เรื่องจริงอิงนิทาน (พิเศษ)...ตอนที่8เมื่อข้าพเจ้าไปอินเดีย,เล่าพุทธประวัติ

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย เทพออระฤทธิ์, 24 กันยายน 2009.

  1. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,048
    และก็ดูหมู่ปวงชนทั้งหลายที่มาเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กับบรรดาพระทั้งหลายว่ามีปริมาณเท่าใด ความเป็นอยู่ของบุคคลทั้งหลายเหล่านั้น พระก็ดี ภิกษุณีก็ดี อุบาสก อุบาสิกาก็ดี เขาอยู่กันอย่างไรคนนับล้านบริเวณปาวาลเจดีย์เวลานั้นเกลื่อนกล่นไปด้วยประชาชน
    จะเห็นว่าประชาชนทุกคนนอนกลางดินกินกลางทราย ส่วนใหญ่ก็ไม่มีเครื่องมุงเครื่องบังต่อสู้กับความร้อน ความหนาวในขณะนั้น เป็นเวลา ๓ เดือน โดยมากมาแล้วก็อยู่กันหมด ไม่ยอมกลับ มาแล้วก็เตรียมตัวนำอาหารมาเพื่อกินกัน ๓ เดือนเลยทีเดียว บรรดาเศรษฐีทั้งหลาย คหบดีทั้งหลาย พร้อมด้วยข้าทาสบริวารก็นำขบวนใหญ่ เอาอาหารมาเป็นพิเศษ
    จะเห็นว่าบรรดาคหบดีกับเศรษฐีทั้งหลายส่วนมากเอามาแล้วก็ไม่ได้เอามากินเฉพาะตัว ตั้งใจเอามาถวายพระด้วย ตั้งใจมาเลี้ยงคนด้วย ส่วนใหญ่ท่านทั้งหลายเหล่านั้นเป็นพระอริยเจ้า แม้แต่พระนางวิสาขามหาอุบาสิกา และลูกหลานที่เป็นพระอริยเจ้ามากันมา และตระกูลของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี บรรดาพระอริยะทั้งหลายที่เป็นฆราวาสท่านจะไม่มาเฉพาะตัว คือว่าจะไม่สงเคราะห์เฉพาะตัว จะสงเคราะห์เป็นสาธารณประโยชน์ แต่ว่าทั้งนี้คงจะเนื่องด้วยอาหารเป็นส่วนใหญ่ สำหรับสถานที่พักก็จะต้องดัดแปลงป่าเป็นที่อยู่กัน ทั้งพระภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา นอน ที่นอนอันประเสริฐคือพื้นดิน
    เป็นอันว่าความยุ่งยากในการที่บุคคลทั้งหลายจะอดอยากก็คงจะไม่มีดูแต่สมัยที่องค์สมเด็จพระชินสีห์เสด็จไปเทศน์โปรดพระพุทธมารดา หลังจากแสดงยมกปาฏิหาริย์แล้ว คนที่มาเฝ้าองค์สมเด็จพระทีปแก้วนับโกฏิ เมื่อพระพุทธเจ้าขึ้นไปแล้ว ก็ไม่ยอมกลับ ฉะนั้นคนทั้งหมดจึงเป็นภาระของพระเจ้าปเสนทิโกศล เลี้ยงคนทั้งหมดนับโกฏิสิ้นเวลา ๓ เดือน จะเห็นว่าพระบารมีขององค์สมเด็จพระพิชิตมารทรงคุ้มครองอยู่
    ระยะทางจากปาวาลเจดีย์ถึงกุสินารามหานคร ตามพระบาลีท่านกล่าวว่าระยะทางไกลถึง ๑๒๐ โยชน์ ๔๐๐ เส้น เป็น ๑ โยชน์ จะต้องใช้เวลาเดินกันกี่วัน แต่ว่าองค์สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาใช้เวลาเดินน่ากลัวไม่ถึงครึ่งวัน เพราะว่าถ้าถึงครึ่งวัน ก็ฉันอาหารเพลไม่ได้ พระองค์จึงได้ประกาศแก่พระสงฆ์ทั้งหลาย บอกพระอานนท์ว่าวันนี้พระองค์จะไปกุสินารามหานคร ใครจะไปกับท่านบ้างก็เตรียมตัว หรือใครจะไม่ไปก็ได้ แต่ในเมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรจะเสด็จทุกคนก็ไป พระทุกองค์ก็ไป นั่งดูภาพซิลูก ว่าฆราวาสไปไหม ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครอยู่ มีแต่คนไป เป็นการเดินทางครั้งใหญ่ ถ้าเทียบเป็นกำลังกองทัพ กองทัพนี้มีจำนวนนับล้าน การเคลื่อนขบวนก็เป็นไปด้วยยาก แต่บารมีขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจะยากอะไร และมีพระอริยเจ้าที่ท่านได้ฉฬภิญโญปฏิสัมภิทัปปัตโตมีมาก การใช้กำลังฌานช่วยเป็นของไม่ยาก ทำให้เร็วขึ้นก็ได้
    เมื่อพระสงฆ์ประชุมกันเสร็จ พร้อมกันแล้วองค์สมเด็จพระประทีปแก้วจึงได้เสด็จพระพุทธดำเนิน เดินไปได้ระยะทาง ๖๐ โยชน์ จึงได้ทรงโปรดเรียกพระอานนท์ว่า "อานันทะ ดูก่อนอานนท์ อานนท์จงปูสังฆาฏิลงตรงนี้นะ เวลานี้ตถาคตเหนื่อยเหลือเกินเดินต่อไปไม่ไหว" พระอานนท์ฟังเสียงขององค์สมเด็จพระจอมไตรก็สงสารถึงกับน้ำตาไหลคิดในใจว่า โอหนอองค์สมเด็จ
    สัมมาสัมพุทธเจ้าในสมัยกาลก่อนโน้น การเดินทางระยะไกลกว่านี้หลายเท่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เคยบ่นว่าเหนื่อย แต่วันนี้สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จมาแค่ ๒๐ โยชน์ ก็บ่นว่าเหนื่อยเสียแล้ว รู้สึกสงสารองค์สมเด็จพระประทีปแก้ว พระอานนท์ปูผ้าสังฆาฏิไปด้วย น้ำตาก็ไหลซึมออกมาด้วย
    เมื่อปูแล้วจึงกราบทูลให้องค์สมเด็จพระประทีแก้วทรงทราบ พระองค์ก็เสด็จประทับบนผ้าสังฆาฏิ และตอนนั้นสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ทรงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า อานันทะ ดู่กอน อานนท์ ตถาคตกระหายน้ำเหลือเกินนะ ขอให้อานนท์จงไปเอาน้ำมา ลำธารอยู่ใกล้ ๆ ขณะที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา ทรงมีพระพุทธดำรัสตรัสให้พระอานนท์ไปเอาน้ำมา ปรากฏว่าเกวียน ๕๐๐ เล่ม กำลังข้ามแม่น้ำน้ำไปพอดี เพราะน้ำมันต้องเป็นทรายและก็มีโคลนผสม พระอานนท์ไปถึงก็ปรากฏว่าน้ำขุ่น จึงได้กลับมาพระพุทธเจ้ากราบทูลว่าเวลานี้เกวียน ๕๐๐ เล่ม ข้ามไปพระเจ้าค่ะ น้ำขุ่นมาก รอสักประเดี๋ยว น้ำอาจจะใส คือน้ำเก่าไปน้ำใหม่มา มันก็อาจจะใสก็ได้
    องค์สมเด็จพระจอมไตรจึงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า อานนัทะ ดูก่อน อานนท์ ตถาคตกระหายน้ำมาก เธอจงไปตักน้ำมาเถอะ มันจะขุ่น มันจะใส ก็ไม่เป็นไร ตถาคตต้องการจะดื่มน้ำ เพื่อเป็นการปลดเปลื้องความกระหาย บรรดาลูกรักทั้งหลาย สมัยนั้นองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาไม่ได้มีประปาใช้เลย ใช้กันธรรมดา ๆ สมัยเมื่อพ่อไปธุดงค์ก็เช่นเดียวกันอาศัยน้ำปัจจุบันที่หาได้ มียังไงก็กินไปอย่างนั้น แต่ก็เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์อยู่ เมื่อพระอานนท์ได้รับพระพุทธบัญชาแบบนั้น ก็กลับไปใหม่ เกวียน ๕๐๐ เล่ม เพิ่งหลุดเล่มท้ายไปหยก ๆ พอพระอานนท์ท่านไปถึง ปรากฏว่าน้ำใสสะอาด จึงได้ตักมาถวายองค์สมเด็จพระบรมโลกนาถ และกราบทูลความอัศจรรย์ให้ฟังว่า ไม่น่าจะเป็นไปได้ เกวียนเล่มสุดท้ายเพิ่งพ้นไป น้ำก็ใสทันที
    สมเด็จพระมหานุมีจึงได้ตรัสว่า "อานนัทะ ดู่กอนอานนท์ เรื่องนี้มันเป็นกฎของกรรมนะ" ความจริงพระพุทธเจ้าทำทุกอย่างเพื่อผลทั้งหมด ในเมื่อองค์สมเด็จพระบรมสุคต ถ้ากระหายน้ำจริงๆ ไม่หวังผล สมเด็จพระทศพลจะตั้งจิตอธิษฐานอาโปกสิณ ให้เกิดความชุ่มชื้นขึ้นมาในกายก็ทำได้ หรือมิฉะนั้นองค์สมเด็จพระจอมไตรก็ทรงพาบริวารทั้งหมดเหาะไปชั่วขณะจิตเดียวถึงเลยก็ทำได้ การที่ทรงทำอย่างนี้องค์สมเด็จพระมหามุนีมีความหมายด้วยเหตุผล
    พระองค์ตรัสว่า อานนท์ เรื่องนี้ไม่ใช่ปาฏิหาริย์เป็นเรื่องกฎของกรรม คือในสมัยชาติหนึ่ง ตถาคตเป็นลูกของชาวนา เมื่อเขาปลดควายไถนาแล้ว บิดามารดาให้นำควายไปกินน้ำ ควายหย่อนปากในบ่อน้ำเล็กๆ ที่ขุ่นคลั่ก ตถาคตเห็นว่าควายเหนื่อยมากก็ไม่ควรจะกินน้ำขุ่น ควรจะกินน้ำใส จึงได้ชักสะพาย เบี่ยงบ่ายหน้าลงมาเท่านั้นก็จะเจอะน้ำใส ควายก็กินน้ำใส เหตุอันนี้แหละอานนท์เมื่อตถาคตใกล้จะนิพพาน ขันธ์ ๕ มันจะพัง กรรมต่างๆ ที่เป็นอกุศลแม้แต่นิดหนึ่ง บังเอิญมันจะให้ผลได้ มันก็ให้ผลทันที ความจริงถ้าจะพูดกันไป จิตใจในเวลานั้นขององค์สมเด็จพระมหามุนีเป็นกุศล ไม่ใช่อกุศล ควายเหนื่อยจะกินน้ำขุ่น แต่ว่าท่านต้องการให้กินน้ำใสไม่น่าจะมีเหตุนี้เกิดขึ้นได้ แต่ก็เกิดขึ้นแล้ว
     
