สู่แสงธรรมตามคำสอนหลวงพ่อ

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 29 พฤษภาคม 2009.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    [​IMG]
    ตอนที่ 1 เหตุการณ์ที่น่าพิศวง


    คำนำ(ตอนที่ 1)

    ความจริงแล้วข้าพเจ้าได้เคยเล่าเรื่องราวต่างๆ ทั้งหมดของหนังสือเล่มนี้ให้ญาติสนิท มิตรสหายฟังมาแล้วบ่อยครั้ง และในทุกๆครั้งผู้ที่ได้รับฟังต่างก็เกิดความสนใจและเรียกร้องให้ข้าพเจ้าเขียนเป็นหนังสือขึ้น เพื่อที่จะได้เก็บเอาไว้อ่าน หากแต่ฟังข้าพเจ้าเล่าถึงแม้จะเข้าใจก็จริง แต่พอนานไปก็ลืมเลือน บางท่านถึงกับหาเครื่องบันทึกเสียงมาก็มี ซึ่งข้าพเจ้าก็ปฏิเสธไปเพราะเห็นว่าข้าพเจ้ายังไม่ถึงขั้นรู้แจ้งเห็นจริงนัก อาจเกิดการผิดพลาดขึ้นได้

    เมื่อทนต่อการรบเร้า และเรียกร้องของบรรดาญาติสนิทมิตรสหายไม่ได้ อีกทั้งข้าพเจ้าเองก็เห็นว่านาจะมีประโยชน์เป็นอย่างมากแก่ท่านที่เป็นลูกศิษย์รุ่นหลังๆ ของหลวงพ่อ ซึ่งไม่มีโอกาสที่จะได้รับรู้ถึงเหตุการณ์แปลกๆอันน่าพิศวง และไม่มีโอกาสที่จะได้ไต่ถามถึงเรื่องราวที่ตนเคลือบแคลงสงสัยโดยตรงจากหลวงพ่อ ให้กระจ่างชัดในทุกปัญหาได้ เพราะในขณะนี้หลวงพ่อต้องให้การสงเคราะห์ต่อผู้คนมากมาย ไม่มีเวลาที่จะมาคอยตอบปัญหาให้ใครต่อใครได้ อีกทั้งผู้ที่จะถามก็ไม่กล้าถามเพราะอายต่อคนหมู่มากด้วยดังนั้นข้าพเจ้าจึงรับปากว่าจะพยายามเขียนให้ และก็ได้เริ่มเขียนเรื่อยๆ มา แต่ก็เป็นการเขียนๆหยุดๆ ด้วยมีเรื่องที่จะต้องทำอย่างอื่นมาคอยขัดขวางอยู่เสมอมา

    จนกระทั่งในเดือนธันวาคม 2533 มีพระภิกษุรูปหนึ่งซึ่งติดตามหลวงพ่อ เกิดทราบจากผู้ใดไม่ทราบว่า ข้าพเจ้าเคยเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อรุ่นเก่าที่สุดด้วยผู้หนึ่ง และได้เคยรู้เหตุการณ์ต่าง ๆอันน่าพิศวงตลอดจนได้มีโอกาสสอบถามปัญหาธรรมมะที่น่าสนใจยิ่ง จากหลวงพ่อมาตั้งแต่ในครั้งที่หลวงพ่อยังไม่มีลูกศิษย์ลูกหามากมายนัก ก็เกิดสนใจอยากให้ข้าพเจ้าช่วยเขียนเล่าเรื่องราวต่างๆ ลงในหนังสือบ้าง จึงได้ขอร้องให้พันจ่าเอกประ มาล ราชอินทร์ซึ่งเคยไปมาหาสู่กับข้าพเจ้าเป็นประจำเป็นผู้ทาบทาม ซึ่งข้าพเจ้าก็ได้รับปากไปว่าจะเขียนให้ เพราะในขณะนี้ก็เขียนไว้บ้างแล้ว แต่ไม่จริงจังนัก

    ด้วยเหตุนี้เองข้าพเจ้าจึงได้เริ่มงานเขียนอย่างจริงจังขึ้น โดยตั้งใจว่า จะแบ่งการเขียนออกเป็น 2 ตอนใหญ่ๆ คือใน ตอนที่ 1 ให้ชื่อว่า“เหตุการณ์ที่น่าพิศวง”โดยจะกล่าวถึงเหตุการณ์อันน่าพิศวงและแปลกประหลาดต่างๆ ที่ข้าพเจ้าได้เคยพบเห็นจากหลวงพ่อ ถึง 12 เหตุการณ์ด้วยกัน ซึ่งไม่อาจจะสามารถพิสูจน์ในทางของโลกวิทยาศาสตร์ได้ จึงเป็นสาเหตุจูงใจให้ข้าพเจ้าซึ่งเต็มไปด้วยมิจฉาทิฐิ บังเกิดความสนใจและจำเป็นต้องหันมาศึกษา ค้นคว้าในด้านของพุทธศาสนาอย่างจริงจัง ส่วนใน ตอนที่ 2 ให้ชื่อว่า“ปัญหาที่น่าสนใจ”โดยคัดเลือกเอาปัญหาใหญ่ๆ 12 ปัญหาที่ข้าพเจ้าได้เคยสอบถามและหลวงพ่อได้เมตตาตอบไว้อย่างชัดเจนมาเขียนลง และในแต่ละปัญหาจะมีปัญหาย่อยๆออกไปอีกพอสมควรทีเดียว


    ในการเขียนหนังสือทั้ง 2 ตอนนี้ ข้าพเจ้าพยายามใช้ถ้อยคำสำนวนง่ายๆ เพื่อมุ่งหวังให้ท่านผู้อ่านที่เป็นฆราวาสโดยเฉพาะศิษย์รุ่นหลัง ของหลวงพ่อซึ่งเริ่มสนใจที่จะปฏิบัติธรรม อ่านเข้าใจได้โดยง่าย อีกทั้งเมื่ออ่านแล้วเกิดความสนุก และไม่เครียดจนเกินไป และในเวลาเดียวกันก็จะแฝงไว้ซึ่งธรรมะชั้นสูงพอสมควร สำหรับท่านผู้อ่านที่ได้ผ่านการปฏิบัติธรรมมามากแล้วด้วย และที่สำคัญยิ่งก็คือข้าพเจ้าจำต้องระมัดระวังมิให้ความหมายในการตอบปัญหาของหลวงพ่อในตอนที่ 2 ผิดพลาดไปจากความเป็นจริงโดยเด็ดขาดอีกด้วย จึงนับว่าเป็นการเขียนที่ยากจริงๆ สำหรับปุถุชนธรรมดาเช่นข้าพเจ้า


    อย่างไรก็ตาม แม้หนังสือเล่มนี้จะเขียนได้จบค่อนข้างสมบูรณ์และหากท่านได้อ่านแล้วเกิดความพึงพอใจบ้างก็ดี ก็ขออย่าได้คิดยกย่องสรร เสริญข้าพเจ้าเลย ข้าพเจ้าจำต้องยอมรับสารภาพว่าโดยสติปัญญาและความสามารถเฉพาะตัวของข้าพเจ้าจริงๆแล้ว ย่อมทำไม่ได้แน่ หลายหนหลายครั้งที่ข้าพเจ้าเขียนไปแล้วเกิดสะดุด เกิดอับจนปัญญาไม่สามารถจะเขียนต่อได้ ก็ต้องหยุดเขียน นั่งพักให้จิตเกิดสมาธิแล้วขอบารมีหลวงพ่อทุกครั้ง จึงได้เกิดความรับรู้ทางจิต เสมือนหนึ่งข้าพเจ้าเพิ่งจะได้พูดคุยหรือได้สอบถามปัญหาจากหลวงพ่อเมื่อ 2-3 วันที่แล้วเอง นั่นแหล่ะข้าพเจ้าจึงได้เขียนต่อได้และเขียนได้จนจบดังที่ปรากฏอยู่นี้(ท่านผู้อ่านจะเชื่อหรือไม่ ก็ตามแต่ใจของท่านเองเถิดนะครับ)

    อนึ่ง ข้าพเจ้าต้องขออภัยที่ได้นำเอาชื่อจริงของบุคคลรวมทั้งชื่อของสถานที่จริง ลงในหนังสือเล่มนี้ด้วย เพื่อเป็นการยืนยันว่าข้าพเจ้ามิได้ยกเรื่องลมๆ แล้งๆ ขึ้นมาอ้าง ข้าพเจ้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ทุกท่านที่ได้อ่านหรือรับทราบคงจะเข้าใจในจุดประสงค์ของข้าพเจ้า แต่ถ้าแม้มีอะไรผิดพลาด ข้าพเจ้าต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย

    [​IMG]สู่แสงธรรม[​IMG]
    ตามคำสอนหลวงพ่อ
    โดย
    โดย พล.อ.ต. มนูญ ชมภูทีป


     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 30 พฤษภาคม 2009
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    หลวงพ่อบอกลำดับที่สอบ

    เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2510 ข้าพเจ้ามียศเป็นเรืออากาศเอกและมีขั้นเงินเดือนอยู่ในเกณฑ์ที่จะมีสิทธิสอบคัดเลือกเข้าเรียนในโรงเรียนชั้นผู้บังคับฝูง ข้าพเจ้าต้องสอบเข้าได้อย่างแน่นอน เพราะข้าพเจ้าเป็นคนเรียนหนังสือเก่งและสอบได้ที่ 1 ในระดับชั้นมัธยมศึกษามาโดยตลอด และในระหว่างที่เรียนอยู่ที่โรงเรียนรายรอย จปร.ก็ถูกจัดอยู่ในประเภทรักเรียนที่เรียนเด่น เล่นดีด้วย แต่เนื่องจากทางโรงเรียนผู้บังคับฝูง จะแบ่งผู้ที่สอบได้เป็น 2 ชุดคือผู้ที่สอบได้เลขคี่(1,3,5,7,9,..ฯลฯ)
    จะได้เรียนเป็นที่ 1 และผู้ที่สอบได้เลขคู่(2,4,6,8,...ฯลฯ)จะได้เข้าเรียนเป็นชุดที่ 2 ดังนั้นแม้ต้องคิดว่าสอบได้แต่ก็ไม่ทราบว่าจะได้เลขคี่หรือเลขคู่อยู่ดีปัญหาก็อยู่ตรงที่ว่าภรรยาของข้าพเจ้ากำลังตั้งครรภ์หากไม่ทราบแน่ชัดว่าจะได้เจ้าเรียนเมื่อไรแล้วก็ไม่ทราบว่าจะไปฝากครรภ์และเตรียมคลอดที่ใด เพราะบ้านพักในขณะนั้นอยู่ที่กองบิน 4 ตาคลี แต่ถ้าเข้าเรียนก็จะต้องไปเรียนที่ดอนเมืองและครอบครัวของข้าพเจ้าก็ไม่มีผู้ใด นอกจากทหารรับใช้เพียงคนเดียวจึงทำให้ข้าพเจ้าหนักใจเพราะไม่สามารถวางแผนการณ์ในภายหน้าได้

    บังเอิญวันหนึ่งข้าพเจ้า และภรรยาได้นำภัตตาการไปถวายหลวงพ่อที่วัดท่าซุง ข้าพเจ้าจึงได้ถือโอกาสเรียนถามว่า “ในการไปสอบคดเลือกเข้าโรงเรียนผู้บังคับฝูงครั้งนี้ ข้าพเจ้าจะสอบได้เลขคี่หรือคู่” หลวงพ่อได้หยุดมองข้าพเจ้าอยู่ชั่วอึดใจก็ตอบว่า “คุณไปสอบครั้งนี้จะสอบที่ 1 ที่ 3 หรือที่ 5 ใน 3 ที่นี้นะ แต่จะแน่นอนจะรดน้ำมนต์ให้” ต่อจากนั้นหลวงพ่อก็ให้ข้าพเจ้าเอาถังไปตักน้ำในแม่น้ำมาเทใส่บาตร เพื่อทำน้ำมนต์ เมื่อทำน้ำมนต์เสร็จก็รดน้ำให้ข้าพเจ้า (น้ำในแม่น้ำที่ข้าพเจ้าไปตักมานั้นก่อนตักข้าพเจ้าเอามือจุ่มน้ำไล่เศษละออง รู้สึกส่าอุ่นมาก แต่เมื่อหลวงพ่อว่ารดน้ำมนต์ให้นั้นเย็นจับจิตจนข้าพเจ้าสะดุ้งและน้ำมนต์ของหลวงพ่อจะเป็นเช่นนี้เสมอ ขอทุกท่านจงโปรดสังเกตด้วย) แล้วพูดให้ทุกตนในที่นั้นได้ยินโดยทั่วถึงกัน ที่จำได้ก็มีภรรยาของข้าพเจ้า ร.อ.พนม นามประสิทธิ์ (ปัจจุบันยศ น.อ.) ร.ท.ไพศาล ศุภพงษ์และ พ.อ.อ.หริช บำรุงพงษ์ ว่า“ตำแหน่งที่ 1 และที่ 5 จางหายไปคุณมนูญเข้าไปสอบในครั้งนี้ได้ที่ 3 นะ”

