สัญญาวิปลาส คือ เป็นบ้า

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย สันโดษ, 13 ธันวาคม 2008.

  1. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    สัญญาเจตสิก สัญญาวิปลาส

    ถาม..

    ที่ว่าสัญญาเจตสิกเป็นตัวเก็บอารมณ์เอาไว้นั้น ผมก็เห็นว่าเป็นความจริงจึงไม่ขอเถียง แต่อยากจะทราบว่า บุคคลจำพวกสัญญาวิปลาสคือเป็นบ้าไปนั้น สัญญาตัวเก็บจดจำอารมณ์เสียหายใช่หรือไม่ ถ้าเช่นนั้นคนบ้ามีสัญญาเจตสิกแล้วเก็บบุญเก็บบาปเอาไว้หรือเปล่า


    ตอบ...

    สัญญาเจตสิกเป็นสัพพจิตตสาธารณเจตสิก จะเกิดกับจิตทุกประเภท จะเกิดกับจิตทุกดวงไม่ว่าจิตนั้นๆ จะเกิดอยู่ในโลกนี้ หรืออยู่ในโลกอื่น ไม่ว่าจิตนั้นจะเป็นของคน เป็นจิตของสัตว์นรก หรือเป็นของเทวดา และไม่ว่าจะเป็นจิตปุถุชนผู้หนาไปด้วยกิเลส หรือเป็นจิตของพระอรหันต์ผู้ซึ่งไม่มีกิเลสเหลืออยู่ในจิตเลยก็ตามจะไม่มีเว้นเลย ย่อมมีสัญญาเจตสิกเกิดอยู่เสมอ (พระอรหันต์มีสัญญาเจตสิก แต่เจตนานั้นไม่มีบาป ไม่มีบุญ )

    สัญญาวิปลาส คำนี้เป็นคำที่ประชาชนพากันพูด อันหมายถึงผู้มีจิตใจผิดปกติ ไปจากคนธรรมดา เช่นคนไม่สู้จะเต็มบาทหรือเป็นบ้า เพราะจำความดีความชั่วบุญหรือบาปไม่ได้ ระลึกถึงเรื่องราวเก่าๆ ไม่ถูก พูดจาเลอะเลือนไป เหล่านี้เป็นต้น

    คนเป็นบ้าไม่ใช่ว่าไม่มีสัญญาเจตสิก และไม่ใช่สัญญาเจตสิกเท่านั้นที่เสียหายหากแต่ความเสียหายร่วมกันทั้งหมด มีอารมณ์อะไรก็มีความเป็นไปของเจตสิกร่วมกันเสมอ ด้วยเหตุนี้จะไปเจาะจงเฉพาะแต่สัญญาเจตสิกตัวเดียวจึงไม่ถูกต้อง ยิ่งกว่านั้นเมื่อสัญญาเจตสิกเกิดขึ้นมาแล้ว ไม่ว่าคนดีหรือคนบ้า หน้าที่ของเขาก็คือเก็บอารมณ์ไว้ทั้งสิ้น มิได้ตกหล่นหายไปไหน แต่การที่นึกไม่ออกหรือนึกคิดผิดไปนั้นเป็นเรื่องหนึ่ง มีเหตุอีกต่างหาก เช่นมีโมหเจตสิกครอบคลุม หรือเสียหายทั้งจิตใจรวมทั้งร่างกาย ส่วนที่จะแสดงออกของจิตด้วย เป็นต้น ซึ่งผมคิดว่าในขณะนี้ขอให้ท่านแต่หลักการเอาไว้ก่อน ขอเวลาให้ศึกษาต่อไปให้มากกว่านี้ ท่านก็คงจะเข้าใจดีขึ้น ที่ผมต้องผลัดให้เนิ่นช้าไปอีกนั้นก็เพราะว่า วิปลาสตัวนี้ถ้าจะอธิบายแล้วก็ควรจะได้กินความเข้าไปถึงวิปลาสธรรมอันมีแสดงอยู่ในเรื่องของวิปัสสนากรรมฐาน ก็จะกว้างขวางไปใหญ่โตมากเกินไปไม่เหมาะที่จะตอบทั้งหมดในวันนี้

    จากหนังสือ ปาฐกถา เรื่อง ชีวิตภายหลังความตาย
    นายบุญมี เมธางกูร
    อภิธรรมมูลนิธิ
     
  2. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,465
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,012
    เจตสิกคือจิตอาการที่ปรุงเเต่งจิตอีกทีครับ
     
  3. Mr.Boy_jakkrit

    Mr.Boy_jakkrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    2,063
    ค่าพลัง:
    +2,676
    หือ..???

    อย่าเข้าไปเดาอะไรๆเลยครับ ปฏิบัติไปก่อนๆๆ...
    อย่ามัวแต่อ่านทั้งจากหนังสือ และจากเวป เลยครับ
    มันจะเสียเวลา ซึ่งมันเคยเสียเวลาแบบนี้มาหลายภพหลายชาติแล้วนะ..