  2. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,048
    ฉะนั้น เรื่องที่เกิดกับองค์สมเด็จพระประทีปแก้ว ขอบรรดาลูกรักทุกคน เมื่อตั้งใจบำเพ็ญกุศล บังเอิญมีกรรมอย่างหนึ่งอย่างใดมันเข้ามาสนองในเรื่องของโลกธรรม ๘ ประการ คือมีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ นินทา สรรเสริญ สุข ทุกข์ อย่างนี้ถ้าเกิดขึ้นกับลูกละก็ อย่าไปสนใจกันมัน ดูองค์สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาก็แล้วกัน แม้แต่กรรมนิดเดียวที่เป็นกรรมที่มีจิตสงเคราะห์ มันยังติดตามจะมาเล่นงานในขณะที่พระองค์จะนิพพาน เมื่อพักผ่อนพอประมาณ องค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าก็พาพุทธบริษัทไปกุสินารามหานคร การเดินทางทั้งหมดใช้เวลาประมาณ ๑ ชั่วโมง เห็นจะได้
    เมื่อไปถึงแล้ว นายจุนออกมาต้อนรับองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เข้าไปในบ้าน โดยทำประรำพิธี ความจริงอาจจะรู้อยู่ก่อน เพราะบรรดาพระสงฆ์ก็มาก คนก็มาก นายจุนจะต้องเตรียมอาการการบริโภคเป็นพิเศษ แม้แต่อาหารสำหรับถวายองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ ก็ต้องเตรียมไว้ก่อนเหมือนกัน เพราะการที่จะไปฆ่าหมู ฆ่าปลา ต่อหน้าองค์สมเด็จพระภควันต์ก็คงไม่ทำ และอาหารวันนั้นก็มีหลายอย่าง เป็นอาหารที่มีเนื้อสุกรอ่อนจำนวนมาก ตั้งใจถวายพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นกรณีพิเศษ ฉะนั้นอาหารจำนวนนี้จึงมีของทิพย์ที่เทวดาโปรยปรายลงมาด้วย ช่วยบำเพ็ญกุศล องค์สมเด็จพระทรงทศพลทรงทราบ แต่ว่าพระสงฆ์ทั้งหลายคงไม่ได้พิจารณา เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นเขานำอาหารมาถวายพระ จึงบอกแก่นายจุนว่า "จุนทะ อาการที่ทำด้วยเนื้อสุกรอ่อนทั้งหมด จงถวายตถาคตแต่ผู้เดียว อย่าถวายพระอื่น"
    นายจุนก็ไม่สงสัย เพราะเรื่องสงสัยพระพุทธเจ้าไม่มี พระพุทธเจ้ามีเหตุมีผล เมื่อฉันเสร็จแล้ว องค์สมเด็จพระทศพลทรงสั่งให้เอาอาหารเนื้อสุกรอ่อนที่เหลือฝังให้หมด ไม่ให้คนอื่นกิน ทั้งนี้ เพราะว่าของทิพย์โปรยปรายลงมา ธาตุของบรรดาพระสงฆ์อื่นย่อยไม่ได้ เขาตั้งใจถวายพระพุทธเจ้า จะย่อยได้เฉพาะธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น ถ้าหากพระอื่นฉันเข้าไปก็ตายแน่ ตอนนั้นพระสรีระร่างกายขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดูแล้วจะผอมไปหน่อย จะซูบจะซีดไปหน่อย
    ดูจริง ๆ แล้ว ถึงแม้พระองค์จะซูบซีดก็ดี จะผ่ายผอมอิดโรยก็ดี ก็รู้สึกว่าสรีระร่างกายขององค์สมเด็จพระชินสีห์จะดีกว่าร่างกายของพ่อเวลานี้สักพันเท่า นี่ไม่ใช่ไปเทียบกับพระพุทธเจ้านะ เป็นอันว่าองค์สมเด็จพระจอมไตรทั้ง ๆ ที่ซีดก็เดินทางไปถึง ๑๒๐ โยชน์ เวลานั้นกับเวลานี้ ๑๒๐ โยชน์จะเท่ากันหรือไม่ พ่อก็ไม่ทราบ แต่จะเท่าหรือไม่เท่า เป็นอันว่าการเดินทางในวันนั้นพระพุทธเจ้าทรงใช้พระพุทธปาฏิหาริย์ ไม่ใช่เดินทางปกติธรรมดาก็เหมือนกันกับว่าเดินทางจากต้นโพธิ์ไปสู่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน วันนั้นพระองค์ก็ใช้พระพุทธปาฏิหาริย์เหมือนกัน แต่การเดินจริง ๆ จะเห็นว่าค่อย ๆ ย่างพระบาทไปตามปกติ
    หลวงพ่อเคยพบหลวงพ่อจงวัดหน้าต่าง เวลาท่านเดินรู้สึกว่าท่านเดินช้า ๆ แต่พวกเราวิ่งก็ไม่ทัน เป็นอันว่าเรื่องการเดินนี้ต้องใช้ฤทธิ์ช่วย หลังจากที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเสวยพระกระยาหารเสร็จก็ทรงเทศน์โปรด เป็นการโมทนาในความดีที่นายจุน
    สงเคราะห์พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา และก็ทรงยกย่องว่าอาหารมื้อนี้เป็นอาหารที่มีอานิสงส์เลิศ เป็นอันว่าดูสรีระร่างกายขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาจะเห็นว่าตอนนี้ซูบผอมไป ผิวพรรณของพระองค์ก็รู้สึกว่าจะคล้ำไปนิดหนึ่ง
    แต่ทว่าดูแววตาของพระองค์มีความสดชื่น แววตาแสดงถึงน้ำใจ แต่เรื่องขันธ์ ๕ เป็นเรื่องของกาย กายจะมีทุกขเวทนาปานใดก็ตามที แต่ว่าใจดี ตาผ่องใส อันนี้เป็นเครื่องสังเกต แต่อาจจะมีบางส่วนที่จะสังเกตได้ว่าเป็นอาการเหนื่อย หรืออาการเพลียของร่างกาย ก็อาจจะรู้ได้จากตาเหมือนกัน หลังจากฉันภัตตาหารแล้วไม่นานนัก
    สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ามีโรคเพิ่มขึ้น นั่นคือโรค ขันธิพากาย ตามบาลี ถ้าตามภาษาไทยเขาเรียก โรคลงแดง จะถ่ายเป็นโลหิตสด ๆ ถ้าภาษาสมัยใหม่ คือเลือดออกจากลำไส้มาก เป็นอันว่าสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าก็คงจะเป็นโรคลำไส้ หรือโรคกระเพาะอาหาร แต่ความจริงเมื่อร่างกายมันจะพังซะอย่าง ก็หาเรื่องพังจนได้ เป็นที่น่าอัศจรรย์ว่าองค์สมเด็จพระจอมไตรป่วยมา ๓ เดือน และออกเดินทางจากปาวาลเจดีย์มากุสินารา และในช่วงแห่งการป่วย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่ทรงพัก ทรงแสดงพระธรรมเทศนาโปรดพุทธบริษัท นี่บรรดาลูกรักเห็นความอัศจรรย์ของการบรรลุมรรคผลไหม พ่อเคยบอกเรื่องของพระสารีบุตร เรื่องของพระโมคคัลลาน์ เรื่องของพระอานนท์แล้ว นั่นเป็นเรื่องของอรหันต์สาวก แต่ว่าเรื่องของพระพุทธเจ้าย่อมจะเหนือกว่า เพราะว่าเป็นอัจฉริยะบำเพ็ญบารมีมามากกว่า
    ในเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นโรคถ่ายเป็นโลหิตสด ๆ แต่ว่าถ้าจะมีบางคนนอกคอกเขาจะถามว่า พระพุทธเจ้ามีฤทธิ์ทำไมจึงไม่ห้ามโรค ก็ต้องบอกว่า ฤทธิ์ไม่ได้มีไว้ห้ามโรค ฤทธิ์เขามีไว้ใช้เพื่อศรัทธาของพุทธบริษัท แต่เรื่องธรรมดาของขันธ์ ๕ ไม่มีพระอริยองค์ใดไปยุ่งกับขันธ์ ๕ มันอยากจะเป็นยังไง ก็ให้มันเป็นไปตามปกติ แม้แต่ข้าวบิณฑบาตจะอด พระยามารแกล้งไม่ให้คนใส่บาตร สมเด็จพระบรมโลกนาถก็ทรงทราบ ก็ถือว่าเป็นกิจวัตร คือ เป็นกิจที่ควรปฏิบัติ เดินเข้าไปบิณฑบาตในเมือง เมื่อชาวบ้านไม่ใส่บาตร พระองค์เดินสุดทางก็กลับ ความจริงถ้ารู้ว่าพระยามารแกล้ง พระองค์จะทรงอธิษฐานด้วยอำนาจปฐวีกสิน และอาโปกสิน จะนึกเอาข้าวขนาดไหน อาหารขนาดไหนก็ทำได้ แต่องค์สมเด็จพระจอมไตรไม่ทรงใช้ฤทธิ์ พระองค์ตรัสกับพระยามารว่า ถ้าไม่มีใครให้เรากิน เราก็จะอยู่ด้วยอำนาจปีติ เห็นไหมเรื่องฤทธิ์เขาไม่ค่อยจะใช้กัน ไม่ใช่มีแล้วก็ใช้ส่งเดช เขาใช้เฉพาะประโยชน์ คือ ใช้ในเรื่องของความเป็นพระ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จประทับบนพระแท่นที่ประทับ ซึ่งทางเมืองกุสินารามหานครทราบว่า องค์สมเด็จพระชินวรจะเสด็จมา เขาก็เตรียมที่ไว้ก่อน เวลา ๓ เดือน พระพุทธเจ้ามีความหมายทุกอย่าง
    ทางด้านฝ่ายต้อนรับก็มีโอกาสได้ต้อนรับ ทำที่สำหรับพระพุทธเจ้า ทำที่สำหรับพระสงฆ์ ทำที่สำหรับภิกษุณี และทำที่สำหรับอุบาสก อุบาสิกา ก็ต้องลงทุนมาก จะเห็นว่าพระพุทธเจ้าทำอะไรทุกอย่างมีเหตุมีผลหมด ตอนนั้นทุกขเวทนาเบียดเบียนองค์สมเด็จพระบรมสุคตมาก สำหรับหมออาชีวกโกมารภัจก็ไม่มีโอกาสจะรักษา ท่านไม่ให้รักษา ถวายยาท่านก็ไม่รับ ถ้าจะถามว่าองค์
     
  3. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,048
    สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีทุกขเวทนาหนักหรือไม่ ลูกรักก็ลองคิดดูว่าขนาดจะตายทุกขเวทนาไม่หนักไม่มี ความเป็นพระพุทธเจ้าไม่ใช่ว่าจะไปห้ามโรคได้ พระพุทธเจ้ายิ่งไม่ห้ามโรค คือ เรื่องของกฎธรรมดาท่านไม่ห้าม เมื่อทุกขเวทนามากอย่างนั้น ท่านก็ไม่ได้หยุด
    องค์สมเด็จพระบรมสุคตก็ยังปรารภธรรมะ คือ เทศน์ คำว่าเทศน์ไม่ใช่เทศน์ปาว ๆ ไปแต่ผู้เดียว ปรารภธรรม ใครเข้ามาถามอะไร ก็โต้ตอบ แก้ปัญหาเพื่อมรรคผลทุกอย่าง บรรดาเทวดาและพรหม มีความเคารพในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็โปรยปรายดอกชบาลงมา บริเวณนางรังทั้งคู่ก็เต็มไปด้วยดอกชบา คนเดินไปเดินมาต้องลุยกันถึงเข่า พระอานนท์จึงได้กราบทูลองค์สมเด็จพระจอมไตรให้ทรงทราบ พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสว่า อานันทะ ดูก่อน อานนท์ การบูชาด้วยอามิสบูชานั้นเป็นของดี แต่ว่าจะดีจริง ๆ ก็ต้องเป็นปฏิบัติบูชา หมายความว่าเคารพถวายอามิสแล้ว ก็ต้องปฏิบัติความดีที่ตถาคตสอนด้วยเช่นกัน ถ้าบูชาอย่างนี้ ศาสนาของตถาคตตจะทรงกาลอยู่ตลอดกาลนาน แล้วทุกท่านก็จะมีความสุขจริง
    เวลากลางคืนพระท่านถวายงานพัดอยู่ มีเทวดาและพรหมบอกว่า พระองค์นี้นั่งบังหน้าองค์สมเด็จพระบรมครู มองไม่ค่อยจะเห็น พระพุทธเจ้าจึงได้บอกให้เธอเลื่อนลงไปซะหน่อยหนึ่ง และก็ในขณะเดียวกันในราตรีนั้น ก็ปรากฏว่ามีท่าน ๆ หนึ่ง คือ สุภัททะปริพาชก ต้องการจะมาถามปัญหาพระพุทธเจ้า ดูกำลังใจกันแล้วก็น่าเกลียดคนสมัยนั้นกับคนสมัยนี้ความจริงจะคล้าย ๆ กัน คนสมัยนี้เป็นคนที่ดีมีเหตุผลก็มี แต่คนที่เลวไม่มีเหตุไม่มีผลก็มี บางคนก็ต้องการแต่ใจตนเท่านั้น เวลาหาพระนึกว่าพระเป็นทาสรับใช้อยู่เสมอ ไม่ได้คิดว่าพระเป็นสรณะเป็นที่พึ่ง
    เมื่อก่อนนี้ พ่อเคยตามใจคน เวลานี้ก็เลิกซะแล้ว เพราะพ่อแก่ ถือระเบียบวินัยกาลเวลาเป็นสำคัญ ถ้าขืนตามใจกันไปก็จะทำให้คนตกนรกมากขึ้น จะคิดว่าเราเป็นนายพระ แล้วก็ใช้ได้ตามอัธยาศัย คนประเภทนี้ตามใจไปก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร เพราะเป็นคนเลว ถ้าทำดีเป็นที่ถูกใจก็สรรเสริญประเดี๋ยวเดียว ถ้าไม่ถูกใจก็ด่าตลอดชาติ
    ฉะนั้น ในสมัยองค์สมเด็จพระบรมโลภนาถ ก็มีเหมือนกันคนประเภทนี้ แต่ทว่าคนที่จะเข้าไปหาองค์สมเด็จพระมหามุนีก็มีทั้งดีทั้งเลว ท่านสุภัททะปริพาชกก็จะเข้าไปกราบทูลถามปัญหากับพระพุทธเจ้า พระอานนท์ก็ทรงห้ามไว้ เวลานี้สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประชวรหนัก ท่านอย่าไปรบกวนพระองค์เลย ขณะที่พระอานนท์กำลังพูดกับท่านสุภัททะปริพาชก พระพุทธเจ้าได้ทรงสดับด้วยทิพยโสตญาณ เห็นไหมว่าท่านป่วยขนาดนั้นแล้ว ถ้าญาณจะต้องใช้ในกรณีที่มีประโยชน์ ท่านใช้ทันที ความจริงท่านใช้เป็นปกติ แต่เลือกใช้ในเหตุที่ควรไม่ควร เป็นอันว่ากระแสไฟฟ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ญาณหรือฌาน ถ้าเราจะเรียกกันว่าเป็นพลังไฟฟ้าในกาย ก็ทรงพลังไว้เป็นปกติว่าจะใช้ในการควร ใช้เมื่อไรก็ใช้ได้ทันที
    เมื่อองค์สมเด็จพระชินสีห์ทรงทราบ ก็บอกพระอานนท์ให้ปล่อยเข้ามา “ว่าการที่ตถาคตจะมานี่ ก็มาเพราะลูกชายคนนี้เท่านั้น” เห็นไหมลูกรัก เวลาตอนก่อนจะมาตรัสอย่างอย่างหนึ่ง ถ้าตรัสว่าจะมาโปรดสุภัททะปริพาชก ก็คงจะต้องถูกทัดทาน องค์สมเด็จพระพิชิตมาจึงให้เหตุผลคนละ
    อย่าง แต่ก็สมดุลกัน มีเหตุมีผลหลายอย่าง เพราะว่าพระพุทธเจ้าทรงทราบว่า สุภัททะปริพาชก พระสาวกก็สอนไม่ได้ เป็นคนมีอารมณ์แข็ง ชาติก่อนที่จะมาเกิดชาตินี้ เป็นพี่น้องกับท่านอัญญาโกณฑัญญะ ท่านอัญญาโกณฑัญญะเป็นน้อง ท่านสุภัททะปริพาชกเป็นพี่ แต่ท่านอัญญาโกฑัญญะเวลาที่จะทำบุญ เริ่มทำบุญตั้งแต่แรกนา แต่ว่าสำหรับพี่ชายทำบุญ เมื่อขนข้าวเข้ายุ้งเสร็จ
    ฉะนั้นเมื่อเวลาสำเร็จมรรคผล ท่านอัญญาโกณฑัญญะจึงได้บรรลุมรรคผลก่อนคนอื่นทั้งหมด สำหรับพี่ชายทำบุญเมื่อเก็บข้าวเสร็จ จึงบรรลุมรรผลหลังสุด คือ พระพุทธเจ้าจะนิพพาน พ่อขอเล่าย่อ ๆ เพราะลูก ๆ ก็ฟังกันแล้วหลายหน เป็นอันว่าท่านสุภัททะปริพาชกเข้ามา องค์สมเด็จพระทศพลจึงถามถึงความประสงค์ แล้วพระองค์ก็ตรัสว่า
    เวลานี้ตถาคตป่วยมากนะ เวลาก็ใกล้จะสว่างมากแล้ว เมื่อใกล้สว่างตถาคตก็ต้องนิพพาน ฉะนั้น การถามปัญหาของเธอจงงดไว้ จงฟังเทศน์เถิด พระพุทธเจ้าก็ทรงเทศน์ปรารภขันธ์ ๕ ว่า จงอย่าสนใจในร่างกายของเรา อย่าสนใจกับร่างกายของบุคคลอื่น อย่าสนใจกับวัตถุธาตุใด ๆ ทั้งหมด เพราะทุกอย่างมันเป็นอนิจจัง ไม่เที่ยง ถ้าเราเข้าไปยึดแล้วมันก็เป็นทุกขัง เป็นทุกข์ ในที่สุดมันก็พัง ต้องเป็นอนัตตา ดึงมันไว้ไม่อยู่ ฉะนั้น ขอเธอจงปรับใจของเธอให้เข้าใจถึงเรื่องนี้ ให้รู้ตามความเป็นจริง เป็นอันว่าท่านเทศน์ยาวกว่านี้นิดหนึ่ง รวมความแล้ว ไม่ให้สนใจในรูป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ รูปของเรา
    เมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์จบประเดี๋ยวเดียว ท่านสุภัททะปริพาชกก็ไปปฏิบัติ สักครู่เดียวก็สำเร็จอรหัตผล หลังจากนั้นองค์สมเด็จพระทศพลก็ทรงอยู่ด้วย อภิวาสนขันติ หมายความว่า ทุกขเวทนาเบียดเบียนร่างกายมาก แต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงระงับทุกขเวทนาด้วยอานาปานสติกรรมฐาน ทรงอานาปานสติให้เป็นฌาน การทรงอานาปานสติให้เป็นฌาน เป็นปกติ ท่านทำอยู่เสมอ และพระองค์เคยตรัสกับพระสารีบุตรว่า “สารีบุตตะ ดูก่อนสารีบุตร เราก็เป็นผู้มากด้วยอานาปานสติกรรมฐาน” เป็นอันว่าการใช้อานาปานสติกรรมฐานสามารถช่วยความกระวนกระวายของใจให้น้อยลง เป็นการบรรเทาทุกขเวทนาให้น้อยลง ถ้าถามว่าถ้าใช้เป็นฌานจะคุยกับใครได้ไหม ก็ต้องตอบว่าเป็นของไม่ยาก ขอให้คล่องในฌานก็แล้วกัน จะเข้าใจเอง
    เมื่อเวลาใกล้รุ่งอรุณ องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ามองไม่เห็นพระอานนท์ จึงได้ถามพระว่า พระอานนท์ไปไหน แต่ความจริงท่านทราบว่าพระอานนท์ไปยืนเกาะสลักร้องไห้อยู่ ทรงมานึกในใจว่า เวลานี้องค์สมเด็จพระบรมครูจะนิพพานเสียแล้ว เราก็ยังเป็นเสกขบุคคล คือ ยังเป็นคนที่จะต้องศึกษาปฏิบัติต่อไป เพราะว่ายังไม่ได้บรรลุอรหัตผล เมื่อองค์สมเด็จพระทศพลทรงนิพพานเสียแล้ว ใครจะเป็นศาสดา คือเป็นครูสอนเรา สมเด็จพระประทีปแก้วทรงทราบความวิตกของพระอานนท์อย่างนี้ องค์สมเด็จพระชินสีห์จึงได้ตรัสเรียกให้พระอานนท์เข้ามาเฝ้า
    เมื่อพระอานนท์เข้ามาเฝ้าแล้ว องค์สมเด็จพระจอมไตรจึงได้มีพระพุทธฎีกาตรัสว่า อานันทะ ดูก่อน อานนท์ เธอจะวิตกกังวลไปเพื่อประโยชน์อะไร เมื่อตถาคตนิพพานไปแล้ว เธอจะได้
     
