หลังจากดับขันต์ไปแล้วพุทธเจ้ายังมีอยู่จริงหรือที่แดนนิพพาน

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ตาแก่, 12 พฤศจิกายน 2008.

  1. เรวัตตะ08

    เรวัตตะ08 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2008
    โพสต์:
    17
    ค่าพลัง:
    +2
    สาธุในบุญที่ท่านพี่ทั้งหลายได้ถกกันมานะครับผม
     
  2. to2504

    to2504 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,449
    ค่าพลัง:
    +1,230
    นี่ทำมัยต้องมาเลียนแบบ คำพูดชั้นด้วยยะ
     
  3. เรวัตตะ08

    เรวัตตะ08 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2008
    โพสต์:
    17
    ค่าพลัง:
    +2
    เอทำงัยดีครับยังไม่ถึงไหนเลยอะ
     
  4. siarayamarata

    siarayamarata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    390
    ค่าพลัง:
    +511
    ********
    สิ่งที่เกิดขึ้นมาเองท่ามกลางคือจิตพุทธ มิอาจทำลายได้ เป็นจิตบริสุทธิ์มิได้เกิดจากการคนกันเฉกเช่นจิตสรรพสัตว์ทั้งปวง ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้น
    สรรพสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาล้วนสามารถกลับคืนสู่ความว่างเปล่าได้ทั้งสิ้น

    การเกิดขึ้นมาของจิตพุทธปฐม คือการตื่นมาท่ามกลางความว่างเปล่าที่ทอดยาวออกไปมิสิ้นสุด มิมีเพื่อนคลายความเงียบเหงา มีเพียงจิตเดียว เป็นปฐมเหตุของการสร้างสรรพจิต สรรพสัตว์ขึ้นมาเพื่อเป็นเพื่อนคลายความเงียบเหงา

    กระบวนการสร้างเริ่มต้นด้วยการสร้างปฐมธาตุกำเนิดสรรพสิ่งขึ้นมาก่อนตามภาพประกอบซึ่งเราแสดงไว้ในกระทู้ธรรม [พุทธปฐมต้นธาตุพลังงาน] ปฐมธาตุกำเนิดพลังงาน ยังคงเป็นความว่างเปล่า เพียงแต่เป็นอนุภาคเชิงซ้อน ของธาตุกำเนิดพลังงานเรียงต่อกันเป็นรังผึ้ง คือ อนุภาคธาตุไฮโดรคาร์บอนยูเรเนียมคาร์บอนพลูตาเนียม
    การสร้างความมืดเกิดขึ้นมาภายหลังจากสร้างปรากฏการณ์ของหลุมดำขึ้นมาท่ามกลางความว่างเปล่า เกิดชั้นหินแข็งคือเพชรขึ้นมาภายในความว่างเปล่า ภายนอกชั้นหินแข็งใสเป็นความว่างเปล่าที่ทอดยาวออกไปตามขอบเขตจำกัด

    ภายในหินแข็งเกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ขึ้นเกิดการระเบิดขึ้น สามารถแปรเปลี่ยนอนุภาคเชิงซ้อนไฮโดรคาร์บอนยูเรเนียมคาร์บอนพลูตาเนียม เป็นอนุภาคเชิงเดี่ยว ไฮโดรคาร์บอน คาร์บอนยูเรเนียม คาร์บอนพลูตาเนียม ขึ้นมาในโพรงหิน กระทั่งเย็นลง อนุภาคเชิงเดี่ยวจึงคืนอำนาจแม่เหล็ก
    อนุภาคเชิงเดี่ยวไฮโดรคาร์บอน กับ คาร์บอนพลูตาเนียม มีอำนาจแม่เหล็กในตัวเอง เป็นอำนาจแม่เหล็กขั้วเหนือกับอำนาจแม่เหล็กขั้วใต้ ดึงดูดกันเป็นอนุภาคเชิงคู่ เป็นพุทธปฐมพลังงานที่ใช้สร้างสรรพสิ่ง

    ด้วยการสลับขั้วแม่เหล็กขั้วเดียวกันเข้าหากันจะเกิดแรงผลักขึ้น สามารถอัดอนุภาคเชิงเดี่ยวธาตุใดๆซึ่งลอยเคว้งคว้างอยู่ กระทั่งมีขนาดมวลสารใหญ่ขึ้น เป็นสิ่งปนเปื้อนท่ามกลางความว่างเปล่า เป็นความมืดที่อยู่ท่ามกลางความว่างเปล่า
    การอัดอนุภาคเดียวกันเข้าด้วยกันจะเป็นการหักล้างอำนาจแม่เหล็ก นั่นคือการลดทอนพลังงานพุทธปฐมธาตุกำเนิดสรรพสิ่ง

