อิทธิวิธิฤทธิ์ต่างๆ อธิบายอภิญญาโดยละเอียด

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 5 ตุลาคม 2008.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    [​IMG]

    อิทธิวิธิฤทธิ์ต่างๆ
    คำว่าฤทธิ์ในภาษาไทยของเราย่อมเป็นที่เข้าใจกันอยู่ว่าหมายถึงการทำสิ่งที่น่าอัศจรรย์สำเร็จได้เกินวิสัยของคนธรรมดาซึ่งมีความหมายตรงกับที่มาของคำนี้ในภาษาบาลีแล้วจึงไม่จำเป็นต้องอธิบายความหมายให้ยืดยาวฉะนั้นจะได้นำเอาประเภทของฤทธิ์ตามที่ท่านจำแนกไว้ในพระบาลีมาตั้งไว้แล้วทำความเข้าใจเป็นอย่างๆไปทีเดียวดังต่อไปนี้

    ฤทธิ์มี ๑๐ ประเภทคือ

    ๑. อธิฎฐานฤทธิ์ฤทธิ์ที่ต้องอธิษฐานให้สำเร็จ
    ๒. วิกุพพนาฤทธิ์ฤทธิ์ที่ต้องทำอย่างผาดแผลง
    ๓. มโนมัยฤทธิ์ฤทธิ์สำเร็จด้วยกำลังใจ
    ๔. ญาณวิปผาราฤทธิ์ฤทธิ์สำเร็จด้วยกำลังญาณ
    ๕. สมาธิผาราฤทธิ์ฤทธิ์สำเร็จด้วยอำนาจสมาธิ
    ๖. อริยฤทธิ์ฤทธิ์สำเร็จด้วยวิสัยของพระอริยเจ้า
    ๗. กัมมวิปากชาฤทธิ์ ฤทธิ์เกิดแต่ผลกรรม
    ๘. ปุญญฤทธิ์ ฤทธิ์ของผู้มีบุญ
    ๙. วิชชามัยฤทธิ์ ฤทธิ์สำเร็จด้วยวิทยา
    ๑๐. ฤทธิ์ทีสำเร็จเพราะประกอบกิจกุศลให้สำเร็จไป.

    จะได้ทำความเข้าใจเป็นข้อ ๆ ดังต่อไปนี้

    ๑. อธิฏฐานฤทธิ์ ฤทธิ์ที่ต้องอธิษฐานให้สำเร็จนี้ เป็นข้อมุ่งหมายของอิทธิวิธีนี้โดยเฉพาะ เพราะว่าเมื่อกล่าวถึงอิทธิวิธีแล้ว พระผู้มีพระภาคทรงจำแนกไว้แต่ประเภทอธิษฐานฤทธิ์ประเภทเดียว ฤทธิ์ที่ต้องทำการอธิษฐานให้สำเร็จนี้มีหลากหลาย ล้วนแต่เป็นฤทธิ์ที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง เช่นคนคนเดียว อธิษฐานให้เป็นคนมากได้ คนมากอธิษฐานให้เป็นคนคนเดียวได้ ที่กำบังไม่เปิดเผยอธิษฐานให้เป็นที่เปิดเผยได้ ที่เปิดเผยอธิษฐานให้เป็นที่กำบังได้ อธิษฐานให้ฝากำแพงภูเขา กลายเป็นอากาศแล้วเดินผ่านไปได้ไม่ติดขัดเหมือนไปในที่ว่างฉะนั้น อธิษฐานให้ดินเป็นน้ำแล้วดำเล่นได้เหมือนดำน้ำฉะนั้น อธิษฐานให้น้ำเป็นแผ่นดินแล้วเดินไปบนน้ำได้ เหมือนเดินบนพื้นดินฉะนั้น อธิษฐานให้อากาศเป็นดิน แล้วนั่งขัดสมาธิลอยไปบนอากาศได้เหมือนนกฉะนั้น

