ประวัติ-ธรรมะ ลป.แหวน สุจิณโณ

ในห้อง 'หลวงปู่แหวน' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 15 ตุลาคม 2009.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ๑๖๒. เกี่ยวกับการทำน้ำมนต์

    ความจริงแล้ว หลวงปู่แหวน เช่นเดียวกับพระในสาย หลวงปู่มั่น ถูริทตฺโต ไม่ได้สนใจ เรื่องการปลุกเสกวัตถุสิ่งของ การทำน้ำมนต์รวมทั้งพิธีกรรมต่างๆ แต่ท่านก็อนุโลมเพื่อเป็นการ สงเคราะห์ญาติโยม ที่เขายังต้องการอยู่เท่านั้น ท่านสนใจเรื่องการปฎิบัติภาวนาเพื่อหาทาง พ้นทุกข์มากกว่า

    ถ้าว่าถึงคาถาที่หลวงปู่ท่่านใช้ในการทำน้ำมนต์นั้น ท่านมักใช้บท มงคลจักรวาฬน้อย ที่อัญ เชิญมาเสนอท้ายตอนนี้
    สมัยที่หลวงปู่แหวน ยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก เวลาที่ชาวบ้านเอาน้ำมาถวาย ขอให้ท่านเสกให้ เช่นเขาจะบอกว่าคนนั้น คนนี้ จะคลอดหรือคนนั้นคนนี้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ขอให้หลวงปู่เสก น้ำมนต์ให้ด้วย

    บางครั้งหลวงปู่ก็พูดในทำนองขบขันว่า "เออเวลาอย่างหนึ่งเขาก็ไม่บอกเรา เวลาจะคลอด จึงมาบอกเรา ทำให้ลำบากพระเจ้าพระสงฆ์ แทนที่จะไปหาหมอที่โรงพยาบาล"

    เวลาหลวงปู่เสกน้ำมนต์ ท่่านใช้บทมงคลจักรวาฬน้อย ตามที่กล่าวข้างต้น โดยจะว่าดังๆ ให้ได้ยิน ดังนี้ :-


    สัพพะพุทธานุภาเวนะ สัพพะธัมมานุภาเวนะ สัพพะสังฆานุภาเวนะ พุทธะระตะนัง ธัมมะระตะนัง สังฆะระตะนัง ติณนัง ระตะนานัง อานุภาเวนะ จะตุราสีติสะหัสสะธัมมักขันธานุภา เวนะ ปิฎะกัตตะยานุภาเวนะ ชินะสาวะกานุภาเวนะ สัพเพ เต โรคา สัพเพ เต ภะยา สัพเพ เต อันตะรายา สัพเพ เต อุปัททะวา สัพเพ เต ทุนนิมิตตา สัพเพ เต อะวะมังคะลา วินัสสันตุ, อายุวัฑฒะโก ธะนะวัฑฒะโก สิระวัฑฒะโก ยะสะวัฑฒะโก พะละวัฑฒะโก วัณณะวัฑฒะโก สุขะวัฑฒะโก โหตุ สัพพะทา.

    ทุกขะโรคะภะยา เวรา โสกา สัตตุ จุปัททะวา, อะเนกา อันตะรายาปิ วินัสสันตุ จุปัททะวา, ชะยะสิทธิ ธะนัง ลาภัง โสตถิ ภาคยัง สุขัง พะลัง, สิริ อายุ จะวัณโณ จะ โภคัง วุฑฒิ จะ ยะสะวา, สะตะวัสสา จะ อายุ จะ ชีวะสิทธิ ภะวันตุ เต

    ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา, สัพพะพุทธานุภาเวนะ สะทา โสตถิ ภะวันตุ เต.

    ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา, สัพพะธัมนุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เต,

    ภาวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา สัพพะสังฆานุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เต.

    เ้อ้า หายโรคหายภัย อายุมั่นขวัญยืน.
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ๑๖๓. หลวงปู่ผู้ไม่มีอดีตและเรื่องหูทิพย์ตาทิพย์

    มีคำถามว่า เมื่อหลวงปุ่แหวน ท่านมาอยู่ที่เชียงใหม่แล้ว ไม่มีใครมานิมนต์ท่านกลับไป จังหวัดเลย บ้านเกิดของท่านบ้างหรือ มีเขียนอยุ่ในหนังสือลานโพธิ์ว่า :-


    ... คณะญาติโยมทางจังหวัดเลย ก็ต้องการนิมนต์ให้หลวงปู่กลับไปพำนักที่จังหวัดเลย คณะที่ ไปนิมนต์ มีพระอาจารย์ซามา หลวงปูตื้อ หลวงปุ่สิม แต่หลวงปู่แหวน ตอบปฎิเสธ โดยท่านขอยึด เอาจัีงหวัดเชียงใหม่เป็นที่ปฎิบัติธรรมจวบจนวาระสุดท้าขของชีวิต และอีกตอนหนึ่งว่า :-

    ... แต่หลวงปู่ เป็นผู้ซึ่งได้สละแล้วทุกอย่าง ไม่อาลัยอาวรณ์ในสิ่งใดๆทั้งสิ้น แม้อดีตที่ผ่านมา หลวงปู่ เคยบอกกับผู้ที่เีคยไปอ้อนวอนนิมนต์กลับจังหวัดเลยว่า ท่านเป็นผู้ไม่มีบ้าน ไม่มีญาติ ท่านมีแต่วัด ชีวิตของท่านได้ถวายเพื่อพระพุทธศาสนา โดยหมดสิ้นแล้ว ท่านไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต นอกจากปัจจุบัน

    หลวงปู่มักจะสอนให้คนรู้จักคิดว่า ไม่ควรจะอาวรณ์แต่ในอดีต ควรจะนึกถึงแต่ปัจจุบัน และวางแผนงานในอนาคต ชีวิตจะได้ก้าวหน้า และรุ่งเรือง

    อีกคำถามหนึ่ง มีว่า ถ้าเช่นนั้น หมายความว่า หลวงปู่แหวน ตัดขาดจากญาติพี่น้อง โดยสิ้นเชิง ใช่ไหม ?