    เอาล่ะๆ เดี๋ยวมีฝ่ายบรรยายเข้ามาตอบไขข้อสงสัยครับ

    จะว่าไปอันที่จริงเราก็ไม่เกี่ยวกันนะ จะัทำจะคิดอะไรทั้งหลาย
    แต่..กรุณาอย่าเอาแต่ความเข้าใจไปแจกทานแก่ึคนอื่นนะ มันบาปต่อพุทธศาสนา
    เจริญธรรมครับ
     
  4. SaveMax

    SaveMax เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    172
    ค่าพลัง:
    +578
    จิต เป็นธรรมชาติที่รู้อารมณ์ ทางทวารทั้ง ๖ คือ รู้อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

    เจตสิก หมายถึง ธรรมชาติที่อาศัยจิตเกิด มีลักษณะที่ประกอบกับจิต ๔ ประการ (เจโตยุตตลักขณะ) คือ เกิดพร้อมกับจิต (เอกุปปาทะ) ดับพร้อมกับจิต (เอกะนิโรธะ) มีอารมณ์เดียวกันกับจิต (เอกาลัมพณะ) อาศัยวัตถุเดียวกันกับจิต (เอกวัตถุกะ) (ความผูกพันระว่างจิตกับธรรมารมณ์)

    ผัสสะ หมายความว่า ธรรมชาติที่กระทบอารมณ์
    สัญญา หมายความว่า ธรรมชาติที่จำอารมณ์
    ปัญญา หมายความว่า ธรรมชาติที่รู้แจ้งสภาวธรรมทั้งหลายตามเป็นจริง

    ผัสสะ ก็ดี สัญญา ก็ดี ปัญญา ก็ดี ล้วนแต่เป็นเจตสิกทั้งสิ้น


    เจตสิกทั้ง ๓ นี้ เมื่อจำแนกโดยชาติแล้ว
    ผัสสะ เป็นกุศลชาติได้ เป็นอกุศลชาติได้ เป็นวิปากชาติได้ เป็นกริยาชาติได้
    สัญญา ก็เช่นเดียวกัน
    ปัญญา เป็นกุศลชาติได้ เป็นวิปากชาติได้ เป็นกริยาชาติได้ แต่เป็นอกุศลชาติไม่ได้
    คัดมากจาก ลานธรรม :http://larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/005562.htm
     
  5. wvichakorn

    wvichakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    3,667
    ค่าพลัง:
    +9,239
    ขออนุโมทนาค่ะ
     
  6. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    สัญญาวิปลาส ในทางพุทธศาสนาก็คือ อัตตาวาทุปาทาน มาจาก อุปทาน+วาทะ+อัตตา
    หรือ อุปทานจนเกิดอุทานสำคัญว่ามีตัวตน หรือ ที่คุ้นกันคือ สักกายทิฏฐิ

    ก็คือ การที่เกิดอุปทานเห็นว่ามีอัตตาเกิดขึ้น เพราะการทำงานของขันธ์5 ทั้งองค์รวม
    ไม่ได้แยกพูดออกเป็นกองขันธ์ หากแยกเห็นเป็นกองขันธ์ เช่น พูดว่าเป็นเพราะ สัญญา
    ขันธ์ แบบนี้คือคิดเอา ไม่ได้เกิดจากการเห็น สัญญาขันธ์ตามความเป็นจริง เพราะถ้า
    เห็นขันธ์กระจายตัวออกเป็นกองๆ แยกกันพิจารณา 1 ใน 5 ตัวได้ตามความเป็นจริง
    แล้วจะเห็นทันทีว่า อัตตา คือ ตัวทิฏฐิ หรือ ความคิด หรือ อุปทานที่จิตมันยึดไว้ เข้า
    ใจผิดคิดว่าเป็นตัวเป็นตน เป็นสัตว์ บุคคล เราเขา --- หรือ มีสัญญาวิปลาสเห็นว่ามี
    สิ่งใดๆประชุมขึ้นเป็นตน(สักกายทิฏฐิ)

    ดังนั้น ปุถุชน ที่ยังไม่ได้ผ่านบรรลุโสดา ก็คือ พวกสัญญาวิปลาสเท่าเทียมกันหมด

    การแก้สัญญาวิปลาสในทางพุทธ ไม่ใช่กินยา ไม่ใช่คิดเอาโดยตรรกะ แต่จะ
    ต้องภาวนาเจริญสตจนเข้าไปเห็นกองขันธ์ตามจริง เช่น สายสมถะจะเก็นการประชุม
    ของกายที่มาจากพวกรูปฌาณ(กายในกาย) สายวิปัสสนาจะเห็นการประชุมที่เกิดขึ้น
    จากเวทนา(เวทนาในเวทนา) สัญญา(จิตในจิต) เมื่อสติแก่รอบก็จะเห็นการประชุม
    ของสังขาร(ธรรมในธรรม) เมื่อเห็นกายประชุมจากกองใดกองหนึ่งของขันธ์แล้ว เล็ง
    เห็นไตรลักษณ์ สักกายทิฏฐิจะถูกเห็นเป็นทัศนะ แจ้งอริยสัจจรอบแรก

    ส่วนคนบ้า ก็คือคนที่ถูกนิวรณ์อุธัจจะ กุกกุจจะครอบงำ เพราะขาด สมาธิอินทรีย์ ทำให้
    จิตตั้งมั่นที่จะระลึกที่กายที่ใจตนไม่ได้ ทำให้ไหลไปกับธรรมที่ถ่ายทอดผ่านขันธ์5 เช่น
    พวกดูหมอ เข้าทรง ดูออร่า คนข้างถนนที่อยู่ดีๆก็รำ อยู่ดีๆ ก็วิ่งไล่คน และคนในโรงพยาบาล

    พวกเขาจะจับมาให้ทำสมาธิก็ไม่ได้ เพราะจะเกิดอุธัจจะ กุกกุจจะอีก ทั้งนี้เพราะใช้ปัญญา
    ขบคิด หรือจมกับการคิด ดูหมอมากไป ดูออร่ามากไป พยากรณ์มากไป คิดมากเกินไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 ธันวาคม 2008
  7. โลกมืด