  4. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,048
    บรรลุอรหัตผล ในวันที่พระมหากัสสปจะทำปฐมสังคายนา พระพุทธเจ้าทรงทราบเบื้องหน้าไว้เสมอ แล้วต่อไปเบื้องหน้าเธอจะเป็นคนที่มีลีลาการเทศน์ไพเราะเพราะพริ้งมาก คนทั้งหลายที่ฟังพระธรรมเทศนาของเธอแล้ว จะไม่อิ่ม จะไม่เบื่อ ในการฟังธรรม จะไม่อยากให้อานนท์เลิกเทศน์
    เป็นอันว่าเมื่อพระอานนท์ได้ทราบเหตุจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าตัวเองจะได้บรรลุอรหัตผล ก็ดีใจ จิตที่เสียใจก็ไม่ใช่อะไร เสียใจที่ตัวเองยังไม่ได้อรหันต์เท่านั้น ท่านก็เหมือนกับเงาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ พระพุทธเจ้าไปไหนต้องเห็นพระอานนท์ แต่ว่าพระพุทธเจ้าทรงนิพพานคราวนี้พระอานนท์ยังไม่ได้อรหัตผลก็ต้องคิดเหมือนกัน เพราะว่าพระโสดาบันก็ยังมีกิเลสอยู่มาก แต่กิเลสที่ไม่มีก็คือ ปัญจเวรเท่านั้น ปัญจเวร คือ การละเมิดศีล ๕ ไม่มี นอกนั้นยังมีอยู่ ฉะนั้น การดีใจ การเสียใจ ก็ยังคงมีเป็นของธรรมดา หลังจากนั้นเป็นต้นมา เวลาใกล้รุ่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เริ่มต้นเพื่อจะนิพพาน ตอนนี้องค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาทรงสงบ ไม่ตรัสอะไรทั้งหมด
    ขณะนั้น พระอนุรุทธสาวกองค์สำคัญขององค์สมเด็จพระบรมสุคตที่เป็นผู้เลิศในด้านใช้ทิพยจักขุญาณ จึงได้เข้าฌานตามพระพุทธเจ้า เวลานี้บรรดาลูกรัก ดูสรีระขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่า หลังจากฉันภัตตาหารที่บ้านนายจุนแล้ว ตอนนี้สรีระร่างกายขององค์สมเด็จพระประทีปแก้วผ่องใสเป็นกรณีพิเศษสวยงามมาก จนกระทั่งพระอานนท์แปลกใจ ว่า อยู่กับองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดามานานแล้ว ไม่เคยเห็นองค์สมเด็จพระประทีปแก้วสวยอย่างนี้เลย จึงเข้าไปกราบทูลให้ทรงทราบ
    พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสว่า อานันทะ ดูก่อน อานนท์ ผิวพรรณของเราที่สวยที่สุดมีอยู่ ๒ วาระ คือ วาระแรก วันบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ระหว่างที่อยู่ด้วยอำนาจของธรรมปีติ วันนี้ผิวพรรณของเราจะสวยเป็นพิเศษตอนหนึ่ง และอีกตอนหนึ่งที่จะสวยเป็นพิเศษ คือ วันที่ใกล้นิพพาน ก็หมายความว่า องค์สมเด็จพระพิชิตมารทรงรวบรวมกำลังใจทั้งศีล สมาธิ ปัญญา เป็นกรณีพิเศษ กำลังใจก็ผ่องใส เมื่อกำลังใจผ่องใส กายก็ใสไปด้วย ช่วยให้ใสด้วยกันทั้งสองฝ่าย เหมือนคนที่มีทุกข์ หน้าตาร่างกายก็ซูบซีด คนที่มีความสุข หน้าตาก็ชื่นบาน ร่างกายเป็นตามกำลังใจเหมือนกัน แต่ว่าบางส่วนก็เป็นไปไม่เต็มที่นัก คือว่า บางคนอย่างพวกเรา ๆ เวลาป่วยไข้ไม่สบายเต็มที่ ถึงแม้จิตใจจะดี บางทีร่างกายดีไม่เท่าพระพุทธเจ้าต่างกันมาก
    ในตอนนั้น องค์สมเด็จพระภควันต์ได้ทรงปรารภกับพระอานนท์ว่า อานันทะ ดูก่อน อานนท์ ถ้าใครเขาตินายจุน ว่า ถวายอาหารกับตถาคต ทำให้ตถาคตนิพพาน บอกเขาด้วยนะว่า ตถาคตบอกเขามาแล้วถึง ๓ เดือน ว่าจะนิพพานวันนี้ และอานิสงส์สังสกุลบุญราศรีของการถวายทานแก่ตถาคต มีอานิสงส์มากอยู่ ๒ กาล คือ กาลที่ ๑ ก็ได้แก่ อาหารของนางสุชาดา ถวายในตอนที่จะได้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ กาลที่ ๒ ก็อาหารของการนิพพาน คือ อาหารมื้อสุดท้ายที่จะนิพพาน ได้แก่ อาหารของนายจุน นายจุมีอานิสงส์เลิศเท่ากับนางสุชาดาเช่นเดียวกัน เป็นอันว่าในตอนนั้นองค์สมเด็จพระภควันต์ตรัสกับพระอานนท์เสร็จ ก็ทรงสงัดเงียบ
    ตอนนี้ถ้าจะดูกันจริง ๆ ทุกขเวทนาเล่นงานขันธ์ ๕ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกขุมขน แต่ทว่าองค์สมเด็จพระทศพลทรงใช้อานาปานุสติกรรมฐานเป็นฌาน ระงับทุกขเวทนา มีอารมณ์สงบ และจิตตั้งเข้าในฌาน คือ ฌานที่ ๑, ๒, ๓, ๔, ๕, ๖, ๗, ๘ เป็นลำดับ ไปพักอยู่ฌานที่ ๘ แบบสบายสุด แล้วก็ถอยมาฌานที่ ๘ ถึงฌานที่ ๑ พักมาเป็นลำดับ พักขั้นจากฌานที่ ๑ ไปอยู่ฌานที่ ๔ ตอนนี้พักเป็นปกติ พระอานนท์เข้าไปถามพระอนุรุทธ ว่า เวลานี้องค์สมเด็จพระชินสีห์นิพพานแล้วหรือยัง เพราะขณะที่ทรงฌาน อาการทางกายสงบ ถ้าถึงฌาน ๔ หรือฌาน ๘ สภาพของลมหายใจไม่ปรากฏอาการให้เห็น คือ ไม่ปรากฏว่ามีลมหายใจ พระอานนท์ก็เลยไม่เข้าใจว่าพระพุทธเจ้านิพพานแล้วหรือยัง พระอนุรุทธก็ทรงบอกว่า เวลานี้องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าอยู่ในฌานนั้นฌานนี้ เป็นต้น
    แล้วในที่สุดองค์สมเด็จพระทศพลก็ทรงเคลื่อนจิตที่บริสุทธิ์ คือ อทิสมานกาย ที่เรียกว่า กายนิพพานก็ได้ อย่างที่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ท่านสอนว่าเป็นกายนิพพาน เรียกว่าเคลื่อนกายนิพพานออกจากกกายเนื้ออย่างนี้ก็ได้ เคลื่อนจิตที่บริสุทธิ์ออกจากกายเนื้อย่างนี้ก็ได้ หรือดับขันธ์ เข้าสู่พระปรินิพพานอย่างนี้ก็ได้ ลักษณะการนิพพานขององค์สมเด็จพระบรมครูทรงอาการเข้าสู่พระปรินิพพานอย่างนี้ก็ได้ ลักษณะการนิพพานขององค์สมเด็จพระบรมครูทรงอาการเป็นปกติ คือ ทรงสีหไสยาสน์ เหมือนคนนอนปกติธรรมดา ๆ แต่ที่กุสินาราเขาทำรูปพระพุทธเจ้านิพพานไว้ รู้สึกว่าพระศอขององค์สมเด็จพระบรมครูตกไปนิดหนึ่ง
    เวลานี้กุสินารามหานครของเก่า ๆ ก็พังไปหมด ของเก่าสวยกว่าของปัจจุบันมาก ในสมัยสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ายังอยู่ ประเทศนี้ถึงแม้จะเป็นประเทศเล็ก แต่ก็มีความเจริญรุ่งเรืองเกลื่อนกล่นไปด้วยผู้คน และก็มีวัฒนธรรมดีมาก เป็นเมืองน่ารัก เป็นอันว่าที่นิพพานขององค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ที่ทำไว้ไม่ผิด เรื่องการจะทำถูกหรือผิด เรื่องการกระทำถูกหรือผิด ตรงที่หรือไม่ตรงที่ก็ไม่สำคัญ ถ้าจะไหว้พระพุทธเจ้ากันซะอย่างหนึ่ง ที่ไหนก็ไหว้ได้
    เป็นอันว่าเวลานั้นทุกขเวทนาเบียดเบียนพระองค์มาก แต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าอาศัยสมาบัติทรงจิต ฉะนั้น ทุกขเวทนาจึงไม่เข้ามายุ่งกับใจขององค์สมเด็จพระธรรมสามิส จะยุ่งเฉพาะกับกายเท่านั้น เรามานั่งใคร่ครวญกันว่า จิตหรืออทิสมานกายของพระพุทธเจ้าที่นิพพานออกทางไหน ตามที่ชาวบ้านเขาพูดว่านิพพานจิตดับไปด้วยคือม้วยไปกับร่างกาย เมื่อร่างกายม้วยจิตก็ม้วยไปด้วย ไม่มีสภาพอะไรเกิดขึ้น ตอนนี้ขอบรรดาลูกทุกคน ถ้าจะอยากจะรู้ จงอย่ารู้ด้วยกำลังใจตนเอง ทำใจของลูกให้ใสสะอาด ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระบรมโลกนาถ แล้วก็ทูลถามพระองค์ อย่างนี้จึงจะถูก ถ้าใช้กำลังใจตนละก็จะเป็นอุปาทานไป
    ในเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นว่าถึงเวลาอันสมควร ก็เสด็จเข้าสู่ดับขันธปรินิพพาน อย่าลืมว่า ใช้คำว่าเสด็จเข้าสู่ดับขันธปรินิพพาน ไม่ใช่ดับแล้วก็ดับสูญไปเลย จิตหรืออทิสมานกายหรือกายนิพพานออกทางไหน อย่าลืมว่าสภาพของจิตเป็นนามธรรม ไม่จำเป็นจะต้องออกปาก ทางจมูก ก็เหมือนกับเรานึกว่าบ้านของเรา ถ้าใส่กุญแจ ไม่มีช่อง ไม่มีรูอะไรทั้งหมด ข้าง
     