    ขอให้ท่านผู้อ่านได้พิจารณาเอาเองจากบทความต่อไปนี้ ซึ่งเป็นจดหมายของ คุณมนตรี ราม ศิริ ลูกหลานหลวงปู่แหวน เขียนในขณะมีตำแหน่งเ็ป็นเกษตรอำเภอเชียงคาร ได้นำลงใน นิตยสารโพธิญาณ ฉบับที่ ๒๓

    ... ในจดหมายบอกว่า มีลูกหลานของหลวงปู่ ที่จังหวัดเลยได้พากันไปกราบหลวงปู่ ที่วัดดอย แม่ปั๋ง เป็นการเดินทางมาเชียงใหม่คร้งแรก ต้องถามเส้นทางคนเชียงใหม่ไปเรื่อย จึงด้นดั้นไปถูก

    คณะลูกหลานท่านนับว่าโชคดี เป็นโอกาสเหมาะจึงได้เข้ากราบหลวงปู่พอดี สมดัง ใจปราถนา เมื่อหลวงปู่รู้ว่าเป็นลูกหลานมาจากจังหวัดเลย ท่านก็เอ่ยปากถามว่า "แม่แกถูกตะขาบกัด เจ็บมากหรือ ?"

    ทำเอาเหลนๆ ทั้งสามคนงุนงงยิ่ง เพราะก่อนเดินทางมากราบหลวงปู่ แม่ของพวกเขาถูก ตะขาบกัดเอาเจ็บปวดมากถึงกับร้องครวญครางทั้งคืน ไม่ได้หลับได้นอน ! แล้วท่านผู้อ่านเชื่อไหมครับว่า เรื่องหูทิพย์ตาทิพย์ มีจริง ?

    ในจดหมายของคุณมนตรี ลงท้ายว่าอย่างนั้น มาพิจารณาในแง่ที่หลวงปู่บอกว่า "เฮาบอมีอดีต บ่มีบ้าน บ่มีญาติมิตร" ก็น่จะหมายความว่า ท่านไม่ติดยึดในเรื่องเหล่านี้ แต่ถ้าต้องการรู้เรื่องอะไร ก็สามารถกำหนดจิตรู้ได้ในทันที

    เรื่องนี้หลวงปู่ไ่ม่ได้โอ้อวด ท่านคงถามด้วยความจริงใจ ซึ่งก็ทำให้เหลนๆ ของท่านแปลกใจ แล้วเล่าบอกต่อกันไป คงไม่ให้ใครงมงาย

    เรื่องราวเกี่ยวกับหูทิพย์ ตาทิพย์ ของหลวงปุ่แหวน มีมากมาย เ่ล่ากันไม่รู้จักหมดสิ้นอย่าง แน่นอน
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ๑๖๔. สสิปัญญาท่านแหลมคมยิ่งนักกับเรื่้องของหลวงปู่หนู

    เรื่องนี้ ท่านพระครูวิบุลศีลวงศ์ วัดสัมพันธวงศ์ กรุงเทพๆ ได้เล่าให้ลูกศิษย์คณะโพธญาณ ฟังดังนี้ :-

    เมื่อก่อนนี้สมัยที่ท่า่น (พระครูๆ) เดินทางไปหาหลวงปู่แหวน ที่วัดดอยแม่ปั๋งใหม่ๆ ระยะแรกๆ นั้นท่านเองก็มีความรู้สึกที่ตื่นเต้น ในวัตถุมงคลหลวงปุ่แหวนมาก แต่ต่อมาภายหลัง เมื่อมีโอกาสได้สนทนาธรรมกับหลวงปุ่บ่อยเข้า ท่านกล่าวว่า สติปัญญาของหลวงปุ่แหวนนั้น แหลมคมยิ่งนัก ถ้าใครไปถามท่านในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง ก็อาจจะโดนท่านย้อนจนพูดไม่ออกบอก ไม่ได้ทีเดียว

    ท่านพระครูๆ เองก็เคยโดนปลวงปู่ ท่านย้อนเอาบ่อยๆ หรือแม้แต่หลวงปู่หนู สุจิตฺโต เอง ก็โดนหลวงปู่ย้อนเอาบ่อยๆ เหมือนกัน แต่ทั้งหลวงปุ่แหวน และหลวงปู่หนู นี้ เหมือนดังกับจะรู้ที กันอยู่ในเชิงสติปัญญา ถ้อยทีถ้อยย้อนกันไปย้อนกันมา ก่อนหน้าที่หลวงปู่หนู จะไปรับหลวงปุ่แหวน จากบ้านปงมาอยุ่ทีวัดดอยแม่ปั๋ง หลวงปุ่แหวน ท่านบอกเอาไว้ว่า ท่านจะขออยู่ภาวนาเงียบๆ องค์เดียว โดยไม่ยุ่งเกี่ยวกับใครทั้งสิ้น และภาระต่างๆ อย่าเอามาให้ท่าน


    เมื่อตกลงกันดังนี้แล้ว หลวงปุ่ผุ้เฒ่า ท่านจึงยินยอมมาอยู่ที่พำนักภาวนาที่วัด ดอยแม่ปั๋งแห่งนี้

    เวลาล่วงผ่านไป ชื่อเสียงเกียรติคุณของหลวงปู่ผู้เฒ่าโด่งดังออกไป ผู้คนทั้งใกล้และไกล พากันเดินทางไปหาหลวงปุ่ ที่วัดดอยแม่ปั๋งอย่างเนืองแน่น

