ธรรมะกับชีวิตประจำวัน

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย Jeerachai_BK, 8 พฤศจิกายน 2009.

  1. Jeerachai_BK

    Jeerachai_BK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    318
    ค่าพลัง:
    +821
    หลักแห่งการปฏิบัติธรรม ๕ ประการ
    ๑. ศีล ด้วยการทำตนให้สงบ ระวังความชั่วทางกาย-ใจ
    ๒. สมาธิ ต้องฝึกจิต อบรมจิตให้ระงับความวิตกฟุ้งซ่าน
    ๓. ปัญญา ต้องศึกษาลักษณะจิตด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องในหลักแห่งความจริง
    ๔. วิมุตติ ต้องเข้าใจลักษณะแห่งจิต ที่พ้นจากเพลิงทุกข์ ว่าเป็นอย่างไร
    ๕. วิมุตติญาณทัสสนะ ต้องศึกษาถึงความรู้จักตน ว่าอย่างไรจึงรู้แน่ถึงกายสุจริต วจีสุจริตต มโนสุจริต

    หัวใจสำคัญของพระพุทธศาสนา ๓ ประการ ได้แก่
    ๑. ไม่ทำความชั่วทั้งปวง
    ๒. ทำความดีให้ถึงพร้อม
    ๓. ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่องใส

    พระพุทธเจ้าทรงแสดงสิ่งนี้แก่พระอริยสงฆ์จำนวน ๑๒๕๐ รูป ที่ต่างมาประชุมโดยพร้อมเพรียงกัน โดยมิได้นัดหมาย ในวันเพ็ญเดือน ๓ (วันมาฆบูชา) เรียกว่า "โอวาทปาติโมกข์" อันถือเป็นข้อธรรมที่เป็นประธานของคำสอนทั้งหลาย

    สัปปุริสธรรม ๘ หรือธรรมของสัตบุรุษ (คุณสมบัติของคนดี)
    ๑. มีสัทธรรม ๗ ประการ คือ
    ๑.๑ มีศรัทธา
    ๑.๒ มีหิริ
    ๑.๓ มีโอตตัปปะ
    ๑.๔ เป็นพหูสูต
    ๑.๕ มีความเพียรอันปรารภแล้ว

    ๑.๖ มีสติมั่นคง
    ๑.๗ มีปัญญา
    ๒. ภักดีสัตบุรุษ หรือการคบหาสมณพราหมณ์ที่มีคุณธรรมข้างต้นเป็นมิตร (สัปปุริสภัดดี)
    ๓. คิดอย่างสัตบุรุษ คือไม่เบียดเบียนคนอื่น (สัปปุริสจินดี)
    ๔. ปรึกษาอย่างสัตบุรุษ (สัปปุริสมันดี)
    ๕. พูดอย่างสัตบุรุษ ถูกต้องตามวจีสุจริต (สัปปุริสวาโจ)
    ๖. ทำอย่างสัตบุรุษ ถูกต้องตามกายสุจริต (สัปปุริสกัมมันโต)
    ๗. มีความความเห็นอย่างสัตบุรุษ มีสัมมาทิฏฐิ (สัปปุริสทิฏฐิ)
    ๘. ให้ทานอย่างสัตบุรุษ ตามหลักสัปปุริสทาน (สัปปุริสทานัง เทติ)

    ฆราวาสธรรม ๔
    คือธรรมสำหรับการครองเรือนในชีวิตของบุคคลทั่วไป ได้แก่
    ๑. สัจจะ คือพูดจริง ทำจริง และซื่อตรง
    ๒. ทมะ คือฝึกหัด แก้ไข และปรับปรุง
    ๓. ขันติ คืออดทน ตั้งใจ และขยัน
    ๔. จาคะ คือเสียสละ

    ธรรมคุ้มครองโลกมี ๒ อย่าง คือ
    ๑. หิริ คือความละอายใจในการทำบาป
    ๒. โอตตัปปะ คือความเกรงกลัวผลของการทำชั่ว

