การยึดเป็นทุกข์ ในการดำเนินชีวิตของคนเรานี้จะพบทั้งทุกข์ สุข สมหวัง ผิดหวัง อุปสรรค ปัญหาต่างๆมากมาย ใจเราจึงอยากหาที่พึ่ง ถ้าเราพบที่พึ่งที่ถูกทาง( ธรรมะ)ก็โชคดีไป แต่ถ้าไปพบที่พึ่งที่ไม่ถูกทางจะทำให้เกิดความเสียหายแก่ชีวิตและจิตใจได้ เรายึดมั่นกับตัวตนก็ทุกข์ เช่นเราทำอะไรแล้วไม่ได้ดั่งใจก็เป็นทุกข์ แข่งกีฬาแล้วแพ้ก็ทุกข์ รู้สึกว่าอ้วนไปกลัวไม่สวยก็ทุกข์ หน้าเป็นสิวก็ทุกข์ เป็นต้น หรือเราไปยึดมั่นถือมั่นในตัวบุคคล เช่นเป็นแฟนคลับดารา ยกย่องนักร้องคนโปรดเป็นตัวอย่างในการดำเนินชีวิต ลุ่มหลงรักเขาเป็นชีวิตจิตใจ เมื่อเขาได้ดีเราก็พลอยมีความสุขใจไปด้วย แต่เมื่อเขาทุกข์เราก็พลอยทุกข์ใจไปด้วย เป็นห่วงใย ร้อนใจ กังวลใจ ไม่สบายใจ ไปด้วย เมื่อเขาไม่สบายและตายไป ก็เสียใจมาก กินไม่ได้นอนไม่หลับ เป็นต้น บางคนที่ยึดถือเขามากจนคิดว่าเมื่อไม่มีเขาอยู่แล้ว เขาได้เสียชีวิตตายจากไปแล้วเราจะอยู่ไปทำไม อยู่เพื่ออะไร เมื่อคนที่เรารักเราเทิดทูนเสียชีวิตไปแล้ว เราก็ไม่เหลืออะไรอีกแล้ว ก็เลยฆ่าตัวตายตามเขาไป ดังเป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ ที่มีคนฆ่าตัวตายตามนักร้องหรือนักแสดงชื่อดัง นี่เป็นตัวอย่างหนึ่งของการยึดมั่นถือมั่นในตัวบุคคลนั่นเอง ยึดถือในบุคคลที่เรารักก็ทุกข์ เช่นพ่อแม่ ญาติพี่น้อง เพื่อน ลูกหลาน สามีภรรยา เมื่อเขาเจ็บไข้เราก็ทุกข์ใจตาม เมื่อเขาตายจากไปเราก็เสียใจทุกข์ใจ บางคนร้องไห้ไม่ยอมหยุด ร้องไห้ติดต่อกันเป็นสัปดาห์ก็มี บางคนผ่านมาเป็นเดือนเป็นปีหรือหลายๆปีแล้วยังคิดถึงเขาอยู่ ก็ร้องไห้ต่อจนกว่าความคิดถึงนั้นจะจบสิ้นลง ทุกข์ใจตลอดไปเมื่อยามคิดถึงคนที่รักจากไป ยึดในสัตว์ที่เลี้ยงไว้ก็เป็นทุกข์ เป็นห่วงกลัวสัตว์นั้นหิว กลัวไม่สบาย กลัวหาย กลัวสัตว์ที่เลี้ยงตาย เป็นต้น บางคนรักสัตว์เลี้ยงเหมือนลูกตัวเองจริงๆก็มี เมื่อสัตว์นั้นไม่สบาย ตายจากไป ก็ทุกข์ใจมากไม่แพ้คนที่รักจากไปเลย ร้องไห้สามวันเจ็ดวันแล้วก็ยังปลงไม่ได้สักทีก็มี ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งของที่เรามีที่เรารักก็ทุกข์ ของที่เรารักเกิดสูญหาย ถูกลักขโมย รู้สึกเสียดายพาลไปเสียใจ ทุกข์ร้อนใจ ไม่สบายใจ แค้นใจ เป็นต้น ธรรมะสอนไว้ว่าอุปทานเป็นตัวทุกข์ อุปทานคือความยึดมั่นถือมั่น ได้แก่ การยึดมั่นถือมั่นในตัวตน บุคคล สัตว์ สิ่งของ เมื่อเราเอาใจไปยึดถือไปเกาะเกี่ยว.........