    หลวงปู่ผุ้เฒ่า นั้นแม้ว่าสังขารร่างกายของท่านจะไม่แข็งแรงดีนัก แต่ท่านก็อุตสาห์เดินทาง จากกุฎิออกมาให้สาธุชนได้พบได้นมัสการทุกวัน ทั้งเช้าและกลางวัน แต่ก็ยังไม่เพียงพอ

    หลวงปุ่แหวนนั้น ท่่านมีข้อตกลงกับหลวงปู่หนูอยู่ว่า ท่านจะขออยู่อย่างพระผู้ปฎิบัติธรรม แต่เมื่อเวลาคณะศรัทธาที่ไปพบท่าน ต่างก็วุ่นวายจะต้องขอไปกราบบนหลังเท้าของท่านบ้าง คนโน้นก็จะจับจีวรของท่านมาเช็ดหน้าบ้าง คนนี้ก็จะดึงมือท่่านมาลูบศีรษะของตัวเองบ้าง ทำให้ เกิดความโกลาหล จนหลวงปู่ท่านเซจะล้มก็หลายครั้งหลายหน เวลาหลวงปุ่ แผ่เมตตาให้แล้ว ไปรับเอาของคืน ก็แย่งชิงกันจนข้าวของหายก็มี ลักษณะเช่นนี้ เป็นความวุ่นวายที่หลวงปู่ท่า่นปรารภอยู่เสมอ หลวงปู่จึงจำกัดตัวเอง พอเสร็จกิจที่ต้องทำข้างนอกแล้วก็ปิดประตูใส่กลอน ห้ามใครเข้าไอีก

    ชาวคณะที่ต่างก็เดินทางไปหาท่านถึงวัดดอยแม่ปั๋ง เมื่อไม่ได้พบท่าน ก็วุ่นวายทะเลาะกันเอง แล้วก็ต้องไปหา หลวงปุ่หนู ให้กราบนิมนต์หลวงปู่ ออกมาจากกุฎิ

    ระยะแรกๆ หลวงปู่ก็ออกมาทุกครั้ง แ่ต่เมื่อท่านต้องออกมาทั้งวัน เดี๋ยวออก- เดี๋ยวออก โดย ไม่มีเวลาภาวนาทำกิจของท่านเลย หลวงปุ่แหวน จึงทวงคำพูดเอากับหลวงปู่หนูว่า " ที่สัญญากันไว้นั้น เราจะมาอยู่ภาวนาปฎิบัติธรรมนะ ไม่ได้มาอยู่เพื่อวุ่นวายอย่างนี้"

    แล้วหลวงปูผู้เฒ่าก็เข้าห้อง ปิดประตูใส่กลอน ไม่ต้อนรับใครๆ แม้แต่หลวงปุ่หนู เพราะผิด สัญญา

    ชาวคณะที่ไปถึงวัดดอยแม่ปั๋ง ติดต่อหลวงปุ่หนูแล้ว แต่หลวงปุ่ท่านไม่ยอมออกมาให้พบ ก็โกรธจัด บริภาษกันทันทีว่า หลวงปู่หนูเป็นทศกัณฐ์ เป็นยักษ์เป็นมาร อย่างนั้นอย่างนี้บ้าง บางรายถึงขนาดพกมีด พกปืน พกอาวุธขึ้นไปบนดอย จะทำร้ายหลวงปู่หนู ท่าน อย่างนี้ก็มี

    เป็นอยู่เช่นนี้บ่อยครั้งเข้า ผู้ที่เข้าใจเรื่องนี้ดี ต่างก็พยายามช่วยอธิบาย ช่วยตักเตือน ช่วยแ้กไขไม่ให้เกิดเป็นบาป เป็นกรรม กับผุ้ที่ปากไว ใจไว ทั้งหลาย แต่ไม่ได้ผล

    เพราะคนเรามักจะคิดถึงประโยชน์ของตัวเอง เข้าข้างตัวเอง โดยไม่มองความเดือดร้อนของ คนอื่น

    บางคน บางคณะ แม้ว่าจะมีบุญได้พบได้กราบหลวงปู่ แล้วก็ยังอุตส่าห์ทำให้เกิดบาป เกิดกรรม ให้เป็นรอยด่างในดวงจใจของตนเองเสียอีก

    โดยสรุป หลวงปุ่หนูท่านโดนเรื่องการถูกด่า ถูกว่า ถูกโจมตี จนชาชิน ท่านโดนมากชนิดที่ ยากที่ใครจะทนทานได้ นับว่า หลวงปุ่หนู ได้บำเพ็ญขันติบารมีมาก เกินกว่าที่จะมีใครสสร้าง ได้อย่างท่านทีเดียว
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ๑๖๕. ยืนยันว่า เป็นพระอรหันต์

    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ
    เล่าเรื่องราวตอนที่พาคณะศิษย์ไปกราบหลวงปุ่แหวน ที่วัดดอยแม่ปั๋ง ซึ่งขณะนั้น หลวงปู่แหวน ท่า่นชราภาพ เกินวัย ๙๐ แล้ว และท่านกำลังเป็นไข้หวัดอยุ่

    เรื่องราวมีดังนี้ "หลวงปู่เป็นไข้หวัด ไข้มันกินตัว หรือกินใจ ? "


    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ กราบนมัสการถามเบาๆ ขนาดคนห่างออกไปสองเมตรไม่มีทางได้ยิน

    แต่หลวงปุ่แหวน ได้ยินชัดเจน ทั้งๆ ที่คนทั้งหลายยืนยันว่า หลวงปุ่แหวนหูตึง ประสาทหู ดับมานานแล้ว แต่ใจของท่านไม่ดับ จึงได้ยินด้วยใจ