    โลกมืด สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +0
    ค่อยๆศึกษาการที่จะหาทางหลุดพ้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ยิ่งมีนายเวรและพวกมารก่อกวนเยอะ
    ยิ่งจะทำให้เราภาวนาไม่ได้ทำอะไรก็ งง หลงทางไปไกลเสียเวลาเปล่ากว่าจะกลับมาได้ บางคนนั้งภาวนาไปกลับกลายเป็นบ้าก็มีเยอะ...บุญไม่เกิดเพราะหลงทาง
    พระพุทธเจ้าสอนอะไรให้ทำตามนั้นในพระไตรปิฎก(พุทธพจน์) ไม่งั้นหลงทางแน่
    " วางฐานให้แน่นอย่ารัดขั้นตอน "
    - ควรทำบุญที่ถูกต้อง อุทิศบุญที่ถูกต้องให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับตัวเอง
    - รักษาศีลให้ดี ให้มั้นคงตลอด
    - ตัดกังวล ๑๐ ให้ขาด ตามที่พระพุทธองค์สอน เล่ม 2 หน้า 350
    - เรียนกรรมฐานก่อน ค่อยฝึกทำกรรมฐานให้ชำนาณแล้วไปทำกรรมฐาน
    (สัญญาวิปลาส ในทางพุทธศาสนา จึงจะไม่เกิดขึ้น)


    หมวด เตรียมความพร้อมสู่การภาวนา จากพระไตรปิฎก
    www.samyaek.com/board2/index.php?board=16.0
     
  8. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    อนุโมธนานะครับ....
     
  9. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,606
    ค่าพลัง:
    +1,817
    การคิดพิจารณาในทางพุทธศาสนานั้น บางครั้งก็ล้าสมัย ไม่เป็นไปตามยุคสมัย ไม่เป็นไปตามหลักวิชาที่ได้พัฒนาตามหลักวิทยาศาสตร์ อันเป็นหลักความจริง
    ที่ข้าพเจ้ากล่าวไปนั้น ไม่ใช่เป็นการขัด หรือคัดค้าน ในสิ่งที่ท่านทั้งหลายกำลังเสวนากันอยู่
    แต่หากท่านทั้งหลายได้อ่านข้อแสดงความคิดเห็นนี้ และเกิดความเข้าใจ เปลี่ยนแนวความคิดให้เป็นไปตามหลักวิทยาศาสตร์ ตามยุคตามสมัย ท่านทั้งหลายย่อมต้องเกิดความเข้าใจ ในหลักธรรมทางพุทธศาสนาอย่างแน่นอน
    ท่านทั้งหลายจะยึดติดเอาคำว่า เจตสิกมาใช้ก็ได้ เพียงแต่ต้องรู้ว่า คำว่าเจตสิกนั้น ในทางหลักวิชาการที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้ เขาเรียกว่าอะไร เป็นอะไร อวัยวะส่วนใดเป็นต้นตอฯลฯ แน่นอน หลักวิชาในปัจจุบัน ไม่เรียกว่า เจตสิกอย่างแน่นอน ไม่เรียกว่า อกุศลเจตสิก ไม่เรียกว่า โสภณเจตสิก(โส-พะ-นะ) (คัดมาจากพจนนุกรมพุทธศาสน์ ฉบับ พระธรรมปิฏก) แต่เขาเรียกเป็นอย่างอื่น
    ถ้าท่านทั้งหลายได้รู้ได้เข้าใจ ตามหลักวิชาในยุคปัจจุบันดีแล้ว ก็ย่อมสามารถปรับเปลี่ยนหรือเทียบ กับสิ่งที่มีอยู่เดิมได้อย่างราบรื่น
    ไม่ใช่กล่าวเพ้อเจ้อ รู้อยู่คนเดียว รู้อยู่กลุ่มเดียว โดยที่ผู้ศรัทธาในพุทธศาสนาท้ังหลายไม่รู้เรื่องอะไรเลย ศาสนานะขอรับ ไม่ใช่งานที่ต้องเก็บเป็นความลับ จะได้ใช้ศัพท์ภาษาที่เข้าใจกันในกลุ่มเล็กๆกลุ่มเดียว
    ลองไปคิดพิจารณาดูซิขอรับ ปัญญาอาจจะเกิดต่อท่านทั้งหลายก็เป็นได้
    และที่ข้าพเจ้ากล่าวไปแล้วทั้งหมด ไม่ใช่่ว่าข้าพเจ้าสอนให้ผุ้อื่น แล้วข้าพเจ้าจะอธิบายไม่ได้นะขอรับ ข้าพเจ้ารับรองว่าอธิบายได้ และสามารถอธิบายให้บุคคลทุกระดับชั้นอ่่านแล้วเกิดความเข้าใจตามความเป็นจริงตามธรรมชาติ ตามยุคตามสมัย ขอรับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 ธันวาคม 2008
  10. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    ถามท่านเทวดาครับ...เราจะรู้ได้ไหมครับว่า ใคร บุคคลใด เป็นพระโสดาบันครับ หรือดูจากตรงไหนครับ
     
  11. Mr.Boy_jakkrit

    Mr.Boy_jakkrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    2,063
    ค่าพลัง:
    +2,676
    จับประเด็นได้..หลักๆคือต้องการนำคำศัพท์เหล่านั้น (ของตำรา) มาเปรียบเทียบใหม่ให้ทันสมัยเข้าใจง่ายยิ่งขึ้นสำหรับผู้ที่ยังเข้าไม่ถึงธรรม