  5. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,048
    ฝาเรียบ เป็นฝาตึก ถ้าอยู่ข้างนอก เราก็นึกถึงของที่เราเก็บข้างใน เตียงอยู่ที่ไหน เงินอยู่ที่ไหน จิตเรารู้หมด จะเห็นว่ามันเข้าทางไหน เข้าทางประตูหรือเข้าทางช่องเล็ก หรือว่าของที่อยู่ในเซฟแน่นสนิท เราก็รู้ว่าเงินอยู่ที่ไหน แหวนอยู่ที่ไหน จิตมันเข้าในเซฟทางไหน สภาพนี้มีสภาพฉันใด คนที่เข้ามาเกิดในร่างกายของมารดาก็เหมือนกัน เวลาที่จิตจะออกจากร่างกายของตนก็เหมือนกันไม่ต้องการหาทางเข้า และก็ไม่ต้องหาทางออก
    ดูต่อไปว่าคนเรามีบุญสักนิดหนึ่ง เวลาตายก็มีเทวดา และพรหมห้อมล้อม เวลาพระพุทธเจ้านิพพานมีอะไรบ้าง อันนี้พ่อก็ขอให้บรรดาลูกรักทุกคนใช้กระแสจิตที่ได้จากความรู้ขององค์สมเด็จพระทศพลและปฏิบัติถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งขอให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงภาพในวันนั้นให้ปรากฏชัด ๆ อย่างนี้จะดีกว่า ที่พ่อพูดอย่างนี้ก็รู้สึกว่า บางคนจะว่ามากเกินไป แต่เวลานี้คนทำได้นับหมื่นแล้ว ต่างคนต่างทำได้ ไม่เฉพาะแต่สำนักของเรา ไม่ใช่ความดีที่พระพุทธเจ้าให้ จะมีแต่สำนักของเรา ที่อื่นท่านสอนกันมาก่อนก็มีกันเรื่อย ๆ หลายสำนัก
    ฉะนั้น เรื่องราวขององค์สมเด็จพระทศพลที่ว่า นิพพานสูญ จึงเป็นค้านกัน และก็ค้านกับพระไตรปิฏกด้วย แต่เวลานี้เรื่องนิพพานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่สูญ ก็มีแพร่หลายนับหมื่นนับแสนคนในประเทศไทย และยังมีการทำได้ในต่างประเทศอีกด้วย ช่วยกันทำให้เข้าใจถึงความเป็นจริง
    เมื่อพระพุทธเจ้าท่านปรินิพพานแล้ว พระอนุรุทธก็ลืมตาขึ้น บอกว่า พระพุทธเจ้าท่านปรินิพพานแล้ว ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะปรินิพพาน พระอานนท์เคยถามว่า การจัดสรีระร่างกายของพระองค์จะทำอย่างไร ในเรื่องการถวายเพลิง พระองค์ก็ตรัสว่าควรจะทำอย่างพระเจ้าจักรพรรดิ พระอานนท์ก็กราบถามว่า พระเจ้าจักรพรรดิ เวลาทิวงคต การเผาทำอย่างไร พระองค์ตรัสว่า ให้เอารางเหล็กมา เอาน้ำหอมใส่ แล้วเอาผ้าขาวมา ๕๐๐ ผืน สำลี ๕๐๐ ชั้น เอาสำลีซับร่างกายแล้วก็เอาผ้าพัน ๕๐๐ ชั้น วางในรางเหล็กที่ใส่น้ำมันหอม แล้วก็เผา
    พระอานนท์จึงได้แจ้งแก่มัลละกษัตริย์ทั้งหลาย เมื่อนำขึ้นเชิงตะกอนเสร็จ ทุกคนต่างก็ตั้งใจถวายเพลิงพระพุทธเจ้า พระอนุรุทธก็ใช้ฌานเป็นปกติจุดไฟเท่าไรก็ไม่ติด มัลละกษัตริย์จึงถามพระอานนท์ พระอานนท์จึงถามพระอนุรุทธ พระอนุรุทธบอกว่าเทวดาไม่ยอมให้จุดไฟ ให้รอพระ มหากัสสปก่อน เพราะว่าอีก ๗ วัน พระมหากัสสปจะมาถึง เวลานั้นคนทุกคนก็มีแต่ความเศร้าโศกเสียใจ ท่านที่เป็นพระอริยเจ้าก็แสดงอาการสลดใจ แม้แต่เทวดาทั้งหลายก็ปลงอนิจจัง คำว่า เตสัง วูปสโม สุโข ข้อความนี้เป็นถ้อยคำของพระอินทร์ ซึ่งแปลเป็นใจความว่า การเข้าไปสงบกายนั่นเชื่อว่ามีความสุข หมายความว่า การเข้าไปสงบกายก็คือ ไม่มีกายแบบนี้ต่อไป ได้แก่นิพพาน
    ฉะนั้น มัลละกษัตริย์จึงคอยพระมหากัสสป ขอย้อนกล่าวถึงพระมหากัสสป ท่านอยู่ในป่าชัฏ นึกถึงองค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์ อยากจะเฝ้าพระพุทธเจ้า ตอนนี้ก็ไม่ได้ใช้ฌานอีกนั่นแหละ ตั้งใจมาที่ปาวาลเจดีย์ แต่มาถึงก็ไม่พบองค์สมเด็จพระมหามุนี และก็ไม่พบพระสงฆ์ จึงได้ติดตามไป ไม่รู้จะถามใคร เดินไปเดินมาก็ไปพบปริพาชกคนหนึ่งเดินสวนทางมา ถือดอกชบาทำร่ม
    พระมหากัสสปก็แปลกใจว่า ดอกไม้ประเภทนี้เป็นดอกไม้สวรรค์ ชายคนนี้นำมาได้อย่างไร คงจะมีอะไรเกิดขึ้นกับองค์สมเด็จพระภควันต์เสียแล้ว จึงได้ถามข่าวถึงองค์สมเด็จพระทีปแก้ว ปริพาชกคนนั้นก็ตอบว่า เวลานี้พระสมณโคดมปรินิพพานแล้วที่ระหว่างนางรังทั้งคู่ ที่เมืองกุสินารามหานครดอกชบาที่ถือนี่ เป็นดอกชบาได้มาจากสวรรค์ ชาวสวรรค์บูชาพระสมณโคดม เขาพูดด้วยความไม่เคารพ คือว่าสมัยนั้นมีศาสนาอยู่มาก
    เมื่อพระมหากัสสป และบรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายได้สดับ ท่านที่เป็นพระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปก็ปลงธรรมสังเวช ว่า โอหนอ องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ที่มีพระมหากรุณาธิคุณกับพวกเรา เวลานี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จเข้าสู่ดับขันธ์ปรินิพพานเสีนแล้ว ทรงสลดใจ บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่เป็นพระอริยเจ้าก็ร้องไห้อย่างเปิดเผย ความจริงพระโสดาบันกับพระสกิทาคามีก็ยังมีสิทธิที่จะร้องไห้เหมือนกัน สำหรับพระโสดาบันมีสิทธิร้องไห้เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่พระสกิทาคามีก็พอจะระงับได้บ้างแต่น้ำตาไหล ตั้งแต่พระอนาคามีขึ้นไปก็รู้สึกว่าจะเป็นน้ำตกในมากกว่า เป็นอันว่าต่างท่านต่างก็สลดใจ
    พระมหากัสสปจึงได้พาพระสงฆ์ทั้งหลายไปสู่กุสินารามหานคร เห็นเขานำสรีระขององค์สมเด็จพระชินวรขึ้นเชิงตะกอนไว้ พระมหากัสสปได้พาบริษัทของท่านขึ้นไปบนพระเมรุมาศเพื่อขอขมาโทษต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปรากฏว่าในเวลานั้นเอง องค์สมเด็จพระบรมโลกนาถบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้แสดงพุทธปาฏิหาริย์เป็นกรณีพิเศษ ขณะที่พระมหากัสสปขอขมาโทษ และกราบถวายนมัสการต่อองค์สมเด็จพระประทีปแก้วแล้ว ปรากฏว่าพระบาททั้งสองขององค์สมเด็จพระพิชิตมารทะลุออกมาทางเบื้องท้ายของโลงศพพระมหากัสสป ก็กราบลงที่พระบาทสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วกล่าวคำขอขมาโทษต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า
    ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ พระพุทธเจ้าข้า ธรรมใดที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าได้มีพระมหากรุณาธิคุณแก่ข้าพระพุทธเจ้าทั้งสอง (หมายถึงท่านเองกับท่านภัทธิกาปิลาณี อดีตภรรยา) ซึ่งเดิมทีท่านทั้งสองมีความไม่ต้องการแต่งงาน แต่ทว่าผู้ใหญ่ของตระกูลทั้งสองซึ่งเป็นเศรษฐีใหญ่ถือว่า ตระกูลจะสิ้นไปจึงจับคนทั้งสองนี้มาแต่งงานกัน เมื่อแต่งงานกันแล้ว ท่านทั้งสองก็อยู่ร่วมกันอย่างพรหมจรรย์ไม่ได้ร่วมรักกันแบบสามีภรรยาปกติ ท่านทรงพรหมจรรย์มาตลอด ต่อเมื่อบิดาและมารดาทั้งสองฝ่ายตายหมด ท่านจึงมาปรารภกันว่า การครองเรือนมีแต่ความลำบาก มีแต่ความทุกข์
    ฉะนั้น พระมหากัสสปจึงได้กล่าวกับภัทธิกาปิลาณี ภรรยาว่า สมบัติที่เป็นของบิดามารดาของเจ้าก็ดี สมบัติที่บิดามารดาของเรามอบให้ก็ดี ทั้งหมดนี้ฉันขอมอบให้เธอ ฉันจะบวช เพราะว่าการครองเรือนมันลำบาก มีแต่ความทุกข์ ท่านภัทธิกาปิลาณีจึงกล่าวว่า ฉันก็มองไม่เห็นความสุขในการครองเรือนเหมือนกัน ฉันก็จะบวชเหมือนกัน แต่ความจริงทั้งสองท่านไม่เคยทราบว่า องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอุบัติแล้วในโลก นึกเอาในใจว่าเราจะรักษาพรหมจรรย์ แต่ความจริงท่านก็เป็นพรหมจรรย์อยู่แล้ว จริยาก็เป็นพรหมจรรย์
    ฉะนั้น ท่านทั้งสองจึงเอาสมบัติมาแบ่งปันให้แก่คนรับใช้ และคนยากจนทั้งหลายจนหมดสิ้น สองคนไม่เคยรู้ว่ามีพระ และพระเขาแต่งตัวกันยังไงก็ไม่ทราบ แต่จิตใจมีความต้องการว่า ผมเป็นของไม่ดี โกนมันทิ้งเสีย ในสมัยนั้นเขาถือว่า คนโกนผมเป็นคนจัญไร เป็นคนกาลกิณี ท่านก็เลยโกนผม แล้วก็ห่มผ้าย้อมน้ำฝาดเช่นเดียวกับองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างนี้จะถือว่า บุญเก่าของท่านทั้งสอง หรือว่าเทวดาดลใจก็ได้ ถ้าจะสงสัยว่าเหตุที่ท่านทั้งสองประพฤติพรหมจรรย์มาตั้งแต่แรกเลย เพราะท่านเป็นพระอนาคามีนี้ก็ไม่ถูก เพราะถ้าเป็นพระอนาคามีแล้วไปเกิดเป็นเทวดาหรือพรหม ก็ไม่กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก จะต้องบำเพ็ญบารมีต่อแล้วนิพพานบนนั้น ถ้าจะสันนิษฐานก็คือ ท่านทั้งสองนี้ในสมัยก่อนต้องเป็นพระสกิทาคามี แต่ถ้าเป็นพระสกิทาคามีปกติ ก็ยังมีกามคุณ แต่ก็ไม่มักมากในกามคุณ มีความมักน้อยในกามคุณ
    ดังนั้น จะว่าท่านเป็นพระสกิทาคามีก็จะผิดไป จะกล่าวให้ตรงกับความเป็นจริงก็ว่า ท่านทั้งสองนี้ก่อนจะตายในชาติก่อนก็ต้องอยู่ในโคตรภูญาณของพระอนาคามี คำว่าโคตรภูญาณของพระอนาคามี ก็ถือเป็นสกิทาคามีเต็มอัตรา และจิตกำลังก้าวเข้าสู่พระอนาคามี แต่ยังไม่ถึงจะอยู่ในช่วงระหว่างพระสกิทาคามีกับพระอนาคามี ฉะนั้น จิตของท่านทั้งสองนี้จึงไม่มีความพอใจในกามคุณ เมื่อเกิดมาในชาตินี้จิตไม่มีความรู้สึกในเรื่องกามคุณเลย ถึงแต่งงานกันก็เป็นแบบตุ๊กตาแต่งงานกัน
    เมื่อทั้งสองท่านนุ่งห่มผ้าย้อมน้ำฝาด มุ่งหน้าเข้าไปในป่าโดยเฉพาะตั้งใจว่า องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าบันดาลให้คนทั้งหลายหมดทุกข์ มีแต่ความสุขในการเปลื้องกิเลส พระองค์มีอยู่ ณ ที่ใด ข้าพเจ้าทั้งสองขอถึงองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นเป็นสรณะ ท่านบวชของท่านเองเฉย ๆ เดินตามกันไปถึงทางแยก ๒ แพร่ง ท่านพระมหากัสสปจึงกล่าวกับพระนางภัทธิกาปิลาณีว่า เราทั้งสองนี้เป็นผู้ทรงพรหมจรรย์ ฉันเป็นผู้ชาย เธอเป็นผู้หญิง การเดินทางร่วมกันไปจะดูไม่ดี
    ดังนั้น ถึงทาง ๒ แพร่ง แล้วเธอจงเลือกเอาว่าจะไปทางซ้ายหรือทางขวา แยกทางกันเดิน นางภัทธิกาปิลาณีก็ว่า ขอท่านไปทางขวา ฉันจะไปทางซ้าย ไปตามกำลังใจของฉัน ก็เป็นการบังเอิญหรือว่าเทวดาลดใจ หรือว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสงเคราะห์ก็ไม่ทราบได้ นางภัทธิกาปิลาณีก็ไปสู่สำนักของนางภิกษุณี ขออุปสมบทเป็นนางภิกษุณี สำหรับพระมหากัสสปก็เดินตรงไปสู่สำนักขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขออุปสมบทบรรพชา พระพุทธเจ้าก็ทรงอนุญาตรับเป็นพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา เป็นอันว่าทั้งสองฝ่ายก็ได้บวชสมความปรารถนา
    พระมหากัสสปจึงได้กล่าวว่า เพราะเหตุนี้ชื่อว่าองค์สมเด็จพระมหามุนีบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีพระมหากรุณาธิคุณแก่ข้าพระพุทธเจ้าทั้งสองเป็นประการแรก ต่อมาเมื่อข้าพระพุทธเจ้าทั้งสองบวชแล้ว ข้าพระพุทธเจ้าเองได้กราบทูลต่อองค์สมเด็จพระประทีปแก้วว่า จะขอถือ ธุดงควัตร ๑๓ ประการครบถ้วนในการปฏิบัติ เพื่อเป็นตัวอย่างแก่อนุชนรุ่นหลังต่อไป องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงสมาทานจริยาธุดงค์แก่ข้าพระพุทธเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าจึงได้นำบริษัท ๕๐๐ รูป ซึ่งเป็นศิษย์เข้าสู่ป่า ประการที่สองนี้ชื่อว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีพระมหากรุณาธิคุณแก่ข้าพระพุทธเจ้าอย่างยิ่ง ยากที่จะนำทุกสิ่งเข้ามาเปรียบเทียบ ในพระมหากรุณาธิคุณนี
     