    " กินแต่ตัว มันเป็นกรรม " หลวงปุ่แหวน ตอบเบาๆ เช่นกัน พอได้ยินสองคนเท่านั้น

    " หลวงปู่ทำกำไว้มาก หรือครับ ? " หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ถามเป็นนัย

    " กำไว้นิดหน่อย " หลวงปู่แหวนตอบเป็นนัยเช่นเดียวกัน ซึ่งมีความหมายว่า หลวงปู่แหวน มีเศษกรรมเหลืออยู่เล็กน้อย

    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เปิดเผยกับสานุศิษย์ ทั้งหลายในภายหลังว่า หลวงปุ่แหวน มุ่งเอาพุทธภูมิ คืออธิษฐานจิตปราถนาเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต

    แต่เมื่อครั้นหลวงปู่ตื้อ นิพพานไปได้ ๑๔ วัน พระวิญญาณหลวงปู่ตื้อ ก็มาเยี่ยมแล้วว่า " หลวงปู่แหวนจะไปพุทธภูมิ ทำไม ให้เสียเวลา ไปนิพพานเถอะน่า " หลวงปุ่แหวน ก็เลยลาพุทธภูมิ และสำเร็จกิจพระศาสนา แล้วเป็นพระอรหันต์แล้ว ยังรอแต่จะถึงวาระทิ้งสังขาร จากโลกเข้าสู่ พระนิพพานเ่ท่านั้น

    ผู้เขียน (ปฐม นิคมานนท) นำเสนอเรื่องนี้ ไม่ต้องการโน้มน้าวผู้ใด ขอให้ผู้อ่านได้พิจารณา ด้วยสติปัญญาของท่านแต่ละท่านเองครับ
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ๑๖๖. ความผูกพันระหว่างหลวงปู่แหวนกับหลวงปุ่หนู

    ข้อความต่อไปนี้ คัดลอกมาจากนิตสารโพธิญาณ ฉบับที่ ๓๓ มีดังนี้ :-


    หลวงปุ่แหวน กับ หลวงปู่หนู ท่่านมีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง เกินกว่าที่พวกเราคน ธรรมดาจะเข้าใจได้ เพียงแต่ว่า หลวงพ่อหนูไปรับเอาหลวงปู่แหวน มาปรนนิบัติดูแลที่วัด ดอยแ่ม่ปั๋ง เมื่อขณะที่หลวงปุ่หนุป่วย อยู่นั้น เพียงแค่นั้น ไม่น่าเป็นสาเหตุที่ผูกพันกันลึกซึ้ง มากมายนักเลย

    ว่ากันว่า เวลาที่หลวงปู่แหวน ท่านอาพาธ ถ้าหากหลวงพ่อหนูไม่อยู่ หลวงปุ่แหวน จะไม่ ยอมฉันยาเอาเลยทีเีดียว และตั้งแต่หลวงปู่ มาอยู่วัดดอยแม่ปั๋งแล้ว ท่านตั้งปณิธานว่า จะไม่ไปไหน อีกเลย แม้มีกิจนิมนต์ก็ไม่รับ แม้เจ็บป่วยก็ไม่ยอมไปรักษานอกวัด หมายความว่า ท่านจะอยุ่ และมรณภาพที่วัดดอยแม่ปั๋งที่่เดียว

    เหตุการณ์ที่แสดงถึงความผูกพันระหว่างหลวงปู่แหวน กับหลวงพ่อหนูมีมากมาย เมื่อครั้ง หลวงปุ่แหวนท่านล้มในห้องน้ำ ต้องเข้ารับการรักษาอยู่ในโรงพยาบาล หลวงพ่อหนู จะต้องไปนอนค้างเฝ้าหลวงปุ่ มีอยู่วันหนึ่ง หลวงพ่อหนู ต้องไปรับผ้าป่าและไปค้างที่วัดอื่น พอหลวงพ่อหนูกลับมาถึง ปรากฎว่า หลวงปุ่ ท่านเมินหน้าหนี ไม่ยอมพุดกับหลวงพ่อหนู ยาที่จัด ถวายก็ไม่ยอมฉัน หลวงพ่อหนู ต้องอธิบายอยู่นาน

    อีกครั้งหนึ่ง เมื่อหลวงปู่แหวน กลับจากโรงพยาบาลไปอยู่วัด ร่างกาย หลวงปู่ยังไม่แข็งแรง ดี ยังต้องฉันยาอยู่ เป็นช่วงออกพรรษา วัดบ้านเกิด ที่ยโยธรได้นิมนต์หลวงพ่อหนู ไปรับกฐิน ท่านเห็นว่า ดีเหมือนกัน จะได้ไปเยี่ยมบ้านสัก ๕-๖ วัน

    พอหลวงพ่อหนู ไปได้ ๒ วัน หลวงปุ่แหวน ท่านไม่เห็นหลวงพ่อหนู จึงได้ถามหา พอรู้ว่า หลวงพ่อหนู ไปโดยไม่ได้บอกท่าน (ทิ้งท่านไป) หลวงปู่ไม่ยอมพูด ไม่ฉันข้าว ไม่ฉันยา

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทได้ เสด็จมาพระราชดำเนิน ไปยังวัดดอยแม่ปั๋ง ในทันที ทรงเยี่ยมทอดพระเนตรอาการของหลวงปู่ ทรงป้อนยา และป้อน อาหาร ถวายหลวงปู่ด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง หลวงปู่ฉันอาหารได้ ๓ คำ