    ข้าพเจ้าเองในขณะนั้นแม้รู้สึกดีใจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ค่อยจะมั่นใจนักว่าจะสอบได้ที่ดีถึงที่ 3ทั้งนี้เพราะทราบดีว่าพรรคพวกเพื่อนฝูงที่ดอนเมืองเขามีการเตรียมการกันเป็นการใหญ่ เช่นจัดตั้งกันเป็นกลุ่มดูหนังสือร่วมกัน และเชิญอาจารย์จากโรงเรียนผู้ขังคับฝูงบางท่านมาช่วยติวทั้งโรเนียวบรรดาข้อสอบเก่า ๆ มาประกอบเป็นแนวทางในการดูหนังสือและติวอีกด้วย นอก จากนั้นยังมีการหาข่าวและจัดชุดเข้าตีสนิทกับอาจารย์ ที่มีหน้าที่ออกข้อสอบแบบประกบตัวกันเลย (ข้อสอบในสมัยนั้นจึงรั่วกันมาทุกปีด้วยวิธีการนี้) ดังนั้นแม้ข้าพเจ้าจะเป็นคนเรียนดีสักเพียงไรก็ตาม แต่เมื่อต้องดูหนังสือคนเดียวที่ต่างจังหวัด ขาดแคลนทั้งตำราและไม่รู้แนวทางในการออกข้อสอบเช่นผู้อื่น จะให้ข้าพเจ้ามีความหวังหรือเชื่อได้อย่างไรว่าจะสอบคัดเลือกเข้าโรงเรียนผู้บังคับบัญชาฝูงได้ที่ 3 ตามที่หลวงพ่อบอก นอกจากคิดว่าหลวงพ่อคงเพียงบอกเป็นเลาๆ ว่าข้าพเจ้าไปสอบครั้งนี้ได้เลขคี่ คือจะได้เข้าเรียนในผลัดแรกแน่นอนเท่านั้น ซึ่งข้าพเจ้าก็พอใจแล้ว

    แต่ครั้นเอการสอบเสร็จสิ้น และทางราชการได้ประกาศผลการสอบคัดเลือกในครั้งนั้นออกมา ก็ปรากฏว่าข้าพเจ้าสอบเข้าได้เป็นที่ 3 จริง ๆ ตามที่หลวงพ่อบอกและข้าพเจ้าก็ได้เป็นนายทหารนักเรียน โรงเรียนผู้บังคับฝูงรุ่นที่ 18 โดยได้เรียนก่อนเป็นผลัดแรกเพราะได้เลขคี่(รายทหารนักเรียนรุ่นข้าพเจ้าในครั้งนั้น ปัจจุบันมีชื่อเสียงกันหลายท่าน เช่น พล.อ.อ.เกษร โรจนิล,พล.อ.อ.กันต์ พิมานทิพย์,พล.อ.อ.อนันต์ กสินทะ,พล.อ.อ.สุวิช จันทประดิษฐุ์,พล.อ.อ.เริงชัย สนิทพันธุ์ และพล.อ.อ.ดนัย โมรินทร์ เป็นต้น) ส่วนผู้ที่นอบได้เลขคู่ก็ต้องไปเรียนผลัดสอบ เป็นนายทหารนักเรียนโรงเรียนผู้บังคับบัญชาฝูงรุ่นที่ 19 ต่อไป

    การที่ข้าพเจ้าสอบได้ที่ 3 จริง ๆ ตามที่หลวงพ่อบอกล่วงหน้าให้นั้นก่อให้เกิดความฉงนสนเท่ห์ใจแก่ข้าพเจ้าเป็นอย่างยิ่ง ทั้งนี้เพราะคำทำนายของหลวงพ่อมิได้เป็นแบบหมอดูทั่ว ๆ ไป ไม่ได้มรการผูกดวง,ไม่ได้ดูลายมือ,ไม่ได้ดูโหงเฮ้วหรือเข้าทรง เพียงแต่มองหน้าและรดน้ำมนต์ให้ ก็บอกบ่งชัดเจนไปจนถึงลำดับที่ที่จะสอบได้เช่นนี้ หมอดูให้ดูแม่นยำอย่างไรก็ย่อมทำไม่ได้ และหมอดูเขาก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเอาตัวเข้าไปผูกมัดขนาดนั้น เพราะข้าพเจ้าผู้ถามได้เปิดกว้างให้ตอบเป็นสองนัย ว่าจะสอบได้เลขคู่เทานั้น การทายถูกหรือผิดจึงเป็น 50-50 แต่การพูดบอกของหลวงพ่อซึ่งบ่งชัดเจนไปจนถึงลำดับที่เช่นนี้หากมีผู้เข้าสอบ 1000 คน ความถูกต้องก็จะมีได้เพียง 1 ใน 1000 เท่านั้น อีกทั้งเป็นการทำนายถึงอนาคตอันใกล้ ซึ่งใครเลยจะกล้าเสี่ยงทำนายได้ หากไม่ได้อนาคตังสญาณ หรือรู้จริงเช่นหลวงพ่อ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 พฤษภาคม 2009
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    หลวงพ่อบอกถึงการได้บำเหน็จ 2 ขั้น

    ในปี พ.ศ. 2511 (ข้าพเจ้าเรียนจบจากโรงเรียนผู้บังคับฝูงแล้วครั้งหนึ่งข้าพเจ้าและภรรยาได้นำอาหรไปถวายหลวงพ่อ โยมีเรืออากาศโทธานินทร์ กลิ่นศรีสุข (ปัจจุบันยศนาวากาศเอก) และภรรยาร่วมไปด้วยในวันนั้นหลวงพ่อได้เอ่ยทักว่า “ปีนี้คุณมนูญได้ 2 ขั้นนะ” ซึ่งข้าพเจ้าก็รีบพนมมือกล่าวรับแต่ในใจก็ยังคิดว่า “ปีนี้เราไม่น่าจะได้ 2 ขั้นเพราะเรียนจบกลับมา ผลงานในรอบปีก็ไม่มีอะไรน่าประทับใจมากนัก” ในขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น ร.ท.ธานินทร์ ก็ถามว่า “หลวงพ่อครับแล้วผมล่ะ จะได้ 2 ขั้นด้วยไหม?”

    หลวงพ่อมองหน้า เรืออากาศโทธานินทร์ สักอึดใจก็ตอบว่า “ปีนี้ไม่ได้หรอกนะ ต้องปีหน้าจึงจะได้”

    เรืออากาศโทธานินทร์ ได้ฟังคำตอบากหลวงพ่อก็หัวเราะก๊ากแล้วเล่าให้หลวงพ่อและทุกคนในที่นั้นฟังว่า

    “เสียใจครับหลวงพ่อ ปีนี้ผมได้ 2 ขั้นแล้วอย่างแน่นอน ผู้พันเพิ่งให้ผมดูผลการพิจารณาบำเหน็จเมื่อวานนี้เอง ผมนะได้ 2 ขั้นอันดับ 1 ของกองพันอากาศโยธินด้วย และทุกปีกองพันจะมีโควตา 2 ขั้นสำหรับนายทหารสัญญาบัตรของกองพันถึงปีละ 3 คนดังนั้นผมซึ่งอยู่ไนอันดับ 1 จึงไม่พลาด 2 ขั้นแน่ในปีนี้”
    หลวงพ่อได้มองหน้าเรืออากาศโทธานินทร์ อีกแล้วตอบอย่างเมตตาว่า “ปีนี้คุณไม่ได้หรอกนะอย่าเสียใจ แต่ปีหน้าได้แน่”

    ในวันนั้น เรืออากาศโทธานินทร์ก็ลาหลวงพ่อกลับไปด้วยความหงุดหงิดบ่นกับข้าพเจ้าในทำนองว่า หลวงพ่อจะรู้ดีไปกว่าตนหรือผู้พันได้อย่างไรกัน
    ต่อมาอีกไม่นานผู้บังคับกองบิน 4 ก็เชิญหัวหน้าหน่วยขึ้นตรงเข้าประชุมบำเหน็จประจำปี ผลปรากฏว่า เรืออากาศโทธานินทร์ ก็ได้ 2 ขั้นจริงๆ และอันดับ 2,3 ของกองพันก็ได้ด้วย รวมความว่านายทหารสัญญาบัตรของกองพันอากาศโยธิน กองบิน 4 ได้ 2 ขั้นทั้ง 3 คน เต็มตามโควต้าของกองพันจริง ๆ ตามที่เรืออากาศโทธานินทร์อธิบายให้หลวงพ่อฟังทุกประการ ส่วนข้าพเจ้านั้นไม่ได้ เนื่องจากนายทหารสัญญาบัตรภายในหน่วยน้อย จึงไม่มีโควต้า 2 ขั้นของหน่วยเองต้องอาศัยโควต้าของหน่วยอื่นมาร่วม ซึ่งเป็นการยากมาก และข้าพเจ้าก็คาดคิดอยู่แล้วว่าข้าพเจ้าคงไม่ได้ จึงไม่เสียอกเสียใจแต่อย่างใด
    และในตอนเย็นวันนั้น เมื่อข้าพเจ้าพบเรืออากาศโทธานินทร์บนสโมสร ก็ได้แสดงความยินดี และร่วมเล่นบิลเลียดกันเหมือนเช่นเคยจนถึง 3 ทุ่มข้าพเจ้าจึงได้ขอแยกตัวกลับบ้าน ส่วนเรืออากาศโทธานินทร์ยังเล่นอยู่ต่อโดยบอกข้าพเจ้าว่า “พี่กลับไปก่อนนะ วันนี้ผมขออยู่ฉลอง 2 ขั้นจนกว่าสโมสรจะปิด”
    ครั้นวันรุ่งขึ้น ข้าพเจ้าไปถึงที่ทำงาน เห็นเพื่อนร่วมงานหลายคนกำลังจับกลุ่มวิจารณ์กันเรื่องใดเรื่องหนึ่งอยู่อย่างตื่นเต้นสนุกสนาน จึงเข้าไปร่วมฟังด้วย ก็ได้รับทราบว่า เมื่อคืนนี้ผู้บังคับการกองบิน 4 ไปเป็นเจ้าภาพแต่งงานที่จังหวัดชัยนาท กลับมาถึงกองบิน 4 เวลา 5 ทุ่มเศษเห็นไฟบนสโมสรเปิดสว่างไสว และยังข้าราชการเล่นบิลเลียดกันอยู่อย่างสนุกสนาน ก็โมโหมาก ขับรถจิ๊บเข้าเทียบสโมสรแล้วเข้าไปในห้องบิลเลียด สั่งปิดสโมสรทันที พรอ้มกับให้นายทหารผู้หนึ่งโทรศัพท์เชิญ ผู้พันฯมาพบ และสั่งการให้งดบำเหน็จ 2 ขั้นนายทหารสัญญาบัตรของกองพันอากาศโยธินทั้ง 3 คนที่ฝ่าฝืนกฎระเบียบและคำสั่งผู้บังคับการกองบิน 4 โดยเล่นบิลเลียดบนสโมสรเกินเวลาปิดสโมสร (ในระเบียบให้ปิดสโมสรเวลา 22.30)

    ด้วยเหตุนี้เอง เรืออากาศโทธานินทร์ และนายทหารสัญญาบัตรของกองพันอีก 2 คน จึงไม่ได้ 2 ขันทั้ง 3 คน และโควต้า 2 ขั้นทั้ง 3 ที่ของกองพันอากาศโยธินจึงต้องตกเป็นของส่วนกลาง ทำให้ข้าพเจ้าได้ 2 ขั้นในปีนั้น ส่วนเรืออากาศโทธานินทร์ไม่ได้ และไปได้ 2 ขั้นชดเชยในปีต่อไป ตามที่หลวงพ่อบอกทุกประการ

    การยืนยันของหลวงพ่อ ต่ออนาคตอันใกล้ต่อผู้ที่เขารู้ และมั่นใจอย่างเต็มที่ต่อเรื่องที่ไม่น่าพลาดเช่นนี้นับเป็นการเสี่ยงอย่างยิ่งซึ่งใครเลยจะกล้าเสี่ยงทำนายหากไม่ได้อนาคตังสญาณ หรือจริงอย่างหลวงพ่อ