    มิอาจนำพุทธปฐมธาตุพลังงานมาใช้โดยตรงได้เพราะมีค่าเป็นอนันต์
    กระบวนการต่อไปคือการสร้างหินธาตุกำเนิดจิตสรรพสัตว์ขึ้นมาท่ามกลางความมืดมิด มิอาจสร้างสรรพจิตขึ้นมาท่ามกลางความว่างเปล่าได้ การสร้างจิตสรรพสัตว์เกิดขึ้นในยุคสังสารวัฏโกฏิหรือยุคของพระอิศวร

    ภายหลังจากยุคพระอิศวรล่มสลายไป จึงถึงยุคของการสร้างมหาสากลจักรวาลขึ้นมา ด้วยการนำจิตสรรพสัตว์ยุคสังสารวัฏโกฏิมาเวียนว่ายตายเกิด ตามกฎแห่งกรรม เริ่มต้นยุคไดโนเสาร์ก่อน ภายหลังจากนั้นจึงถึงยุคสังสารวัฏ โดยลำดับมิอาจแสดงละเอียดมากกว่านี้ได้ ในอนาคตเราจะแสดงธรรมที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นรูปธรรมพร้อมทั้งสอดแทรกเหตุการณ์ยุคพระอิศวร ยุคไดโนเสาร์ ควบคู่ไปกับการแสดงธรรมที่เกี่ยวข้อง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 พฤศจิกายน 2008
  5. to2504

    to2504 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,449
    ค่าพลัง:
    +1,230

    พลังพุทธปฐมธาตุ จึงเกิดขึ้นได้ยาก เพราะมนุษย์เปรียบเสมือน แม่เหล็กขั้วเดียวกัน มันเป็นพลังต้นกำเนิดจากพลังงานขั้วแม่เหล็กเดียวกันที่ใหญ่ จึงทำให้ พุทธะ เกิดขึ้นได้ยาก และความสมดุลย์ของพลังงานธาตุในมนุษย์ ก็ต้องมีความสมดุลย์ จึงจะเกิดเป็นพุทธะได้ ก็คือพลังงานเดียวกับพุทธปฐม น่ะหรือเปล่า
     
  6. siarayamarata

    siarayamarata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    390
    ค่าพลัง:
    +511
    ********
    คนมีพลังหยินหยางทุกคนเพียงแต่ตัวบ่งชี้ว่าเป็นจิตบุรุษสตรีคือ
    พลังหยินมากกว่าพลังหยางจะเป็นจิตสตรีเพศ
    พลังหยางมากกว่าพลังหยินจะเป็นจิตบุรุษเพศ
    พลังหยินคือธาตุคาร์บอนพลูตาเนียม
    พลังหยางคือธาตุไฮโดรคาร์บอน
    ตัวควบคุมคือคาร์บอนยูเรเนียม

    ธาตุหลักสามประการต้องลดทอนอำนาจลงมาอยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้จึงจะสามารถใช้เป็นพลังชีวิตได้
    คาร์บอนยูเรเนียมเมื่อทอนอำนาจลงมากจะเป็นเพียงธาตุคาร์บอนเป็นตัวต้านทานที่ใช้ควบคุมพลังหยินหยางสรรพสิ่งทั้งระบบมิอาจใช้ธาตุยูเรเนียมเป็นตัวควบคุมพลังหยินหยางได้
    ความสมดุลย์มิใช่พลังหยินหยางเท่ากัน พลังดุลต้องหยินมากกว่าหยางอบอุ่นอยู่ภายในจึงจะเป็นสุขได้ นั่นคือการควบคุมพลังภายในของร่างกาย แต่พลังจิตยังคงต้องรักษาคุณลักษณะความเป็นบุรุษเพศคือพลังหยางมากกว่าพลังหยิน และความเป็นสตรีเพศคือพลังหยินมากกว่าพลังหยาง หากพลังจิตมีพลังหยินเท่ากับพลังหยางจะเป็นคนมิหญิงมิชาย เป็นบุรุษเพศเมีย
     
  7. to2504

    to2504 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,449
    ค่าพลัง:
    +1,230
    ตัวควบคุมคือคาร์บอนยูเรเนียม

    มันจะทำงัยคะ ถึงจะมีตัวนี้
     
  8. to2504

    to2504 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,449
    ค่าพลัง:
    +1,230
    หากพลังจิตมีพลังหยินเท่ากับพลังหยางจะเป็นคนมิหญิงมิชาย เป็นบุรุษเพศเมีย