    ภายหลังหลวงพ่อหนู ท่านเล่าว่า ในวันที่ล้นเกล้าๆ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยุ่หัวเสด็จ พระราชดำเนินสู่วัดดอยแม่ปั๋งนั้น หลังจากเสด็จกลับแล้ว ตกกลางคืน พลวงพ่อหนู นั่งสมาธิ ภาวนาอยู่ที่ยโยธรนั้นเอง ท่านได้นิมิต เห็นพญาครุฑ บินเข้ามาในกุฎิ เป็นนิมิตที่แจ่มชัดมาก

    วันรุ่งขึ้น หลวงพ่อหนู รีบจัดแจงหารถเดินทางกลับดอยแม่ปั๋งทันที ทั้งที่คิดว่า จะอยุ่ยโสธร ๕-๖ วัน ท่านเดินทางไปถึงดอยแม่ปั๋ง เกือบ ๒ ยาม แล้วรีบกราบ หลวงปู่แหวน ในกุฎิทันที

    หลวงปู่ยังไม่จำวัด ภัตตาหารและยา ก็ไม่ยอมฉัน ทั้งวันนั่งเงียบๆ ไม่พูดกับใคร พอ หลวงพ่อ หนู เข้าไปหาและถามว่า ทำไมพระอาจาย์ไม่ฉันยา ไม่ฉันอาหาร หลวงปุ่ท่านหัวเราะ บอกไปเอา ยามา จะฉันเดี๋ยวนี้ และเช้าวันรุ่งขึ้น หลวงปู่ ก็ฉันภัตตาหารตามปกติ

    ตั้งแต่หลวงปู่ล้มในห้องน้ำคราวนั้นแล้ว ร่างกายของหลวงปู่ก็อ่อนแอ ออดๆ แอดๆ เรื่อยมา จนถึงกับมีผุ้ปล่อยข่าวว่า หลวงปุ่มรณภาพแล้ว แต่ท่านก็ยังอยู่ได้ เพราะยังไม่ถึงเวลาที่ท่านจะละ สังขารนั่นเอง

    หลวงพ่อหนู ท่านเล่าว่า หลวงปู่ ท่านสามารถข่มเวทนาได้ดีเป็นเลิศ ถ้าเป็นคน ธรรมดาทั่วไป อย่าว่าแต่จะหกล้มจนกระดูกต้นขาหักเลย แค่ช้ำบวมก็ร้องลั่นโอดโอย กันแล้ว แต่หลวงปู่ท่่านยัง ทรงสังขารเป็นที่พึ่งทางใจให้กับบรรดาสาธุชนเรื่อยมา จนกระทั่งครั้งสุดท้าย หลวงปุ่แหวน เข้าโรงพยาบาลอีกครั้งหนึ่ง นายแทพย์ผุ้เชี่ยวชาญต่างก็พยายามกันอย่างเต็มที่

    "ใครเล่าจะรดน้ำตอที่ผุกร่อนแล้ว ให้มีดอกมีใบขึ้นมาได้อีก"

    พระอาจาร์ใหญ่มั่น อาจารย์ของหลวงปุ่แหวน ท่านเคยพูดไว้อย่างนี้ เมื่อครั้งที่ท่่านอาพาธ หนักครั้งสุดท้าย ที่บ้านหนองผือ และคำพูดนี้ก็มาถึงหลวงปู่แหวน ทำให้เห็นชัดว่า คำพูดของ หลวงปู่มั่น เป็นสัจจธรรมโดยแท้ ที่ใครๆ ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

    ก่อนหลวงปู่จะละะวางสังขาร หลวงพ่อหนู ท่านให้รื้อศาลาสร้างใหม่ ทั้งๆ ที่ศาลาหลังเก่า ยังอยู่ในสภาพดี ท่านบอกว่า ถ้าไม่รีบสร้างเดี่๋ยวนี้ หลวงปู่ไปก่อนจะไม่ทันการ

    หลวงพ่อหนูบอกว่า หลวงปู่ท่านจะไปเมื่อไรหรือไม่ ไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่ศาลาหลังใหม่ต้อง สร้างเสร็จ และก็สร้างเสร็จก่อนหลวงปู่ละสังขาร

    หลวงปู่แหวน บอกกับหลวงพ่อหนู ว่า เมื่อหลวงปู่มรณภาพ ให้รีบเผาท่านตามแบบของพระ กรรมฐาน

    หลวงปู่แหวน มรณภาพที่โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ เวลา ๓ ทุ่ม ๕๗ นาที ของวัน อังคารที่ ๒ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๒๘ เมื่อท่านอายุได้ ๙๘ ปีเศษ และบวชพระมา ๗๘ พรรษา

    หลวงปู่แหวนละสังขารไปเมื่อทางวัดไ้ด้สร้างมณฑปพิพิธภัณฑ์บริขาร และศาลาหลังใหม่ เสร็จเรียบร้อยแล้ว


    ในนิตยสารดังกล่าว ได้สรุปในตอนท้ายว่า :-

    " ธรรมะของหลวงพ่อหนู คือธรรมะจากหลวงปุ่แหวนนั่นเอง แม้สุ่มเสียงจะไม่เหมือนกัน แต่ความผูกพันอันลึกซึ้งด้วยธรรมชันสูง หลวงพ่อหนู ก็คือส่วนหนึ่งของหลวงปุ่แหวน ทีเดีียวละครับ"
     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ๑๖๗. รูปปั้นขี้ผึ้ง หลวงปู่แหวน

    รูปปั้นขี้ผึ้งของหลวงปุ่แหวน สุจิณฺโณ นับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ชิ้นแรกของวงการพระสงฆ์ไทย