     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    หลวงพ่อรู้ทั้งอดีตและอนาคต

    มีอยู่วันหนึ่ง เรืออากาศตรีชัยชนะ จั่นบำรุง(ยศในขณะนั้น)ซึ่งได้สมัครไปบินรบในสมรภูมิลาว (ขณะนั้นกำลังมีการรบกันอยู่อย่างรุนแรง)ได้ขอติดตามข้าพเจ้าและภรรยาไปกราบหลวงพ่อที่วัดท่าซุงด้วยความตั้งใจก็เพื่อไปสอบถามหลวงพ่อถึงความปลอดภัยของตนในการตัดสินใจไปรบในลาวนั่นเอง ซึ่งหลวงพ่อก็ได้เมตตาบอกว่า

    ความจริงคุณชัยชนะ ไปคราวนี้ต้องตายนะ แต่บังเอิญเมื่อตอนอายุ 9 ขวบไปพุ่งหลาวโดนน้ำ ศีรษะด้านหลังไปเจอไม้ไผ่ที่เขามัดกันพงผักบุ้ง เสียบเอาถึงเลือดตกยางออกมาแล้ว จึงนับเป็นการชดใช้กรรมไปแล้วส่วนหนึ่ง ดังนั้นการไปบินรบในครั้งนี้แม้เครื่องบินจะถูกยิงตกก็จะไม่ถึงตายนะ จะช่วยทำพิธีแก้ให้เพื่อผ่อนหนักให้เป็นเบา”

    ต่อจากนั้น หลวงพ่อก็ให้คุณชัยชนะจัดการปล่อยนก,ปล่อยปลา,ถวายพระพุทธรูป และรดน้ำมนต์ให้(เท่าที่ข้าพเจ้าพอจะจำได้)

    เรื่องที่น่าแปลกในตอนนั้นก็คือ ข้าพเจ้าและบรรดาผู้ติดตามไปในครั้งนั้น แม้จะนั่งอยู่ข้างหลังจนเกือบชิดและช่วยกันมองหาแผลเป็นบนศีรษะของเรืออากาศตรีชัยชนะ สักเพียงใดก็หาเห็นไม่ เพราะผมแกหนาและดกมากปิดบังไว้หมด ต่อเมื่อคุณชัยชนะยอนรับว่า “ตอนอายุ 9 ขวบผมกระโดดน้ำแล้วถูกไม้ไผ่เสียบจริงๆ และบัดนี้เป็นนั้นก็ยังอยู่”ว่าแล้วก็แหวกผมดกหนาที่ปิดบังแผลเป็นออกให้ทุกคนดู

    ต่อมาเรืออากาศตรีชัยชนะ ก็จากกองบิน 4 ไปปฏิบัติภารกิจการบินรบในลาวและใน 2-3 เดือนต่อมา ข้าพเจ้าก็ได้ทราบข่าวว่าเครื่องบินของคุณชัยชนะถูกยิงตก แต่คุณชัยชนะปลอดภัย เพียงแต่แขนเดาะต้องเข้าเผือกอยู่ระยะหนึ่งเท่านั้น และที่น่าแปลกใจมากก็คือ ทางคณะกรรมการที่ไปสอบสวนเครื่องบินตกได้เลาว่า เครื่องบินของเรืออากาศตรีชัยชนะนั้นน่าที่จะต้องตกเหวอย่างยิ่ง เพราะหัวเครื่องพ้นปากเหวไปเกือบครึ่งลำแล้ว แต่เคราะห์ดีที่ไปพาดบนต้นไม้ใหญ่

    การที่หลวงพ่อรู้ไปถึงอดีตของเรืออากาศตรีชัยชนะ เมื่อตอน 9 ขวบและล่วงรู้ถึงอนาคตอันใกล้ว่าเครื่องบินจะต้องตกอีกทั้งทำพิธีแก้เพื่อผ่อนหนักเป็นเบาให้เช่นนี้ ทำให้ข้าพเจ้ามั่นใจว่าหลวงพ่อต้องได้อตีตังสญาณ และอนาคตตังสญาณ อย่างแน่นอน
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    หลวงพ่อทรงอภิญญา

    เมื่อประมาณปี พ.ศ.2513 ตอนต้นๆปี ญาติของ พ.อ.อ.ชลอ ผาสุก ได้เสียชีวิตลง และ พ.อ.อ.ผาสุข ก็ได้ตัดสินใจนำศพของญาติ(ข้าพเจ้าต้องขออภัยที่จำไม่ได้ว่าญาติที่ตายมีศักดิ์เป็นอะไรกับ พ.อ.อ.ชลอ)ไปเผาที่เมรุเผาศพของวัดท่าซุง อุทัยธานี โดยเชิญข้าพเจ้าซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาไปร่วมเป็นเกียรติในพิธีเผาศพด้วย

    เมรุเผาศพของวัดทาซุงนั้นเป็นเมรุแบบโบราณเผาศพด้วยฟืนตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ(ในปัจจุบันทางวัดยังคงอนุรักษ์ไว้ หากท่านผู้อ่านได้ไปวัดท่าซุงก็จะได้เห็น) พิธีเผาศพก็ทำกันแบบพื้นบ้านง่ายๆ โดยยกศพลงไปวางในเมรุเหนือกองฟืนแล้วก็จุดไฟเผา โดยมีหลวงพ่อเป็นประธานในพิธี ส่วนข้าพเจ้า,พ.อ.อ.ชลอ ผาสุข และญาติๆ ของผู้ตายก็ยืนกันอยู่ด้วยอาการอันสงบข้างๆเมรุ

    ในขณะที่ไฟกำลังลุกไหม้ศพ และทุกคนกำลังยืนสงบอยู่นั้นก็มีคนมาบอกหลวงพ่อว่ามีนายทหารชั้นผู้ใหญ่มาจากกรุงเทพฯ เดินทางมาหาและรอหลวงพ่ออยู่ที่กุฏิ หลวงพ่อพยักหน้ารับทราบ แล้วก็หันมาสั่งข้าพเจ้าว่า “คุณมนูญ ช่วยไปรับแขกแทนฉันก่อนนะเดี๋ยวฉันจะตามไป”

    ข้าพเจ้าเมื่อรับคำสั่งจากหลวงพ่อก็เดินจากเมรุ ผ่านศาลาเก่าๆ ที่เสาโย้เย้ริมแม่น้ำ ลัดเลาะไปตามทางเดินที่สองข้างทางมีแต่หญ้าคาสูงๆ ปกคลุม ผ่านโบสถ์วิหารที่ชำรุดทรุดโทรมปราศจากหลังคาแล้วก็หยุดหันหลังกลับไปมองที่เมรุ เห็นหลวงพ่อยังยืนเด่นเหลืองอร่ามปลงอสุภอยู่อย่างสงบ ก็มีความหนักใจเพราะความจริงแล้วข้าพเจ้าไม่ชอบที่จะไปพูดคุยกับผู้หลักผู้ใหญ่นัก โดยเฉพาะนายทหารชั้นผู้ใหญ่ที่มาจากกรุงเทพฯ และก็ไม่ทราบว่า จะต้องคุยรับหน้าแทนหลวงพ่ออีกนานสักเท่าไร เพราะมองดูรูปการแล้วหลวงพ่อยังไม่มีทีท่าจะละจากเมรุงายๆ เลย อย่างไรก็ตามข้าพเจ้าก็ค่อยๆเดินไปจนถึงกุฏิหลังเล็กๆ ของหลวงพ่อริมน้ำจนได้ และแล้วสิ่งที่ข้าพเจ้าไม่เคยคิดฝันมาก่อนที่เกิดขึ้นจนทำให้ข้าพเจ้าตกใจเพราะข้าพเจ้าได้เห็นหลวงพ่อกำลังนั่งพูดคุยกับนายทหารผู้ใหญ่ท่านผู้นั้นอยู่แล้วบนกุฏิ

    ท่านผู้อ่านที่รัก ทางเดินจากเมรุเผาศพเดินมายังกุฏิหลวงพ่อนั้นมีเส้นทางเดียวที่ลัดตรงที่สุดและไม่มีหญ้าคาปกคลุม ซึ่งก็เป็นเส้นทางที่ข้าพเจ้าก็ได้เดินมาแล้วเกินกว่าครึ่งทาง ในขณะที่หลวงพ่อยังยืนอยู่ที่เมรุ ดังนั้นจู่ๆหลวงพ่อก็มาถึงกุฏิก่อนข้าพเจ้าได้เช่นนี้ หากข้าพเจ้าจะคิดว่าหลวงพ่อทรงอภิญญาก็น่าจะได้ จริงไหมครับ
     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    หลวงพ่ออยู่รอสงเคราะห์ลูกหลานญาติมิตร

    เมื่อประมาณปี พ.ศ.2512 ในวันหนึ่งหลังจากที่หลวงพ่อฉันอาหารเพลในแพริมแม่น้ำของวัดท่าซุงเสร็จ ก็ชวนข้าพเจ้าและผู้ติดตามเคลื่อนย้ายจากแพไปกุฏิ ระหว่างทางหลวงพ่อได้หยุดยืนใต้ร่มไทรต้นหนึ่งริมแม่น้ำ แล้วพูดบอกข้าพเจ้าว่า

    “ณ ที่แห่งนี้บริเวณนี้ต่อไปในอนาคตอันใกล้จะมีลูกหลานและญาติสนิทมิตรสหายของฉันในอดีต จะกี่ภพกี่ชาติมาแล้วก็ตามที่มาเกิดทันฉันในชาติปัจจุบัน จะพากันมาชุมนุม ณ ที่แห่งนี้เป็นหมื่นๆ แสนๆ คน”

    ข้าพเจ้าในขณะนั้น ได้ฟังหลวงพ่อพูดแล้วก็ให้นึกสงสารหลวงพ่อสุดหัวใจและรำพึงอยู่ในใจว่า “โถ! จะมีใครมาเป็นหมื่นเป็นแสนคน ทุกวันนี้ก็ดูเหมือนจะมีแต่ผู้คนในชุดของข้าพเจ้าเท่านั้นเอง”

    และข้าพเจ้าก็เชื่ออย่างเหลือเกินว่า หากผู้ใดเป็นข้าพเจ้าในขณะนั้นก็คงต้องคิดเช่นเดียวกับข้าพเจ้า เพราะรอบกายที่ยืนอยู่ไม่ว่าจะเหลียวไปทางด้านใด ก็เห็นแต่ความรกร้างว่างเปล่า และสิ่งปรักหักพังทั้งสิ้นถาวรวัตถุอันเป็นหลักของวัด อาทิเช่นโบสถ์,วิหารก็ชำรุดทรุดโทรมไปหมดไม่มีแม้แต่หลังคา,ศาลา 1 หลังก็ตั้งอยู่บนเสาที่โย้เย้มีสภาพเอียงกระเท่เร่พร้อมที่จะล้มพังเมื่อไรก็ได้ ส่วนหอไตรเล็กๆ อีก 1 หลัง ก็มีแต่โครงส่วนเมรุโบราณที่เผาศพด้วยฟืนนั่น ก็มีแต่คราบตระไคร่น้ำจับดำไปหมดคงมีแต่กุฏิเจ้าอาวาสเก่าๆ 1 หลัง กุฏิเล็กๆของหลวงพ่ออีก 1 หลังและแพริมฝั่งแม่น้ำเท่านั้นที่พอใช้การได้บ้าง ทั้งหมดที่กล่าวนี้ก็คือวัดท่าซุงในขณะนั้นจริงๆ ส่วนฝั่งวัดตรงข้ามถนนที่เป็นโบสถ์ใหม่ หรือศาลานวราชก็ดี,ศาลา 2 ไร่ 4 ไร่ หรืออาคารอื่นใดก็ดีหามีไม่คงมีแต่ป่าไผ่ดงดิบตลอดแนว สรุปความว่าวัดท่าซุงในตอนที่หลวงพ่อพูดกับข้าพเจ้านั้น อยู่ในสภาพของวัดร้างจริงๆ

    หลวงพ่อเห็นอาการอันเงียบสงบและแววตาของข้าพเจ้า ก็คงจะทราบว่าในใจข้าพเจ้านึกคิดอย่างไร ท่านก็ได้เมตตาพูดต่อไปว่า