    นอกจากนั่งขัดสมาธิแล้ว จะเดิน ยืน นั่ง นอน ไปในพื้นอากาศอย่างปกติเหมือนบนดินก็ได้ อธิษฐานให้ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์มาอยู่ใกล้ ๆ มือ แล้วลูบคลำรูปอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้ ๆ มือฉะนั้น และอธิษฐานให้ที่ไกลเป็นใกล้ ที่ใกล้เป็นที่ไกล ของมากให้น้อย ของน้อยให้มาก ต้องการเห็นรูปพรหมด้วยทิพยจักษุก็ได้ ต้องการฟังเสียงพรหมด้วยทิพยโสตก็ได้ ต้องการรุ้จิตของพรหมด้วยเจโตปริยญาณก็ได้ ต้องการไปพรหมโลกแล้วอธิษฐานให้กายเหมือนจิต ให้จิตเหมือนกายแล้วไปพรหมโลก โดยปรากฏกายก็ได้ ไม่ปรากฏกายก็ได้ เนรมิตรูปให้มีอวัยวะครบถ้วนอินทรีย์บริบูรณ์ สำเร็จด้วยใจแล้วไปปรากฏที่พรหมโลกก็ได้ ถ้าจำนงจะ เดิน ยืน นั่ง นอน ในพรหมโลกนั้น


    ก็ทำได้ ถ้าจำนงจะบังควัน ทำเปลวเพลิงแสดงธรรมถามปัญหาแก้ปัญหายืนพูดจาสนทนากับพรหมก็ทำได้ทุกประการอย่างนี้แลเรียกว่าอธิษฐานฤทธิ์

    ๒. วิกุพพนาฤทธิ์ ฤทธิ์ที่ต้องทำอย่างผาดแผลงนั้น ท่านยกตัวอย่างพระสาวกของสมเด็จพระสิชีสัมมาสัมพุทธเจ้ามีนามว่าอภิภู ไปยืนอยู่ในพรหมโลกแล้วยังพ้นโลกธาตุให้รู้แจ้งทางเสียงคือให้ได้ยินเสียงปรากฎกายแสดงธรรมบ้างไม่ปรากฏกายแสดงธรรมบ้าง ปรากฎแต่กึ่งกายท่อนล่างแสดงธรรมบ้างปรากฎแต่กึ่งกายท่อนบนแสดงธรรมบ้าง ท่านละเพศปกติเสียแล้วแสดงเพศเด็กบ้าง เพศนาคบ้างเพศครุฑบ้าง เพศยักษ์บ้าง เพศอสูรบ้าง เพศพระอินทร์บ้าง เพศเทพเจ้าบ้าง เพศพรหมบ้าง เพศสมุทรบ้าง เพศภูเขาบ้าง เพศป่าบ้าง เพศราชสิห์บ้าง เพศเสือโคร่งบ้าง เพศเสือเหลืองบ้าง แสดงกองทัพเหล่าต่างๆคือพลช้างพลม้าพลรถพลเดินเท้าบ้าง

    [​IMG]

    อย่างนี้เรียกว่าวิกุพพนาฤทธิ์ ในพุทธสมัยแห่งพระผู้มีพระภาคของเราก็ปรากฏว่ามีพระสาวกแสดงฤทธิ์ชนิดนี้เหมือนกันแม้พระภิกษุที่ยังเป็นปุถุชนก็ทำได้เช่นพระเทวทัตต์ทำฤทธิ์ชนิดนี้ให้พระเจ้าอชาตศัตรู เมื่อยังเป็นยุพราชเกิดเลื่อมใสจนได้คบคิดกันทำอนันตริยกรรมอย่างโหดร้าย เพราะความโลภแล้วถึงความวิบัติฉิบหายในปัจจุบันทันตา เว้นแต่พระเจ้าอชาตศัตรูเท่านั้นที่กรรมมิให้ผลทันตาเห็นเพราะกรรมไม่ร้ายแรงเท่าพระเทวทัตต์ ทั้งรู้พระองค์ทันแล้วรีบแก้ไขก่อนที่กรรมจะให้ผลในปัจจุบันต่อเมื่อพระบรมศาสดาเสด็จปรินิพพานแล้วก็ทรงได้เป็นเอกอัครพุทธศาสนูปถัมภกยกสังคายนาพระธรรมวินัยครั้งแรกด้วยจึงทำให้กรรมหนักกลายเป็นเบาได้บ้าง