    อิทธิบาท ๔ หรือธรรมที่ช่วยให้สำเร็จในสิ่งที่ประสงค์ได้แก่
    ๑. ฉันทะ คือความพอใจรักใคร่
    ๒. วิริยะ คือความเพียร
    ๓. จิตตะ คือเอาใจฝักใฝ่ ไม่วางธุระ
    ๔. วิมังสา คือหมั่นตริตรอง พิจารณาเหตุผล

    สัมมัปปาธาน ๔
    ๑. พยายามเพื่อจะไม่ให้เกิดอกุศลกรรม คือบาปเกิดในตน
    ๒. พยายามเพื่อจะละอกุศลธรรม คือบาปที่เคยเกิดขึ้นแล้วในตน
    ๓. พยายามเพื่อจะเจริญกุศลธรรม คือบุญให้มีในตน
    ๔. พยายามเพื่อรักษากุศลธรรม คือบุญที่เกิดขึ้นแล้วในตนให้มีอยู่

    ข้อแรกคือให้ระวังทวารหก คือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ข้อที่เหลือคือต้องขับไล่ของเก่า คืออย่าไปแยแส ไม่ต้องรำพึง เพียงแต่เจริญสติ

    เมื่อพระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้แล้ว ได้แสดงปฐมเทศนาโปรดแก่ปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ (ผู้ที่เคยอุปัฏฐากปรนนิบัติพระองค์มา ได้แก่ โกณทัญญะ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ และอัสสชิ) เป็นครั้งแรก มรรคอันมีองค์ ๘ นี้เป็นข้อปฏิบัติแบบสายกลาง (มัชฌิมาปฏิปทา) ที่ทรงโปรดแก่เหล่าปัญจวัคคีย์