  6. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,048
    ต่อมาในครั้งหลัง ถอยหลังไปจากนี้ ๓ เดือนเศษ ในตอนนั้นองค์สมเด็จพระบรมโลกนาถทรงเตือนข้าพระพุทธเจ้า ซึ่งข้าพระพุทธเจ้าจะไปธุดงควัตร องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์ได้ทรงเตือนข้าพระพุทธเจ้าแล้วว่า “กัสสปะ ดูก่อน กัสสปะ เธอก็แก่แล้ว ตถาคตก็แก่แล้ว นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เธอจงงดการธุดงควัตรเสีย อยู่คามวาสีรับเครื่องสักการะจากบรรดาประชาชนที่มีความเสื่อมใส” แต่ข้าพระพุทธเจ้าก็กราบทูลองค์สมเด็จพระจอมไตรว่า “การปฏิบัติเช่นนี้ไม่ได้หวังความดีกับตน (เพราะว่าท่านเป็นพระอรหันต์) ต้องการให้เป็นตัวอย่างแก่อนุชนรุ่นหลังได้ทราบว่า ในสมัยที่องค์สมเด็จพระจอมไตรยังทรงพระชนม์อยู่ มีสาวกขององค์สมเด็จพระบรมครูท่านหนึ่งมีนามว่า พระมหากัสสปได้ถือธุดงควัตรเป็นจริยาอันดับหนึ่งของผู้อยู่อรัญวาสี”
    ฉะนั้น องค์สมเด็จพระมหามุนีก็ไม่ทรงขัด แต่ว่าองค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์ก็ได้มีพระพุทธฎีกาตรัสว่า “กัสสปะ ดูก่อน กัสสปะ เวลานี้สังฆาฏิของเธอเก่ามากแล้ว ผ้าสังฆาฏิของตถาคตยังใหม่อยู่ แล้วองค์สมเด็จพระบรมครูทรงประทานผ้าสังฆาฏิของพระองค์แก่ข้าพระพุทธเจ้า แล้วก็ทรงรับผ้าสังฆาฏิเก่าของข้าพระพุทธเจ้าไปทรงครอง” อย่างนี้ก็จัดว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันประเสริฐ แต่ว่าข้าพระพุทธเจ้าก็ถือว่าเป็นโทษอย่างหนึ่งที่องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงห้ามปรามแล้ว ก็ขัดขืน ถึงแม้ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไม่ทรงเอาโทษ แต่ข้าพระพุทธเจ้าก็ถือว่า พระองค์ทรงโปรดแล้ว ข้าพระพุทธเจ้าขัดขืน นั่นเป็นการไม่ดี
    ฉะนั้น ในวันนี้ “ข้าพระพุทธเจ้าขออภัยโทษต่อองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอพระองค์ได้ทรงอดโทษให้แก่ข้าพระพุทธเจ้าตั้งแต่บัดนี้ไปจนกว่าจะถึงวันที่ข้าพระพุทธเจ้าจะเข้าสู่นิพพาน” ครั้นเมื่อพระมหากัสสปได้กล่าวคำขอขมาโทษต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว พระบาททั้งสองขององค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็หายเข้าไปในโลงทอง เวลานั้นก็ปรากฏว่าไฟที่ไม่มีใครจุดก็ลุกเผาสรีระขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นเหตุอัศจรรย์ หมายความว่า เป็นไฟของบรรดาเทวดาและพรหมทั้งหลายจุดขึ้นเป็นไฟสวรรค์
    ด้วยจริยาของพระมหากัสสปอย่างนี้ ก็ขอบรรดาท่านที่มีความเคารพในพระพุทธศาสนา จงทำใจของเรานี้ให้เหมือนกับพระมหากัสสป ทั้งนี้เพราะว่ากิจนิดหนึ่งที่พระมหากัสสปะมาขอขมาโทษต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เพราะว่า สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทักท้วงว่า “เธอก็แก่แล้ว เราก็แก่แล้วอยู่ด้วยกันเถอะจะได้เป็นเพื่อนกัน รับสักการะจากชาวบ้านที่เขามาบูชา แต่พระมหากัสสปก็กราบทูลองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ที่ทำนี้ไม่ได้ทำดีเพื่อตัว ทำเป็นตัวอย่างแก่บรรดาอนุชนรุ่นหลัง สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงอนุญาต”
    ถ้าตามจริยาของชาวบ้านเราก็ถือว่าไม่มีโทษ แต่ถ้าเป็นพระอรหันต์ก็เห็นว่า ถ้าจริยาใดที่เป็นการขัดข้องในคำแนะนำขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว พระอรหันต์ทุกองค์ถือว่ามีโทษหนัก
    ทั้ง ๆ ที่ไม่มีโทษทางวินัย ไม่มีโทษทางธรรมะ ก็ถือว่ามีโทษทางจริยาคนยิ่งดีเท่าไรเขาก็ยิ่งลงโทษตัวเองเท่านั้น ฉะนั้นขอทุกคนจงจำจริยาของพระมหากัสสปนี้ไว้ ถ้อยคำอันใดที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสอนเรา ต้องถือว่า ถ้อยคำนั้นเป็นสิ่งที่เราต้องปฏิบัติทุกประการ
    หลังจากนั้นเมื่อไฟสงบ มัลละกษัตริย์ทั้งหลายและบรรดาพระสงฆ์ก็เข้าไปสู่เชิงตะกอน ปรากฏว่าสรีระขององค์สมเด็จพระชินวรก็ไหม้ไปหมด บรรดาผ้าขาว ๔๙๙ ชิ้น และก็สำลี ๔๙๙ ชั้น ถูกไฟไหม้หมด เหลือผ้าขาว ๑ ชิ้น กับสำลีอีก ๑ ชิ้น ห่ออัฐิธาตุ คือพระบรมสารีริกธาตุขององค์สมเด็จพระบรมโลกนาถไว้กับพระเขี้ยวแก้ว มัลละกษัตริย์กับบรรดาพระอรหันต์ทั้งหลายจึงอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุกับพระเขี้ยวแก้วขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าสู่พระราชนิเวศน์เก็บไว้ในที่อันสมควร
    ตอนนี้กล่าวว่า เมืองใหญ่ คือเมืองกบิลพัสดุ์ เมืองพาราณสี แล้วก็เมืองราชคฤห์ เป็นต้น และที่เป็นเมืองมหาอำนาจหลายเมืองได้พากันยกทัพมาจะขอพระบรมสารีริกธาตุ ถ้าไม่ให้ก็จะรบ บรรดามัลละกษัตริย์ก็ไม่ยอม ถึงแม้ว่าจะเป็นเมืองเล็ก แต่ก็เป็นเมืองที่นับถือพระพุทธศาสนา เข้าใจว่าบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคงจะช่วย แต่ทว่าอาศัยโทณพราหมณ์ เป็นพราหม์อยู่เมืองกุสินารามหานคร เป็นพราหมณ์ที่บอกอัตปัญหาแก่พระราชาเป็นปุโรหิต เป็นคนมีความรู้ดี พ่อแม่ให้นามว่า โสณะ แต่ว่ามาอยู่กับพระราชาเขาตั้งเป็นปุโรหิต โทณพราหมณ์กราบทูลกับมัลละกษัตริย์และเจรจากับกษัตริย์ทั้งหลายว่า พระบรมสารีริกธาตุนี้ควรจะแบ่งปันกัน เพราะว่าทุกคนมีส่วนร่วมในการเคารพในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นอันว่าตกลงกันเสร็จ
    เวลานั้นปรากฏว่าเวลาที่โทณพราหมณ์เปิดห่อพระบรมสารีริกธาตุ เห็นพระเขี้ยวแก้ว จึงคิดว่าพระเขี้ยวแก้วขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีเขี้ยวเดียวที่เป็นแก้วจริง ๆ นอกนั้นเป็นฟันธรรมดา สิ่งนี้มีชิ้นเดียวให้ใครก็ไม่เหมาะ จึงเอาไว้เองซ่อนไว้ในมวยผม แต่พระอินทร์ท่านเห็นว่าไม่สมควรกับโทณพราหมณ์ จึงเอาพระเขี้ยวแก้วไปบรรจุไว้ที่พระจุฬามุนีเจดีย์สถานบนชั้นดาวดึงส์เทวโลก
    เวลาที่แจกหมดแล้วก็มาคลำดู เห็นหายไปจากมวยผม จึงได้ขอทะนานที่สำหรับตวงพระบรมสารีริกธาตุเอาไปบูชา เป็นทะนานทอง เมื่อได้รับทะนานแล้ว จึงได้นามว่าโทณพราหมณ์ แปลว่า พราหมณ์ผู้รับทะนานไป ฉะนั้นโทณพราหมณ์เมื่อได้รับทะนานทองแล้วก็เดินทางมาสู่เมืองทวาราวดี ตามปกติมาเสมอๆ มีหมู่บ้าน ๆ หนึ่งเขาเรียกว่าหมู่บ้านพราหมณ์ ใกล้ ๆ กับพระประโทณนั่นแหละ หมู่บ้านนี้เป็นหมู่บ้านของโทณพราหมณ์หรือโสณะพราหมณ์ เมื่อได้รับทะนานทองมาแล้วก็ทำเป็นเจดีย์ขึ้นเป็นองค์ย่อมๆ บรรจุทะนานที่ตวงพระบรมสารีริกธาตุไว้ที่นั่นแล้วก็ทำการบูชา
    หลังจากที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ท่านอาชีวกโกมารภัจก็มีสภาพคล้า
    ย ๆ พระอานนท์ เหมือนเงาตามตัวพระพุทธเจ้า เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วก็เสียใจ ท่านไม่กลับบ้าน เข้าไปในถ้ำลึก ท่านเป็นพระโสดาบันเมือนพระอานนท์ ท่านบอกว่าเข้าไปในถ้ำลึกแล้ว
    คนที่เห็นแก่ตัวก็ยังตามไปขอยาอีก ท่านก็หนีต่อไปคนไม่ทราบว่าไปไหน ยอมนอนตายตรงนั้น ไม่กินข้าวไม่กินปลา ไม่ลุกจากที่ทั้งหมดคิดว่าองค์สมเด็จพระบรมสุคตปรินิพพานแล้ว เราหมดที่พึ่งปล่อยให้มันตายไปซะเลยดีกว่า
    ปรากฏว่านอนอยู่แบบนั้น ๓ วัน วันที่ ๓ มีแสงแปลบปลาบเข้ามาคล้ายกับแสงฟ้าแลบแล้วก็เสียงเหมือนกับฟ้าผ่า เสียงนั้นหายไปก็ได้ยินว่า “โกมารภัจ เธอเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช่ไหม” ท่านก็ตอบว่า “ใช่” มีแสงและเสียงแบบนี้ ๓ วาระ ท่านก็นึกขึ้นมาได้ ว่าจะมานั่งเสียใจด้วยเหตุอันใด เวลานี้ตัดสินใจเพื่อพระนิพพานดีกว่า แล้วในที่สุดก็ปรากฏว่า ท่านบอกว่า ท่านนอนหลับไปไม่ตื่น ไม่ตื่นก็หมายถึงว่าท่านถึงนิพพาน ถ้าตัดสินใจแบบนั้นก็นิพพานทุกคน
    เมื่อองค์สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงปรินิพพานแล้ว พระอานนท์ท่านก็เหมือนกับเงาตามตัวขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว และมีรูปร่างคล้ายคลึงพระพุทธเจ้ามาก แต่ต่ำกว่าพระพุทธเจ้าเพียง ๔ นิ้วเท่านั้น เวลาท่านเดินไปเดี่ยวบางทีพระเข้าใจว่าพระอานนท์คือพระพุทธเจ้า คือมีรูปร่างคล้ายคลึงกันมาก แม้แต่พระที่อยู่ด้วยกันยังมีความสงสัยคิดว่าพระอานนท์ คือพระพุทธเจ้า ก็ต้องเหมือนกันมากทีเดียว เป็นอันว่าคนจะเหมือนกันมากหรือน้อย เป็นเรื่องของบุญกุศล ตอนนั้นพระมหากัสสปจะทำปฐมสังคยานา เลือกพระปฏิสัมภิทาญาณที่ได้รับคำสอนจากพระพุทธเจ้าโดยตรงได้ ๔๙๙ รูป เป็นอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณทั้งหมดเว้นไว้รูปหนึ่งเพื่อพระอานนท์ และก็เตือนพระอานนท์ว่า ต่อแต่นี้ไปจะทำปฐมสังคยานาที่กรุงราชคฤห์มหานคร
    หลังจากนั้นก็แยกย้ายกันไป พระอานนท์ก็แยกไปทางหนึ่ง เวลาจะไปไหนท่านก็หอบเอาสงบจีวร ที่นอนเครื่องใช้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปด้วย เป็นต้นว่า มีบาตร จีวร สังฆาฏิ ที่ไม่ได้ถูกเผาไปในวันนั้น บรรดาประชาชนทั้งหลายเห็นพระอานนท์ที่ไหน ก็นึกถึงพระพุทธเจ้า พระอานนท์กับพระพุทธเจ้าไม่เคยห่างไกลกัน คนก็ร้องไห้นึกถึงพระพุทธเจ้า พระอานนท์ก็เทศน์ เทศน์แล้วคนก็ชอบใจ ทำให้เขาเกิดความชื่นบาน วันรุ่งขึ้นจะทำปฐมสังคายนา พระอานนท์ก็ยังไม่ได้อรหันต์ บรรดาพระทั้งหลายก็เตือนกันว่า ต้องรีบเร่งเข้านะ ตอนกลางคืนพระอานนท์นึกถึงองค์สมเด็จพระประทีปแก้ว เดินจงกรมตั้งแต่หัวค่ำถึงตอนดึกใกล้สว่าง ก็ยังไม่ได้บรรลุมรรคผล จึงคิดว่าจะใช้เวลาวิริยะมากเกินไปอยากจะพักผ่อนสักประเดี๋ยวหนึ่ง ก็เอนกายลงนอน ตอนนี้ก็ลดจากการเครียด ได้สำเร็จอรหันต์พร้อมไปด้วยปฏิสัมภิทาญาณ
    จำไว้ให้ดีนะลูก ว่าปฏิบัติถ้ามันเครียดเกินไป มันก็ไม่ได้ผล ขณะที่พระอานนท์ละกำลังใจนิดหนึ่ง เพื่อจะนอน จิตไม่ได้ว่างจากฌาน แต่ว่าคลายอารมณ์ ตอนต้นนึกว่าจะให้บรรลุมรรคผล พิจารณาตัดมาตัดไป มันก็เลยยุ่ง กำลังจิตเครียดหนัก ในที่สุดพอเพลาหน่อยก็ได้อรหัตผล ตอนเช้าเป็นวันที่เขาจะปฐมสังคายนา ท่านก็ดำดินจากที่ท่านอยู่ไปโผล่ขึ้นที่อาสนะที่ท่านจะนั่ง แสดงว่าท่านนั้นสำเร็จอรหัตผลพร้อมไปด้วยปฏิสัมภิทาญาณแล้ว การทำปฐมสังคายนาร้อยกรองคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระทีปแก้วในเวลานั้นจึงมีพระอรหันต์ครบ ๕๐๐ รูป และก็เป็นอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นพระอรหันต์ที่รับฟังคำสอนมาจากพระพุทธเจ้าโดยตรงด้วย
    ช่วยกันร้อยกรองเข้าไว้และเรียงลำดับเป็นพระวินัย พระสูตร พระอภิธรรม พระวินัยปิฏก มีสองหมื่นหนึ่งพันพระธรรมขันธ์ พระสุตตันปิฏกมีสองหมื่นหนึ่งพันพระธรรมขันธ์ พระอภิธรรมปิฏกมีสี่หมื่นสองพันพระธรรมขันธ์ รวมเป็นแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์
    ถ้าจะกล่าวถึงเรื่องพระพุทธศาสนาในประเทศอินเดีย เราถูกศาสนาฮินดูทำลายเสียยับเยินกระทั่งมาถึงสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช มาฟื้นฟูขึ้นใหม่ เวลานั้นก็ผ่านไปตั้ง ๒๐๐ ปีเศษ ฉะนั้นสถานที่ต่าง ๆ ที่จะพึงจดจำกันอาจจะพลาดกันบ้าง เวลาที่พวกเราไปนั่งกันที่โคนต้นโพธิ์ ที่เขาเรียกกันว่า โพธิตรัสรู้ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ พ่อก็นึกแปลกใจเหมือนกัน ว่าทำไมความรู้สึกจึงเป็นไปอย่างนั้น แต่เป็นเพราะจิตที่เคยฝึกสมาธิจนชิน หรือว่าจะเป็นเพราะอารมณ์เคลิ้มก็ได้ ถ้าพูดว่าอารมณ์เคลิ้มก็เห็นว่าจะถูก ทั้งนี้เพราะว่า ๑. เหนื่อยเกินไป ๒. ความร้อนมาก ๓. จิตตั้งใจเกินไป
    เมื่อมีอารมณ์เคลิ้ม ก็มีภาพเกิดขึ้น อย่างนี้ถ้าจะถือว่าเป็นการใช้ฌานสมาบัติก็ไม่ถูกจะเรียกว่าการใช้อภิญญาก็ไม่ถูก ความจริงถ้าจะถือว่าพ่อเป็นพระมีฌานสมาบัติ หรือว่าพ่อเป็นพระมีอภิญญาพ่อไม่เคยบอกใคร ว่าพ่อมีอย่างนั้น พ่อมีอารมณ์อย่างเดียว คือความรักพระพุทธเจ้า และก็ชอบพระพุทธเจ้าเป็นพิเศษ มีความสนใจในพระพุทธเจ้ามาตั้งแต่เด็ก เพราะว่าพ่อเคยเห็นพระพุทธเจ้าตามภาพนิมิตก่อนที่จะตายวาระแรกเห็นพระองค์สวยสดงดงามมาก ฉะนั้นภาพนั้นจึงติดตาติดใจพ่ออยู่ตลอดเวลา เห็นจะเป็นเพราะจิตผูกพันในพระพุทธเจ้ามาก จึงได้มีอารมณ์เคลิ้ม และมีภาพเกิดขึ้น
    สำหรับต้นโพธิ์ที่พระท่านบอกว่า ต้นโพธิ์ต้นนี้เป็นต้นที่ ๔ ที่พระพุทธเจ้าทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ โพธิ์ต้นก่อนตายไป แล้วก็เกิดต้นโพธิ์ใหม่ ๔ คราว ชั่วระยะเวลา ๒,๐๐๐ ปีเศษ ก็น่าจะพูดว่าอย่างนั้น เพราะถ้าบอกว่าโพธิ์ต้นที่เห็นอยู่ปัจจุบันมีอายุ ๒,๐๐๐ ปีเศษ พ่อก็คงไม่เชื่อเหมือนกัน ถ้าต้นไม้ที่มีอายุ ๒,๐๐๐ ปีเศษ ต้นต้องโตและมีอะไรเป็นกรณีพิเศษ ต่อนี้ไปก็มาวินิจฉัยว่าต้นโพธิ์ที่เราเห็นอยู่ตรงนั้น เป็นต้นที่เกิดตรงกับที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จประทับนั่งบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณหรือเปล่า เป็นอันว่าเรื่องนี้ก็เห็นจะไม่ต้องบอกกับบรรดาลูกรักทั้งหลาย เพราะลูกของพ่อทุกคนมีความเข้าใจดี ถึงเรื่องโพธิ์ที่องค์สมเด็จพระประทีปแก้วทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณว่าอยู่ตรงไหน ความจริงพ่อทราบจากพระมหาวิจิตรว่าทางฝ่ายธิเบตเขาได้ตำราไว้มาก ได้หลักฐานไว้มาก เป็นอันว่าธิเบตก็เข้าใจตรง
    และบรรดาลูก ๆ ทุกคนก็เข้าใจตรง แต่ก็จะมีประโยชน์อะไรที่จะมานั่งคิดกันว่า ต้นโพธิ์ต้นนั้นอยู่ตรงไหน เพราะว่าการบูชาพระพุทธเจ้าไม่จำเป็นจะต้องไปบูชาที่ต้นโพธิ์ สังเวชนียสถาน ๔ แห่ง คือ ที่ประสูติ ตรัสรู้ แดนปฐมเทศนา พระปรินิพพาน การที่องค์สมเด็จพระพิชิตมารทรงแนะนำไว้ในกาลนั้น ว่าควรจะระลึกถึงที่ ๔ แห่งนี้ก็เพราะว่า องค์สมเด็จพระชินสีห์ต้องการให้ทุกคนมีความเข้าใจว่า เกิดขึ้นมาแล้วก็ดี ความเปลี่ยนแปลงของชีวิตและร่างกาย มันก็เป็นไปตามลำดับ
     