    ๓. มโนฤทธิ์ ฤทธิ์สำเร็จด้วยกำลังใจนี้จัดเป็นทิพยอำนาจอีกประกานหนึ่งต่างหากจะได้อธิบายภายหลัง

    ๔. ญาณวิปผาฤทธิ์ ฤทธิ์สำเร็จด้วยกำลังญาณ


    นั้นท่านแสดงไว้ว่าการละความสำคัญว่าเที่ยงเป็นสุขเป็นอัตตาฯลฯได้สำเร็จด้วยปัญญาเห็นตามเป็นจริงของสังขารว่าไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตาฯลฯนั้นเป็นฤทธิ์ประเภทหนึ่งรวมความว่าวิปัสสนาญาณก็เป็นฤทธิ์เพราะสำเร็จกำจัดกิเลสได้

    ๕. สมาธิผาราฤทธิ์ ฤทธิ์สำเร็จด้วยอำนาจสมาธินั้นท่านแสดงไว้ว่าการละนีวรณ์ได้สำเร็จด้วยปฐมฌานฯลฯการละอากิญจัญญายตนสัญญาได้สำเร็จด้วยเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติก็จัดเป็นฤทธิ์อีกประการหนึ่งรวมความว่าฌานสมาบัติซึ่งทำหน้าที่กำจัดกิเลสหรืออธรรมอันเป็นข้าศึกของสมาบัติให้สำเร็จได้ก็จัดเป็นฤทธิ์ด้วยฉะนั้นผู้บรรลุฌานแม้แต่ปฐมฌานก็ชื่อว่าสำเร็จฤทธิ์ประเภทนี้แล้ว

    ๖. อริยฤทธิ์ฤทธิ์ สำเร็จด้วยวิสัยของพระอริยเจ้านั้น ท่านแสดงตัวอย่างไว้ว่าสามารถกำหนดความไม่รังเกียจในสิ่งน่าเกลียด สามารถกำหนดความรังเกียจในสิ่งไม่น่าเกลียด สามารถกำหนดความไม่รังเกียจทั้งในสิ่งน่าเกลียดทั้งในสิ่งไม่น่าเกลียด สามารถกำหนดความรังเกียจทั้งในสิ่งไม่น่าเกลียดทั้งในสิ่งน่าเกลียด และสามารถวางใจเป็นกลางอย่างมีสติสัมปชัญญะ ทั้งในสิ่งน่าเกลียดและไม่น่าเกลียดนั้นได้

    ท่านอธิบายว่าเป็นด้วยอำนาจเมตตาหรือเห็นเป็นธาตุไปจึงไม่รังเกียจและในด้านรังเกียจนั้นเป็นด้วยอำนาจการเห็นโดยเป็นสิ่งไม่งามหรือไม่เที่ยง ท่านสามารถวางใจเป็นกลางได้นั้นท่านว่ามีอุเบกขาในอารมณ์๖ โดยปกติซึ่งเป็นคุณลักษณะของพระอรหันต์โดยเฉพาะบุคคลผู้มีความสามารถบังคับความรู้สึกของตนได้ดีนั้นท่านยอมยกให้พระอริยเจ้าเพราะได้ผ่านการฝึกฝนอบรมจิตใจมาอย่างดีแล้วปุถุชนไม่สามารถบังคับความรู้สึกของตนได้ดีเหมือนพระอริยเจ้า ฉะนั้นความสามารถบังคับความรู้สึกของตนได้จึงจัดเป็นฤทธิ์ประเภทหนึ่งซึ่งเป็นผลของการประพฤติธรรมทางพระพุทธศาสนาเป็นฤทธิ์ประเสริฐโดยฐานะเป็นเครื่องป้องกันตัวอยู่ทุกเมื่อ.