    “ฉันนั้นได้เคยปรารถนาพุทธภูมิไว้ แต่หากดำรงเจตนาเดิมก็จะต้องมาเกิดอีก 7 ชาติ จึงจะได้พบและอุปการะลูกหลาน, ญาติมิตรที่เคยเกี่ยวข้องผูกพันกับฉันมาแต่ในอดีตชาติได้ทั้งหมด ซึ่งนับเป็นภาระที่หนักมาก และฉันก็เบื่อหน่ายโลกมนุษย์นี้เต็มทน จึงได้ลาพุทธภูมิและได้เอาชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของฉัน ดังนั้นภาระในชาตินี้ของฉันจึงมีมากเพราะจะต้องอยู่ช่วยลูกหลาน ญาติมิตร ที่เคยเกิดร่วมภพร่วมชาติกับฉันมาในอดีตชาติ และมาเกิดทันฉันในชาตินี้ทั้งหมด ให้พ้นจากอบายภูมิด้วย หากผู้ใดมีบุญบารมีก็จะไปถึงพระนิพพานหากผู้ใดบุญบารมียังน้อยก็จะพยายามให้สร้างบุญกุศลเพื่อไปพักในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ไว้ก่อนเมื่อพระศรีอาริย์มาตรัสรู้ก็จะลงมาเกิดเป็นมนุษย์ในสมัยของพระศรีอาริย์พอดี ด้วยวิธีนี้จะช่วยให้เขาเหล่านั้นพ้นจากอบายภูมิไปได้ แต่กุศลผลบุญหลักที่จะช่วยให้ไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ก็คือ การถวายสังฆทานและการสร้างวิหารทานนั่นเอง ดังนั้น ต่อไปในอนาคตที่นี่จะมีการก่อสร้างสิหารทานมาก บริเวณวัดท่าซุงในขณะนี้จะไม่พอ จะต้องขยายวัดไปทางดงไผ่ฝั่งตรงข้ามวัดท่าซุงด้วย”

    ในขณะนั้น แม้หลวงพ่อจะได้เมตตาบอกข้าพเจ้าโดยละเอียดแล้ว เช่นไรก็ตาม ข้าพเจ้าหาได้เข้าใจไม่ด้วยไร้ปัญญา คงคิดอยู่แต่ในใจว่าคนจะมาเป็นหมื่นเป็นแสนคนได้อย่างไร? และการก่อสร้างที่จะต้องขยายไปถึงดงไผ่ฝั่งตรงข้ามยิงไม่น่าจะเป็นไปได้ใหญ่ เพราะเอาแต่บูรณะโบสถ์,วิหาร,ศาลา,หอไตร และกุฏิเดิมในวัดเก่า ที่มีอยู่ก็ใช้เงินมากมหาศาลอยู่แล้ว จะทำได้อย่างไร

    “แต่ท่านผู้อ่านทั้งหลายในปัจจุบันนี้ที่วัดท่าซุงก็เป็นไปตามที่หลวงพ่อบอกข้าพเจ้าไว้ล่วงหน้า ตั้งแต่ปี พ.ศ.2512 แล้วทุกประการ ในพิธีเป่ายันต์เกราะเพชร และพิธีตางๆผู้คนก็พากันไปเป็นหมื่นเป็นแสนจริงๆ และการก่อสร้างวิหารทานก็ได้กระทำกันเกินกว่าที่ข้าพเจ้าวาดภาพเอาไว้เสียอีก และดูเหมือนจะไม่มีการจบสิ้นด้วย

    ดังนั้น หากข้าพเจ้าจะคิดวาหลวงพ่อระลึกชาติในกาลก่อนได้(ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ)รู้ที่มาของคนและสัตว์ที่มาเกิดว่ามาจากที่ใด(จุตูปปาตญาณ)และรู้เหตุการณ์ต่อไปในอนาคตของคน,สัตว์,สิ่งของ และสถานที่ได้(อนาคตังสญาณ)ก็คงไม่มีผู้ใดว่าใช่ไหมครับ”
     
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    ผิวกายของหลวงพ่อเปลี่ยนสีได้

    เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2513 ที่ข้าพเจ้าซึ่งได้เป็นหัวหน้าสถานีวิทยุกระจายเสียง 04 ตาคลี จ.นครสวรรค์ ได้เริ่มจัดแบ่งเวลาให้หลวงพ่อแสดงธรรมะออกอากาศทางสถานีเป็นประจำเรื่อยๆ มา ซึ่งหลวงพ่อก็ได้เมตตามาแสดงธรรมออกอากาศให้แล้วด้วยตนเองเป็นการประจำเว้นไว้แต่ในบางครั้งที่หลวงพ่อป่วย หรือติดกิจจำเป็นก็จะอัดเป็นเทปส่งให้ สำหรับรายการของหลวงพ่อที่ออกอากาศทางสถานีวิทยุ ที่ข้าพเจ้ารับผิดชอบนี้ นอกจากจะเป็นการแสดงธรรมะโปรดพุทธศาสนิกชนแล้ว ก็มีการเล่าเรื่องประวัติหลวงปู่ปาน,ไตรภูมิ,มหาสติปัฏฐาน 4 และอื่นๆ อีกมากมาย(ต่อมาพลอากาศโท ม.ร..เสริม ศุขสวัสดิ์ได้ขอเทปไปถอดฟัง และจัดพิมพ์เป็นหนังสือ ดังที่ลูกศิษย์รุ่นหลังๆ ได้อ่านกันอยู่ทุกวันนี้) และในการมาของหลวงพ่อทุกครั้ง ข้าพเจ้าก็จะคอยอยู่รับใช้และอำนวยความสะดวกให้หลวงพ่อโดยตลอด จนกว่าหลวงพ่อจะกลับ

    สิ่งมหัศจรรย์ที่ข้าพเจ้าและ พ.อ.อ.กริช บำรุงพงษ์ ได้พบเห็นก็คือหลวงพ่อเดินเข้าไปในห้องส่งและพูดออกอากาศโดยมิได้มีข้อเขียนใดๆ แม้แต่กระดาษที่จะจดหัวข้อ หรือข้อความสั้นๆ เพื่อกันลืมเลยแม้แต่น้อย(แม้แต่ผู้ประกาศและโฆษกอาชีพ ซึ่งหากินทางวิทยุกระจายเสียงเองก็ทำไม่ได้) โดยเฉพาะเรื่องยาวๆยากๆ เช่น การเล่าประวัติหลวงปู่ปานก็ดี การเล่าถึงนรกสวรรค์แต่ละชั้นในไตรภูมิก็ดี หรือมหาสิตปัฏฐาน 4 ก็ดี ย่อมเป็นการสุดวิสัยที่จะพูดออกอากาศได้โดยไม่มีข้อเขียนหรือหัวข้อย่อยๆ เป็นหลัก แต่หลวงพ่อพอนั่งหน้าไมโครโฟนก็หลับตาพูดไปเรื่อยโดย

    เฉพาะไตรภูมิ เสมือนกับว่าในขณะนั้น หลวงพ่อได้ลงไปในนรกหรือขึ้นไปบนสวรรค์แต่ละชั้นจริงๆ แล้วพูดออกอากาศถ่ายทอดมาให้ผู้ฟังได้ฟังก็ไม่ผิด และเมื่อหลวงพ่อพูดจบในวันนั้นถึงตอนใดวันต่อไปก็เล่าต่อไปได้เลยไม่มีการผิดพลาด ซึ่งยากที่ผู้คนธรรมดาทั่วๆ ไปจะทำได้

    ข้าพเจ้าและ พ.อ.อ.กริช บำรุงพงษ์ เกิดความสงสัยข้องใจในความสามารถของหลวงพ่อตรงกัน จึงได้เฝ้าดูหลวงพ่ออย่างใกล้ชิดทุกครั้งกล่าวคือเมื่อหลวงพ่อเข้าห้องส่ง ข้าพเจ้าและ พ.อ.อ.กริช ก็จะเข้าไปในห้องควบคุมเสียง (ห้องส่งและห้องควบคุมเสียงอยู่ติดกันมีเพียงกระจกกั้นมองเห็นกันได้โดยตลอด เพื่อสะดวกในการที่โฆษก และผู้ควบคุมเสียงจะได้ให้สัญญาณนัดแนะต่อกันได้) และสิ่งที่ได้พบเห็นในขณะที่หลวงพ่อพูดออกอากาศก็คือ ผิวกายของหลวงพ่อเปลี่ยนสีได้บางครั้งก็เป็นสีขาวผ่อง,บางครั้งก็เป็นสีเหลือง,บางครั้งก็เป็นสีดำแดงและบางครั้งก็เป็นสีดำคล้ำ นอกจากนั้นในบางครั้งหลวงพ่อก็มีการพูดโต้ตอบกับสิ่งที่ข้าพเจ้าและ พ.อ.อ.กริชไม่เห็นหรือในบางครั้งหลวงพ่อก็จะหยุด และถามว่า “อะไรนะ” เป็นตัน

    ข้าพเจ้าเชื่อเหลือเกินว่า คงมีบรรดาลูกศิษย์ของหลวงพ่อที่ใกล้ชิดหรือเป็นคนช่วงสังเกต จะต้องยอมรับว่า ผิวกายของหลวงพ่อนั้นเปลี่ยนสีได้จริงๆตามที่ข้าพเจ้าเขียน หากผู้ใดยังไม่เคยเห็นโปรดสังเกตดูต่อไป
     
  8. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    หลวงพ่อนัดพบหลวงปู่สีทางจิต

    เมื่อประมาณปี พ.ศ.2514 ในวันหนึ่งหลวงพ่อได้มาแสดงธรรมะออกอากาศที่สถานที่วิทยุกระจายเสียง 04 ตาคลี จ.นครสวรรค์เหมือนเช่นเคย และหลังจากที่หลวงพ่อได้แสดงธรรมะออกอากาศเสร็จก็ได้มานั่งพักผ่อนสนทนากับข้าพเจ้าและ พ.อ.อ.กริช บำรุงพงษ์ ที่ห้องรับแขก ข้าพเจ้าจงได้ฉวยโอกาสเล่าถึงอภินิหารและความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงปู่สีให้หลวงพ่อฟัง พอสรุปใจความสั้นๆ ได้ดังนี้

    “มีพ่อค้าชาวตาคลี กลุ่มหนึ่งไปกราบนมัสการหลวงปู่แหวนที่วัดดอยแม่ปั๋ง จังหวัดเชียงใหม่ และเมื่อหลวงปู่แหวนทราบว่าเป็นพ่อค้ามาจากตาคลี ก็หัวเราะพูดว่า ท่านมีอาจารย์อยู่องค์หนึ่งอายุมากแล้วชื่อหลวงปู่สี ขณะนี้อยู่ที่ตาคลีให้ค้นหาให้ดี เพราะท่านเก่งมากดังนั้นเมื่อผู้คนกลุ่มนั้นกลับมา ก็พยายามติดตามค้นหาในที่สุดก็ได้พบว่าหลวงปู่สี พำนักอยู่วัดเขาบุญนาค มีอายุชรภาพมากแล้วถึง 121 ปีอภินิหารของหลวงพ่อสีในขณะนั้นที่ร่ำลืมกันมากคือ ไม่มีใครถ่ายรูปหลวงปูสีติด หากไม่ขออนุญาตท่านเสียก่อน และชานหมากของหลวงปู่สีหากผู้ใดได้ไว้แล้วพกพาติดตัวไปก็จะเป็นสิริมงคล และป้องกันภยันตรายต่างๆ ได้”

