สภาพและภพภูมิของเปรต (เปตติวิสยภูมิ)

ในห้อง 'ภพภูมิ-สวรรค์ นรก' ตั้งกระทู้โดย Sonny, 10 กรกฎาคม 2006.

  1. Sonny

    Sonny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2006
    โพสต์:
    50
    ค่าพลัง:
    +156
    <TABLE style="BORDER-COLLAPSE: collapse" borderColor=#cc0000 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#ffcc99 border=2><TBODY><TR><TD bgColor=#ebebeb>
    -ประเภทแห่งเปรต-




    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    เปตติวิสยภูมิ คือภูมิเปรตหรือโลกเปรตนี้ เป็นโลกที่ ห่างไกลจากความสุข ไม่มีสถานที่อยู่โดยเฉพาะ เหล่าสัตว์ที่ไปอุบัติเกิดในโลกเปรตนี้แล้ว ถึงแม้จะ มีความทุกข์น้อยกว่าสัตว์นรกทั้งหลายก็จริง ถึงกระนั้น ก็ยังนับได้ว่าเป็นผู้ห่างไกลจากความสุขอยู่ เป็นอันมาก เพราะฉะนั้น โลกเปรตนี้ จึงมีชื่อว่า เปตติวิสยภูมิ = โลกที่อยู่ของสัตว์ผู้ห่างไกลจาก ความสุข

    เมื่อกล่าวถึงชีวิตของเหล่าสัตว์ในภูมิแห่งเปรตนี้แล้ว ย่อมเป็นชีวิตที่น่าสมเพช โดยที่เขาเหล่านั้น ต้อง ทนทุกข์ทรมานเพราะความอดอยาก มีความหิวกระหาย อย่างแสนสาหัส สัตว์เปรตทั้งหลาย ย่อมประสบ ทุกขเวทนา เพราะความอดอยากอาหารเป็นส่วนมาก แท้จริงสัตว์ทั้งหลายในเปรตวิสัยนั้น บางพวกมิได้บริโภค โภชนาหารเลยตลอดเวลา ๒-๓ พุทธันดรก็มี ให้แสบร้อน ในไส้ในท้องแห่งตนยิ่งนัก เพราะถูกไฟในกายเผาไหม้ เสียนักหนา เปรียบดังว่าไฟอันไหม้อยู่ในโพรงไม้ฉะนั้น เปรตทั้งหลายย่อมเสวยทุกขเวทนาใหญ่ ความอดอยาก นั้นเหลือที่จะคณานับได้

    <TABLE style="BORDER-COLLAPSE: collapse" borderColor=#cc0000 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#ffcc99 border=2><TBODY><TR><TD bgColor=#ebebeb>
    -เปรตเศษบาป-




    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    เปรตชิ้นเนื้อ อีกคราวหนึ่ง องค์อรหันต์พระมหาโมคคัลลานเถระ ได้เห็นชิ้นเนื้อลอยอยู่ในเวหาส พวกแร้งบ้าง กาบ้าง นกตะกรุมบ้าง ต่างก็พากันโผถลาตามจิกทึ้งชิ้นเนื้อนั้น และชิ้นเนื้อนั้นก็ส่งเสียงร้องครวญครางอย่างน่าสงสาร จึงคิดว่าน่าอัศจรรย์เป็นนักหนา ต่อมาได้กราบทูลให้ ทรงทราบ ซึ่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตรัสเล่า ประวัติเปรตตนนี้ว่า ในชาติก่อน เปรตชิ้นเนื้อตนนี้ เกิดเป็นมนุษย์ มีอาชีพ เป็นคนฆ่าโค ครั้นทำกาลกิริยาตายไปแล้ว ก็ไปตกนรก หมกไหม้อยู่ในขุมนรกอยู่นานนักหนา เมื่อหมดกรรม พ้นจากแดนนรกแล้ว เศษกรรมยังมี จึงต้องมาเกิด เป็นเปรตชิ้นเนื้อ เสวยทุกขเวทนาอันน่าทุเรศ เห็นปานนั้น