    ๗. กัมมวิปากชาฤทธิ์เกิดแต่ผลกรรม ท่านยกตัวอย่างไว้ว่าเป็นฤทธิ์ของนกทั้งปวงเทพเจ้าทั้งมวลมุนษย์บางจำพวกและวินิบาตบางเหล่า แต่ท่านมิได้ชี้ลงไปว่าได้แก่ฤทธิ์เช่นไรข้าพเจ้าจะวาดภาพพอนึกเห็นดังนี้ ธรรมดานกบินไปในอากาศได้ทั้งหมดความสามารถเช่นนี้ไม่มีในสัตว์ดิรัจฉานเหล่าอื่น แม้ในหมู่มนุษย์ธรรมดาก็ไม่มีจึงจัดว่าเป็นฤทธิ์ชนิดหนึ่งซึ่งมีในหมู่นก เทพเจ้าทั้งปวงเป็นกำเนิดวิเศษไม่ต้องนอนในครรภ์ของมารดาเกิดปรากฎเป็นวิญญูชนทันที ไปมาในอากาศได้โดยปกติธรรมดาแสดงกายให้ปรากฎก็ได้ ไม่ให้ปรากฎก็ได้ ความสามารถเช่นนี้ไม่มีในสัตว์ประเภทอื่นจึงจัดเป็นฤทธิ์โดยกำเนิดของเหล่าเทพเจ้า

    ส่วนฤทธิ์ของมนุษย์บางจำพวกนั้นเห็นจะหมายความสามารถเกินคนธรรมดาในบางกรณีเช่นเมื่อไม่นานมานี้มีข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ว่ามีเด็กหญิงอายุ๑๐กว่าขวบสามารถร้องเพลงและเล่นเปียโนได้ดีกว่าคนที่ฝึกหัดมาตั้งนานๆ โดยที่เด็กหญิงคนนั้นได้รับการฝึกหัดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เป็นที่ตื่นเต้นกันในชาวต่างเทศว่าเด็กหญิงคนนั้นคงเคยเป็นนักร้องเพลงและดนตรีมาแล้วแต่ชาติก่อนเป็นแน่ จึงสามารถทำได้ดีในชั่วเลาเล็กน้อยเช่นนี้

    ส่วนวินิบาตนั้นเป็นกำเนิดของผู้ตกต่ำจำพวกหนึ่งมีทุกข์บางเบากว่าเปรตบางจำพวกคงเนื่องแต่พลั้งพลาดในศีลธรรมเพียงเล็กน้อย แล้วตกต่ำลงไปสู่กำเนิดนั้นความดีที่ทำไว้ยังตามไปอุปถัมภ์อยู่ ทำให้เป็นผู้มีฤทธิ์เดชคล้ายเทพเจ้าในบางกรณีฤทธิ์ดังกล่าวมานี้ถ้าไม่ยอมยกให้ว่าเป็นผลของกรรมเก่าที่ทำเอาไว้แต่ชาติก่อนแล้ว ก็ไม่ทราบว่าจะยกให้เป็นอำนาจของอะไรดี เพราะไม่ปรากฏว่ามีการฝึกฝนอบรมเป็นพิเศษในปัจจุบันที่จะทำให้มีความสามารถเช่นนั้น


    ๘. ปุญญฤทธิ์ฤทธิ์ของผู้มีบุญ ท่านยกตัวอย่างเช่นพระเจ้าจักรพรรดิสามารถเสด็จพาจาตุรงคินีเสนาตลอดถึงคนเลี้ยงม้าเหาะไปในอากาศได้โชติยเศรษฐีจฏิลเศรษฐีเมณฑถเศรษฐีและโฆสิตเศรษฐีใน