    *************
    ท่านบอกว่าพลังจิต งั้นก็แสดงว่า ถ้าจิตเราเป็นชาย แล้วกายเป็นหญิงหล่ะ มันจะสมดุลย์มั้ย (หมายถึงจิตเก่านะ)<!-- / message --><!-- sig -->
     
  9. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    ถ้าอ่านประโยคนี้ดีๆ จะเห็นว่า พลังพุทธปฐมของพี่เขาเกิดหลังการเกิดของโพรงหิน

    ดังนั้น โพรงหิน ก็คือ ครรภะของพลังงานทั้งหมด

    ว่าแต่ว่า โพรงหินมันเกิดก่อนสิ่งอื่นๆ ที่ยังเป็นก๊าซมีขั้วกันอยู่ ได้อย่างไรกันละนี้
     
  10. siarayamarata

    siarayamarata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    390
    ค่าพลัง:
    +511
    ********
    สามารถดูเวคเตอร์ภาพประกอบการแสดงธรรมของเราในกระทู้ [ภาพวาดจากจิตสัมผัส [พิเศษ] จักรู้ว่าการควบคุมความคิดตนเองนั่นแหละคือการควบคุมคาร์บอนยูเรเนียม คนทุกคนมีจิตมารคือคาร์บอนยูเรเนียมเป็นองค์ประกอบของจิตทั้งสิ้น การควบคุมคือลดความต้านทานใฝ่ต่ำลงมาให้อยู่ในระดับที่เบาบางการไหลวนพลังหยินหยางในร่างกายและจิตจะสามารถกระทำได้เป็นกระบวนการสร้างความสุขหากมิมีการไหลวนพลังงานคือเสียชีวิต ตราบใดที่ยังมีพลังงานไหลวนได้ตราบนั้นยังคงสามารถมีชีวิตอยู่ได้
     
  11. siarayamarata

    siarayamarata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    390
    ค่าพลัง:
    +511
    *********
    กำเนิดจิตสรรพสัตว์เกิดขึ้นในยุคของพระอิศวร อนุญาตให้สรรพสัตว์เกิดเองได้ ด้วยการรวมมวลสารจิตเป็นมวลสารการก่อตัวขึ้นเป็นกายสังขารเฉกเช่นการก่อตัวขึ้นเป็นกายสังขารของพระอิศวรในทุกประการ มิมีการสมสู่กัน มิได้เกิดมาเพื่อกันและกัน มีอิสระในการเกิด มิมีพืช

    มิมีการสมสู่กันดุจดังยุคสังสารวัฏ แม้กระทั่งยุคของไดโนเสาร์ล้วนมิมีการสมสู่กันเป็นการเกิดแล้วโตทันที เรียกโอปาติกะ [อุปตส] มีอายุขัยยืนยาวหากมิถูกกินหรือบั่นเศียรยุคพระอิศวรจะมิล่มสลายไป ยุคพระอิศวรล่มสลายไปเพราะมียักษ์ ปักษา และนาคา ขึ้นมากัดกินสรรพสัตว์ที่ดีงามกระทั่งล่มสลายไป

    การนำจิตสรรพสัตว์ยุคพระอิศวรมาอุบัติใหม่เพื่อชดใช้กรรม เริ่มต้นยุคไดโนเสาร์หรือยุคสังสารวัฏกัป ภายหลังจากยุคไดโนเสาร์ล่มสลายไปจึงถึงยุคสังสารวัฏ ด้วยการนำจิตไดโนเสาร์มาแบ่งเป็นจิตสรรพสัตว์อายุขัยสั้นขนาดเล็ก เพื่อชดใช้กรรม ทำให้สรรพสัตว์มีสังขารที่แตกต่างกันตามกรรม มีการสมสู่กันเพื่อดำรงเผ่าพันธุ์ [สวต]

    จิตพุทธปฐมมิได้เกิดจากการสร้างขึ้น เกิดขึ้นมาเองเพียงหนึ่งเดียว
    จิตสรรพสัตว์เกิดขึ้นมาจากการบำเพ็ญเต๋า
    เต๋า คือ อัตตา คือความมีตัวตน
    สรรพสิ่งล้วนเกิดจากการบำเพ็ญเต๋าของพุทธปฐม สรรพสิ่งล้วนเกิดขึ้นจากเต๋าทั้งสิ้น
    ความว่างเปล่ามิอาจสร้างสิ่งใดได้ เพราะความว่างเปล่าคือมิมีสิ่งใดเลย ต้องสร้างความมีตัวตนขึ้นมาก่อนจากนั้นจึงแปรเปลี่ยนเป็นสรรพสิ่งโดยลำดับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 พฤศจิกายน 2008
  12. siarayamarata