    ขออุปมาว่าเป็นเครืองเล่นอะไรซักอย่างนะครับ อย่างเช่้น
    เครื่องเล่นหนังดีวีดีก็แล้วกันนะครับ เครื่องเล่นหนังเป็นตัวรู้
    รู้ในที่นี้ก็ึืคือ..รู้ว่ามีแผ่นเขามาในเครื่องก็ฉีดฉายแสงเรเซอร์แล้วก็ประมูลผลข้อมูลนั้นๆ
    แสดงออกมาเป็นภาพ (เรื่องเทคนิคอิเล็กทรอผมก็ไม่เก่งเหมือนกันครับ555) แสดงออกมาเป็นหนังของแผ่้นนั้นๆ ฉายไปตามโปรแกรมที่จัดมานั่นแหละ
    ไม่ว่าจะเป็นหนังโศรกเศร้า หนังบู๊ หนังรัก หนังตลก ..
    ส่วนผู้ชมคือคนที่อยู่ในวัฏสงสาร คือเห็นอะไรก็คิดไปตามนั้น ประมาณว่าดูหนังเศร้าก็ร้องไห้น้ำตาท่วมจอ พอดูหนังบู๊ก็มันไปกับมันเกลียดไอ้โจรในหนัง
    พอหนังรักก็ชื่นมื่นตามมัน ส่วนคนที่ยังไม่มีคนรักก็เพ้อหาปรุงแต่งไปแต่ละจริตแต่ละสไตล์ของตัวเอง

    คราวนี้หันกลับมาดูที่เครื่องฉายดีกว่า ขอเปรียบเครื่องดีวีดีเพลเยอร์เป็นดังเจตสิก (ไม่เป๊ะซะทีเดียวนะ) คือเครื่องเล่นนี้ฉายอย่างเดียว ใครจะเอาแผ่นอะไรเข้าไปก็ช่างฉายดะ
    จะหนังเศร้า หนังบู๊ หนังรัก หนังตลกก็ดี ไม่เห็นมันจะมีน้ำตาไหลออกมาข้างเครื่อง หรือไม่เห็นมีเลือดนองท่วมเวลาฉายหนังบู๊นี่นา.. จะว่าไปแล้วมันเป็นของมันอย่างนั้นอยู่แล้ว
    แต่เรามองไม่เห็นเพราะเรามัวแต่ไปสนที่จอทีวีมากกว่าจะมานั่งดีวีดีเพลเยอร์เพราะมันไม่มีอะไรให้ดู

    ขออุปมาไว้อย่างนี้ก็แล้วกันนะครับ จะให้อธิบายมากกว่านี้เดี๋ยวมันจะเพี้ยนและอาจจะมีการปรุงแต่งต่อยอดเกิดขึ้น
    และที่สำคัญคำสอนของพระองค์ถูกต้องที่สุดแล้ว

    ถ้าเกิดการผิดพลาดประการณ์ไดขออโหสิกรรมด้วยนะครับ ...สาธุ
    อนุโมทนากับผู้ปฏิืบัติทุกท่านครับ
     
  12. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,606
    ค่าพลัง:
    +1,817

    รู้ได้ขอรับ แต่การที่ข้าพเจ้าจะตอบให้คุณและท่านทั้งหลายได้อ่านกัน ต้องขอทำความเข้าใจไว้ว่า คำตอบของข้าพเจ้า เป็นคำตอบตามยุคตามสมัย ที่สามารถพิสุจน์ได้จากตัวข้าพเจ้า และการตอบของข้าพเจ้ามิใช่เป็นการโอ้อวด หรืออวดอ้าง แต่จะตอบตามหลักความเป็นจริงว่า

    บุคคลผู้บรรลุชั้นพระโสดาบัน เป็นต้นไป จะสามารถขจัดอาสวะแห่งกิเลสได้ ขณะขจัดอาสวะแห่งกิเลสนั้น ก็จะเปล่งแสงออกมาจากร่างกาย เพราะอาสวะแห่งกิเลส มีสถานะเป็นคลื่นไฟฟ้า อาสวะแห่งกิเลส ได้แก่ ความคิด อารมณ์ ความรู้สึก สภาพสภาวะจิตใจในรูปแบบต่างๆ เช่น ความโลภ ความโกรธ ความหลงบ้าง สภาพสภาวะจิตใจที่เรียกเป็นธรรมะทั้งหลายบ้าง ที่ได้กล่าวไป เมื่อฝึกปฏิบัติ จนรู้และเข้าใจในหลักธรรมอันแท้จริงแล้ว ย่อมสามารถขจัดอาสวะแห่งกิเลสได้เป็นอย่างๆไป เนื่องจากอาสวะแห่งกิเลสนั้น มีมากมายหลายรูปแบบ มีมากมายหลายชนิด อันไหน อย่างไหน รู้ เข้าใจ แล้ว ก็จะสามารถป้องกันฯ และสามารถขจัดฯ (ในเรื่องนี้จะได้อธิบายในกระทู้ใหม่ต่อไปว่า ฝึกปฏิบัติแบบไหนเพื่อป้องกันฯ ฝึกปฏิบัติแบบไหนเพื่อขจัดฯ และฝึกแบบไหนทั้งป้องกันและขจัดฯ)
    สรุปแล้ว ผู้บรรลุหรือเข้าใจในธรรมนับตั้งแต่ชั้น โสดาบัน เป็นต้นไป จะรู้ได้จากแสงที่เปล่งออกมาจากร่างกายเป็นแสงสีต่างๆกัน สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ทั้งนี้ ความสว่าง และความชัดเจนของแสงนั้น ขึั้นอยู่กับความรู้ ความเข้าใจในหลักวิชชาต่างๆ อันนับเข้าในวิปัสสนาด้วย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 ธันวาคม 2008
  13. Mr.Boy_jakkrit

    Mr.Boy_jakkrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    2,063
    ค่าพลัง:
    +2,676
    แล้วใครเป็นคนรู้ล่ะครับ ?
    เจ้าตัว หรือคนข้างๆ ?
     