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 ตุลาคม 2008
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    สมัยพุทธกาลมีคุณสมบัติเกิดขึ้นผิดประหลาดกว่ามนุษย์ธรรมดา มิได้ออกแรงทำมาหากินแต่มีสมบัติมั่งคั่ง ทั้งไม่มีใครสามารถไปลักแย่งเอาได้ ด้วยเรื่องบุญฤทธิ์นี้เรายอมรับกันว่ามีได้เช่นพระมหากษัตราธิราชเจ้าผู้มีบุญญาภิสมภารในประวัติศาสตร์ของชาติไทยหลายพระองค์ ที่ทรงมีพระประวัติมหัศจรรย์เช่น สมเด็จพระร่วงเจ้ากรุงสุโขทัย สมเด็จพระนเรศวรมหาราช สมเด็จพระนารายณ์มหาราช สมเด็จพรเจ้าตากสินมหาราช สมเด็จพระปิยมหาราชเจ้าร.๕ เป็นต้น

    [​IMG]

    แม้ในหมู่สามัญชนเราก็ยอมรับกันว่าคนผู้จะได้ดีมีสุขนั้นนอกจากการทำดีในปัจจุบันแล้วย่อมต้องอาศัยบุญบารมีอุดหนุนด้วยจนมีคติว่า “ แข่งอะไรแข่งได้แต่แข่งบุญวาสนาแข่งไม่ได้ ” ดังนี้บุญที่ทำไว้แต่ชาติก่อนย่อมติดตามอุปถัมภ์บุคคลผู้ทำในที่ทุกสถานในกาลทุกเมื่อส่งผลหเป็นบุคคลดีเด่นในหมู่ชนเกินคาดหมาย สมพอเสียก็ไม่เสียสมพอตายก็ไม่ตายผู้เชื่อมั่นในบุญได้ผูกเป็นคำสุภาษิตไว้ว่า “ เมื่อบุญมาวาสนาช่วยที่ป่วยก็หายที่หน่ายก็รักเมื่อบุญไม่มาวาสนาไม่ช่วยที่ป่วยก็หนักที่รักก็หน่าย ” ดังนี้อำนาจบุญวาสนาท่านจึงจัดว่าเป็นฤทธิ์ประเภทหนึ่งด้วยประการฉะนี้

    ๙. วิชชามัยฤทธิ์ฤทธิ์สำเร็จด้วยวิทยา ท่านแสดงตัวอย่างไว้ว่าวิทยาธรร่ายวิทยาแล้วเหาะไปในอากาศได้ แสดงกองทัพคือพลช้างพลม้าพลรถพลเดินเท้าในท้องฟ้าอากาศได้ ในสมัยปัจจุบันเรามีพยานในข้อนี้อย่างดีแล้วคือผู้ทรงคุณวิทยาในวิทยาศาสตร์แขนงต่างๆได้สำแดงฤทธิ์เดชแห่งคุณวิทยาประเภทนั้นๆให้ประจักษ์แก่โลกมากมาย เช่นสร้างอากาศยานพาเหิรฟ้าไปได้สร้างเครื่องส่งและรับวิทยุสามารถส่งเสียงไปปรากฏทุกมุมโลก เมื่อตั้งเครื่องรับย่อมสามารถฟังเสียงนั้นได้และสามารถสร้างเครื่องส่งและรับภาพในที่ไกลได้ เช่นเดียวกับส่งและรับเสียงฯลฯเป็นอันรับรองกันว่าฤทธิ์ประเภทนี้มีได้แน่แล้ว.