    มรรคมีองค์ ๘ ได้แก่
    ๑. สัมมาทิฏฐิ คือมีปัญญาอันเห็นชอบ ได้แก่ การเห็นในอริยสัจ ๔ คือ
    - ทุกข์
    - เหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ (สมุทัย)
    - ความดับทุกข์ (นิโรธ)
    - ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ (มรรค)
    ๒. สัมมาสังกัปปะ คือดำริชอบ ได้แก่
    - ดำริที่จะออกจากกาม (เนกขัมมะ)
    - ดำริในการไม่พยาบาทปองร้ายผู้อื่น
    - ดำริในการไม่เบียดเบียนผู้อื่น
    ๓. สัมมาวาจา คือเจรจาชอบ ได้แก่ การเว้นจากวจีทุจริต ๔ คือไม่ประพฤติชั่วทางวาจา อันได้แก่
    - ไม่พูดเท็จ (มุสาวาทา)
    - ไม่พูดส่อเสียด ยุยงให้เขาแตกร้าวกัน (ปิสุณาย วาจาย)
    - ไม่พูดคำหยาบคาย (ผรุสาย วาจาย)
    - ไม่พูดเพ้อเจ้อเหลวไหลไร้สาระ (สัมผัปปลาปา)
    ๔. สัมมากัมมันตะ คือทำการงานชอบโดยประกอบการงานที่ไม่ผิดประเพณี ไม่ผิดกฏหมาย ไม่ผิดศีลธรรม และเว้นจากการทุจริต ๓ อย่าง ได้แก่
    - การเบียดเบียนฆ่าสัตว์ตัดชีวิต (ปาณาติบาต)
    - การลักขโมย และฉ้อฉลคดโกง แกล้งทำลายผู้อื่น (อทินนาทาน)
    - การประพฤติผิดในกาม (กาเมสุมิจฉาจาร)
    ๕. สัมมาอาชีวะ คือเลี้ยงชีวิตชอบ ได้แก่ การเว้นจากการเลี้ยงชีพในทางที่ผิด การประกอบสัมมาอาชีพคือ
    - เว้นจากการค้าขายเครื่องประหารมนุษย์และสัตว์
    - เว้นจากการค้าขายมนุษย์ไปเป็นทาส
    - เว้นจากการค้าสัตว์สำหรับฆ่าเป็นอาหาร
    - เว้นจากการค้าขายน้ำเมา
    - เว้นจากการค้าขายยาพิษ
    ๖. สัมมาวายามะ คือมีความเพียรชอบ ๔ ประการ ได้แก่
    - เพียรระวังมิให้บาปหรือความชั่วเกิดขึ้น
    - เพียรละบาปหรือความชั่วที่เกิดขึ้นแล้ว
    - เพียรทำกุศลหรือความดีให้เกิดขึ้น
    - เพียรรักษากุศลหรือความดีที่เกิดขึ้นแล้วให้คงอยู่
    ๗. สัมมาสติ คือระลึกชอบ ได้แก่ การระลึกวิปัฏฐาน ได้แก่ การระลึกในกาย เวทนา จิต และธรรม ๔ ประการคือ
    - พิจารณากาย ระลึกได้เมื่อรู้สึกสบายหรือไม่สบาย พิจารณาลมหายใจเข้าออก
    - พิจารณาเวทนา ระลึกได้เมื่อรู้สึกสุข หรือทุกข์ หรือเฉยๆ มีราคะ โทสะ โมหะหรือไม่
    - พิจารณาจิต ระลึกได้ว่าจิตกำลังเคร้าหมองหรือผ่องแผ้ว รู้เท่าทันความนึกคิด
    - พิจารณาธรรมให้เกิดปัญญา ระลึกได้ว่าอารมณ์อะไรกำลังผ่านเข้ามาในใจ
    ๘. สัมมาสมาธิ คือตั้งใจชอบ ทำจิตให้สงบระงับจากกิเลส เครื่องเศร้าหมอง ให้มีอารมณ์แน่วแน่เป็นอันเดียว เพื่อให้จิตจดจ่อ ไม่ฟุ้งซ่าน หาอารมณ์อันไม่มีโทษให้จิตยึด จะได้ไม่พร่าไปหลายทาง ได้แก่ การเจริญฌานทั้ง ๔ คือ
    - ปฐมฌาน หรือฌานที่ ๑
    - ทุติยฌาน หรือฌานที่ ๒
    - ตติยฌาน หรือฌานที่ ๓
    - จตุตถฌาน หรือฌานที่ ๔

    สัปปุริสทาน ๘ หรือทานของสัตบุรุษ
    ๑. ให้ของสะอาด
    ๒. ให้ของประณีต
    ๓. ให้เหมาะกาลเวลา
    ๔. ให้ของที่ควรให้
    ๕. พิจารณาเลือกให้ด้วยวิจารณญาณ
    ๖. ให้สม่ำเสมอ
    ๗. เมื่อให้ มีจิตใจผ่องใส
    ๘. ให้แล้ว มีความเบิกบานใจ

    เคล็ดลับการเป็นพหูสูต ๕ อย่าง
    ๑. ฟังมาก หรือศึกษาเล่าเรียนมาก
    ๒. จำมาก คือหมั่นสังเกตจดจำสิ่งต่างๆ ที่เห็นมา เรียนมา
    ๓. ท่องจนคล่องขึ้นใจ คือจำได้โดยไม่ต้องนึกคิด
    ๔. เจนใจ คือการคิดจนสร้างมโนภาพในใจขึ้นได้ทันที
    ๕. ทะลุปรุโปร่ง คือนำข้อมูลที่ได้ศึกษามาพิจารณาเป็นข้อสรุป อธิบายต้นสายปลายเหตุได้อย่างถูกต้อง

    อานิสงส์ในการฟังธรรม ๕ ประการ ได้แก่
    ๑. ย่อมได้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง
    ๒. สิ่งที่ได้ฟังแล้ว ย่อมชัดเจนแจ่มแจ้งขึ้น
    ๓. บรรเทาความสงสัยเสียได้
    ๔. ทำความเห็นให้ตรง
    ๕. จิตของผู้ฟังย่อมผ่องใส

