รู้ได้อย่างไรว่า บุญบารมีเต็ม

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย นายเมธี12, 25 กุมภาพันธ์ 2009.

  1. GenerationXXX

    GenerationXXX เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    561
    ค่าพลัง:
    +2,162
    ถูกต้องที่สุดแล้วครับ คนปฎิบัติจริงๆ น่ะ ไม่ใช่จะมีแต่ผลดีๆ เกิดขึ้น แต่ซ้ำกลับมีลักษณะเหมือนกิเลสมันดิ้นพลานอยู่ในใจหนักกว่าเก่าอีก แต่ก่อนก็คิดว่ามาผิดทาง เพราะกิเลสในใจมันเยอะกว่าเดิมมาก ยิ่งรู้ตามมันได้ชัดยิ่งปรากฎให้เห็นมาก ถ้าถอยความเพียรตอนนั้นล่ะ เสร็จมันแน่ๆ เพราะเราไปบีบมันให้จิตมันเห็นจนชัดแล้ว ที่เหลือก็คือต้องใช้ "ความเพียร" ตัวนี้แหละของจริงที่จะหยุดไม่ได้ ถ้าหยุดแล้วเราเสร็จมันแน่ๆ แต่ถ้าจะนับกันแต่เริ่มๆ ก็ต้องทำให้จิตเห็นกิเลสในใจให้ชัดก่อน แล้วมันทำยังไง ก็คงไม่พ้นจะต้องปล่อยจิตไปตามโลกๆ นี่แหละ แต่เอาใจดูมัน เพราะถ้าขืนไปเอากำลังสมาธิมาข่มจิต มันนิ่งจริง แต่มันนิ่งหลอก นี่แหละที่จะทำให้ไม่ก้าวหน้าซะที แล้วมันก็ไม่ง่ายเลยสักอย่างนะ เพราะถ้าง่ายปานนี้ก็จบกิจไปแล้ว ดังนั้นจะมาหวังเอาว่าจะทำได้ตอนนั้น ตอนนี้ มันก็ไร้ค่า เพราะกิเลสมันไม่ได้ไปไหนไกลเลย มันติดอยู่กับใจแทบจะเป็นดวงเดียวกัน แล้วคุณจะตั้งท่าสู้กับมันยังไง ถ้าไม่ทำใจให้ทันกับมันทุกขณะจิต คนที่ผ่านตรงนี้มา อ่านกระทู้นี้ก็คงจะทราบว่าใครกินข้าวหรือกินหญ้ากันแน่ (อิอิ ขอข่มมานะบางคนซะหน่อยนะ)
     
  2. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    พูดให้ฟังง่ายๆ
    การเรียนหนังสือ คนจะเรียนได้ดีก็ต้องมีสมาธิ ทีนี้สมาธิบางคนก็ดี บางคนก็ไม่แน่ไม่นอน
    ก็ ฝึกสมาธิให้เกิดวสี คือ นึกจะมีก็มีได้อย่างเร็วก็จะเป็นประโยชน์ ไม่ได้มีโทษอะไร

    ไม่มีใครห้ามว่า ทำสมาธิแล้วมันจะเรียนหนังสือไม่ได้
    การกล่าวว่า สมาธินิ่งเงียบ หลงติดสมาธิ อันนี้เป็นโมหะของคนกล่าวเอง เพราะตนเองยังไม่รู้จริง ไม่รู้รอบ แล้วตำหนิ คนที่ติดสมาธิ ไม่ใช่สมาธิไม่ดี แต่ขาดคุณธรรมตัวอื่น ยกตัวอย่างเช่น คนฝึกสมาธิแล้ว ปรากฎว่าภายหลังไม่ยอมเรียนหนังสือ เพราะชอบทำสมาธิ อันนี้ไม่ใช่ สมาธิเป็นเหตุ แต่เป็น จริตของคนนั้นที่ไม่เชื่อใครเป็นเหตุ หลงเป็นเหตุ
    แยกให้ออกนะครับ

    เพราะฉะนั้น ก็ขอให้คนที่ตำหนิสมาธิ นั้นศึกษาให้ดี ศึกษาให้รอบก่อน ก่อนจะบอกว่า ใครกินหญ้า หรือ กินข้าว
     