    สืบเนื่องมาจาก นายแทพย์เฉลิม จันทราสุข นายแพทย์นักธุรกิจชื่อดัง ได้ล้มป่วย อาการหนักมาก วันหนึ่ง ขณะที่นอนอยู่ในโรงพยาบาล ได้เคลิ้มหลับฝันเห็นหลวงปุ่แหวน มายืนข้างเตียง แล้วบอกว่าตนจะหาย ไม่ตายหรอก


    เมื่อดีขึ้น น.พ.เฉลิม ก็ตังจิตอธิษฐานว่า หากเป็นจริงดังที่ฝัน ก็จะสนองในพระเดชพระคุณ แห่งความเมตตาของหลวงปุ่แหวน โดยจะทำในสิ่งทีไม่เคยทำมาก่อน แล้วจะนำสิ่งนั้นถวาย หลวงปู่

    แล้ว น.พ.เฉลิม ก็หายป่วยไข้จริงๆ จึงได้ว่าจ้าง สถาบันมาดามทูโซด์ แห่งประเทศอังกฤษ ให้ปั้นรูปหุ่นขี้ผึ้ง ขนาดเท่าองค์จริงของหลวงปู่ ในราคา ๑ ล้านบาท

    ทางสถาบันๆ นี้ ไม่เคยปั้นรูปพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนามาก่อน เพราะฉะนั้น การปั้นรูป หลวงปู่แหวน จึงเป็นครั้งแรก และองค์แรกของโลกเลยทีเดียว เดือนธันวาคม ๒๕๒๑ ทางสถาบันๆ ได้่่ส่ง มิสจีน ปาเซอร์ ปฎิมากรรมมาดูองค์จริง และถ่าย รุปหลวงปู่ ๑๐๐ ภาพ แล้วจึงไปเิริ่มปั้น ใช้เวลาร่วม ๑ ปี

    เดือนสิงหาคม ๒๕๒๒ ทางสถาบันๆ ได้จัดส่งหุ่นหลวงปุ่มาทางเครื่องบิน ได้นำไปให้ประชา ชนสักการะที่วัดสัมพันธวงศ์ กรุงเทพ ร่วมสิบวัน

    ตอนเช้าวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๒๒ ได้อัญเชิญหุ่นหลวงปุ่ไปเชียงใหม่ ทางเครื่องบินของ ารบินไทย จัดในรูปของคนโดยสาร โดยนั่งเก้าอี่้โดยสารธรรมดา ถึงเชียงใหม่ ๙.๐๐ ย

    กล่าวกันว่า ท้องฟ้าที่เชียงใหม่ ช่วงนั้นชุ่มฉ่ำด้วยสายฝนติดต่อกัน มา ๓ วัน ๓ คืน ก็ปรากฎ เหตุมหัศจรรย์ อย่างปาฎิหารย์ทันทีที่เครื่องบินร่อนลงสู่ท่่าอากาศยานเชียงใหม่ ท้องฟ้าแจ่มใส ฝนหยุดตก ชาวเชียงใหม่ไปรอต้อนรับมากมาย

    ได้อัญเชิญหุ่นหลวงปุ่ขึ้นรถแห่ไปรอบๆ เมืองเชียงใหม่ แล้วนำไปประดิษฐานที่วัด ดอยแม่ปั๋ง ในตอนบ่าย ได้มอบถวายหลวงปุ่แหวน องค์จริง

    หลวงปุ่หัวเราะชอบใจว่า " เออ... มันก็เหมือนกันนั่นแหละ .."

    หลวงปู่นั่งเคียงข้างรุปหุ่น ให้ประชาชนได้เปรียยเทียบแล้วก็ำนำไปประดิษฐานที่พลับพลา เรือนแก้ว ไว้เป็นที่สักการะบูชาของศรัทรธาสาธุชน

    ปัจจุบันรุปปั้นหุ่นขี้ผึ้งของหลวงปู่ประดิษฐานอยู่ในห้องกระจก ภายในพิพิธภันฑ์บริขาร ของหลวงปู่ ที่วัดดอยแม่ปั๋ง
     
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ๑๖๘. แผลเนื่องจากกรรมเก่า

    หลวงปุ่แหวน สุจิณฺโณ ท่านมีโรคเรื้อรังอยู่อย่างหนึ่ง ซึ่งแพทย์ไม่สามารถชี้สาเหตุของโรค และรักษาให้หายขาดได้ เพียงแต่ช่วยให้ทุเลาบ้างเท่านั้น


    ไม่มีใครทราบว่า หลวงปู่เป็นแผลนี้มาแต่เมื่อไร และแผลนี้เองที่เป็นวิบากขันธ์ทรมานท่าน ตลอดเวลา

    แผลที่ว่านี้ เป็นแผลที่ก้นกบ ปากแผลกว้างยาวประมาณ ๑ เซนติเมตร ถ้ามีการอักเสบขึ้นมา จะมีอาการบวมแดง รอบๆปากแผล จะคันอย่างรุนแรง

    หลวงปุ่เล่าว่า แผลที่ว่านี้เป็นแผลมาจากอดีตกรรมของท่าน คือเมื่อท่่านยังเด็ก ได้นำควาย ออกไปกินหญ้าในทุ่งนา เผอิญควายตัวหนึ่งเกิดดื้อขึ้นมา ต้อนไปทางหนึ่ง กลับไปอีกทา่งหนึ่ง

    เมื่อเหนื่อยเข้า หลวงปุ่เกิดโมโห จึงใช้มีดสับเข้าไปที่กกหางของควาย เกิดเป็นแผลเลือดไหล ขึ้นมา ท่านเสียใจและสงสารมัน แต่ไม่ทราบว่า จะหายาอะไรมารักษา บาดแผลมันได้ เผอิญควายถ่ายมูลออกมา หลวงปู่จึงเอามูลมาทาบาดแผลมัน ปรากฎว่าแผลนั้นหายได้ภาย ใน ๗ วัน