  7. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,048
    ในที่สุด จากฆราวาสก็มาเป็นพระ จากพระก็เป็นนักเทศน์ จากเทศน์ก็ตาย ถ้าเราไปที่ประสูติหรือตรัสรู้ หรือที่ปรินิพพาน หรือที่แสดงปฐมเทศนา ถ้าเราคิดอย่างนั้นมันก็มีประโยชน์
    แต่ถ้าเราจะคิดว่าไปเอาดินจากสังเวชนียสถานมาทำพระขายกันนี่ พ่อมองไม่เห็นประโยชน์เหมือนกัน ฉะนั้น การไหว้พระพุทธเจ้า เราจะไหว้ที่ประสูติ ไหว้ที่ตรัสรู้ ไหว้ที่แสดงปฐมเทศนา หรือไปไหว้ที่ปรินิพพาน หรือว่าเราจะไหว้ในห้องบ้านของเรา แต่ทว่าเราไหว้ด้วยความเคารพ การบูชาใช้ ๒ อย่าง คือ อามิสบูชา บูชาด้วยของมีวัตถุ ดอกไม้ ธูป เทียน เป็นต้นก็ดี หรือว่าจะบูชาด้วยปฏิบัติบูชา ด้วยช่วยกันทั้งสองอย่าง ถ้าการบูชาครบทั้งสองอย่างนี้ เราไหว้พระพุทธเจ้าตรงไหนก็ถึงที่นั่น
    เป็นอันว่า จุดที่ลูก ๆ ไปบ้านนางสุชาดา พ่อคิดว่าตรง สำหรับเมืองพาราณสีก็น่าจะมีอะไรดี ๆ อยู่มาก ทั้งนี้ เพราะเมืองราชคฤห์ คือ รัฐวิหาร มีเขตติดต่อกับกรุงพาราณสี สมัยโน้นเมืองราชคฤห์เป็นเมืองที่พระเจ้าอชาตศัตรูกบฏต่อพระราชบิดา ซึ่งมีพระเจ้าพิมพิสารเป็นพระราชาปกครองประเทศ มีพระสหายรวมกัน ๔ ท่าน คือ
    ๑. สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในสมัยเมื่อเป็นสิทธัตถะราชกุมาร
    ๒. พระเจ้าปเสนทิโกศล แห่งเมืองพาราณสี คือ เป็นลูกชายของพระราชาเมืองนั้น
    ๓. กรุงราชคฤห์ คือ พระเจ้าพิมพิสาร เป็นลูกของพระราชาเมืองราชคฤห์
    ๔. พันธุรเสนา เป็นลูกของพระราชาเมืองไหน นึกไม่ออก
    ทั้ง ๔ ท่าน เป็นเพื่อนที่สนิทสนมกัน มีความรักใคร่กันมาก เวลาที่ไปศึกษาที่เมืองตักกศิลาก็ไปด้วยกัน เวลาจบก็จบพร้อมกัน ต่างคนต่างก็เรียนเก่ง เมื่อกลับมาแล้ว ก็ต้องมาแสดงความรู้ความสามารถให้หมู่พระประยูรญาติดู ให้พากันชม เป็นการสอบความสามารถที่ศึกษามาได้นั่นเอง สำหรับทั้ง ๓ ท่าน สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลานั้นต้องเรียกว่าสิทธัตถะราชกุมาร พระเจ้าพิมพิสาร พระเจ้าปเสนทิโกศล แสดงความสามารถให้หมู่พระประยูรญาติชม ก็เป็นที่ชื่นชมยินดีของหมู่พระประยูรญาติ เป็นอันว่าไม่มีอะไรน่าตกใจ แต่ทว่า พันธุรเสนา เป็นนักรบที่มีกำลังกล้ามาก ท่านนี้เวลาไปแสดงความสามารถ ท่านให้เอาไม้ลำใส่สำให้สูงขึ้นไป ท่านจะโดฟันผ่าไม้ลำตั้งแต่ปลายโน่นให้ลงถึงพื้นดิน มีกำลังมาก
    แต่ว่าบรรดาหมู่พระประยูรญาติแกล้ง เอาเหล็กเข้าไปขวางไว้ แต่ว่าท่านฟันลงมาปั๊บรู้สึกว่าดังกริ๊ก จึงได้ถามหมู่พระประยูรญาติว่า ไม้ทำไมถึงดังกริ๊กข้างใน เอามาดูปรากฏว่าเป็นเหล็ก ท่านก็เสียใจ คิดว่าบรรดาท่านทั้งหลายไม่ซื่อสัตย์กับท่าน ถ้าบอกกับท่านสักหน่อยเดียวว่าอันนี้มีเหล็ก จะฟันไม่ให้ดังกริ๊กเลย เท่านั้นแหละจึงได้ออกจากเมืองไปอยู่กับพระเจ้าปเสนทิโกศล พระเจ้าปเสนทิโกศลก็ให้เป็นคนตัดสินความ มีหน้าที่ชำระความ ท่านก็ตัดสินด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ต่อมาไม่ช้าอำมาตย์ปัจจามิตรที่เคยได้สินบนก็คิดฆ่าท่านเสีย
    เป็นอันว่าลูก ไปเมืองพาราณสีกันมาก ก็เพราะว่าเมืองพาราณสีเป็นเมืองประวัติศาสตร์สำหรับลูก ๆ ความจริงกรุงราชคฤห์ก็น้อมอยู่ในประวัติศาสตร์ของลูก ๆ เหมือนกัน เพราะว่าพระเจ้าพิมพิสารกับพระเจ้าปเสนทิโกศลทรงเป็นพระสหายกัน และเป็นพระสหายที่รักกันมาก องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแล้วเทศน์สอนปัญจวัคคีย์ฤาษีทั้ง ๕ แล้ว ก็มุ่งไปกรุงราชคฤห์มหานคร ทั้งนี้เพราะว่าจอมบพิตรอดิศร คือ พระเจ้าพิมพิสารอาราธนาไว้ว่า ถ้าบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณเมื่อใด ขอให้มาโปรดข้าพเจ้าก่อน
    สำหรับพระเจ้าปเสนทิโกศลกับพระเจ้าพิมพิสารนี้ ต่างคนต่างก็ได้แต่งงานกับน้องสาวซึ่งกันและกัน ต่างคนต่างก็เป็นพี่เมียซึ่งกันและกัน ต่างคนต่างก็เป็นน้องเขยซึ่งกันและกัน เวลาคุยกันจะคุยกันแบบไหน พ่อก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน แต่ว่าสำหรับลูก ๆ คงมีความผูกพันอยู่ในเมืองพาราณสีมาก เพราะเรื่องราวของพระเจ้าปเสนทิโกศลกับเรื่องราวของลูก ๆ เกี่ยวพันกันมาก ความจริงมาถึงตอนนี้ พ่อก็อยากขอชมลูก ลูกทุกคนที่ไปเที่ยวมาแล้ว แล้วก็ใช้กำลังสมาธิพิสูจน์เหตุการณ์ต่าง ๆ และก็หลายคนบันทึกรายงานเข้ามา รู้สึกว่าถูกต้องดี คือว่าทุกอย่างให้เป็นไปตามอัธยาศัย นั่นแหละดีที่สุด และชื่อว่าทำดีและก็ถูกต้องด้วย ถ้าหากว่าทุคนจะพยายามใช้อารมณ์แบบนั้น เห็นอะไรขึ้นมาก็ใช้กำลังใจทันที ให้มันใช้ได้โดยฉับพลัน แบบนี้จะมีคุณเป็นประโยชน์ แทนที่จะมีโทษ ประโยชน์มันจะใหญ่
    สำหรับ ภูเขาคิชฌกูฏ เป็นภูเขาประวัติศาสตร์ของทางพระพุทธศาสนา คิชฌกูฏนี้ก็เป็น เนิน ๆ หนึ่ง จะว่าเป็นภูเขาก็ไม่ชัด เป็นเขาต่ำ เป็นภูเขาที่พระเทวทัตคิดล้างผลาญพระพุทธเจ้า คือ กลิ้งหินให้ทับพระพุทธเจ้า ขณะที่พระพุทธเจ้าเสด็จประทับอยู่ที่เชิงเขา พ่อพูดตามอารมณ์ใจเมื่อเวลาคุยธรรมะ พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ขณะใดถ้าเราสั่งสนทนาธรรม ขณะนั้นจิตก็ว่างจากกิเลส” ถ้าจิตว่างจากกิเลส มันก็เกิดอารมณ์รู้ ก็สามารถจะรู้อะไรต่ออะไรได้ เวลานั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ที่เชิงเขาคิมฌกูฎในยามเย็น องค์สมเด็จพระจอมไตรเสด็จประทับอยู่พระองค์เดียวบนก้อนหินก้อนหนึ่งหันหลังให้ภูเขาคิชฌกูฏ หันหน้าออกไปด้านหน้าแต่ไม่ได้หันตรงนัก เป็นเฉียง ๆ นิด ๆ หันหลังให้ภูเขาคิชฌกูฏ หันหน้าไปทางทิศตะวันออก กางมือออกไปทิศใต้แล้วก็เฉียงไปตะวันตกนิด ๆ
    เวลานั้นเป็นโอกาสที่พระเทวทัตคิดจะล้างผลาญองค์สมเด็จพระบรมโลกนาถ จึงได้กลิ้งหินลูกใหญ่ มันเป็นทางเรียบ การกลิ้ง กลิ้งมาทางทิศใต้ การที่พระเทวทัตคิดจะทำร้ายองค์สมเด็จพระบรมครู อย่านึกว่าพระพุทธเจ้าท่านไม่ทราบ แต่ว่าถ้าถามว่าเมื่อทราบแล้ว มานั่งให้พระเทวทัตทำร้ายเพราะอะไร ก็จะต้องตอบว่า จะนั่งตรงไหนก็ตาม วันนั้นพระเทวทัตก็ต้องหาทางทำร้ายพระพุทธเจ้าให้ได้ เพราะว่าเวลาที่พระพุทธเจ้าเสด็จประทับอยู่ภูเขาคิชฌกูฏ หรือประทับที่ไหนก็ตาม จะต้องประทับเดี่ยว บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายอยู่เหมือนกัน แต่ก็อยู่ไกลออกไป แต่ก็ไม่ไกลกันมากนัก ไม่ต้องอยู่เวรอยู่ยามกัน จะมีบ้างก็ได้แก่ พระอานนท์เป็นพุทธอุปัฏฐาก ถ้าเวลาพระพุทธเจ้า
    เสด็จทรงพระสำราญ พระอานนท์ก็จะหลีกไปให้ห่าง จะเข้ามาใกล้ ๆ ต่อเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเรียก
    เป็นอันว่าขณะที่พระองค์กำลังนั่งดูอากาศ ดูทิวทัศน์ ดูบรรดาประชาชนที่เดินไปเดินมา แล้วก็มีพระมหากรุณาธิคุณคิดว่า โอหนอ บรรดาประชาชนเหล่านี้ที่เดินไปเดินมา ที่ยังมีความประมาทอยู่มาก องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ใคร่ครวญคิดจะหาทางใดหนอ ที่จะสงเคราะห์เขาให้มีความเข้าใจว่า โลภะ ความโลภ ราคะความรัก โทสะ ความโกรธ โมหะความหลง มันเป็นภัยใหญ่ การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันเป็นทุกข์ ทำอย่างไรเขาจึงจะมีความสุข พระองค์ทรงใคร่ครวญ เป็นวิสัยของพระพุทธเจ้า
    ในขณะนั้นเองลูกรัก เป็นโอกาสของพระเทวทัตขยับก้อนหินใหญ่ให้กลิ้งลงมา มันเป็นทางเฉพาะ เป็นทางจำกัดที่จะต้องมาชนพระพุทธเจ้าจนได้ แต่ทว่าอาศัยบารมีขององค์สมเด็จพระจอมไตร บรรดาพรหม และเทวดาทั้งหลายบันดาลให้กินก้อนโตกว่าบังไว้ หินก้อนนั้นมากระทบหินก้อนใหญ่กว่าซึ่งแข็งกว่า ด้วยอำนาจของเทวดา กินก้อนนั้นก็แตกกระจัดกระจาย สะเก็ดก้อนเล็ก ๆ ไม่เท่ากำปั้น กระเด็นมาถูกพระบาทขององค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ ถึงกับห้อพระโลหิต
    แต่ว่าองค์สมเด็จพระธรรมสามิสจะได้ทรงกริ้วโกรธก็หาไม่ เป็นอันว่าหินที่พระเทวทัต กลิ้งลงมาได้กระจายไป หมดไปแล้ว หินที่ขึ้นมาขวางไม่ให้องค์สมเด็จพระประทีปแก้วมีอันตราย เวลานี้ยังคงมีอยู่เป็นหินก้อนใหญ่แต่ก็ไม่โตมากนัก แต่ก็มีกำลังขวางพอ เวลานี้เป็นหินที่สูงขึ้นมาไม่มาก เพราะดินมันงอกขึ้นมา ภูเขาคิชฌกูฏ เป็นเขาประวัติศาสตร์ที่องค์สมเด็จพระบรมโลกนาถเสด็จประทับเพื่อแสดงพระธรรมเทศนา และท่านพระมหาโมคคัลลาน์เคยพบเปรตต่าง ๆ ที่เขตเขาคิชฌกูฏ
    เราก็มานั่งพิจารณากันถึงว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทำเพื่อเราทุกคน พระองค์ต้องทรงบำเพ็ญบารมีมาถึง ๔ อสงไขยแสนกัป และต้องต่อสู้กับความลำบากองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าต่อสู้มาตามลำดับตั้งแต่ต้น ถอยหลังไปตั้งแต่เรื่องพระเวสสันดรหรือทศชาติ จะเห็นว่าองค์สมเด็จพระบรมโลกนาถทรงมีความลำบากมาก ต้องอดทนทุกอย่าง ต่อสู้กับอุปสรรคทุกอย่างเพื่อเรา ฉะนั้น ถ้าหากว่าเราเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเกิดมาสร้างความเลว ไม่เชื่อฟังพระพุทธเจ้า มันจะสมไหมกับที่องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์ต้องใช้ความเพียรพยายามอย่างมาก เพื่อจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ให้มีความสุข
    สมมติว่าอย่างพ่อนี่ พ่อเองพ่อก็ไม่ใช่คนดีนะลูกนะ อย่าไปนึกว่าพ่อเป็นคนดี เป็นคนประเสริฐ พ่อบอกลูกแล้วว่า พ่อมองไม่เห็นความดีมันมีตรงไหน แก่ลงไปทุกวันยุ่งยากด้วยประการทั้งปวง มีความเหน็ดเหนื่อยด้วยเหตุประการต่าง ๆ จิตจะต้องห่วงคนนั้นห่วงคนนี้ ตามหน้าที่ของพ่อกับลูก แต่ว่าอีกส่วนหนึ่งของจิตก็ยกไว้ พูดไปมันก็เป็นภัยกับตัวเอง พ่อก็ทำได้แค่นี้แหละ ไอ้ความดีน่ะ พ่อดีไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว เป็นอันว่าสมมติว่าพ่อห่มผ้ากาสาวพัสตร์อยู่อย่างนี้ และการที่จะบวชเข้ามาในพระพุทธศาสนานี้พระพุทธเจ้าบอกว่าต้องทรงอธิศีลสิกขา อธิจิตสิกขา อธิปัญญาสิกขา สิกขาแปลว่า ศึกษา คือ ปฏิบัติ อธิ แปลว่า ยิ่ง หมายความว่า ต้องรักษาศีลให้บริสุทธิ์ ทำสมาธิให้มั่นคง ทำวิปัสสนาญาณให้ทรงตัว คือ ไม่เมาในโลกธรรม ๘
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กันยายน 2009
  8. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,048