  3. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    ผมว่า จริง ๆ หากเข้าใจแล้ว จะยังไงก็ได้ เราใช้ได้ทั้งสมถะเข้าข่มในสมัยที่ควรจะข่ม ใช้การพิจารณาในสมัยที่ควรพิจารณา ใช้การสังเกตในสมัยที่ควรสังเกต เพราะรู้ทางแลเห็นเป้าหมายแล้วว่า เราทำอย่างนี้เพื่ออะไร มันรู้แล้ว ไม่ลังเลสงสัยในทางแล้ว เอาทั้งสมถะและวิปัสสนานั่นแหละเป็นเครื่องมือในการพัฒนาจิตตนเองเพื่อความหลุดพ้น ไม่มัวไปหลงติดเครื่องมือ ถือมั่นในหลักวิชาให้มากความจนกระดิกกระเดี้ยวตัวไปทำอะไรก็ผิดเสียหมดหรอก ไอ้เรื่องปล่อยวางจิตอะไรนี่อย่าเพิ่งคิดถึงขั้นนั้นเลย เอาให้มันตั้งมั่นจริงเสียก่อนดีกว่า เอาฐานให้มั่น ๆ ก่อน
     
  4. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ถูกต้องแล้วสาธุ ฐานให้มั่น

    แต่ก็ตามธรรมดา บุคคลใดยังมีอำนาจสีลพตรปรามาสในใจ เขาย่อมไม่รู้กิจที่แท้จริงที่ควรทำ กิจที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร

    1 ตนยังพร่องกุศลส่วนใดอยู่ เจริญส่วนนั้น
    2 ตนยังเต็มไปด้วยอกุศลส่วนใดอยู่ ให้ละส่วนนั้น
    3 จิตยังไม่ผ่องใส ปราโมทย์ ก็ให้ทำจิตให้ เจริญ ด้วย ฌาณ ให้จิตปราณีผ่องใส

    นี้แหละเป็นเรื่องสำคัญ ที่ผมพยายามจะบอก

    เพราะว่า การที่เรา มองไปแต่ในเรื่องทัสนะ คือ รูป นาม จนลืมมาพัฒนา ในด้านธรรมอันเป็นกุศลส่วนอื่นๆ นั้นแหละ มันจะทำให้เรา ฟุ้ง คือ คอยแต่จะหานามรูปที่ละเอียดขึ้นไป ด้วยทัสนะ

    แต่ว่า จิตมันยังไม่เบาเลย ก็เปรียบเหมือนคนขาเป๋ หรือ คนเดินไม่แข็ง ก็มองเห็นเป้าหมายอยู่รำไร ก็ไม่รักษาตัวให้หาย เดินออกวิ่งเลย ใครมาห้ามก็ไม่ฟัง จะเดินจะวิ่งไปอย่างเดียว พลอยโมโห คนที่มาเตือนด้วยว่า คนมาเตือนนั้นไม่รู้จริง นิพพานอยู่ตรงโน้น จะมาให้หยุดอยู่ทำไม โดยหารู้ไม่ว่า คนที่เขามาเตือนนั้น เขาจะให้พวกท่านนั้นรักษาขาให้ดีก่อน ให้แข็งแรง เพราะว่า ทางที่อยู่ข้างหน้า แม้เห็นตรงนี้ ก็ใช่ว่า จะไม่มี หลุมมีบ่อขวางทาง ใช่ว่าจะไม่มีคลอง แม่น้ำขวาง

    นี่คือ สิ่งที่พุทธศาสนิกชนควรตระหนักเลย ขาดไม่ได้เลย ศีล สมาธิ ปัญญา ต้องไปด้วยกัน
     
  5. นายเมธี12

    นายเมธี12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    620
    ค่าพลัง:
    +540
    งั้นตอนนี้ผมก็ขาเป๋อยู่จิคับ ^^; แถมยังไม่มีไม้ค้ำอีกตะหาก ยังฝึกได้แค่ณานหยาบๆ แต่ก็ไม่ได้สนใจก็ฝึกไปเรื่อยๆแผ่เมตตาสั่งสมบุญบารมีไปเรื่อยๆ เปิดหัวข้อกระทู้ แต่กลายเป็นกระทู้ประเด็นร้อนไปซะนี่ ^^;

    อนุโมทนากับทุกท่านด้วยคับ
     
  6. hamm

    hamm สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    130
    ค่าพลัง:
    +13
    ธรรมะ เป็นเรื่อง ละเอียด จึงไม่สามารถ พูด ได้
    เป็น ธรรม ที่ต้องรู้ด้วยตน เข้าใจด้วยตน
    แม้ พุทธองค์ ก็เป็นเพียงผู้ชี้ทาง