    siarayamarata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    390
    ค่าพลัง:
    +511
    **********
    การประจุจิตก่อนลงมาเกิดบนโลกมนุษย์ตามระดับชั้นฌาน [สน] เป็นการเปลี่ยนจิตคนให้เป็นหญิงหรือชาย ก่อนที่จะมีกายสังขารบนโลกมนุษย์ กายกับจิตจึงเป็นเช่นเดียวกัน แต่อาจมีผิดเพี้ยนไปบ้างตามสภาพแวดล้อม ครอบครัวในภายหลัง
     
  13. siarayamarata

    siarayamarata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    390
    ค่าพลัง:
    +511
    *******
    พุทธปฐมพลังงานยังคงมีขนาดเล็กมากเป็นความว่างเปล่า แต่คุณสมบัติของอนุภาคธาตุเชิงเดี่ยวไฮโดรคาร์บอน จักมีคุณสมบัติเป็นประจุไฟฟ้าบวก มีคุณสมบัติทางแม่เหล็กเป็นอำนาจแม่เหล็กขั้วเหนือ
    อนุภาคเชิงเดี่ยวธาตุคาร์บอนพลูตาเนียม จักมีคุณสมบัติเป็นประจุไฟฟ้าลบ มีคุณสมบัติทางแม่เหล็กเป็นอำนาจแม่เหล็กขั้วใต้
    อนุภาคเชิงเดี่ยวทั้งสองประการสามารถคืนความเป็นแม่เหล็กทันทีที่ช่องว่างโพรงหินเริ่มเย็นลง
    สรรพสิ่งล้วนเกิดขึ้นมาในโพรงหินทั้งสิ้น ขอบภายในของโพรงหินคือจุดค้ำยันเพื่อผลักพลังงานเข้าสู่จุดศูนย์กลาง เพื่อบังคับมวลสารใดๆให้ลอยเคว้งคว้างอยู่ภายในความว่างเปล่า เพราะฉะนั้นความมืดจึงอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่า
     
  14. siarayamarata

    siarayamarata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    390
    ค่าพลัง:
    +511
    *******
    การนำจิตสรรพสัตว์ยุคพระอิศวรที่ดีงามมาเกิดเป็นไดโนเสาร์กินพืชเพื่อเรียนรู้การกิน เพื่อกลับมาเป็นผู้กินคืนในยุคสังสารวัฏ คือกลับมาเกิดเป็นคน

    เพราะยุคพระอิศวรสรรพสัตว์ที่ดีงามจะเกิดขึ้นมาก่อน กระทั่งสามารถเหาะเหิรเดินอากาศได้ จิตสิ่งชั่วร้ายจึงเกิดขึ้นมาภายหลัง มิอาจบำเพ็ญเพียรกระทั่งเหาะเหิรเดินอากาศได้ ใช้ทางลัดด้วยการกัดกินสรรพสัตว์ที่ดีงามซึ่งเกิดขึ้นมาก่อน มิมีการขับถ่ายเมื่อกัดกินร่างกายจักสูงใหญ่ขึ้น การกินย่อมมากขึ้นกระทั่งมวลสารกายเบาขึ้นสามารถเหาะเหิรเดินอากาศได้เฉกเช่นสรรพสัตว์ที่ดีงามซึ่งเกิดขึ้นมาก่อน สรรพสัตว์ชั่วร้ายนี้คือยักษ์ [ยส] สรรพสัตว์ที่ชั่วร้ายและเจ้าเล่ห์ยิ่งกว่าเกิดขึ้นมาภายหลังคือ จิตปักษา [ปกส] เกิดมาแล้วกัดกินสรรพสัตว์ที่ดีงามเฉกเช่นยักษ์ สามารถเหาะเหิรเดินอากาศได้ด้วยปีก เป็นสิ่งมีชีวิตที่ทำให้ยุคพระอิศวรล่มสลายไป

    จิตสรรพสัตว์มีความแตกต่างกันที่สูตรการสร้างหินธาตุกำเนิดจิตสรรพสัตว์
    จิตสรรพสัตว์ที่มีองค์ประกอบของธาตุคาร์บอนพลูตาเนียมอยู่มากจะเป็นจิตสรรพสัตว์ชั้นฟ้า
    จิตสรรพสัตว์ที่มีองค์ประกอบของธาตุคาร์บอนยูเรเนียมอยู่มากจะเป็นจิตสรรพสัตว์ชั้นดิน
    จิตสรรพสัตว์ที่มีองค์ประกอบของธาตุไฮโดรคาร์บอนอยู่มากจะเป็นจิตสรรพสัตว์ชั้นน้ำ