    หลวงปู่ ว่าแผลที่ก้นกบของท่านนี้ เป็นแผลที่เนื่องมาจากกรรมเก่า แต่ท่านไม่ได้เรียกตรงที่ เป็นแผลก้นกบ ท่านเรียกว่า หางสุด เพราะเป็นตำแหน่งเดียวกันกับโคนหางของควาย ตรงที่โดน มีดฟัน

    นอกจากแผลจากกรรมแล้ว หลวงปุ่ยังเป็นต้อกระจกที่นัยน์ตาซ้าย และเป็นต้อหินที่นัยน์ตา ขวา แต่ท่านไม่ยอมไปรักษาที่โรงพยาบาล เพราะท่านเคยตั้งสัจจะไว้ว่า ไม่ออกจากวัดไปไหน ทั้งสิ้น จึงทำให้การรักษาพยาบาล เป็นไปด้วยความลำบากยิ่ง

    เืพื่อเป็นการสนองพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยุ่หัว คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่จึงได้ส่งคณะแทพย์มาตรวจรักษาหลวงปู่ที่วัดเป็นประจำ

    ถ้าในกรณีที่หลวงปุ่อาพาธหนัก ทางคณะแทพยศาสตร์ จะำนำวิทยุรับส่ง มาติดตั้ง เพื่อรายงาน ผลการรักษาให้ทางสำนักพระราชวังทราบทุกระยะ เพื่อนำความขึ้นกราบ บังคมทูลฝ่าละอองธุลี พระบาทให้ทรงทราบทุกระยะ จนกว่าจะหายเป็นปกติ
     
  8. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ๑๖๙. รายงานการอาพาธและมรณภาพของหลวงปู่

    สรุปย่อมาจากรายงานของแทพย์ที่ถวายการรักษาหลวงปู่ มีดังนี้

    หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ เริ่มอาพาธในปี พ.ศ.๒๕๒๐ เมื่อท่านมีอายุ ๙๐ ปี ซึ่งอยู่ในวัย ชราภาพมากแล้ว เริ่มต้นเมื่อวันที่ ๒ พฤษภาคม เวลา ๓ นาฬิกา หลวงปู่ไหว้พระสวดมนต์ ตามปกติ ตอนลุกขึ้นท่านเสียการทรงตัว เซไปแล้วล้มลง เกิดรอยช้ำที่แขนและไหล่ซ้าย เป็นผลให้ สุขภาพของท่านทรุดลงไปเรื่อย


    ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๒๐ ท่านท้องร่วงอย่างแรง มีไข้ ร่างกายอ่อนเพลีย

    ๗ ตุลาคม ๒๕๒๐ เวลา ๑๖.๔๐ น. หลวงปู่ล้มขณะที่ลุกขึ้นจะไปห้องน้ำ สีข้างด้านซ้ายไปถูก โคมตะเกียงน้ำมันก๊าดมีรอยแผลถลอก และรอยช้ำของผิวหนังด้านซ้าย แขนซ้ายได้รับบาดเจ็บ มีอาการแทรกซ้อนมามา คือ ปัสสาวะไม่ออก ถ่ายอุจจาระลำบาก

    " ขณะหลวงปู่อาพาธอยู่นั้น ท่านมักจะสงบจิตเข้าอยู่ภายในเกือบตลอดวันตลอดคืน ดูอาการ ภายนอกของท่านจึงดูเหมือนว่าจะหมดหวังเอาทีเดียว บางครั้งท่านไม่ยอมพูด ไม่ยอมฉันเลย เป็นเวลาหลายๆ วัน ถึงเวลาฉันอาหาร ฉันยา ฉันน้ำ ปลุกท่านขึ้นมา ท่านลุกขึ้นนั่ง แต่จิตท่าน ยังอยู่ในความสงบ เวลาป้อนอาหารใส่ปาก อาหารก็ค้างอยู่ในปาก เช่นนั้นเอง เพราะท่านไม่เคี้ยว เอาน้ำให้ดื่ม เอายาให้ฉัน ก็เหมือนกัน ตาของท่านลืมค้างอยู่ไม่กระพริบ ดูเหมือนไม่มีชีวิตชีวา ทั้งนี้เพราะท่านยังไม่ถอนจิตจากความสงบ ภายใยออกมา รับอารมณ์ภายนอก"

    ล้มครั้งที่สอง เมื่อ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๒ ทางวัดจัดให้มีงานผูกพัทธสีมาพระอุโบสถ เวลา ๑๐.๐๐ น. ขณะยืนครองผ้า พอเอี้ยวตัวจะเดิน ขาของหลวงปู่ไปสะดุดชายจีวร สุดวิสัยที่คณะศิษย์ จะรับไ้ว้ทัน ท่่านล้มลง ทำให้เจ็บซี่โครง เจ็บบั้นเอว เจ็บกระดูกสันหลัง ลุกขึ้นไม่ได้ หมอต้องใส่ เฝือกให้ หลวงปุ่ต้องนอนอยู่กับที่ ๑ เดือน จึงหายเป็นปกติ

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จๆ เยี่ยมหลวงปู่เป็นการส่วนพระองค์

    อาพาธหนักในปี พ.ศ. ๒๕๒๖ อายุ ๙๖

    หลวงปู่ล้มครั้งที่สาม เมื่อ ๑๓ กันยายน ๒๕๒๖ ประสบอุบัติเหตุ ล้มฟาดพื้นห้องน้ำในกุฎิ เป็นเหตให้กระดูก บริเวณตะโพกซ้ายร้าว มีอาการน่าวิตก แพทพย์จึงนำท่านเข้ารักษาที่ โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ ด้วยการผ่าตัดด่วน ด้วยการเปลี่ยนกระดูกตะโพกขวา ซึ่งแตก ๓-๔ เสี่ยง ต้องใช้หัวกระดูกเหล็กใส่แทน อยู่โรงพยาบาล ๒ สัปดาห์ แล้วกลับวัด