    โอวาท ๑๐ ประการ ในการเป็นแม่ศรีเรือน
    ๑. ไฟในอย่านำออก หมายถึงไม่ควรนำความลับหรือเรื่องไม่ดีงามภายในครอบครัวไปบอกเล่าให้คนภายนอกได้รับรู้
    ๒. ไฟนอกอย่านำเข้า หมายถึงไม่ควรนำคำนินทาว่าร้าย เสียดสีด้วยความอิจฉาริษยา จากบุคคลภายนอกมาสู่ครอบครัว อันจะเป็นเหตุให้เกิดเรื่องไม่ดีงามและความบาดหมาง
    ๓. พึงให้แก่คนที่ให้ หมายถึงควรมีน้ำใจไมตรีตอบแทน
    คนที่เคยเกื้อหนุนเอื้อเฟื้อ หรือเมื่อมีผู้มาหยิบยืมข้าวของเงินทอง ควรให้แก่คนที่นำมาคืนเท่านั้น
    ๔. พึงอย่าให้แก่คนที่ไม่ให้ หมายถึงไม่ควรทำใจกว้างหรือทำหน้าใหญ่ใจโตแก่คนที่ไม่เคยเกื้อหนุนเือื้อเฟื้อมีน้ำใจ หรือไม่ควรให้แก่ผู้ที่เคยหยิบยืมแล้วไม่นำมาคืน
    ๕. พึงให้แก่คนที่ให้และไม่ให้ หมายถึงการสงเคราะห์ญาติและมิตรสหาย แม้เขาจะนำมาคืนหรือไม่ก็ตาม เมื่อเห็นว่าเป็นการสมควร หรือเขาเป็นคนดีที่ควรแก่การเกื้อหนุนอนุเคราะห์ ก็ควรให้
    ๖. พึงนั่งให้เป็นสุข การนั่งในที่อันเหมาะอันควร ไม่เกะกะขวางทาง ไม่ต้องคอยลุกหลีกเมื่อพ่อสามีหรือผู้ใหญ่เดินผ่าน และนั่งเมื่อจัดการงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว
    ๗. พึงนอนให้เป็นสุข หมายถึงควรนอนทีหลังพ่อสามีแม่สามี และสามีได้เข้านอนแล้ว คือต้องตรวจดูข้าวของ กลอนประตูหน้าต่าง และฟืนไฟ ให้เรียบร้อย ทั้งจัดแจงข้าวของที่จำเป็นสำหรับหุงหาหรือใช้สอยในวันรุ่งขึ้นให้พร้อมมูลครบครัน จึงจะถือได้ว่าเป็นแม่บ้านแม่เรือนที่ดี
    ๘. พึงกินให้เป็นสุข หมายถึงควรจัดข้าวปลาอาหารสำหรับพ่อสามีแม่สามีรวมทั้งสามีและบุตรให้เป็นที่เรียบร้อย
    ๙. พึงบูชาไฟ หมายถึงการให้ความเคารพยำเกรงสามีและบิดามารดาของสามี ตลอดจนญาติผู้ใหญ่
    ๑๐. พึงบูชาเทวดา หมายถึงให้นับถือบิดามารดาของสามีและบรรพบุรุษ

    (ผมเห็นว่าธรรมข้อสุดท้ายนี้ อาจไม่จำเพาะสำหรับแม่บ้านแม่เรือน บุคคลในบ้านเรือนควรพึงพิจารณา)


    ที่มา:
    - watchari.com
    - ศาลาธรรม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 พฤศจิกายน 2009
  2. Darawun

    Darawun Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    17
    ค่าพลัง:
    +52
    _/l\_ขอบคุณสำหรับวิทยาทานค่ะ ขอผลบุญนี้ส่งให้ คุณ Jeerachai_BK
    ไปถึงซึ่งพระนิพพานในเร็ววันนี้นะคะ ^_^
     

แชร์หน้านี้

Loading...