    จิตสรรพสัตว์ล้วนมีอิสระในการเกิดทั้งสิ้น มิมีการบังคับใช้กฎแห่งกรรม เป็นจุดเริ่มต้นของกฎแห่งกรรม เพราะเมื่อเกิดขึ้นมาแล้วมีการกินกัน ถูกนำมาชดใช้กรรมอย่างเป็นรูปธรรมยุคสังสารวัฏ คนคือจิตสรรพสัตว์ที่ดีงามยุคพระอิศวร แม้ยุคไดโนเสาร์ยังคงถูกกิน เพราะมิอาจทำลายไดโนเสาร์กินพืชได้เพราะถูกสร้างมาให้เป็นอมตะ มีอายุยืนยาวนับกัป [1,000,000 ปี]

    การกินที่มากเกินไปทำให้พืชพันธุ์ธัญญาหารเจริญเติมโตมิทัน บรรดาไดโนเสาร์กินพืชล้วนทุกข์ทรมาน จึงต้องนำจิตยักษ์ ปักษา และนาคา มาอุบัติเป็นไดโนเสาร์กินเนื้อ เพื่อทำลายกายสังขาร
    กระทั่งยุคไดโนเสาร์ล่มสลายไป เพราะมิมีการสมสู่กันเพื่อดำรงเผ่าพันธุ์
    เมื่อเหล่าไดโนเสาร์กินพืชถูกกินหมดสิ้น ไดโนเสาร์กินเนื้อจึงหันมากินกันเองกระทั่งล่มสลายไปในที่สุด ยุคไดโนเสาร์ตั้งอยู่ได้ 1,000 กัป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 พฤศจิกายน 2008
  15. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    แล้ว โพรงหิน เกิดจากอะไรอะคับ
     
  16. siarayamarata

    siarayamarata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    390
    ค่าพลัง:
    +511
    ********
    กระบวนการสร้างปฐมธาตุกำเนิดสรรพสิ่งคือการอัด[ไฮโดร] พลังงานเข้าไปภายในจุดศูนย์กลางของจักรวาลตามขอบเขตที่กำหนด
    อัดจนกระทั่งเกิดแรงสะท้อนกลับคืนสู่ภายนอกจุศูนย์กลางจักรวาล
    ย้อนกลับไปหาแหล่งกำเนิดพลังงานคือแรงอัด
    จุดที่พลังงานไขว้ประสานกันคือต้นกำเนิดธาตุคาร์บอนยูเรเนียม
    แรงสะท้อนกลับคือต้นกำเนิดธาตุคาร์บอนพลูตาเนียม
    แรงอัดจากภายนอกกรอบคือต้นกำเนิดธาตุไฮโดรคาร์บอน
    หากดูภาพประกอบการแสดงธรรมจะเห็นว่า หากอัดแรงเพิ่มเข้าไปภายในอีกจำนวนหนึ่ง
    จะทำให้แรงสะท้อนกลับนั้นกลับคืนสู่ต้นกำเนิดแรงอัด เกิดการระเบิดขึ้น
    แปรเปลี่ยนเป็นอนุภาคเชิงซ้อนปฐมธาตุกำเนิดสรรพสิ่งนั่นคือ
    ไฮโดรคาร์บอนยูเรเนียมคาร์บอนพลูตาเนียม เรียงต่อกันดุจรังผึ้ง หมายถึง ไฮโดรคาร์บอนยูเรเนียมคาร์บอนพลูตาเนียม -ไฮโดรคาร์บอนยูเรเนียมคาร์บอนพลูตาเนียม -ไฮโดรคาร์บอนยูเรเนียมคาร์บอนพลูตาเนียม -ไฮโดรคาร์บอนยูเรเนียมคาร์บอนพลูตาเนียม ต่อไปเรื่อยๆ ตามคุณสมบัติทางแม่เหล็ก
    การเรียงต่อกันเช่นนั้นทำให้เกิดความร้อนขึ้นมาภายในจุดศูนย์กลางของจักรวาล ซึ่งยังคงเป็นความว่างเปล่า เกิดหลุมดำคือสูญญากาศขึ้นมาท่ามกลางความว่างเปล่ากระทั่งถึงจุดวิกฤต
    จึงเกิดแรงดึงดูดมหรรณพเข้าสู่จุดศูนย์กลางของจักรวาล นำพาอนุภาคเชิงซ้อนธาตุกำเนิดสรรพสิ่งเข้าสู่จุดศูนย์กลาง
    อัดแน่นกระทั่งแปรเปลี่ยนเป็นเพชรเป็นหินแข็งใสที่ทอดยาวออกไปไกลแสนไกล กระทั่งสิ้นสุดแรงดึงดูดของหลุมดำ
    ภายในหินแข็งใสหรือเพชรเกิดความเคลียดขึ้นภายใน เกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ขึ้น ระเบิดหินกระทั่งกลายเป็นโพรงหิน ความร้อนจากแรงระเบิดสามารถแปรเปลี่ยนอนุภาคเชิงซ้อนเป็นอนุภาคเชิงเดี่ยวได้ ความร้อนทำให้อำนาจแม่เหล็กลดลง
    [กระบวนการสร้างปฐมธาตุกำเนิดพลังงานทั้งปวงคือไฮโดรคาร์บอนยูเรเนียมคาร์บอนพลูตาเนียม]
    >>
    [​IMG]