    ๔ พฤศจิกายน ๒๕๒๖ อาการหลวงปุ่ทรุดหนัก มีอาการอ่อนเพลียมาก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมด้ัวยสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชๆ เสด็จเยี่ยมอาการที่วัด

    ในปี พ.ศ.๒๕๒๗ หลวงปุ่มีอาพาธโลหิตไปเลี้ยงที่สมอง คณะแพทย์ได้นิมนต์หลวงปู่เข้ารักษาอาการที่โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ ตั้งแต่วันที่ ๒๖ มีนาคม โดยหลวงปู่เป็นคนไข้ ประเดิม ตึกสุจิณฺโณ จากการตรวจสมองด้วยเครื่องเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ พบเื้นื้อสมองด้านขวา ส่วนหนึ่งไม่ทำงาน เนื่องจากโลหิตไม่ไปหล่อเลี้ยงสมองส่วนนั้น แทพย์ให้การรักษาจนอาการดี ขึ้น และได้กลับวัดวันที่ ๑๑ เมษยน ๒๕๒๗

    อาพาธหนักอีกเมื่อปลายปี พ.ศ.๒๕๒๗ วันที่ ๒๗ ธันวาคม หลวงปู่มีอาการไข้ และท้องเดิน แพทย์ต้องให้น้ำเกลือทางเส้นเลือด แต่ต้องเจาะใหม่หลายครั้ง เพราะเส้นเลือดแตก

    วันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๒๘ เวลา ๑๖.๓๐ น . พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนาง เจ้าๆพระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชๆ สยามมกุฎราชกุมาร สมเด็จพระเทพรัตน ราขสุดาๆ สยามกมุฎราชกุมารี และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ เสด็จเยีี่ยม หลวงปู่ที่วัดดอยแม่ปั๋ง

    วันที่ ๒๔ กุมภาัพันธ์ ๒๕๒๘ เวลา ๑๖.๒๐ น. สมเด็จพระนางเจ้าๆ พระบรมราชีนีนาถ พร้อมด้วยสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชๆ สยามมกุำราชกุมาร เสด็จเยี่ยมหลวงปู่ที่วัด

    เข้าโรงพยาบาลครั้งสุดท้าย วันที่ ๒๔ เมษายน พ.ศ.๒๕๒๘ หลวงปุ่มีอาการไข้สูง อุจจาระสีดำ เข้าใจว่าเพราะโลหิตออก ในทางเดินอาหาร คณะแทพย์นำหลวงปู่เข้ารับการรักษา ที่โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่

    วันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๒๘ เวลา ๑๖.๓๐ น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าๆพระบรมราชินีนาถ พร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าลุกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ วลัยลักษณ์ ทรงเยีี่ยมอาการอาพาธของหลวงปุ่

    วันที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๒๘ หลวงปุ่มีอาการอาเจียน ขณะฉันอาหาร ไอและหอบ ต้องให้ อ๊อก ซิเจนช่วยหายใจ แพทย์ได้ผ่าตัดท้องใช้สายยางสอดเข้าไปในกระเพาะเืพื่อให้อาหาร ใช้ เวลาผ่าตัด ๒ ชั่วโมง

    หลังจากนั้น หลวงปุ่ได้อาพาธ ตลอดมา และถึงมรณภาพในที่สุด เมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม พศ.๒๕๒๘ เวลา ๒๑.๕๓ น. ณ.โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ สิริรวมอายุของหลวงปุ่ได้ ๙๘ ปี ๕ เดือน ๑๖ วัน

    สำหรับพิธีศพ ที่ทางราชการจัดถวายหลวงปุ่นั้น เบื้องต้นในช่วงเข้า ของวันที่ ๓ กรกฎาคม พศ.๒๕๒๘ ได้จัดให้ประชาชนทั่วไป เข้ารดน้ำศพที่ศาลาอ่างแก้ว บริเวณมหาวิทยาลัยเชียงใหม่

    ในช่วงบ่าย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าๆพระบรมราชินีนาถ และสมเด็จ พระบรมโอรสาธิราชๆสยามมกุฎราชกุมาร ได้เสด็จพระาบดำเนินพระราชทานอาบน้ำศพ

    หลังจากนั้น ได้อัญเชิญศพหลวงปู่ไปตั้งเืพื่อบำเพ็ญกุศลที่วัดดอยแม่ปั่. เพื่อรอพระราชทาน เพลิงศพต่อไป

    (จากหนังสือเรื่อง หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ วัดดอยแม่ปั๋ง อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ โครงการหนังสือบูรพาจารย์ เล่ม ๓ เรียบเรียงโดย รศ.ดร.ปฐม -รศ.ภัทรา นิคมานนท์ มีนาคม ๒๕๔๘ ) และขอบคุณ http://www.geocities.com
     
  9. โสภา จาเรือน

    โสภา จาเรือน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    2,013
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,332
    อนุโมทนาสาธุบุญ

    เวลาเป็นสิ่งเดียวในโลก ที่ทุกคนได้รับเสมอกัน


    ไม่มีใครได้เปรียบ หรือเสียเปรียบกันเลย แม้แต่คนเดียว

    แต่ใครจะใช้เวลาในแต่ละวินาที อย่างมีค่า และคุ้มค่ากว่ากัน
    <!-- google_ad_section_end -->
     
  10. datchanee

    datchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,947
    ค่าพลัง:
    +1,276
    satu satu satu
     

แชร์หน้านี้

Loading...