    เปรตก้อนเนื้อ คราวหนึ่ง องค์อรหันต์ท่านพระโมคคัลลานะเถระ ผู้มีทิพยจักษุ ได้เห็นก้อนเนื้อลอยอยู่ในเวหาส เหล่าแร้งบ้าง กาบ้าง นกตะกรุมบ้าง ต่างก็พากัน โผถลาตามจิกทึ้งก้อนเนื้อนั้นเป็นอลหม่าน และ ก้อนเนื้อนั้นก็ส่งเสียงร้องครวญครางอย่างน่าสงสาร สมเด็จพระบรมศาสดาจารย์ ได้ตรัสเล่าประวัติ เปรตตนนี้ว่า ในชาติก่อน เปรตก้อนเนื้อตนนี้ เกิดเป็นมนุษย์ มีอาชีพเป็นคนฆ่านกขาย ครั้นทำกาลกิริยาตายไปแล้ว ก็ไปตกนรกหมกไหม้อยู่เป็นเวลานานนักหนา เมื่อหมด กรรมพ้นจากแดนนรกแล้ว เศษกรรมยังมี จึงต้องมาเกิด เป็นเปรตก้อนเนื้อ เสวยทุกขเวทนาอันน่าทุเรศ เห็นปานนั้น

    เปรตไม่มีผิวหนัง คราวหนึ่ง องค์พระอรหันต์โมคคัลลานเถระ ผู้มีทิพยจักษุ ได้เห็นบุรุษไม่มีผิวหนังลอยอยู่ในเวหาส เหล่าแร้งบ้าง กาบ้าง นกตะกรุมบ้าง ต่างก็พากัน โผถลาตามจิกทึ้งบุรุษเปรตประหลาดนั้นเป็นอลหม่าน บุรุษเปรตผู้ไม่มีผิวหนัง ก็ได้แต่ส่งเสียงร้องครวญคราง โอดโอยอยู่ สมเด็จพระบรมครูเจ้า ได้ตรัสเล่าประวัติ เปรตตนนี้ว่า ในชาติก่อน เปรตผู้ไม่มีผิวหนังนี้ เกิดเป็นมนุษย์ มีอาชีพเป็นคนฆ่าแกะขาย ฆ่าแล้วถลกหนังไปขาย บางคราวก็ถลกหนังเสียทั้งเป็นๆ ครั้นเขาทำกาลกิริยา ตายไปแล้ว ก็ตกนรกหมกไหม้อยู่เป็นเวลานานนักหนา เมื่อหมดการพ้นจากแดนนรกแล้ว เศษกรรมยังมี จึงได้เกิดมาเป็นบุรุษเปรตไม่มีผิวหนัง เสวยทุกขเวทนา อันน่าทุเรศเห็นปานนั้น

    เปรตมีขนเป็นดาบ คราวหนึ่ง องค์อรหันต์ท่านพระโมคคัลลานเถระ ผู้มีทิพยจักษุ ได้เห็นบุรุษผู้มีขนเป็นดาบ ลอยอยู่ใน เวหาส ขนดาบของเขาได้หลุดลอยกระเด็นออกไป จากตัว แล้วก็กลับตกลงมาถูกต้องตัวเขาตลอดเวลา เขาก็ได้แต่ร้องครวญครางอย่างโอดโอยเป็นที่น่า แปลกประหลาดเป็นยิ่งนัก สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสเล่าประวัติเปรตตนนี้ว่า ในชาติก่อน เปรตผู้มีขนเป็นดาบนี้ เกิดเป็นคนมีอาชีพ เป็นคนฆ่าสุกรขาย ครั้นทำกาลกิริยาตายไปแล้ว ก็ตกนรกหมกไหม้อยู่เป็นเวลานานนักหนา เมื่อหมด กรรมพ้นจากแดนนรกแล้ว เศษกรรมยังมี จึงต้อง มาเกิดเป็นเปรตมีขนเป็นดาบ และถูกขนจัญไรแห่งตน ประทุษร้ายเอาตลอดเวลา ได้เสวยทุกขเวทนา อันน่าทุเรศเห็นปานนั้น