    [ ปรากฏการณ์ของหลุมดำ [Back Hole] ขึ้นมาในความว่างเปล่า คือจุดเริ่มต้นกระบวนการเปลี่ยนโครงสร้างพลังจักรวาล ]
    >>
    [​IMG]
    <!-- / message --><!-- sig -->
    [กระบวนการสร้างความมืด ก่อนการสร้างหินธาตุกำเนิดจิตสรรพสัตว์ ภายหลังปรากฏการณ์ของหลุมดำ [Back Hole] ขึ้นมาในความว่างเปล่าเพื่อเปลี่ยนโครงสร้างอนุภาคธาตุ ]
    >>
    [​IMG]<!-- / message --><!-- sig -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 พฤศจิกายน 2008
  17. siarayamarata

    siarayamarata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    390
    ค่าพลัง:
    +511
    *********
    ยุคของการสร้างจิตสรรพสัตว์คือยุคสังสารวัฏโกฏิคือยุคของพระอิศวรเท่านั้น
    ภายหลังจากนั้นคือการบริหารจิตสรรพสัตว์

    จิตสรรพสัตว์สามารถดับได้ด้วยการดุลพลังงานมิให้เปลี่ยนแปลง
    มิให้เกิดความต่างศักดิ์ของพลังงาน

    การทำให้จิตสรรพสัตว์ดับสูญไปสามารถทำได้เพียงดุลพลังงานเพียงเท่านั้น
    มิอาจสลายพลังงานกระทั่งดับสูญได้

    เพราะจิตสรรพสัตว์ล้วนมิอยากถูกสลายดวงจิตกระทั่งสูญสิ้นความเป็นตัวตนของตนเอง

    สิ่งที่สามารถกระทำได้คือการควบคุมจิตมิให้ใฝ่ต่ำ รักษาคุณธรรมนั้นไว้เพื่ออยู่รวมกันเป็นสังคม

    สรรพจิตล้วนกลัวที่จักต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย ล้วนเกรงกลัวความเงียบเหงา เปล่าเปลี่ยว อ้างว้างและเดียวดายทั้งสิ้น

    อารมณ์อรหันต์มีทุกคน คือความปรารถนาที่จักอยู่เงียบๆคนเดียว ในแต่ละวันคนมีหลายอารมณ์ แต่หากให้อยู่อย่างอ้างว้างเดียวดายไปชั่วนิรันดร สรรพจิตล้วนเกรงกลัวทั้งสิ้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 พฤศจิกายน 2008
  18. siarayamarata

    siarayamarata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    390
    ค่าพลัง:
    +511
    **********
    จิตของพุทธปฐมเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ที่หนึ่งของเอกภพทั้งปวง ส่วนที่เหลืออีก 10,000 ล้าน ลบ 1 เป็นจิตพระพุทธเจ้าที่มิใช่พุทธปฐม

    การสอนให้รู้จักการหลุดพ้นเพื่อเป็นทางเลือกให้กับสรรพจิต สรรพสัตว์ทั้งปวง หากมิปรารถนาจักอยู่ในสังสารวัฏสามารถฝึกฝนตนเอง เพื่อการหลุดพ้นไปจากสังสารวัฏได้ เป็นทางเลือกที่หนึ่งของจิตสรรพสัตว์ทั้งปวง
    เพราะมิอาจบังคับขืนใจให้จิตสรรพสัตว์ต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏได้ ล้วนเป็นการสมัครใจที่จักเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏทั้งสิ้น การหลุดพ้นเป็นเพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งเพียงเท่านั้น เมื่อเนิ่นนานไปความเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวอ้างว้างและเดียวดายคิดกลับคืนสังสารวัฏอีกวาระหนึ่งทั้งสิ้น
    พุทธศาสตร์จึงสอนสองแบบคือแบบที่หนึ่งคือการสอนเพื่อการหลุดพ้น แบบที่สองคือการสอนให้เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏอย่างเป็นสุข เป็นทางเลือกของสรรพจิตสรรพสัตว์ทั้งปวงมิบังคับขืนใจ