  14. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,606
    ค่าพลัง:
    +1,817
    ข้าพเจ้าจะแนะนำคุณนะขอรับว่า เวลาคุณอ่านบทความใดใดก็ตาม คุณต้องอ่านและทำความเข้าใจทั้งหมด ไม่ใช่ยกเอาประโยคใดประโยคหนึ่ง หรือจำเพียงประโยคใดใดประโยคหนึ่งขึ้นมา หลักการหรือหลักวิชชา หรือคำอธิบาย หรือกระพี้ ในทางพุทธศาสนา เป็นตัวอธิบายประโยคหลัก ต่างๆ ความจริงแล้วถ้าคุณอ่านข้อแสดงความคิดเห็นหรือคำตอบที่ข้าพเจ้าตอบไปและทำความเข้าใจในทุกประโยค คุณคงไม่ถามว่า "แล้วใครรู้"

    ก็ข้าพเจ้าอธิบายแล้วว่า ความคิด อารมณ์ ความรู้สึก และสภาพสภาวะจิตใจในรูปแบบต่างๆ มีสถานะเป็นคลื่นไฟฟ้า หากปฏิบัติธรรม บรรลุชั้นโสดาบัน เป็นต้นไป ก็จะสามารถขจัดอาสวะแห่งกิเลสที่ได้กล่าวไป ออกจากร่างกาย เป็นแสงสีแตกต่างกัน สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
    คำว่า สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า คุณว่า ใครบ้างละที่จะรู้ ใครบ้างที่จะเห็น ใช้สมองคิดบ้างซิคุณ ข้าพเจ้าไม่ต้องตอบให้เปลืองสมองอีกแล้วนะคุณ
     
  15. Mr.Boy_jakkrit

    Mr.Boy_jakkrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    2,063
    ค่าพลัง:
    +2,676
    อ๋อ..รู้แล้วขอรับ
    รู้ว่าคุณไม่เข้าใจคำถามน่ะขอรับ
    ข้าพเจ้าก็รู้ว่าคุณไปในแนวชอบเห็นแสงมากกว่าจะดูจิตดูใจตัวเองน่ะขอรับ
    เด็กๆที่ยังเรียนอยู่ชั้นอนุบาลทำไมเค้าชอบไปถามว่าปริญญาเอกเรียนยากไม๊ แทนที่จะเรียนของอนุบาลให้คล่องซะก่อนจริงไม๊ขอรับ (^^#)...
    เอาเป็นว่าข้าพเจ้าจะถามตรงๆว่า ที่ว่าเห็นเปล่งแสงน่ะ คุณท่านเห็นด้วยตาเนื้อของท่านเลยหรือเปล่าขอรับ ?
    สมมติท่านเห็นด้วยตาเนื้อของท่านจริง ข้าพเจ้าก็ไม่เห็นใช่ไม๊ขอรับ ?
    แล้วเรื่องพวกนี้เค้าเรียกว่า.. อจิน...อะไรน๊า ตอบได้ไม๊ขอรับ ?
    ข้าพเจ้าก็เลยเพียงแค่แวะเข้ามาทักให้ตื่นแปลงฟัน ล้างหน้า แต่งตัว ให้พร้อมน่ะขอรับ สิ่งใดใดที่ข้าพเจ้าคิดว่าคนอื่นๆจะคิดเหมือนข้าพเจ้านั้นมีบ้างและไม่มีบ้างขอรับ..

