ไม่ใช่มีผู้ใดสร้างโลกตามแนวทางความเชื่ออื่นๆ
     
  16. Aqua-ma-rine

    Aqua-ma-rine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    820
    ค่าพลัง:
    +1,242
    ถูก ดาวโลกเกิดขึ้นจากธาตุต่างๆ มาประกอบกัน เหมือนดาวดวงอื่นๆ เป็นงานสร้างของธรรมชาติ และที่น่าคิดคือ ในจำนวนดวงดาวนับล้านๆๆๆ ดวงที่เราเห็นกระจายกันเต็มท้องฟ้ามาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว จะมีซักดวงนึงก็ยังดีได้มั้ย (คิดแบบมักน้อยสุดๆ) ที่มีสิ่งมีชีวิตคล้ายๆ มนุษย์โลกของเรา อาศัยอยู่บนดาวดวงนั้น

    แต่ถ้าคิดแบบทั่วๆ ไป ไม่ต้องกระมิดกระเมี้ยนคิด ก็น่าจะมีดวงดาวนับไม่ถ้วนดวง ที่มีมนุษย์ต่างดาวอาศัยอยู่ และอาจจะมีบางดวง เป็นหลักหน่วย หลักสิบ หลักร้อย หรือหลักพัน ที่มีเทคโนโลยีหลายๆ อย่าง หรือทุกอย่าง ก้าวหน้ากว่าพวกเรา และเคยมาเที่ยว มาอยู่ มาทำโครงการ (การทดลอง) บนดาวโลกตั้งนานแล้ว

    หรือมนุษย์จากดาวดวงอื่นบางดวงก็เพิ่งมาเมื่อเร็วๆ นี้ ก็ได้ ทั้งหมดนี้ เป็นการคิดแบบนอกกรอบ ไม่ปิดกั้นจินตนาการของตัวเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มีนาคม 2010
  17. Aqua-ma-rine

    Aqua-ma-rine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    820
    ค่าพลัง:
    +1,242
    จากเรื่อง fourth kind ซึ่งสร้างมาจากเรื่องจริง บอกกับคนดูว่ามนุษย์ต่างดาวที่มาจับคนไป เป็นพวกที่มาโลกของเราตั้งแต่สมัยสุเมเรียน และเรียกตัวเองว่าเทพเจ้า สื่อสารด้วยภาษาสุเมเรียน มีความโหดเหี้ยม ทำกับมนุษย์ต่างๆ นาๆ และเอามนุษย์ไปเป็นส่วนหนึ่งของโครงการทดลอง

    และอาจจะเป็นพวกที่บังคับข่มขู่มนุษย์โลกให้ทำตามกฏของตัวเอง ด้วยการข่มขู่ว่าจะบันดาลให้เกิดเรื่องร้ายๆ ขึ้นกับมนุษย์ที่บังอาจทำตัวนอกกรอบ พูดง่ายๆ ว่าปกครองและควบคุมพฤติกรรมมนุษยืไว้ด้วยความกลัว

    แต่ถ้าย้อนกลับไปดูข้อความจากพระไตรปิฏกที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ จะเห็นว่า ในระบบจักรวาลยังมีมนุษย์ต่างดาวประเภทอื่นๆ ด้วย และแน่นอนว่า ก็มีประเภทที่ดี ไม่เหมือนพวกที่มีการบันทึกไว้ ว่าเกี่ยวข้องกับการลักพาตัวมนุษย์โลกไปทำการทดลอง
     
  18. Aekkapat

    Aekkapat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    162
    ค่าพลัง:
    +318
    เคยได้ยินที่พระพุทธองค์ตรัสไว้มั้ยครับ
    ธรรมที่พระองค์ทรงสอนเรานั้นเป็นเพียงใบไม้แค่กำมือเดียว ซึ่งธรรมนั้นทรงมอบไว้ให้เพียงเพื่อให้เราหลุดพ้น(นิพพาน)

    ตีความหมายให้ตรง ๆ ก็คือ ยังมีธรรมอันอื่นอีกที่พระองค์ไม่ได้สอนเราหรือบอกกับเรา ที่พระองค์ไม่ได้สอนก็เพราะว่ามันไม่ใช่หนทางแห่งการหลุดพ้น ซึ่งถ้าพระองค์ทรงบอกธรรมทั้งหมดคงจะไม่มีใครสนใจในเรื่องของการหลุดพ้นแน่นอน