    การดับจิตยึดกฎของพลังงานเป็นสำคัญ การดับจิตสามารถใช้พลังงานตรงข้ามกันเข้าสู่การดุลพลังงานเช่น ธาตุคาร์บอนยูเรเนียม จะมีทิศทางตรงข้ามกับธาตุไฮโรคาร์บอน สามารถนำธาตุไฮโดรคาร์บอนดับจิตมารซึ่งมีองค์ประกอบของธาตุคาร์บอนยูเรเนียมอยู่มากได้ เป็นพลังดุลมิมีความต่างศักดิ์ของพลังงานอีกตราบชั่วนิรันดร เป็นเพียงฉนวนกันกระแสไฟฟ้าเท่านั้น
    มิมีพลังงานสะสมอีกต่อไป นั่นคือการดับจิตตราบชั่วนิรันดร
    จิตคือพลังงานพึงตระหนักว่าพลังงานของจิตเฉกเช่นดาวฤกษ์ที่มีพลังงานในตนเอง การดับจิตจึงกระทำได้ยากยิ่ง แต่ใช่ว่าจักมิอาจกระทำได้ สิ่งที่สร้างขึ้นล้วนสามารถทำลายได้ทั้งสิ้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 พฤศจิกายน 2008
  19. siarayamarata

    siarayamarata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    390
    ค่าพลัง:
    +511
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ มะหน่อ [​IMG]
    ขอท่านโปรดอธิบายลักษณะสามสิบสองประการของมหาบุรุษด้วยเถิดขอรับกระผมไปที่ไหนก็ไม่เข้าใจและไม่ได้คำตอบขอรับ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    **********
    มิใช่แนวทางการสอนของเรา แนวทางการสอนของเราคือ
    การเลิกยึดติดกับความเชื่อเดิมๆ ที่นับถือต่อๆกันมา แต่มิอาจเข้าถึงแก่นแท้ของหลักคำสอนอันแท้จริงได้
    อุปสรรคของการเรียนรู้คือความยึดมั่นถือมั่น อาจจะยึดมั่นถือมั่นในหลักคำสอนของครูอาจารย์ที่ตนเองนับถือ
    หากหลักคำสอนของครูอาจารย์ตนเองถูกต้องแสดงว่าหลักคำสอนของครูอาจารย์ที่คนอื่นนับถือล้วนเป็นสิ่งที่ผิด
    หากทุกคนคิดเช่นนั้น ศาสนาพุทธจะมิอาจรวมกันเป็นหนึ่งได้ ล้วนแตกแขนงเป็นนิกายต่างๆมากมายหลายสำนัก
    ทั้งๆที่พระพุทธเจ้าที่สอนเป็นพระองค์เดียวกัน
    การกล่าวว่าพระพุทธศาสนามิผิดเพี้ยนไป จึงเป็นการมิยอมรับความจริง
    แท้ที่จริงล้วนยึดมั่นถือมั่นในนิกายที่ตนเองนับถืออยู่ทั้งสิ้น
    การบอกต่อกันเป็นทอดๆ หลายๆทอด คนสุดท้ายที่ได้รับข้อความ
    จักมิอาจรู้ได้เลยว่าคนแรกอธิบายพุทธปรัชญาไว้อย่างไร
    มีแต่การคาดเดาเพียงเท่านั้น
    คนที่สามารถถอดรหัสคำสอนได้ มีเพียงคนแรกที่เคยให้หลักคำสอนนั้น
    แก่ลูกศิษย์เพื่อลูกศิษย์จะได้บอกต่อกันเป็นทอดๆ
    กระทั่งห้วงแห่งกาลเวลาผ่านพ้นไปร่วมสองพันห้าร้อยปี
    มีเพียงพระพุทธเจ้าเองเท่านั้นที่จะถอดรหัสหลักคำสอนเมื่อครั้งพุทธกาลได้
    การนำหลักคำสอนที่ถ่ายทอดต่อๆกันมา กระทั่งถึงปัจจุบัน มาถอดรหัส
    คือสิ่งที่พึงกระทำอย่างยิ่ง
    การที่คนยึดมั่นถือมั่นในหลักคำสอนของครูอาจารย์ จึงเป็นการปิดกั้นตนเอง