    ข้าพเจ้าได้เล่าให้หลวงพ่อฟังต่อไปว่า “กิตติศัพท์ของหลวงปู่สีดังกล่าว เมื่อได้รับฟังมาผมก็มิได้สนใจนัก จนกระทั่งวันหนึ่งผมได้ยินเสียงปืนดังขึ้นที่ในป่าหลังกองร้อยทหารสารวัตร (ในขณะนั้นข้าพเจ้าเป็นผู้บังคับกองร้อยทหารสารวัตร และเป็นนายทหารรักษาความปลอดภัยกองบิน 4 ด้วย) ผมจึงชวนเรืออากาศโทสังวร สมหวังรองผู้บังคับกองร้อย๐และเรืออากาศตรีครรชิต บัวอำไพ นายทหารสารวัตรซึ่งได้นั่งปรึกษางานอยู่กับผมลงไปดู ก็เห็นจ่าอากาศสารวัตร 2 คน คนหนึ่งกำลังถือปืนตั้งท่าจะยิงไก่นัดต่อไป อีกคนหนึ่งยืนดู จึงตะโกนสั่งให้หยุดยิงและสอบถามว่าทำไมจึงขัดคำสั่งผู้บังคับกองร้อยฯ (ข้าพเจ้าได้เคยสั่งให้ยิงปืนได้เฉพาะในสถานที่ที่จัดไว้ให้ยิงและยิงได้เฉพาะวัน,เวลาที่ท่างกองร้อยฯ กำหนด)ซึ่งทั้ง 2 คนก็ยอมรับผิดและอธิบายสาเหตุให้ฟังว่าจ่าประสิทธิ์ ไปได้ชานหมากจากหลวงปู่สีมาเล่าให้จ่าชิตฟังถึงอภินิหารต่างๆ จ่าชิตได้ฟังก็ไม่เชื่อก็เกิดพนันกันขึ้น โดยจ่าประสิทธิ์ไปขอซื้อไก่ในกองบิน 4 มา แล้วให้จ่าชิตยิง หากจ่าชิตยิงไก่ตาย จ่าชิตก็ได้ไก่ไปแต่ถ้าหากจ่าชิตยิงไก่ไม่ตายก็ต้องจ่ายเงินให้จ่าประสิทธิ์แล้วให้จ่าประสิทธิ์เอาไก่ไป การยิงสัญญากันไว้ว่าจะยิง 6 นัด ขณะนี้จ่าชิตยิงไปแล้ว 3 นัด ยังไม่ถูกไก่ และยังมีสิทธิ์ยิงได้อีก 3 นัด ผมจึงให้เรืออากาศโทสังวร และเรืออากาศตรีครรชิต ซึ่งเป็นมือปืน P.P.C. เหรียญเงินทั้ง 2 คน ยิงไก่คนละนัดก็ไม่ถูกอีก ผมจึงให้คนโทร ศัพท์ไปเรียก พ.อ.อ.ชลอ ผาสุก มือปืน P.P.C. เหรียญทองมายิงในนัดสุดท้ายซึ่งก็ไม่ถูกไก่อีก(ในตอนนั้น พ.อ.อ.ผาสุข โมโหมากขอให้เอาเหรียญบาทไปตั้งที่ตอไม้ 3 เหรียญ ก็ยิงถูกเหรียญกระเด็นไปทั้ง 3 เหรียญแต่ยิงไก่ตัวใหญ่โต)ซึ่งมัดติดกับต้นไม้ไม่ถูก) ผมจึงให้จ่าประสิทธิ์พาไปหา

    หลวงปู่สีในวันนั้น และพอไปกราบหลวงปู่ หลวงปู่ก็กล่าวตำหนิว่าพวกผมทำให้ปากท่านเจ็บไปหมด เพราะชานหมากไปผูกติดคอไก่ท่านก็จะต้องคุ้มครองให้ไก่ และเมื่อเอาปืนไปยิงไก่ ลูกปืนมันไม่ไปถูกไก่แต่มันมาถูกปากท่านทุกนัด ผมและพรรคพวกที่ไปจึงต้องกราบขอขมาหลวงปู่ ซึ่งหลวงปู่ก็ได้เมตตา มอบชานหมากมาให้แต่ขอสัจจะว่า อย่าได้นำชานหมกของท่านไปทดลองที่ไหนอีก”
    หลวงพ่อได้นั่งฟังข้าพเจ้า เล่าถึงหลวงปู่สีด้วยความสงบ พอข้าพเจ้าเล่าจบหลวงพ่อก็พูดว่า

    “คุณมนูญ ฉันบอกหลวงปู่สีเมื่อตะกี้นี้แล้วว่า ฉันจะไปหาหลวงปู่ดีใจมาก จะคอยต้อนรับอยู่ที่กุฏิ ไปเราไปกันได้เลย”

    ข้าพเจ้าและ พ.อ.อ.กริช ได้ฟังก็งงมาก เพระหลวงพ่อก็นั่งอยู่เฉยๆ ๆไม่ได้ลุกไปโทรศัพท์ และโทรศัพท์ที่กุฏิหลวงปู่สีก็ไม่มี หลวงพ่อจะบอกกับหลวงปู่สีได้อย่างไร แต่เมื่อเป็นเจตจำนงของหลวงพ่อเช่นนั้น ข้าพเจ้าก็จำต้องขับรถพาหลวงพ่อไป

    เมื่อไปถึงกุฏิหลวงปู่สี (ตั้งอยู่หน้าถ้ำวัดเขาบุญนาค)ข้าพเจ้าก็ยิ่งฉงนสนเท่ห์ใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะหลวงปู่สีซึ่งตามปกติท่านจะนุ่งสงบอยู่ตัวเดียว บัดนี้ท่านแต่งชุดใหญ่ครบเครื่องเยี่ยงพระภิกษุสงฆ์ที่พร้อมจะเข้าพิธีในโบสถ์ มีเสื่ออย่างดีปูได้เรียบร้อยพร้อมด้วยชุดน้ำชา และหมากพลู อีกทั้งมีพระภิกษุสงฆ์ในวัดอีก 2-3 รูป รวมทั้งเจ้าอาวาสมานั่งคอยรอรับหลวงพ่ออยู่พร้อมหน้า

    ในขณะที่หลวงพ่อนั่งคุยอยู่กับหลวงปู่สี ข้าพเจ้าก็ได้แอบไปสอบถามท่านมหาองค์หนึ่ง ซึ่งใกล้ชิดกับหลวงปู่สีว่า “หลวงปู่สีทราบได้อย่างไร ว่าหลวงพ่อจะมา” ท่านมหาองค์นั้นก็ตอบว่า “อาตมาก็ไม่ทราบ เห็นหลวงปู่นอนจำวัดอยู่ตามปกติ จู่ๆก็ลุกพรวดพราดขึ้นมาแล้วสั่งให้อาตมาคุมกวาดลานวัดและเช็ดกุฏิแล้วให้เตรียมน้ำชา หมากพลูโดยเร่งด่วน ท่านบอกว่า ประเดี๋ยวจะมีพระผู้ใหญ่ระดับสูงมากมาหา พร้อมกันนั้นหลวงปู่ก็เข้าไปนุ่งห่มจีวรใหม่เอี่ยม รอหลวงพ่อดังที่โยมเห็นนี้แหล่ะ”

    เรื่องที่ข้าพเจ้าและพรรคพวกได้ประสบในครั้งนี้ไม่มีผู้ใดจะพิสูจน์หรือหาเหตุผลใดๆ ได้เลย นอกจากจะคิดกันไปว่า หลวงพ่อได้นัดพบกับหลวงปู่สีทางจิตเท่านั้น หรือท่านผู้อ่านจะเข้าใจว่าอย่างไร

     
  9. พระไตรภพ

    พระไตรภพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,067
    ค่าพลัง:
    +7,521
    นายช่างปลูกเรือน ไม่ได้ลิ้มรสสุขทุกข์จากเรือนนั้น ได้แต่หวังและอยาก จะถึงธรรมได้อย่างไร สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 พฤษภาคม 2009
  10. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    อภินิหารของหลวงพ่อและหลวงปู่สี

    เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2516 ข้าพเจ้าได้ซื้อรถวอลโว่ใหม่ 1 คัน ก็ได้นำไปให้หลวงพ่อเจิมให้ที่วัดท่าซุง ต่อมาเมื่อได้มีโอกาสไปกราบหลวงปู่สีบ่อยๆ เข้าก็ได้รู้ถึงความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงปู่สีมากขึ้น อาทิเช่นมีชาวไร่ข้าวโพดได้ชนหมากของหลวงปู่สีไป และเกิดไปทำหายในขณะหักข้าวโพดในไร่ จะหาอย่างไรก็หาไม่พบเพราะดงข้าวโพดกว้างใหญ่ไพศาลมาก แต่เนื่องจิตมีความเสียดายในชานหมาก และเคารพนับถือด้วยความจริงใจ ตอนกลางคืนก็ฝันว่า “หลวงปู่สีมาบอกว่าหากอยากได้ชานหมากให้เผาไร่ข้าวโพดเสีย แล้วจะพบเอง” พอรุ่งเช้าชาวไร่ข้าวโพดผู้นั้นก็จุดไฟเผาไร่ข้าวโพดทันที (ข้าวโพดในไร่หักหมดแล้ว) เมื่อไร่ข้าวโพดถูกไฟเผาราบเรียบหมดก็เห็นต้นข้าวโพดอยู่ 2-3 ต้นที่ไม่ไหม้ไฟจึงตรงเข้าไปดู ก็พบชานหมากของหลวงปู่สี ซุกอยู่โครข้าวโพดก็ดีใจมาก ตรงเข้าเก็บชานหมากหลวงปู่ไว้แล้วนำไปเลี่ยมคล้องคอมาจนบัดนี้

    อีกรายหนึ่งเป็นอาจารย์สตรี วัยกลางคนอยู่ที่สมุทรปราการได้ชานหมากหลวงปู่สีไปก็นำไปใส่กระเป๋าสตางค์ไว้ มีวันหนึ่งเดินกลับบ้านตอนพลบค่ำ ในระหว่างทางที่เดินอยู่ในซอยเปลี่ยว ก็มีความรู้สึกว่ามีคนเดินตามมาข้างหลัง 3 คน ก็เร่งฝีเท้าหนี คนทั้ง 3 ก็เร่งฝีมือตาม พอวิ่งหนีก็ถูกวิ่งตาม ด้วยความหวาดกลัวจึงหันหลังไปดู ปรากฏว่าชายฉกรรจ์ทั้ง 3 คน ที่ตามมาหยุดชงักส่งเสียงร้องด้วยความหวาดกลัวแล้ววิ่งหนีไป อาจารย์สตรีวัยกลางคนผู้นั้นจึงกลับบ้านด้วยความปลอดภัย ด้วยชานหมากของหลวงปู่คุ้มกันภัยให้ และเมื่อตอนหลวงปู่ป่วย ข้าพเจ้าก็ได้ให้ลูกน้องพาหมอไปรักษา หากคราวใดหมอจะฉัดยาและหลวงปู่สีไม่ยอมให้ฉีด เข็มฉีดยาก็จะหักทุกครั้งไป เป็นต้น

    ด้วยเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงได้นำรถวอลโว่คันใหม่ของข้าพเจ้าไปให้หลงปู่สีช่วยเจิมให้อีกด้วยคิดว่า “แม้หลวงพ่อเจิมให้แล้วก็ตามหากได้หลวงปู่สีช่วยเจิมทับลงไปอีกก็คงจะเป็นศิริมงคลยิ่งขึ้น”

    เมื่อหลวงปู่สีได้ทราบความประสงค์ว่า ข้าพเจ้าขอให้ช่วยเจิมรถให้ก็ทำพิธีเสกแป้ง แล้วถือแป้งเสกลงกุฏิไปหยุดยืนบริกรรมอยู่หน้ารถวอลโว่ โดยมีข้าพเจ้า ภรรยาและลูกน้องอีก 3-4 คนยืนพนมมือรถให้หลวงปู่เจิมรถ แต่การณ์กลับปรากฏว่าหลวงปู่สีเกิดเปลี่ยนใจวางถ้วยแป้งเสกไว้ที่กระโปรงรถด้านหน้า โดยไม่ยอมเจิมให้เสียเฉยๆ มิหนำซ้ำเดินขึ้นบันไดไปบนกุฏิ แล้วนั่งทำน้ำมนต์อยู่พักหนึ่ง ก็ให้ พ.อ.อ.สัมฤทธิ์ กลั่นดี ลูกน้องคนหนึ่งของข้าพเจ้าถือบาตรน้ำมนต์ลงบันไดตามหลวงปู่มาหยุดยืนอยู่ทางด้านท้ายรถวอลโว่ของข้าพเจ้า แล้วก็ประพรมน้ำมนต์ไปทางด้านกระโปรงหลังรถ อีกทั้งมีการสวดให้ศีลให้พรอีกด้วย ต่อเมื่อประพรมน้ำมนต์เสร็จหลวงปู่จึงเดินไปด้านหน้ารอหยิบถ้วยแป้งเสกแล้วเจิมรถให้ข้าพเจ้าจนเสร็จซึ่งก่อให้เกิดความฉงนสนเท่ห์ใจกับทุกผู้คนในที่นั้นเพราะตามปกติแล้ว หลวงปู่จะเจิมให้โดยไม่มีการรดน้ำมนต์ เช่นนี้

    สำหรับเรื่องนี้ หลวงปู่สีได้เมตตาอธิบายให้ทุกคนหายข้องใจว่า “รถวอลโว่คันนี้ มีพระระดับสูงที่ญาณบารมีแก่กล้าได้ทำพิธีเจิมไว้ให้แล้วอีกทั้งได้จัดเทพถึง 4 องค์ อยู่คอมพิทักษ์รถคันนี้ เมื่อสักครู่พอจะเจิมรถให้เทพทั้ง 4 ก็มาขอให้หลวงปู่รถน้ำมนต์ให้ก่อน จึงต้องให้น้ำมนต์เขาก่อนแล้วจึงเจิมรถให้ทีหลัง” ข้าพเจ้าได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกปลื้มปิติยินดี และซึ้งในเมตตาของหลวงพ่อเป็นอย่างยิ่ง ที่กรุณาเมตตาส่งเทพมาคอยให้ความคุ้มครองป้องกันภัยให้ข้าพเจ้าตลอดเวลาถึง 4 องค์ เช่นนี้ ดังนั้นลูกหลานของหลวงพ่อผู้ใดก็ตาม ที่ได้เข้าพิธีต่างๆ กับหลวงพ่อแล้วก็พึงอุ่นใจได้ว่าหลวงพ่อจะช่วยขจัดปัดเป่าภัยพิบัติต่างๆ ให้โดยไม่ทอดทิ้งอย่างแน่นอน