    จะโต้แย้ง ไป ไม่มีวันสิ้นสุด คับ
    การยกตัวอย่าง เป็นเพียงการ ฟังหูไว้หูเท่านั้น
    แล้วแต่ใครจะพิจารณา ได้มากน้อย

    อนุโมทนา
     
  7. พระอนิจจัง

    พระอนิจจัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    123
    ค่าพลัง:
    +294
    บุญบารมีเต็ม อาจรู้ได้จากเมื่อเราจะทำสิ่งใดจะเป็นไปด้วยประโยชน์สุขฝ่ายเดียวจะไม่ย่อท้อกับอุปสรรคและความชั่วอันเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์เลย เพราะบุญคือความสุข
    บารมีแปลว่ากำลังใจ ดูได้จากตัวอย่างขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอริยะเจ้าทั้งหลายท่านไม่เอากับความชั่วเลยและท่านก็ไม่ย่อท้อและหวั่นไหวกับอุปสรรคที่จะไม่ทำให้ท่านพ้นทุกเลย เป็นอีกหนึ่งความรู้สึกจ้ะ
     
  8. Mr.Boy_jakkrit

    Mr.Boy_jakkrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    2,063
    ค่าพลัง:
    +2,676
    ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง
    ข้าพเจ้าก็ขออนุโมทนาด้วยครับ สาธุ สาธุ สาธุ...

    สำหรับ คห.จขกท น่าจะเริ่มจากการเพาะบ่มความคิดเห็นใหม่ๆ ที่เป็นไปในทางสัมมาทิฐิในด้านที่เกี่ยวกับการทำบุญ หรือทำความเข้าใจในการทำบุญโดยละกิเลสเสียก่อนนะครับ (^^)
    แล้วจะหมดสงสัยเองครับ
    และอาจจะมีอะไรเพิ่มอีกเยอะแยะ ที่เป็นผลพวงตอบกลับมา ฯ
    ขออภัยด้วยนะครับหากภาษาอาจจะตรงๆทื่อๆ หรืออาจจะทิ่มแทง แต่มันก็เป็นแค่ภาษาไว้สื่อสารกันเฉยๆ

    เอาง่ายๆ บุญ คือสบายใจ
    บาป คือทุกข์ใจ
    ถ้าทำแล้วมันสบายใจโล่งโปร่ง โดยไม่ ต.ล. แกล้งทำว่าให้โดยไม่ต้องการตอบกลับ ถ้าทำอย่างนั้นได้ ก็ได้บุญที่บริสุทธิ์ แล้วล่ะครับ โดยไม่คิดจะกลับมาบอกว่า "ผมได้บุญแล้ว" เช่นกันกับการปฏิบัติธรรม เราก็ปฏิบัติเพื่อจุดหมายเดียวกัน
    แต่บางทีลืม..ขาดสติ.. กลายปฏิบัติกันไปเพื่ออยากจะดี เด่น เก่ง เพียงเพราะอยากได้ความแตกต่างจากผู้อื่น ถ้าเอาแค่นั้นก็แล้วแต่ตามใจ..

    เล่าเปรียบเทียบให้เห็นภาพน่ะครับ ผมก็บอกและกำกับตัวเองไปด้วยเช่นกันครับ หาใช่เลิศแล้วเก่งแล้วนะครับ
    ขอให้เข้าใจอย่างนั้นเถิด เราก็ต่างเป็น นักศึกษาธรรม เช่นกันกับทุกคนนั่นแหละ อันไหนดีก็เก็บเกี่ยวเอาเอง อันไหนไม่ดีก็กำชับตัวเองว่านี่ไม่ดี ไม่ควรเอามาเก็บ ..

    ว่าจะไม่พูดยาวน่ะแต่มันออกมาเอง ทั้งเกี่ยวกับประเด็นและไม่เกี่ยวกับประเด็นก็ตาม เอาล่ะๆ ขอจบตรงนี้
    ลองพิจารณาดูก็ได้ไม่เสียเหลี่ยมครับ ;aa8
     
  9. ragpon

    ragpon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    456
    ค่าพลัง:
    +954
    กราบๆๆ อันนี้ขอให้ได้กันทุกคนนะครับสำคัญมาก
     
  10. illanzer

    illanzer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    631
    ค่าพลัง:
    +840
    ระวังกระทู้นี้อาจทำให้เกิดการแบ่งแยก สงสัยต้องมีตัวกลางที่เชื่อมให้แต่ละคนเข้าใจถูกต้องตรงกันครับ
     