    มิเปิดใจให้กว้างเพื่อรับคำสอนใหม่จากผู้รู้จริง
    เรากล่าวไว้เพียงเท่านี้ ให้พิจารณาหลักข้อเท็จจริง เป็นสำคัญ
    มิใช่เชื่อแบบงมงายขาดสติยั้งคิด เชื่อเพราะคิดว่าครูอาจารย์รู้จริง
    กระทั่งมิมีครูอาจารย์คนใดที่สามารถรู้มากกว่าครูอาจารย์ของตนเอง
    องค์ความรู้เดิมอย่าทิ้ง เปิดใจให้กว้าง เพื่อรับรู้สิ่งใหม่ๆ
    จากนั้นจึงนำมาวิเคราะห์เปรียบเทียบกับองค์ความรู้เดิมที่ตนเองเคยเรียนรู้มา เรามิได้หมายความว่าสิ่งที่เคยเรียนรู้มานั้นผิดทั้งหมด
    เพียงมิสมบูรณ์เพียงเท่านั้น ครูอาจารย์ซึ่งเป็นพระอรหันต์ทุกคนล้วนรู้จริง
    ในศาสตร์ที่ตนเองเรียนรู้เพียงแต่มิครอบคลุมทุกศาสตร์วิชาของพุทธศาสตร์เท่านั้น ให้พิจารณาด้วยปัญญา
    การเรียนรู้สิ่งใหม่ๆหากมิยึดติดกับสิ่งใดจะสามารถเรียนรู้ได้ไวขึ้น
    หากพื้นฐานความรู้เดิมไปในทิศทางเดียวกันกับหลักคำสอนใหม่
    ยิ่งจักช่วยให้สามารถเรียนรู้ได้ไวขึ้น
    แต่หากความรู้เดิมนั้นขัดแย้งกับหลักคำสอนใหม่
    กลับจะเป็นอุปสรรคของการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
    ละเปิดรับธรรมใหม่ คือการละความยึดมั่นถือมั่นในองค์ความรู้เดิมที่ตนเองเชื่อ
    เพราะนั่นยังมิใช่ที่สุดขององค์ความรู้ ขอบเขตความรู้ยังมีอีกนานัปการ
    ที่พระพุทธเจ้ามิได้สอนไว้เมื่อครั้งพุทธกาล
    ศาสตร์แห่งการหลุดพ้นและศาสตร์แห่งการเวียนว่ายตายเกิดอย่างเป็นสุข
    มิอาจสอนร่วมกันในยุคสมัยเดียวกันได้
    พึงตระหนักว่าเหตุใดพระพุทธเจ้าสอนเพื่อการหลุดพ้นเพียงเท่านั้น
    แต่มิทรงสอนเพื่อการเวียนว่ายตายเกิดอย่างเป็นสุข
    เพราะหากสอนเช่นนั้นความน่าเชื่อถือจักมิมี
    การสอนทั้งสองศาสตร์จึงต้องสอนคนละยุคสมัยกันจึงจักสมบูรณ์
    ศาสตร์ใดๆสามารถนำมาบูรณการรวมกันเป็นหนึ่งเดียวได้
    ล้วนเป็นพุทธศาสตร์ทั้งสิ้น
    ทุกศาสนาล้วนมีหลายนิกายแตกแขนงกันออกไป
    เพราะแท้จริงแล้วการบอกต่อทำให้หลักคำสอนผิดเพี้ยนไปนั่นเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 พฤศจิกายน 2008
  20. เฮ้งตงเอี๊ยง

    เฮ้งตงเอี๊ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    668
    ค่าพลัง:
    +130
    พระพุทธเจ้าไม่ได้สูญ ทรงอยู่ในสภาวะธรรมไม่เกิดไม่ดับ คือ นิพพาน
    แต่ไม่ได้แปลว่าสูญหาย ยังทรงทำกิจโปรดสัตว์อยู่อย่างธรรมดา ธรรมชาติ


    แต่ภาวะที่ท่านเป็นไม่สามารถใช้บัญญัติคำศัพย์อันติดกับสมมุติอธิบายได้
    ท่านว่าให้กล่าวว่าเป็นสภาวะนิพพานก็พอ แล้วไม่ต้องอธิบายอีก ให้ปฏิบัติ
    ให้ถึงก็เข้าใจเอง
     

แชร์หน้านี้

Loading...