    ต่อมาไม่นาน ข้าพเจ้าได้ขับรถวอลโว่คันนั้นพาครอบครัวไปพักผ่อนที่บ่อฝ้าย หัวหิน ระหว่างทางขณะที่รถวิ่งผ่านไปทางกำแพงแสน จ.นครปฐม ข้าพเจ้าซึ่งกำลังขับรถไปอย่างสบาย ๆ ด้วยความเร็วประมาณ 80-90 กม. ต่อชั่วโมงก็เห็นรถบรรทุกอ้อยสิบล้อคันหนึ่งวิ่งสวนมาด้วยความเร็ว และทำท่าจะวิ่งชนจักรยานสองล้อของชาวบ้านที่ขี่อยู่ข้างทางโดยผู้ขับสิบล้อมิได้คิดจะแซงหรือเบี่ยงหลบ จิตของข้าพเจ้าตอนนั้นบอกว่าคนขับสิบล้อคงหลับใน หากรู้สึกตัวเห็นจักรยานสองล้อ มันจะต้องหักหลบมาชนรถของข้าพเจ้าอย่างแน่นอน พอจิตบอกข้าพเจ้าก็ถอนเท้าจากคันเร่ง เปลี่ยนเป็นเกียร์ 2 และเหยียบเบรคอย่างแรงพร้อมทั้งเตรียมหักพวงมาลัยหลบ ก็พอดีรถสิบล้อคันนั้นหักหลบจักรยานพุ่งเข้าจะชนรถข้าพเจ้าดังที่คิด ข้าพเจ้าก็พยายามหักพวงมาลัยหลบ แต่รถก็หาเลี้ยวไม่คงทื่อเข้าใส่รถบรรทุกที่ขวางลำรถข้าพเจ้าด้วยแรงเฉื่อย ความรู้สึกในตอนนั้นข้าพเจ้าและทุกคนในรถไม่มีผู้ใดตกใจเลย มองเห็นรถข้าพเจ้าและรถบรรทุกค่อยเข้าหากันเหมือนภาพสโลโมชั่น เสมือนจะหลบกันพ้นแต่ก็ไม่พ้นชนกันแบบสะกิดๆ จนได้

    เมื่อรถจอดสนิท ข้าพเจ้าก็สำรวลดูทุกคนในรถ ปรากฏว่า ไม่มีผู้ใดบาดเจ็บแม้แต่จะฟกช้ำดำเขียว ขัดยอก หรือเลือดตกยางออกเลย ก็โล่งใจจึงเปิดประตูรถลงไปเอาปืนจี้คนขับรถบรรทุกไม่ให้หนี แล้วสำรวลดูสภาพรถปรากฏว่า รถวอลโว่ของข้าพเจ้าชนบันไดรถบรรทุกขาดกระจุยหัวรถเข้าไปซุกอยู่ในใต้รถบรรทุก จนถึงกระจกหน้า ไม่สมารถจะถอยรถออกมาได้ สักครู่รถคันหน้า ที่ล่วงหน้าไปก่อนเห็นรถของข้าพเจ้าหายไปไม่ตาม ก็ฉุกใจวนขับรถกลับมาดู ทุกคนหน้าซีดแข็งขาอ่อนบอกเห็นแต่ไกลว่าคงต้องมีการตายกันบ้างแน่ แม้ชาวบ้านที่วิดปลาอยู่ตามคูน้ำข้างทางที่รถชนกัน ก็พูดว่ารถชนกันเสียงสนั่นหวั่นไหวจนไม่กล้ามองคิดว่าต้องตายทั้งคันแน่

    เมื่อทุกคนในคณะของข้าพเจ้ามาพร้อม คนขับรถบรรทุก็ยอมรับว่าตนผิดและขอไปตามเถ้าแก่เจ้าของรถมา และเมื่อเถ้าแก่มาก็พูดจาตกลงกันด้วยดี โดยยอมชดใช้ค่าเสียหายให้โดยไม่เกี่ยงงอน แต่เมื่อตรวจดูสภาพรถวอลโว่ของข้าพเจ้า เมื่อใช้แม่แรงยกรถสิบล้อออกแล้วเข็นรถออกมา ทุกคนก็แทบไม่เชื่อสายตากล่าวคือ ฝากระโปรงรถหน้าที่ยุบไปเพราะรับน้ำหนักรถบรรทุกสิบล้อซึ่งบรรทุกอ้อยเต็มกลับดีดคืนเข้าสู่สภาพเดิม มีเพียงสีถลอกนิดเดียว ไปหน้าทุกดวงและกระจกหน้ารถซึงเป็นส่วนที่ชนกันอย่างประสานงา ไม่มีการแตกร้าวหรือแม้แต่ไส้หลอดไฟก็ไม่ขาด

    เมื่อเห็นสภาพรถแล้ว เถ้าแก่เจ้าของรถ(มากับพรรคพวกนักเลงไร่อ้อยพก 11 มม.คนละ 1 กะบอก)ก็ขอจ่ายค่าเสียหายให้ข้าพเจ้า 2000 บาทด้วยความเต็มใจอีก ทั้งยังถามวาข้าพเจ้าและครอบครัวจะกลับผ่านมาทางนี้อีกเมื่อไร จะมารอส่งด้วย ซึ่งข้าพเจ้าก็บอกไป และตอนขากลับเขาก็มารอส่งข้าพเจ้ากันจริงๆ

    เรื่องที่ข้าพเจ้าประสบมานี้ ไม่น่าเป็นไปได้ในหลายๆอย่างๆ อาทิเช่น รถวิ่งสวนกันด้วยความเร็ว และรถบรรทุกสิบล้อหักหลบมาชนแบบประสานงา กับรถของข้าพเจ้าในระยะกระชั้นชิด ซึ่งแม้ข้าพเจ้าจะแก้ปัญหากะทันหันด้วยวิธีการดังกล่าว เพียงแต่ทำให้รถข้าพเจ้าช้าลงไปบ้างเท่านั้น แต่รถสิบล้อที่วิ่งมาชนหาได้ลดความเร็วลงไม่ และสิ่งที่เป็นพยานสายตาปรากฏแก่สายตาก็คือ บันไดรถสิบล้อขาดกระจุย และหัวรถของข้าพเจ้ามุดเข้าไปอยู่ใต้รถบรรทุก จนต้องใช้แม่แรงยกรถบรรทุกขึ้นจึงจะสามารถเข็นรถของข้าพเจ้าออกได้ แต่ปรากฏว่าทุกคนในรถของข้าพเจ้าปลอดภัย และรถของข้าพเจ้าก็มีสภาพปกติพร้อมที่จะสิ่งต่อไปได้(มีสีถลอกตรงฝากระโรงนิดหน่อย) อีกทั้งนักเลงบ้านไร่ซึ่งตามกิตติศัพท์ร่ำลือกันนักกันหนาว่าดุมาก กลับยินดีชดใช้ค่าเสียหายให้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม มิหนำซ้ำยังมาคอยส่งข้าพเจ้าให้ตอนขากลับเยี่ยงมิตรที่ดีอีกด้วยซึ่งไม่น่าเป็นไปได้ แต่ก็เป็นไปแล้วด้วยพระบารมีของหลวงพ่อและหลวงปู่สี เมตตาคุ้มครองภยันตรายต่างๆให้นั่นเอง
     
  11. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    หลวงพ่อให้พรเทวดา

    เมื่อประมาณปี่ พ.ศ.2517 ข้าพเจ้าได้พาภรรยาพร้อมด้วยผู้ที่ขอติดตามอีก 2 ท่านคือ พ.อ.อ.สาย ศิริรัตน์ และคุณแม่ภรรยา (แม่ยาย)ของ น.ท.บุญมาก สุขโชค ไปนั่งกรรมฐานที่วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี เหมือน เช่นที่ได้เคยปฏิบัติมาในทุกคืนวันศุกร์ และคืนวันเสาร์(ในขณะนั้นข้าพเจ้าไปเข้าเรียนฝ่ายอำนวยการสื่อสาร ที่ดอนเมืองจันทร์-ศุกร์)ซึ่งการปฏิบัติก็จะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง คือเริ่มจาก 2 ทุ่ม ไปจนถึง 3 ทุ่ม และต่อจากนั้นหลวงพ่อก็จะสอนและให้แนะนำเพิ่มเติมแก่ศิษย์เป็นส่วนรวม แล้วชี้แนะอุบายให้ศิษย์บางคนนำไปปฏิบัติเพื่อให้การปฏิบัติรุดหน้าไปได้เร็วยิ่งขึ้น

    หลัง 3 ทุ่มของคืนวันหนึ่ง เมื่อสัญญาณออดหมดเวลาของการนั่งปฏิบัติพระกรรมฐาน หลวงพ่อได้พูดให้ศิษย์ทุกคนฟังว่า

    “เมื่อเวลา 2 ทุ่มครึ่ง มีเทวดาองค์หนึ่งใบหน้าและผิวพรรณเศร้าหมองได้มากราบฉัน ท่านคงเห็นฉันงงๆก็เลยแนะนำตัวเองว่า ท่านได้เคยเป็นลูกศิษย์นับใช้ใกล้ชิดฉันมานาน ขณะนี้ใช้กรรมหมดแล้วจึงมากราบลาขอพรหลวงพ่อไปเกิดฉันก็งงใหญ่ จึงตรวจสอบดูก็รู้ชัดว่า เทวดาท่านนั้นหาใช่ผู้ใดไม่ คือ เจ้าแดงสุนัขที่คอยติดตามฉันอย่างใกล้ชิดมาตลอดเวลานั่นเอง และบัดนี้เจ้าแดงได้ถูกรถบรรทุกทราบทับตายอยู่ที่หน้าประตูวัดเมื่อเวลาประมาณ 2 ทุ่มครึ่งนี้เอง ฉันก็ได้ให้ศีลให้พรเขาไป ใบหน้าและผิวพรรณของเขาก็แจ่มใสสวยงามมาก บัดนี้เขาไปดีแล้วนะขอทุกคนจำไว้ อย่าไปดูถูกสุนัข สุนัขนั้นไม่มีโอกาสตกนรก ตายแล้วอย่างเลวก็เป็นสุนัขอีก หากใช้กรรมหมดอาจไปเกิดเป็นคน หรือไม่ก็เป็นเทวดาอย่างเจ้าแดงไปเลย ส่วนคนนั้นถ้าตาย ถึงแม้จะได้ปฏิบัติธรรมมาแต่ถ้าตกอยู่ในความประมาท ปล่อยให้จิตขณะที่แยกจากกายไปจับเอากรรมชั่วเข้าก็จะต้องไปรับกรรมชั่วก่อน มีโอกาสลงนรกได้เหมือนกันนะ อย่าลืม”

    ข้าพเจ้าซึ่งแม้ขณะนั้นจะมีความเลื่อมใสศรัทธาในหลวงพ่อสักเพียงไรกาม แต่ก็ยังมีความเคลือบแคลงสงสัยอยู่ดี เพราะบังเอิญข้าพเจ้าได้เห็นเจ้าแดงอยู่หลัดๆก่อนขึ้นมากราบหลวงพ่อ และหลวงพ่อก็นั่งเป็นประธานคุมลูกศิษย์นั่งปฏิบัติพระกรรมฐานอยู่ตั้งแต่ 2 ทุ่มครึ่งที่หน้าประตูวัด ขณะที่คิดอยู่ในใจจ่าสายซึ่งนั่งอยู่ใกล้ ๆ ก็กระซิบพูดเป็นทำนองสงสัยเช่นเดียวกับข้าพเจ้า และเพื่อพิสูจน์ความจริงเรื่องนี้ ข้าพเจ้าให้จ่าสายแอบเลี่ยงลงไปดูเหตุการณ์ที่หน้าประตูวัด สักครู่หนึ่งจ่าสายก็กระหืดกระหอบหน้าตาตื่นมากระซิบบอกข้าพเจ้าว่า เจ้าแดงสุนัขของหลงพ่อ ถูกรถบรรทุกทับตายอยู่ที่หน้าประตูวัดเมื่อตอน 2 ทุ่มครึ่งตามที่หลวงพ่อบอกจริงๆ