    ถ้าการที่ข้าพเจ้าเข้ามาปลุกแล้วทำให้หงุดหงิดเพื่อที่ตัวท่านจะได้หลับ หลง ไหล ไปไกลๆต่อก็ขออโหสิกรรมด้วยนะขอรับ สาธุ..
    สมองมีไว้คิดเอาไว้ปรุงแต่งครับอันนี้จริง...ปัญญาน่ะมีอยู่แล้วแต่ไม่ยอมเอาออกมาใช้เอง อันนี้ไม่แน่ใจขอรับ ?
    อนุโมทนาครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ธันวาคม 2008
  16. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,606
    ค่าพลัง:
    +1,817
    คุณขอรับ ข้าพเจ้าต้องกล่าวขออภัยต่อคุณไว้ล่วงหน้า ถ้าข้าพเจ้าจะกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า
    ความคิดความเข้าใจของคุณน่าสงสารจริงๆขอรับ ถ้าคุณอ่านคำตอบที่ข้าพเจ้าตอบให้ผู้ถามและทำความเข้าใจดีแล้ว คุณย่อมไม่เกิดความเข้าใจแบบน่าสมเพชอย่างนั้นดอกขอรับ
    ไม่เป็นไรขอรับ คุณอาจจะได้รับการขัดเกลาทางสังคมมาอย่างนั้น คุณจึงไม่สามารถทำความเข้าใจในภาษาไทย ความจริงแล้วก็นับว่าชัดเจนอยู่แล้ว คุณลองอ่านแล้วทำความเข้าใจใหม่อีกทีซิขอรับว่า
    ในคำตอบของข้าพเจ้าชัดเจนหรือไม่ การขจัดอาสวะหมายถึงการขจัดอะไร เมื่อขจัดแล้วสภาพจิตใจจะเป็นอย่างไร ลองใช้สมองสติปัญญาพิจารณาดูซิขอรับ
    แล้วแสงที่เปล่งออกมาขณะขจัดอาสวะแห่งกิเลสนั้น ควรเป็นเครื่องแสดงถึงสภาพสภาวะจิตใจหรือไม่
    ลองอ่านดูอีกครั้งขอรับ
    "บุคคลผู้บรรลุชั้นพระโสดาบัน เป็นต้นไป จะสามารถขจัดอาสวะแห่งกิเลสได้ ขณะขจัดอาสวะแห่งกิเลสนั้น ก็จะเปล่งแสงออกมาจากร่างกาย เพราะอาสวะแห่งกิเลส มีสถานะเป็นคลื่นไฟฟ้า อาสวะแห่งกิเลส ได้แก่ ความคิด อารมณ์ ความรู้สึก สภาพสภาวะจิตใจในรูปแบบต่างๆ เช่น ความโลภ ความโกรธ ความหลงบ้าง สภาพสภาวะจิตใจที่เรียกเป็นธรรมะทั้งหลายบ้าง ที่ได้กล่าวไป เมื่อฝึกปฏิบัติ จนรู้และเข้าใจในหลักธรรมอันแท้จริงแล้ว ย่อมสามารถขจัดอาสวะแห่งกิเลสได้เป็นอย่างๆไป เนื่องจากอาสวะแห่งกิเลสนั้น มีมากมายหลายรูปแบบ มีมากมายหลายชนิด อันไหน อย่างไหน รู้ เข้าใจ แล้ว ก็จะสามารถป้องกันฯ และสามารถขจัดฯ (ในเรื่องนี้จะได้อธิบายในกระทู้ใหม่ต่อไปว่า ฝึกปฏิบัติแบบไหนเพื่อป้องกันฯ ฝึกปฏิบัติแบบไหนเพื่อขจัดฯ และฝึกแบบไหนทั้งป้องกันและขจัดฯ)
    สรุปแล้ว ผู้บรรลุหรือเข้าใจในธรรมนับตั้งแต่ชั้น โสดาบัน เป็นต้นไป จะรู้ได้จากแสงที่เปล่งออกมาจากร่างกายเป็นแสงสีต่างๆกัน สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ทั้งนี้ ความสว่าง และความชัดเจนของแสงนั้น ขึั้นอยู่กับความรู้ ความเข้าใจในหลักวิชชาต่างๆ อันนับเข้าในวิปัสสนาด้วย
     
  17. Mr.Boy_jakkrit

    Mr.Boy_jakkrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    2,063
    ค่าพลัง:
    +2,676
    เฮ้อ..เรามาทำอะไรเนี่ย ??

    เอาล่ะๆ..เข้าใจแล้วครับ ไม่ต่อยอดนะ เอาเป็นว่าคุณเข้าใจผมอย่างนั้นก็แล้วกัน
    ส่วนผมก็สื่อไปแบบของผมนั่นแหละ
    เรามันน่าสมเพชตัวเองจริงๆซะด้วยสิ หึ! (~~!
    ขจัดความถือเนื้อถือไปได้อีกอันล่ะ..

    ขออนุโมนาครับผม
     
  18. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,606
    ค่าพลัง:
    +1,817
    ที่ข้าพเจ้าจะกล่าวต่อไปนี้ ไม่ใช่การต่อว่าให้คุณ และไม่ใช่การต่อยอด เพียงแต่ทำความเข้าใจกับคุณและท่านทั้งหลายเอาไว้ว่า
    สิ่งที่ข้าพเจ้าได้เขียนไป ได้ตอบไปนั้น ไม่ใช่เป็นการเข้าใจเอาเอง หรือคิดเอาเอง
    แต่สิ่งที่ข้าพเจ้าได้เขียนตอบไปนั้น ได้จากการ ศึกษา ค้นคว้า วิจัย และปฏิบัติ จนได้ผล ดังที่ได้อธิบายไปนั่นแหละ
    สามารถพิสูจน์ได้ จากตัวข้าพเจ้า
    จะได้ไม่ต้องกังขาหรือสงสัยว่า ข้าพเจ้าคิดเอาเอง หรือว่าเข้าใจเอาเอง
    ซึ่งความจริงแล้ว ข้าพเจ้าปฏิบัติจนได้ผลแล้วจึงสามารถตอบได้ และสามารถพิสูจน์ได้ ด้วยตาของท่านทั้งหลาย
     