    ๑๐. สัมมัปปโยคปัจจัยอิชฌนฤทธิ์ฤทธิ์สำเร็จเพราะการประกอบกิจชอบ ท่านอธิบายว่าได้แก่การละอกุศลมีกามฉันทะเป็นต้นได้ด้วยคุณธรรมมีเนกขัมมะเป็นต้นเป็นผลสำเร็จอย่างสูงได้แก่การละสรรพกิเลสได้ด้วยพระอรหัตตมรรคเป็นผลสำเร็จจัดเป็นฤทธิ์ประเภทหนึ่ง

    ฤทธิ์ประเภทนี้คล้ายฤทธิ์ประเภทหมายเลข๔-๕ ซึ่งกล่าวมาแล้วแต่ประเภทนี้กว้างกว่า โดยหมายถึงคุณธรรมทั่วไปอันมีอำนาจกำลังจัดความชั่วได้ เมื่อความดีทำหน้าที่กำจัดความชั่วไปได้ขั้นหนึ่งๆ ก็จัดว่าเป็นฤทธิ์หนึ่งๆในประเภทนี้ได้ ส่วนฤทธิ์ประเภทหมายเลข๔-๕ นั้นหมายถึงอำนาจวิปัสสนา ปัญญากับอำนาจฌานเฉพาะที่ทำหน้าที่กำจัดปัจจนึกของตนโดยตรงเท่านั้น ฉะนั้นบุคคลผู้ประกอบคุณงามความดีสำเร็จกำจัดความชั่วออกจากตัวได้แม้สักอย่างหนึ่ง ก็ชื่อว่าฤทธิ์ในประเภทนี้บางประการแล้ว เมื่อบรรลุถึงพระอรหัตตผลก็ชื่อว่ามีฤทธิ์ประเภทนี้อย่างสมบูรณ์ทันที

    บรรดาฤทธิ์ ๑๐ประเภทนี้ ฤทธิ์ที่ประสงค์จะกล่าวในทิพยอำนาจขั้นต้นนี้ได้แก่ฤทธิ์๓ประเภทข้างต้นเท่านั้น ฤทธิ์ประเภทหมายเลข๓ได้ยกขึ้นเป็นทิพยอำนาจประการหนึ่งต่างหากจึงยังเหลือสำหรับทิพยอำนาจข้อนี้เพียง๒ประเภท คืออธิษฐานฤทธิ์กับวิกุพพนาฤทธิ์เท่านั้น ฉะนั้นจะได้อธิบายลักษณะเหตุผลพร้อมด้วยอุทาหรณ์และวิธีปลูกสร้างทิพยอำนาจ๒ประเภทนี้ต่อไป
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    อธิฏฐานฤทธิ์ปรากฎตามนิเทศที่ท่านแจงไว้มี ๑๖ประการคือ

    ๑. พหุภาพได้แก่ การอธิษฐานให้คนคนเดียวปรากฎเป็นมากคน มีจำนวนถึงร้อยพันหมื่นคนก็ได้ ท่านยกตัวอย่างท่านพระจูฬปันถกเถระ มีเรื่องเล่าว่าพระมหาปันถกเถระผู้พี่ชายของพรุจูฬปันถกเถระได้ออกบวชในพระธรรมวินัยของพระบรมศาสดา เมื่อได้ลุถึงยอดแห่งสาวกบารมีแล้วนึกถึงน้องชายจึง

    ไปนำมาบวชในพระธรรมวินัยด้วย น้องชายคือพระจูฬปั่นถกเถระนั้น ปรากฏว่าสติปัญญาทึบ พี่ชายให้เรียนคาถาสรรเสริญพระพุทธเจ้าเพียงคาถาเดียวตั้ง๔เดือนก็จำไม่ได้ พี่ชายจึงขับไล่ไปตามธรรมเนียมอาจารย์กับศิษย์ พระบรมศาสดาทรงทราบว่าเป็นผู้มีอุปนิสัยหากแต่มีกรรมบางอย่างขัดขวางอยู่เล็กน้อยจึงทำให้เป็นคนทึบในตอนแรก แต่ต่อไปจะเป็นผู้เปรื่องปราดได้ จึงเสด็จไปรับมาอบรมทรงประทานผ้าขาวผืนหนึ่งให้ถือบริกรรมว่ารโชหรณ์ๆเรื่อยไป

    [​IMG]