    เปรตมีขนเป็นหอก คราวหนึ่ง องค์อรหันต์ท่านพระมหาโมคคัลลานเถระ ผู้มีทิพยจักษุ ได้เห็นเปรตบุรุษมีขนเป็นหอก ลอยอยู่ ในเวหาส ขนหอกของเขาหลุดลอยกระเด็นออกไป จากตัว แล้วก็กลับตกลงมาถูกต้องตัวเขาอยู่ตลอดเวลา เขาก็ได้แต่ส่งเสียงร้องครวญครางอย่างโอดโอย เป็นที่น่าแปลกประหลาดเป็นยิ่งนัก สมเด็จพระผู้มี พระภาคเจ้าได้ตรัสเล่าประวัติเปรตตนนี้ว่า ในชาติก่อน เปรตผู้มีขนเป็นหอกนี้ เกิดเป็นมนุษย์ มีอาชีพเป็นคนฆ่าเนื้อขาย ครั้นทำกาลกิริยาตายแล้ว ก็ตกนรกหมกไหม้อยู่เป็นเวลานานนักหนา เมื่อหมด กรรมพ้นจากแดนนรกแล้ว เศษกรรมยังมี จึงต้อง มาเกิดเป็นเปรตมีขนเป็นหอก และถูกขนจัญไรแห่งตน ประทุษร้ายเอาตลอดเวลา ได้เสวยทุกขเวทนา อันน่าทุเรศเห็นปานนั้น

    เปรตมีขนเป็นลูกธนู คราวหนึ่ง องค์อรหันต์ท่านพระมหาโมคคัลลานเถระ ผู้มีทิพยจักษุ ได้เห็นเปรตบุรุษมีขนเป็นลูกธนู ลอยอยู่ในเวหาส ขนลูกธนูของเขา ได้หลุดกระเด็น ลอยออกไปจากตัว แล้วก็กลับตกลงมาถูกต้องตัวเขา อยู่ตลอดเวลา เขาก็ได้แต่ส่งเสียงร้องครวญคราง อยู่อย่างเจ็บปวด เป็นที่น่าแปลกประหลาดเป็นยิ่งนัก สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสเล่าประวัติเปรตตนนี้ ว่า ในชาติก่อน เปรตผู้มีขนเป็นลูกธนูนี้ เขาเกิดเป็นมนุษย์ ผู้มีใจบาปหยาบช้า มีอาชีพเป็นเพชฌฆาตฆ่าคนอยู่ใน พระนครราชคฤห์นี้เอง เมื่อแตกกายทำลายขันธ์แล้ว ก็ตกนรกหมกไหม้อยู่ในนรกสิ้นกาลช้านาน ครั้นหมด กรรมพ้นจากแดนนรกแล้ว เศษกรรมยังมี จึงต้องมาเกิด เป็นเปรตมีขนเป็นลูกธนู และถูกขนจัญไรแห่งตน ประทุษร้ายตลอดเวลา ได้เสวยทุกขเวทนาอันน่าทุเรศ เห็นปานนั้น

    เปรตมีขนเป็นปฏัก คราวหนึ่ง องค์อรหันต์ท่านพระมหาโมคคัลลานเถระ ผู้มีทิพยจักษุ ได้เห็นเปรตบุรุษมีขนเป็นปฏัก ลอยอยู่ ในเวหาส ขนปฏักของเขาได้ลอยกระเด็นออกไปจาก ตัวแล้ว ก็กลับตกลงมาถูกต้องตัวเขาอีกอยู่ตลอดเวลา เขาก็ได้แต่ร้องครวญครางอย่างเจ็บปวดรวดร้าว สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสเล่าประวัติ เปรตตนนี้ว่า ในชาติก่อน เปรตผู้มีขนเป็นปฏักนี้ เขาเกิดเป็นมนุษย์ มีอาชีพเป็นคนฝึกม้า ใช้ปฏักทิ่มแทงม้าและบางทีก็ แทงม้าตายคาปฏัก เมื่อแตกกายทำลายขันธ์แล้ว ก็ตกนรกหมกไหม้อยู่สิ้นกาลช้านาน ครั้นหมดกรรม จากแดนนรกแล้ว เศษกรรมยังมี จึงต้องมาเกิดเป็น เปรตมีขนเป็นปฏักและถูกขนจัญไรแห่งตนประทุษร้าย เอาตลอดเวลา ได้เสวยทุกขเวทนาอันน่าทุเรศ เห็นปานนั้น