    ดังนั้น หากข้าพเจ้าจะคิดว่าหลวงพ่อได้ทิพจักขุญาณ(ตาทิพย์) และทิพโสตญาณ(หูทิพย์) จึงสามารถเห็นและติดต่อกับเทพได้ก็ไม่น่าจะผิดไปใช่ไหมครับ
     
  12. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    หลวงพ่อรู้อารมณ์จิต

    เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2518 ข้าพเจ้าได้พาภรรยาพร้อมด้วยผู้ติดตามอีก 2 ท่านคือ พ.อ.อ.สายศิริรัตน์และ พ.อ.อ.กริช บำรุงพงษ์ ไปร่วมงานพิธี 100 ปี หลวงปู่ปาน ที่วัดท่าซุง อุทัยธานี ในวันนั้นข้าพเจ้าจำได้ว่ามีพระสุปฏิบันโน ระดับสูงจากภาคเหนือมาร่วมในงานพิธีมากมายอาทิเช่น หลวงปู่คำแสน วัดสวนดอก หลวงปู่คำแสน(เล็ก) วัดดอนมูล หลวงปู่ครูบาธรรมชัย หลวงปู่ครูบาวงศ์ หลวงปู่สิม หลวงปู่บุดดาและหลวงปู่มหาอำพันจากวัดเทพศิรินทร์ กรุงเทพฯเป็นต้น(ความจริงมีมากกว่านี้ แต่เนื่องจากกาลเวลาผ่านมานานมาก และข้าพเจ้าเกรงจะเกิดการผิดพลาดขึ้นจึงมิกล้าเอ่ยถึงท่านอื่นๆ อีก)

    เมื่อใกล้เวลาที่หลวงพ่อจะขึ้นศาลา ข้าพเจ้าและผู้ติดามก็พากันรีบขึ้นไปรอหลวงพ่ออยู่บนศาลาร่วมกันบรรดาศิษย์ทั้งหลาย ซึ่งมาชุมนุมกันอยู่อย่างแน่นขนัด และต่างก็ชะเง้อมองลงไปดูขบวนแห่ของหลวงพ่อซึ่งเมื่อเห็นก็บังเกิดอาการขนลุกซู่ เพราะภาพที่ปรากฏก็คือ หลวงพ่อของเราประทับนั่งอยู่บนเสลี่ยงเป็นสง่า และรอบๆเสลี่ยงนั้นมีหลวงปู่ทั้งหลายที่ข้าพเจ้ากล่าวมาแล้วข้างต้นเดินตามมาด้วยอาการสงบเสงี่ยมเสมือนหนึ่งขุนศึกถวายอารักขาจอมทัพฉะนั้น (นี่เป็นความรู้สึกส่วนตัวที่เกิดขึ้นในจิตของข้าพเจ้าในขณะนั้นจริงๆ มิใช่มากล่าวเยินยอหลวงพ่อที่เป็นอาจารย์เกินเหตุ)

    เมื่อเสลี่ยงของหลวงพ่อขึ้นมาบนศาลา และเคลื่อนใกล้มายังจุดที่ข้าพเจ้ายืนอยู่ ข้าพเจ้าสังเกตเห็นหลวงพ่อซึ่งนั่งอยู่บนเสลี่ยงมีผิดสีดำและเคี้ยวหมากอีกด้วย(ตามปกติหลวงพ่อจะไม่ฉันหมาก) จิตในตอนนั้นของข้าพเจ้า ก็บังเกิดความอยากได้ชานหมากที่หลวงพ่อกำลังขบเคี้ยวอยู่ขึ้นมาอย่างรุนแรง และคิดว่าหากได้มาข้าพเจ้าจะกินและกลืนลงท้องทันที น่าจะเป็นศิริมงคลอย่างยิ่ง ทันใดนั้นสิ่งที่เหลือเชื่อก็อุบัติขึ้น กล่าวคือ หลวงพ่อคายหมากที่กำลังขบฉับอยู่ลงในฝ่ามือแล้วพูดดังๆ ว่า “เอ้า คุณมนูญ เอาไป”พร้อมกับปาชานหมากนั้นมาทางกลุ่มของข้าพเจ้าซึ่งเบียดอยู่กับศิษย์

    อื่นๆ แน่นขนัดข้าพเจ้าในขณะนั้นทำอะไรไม่ถูก เพียงแต่ยกแขนแบมือขึ้นเหนือศีรษะ ท่ามกลางฝ่ามือของผู้อื่นเป็นจำนวนมากที่กระโดดขึ้นแย่งชานหมากที่ลอยมา แต่ทว่าหมากของหลวงพ่อคำนั้นกลับมาตกอยู่ในฝ่ามือของข้าพเจ้าที่ยกชูขึ้นเฉยๆ ทั้งคำโดยมิได้กระจายหรือตกไปเป็นของผู้ใดเลยแม้แต่น้อย ซึ่งข้าพเจ้าก็รับเอาใส่ปาก และเคี้ยวกลือลงไปตามที่ได้ตั้งใจไว้แต่แรกโดยทันทีท่ามกลางความประหลาดใจแก่ผู้ที่อยู่รอบข้างเป็นอย่างยิ่ง

    ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับข้าพเจ้าดังกล่าวนี้ ทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากคิดว่าหลวงพ่อรู้ถึงอารมณ์จิตของข้าพเจ้าในขณะนั้นว่า อยากได้ชานหมากที่ท่านกำลังขบเคี้ยวเป็นอย่างยิ่งจึงโยนให้มา และการที่หลวงพ่อจะรู้ถึงอารมณ์จิตของข้าพเจ้าได้หลวงพ่อก็ต้องได้เจโตปริยญาณ อย่างแน่นอน นอกจากนั้นหลวงพ่อจะต้องทรงอภิญญาด้วย จึงสามารถบังคับชานหมากทั้งคำมิให้แตกกระจายและหลบเลี่ยงจากการไขว่คว้าของผู้อื่น จนกระทั่งมาตกลงบนฝ่ามือของข้าพเจ้าได้ดังที่ตั้งใจจะให้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์อีกด้วย

    อีกครั้งหนึ่ง พออากาศตรีเรวัตร วิริยพงศ์(ยศในตอนนั้นขณะที่เป็นเจ้ากรมจเรทหารอากาศ) และนาวาอากาศเอกสมชาย ถึงพุ่ม(ยศในตอนนั้น ขณะที่เป็นรองเจ้ากรมจเรทหารอากาศ) ได้พากันมาที่บ้านพักของข้าพเจ้าในกองบิน 4 ตาคลีจอนเย็นหลังจากการปฏิบัติภารกิจตรวจเยี่ยมกองบินของกรมจเรฯทั้งนี้เพราะทั้สองท่านมีความศรัทธาธรรมเลื่อมใสในหลวงพ่อมาก และได้ทราบว่าข้าพเจ้าจะเดินทางออกจากกองบินฯในตอนพลบค่ำ เพื่อไปนั่งกรรมฐานที่วัดท่าซุง จึงอยากจะขอติดตามไปด้วย ระหว่างที่ระเวลาออกเดินทาง ท่านทั้งสองก็เล่าถึงความในใจให้ข้าพเจ้าฟังว่า การไปคราวนี้ตั้งใจจะเรียนถามปัญหาธรรมะที่ยังเคลือบแคลงสงสัยในหลายๆเรื่องจากหลวงพ่อ ซึ่งข้าพเจ้าก็แนะนำไปว่าให้เรียนถามท่านหลังจากที่หลวงพ่อคุมศิษย์นั่งปฏิบัติกรรมฐานแล้วเพราะจะเป็นช่วงที่หลวงพ่อสอนศิษย์ และให้ศิษย์สอบถาม ทั้งสองก็เข้าใจ ปรากฏว่าในคืนนั้นหลังจากที่หลวงพ่อคุมศิษย์นั่งปฏิบัติพระกรรมฐานเสร็จ หลวงพ่อก็สอนทุกคนนานผิดปกติ และเมื่อสอนเสร็จหลวงพ่อก็หันไปพูดกับนาวาอากาศเอกสมชายว่า“เป็นยังไง จะคิดปฏิวัติในหรืออย่างไร จึงมีปัญหามากมายนัก ยังจะมีข้ออันใดที่สงสัยอีกไหม? ” นาวาอากาศเอกสมชายก็พนมมือตอบหลวงพ่อว่า “ที่ผมและเจ้ากรมเรวัตร คุยถกเถียงกันถึงปัญหาธรรมะมาโดยตลอดนั่น หลวงพ่อได้ตอบไปทั้งหมดแล้ว จนไม่มีข้อสงสัยใดใดที่จะต้องสอบถามอีกแล้วครับ”เป็นอันว่าหลวงพ่อรู้ถึงอารมณ์จิตของท่านทั้งสองหมดว่าสงสัยอะไรบ้างและการรู้อารมณ์จิตของผู้นั้น หลวงพ่อได้แสดงให้ศิษย์รุ่นต่อๆ มาเห็นมามากต่อมาก หากข้าพเจ้าจะนำมาเล่าก็คงไม่รู้จบ จึงขอยุติไว้เพียงแค่นี้
     
  13. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    หลวงพ่อช่วยงานศพหลวงปู่สี

    เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2520 ข้าพเจ้าได้เข้าเรียนเสนาธิการทหารอากาศ แต่ในวันหยุดก็ได้เดินทางกลับบ้านที่กองบิน 4 ตาคลี นครสวรรค์ ทุกครั้งและก็ได้ไปแวะเยี่ยมหลวงปู่สี ที่กำลังอาพาธหนักอยู่เสมอๆ ในบางครั้งที่เจอ คุณหมอโอ๊ด ซึ่งเป็นนายแพทย์ของกองบิน 4 (ชื่อจริงข้าพเจ้าต้องขอภัยที่จำไม่ได้เพราะเรียกกันแต่หมอโอ๊ดจนติดปาก) มาคอยให้การเยียวยารักษาอยู่ และด้วยเหตุนี้จึงได้รู้และเห็นกับตาว่า คราวใดก็ตามหากหลวงปู่สีไม่ยอมให้หมดฉีดยาแต่หมอจะฉีดให้ได้ เข็มฉีดยาก็จะต้องหักทุกครั้งไปเป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง หมดโอ๊ดเองก็หนักใจเพราะไม่สามารถรักษาได้ตามกระบวนการแพทย์ และครั้นเมื่อหลวงปู่สีมีอาการหนักมาก ท่านเจ้าอาวาสก็คลานเข้าไปสอบถามว่า “หากหลวงปู่สีมรณภาพ จะให้ทางวัดจัดพิธีศพของหลวงปู่สีอย่างไร”ซึ่งหลวงปู่สีก็ได้ตอบให้ทุกคนในที่นั้นได้ยินกันอย่างทั่วถึงว่า “หากข้ามรณภาพเมื่อใด ท่านฤาษีลิงดำจะมาเป็นผู้จัดการศพของข้าเอง ขอทุกคนอย่าได้เป็นห่วง”

    ต่อจากนั้นมาอีกไม่กี่วัน ข้าพเจ้าก็ได้รับทราบจาก พ.อ.อ.สัมฤทธิ์ กลั่นดี ว่าหลวงปู่สีได้มรณภาพ เมื่อเวลาประมาณตีสามและหลวงพ่อก็ได้มาถึงวัดเมื่อเวลาประมาณตีห้า โดยมิได้รับการติดต่อจากผู้ใดทั้งสิ้น(ข้าพเจ้าต้องขอภัยอีกครั้ง ที่จำวันมรณภาพของหลวงปู่สีไม่ได้) และเมื่อหลวงพ่อมาถึงวัด ก็ได้สั่งการและอำนวยการให้เก็บศพหลวงปู่สีไว้ในโลงแก้ว ในสภาพเสมือนหนึ่งหลวงปู่สีนอนหลับสนิทมาจนตราบเท่าทุกวันนี้ และที่น่าอัศจรรย์ยิ่งคือรางของหลวงปู่สีไม่เน่าเปื่อย อีกทั้งเล็บมือเล็บเท้าและผมก็งอกยาวออกมาเช่นบุคคลธรรมดาที่ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งทางวัดก็จะต้องเปิดโลงแก้วทุกๆ 15 วันเพื่อปลงผมและตัดเล็บมือเล็บเท้าให้หลวงปู่สีตลอดมา

    หลวงปู่สีได้มรณภาพเมื่ออายุ 126 ปี บัดนี้ศพของท่านบรรจุอยู่ในโลงแก้ว วัดถ้ำเขาบุญนาค อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ หากท่านผู้ใดสนใจที่จะไปนมัสการกราบไหว้ก็ไปได้ตลอดเวลา