    ท่านปฏิบัติตามพระพุทธโธวาทนั้นได้เห็นมลทินมือติดผ้าขาวเศร้าหมองขึ้น เกิดวิปัสสนาญาณแจ้งใจขึ้นทันทีนั้นเอง เมื่อเจริญวิปัสสนาญาณไม่ท้อถอยท่านก็ลุถึงภูมิพระอรหัตตผล เกิดความรอบรู้ทั่วถึงในพระไตรปิฎกและได้รับยกย่องจากพระบรมศาสดาในภายหลังว่า เป็นยอดของผู้เชี่ยวชาญทางเจโตวิวัฎ คือการพลิกจิต พี่ชายคงยังไม่ทราบว่าน้องชายลุถึงภูมิพระอรหัตแล้ว เมื่อมีผู้มานิมนต์สงฆ์ไปฉันภัตตาหารในบ้าน ท่านก็มิได้นับน้องชายเข้าในจำนวนสงฆ์

    เมื่อพระบรมศาสดาพร้อมด้วยสงฆ์ประทับณที่นิมนต์แล้วทรงตรวจดูไม่เห็นพระจูฬปั่นถกเถระ จึงตรัสบอกทายกว่ายังพระตกค้างอยู่ในวัดรูปหนึ่ง ทายกก็ให้ไปนิมนต์มาครั้นผู้ไปถึงวัดแทนที่จะเห็นพระรูปเดียวดั่งพระพุทธดำรัส ก็กลับเห็นพระตั้งพันรูปนั่งทำกิจต่างๆกันเต็มร่มไม้ ไม่ทราบจะนิมนต์องค์ไหนถูก จึงกลับไปกราบทูลให้ทรงทราบตรัสสั่งให้ไปนิมนต์ใหม่ระบุชื่อพระจูฬปันถกเถระ ทายกก็ไปนิมนต์อีกพอไปถึงก็ระบุชื่อตามตรัสสั่งว่าขอนิมนต์ไปฉันภัตตาหารพอจบคำนิมนต์ ก็ได้ยินเสียงตอบขึ้นพร้อมกันตั้งพันเสียงว่าตนชื่อพระจูฬปันถกเถระ ทายกก็จนปัญญาไม่ทราบว่าจะนิมนต์องค์ไหนอีกจึงกลับคืนไปเฝ้ากราบทูล ทีนี้ตรัสสั่งว่า จงมองดูหน้าองค์ไหนหน้ามีเหงื่อให้ไปจับมือองค์นั้นมา ทายกไป
    -------------------------------------------------------------
    ในอรรถกถาธรรมบท องค์ไหนขานก่อน ให้จับชายจีวรขององค์นั้น

    นิมนต์และปฎิบัติตามที่ตรัสสั่งก็ได้พระจูฬปันถกเถระมาดังประสงค์ ทันทีนั้นเองพระจำนวนตั้งพันองค์ก็หายวับไป คงมีพระองค์เดียวคือพระจูฬปันถกเถระเท่านั้น ทายกเห็นแล้วเกิดอัศจรรย์ขนพองสยองเกล้า จึงนำความกราบทูลพระบรมศาสดาตรัสว่าเป็นวิสัยของภิกษุผู้มีฤทธิ์ในพระธรรมวินัยนี้เรื่องนี้ เป็นตัวอย่างในอินธิปาฏิหาริย์พหุภาพ แม้พระบรมศาสดาก้อทรงทำเช่นในคราวทำยมกปาฏิหาริย์เนรมิตพระองค์ขึ้นหลายหลากล้วนทรงทำกิจต่างๆกันในท้องฟ้าเวหาหน ดั่งกล่าวไว้ในบทนำการทำฤทธิ์พหุภาพนี้ใช้มโนภาพเป็นเครื่องนำทำให้ใจสงบแล้วอธิษฐานก็เป็นได้ดั่งนั้นทันที จะกำหนดให้เป็นกี่ร้อยกี่พันและจำนวนเท่าไรให้ทำกิจอะไรก็กำหนดตามแล้วอธิษฐานให้เป็นเช่นนั้น.