  19. Mr.Boy_jakkrit

    Mr.Boy_jakkrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    2,063
    ค่าพลัง:
    +2,676
    ข้าพเจ้ายังอยู่ในใจท่านอีกหรือเนี่ย หรือท่านยังเข้าใจว่า อนัตตา คือ อัตตา ?
    และข้าพเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องไปพิสูจน์ของคนอื่น เพราะถ้าข้าพเจ้าไปพิสูจน์ของท่านแล้วมันไม่เห็นอย่างที่ว่าล่ะ
    หรือถึงแม้ข้าพเจ้าไปเห็นจริงอย่างที่ท่านกล่าวไว้นั้น ข้าพเจ้าคงไม่ไปเอาหรอก เพราัะยังไงมันก็เอาไม่ได้
    แม้ตัวท่านเองก็ตามเอามันออกมาไม่ได้เหมือนกัน หรือท่านคิดอย่างไร
    ที่ข้าพเจ้ากล่าวไปแล้วทั้งหมดนั้นล้วนแต่เอายอดสุดของหนทางนั้นๆมาสรุปและเตือนสติเอาไว้เพื่อดักความคิดเห็นอื่นๆที่จะตามมาอีก
    นี่ก็ไม่ได้เดา ไม่ได้คิด และไม่ได้ไปอ่านมาตอบซะด้วยซ้ำ ข้าพเจ้าก็ปฏิบัติมาเช่นกันเหมือนๆกับทุกๆท่านนั้นแหละ..

    หรือที่ท่านกล่าวมานี้เพื่อจุดประสงค์ที่จะมาบอกว่า บรรลุแล้ว อย่างนั้นหรือ ? หรือปฏิบัติไปเพื่อจะกลับมาเกทับกันอย่างนั้นหรือ ?
    ทำไมยังมีโมโหอยู่อีก ทำไมยังมีตัวมีตนอยู่อีกล่ะ
    ข้าพเจ้าถึงได้แหลมหน้าเข้ามาพูดว่า "แล้วที่ท่านเห็นนั้นข้าพเจ้าเห็นด้วยหรือเปล่า" ยังไงล่ะ..?
    เห็นไม๊เพราะความหุนหัน ฉุนเฉียว ว่าใครที่ไม่นอบน้อมต่อเรา ใครที่ไม่คิดเหมือนเรา ใครที่ไม่เชื่อเรา ใครที่ไม่ตอบไม่เห็นด้วยกับเรา หรืออะไรๆที่มันทำใ้ห้เราผิดหวังเพราะมันไม่ได้เป็นไปอย่างที่หวัง แล้วมันทำให้หงุดหงิดขึ้นมา ก็เพราะมันไม่มีสติที่ไวพอจะสกัดอะไรๆที่มันเข้ามากระทบโดยไม่บอกไม่กล่าวไม่แจ้งเตือนล่วงหน้าไว้ก่อนจึงทำให้หลงไปกับมันนั่นไง เห็นหรือยังว่า "สติ" มันสำคัญกว่าไอ้แสงเสิง กว่าเป็นไหนๆ จะยกตัวอย่างให้ฟังนะ ทำไมเราถึงชอบยกตัวอย่างรู้ไม ๊เพราะเราไม่ได้อ่านแต่หนังสือแล้วเอามาตอบเพื่อปกปิดความไม่รู้ของตัวเอง
    ้ทำไมไม่มองคนรอบๆข้างท่านบ้าง จะเดินไปต่อไหนต่อไหนมีคนทักท่านหรือเปล่าว่ามีแสงอะไรๆออกมา หือ ?
    รู้อยู่เต็มอกตั้งแต่ตอนต้นแล้วใช่ไม๊ว่า ก่อนเข้าร้านอาหารเข้าติดป้ายไว้ห้ามสูบบุหรี่ แต่พอเข้าไปกินจนอิ่ม ก็เอาขึ้นมาสูบอีกเพราะไม่สติ การปฏิบัติก็เช่นกันถ้าศึกษามาเยอะ น่าจะได้อ่านหน้าแรกๆที่เค้าเขียนบอกไว้ว่าธรรมะเป็นปัจจัตตัง ผู้ประฏิบัติควรระวัง สำรวม กาย วาจา ใจ และพระพุทธองค์ท่านบอกไว้ว่ายังไงก่อนจะปฏิบัติ หรือไม่ได้อ่านตรงนี้ ?

    ถึงตรงนี้ ซึ่งมันไม่น่าจะอยู่ได้นานขนาดนี้นะสำหรับผู้ที่เรียกว่า พระโสดาบัน เพราะถ้าถึงขั้นนั้นแล้ว สติ ปัญญา ความคิด ความอ่าน มันจะละเอียดกว่านี้ แต่ยังมีโกรธ มีโมโห มีอยากได้ อยู่บ้างแต่มันจะลดลงตามขั้น
    แต่มันไม่น่าจะอยู่ได้ขนาดนี้ นี่มันปาเข้าไปกี่วันแล้วล่ะ รู้หรือเปล่า ?
    ท้ายนี้ขอให้มองพิจารณาเข้าไปตรงๆว่า เราอยากให้ท่านอื่นๆรู้ัจักเรามากไปกว่านี้ไม๊ อยากให้คนอื่นเคารพนับถือเราไม๊
    ทำไมไอ้ห่านั่น(หมายถึงตัวเรานี่แหละ)มันไม่เชื่อเราว๊ะ
    ถามลงไปที่จิตใจลึกๆนั่นแหละ ว่าเราเข้าไปอยู่ในใจท่าน หรือความโมหะ อนัตตา กิเลส ฯล มันยังอยู่ในจิตท่านกันแน่

    สำหรับอุบายการปฏิบัติแต่ละคนไม่เหมือนกันหรอกนะ จริงไม๊ ?
    อันนี้ไม่ได้ถามใ้ห้ตอบหรอก แต่มันมีไม่น้อยที่นักปฏิบัติหลับตาปุ๊ปแล้วมองๆหา ทำไมมันไม่เกิดอะไรสักที ทำไมไม่เห็นอะไรในสมาธิซักที ทั้งๆที่ปฏิบัติมาตั้งนานแล้วนะ นี่ไง..มองเห็นปัญหาหรือยัง เห็นต้นเหตุหรือยัง ถ้าเห็นแล้วยังจะอยากเป็นต้นเหตแห่งสิ่งๆต่างที่จะเกิดขึ้นอีกหรือ ?