    เปรตมีขนเป็นเข็ม คราวหนึ่ง องค์อรหันต์ท่านพระมหาโมคคัลลานเถระ ผู้มีทิพยจักษุ ได้เห็นเปรตบุรุษมีขนเป็นเข็ม ลอยอยู่ ในเวหาส ขนเข็มของเขาได้ลอยกระเด็นออกไปจาก ตัว แล้วกลับตกลงมาแทงเข้าไปที่ศีรษะแล้วออกทาง ปาก แทงเข้าไปในปากแล้วออกทางอก แทงเข้าไป ในอกแล้วออกทางท้อง แทงเข้าไปในท้องแล้วออก ทางขาอ่อน แทงเข้าไปที่ขาอ่อนแล้วออกทางแข้ง แทงเข้าไปในแข้งแล้วออกทางเท้า เขาก็ได้แต่ส่งเสียง ร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดเป็นยิ่งนัก สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสเล่าประวัติเปรต ตนนี้ว่า ในชาติก่อน เปรตมีขนเป็นเข็มนี้ เกิดเป็นมนุษย์ เป็นผู้มีวาจาไม่บริสุทธิ์ ประพฤติทุจริตทางวาจา คือ กล่าวส่อเสียดคนอื่นเป็นประจำ เมื่อแตกกาย ทำลายขันธ์ถึงแก่ความตายแล้ว ก็ตกนรกหมกไหม้ อยู่สิ้นกาลช้านาน ครั้นหมดกรรมพ้นจากแดนนรก แล้ว เศษกรรมยังมี จึงต้องเกิดมาเป็นเปรตมีขนเป็น เข็ม และถูกขนจัญไรแห่งตนประทุษร้ายเอาตลอดเวลา ได้เสวยทุกขเวทนาน่าทุเรศเห็นปานนั้น

    เปรตอัณฑภารี คราวหนึ่ง องค์อรหันต์ท่านพระมหาโมคคัลลานเถระ ผู้มีทิพยจักษุ ได้เห็นเปรตบุรุษมีอัณฑะใหญ่เท่าหม้อ ลอยอยู่ในเวหาส เปรตนั้น เมื่อเดินไปในอากาศ ก็แบกอัณฑะไว้บนบ่าอยู่ตลอดเวลา เมื่อจะนั่ง ก็นั่งทับอัณฑะอันใหญ่ของตนนั้น แล้วถูกแร้งบ้าง กาบ้าง นกตะกรุมบ้างตามจิกตามทึ้งอยู่มากมาย เปรตบุรุษนั้น ก็ได้แต่ส่งเสียงร้องครวญคราง ด้วยความเจ็บปวดเป็นยิ่งนัก สมเด็จพระผู้มี พระภาคเจ้าได้ตรัสเล่าประวัติเปรตตนนี้ว่า ในชาติก่อน เปรตผู้มีอัณฑะใหญ่นี้ เกิดเป็นมนุษย์ มีอาชีพเป็นผู้พิพากษาตัดสินอรรถคดีโกง เมื่อแตกกาย ทำลายขันธ์แล้ว ก็ตกนรกหมกไหม้อยู่สิ้นกาลช้านาน ครั้นหมดกรรมพ้นจากแดนนรกแล้ว เศษกรรมยังมี จึงต้องมาเกิดเป็นเปรตมีอัณฑะใหญ่และถูกแร้งกา นกตะกรุมรุมจิกทึ้งอยู่ตลอดเวลา ได้เสวยทุกขเวทนา อันน่าทุเรศเห็นปานนั้น