    เรื่องที่ข้าพเจ้าเล่ามานี้จะเห็นได้ว่าทั้งหลวงปู่สี และหลวงพ่อจะต้องได้ญาณ และติดต่อกันได้ทางจิตมาโดยตลอด ซึ่งในทันทีที่หลวงปู่สีสิ้นลม หลวงพ่อก็รับทราบและเดินทางมาจัดการได้ในทันที

    ยังมีเรื่องราวอีกมากมาย ที่ข้าพเจ้ามิได้หยิบยกมาเล่าไว้ ณ ที่นี้ แต่อาจจะสรุปตามที่ข้าพเจ้ามั่นใจเป็นส่วนตัวได้ว่า หลวงพ่อเป็นพระยอริยะระดับสูงสุด ที่ทรงฌานและได้ญาณทั้ง 8 คือ ทิพจักขุญาณจุตูปปาตญาณ เจโตปริยญาณ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ อตีตังสญาณ อนาคตังศญาณ ปัจจุปปันนุงสญาณ และยถากัมมุตาญาณ อีกทั้งเป็นผู้มีฤทธิ์ได้ทั้งวิชชสามและทรงอภิญญา 6 ด้วย และเมื่อข้าพเจ้าได้ศึกษาค้นคว้าเฝ้าติดตามหลวงพ่อมาโดยตลอด ก็แน่ใจว่าหลวงพ่อเป็นพระปฏิบัติคล่องในพระกรรมฐานทั้ง 40 ทัศ พระปีติทั้ง 5 และพระวิปัสสนาญาณทั้ง 9 โดยแน่แท้ ทั้งนี้เพราะหลวงพ่อได้เคยปรารถนาพุทธภูมิมาจึงต้องปฏิบัติให้ได้ทั้งหมด เพื่อช่วยเหลือชี้แนะแนวทางให้แก่ลูกหลานทั้งหลาย ที่มีจริตแตกต่างกันไปได้ (นักปฏิบัติธรรมดาเช่นพวกเราหากจับกรรมฐานกองดกองหนึ่งได้ ก็ย่อมเกิดปีติได้ และปีติที่เกิดแม้เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็ย่อมทำให้การปฏิบัติสมถกรรมฐานรุดหน้า สามารถนำไปใช้เจริญวิปัสสนาญาณอย่างใดอย่างหนึ่งได้ ซึ่งก็นับว่าเป็นการดีที่สุด) ดังนั้นจึงย่อมเป็นการง่ายดายสำหรับหลวงพ่อ ซึ่งได้วิชชาสาม ทรงอภิญญา 6 และได้ญาณทั้ง 8 อยู่แล้ว จะได้นำเอาสิ่งที่ได้มาพิจารณาวิปัสสนญาณเพื่อละสังโยชน์ 10 จนบรรลุเป็นพระอริยเจ้าชั้นสูงสุดคือพระอรหันต์ได้ และด้วยความมั่นใจส่วนตัวของข้าพเจ้ามาโดยตลอดก็คือหลวงพ่อมิใช่เป็นพระอรหันต์แบบสุกขวิปัสสโก เตวิชชโช หรือฉฬภิญโญ แต่ต้องเป็นพระอรหันต์ประเภท ปฏิสัมภิทาญาณ อีกด้วยเพราะหลวงพ่อทรงปฏิสัมภิทา 4 คือ

    1. อัตถปฏิสัมภิทา มีปัญญาแตกฉานในอรรถคือ ฉลาดในการอธิบายถ้อยคำที่ท่านอธิบายมาแล้วได้อย่างพิสดารถอดเนื้อความที่พิสดารนั้น ให้ย่อสั้นลงมาได้ชัดเจนไม่เสียความ

    2. ธัมมปฏิสัมภิทา ฉลาดในการอธิบายหัวข้อธรรม ที่ท่านกล่าวมาแต่หัวข้อให้พิสดารเข้าใจ

    3. นิรุตติปฏิสัมภิทา มีความฉลาดในภาษา รู้และเข้าใจภาษาทุกภาษาได้อย่างอัศจรรย์(ไม่ว่าจะเป็นภาษาของพรหม เทพ มนุษย์ สัตว์ หรืออสุรกาย)

    4. ปฏิภาณปฏิสัมภิทา มีปฏิภาณเฉลียวฉลาดสามารถแก้อรรถปัญหาต่างๆ ได้อย่างอัศจรรย์

    ด้วยความศรัทธา และเชื่อมั่นในองค์หลวงพ่อดังกล่าว จึงทำให้ข้าพเจ้ายึดเอาหลวงพ่อเป็นที่พึ่งอย่างแท้จริงจัง โดยเริ่มต้นสอบถามปัญหาธรรมะต่างๆที่ข้าพเจ้ายังเคลือบแคลงสงสัยอยู่ ซึ่งข้าพเจ้าก็ได้รับความเมตตาจากหลวงพ่อ ช่วยตอบให้อย่างกระจ่างชัดเจนในทุกปัญหาจนทำให้ข้าพเจ้าซึ่งเคยเต็มไปด้วยมิจฉาทิฐิ หมดความเคลือบแคลงสงสัยใดใดอีกต่อไป และเมื่อความเคลือบแคลงสงสัยหมดไป ข้าพเจ้าก็มุ่งปฏิบัติธรรมตามคำสอนของหลวงพ่อไปตามขั้นตอนเรื่อยมา จิตก็เริ่มเกิดปัญญาและเมื่อปัญญาเกิดความประพฤติของข้าพเจ้าแต่ดั้งเดิมที่เคยดื่มสุราเป็นอาจิณก็ดี การใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่บนสโมสรก็ดี ก็หมดไป เกิดความเบื่อหน่าย รักสันโดษ มองเห็นโทษของการผิดศีล อีกทั้งเกิดความสุขในการปฏิบัติธรรมและสนทนาธรรมเป็นอันมากอีกด้วย
    ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าจำได้ว่า มีนายทหารนักบินรุ่นหนุ่มๆ จำนวน 4 ท่านได้ไปหาข้าพเจ้าที่บ้านพักในกองบิน 4 เพื่อสนทนาธรรมด้วยและเมื่อข้าพเจ้าได้ช่วยตอบปัญหาข้อข้องใจต่างๆ ของท่านเหล่านั้นไปแล้ว (ปัญหาต่างๆ ที่ถามกันมาซ้ำๆกับปัญหาที่ข้าพเจ้าเคยถามหลวงพ่อมาแล้วทั้งสิ้น) ก็พากันพออกพอใจหมดความเคลือบแคลงสงสัยโดยสิ้นเชิงและได้พากันลาออกจากราชการไปขอบวชกับหลวงพ่อที่วัดท่าซุงทั้ง 4 ท่าน (จำได้ว่ามี พระสมศักดิ์ พระทรงฤทธิ์ พระไตรรงค์ และพระชโลทัย)ซึ่งยังความปลาบปลื้มปิติยินดีให้แก่ข้าพเจ้าเป็นอย่างยิ่ง และเรื่องนี้เป็นที่ฮือฮากันมากในกองบิน 4 ตาคลีและทั่วทั้งกองทัพอากาศทีเดียว

    นอกจากนั้นผู้ใต้บังคับบัญชาของข้าพเจ้าหลายคนที่ในอดีตเป็นนักเลงขั้นดาวร้าย และนักดื่มชนิดดื่มกันสามวันสามคืน อาทิเช่น พ.อ.อ.สาย ศิริรัตน์ พ.อ.อ.ชลอ ผาสุก พ.อ.อ.กริช บำรุงพงษ์ พ.อ.อ.เสรี เมฆจินดา และ พ.อ.อ.ประมวล ราชอินทร์ ซึ่งได้เคยติดตามข้าพเจ้าอยู่เสมอก็ได้เลิกเป็นนักเลงและนักดื่มกันหมด หลังจากที่ได้สนทนาธรรมกับข้าพเจ้าบ่อยๆ เข้าโดยเฉพาะอย่างยิ่ง พ.อ.อ.สาย ศิริรัตน์ ได้รับอาสาไปอยู่ปรนนิบัติรับใช้หลวงพ่ออย่างใกล้ชิดตลอดมา จนกระทั่งถึงแก่กรรมและหลังจากนั้น พ.อ.อ.ประมวล ราชอินทร์ ก็รับอาสาไปปรนนิบัติหลวงพ่อแทน พ.อ.อ.สาย ศิริรัตน์จนถึงปัจจุบัน ส่วน พ.อ.อ.กริช บำรุงพงษ์นั้น ก็รับอาสาคอยบันทึกเทปที่หลวงพ่อมาเทศน์ออกอากาศที่สถานีวิทยุกระจายเสียง 04 อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ ที่ข้าพเจ้าเป็นหัวหน้าสถานีและเป็นผู้รับผิดชอบอยู่ทั้งในเรื่องประวัติหลวงพ่อปาน ไตรภูมิ มหาสติปัฏฐาน 4 และอื่นๆ โดยตลอด (ต่อมาพลอากาศโท ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์ ได้ขอไปถอดเทป จัดพิมพ์เป็นรูปเล่ม ดังที่ลูกศิษย์รุ่นหลังๆ ได้อ่านกันอยู่ทุกวันนี้) ส่วน พ.อ.อ.ชลอ ผาสุกและ พ.อ.อ.เสรี เมฆจินดา นั่นก็ได้ถึงแก่กรรมไปแล้วทั้งคู่ จึงไมมีโอกาสได้ช่วยเหลืองานของหลวงพ่อมากนัก

    ในปัจจุบัน แม้ข้าพเจ้าจะไม่ค่อยได้มีโอกาสรับใช้หรือพบหลวงพ่อมากนักก็ตาม แต่จิตของข้าพเจ้าก็จับอยู่ที่หลวงพ่อโดยตลอด และตั้งปณิธานไว้อย่างแน่ชัดว่า จะต้องถวายสังฆทานกับมือหลวงพ่ออย่างน้อยที่สุดเดือนละ 1 ครั้ง ซึ่งข้าพเจ้าก็ได้ปฏิบัติมาโดยตลอด อีกทั้งขอยึดเอาพระพุทธเจ้า พระธรรม และหลวงพ่อเป็นที่พึ่งที่ระลึก ตลอดกาลโดยไม่คิดจะแสวงหาที่พึ่งอื่นใดอีกต่อไปแล้ว ทั้งนี้ เพราะหลวงพ่อเป็นพระอริยเจ้าชั้นสูงสุดอยู่แล้ว อีกทั้งยังได้เมตตาสงเคราะห์ชี้แนะหนทางปฏิบัติจนข้าพเจ้าเกิดปัญญาและมีดวงตาเห็นธรรมได้ในที่สุด
     
  14. oomsin2515

    oomsin2515 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    2,934
    ค่าพลัง:
    +3,393
    ขออนุโมทนาสาธุธรรม เป็นอย่างสูง ครับ
     
  15. spark113

    spark113 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +8
    อนุโมทนาสาธุครับ อ่านแล้วเป็นกำลังใจในการปฎิบัติของเราอย่างดีครับ
     
  16. thth

    thth เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    537
    ค่าพลัง:
    +887
    ขอกราบบูชาหลวงพ่อ และขออนุโมทนากับทุกๆ ท่านที่ช่วยนำเรื่องราวดีๆ มาถ่ายทอดครับ
     
  17. uthaimai

    uthaimai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    550
    ค่าพลัง:
    +1,344
    ขอบคุณมากครับและขออนุโมทนาบุญที่ได้ เผยแพร่ให้ได้รับรู้กัน
     
  18. พงศ์กฤต

    พงศ์กฤต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    5,699
    ค่าพลัง:
    +33,737
    อนุโมทนา สาธุ จะตั้งใจปฎิบัติ ต่อไปครับ อ่านของหลวงพ่อ กำลังใจมาทันที โมทนา ธรรมมะดีๆด้วยครับ
     
  19. deneta

    deneta เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    2,711
    ค่าพลัง:
    +5,720
    ขออนุโมทนาผลบุญจขกท.และท่านผู้มีใจใผ่ธรรมทุกท่านครับ
     
  20. เพชรฉลูกัน

    เพชรฉลูกัน ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    18,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    24
    ค่าพลัง:
    +23,163
    รออ่านอีกครับ.....อนุโมทนาครับ นี่เเหละครับพระอรหันต์ขีณาสพแห่งหลังกึ่งพุทธกาลจริงๆ โชคดีเหลือเกินที่ได้รู้จักท่านครับ ไม่ผิดหวังจริงๆ
     

แชร์หน้านี้

Loading...