  11. yukon.vi

    yukon.vi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +145
    ความทุกข์ที่สุกงอม อินทรีย์และพละที่แกล่งกล้า นี้คือบุคคลที่มีบารมีแกล่งกล้า เมื่อเข้าสู่ข่ายคือพระญาณของพระองค์ พระองค์จึงทรงเสด็จไปโปรดบุคคลนั้นได้
    คำว่า ปารมี มีหลายความหมาย แปลว่าเต็มก็ได้
    มี๑๐ อย่าง รวมแล้วเพื่อความเข้าใจง่ายๆ ก็คือ กำลังใจเต็ม ความมั่นใจเต็ม ความเชื่อมั่น และการตัดสินใจอันเด็ดขาด อันอินทรีย์และพละ ซึ่งมีวิริยะความพากเพียรอันพร้อมแล้ว มีปัญญาญาณอันเกิดขึ้นจากสมถะอันพอแก่การบรรลุธรรมและตรึกในธรรมอันพร้อมแล้ว เต็ม
    การได้ฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆมากมายและเก็บเกี่ยวประสบการณ์ทั้งทางหนีทีไล่ เพื่อที่จะสะสมบารมี เพื่อผจญกับกิเลสที่มันสิงในดวงงจิตของเรา
    เช่นนี้หรือเปล่าหละจ๊ะ ที่เรียกว่า บารมีเต็ม
     
  12. Mr.Boy_jakkrit

    Mr.Boy_jakkrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    2,063
    ค่าพลัง:
    +2,676

    ส๊าธุ...
     
  13. pharm.taung

    pharm.taung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2009
    โพสต์:
    945
    ค่าพลัง:
    +432
    555+

    เราจะไปที่ไหนซักแห่ง

    มันจะมีทั้งทางตรง ทางอ้อม และทางลัด

    เราจะไปทางไหน?

    "สิทธิของเรา"

    จะตรง อ้อม ลัด

    ทุกทางก็ถึงจุดหมายเช่นกัน...ใช่ไหม???
     
  14. pharm.taung

    pharm.taung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2009
    โพสต์:
    945
    ค่าพลัง:
    +432
    อ้อ...

    จะเต็มหรือไม่...ไม่ใช่ประเด็นที่จะต้องแบก

    เดินตามแนวทางที่ควรเดิน ไม่ข้องแวะในสิ่งที่ไม่ควร

    แค่นี้ก็จะห่างจาก"ทุกข์"

    เมื่อห่างจากทุกข์แล้ว ชีวิตก็จะมีความสุขครับ

    ส่วนจะปฎิบัติถึงขั้นไหน ผมไม่ทราบหรอกครับ

    ผมแค่พยายามปฎิบัติตามแนวทางของพระพุทธองค์ก็เท่านั้น

    "นอกจากจะรู้จักพอ
    ต้องพอให้เป็น
    ถ้าพอไม่เป็น
    รู้แค่ไหนก็ไม่ครบ
    ชีวิตก็จะไม่เคยเต็ม"
     
  15. Mr.Boy_jakkrit

    Mr.Boy_jakkrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    2,063
    ค่าพลัง:
    +2,676

    มีสติไว้ให้มากๆนะครับ
    พึงระวังการปรุงแต่งของจิต
    คอยดูด้วยว่ายังอยู่ในทางที่ึควรเดินหรือไม่

    เจริญธรรม
     
  16. ผู้ที่_

    ผู้ที่_ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2008
    โพสต์:
    148
    ค่าพลัง:
    +83
    ตามความคิดของผม

    1. จิตตั้งอยู่ใรฌานดีแล้ว
    2. ปราศจากความกลัว รวมถึงการกลัวไม่สำเร็จ
    3. สำหรับสาวกภูมิ จริตจะกลายเป็นพุทธจริตทันที เพราะทุกอารมณ์ที่มากระทบ จะถูกวิปัสนาได้ทันที
    4. มองเห็น ดีแล้วว่า สำเร็จแน่ พ้นจากความลังเลสงสัย ทั้งปวง
    5. อารมณ์ใจจะแข็งมาก ทำเรื่องยากให้เป็นของง่ายได้หมด เพราะอารมณ์ของผู้ที่บารมียังไม่เต็ม ก็คล้ายๆกับน้ำที่ยังไม่ใส
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กุมภาพันธ์ 2009
  17. อรวี จุฑากรณ์

    อรวี จุฑากรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    439
    ค่าพลัง:
    +188
    อนุโมทนาสาธุ

    สุขกาย สุขใจ รักษาตน ให้พ้น จากทุกข์ ภัยทั้ง สิ้นเทอญ
     

แชร์หน้านี้

Loading...