ว่าเป็นตัวเรา ของเรา เป็นที่ชอบ ที่รัก ที่เทิดทูน ที่หวงแหน เป็นที่พึ่ง เป็นต้น เราก็จะเป็นทุกข์เพราะสิ่งนั้น สัจธรรมคือ ทุกสิ่งในโลกนี้ล้วนเป็นไตรลักษณ์ ได้แก่เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของไม่เที่ยง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป คงทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ ต้องแปรเปลี่ยนไป และไม่มีตัวตนที่แท้จริง ใครก็ตามที่เข้าไปยึดมั่นถือมั่นในตัวตน บุคคล สัตว์ สิ่งของ เหล่านี้ย่อมเป็นทุกข์ทั้งนั้น สิ่งเหล่านี้เป็นของธรรมชาติเป็นสัจธรรม ไม่ใช่ที่พึ่งที่ยึดมั่นถือมั่น ถ้าคิดเอาไปเป็นที่พึ่งที่ยึดมั่นถือมั่นก็เป็นทุกข์ ธรรมะชี้ให้เห็นความเป็นจริงของโลกธรรมดังคำสอนของพระพุทธองค์ ผู้ใดเข้าใจธรรมะผู้นั้นย่อมไม่ทุกข์ใจ ผู้ใดปฏิบัติธรรมตามคำสอนของพระพุทธองค์ผู้นั้นย่อมเข้าถึงทางแห่งการพ้นทุกข์
รักมาก หลงมาก โกรธมาก โลภมาก บ้ามาก บ้ามาก บ้ามาก บ้ามาก รักปานกลาง หลงปานกลาง โกรธปานกลาง โลภปานกลาง บ้าปานกลาง บ้าปานกลาง บ้าปานกลาง บ้าปานกลาง รักนิดหน่อย หลงนิดหน่อย โกรธนิดหน่อย โลภนิดหน่อย บ้านิดหน่อย บ้านิดหน่อย บ้านิดหน่อย บ้านิดหน่อย ไม่รัก ไม่บ้า ไม่หลง ไม่บ้า ไม่โกรธ ไม่บ้า ไม่โลภ ไม่บ้า ครับวัดใจของตนเอง แล้วเลือกเอาระดับใหนนะครับ
สุนัขที่บ้านก็เพิ่งจากไปเมื่อ 2 วันก่อน รักเขามากมาย ยังคิดถึงเขาอยู่เลย เป็นทุกข์จริง ๆค่ะ หันไปทางไหนก็เห็นแต่ภาพเขา ใส่บาตรอุทิศส่วนบุญให้เขาไปแล้ว 3 วัน ขอให้เขาจงไปสู่สุขคติภูมิ อย่าไปเกิดมาเป็นสุนัขอีกเลย.
อนุโมทนา สาธุุ สาธุค่ะ ยึดมากก็ทุกข์มากจริงๆ ค่ะ สุดท้าย สิ่งที่เรายึดไว้ ถือไว้ หวงไว้ ก็ต้องพลัดพราก จากเราไปอยู่ดี...
ทุกสรรพสิ่งทั้งหลาย เกิดขึ้นแล้วก็ดับสลายหายไปทั้งสิ้น เป็นพระไตรลักษณ์ แม้แต่ตัวเราเอง จึงไม่ควรไปยึดมั่นถือมั่นว่าอะไรเป็นของเราจริง ๆ เลย เพราะทุกสรรพสิ่งเป็น อนัตตา ไม่มีตัวตนที่แท้จริงเลย แม้แต่สักอย่างเดียว ตัวตนที่แท้จริง คือ ความไม่มีตัวตน การเกิดมามีตัวตนไม่ว่าจะเป็นอะไร ก็เป็นทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น การเกิดมามีสังขารตัวตน ครั้งใด ก็ทุกข์ทุกครั้ง จึงควรฝึกหัด การปล่อย ปละ ละ วาง ทุกสรรพสิ่งให้เป็น แล้วไม่กลับมาเกิดอีก เป็น อนัตตา จึงจะมีความสุข พระนิพพาน ก็เป็น อนัตตา คือ ความไม่มีตัวตน จึงเป็นบรมสุขที่ประเสริฐ อนุโมทนา สาธุ ๆ บุญกุศลกับทุกท่าน ที่ได้เผยแผ่พระธรรม