    แน่นอนครับ ธรรมอันนั้นอาจจะมีเรื่อง"พระเจ้า"หรือ"พระผู้สร้าง" อยู่แน่
    แต่อย่างที่กล่าวไว้ถ้าพระองค์บอกความจริงทั้งหมด มนุษย์จะไม่สนใจในเรื่องของการหลุดพ้นแน่ คงจะเที่ยวศึกษาและตามหาพระเจ้ากันให้วุ่น พระองค์จึงบอกแค่ในส่วนที่มนุษย์ควรจะได้รับรู้เท่านั้น

    ผมเชื่อว่าสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้มีเรื่องเกี่ยวกับ "พระเจ้า" อยู่แน่

    เป็นแค่ความเชื่อส่วนตัวนะครับ เพราะจักรวาลของเรานี้มันลึกล้ำ มีความบังเอิญและไม่บังเอิญเกินกว่าที่จะยอมรับได้ว่ามันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเอง แล้วผมเองก็ไม่ใช่คริสต์ด้วยครับ

    แค่เอ่ยในด้านของความเชื่อ ผิดพลาดประการใด ขออโหสิกรรม และขอขมาแก่องค์พระรัตนตรัยด้วยเถิด
     
  19. Aqua-ma-rine

    Aqua-ma-rine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    820
    ค่าพลัง:
    +1,242
    เพราะชั่วชีวิตของมนุษย์โดยทั่วๆ ไปแต่ละคน ก็จะมีเวลาทำสิ่งต่างๆ อยู่บนโลกนี้ประมาณคนละไม่กี่สิบปี และภูมิปัญญาของมนุษย์ทั่วๆ ไป มักถูกทุ่มเทให้กับภาระการหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องตัวเองและคนใกล้ชิด เช่น ครอบครัว

    (ยกเว้นบางคนที่ทำมากกว่านั้น เช่น ชอบทำงานด้านจิตอาสา แต่ถ้าเทียบสัดส่วนแล้ว ก็น้อยกว่าพวกแรก)

    เพราะอย่างนี้ การที่มนุษย์จะเอาเวลาแต่ละวัน จะไปฝักใฝ่เรื่องอะไรที่เกินขอบเขตก็เป็นเรื่องอจินไตย และไม่จำเป็นต้องรู้ เอาแค่เรื่องพื้นฐาน ทั้งด้านดีและชั่วก็น่าจะพอแล้ว สำหรับมนุษย์ทั่วๆ ไป


    และนี่คือรูปจำลองของสิ่งที่ว่ากันว่าเป็นเผ่าพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตจากนอกโลก ที่มุ่งร้ายต่อมนุษย์โลก และมาอยู่ที่โลกนี้นานแล้ว ควบคุมจิตใต้สำนึกมนุษย์ด้วยคลื่นความถี่ต่ำ

    พยายามเหนี่ยวรั้งชักจูงมนุษย์โลกให้เห็นผิดเป็นถูก ในรูปแบบต่างๆ เช่น คิดแต่ด้านลบ ทำแต่เรื่องร้ายๆ ฝักใฝ่กามารมณ์ หลงไหลทุนนิยม บูชาวัตถุ เงินทอง ความร่ำรวย โลภมากไม่รู้จักพอ เห็นแก่ตัว และเลือดเย็น มองข้ามธรรมะทางปัญญาที่แท้จริง


    [​IMG]


    และมนุษย์ต่างดาวพวกนี้ คงไม่ได้ไปไหนมาไหนทั้งรูปร่างหน้าตาแบบนี้แน่ น่าจะมีเปลือกที่ไม่แตกต่างจากมนุษย์โลกห่อหุ้มอยู่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มีนาคม 2010
  20. พงศ์ปณต

    พงศ์ปณต Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    27
    ค่าพลัง:
    +80
    ในความคิดของกระผมนะขอรับ
    คือ พระพุทธเจ้าท่าน ตรัสรู้ ชอบได้โดยพระองค์เองแล้ว
    ท่านน่าจะรู้นะคับว่า โลกใบนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร และถ้าสมติว่า
    ท่านรู้ แต่ท่านมิได้กล่าวไว้ กระผมเชื่อว่าท่าน ต้องมีเหตุ
    ที่จำเป็น ท่านจึงไม่กล่าวถึง หน่ะขอรับ


    ปล.ขอความกรุณาโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านด้วยขอรับ
    กระผมมิได้มีเจตนาปรามาศนะขอรับแค่แสดงความเห็นเฉยๆ สาธุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...