    ถ้าบังเอิญพ่อเป็นนักโลภโมโทสันพ่อมัวเมาในโลกธรรม ๘ ประการ ลูกรัก มันจะสมไหมกับที่เอาผ้ากาสาวพัสตร์ที่เป็นธงชัยแห่งพระอรหันต์ และที่องค์สมเด็จพระพิชิตมารทรงใช้ความเพียรพยายามต่อสู้กับความลำบากอย่างมาก แต่การบวชเข้ามาแล้วกลายเป็นโจรปล้นความดีของบุคคลอื่นไป บ้านไม่ต้องเช่า ข้าวไม่ต้องซื้อ ภาษีไม่ต้องเสีย ใครปรึกษาหารือก็ได้สตางค์ด้วย แต่พ่อไม่ได้เช่าบ้าน พ่อสร้างบ้านให้คนอื่นเขาอยู่เฉย ๆ พ่อก็เลยเป็นคนที่ไม่ตรงกับภาษิตนี้
    แต่ทว่าเวลานี้พ่อก็สงสารพระพุทธเจ้า คือ พ่อทำได้ไม่เท่ากับที่พระพุทธเจ้ามีพระพุทธประสงค์ คือ ความดีที่พ่อมีมันยังไม่พอ แต่ว่าลูกรัก พ่อหมดกำลังแค่นี้ ก็ทำได้แค่นี้ แต่ว่าตอนแก่นี่ดีนิดหนึ่ง ที่ได้ลูก ๆ ทุกคนที่ฝึกฝนในด้านสมาธิตามสมควร และทุกคนก็ช่วยพ่อ ถึงเวลาวันเสาร์วันอาทิตย์ก็มาช่วยกันด้วยประการทั้งปวง จะไปที่ไหนก็ไปช่วยกันฝึก ไม่ได้เงินไม่ได้ทอง กลับต้องจ่ายเงินจ่ายทองด้วย ความจริงลูกมีพ่อแทนที่จะได้เงินได้ทองจากพ่อ แต่ลูกต้องมาจ่ายเพื่อพ่อ ก็จัดว่าเป็นความดีของลูก
    เป็นอันว่าการเดินทางไปอินเดียคราวนี้ จะเห็นได้ว่าหลักสูตรพระพุทธศาสนาในประเทศไทยครบถ้วนมากกว่าในประเทศอินเดีย และพระไทยที่ไปศึกษาที่อินเดีย ถ้ามีผลทั้งปริยัติและปฏิบัติ ก็จะเป็นประโยชน์มาก การไปคราวนี้จะได้อะไรจากวัตถุจากอินเดียไม่มีความสำคัญ ความสำคัญอยู่ที่ธรรมะขององค์สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งที่เป็นมูลค่าที่ได้ทำประโยชน์ให้วัดไทยพุทธคยา นอกจากถวายค่าภัตตาหารพระ และปัจจัยกันแล้ว ก็มีสิ่งของที่ทำการก่อสร้างเป็นถาวรไว้ มีเครื่องสูบน้ำ สร้างเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ถวายผ้าไตรกับพระสงฆ์ประมาณ ๖๐ ไตร ถวายอาหาร และปัจจัยแก่พระที่วัดไทยพุทธคยา
    นอกจากนั้นได้แจกอาหารแห้ง และสิ่งของให้กับนักเรียนไทยที่ไปศึกษาที่อินเดีย ได้มาช่วยเหลือให้ความสะดวกแก่คณะของเรา และทุกคนก็ได้มาฝึกมโนมยิทธิได้กันเกือบทุกคน ก่อนที่จะออกเดินทางจากประเทศไทย ได้มีท่านผู้ทรงความดีสงเคราะห์พ่อด้วยการเงินเป็นจำนวนมาก เป็นอันว่าเงินที่ทุกท่านให้ไป ถ้าหากว่าจะใช้เฉพาะพ่อคนเดียวก็เหลือเฟือ ฉะนั้น เงินจำนวนนี้ทั้งหมดพ่อเอาไปแล้วก็เลยไม่ได้นำกลับมาถวายพระที่วัดพุทธคยาไว้หมด รวมแล้วเห็นจะเป็นการทำบุญกันเกินกว่า ๖ หมื่นบาท นี่เป็นอันว่าได้ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ในการเดินทางไปอินเดียครั้งนี้
    ทุกครั้งที่พ่อทำการบันทึกเสียง ขณะที่พ่อพูด พ่อเหนื่อยมาก เพราะตรากตรำงานมาทั้งวัน เวลาที่พ่อพูดใจก็ยังสั่นระริก ร่างกายก็ยังงง เกือบจะทรงตัวไม่ไหว และพ่อก็เกรงว่า ร่างกายของพ่อมันจะทนต่อการใช้งานไม่ไหว อาจจะต้องจากลูกไปวันใดวันหนึ่งก็ได้ เรื่องของชีวิต และก็เรื่องของขันธ์ ๕ ขอลูกรักของพ่อจงอย่าสนใจกับมันมากนัก เพราะว่าร่างกายมันเป็นอนิจจัง หาความเที่ยงไม่ได้ ถ้าเราจะไปยุ่งคิดว่ามันเป็นเรา เป็นของเราอยู่ตลอดเวลา คือ ตายไปในที่สุด ความแก่
    ของพ่อเป็นตำราที่ดีของลูก ความไม่เที่ยงแท้แน่นอนในขันธ์ ๕ ของพ่อ ก็เป็นตำราที่ดีของลูก และก็ในที่สุด พ่อถูกด่า ถูกว่า ถูกนินทา ถูกตำหนิ ถูกโจมตี ก็เป็นตำราที่ดีของลูก
    ขอลูกรักทั้งหมดจงอย่าสนใจกับคำนินทาและสรรเสริญ ลูกรักของพ่อทุกคนจงจำไว้ว่า ถ้าร่างกายมันยังมีอยู่ จงอย่าปรารภว่าตนเป็นคนดี เพราะว่าสิ่งที่เราเกาะอยู่นี่มันเลว คือ ขันธ์ ๕ ได้แก่ ร่างกาย มันทั้งสกปรก มันทั้งไม่เที่ยง มีการเปลี่ยนแปลง มีการป่วยไข้ไม่สบาย มีการตายไปในที่สุด ร่างกายมันเป็นส่วนรับทุกขเวทนา ฉะนั้น ขอลูกรักทุกคนจงอย่าสนใจกับร่างกายของตนเอง และของบุคคลอื่น คำว่าไม่สนใจหมายความว่า เมื่อยังมีชีวิตอยู่ก็เลี้ยงดูมันไปตามสภาพ มันหิวก็ให้มันกิน มันร้อนก็หาของเย็นให้ มันหนาวก็หาของอุ่นให้ และก็จงบอกกับมันว่า เอ็งตายคราวนี้ ฉันเลิกคบเอ็งละนะ ทั้งนี้ เพราะเอ็งไม่ดีเลย เอ็งมันเลวมาก ประคับประคองเท่าไร เอ็งก็ไม่ตามใจข้า ถ้าภาษาไทยชัด ๆ ก็พูดว่า เมื่อมึงไม่ตามใจกู ก็ก็ไม่คบมึงอีกต่อไป
    เวลานี้การเดินทางทุกครั้งของพ่อ ถึงแม้บางครั้งจะไปพักผ่อนก็ตาม พ่อมันหมดสนุกซะแล้วลูกรัก น้ำใจของพ่อจริง ๆ อยากจะให้ลูกชายและหญิงของพ่อทุกคนที่มีความเหน็ดเหนื่อยอยู่แล้วได้ท่องเที่ยวมาดูภูมิประเทศ และก็เพื่อที่จะจำไว้ว่า ที่ใดจะเป็นที่พักของเราได้บ้าง เพราะว่าวันหนึ่งข้างหน้า งานของเราจะต้องมีทำต่อไป ความสุขรื่นเริงจริง ๆ ของพ่อก็คือ ๑. ถ้าเห็นลูกรักทั้งหมดของพ่อมีจิตเมตตาปรานี ปรารถนาสงเคราะห์คน และสัตว์ให้มีความสุข ๒. เห็นลูกบริบูรณ์ไปด้วยศีลาจารวัตร ๓. ลูกของพ่อรู้จักตัดนิวรณ์ ๕ ประการ ๔. ลูกมีกำลับจิตเข้าประหัตประหารสร้างสังขารุเบกขาญาณให้เกิด
    ที่พ่อมีความรื่นเริง มีกำลังกายกำลังใจ ทำได้ทุกอย่างก็เพราะลูกทุกคนของพ่อเป็นคนดี อยู่ในโอวาทขององค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ฉะนั้นลูกทุกคนจึงเป็นที่รักของพ่อ ใครเขาจะเกลียด ใครเขาจะชังลูก เป็นเรื่องของเขา แต่ว่าพ่อรักลูกทุกคนเสมอกัน ต้องการอย่างเดียวคือ จะนำทางให้ลูกพ้นทุกข์ เข้าไปหาแดนความสุข ที่ไม่มีการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่มีความเปลี่ยนแปลงใด ๆ ไม่มีความหนักใจแม้แต่นิดเดียว นั่นคือ พระนิพพาน
    เพราะความดีของลูกของพ่อทุกคน ทั้งลูกหญิงลูกชาย ตลอดจนกระทั่งลูกที่เป็นพระ และเณร เป็นคนดีทั้งหมด ภาระทุกอย่างที่พ่อหนักอยู่ เป็นอันว่าทุกคนก็ช่วยกันแบก และแบกจนกระทั่งพ่อคาดไม่ถึง เป็นอันว่าความดีของลูกมันเกินกว่าที่พ่อจะพรรณนาถึงความดี คำว่า เหนื่อยเพื่อลูกจึงไม่มีสำหรับพ่อ มันเหนือความเหนื่อย และเหนือความเบื่อหน่ายของพ่อ ถึงแม้พ่อจะเหน็ดเหนื่อยเพียงใดก็ตาม ไม่มีความสำคัญ เพราะว่าพ่อเห็นว่า ชีวิตของพ่อไม่มีความสำคัญไปกว่าความดีของลูก ลูกของพ่อทุกคนมีความดีเกินไปกว่าที่พ่อจะห่วงใยในชีวิตของพ่อ
    ทั้งนี้ เพราะว่าลูกของพ่อดีกว่าที่พ่อคิดไว้ว่า ลูกจะพึงดี ลูกทุกคนรักพ่อ ลูกทุกคนยอมเหน็ดเหนื่อยเพื่อพ่อ ลูกทุกคนพยายามสละผลประโยชน์ทุกอย่างเพื่อพ่อ พ่อเห็นใจลูกที่ทิ้งการงานทุก
    อย่างยอมเสียสละทุกอย่างมาทำงานในศูนย์เพื่อสาธารณประโยชน์ มีน้ำใจเสมอด้วยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และมีน้ำใจเสมอด้วยน้ำใจของพ่อ
    ความดีของลูกอย่างนี้เป็นปัจจัยให้พ่อรักลูกทุกคนยิ่งกว่าชีวิตของพ่อ ฉะนั้น ขอบรรดาลูกทุกคน จงรักษาความดีของลูกไว้ เหมือนเกลือรักษาความเค็ม ชีวิตและร่างกายของพ่อไม่มีความสำคัญ ถ้าห่วงมันมากเท่าไรประโยชน์ที่ลูกจะพึงได้ก็จะน้อยไปเท่านั้น เพราะวันเวลาที่เราพึงจะต้องตาย เราห้ามมันไม่ได้มันมีเวลาแน่นอน พ่อไม่อยากจะจากลูกไป พ่อรักลูกทุกคนมาก พ่อสงสารลูกทุกคน เห็นน้ำใจของลูก แต่ลูกรัก ขันธ์ ๕ พ่อห้ามไม่ได้
    ฉะนั้น สิ่งใดก็ตามถ้าเป็นประโยชน์แก่ลูก พ่อจะทำทุกอย่างเพื่อลูกของพ่อ และพ่อจะไม่ห่วงใยอาลัยในชีวิตของพ่อ ถึงแม้ว่าเลือด และเนื้อของพ่อ จะเหือดแห้งไปก็ตามที หรือว่าชีวิตินทรีย์ของพ่อจะสลายไปก็ตาม พ่อทำทุกอย่างได้เพื่อลูก
    ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล ธรรมใดที่องค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอรหันต์ทั้งหลายทรงบรรลุแล้วก็ดี ขอบรรดาลูกแก้วทั้งหมดของพ่อ จงปรากฏมีผลเช่นเดียวกับพระอรหันต์ทั้งหลายในชาติปัจจุบันนี้เถิด.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กันยายน 2009
  9. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260
    สาธุ ขออนุโมทนาเป็นอย่างสูงครับ
     