    เปรตในหลุมคูถ สมัยหนึ่ง องค์อรหันต์ท่านพระมหาโมคคัลลานเถระ ผู้มีทิพยจักษุ ได้เห็นเปรตบุรุษจมอยู่ในหลุมคูถ จนมิดศีรษะ เป็นที่น่าอัศจรรย์ที่สุด สมเด็จพระมิ่งมงกุฏสัมมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตรัสเล่าประวัติเปรต ตนนี้ว่า ในชาติก่อน เปรตผู้อยู่ในหลุมคูถนั้นเกิดเป็นมนุษย์ ผู้ประพฤติกามมิจฉา คือประพฤติผิดในทางกาย เป็นชู้กับภรรยาของผู้อื่น เมื่อตายแล้ว ได้ไปเกิด เป็นสัตว์นรก เสวยทุกข์โทษสิ้นกาลช้านาน ครั้นหมด กรรมพ้นจากขุมนรกแล้ว เศษกรรมชั่วยังมี จึงต้อง มาเกิดในเปตติวิสัยภูมิ เป็นเปรตอยู่ในหลุมคูถ ต้องทนทุกข์เห็นปานนั้น

    เปรตกินคูถ คราวหนึ่ง องค์อรหันต์ท่านพระมหาโมคคัลลานเถระ ผู้มีทิพยจักษุ ได้เห็นเปรตบุรุษผู้จมอยู่ในหลุมคูถ ใช้มือทั้งสองกอบโกยกินคูถอยู่ตลอดเวลา เป็นที่น่า อัศจรรย์เป็นที่สุด สมเด็จพระมิ่งมงกุฏสัมมาสัมพุทธ เจ้า ได้ตรัสเล่าประวัติเปรตตนนี้ว่า ในชาติก่อนเขาเกิดเป็นมนุษย์ในวรรณะพราหมณ์ มีความคิดอันลามก นิมนต์พระภิกษุสงฆ์ในพระศาสนา ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก่อน เพื่อให้ไป ฉันภัตตาหารที่เรือนของตนแล้ว ปรารถนาจะแกล้ง เยาะเย้ย เมื่อพระภิกษุสงฆ์มายังเรือนตนตามคำนิมนต์ แล้ว จึงเอาคูถใส่จนเต็มรางแล้วใช้ให้คนไปบอกแก่ พระภิกษุสงฆ์ว่า "ท่านเจ้าขา ขอท่านทั้งหลายจงพากันฉันคูถ และจงนำ เอาไปให้พอแก่ความต้องการเถิด" เมื่อเขาดับขันธ์สิ้นชีวิตแล้ว ได้ไปเกิดเป็นสัตว์นรก เสวยทุกข์โทษสิ้นกาลช้านาน ครั้นหมดกรรมพ้นจาก ขุมนรกแล้ว เศษกรรมชั่วยังมี จึงต้องมาเกิดเป็นเปรต กินคูถอยู่เช่นนั้น

    เปรตหญิงไม่มีผิวหนัง สมัยหนึ่ง องค์อรหันต์ท่านพระมหาโมคคัลลานเถระ ผู้มีทิพยจักษุ ได้เห็นเปรตหญิงตนหนึ่ง ซึ่งไม่มีผิวหนัง ลอยอยู่ในเวหาส เหล่าแร้งบ้าง กาบ้าง นกตะกรุมบ้าง ต่างโผถลารุมตามจิกทึ้งอยู่ตลอดเวลา
     
  2. yut2u

    yut2u เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    93
    ค่าพลัง:
    +464
    [​IMG]
     
  3. countdown

    countdown เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,016
    ค่าพลัง:
    +3,165

แชร์หน้านี้

Loading...