    มันปัญหาไม่ใหญ่หรอก แต่มันเสียเวลา และใช้เวลานานบางคนถึงกับใช้เวลาทั้งชีวิตหรืออาจจะข้ามภพข้ามชาติกันเลย
    แล้วท่านคิดว่าการที่ออกมากล่าวมันจะเป็นแสงๆสีๆนั้นสีนี้ เพื่ออะไรกันเล่า ?
    หรือท่านแน่ใจแล้วว่าจะไม่เกิดการปรุงแต่งกับคนอื่นๆที่เข้ามาอ่าน จะไม่เกิดการคิดต่อยอด... มันจริงหรือ ?

    ธรรมะสอนอะไร ?
    สอนให้เอาขั้นมาเกทับหรือสอนให้พ้นทุกข์กันแน่ ถามตัวเองเถิด
    ถ้านั่งสมาธิอยู่แสงออร่าหรือแสงพระโสดาบันที่ท่านเข้าใจนั้นออกมา ระหว่างไฟกำลังไหม้บ้านถามว่าท่านจะนั่งเอาแสงไว้กับตัวอยู่อย่างนั้นหรือออกไปดับไฟ เล่า !?
    ไอ้แสงอะไรนั่นถ้าคิดว่ามันสำคัญกว่าสติก็ตามใจ ..

    เอาใหม่ยังไม่สาย
    ธรรมะก็เปรียบเหมือนบ่อน้ำในป่า พวกเราก็เหมือนสัตว์ป่า เดี๋ยวเวลาหิวก็ไปหากินเอง


    งั้นข้าพเจ้าก็ขอโทษก็แล้วกันนะ ที่ไม่ได้นอบน้อมแต่แรก
    ที่เข้ามาก็เพื่อมาเตือนสตินักปฏิบัติด้วยกันเท่านั้น...แค่รู้สึกเป็นมิตรเฉยๆ
    ขอให้เข้าใจไว้อย่างนั้นด้วยเถิด
    ข้าพเจ้าไม่มีอะไีรจะกล่าวแล้ว ถ้าไม่มาคิดซะว่าข้าพเจ้าแพ้แล้ว หรือเอาไปบอกใครๆก็ได้ (ฮา)
    แต่พระพุทธองค์ไม่ได้สอนให้เชื่อใึคร เชื่ออะไรเอาง่ายๆน่ะ ท่านสอนให้หาเหตุแห่งผลนั้น และกำจัดเหตุมันเสีย เรายังจำได้หนังสือธรรมเล่มแรกที่อ่าน


    ขออนุโมทนาสำหรับมานะ นี้ด้วยเถิด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 ธันวาคม 2008
  20. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,606
    ค่าพลัง:
    +1,817
    คุณขอรับ ทำไมคุณมีความคิดเยี่ยงนั้นขอรับ ข้าพเจ้าไม่ได้โมโหฉุนเฉียวอะไรคุณดอกขอรับ และก็ไม่สนใจที่จะทำให้คุณเชื่ออะไรในตัวข้าพเจ้าขอรับ
    การแสดงความคิดเห็นของคุณที่กล่าวมา พออ่านปุ๊ป ก็รู้แล้วว่า คุณมีปัญญาด้านการศึกษา และด้านความคิด มนุษย์ทุกคน ต้องยึดถือตัวตนขอรับ
    ถ้าไม่ยึดถือตัวตัว ก็ไม่ใช่มนุษย์ ไม่สามารถดำรงตนอยู่ในสังคมใดใดได้ดอกขอรับ สัตว์ทั้งหลายย่อมยึดถือตัวตนขอรับ การยึดถือตัวตนไม่ใช่กิเลสขอรับ และการยึดถือตัวตน ก็สามารถทำให้เกิดการหลุดพ้นจากกิเลส คือความโลภ ความโกรธ ความหลงได้ขอรับ
    แต่ การยึดถือตัวตน ก็ทำให้เกิดกิเลสได้เช่นกัน ขอรับ มันขึ้นอยู่กับความรู้ ความเข้าใจขอรับ คุณไปพิจารณาให้ดีเถอะ คุณจะไม่เชื่อจะไม่พิจารณาก็เป็นสิทธิของคุณ ไม่มีใครบังคับคุณได้ดอกนะ

    อนึ่ง ถ้าเขาผู้นั้นกล่าวอ้างว่า ไม่ยึดถือตัวตน ก็สันนิษฐานได้สองอย่างขอรับ ไม่บ้า ไม่ประสาท ก็ปัญญานิ่มคือปัญญาต่ำความคิดอ่านต่ำขอรับ(ขออภัยขอรับที่กล่าวไปนี้ไม่ได้ด่าว่าคุณนะขอรับ)
    และที่ข้าพเจ้ากล่าวว่า สามารถพิสูจน์ได้ที่ตัวข้าพเจ้าเกี่ยวกับการขจัดอาสวะนั้น ก็ไม่ใช่การโอ้อวด หรืออวดอ้าง ข้าพเจ้าท้าให้พิสูจน์จากตัวข้าพเจ้า มากว่า 5 ปีแล้วขอรับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 ธันวาคม 2008

แชร์หน้านี้

Loading...