  10. oomsin2515

    oomsin2515 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    2,934
    ค่าพลัง:
    +3,393
    ขออนุโมทนาสาธุธรรม เป็นอย่างสูง ครับ



    <O:p</O:p
    ------------------------------------------------------------------------------------------------<O:p</O:p

    ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพถวายภัตตาหารเพลแด่พระภิกษุสงฆ์จำนวน ๕๐๐ รูป งานวางศิลาฤกษ์ และ เคลื่อนย้ายศาลาการเปรียญหลังเก่า เพื่อนำไปก่อสร้างอุโบสถไม้ เฉลิมพระเกียรติ พระมหาเถรคัณฉ่อง พระสุพรรณกัลยา สมเด็จพระนเรศวรมหาราช สมเด็จพระเอกาทศรถ และ ทอดกฐินสามัคคี<O:p</O:p
    http://palungjit.org/threads/ขอเชิญร่วมเจ้าภาพทอดกฐินสามัคคี-ปี-2552-ณ-วัดย่านยาว-จ-พิษณุโลก.202385/<!-- google_ad_section_end -->
     
  11. dabos29

    dabos29 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +53
    อย่างที่พระพุทธเจ้าทรงเรียก ท่านสุธรรมเถร ว่า เถรใบลานเปล่า หรือว่า ขรัวในลานเปล่า คือ ท่านสุธรรมเถรท่านทรงพระไตรปิฏกอวดตนว่าเป็นคนรู้ในพระไตรปิฏก ท่านดูถูกแม้กระทั่งท่านพระโมคคัลลาน์ และท่านพระสารีบุตร ท่านอิจฉาริษยาทั้งสองท่านที่เป็นอัครสาวก เพราะท่านทะนงตนว่าฉันก็คนหนึ่ง ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นอัครสาวกก็ไม่วิเศษกว่าฉัน ในพระพุทธศาสนานี้ไม่มีอะไรเกินพระไตรปิฏก ความรู้มีเท่านั้น ฉะนั้นเมื่อท่านมีความรู้ในพระไตรปิฏกครบถ้วน ท่านก็เลยทะนงตนว่าท่านเป็นผู้วิเศษ
    (ท่อนนี้ที่บอกไม่เห็นด้วยเพราะว่าเท่าที่ฟังมาคือ หลังพระพุทธเจ้าเสด็จดับขรรธปรินิพพานแล้วจึงมีการสังคยนาครั้งแรก มีท่าน พระมหากัสสะปะเป็นประธาน ฯลฯ หากมีเหตุผลอื่นใดช่วยแจ้งหน่อยก็ดีเพื่อสัตผู้น้อยด้อยปัญญานี้จะได้มีความรู้เพิ่มขึ้น ขออนุโมทนาบุญด้วยครับ
    dabos29
     
  12. hrang_101

    hrang_101 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2009
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +48
    ซาบซึ้ง อนุโมทนาครับ ดีที่ได้อ่าน พยายามตามคำสอนของพระองค์....
     
  13. dabos29

    dabos29 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +53
    เมื่อยิ่งอ่านยิ่งเลื่อมใส องค์พุทธะเป็นอย่างยิ่ง
    และในขณะเดียวกันก็เลื่อมใสในหลวงปู่ด้วยนะครับ

    ขอเพิ่มเติมที่บอกไม่เห็นด้วยในข้อความก่อน กล่าวคือ ไม่ทราบเป้นเพราะผู้รวบรวมมาหรือผู้นำข้อความมาให้อ่านอาจจะขาดตกหรืออย่างไร ตอนนี้ไม่ต้องการทราบแล้ว

    อย่างไรเสียก็ขออนุโมทนาบุญกับผู้รวบรวมข้อความและผู้นำมาให้ได้อ่านนะครับ
     
  14. ซ้อจิตต์

    ซ้อจิตต์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +63
    ขออนโมทนาบุญด้วยค่ะ ที่นำคำสั่งสอนและความเป็นมาขององค์สมเด็จพระสัมมา สัมพุทธเจ้ามาเผยแพร่ต่อพุทธศาสนิกชนค่ะ
     
  15. xsarun

    xsarun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    144
    ค่าพลัง:
    +137
    โมทนา สาธุ ครับ ยาวมากเลย แต่ก็อ่านจนจบครับ สุดท้ายทุกสิ่งก็ไม่เที่ยง
     
  16. รับโชค

    รับโชค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    2,131
    ค่าพลัง:
    +11,878
    กราบนมัสการ พระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์เจ้า อนุโมทนา สาธุ ครับผม สาธุ
     
  17. sydneyboy

    sydneyboy ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    83
    ค่าพลัง:
    +59
    โมทนาสาธุครับ อ่านแล้วได้ความรู้เพิ่มขึ้นมากเลยครับ
     
  18. kittikorn

    kittikorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    2,232
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,846
    กราบอนุโมทนากับทุกท่านที่ร่วมบุญกุศลในเวปนี้ด้วยครับ
     
  19. ปฏิสัมภิทัปปัตโต

    ปฏิสัมภิทัปปัตโต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2009
    โพสต์:
    375
    ค่าพลัง:
    +1,326
    ขอขอบคุณคุณเทพออรฤทธิ์และขอโมทนาในกุศลผลบุญนี้ด้วยค่ะ
     
  20. Nirunta

    Nirunta เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    137
    ค่าพลัง:
    +366
    กราบนมัสการพระรัตนตรัยครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...