    ๒. เอโกภาพ ได้แก่การอธิษฐานให้คนมากกลับเป็นคนเดียวเป็นวิธีตรงกันข้ามกับพหุภาพ และต้องทำคู่กันเสมอไป คือเมื่อทำให้มากแล้วก็อธิษฐานกลับคืนเป็นคนเดียวตามเดิม ส่วนคนมากจริงๆทำให้ปรากฎเพียงคนเดียวหรือน้อยคนนั้นจะต้องใช้วิธีกำบังเข้าช่วยคือปิดบังมิให้มองเห็นคนอื่นๆมากๆ ให้เห็นแต่เพียงคนเดียวหรือน้อยคน วิธีนี้จะได้กล่าวในข้ออื่นตัวอย่างอิทธิปาฏิหาริย์เอโกภาพนี้ก็ได้แก่พระจูฬปันถกเถระนั่นเอง จึงเป็นอ้นได้ความชัดว่าเอโกภาพหมายถึงอธิษฐานกลับคืนเป็นคนเดียวนั่นเอง

    ๓. อาวีภาพ ได้แก่การอธิษฐานให้ที่กำบังเป็นที่เปิดเผย ดั่งที่พระบรมศาสดาทรงทำในคราวเสด็จลงจากดาวดึงส์ ทรงอธิษฐานให้โลกทั้งสิ้นสว่างไสวทั่วหมดทำให้มนุษย์และเทวดาเห็นกันได้ที่เรียกว่าปฏิหาริย์เปิดโลก ดังเล่าไว้ในบทนำนั้นแล้ว ปาฏิหาริย์อาวีภาพนี้ใช้อาโลกกสิณเป็นเครื่องนำทำใจให้สงบเป็นฌานแล้วอธิษฐานด้วยญาณว่า จงสว่างกำหนดไว้ในใจให้สว่างเพียงใด ก็จะสว่างเพียงนั้นทันทีถ้ากำหนดให้สว่างหมดทั้งโลก โลก

    ทั้งสิ้นก็จะสว่างไสวแม้จะอยู่ไกลกันตั้งพันโยชน์ก็จะแลเห็นกันได้เหมือนอยู่ใกล้ๆกันฉะนั้น.

    ๔. ติโรภาพหรือกำบัง – หายตัว ได้แก่การอธิษฐานที่โล่งแจ้งให้เป็นที่มีอะไรกำบัง เช่นให้มีกำแพงกั้นเป็นต้นดั่งพระบรมศาสดาทรงทำปาฏิหาริย์จงกรมในน้ำคราวไปทรมานปุราณชฏิลและคราวทรงกำบังมิให้พระยศเถระกับบิดาเห็นกันซึ่งได้เล่าไว้ในบทนำนั้นแล้ว.

    ปาฏิหารย์ติโรภาพนี้ใช้มโนภาพนึกถึงเครืองกั้นโดยธรรมชาติเช่นนีลกสิณหรืออากาสกสิณเป็นเครื่องนำก็ได้เพื่อทำใจให้สงบเป็นฌานแล้วอธิษฐานด้วยญาณว่าจงกำบังดังนี้ก็จะสำเร็จดังอธิษฐานทันที.

    ๕. ติโรกุฑฑาสัชชมานภาพหรือล่องหน ได้แก่การอธิษฐานที่ทึบซึ่งมีอะโรกั้นกางอยู่โดยธรรมชาติเช่นฝากำแพงภูเขาที่กลายเป็นที่โปร่งสามารถเดินผ่านไปได้ดั่งในที่ว่างๆ ฉะนั้นอุทหรณ์ในข้อนี้ยังไม่เคยพบจะมีผู้ทำหรือไม่ไม่ทราบ แต่น่าจะทำได้เช่นเดียวกับอาชีวภาพปาฏิหาริย์เป็นแต่ปาฏิหาริย์นี้ ใช้อารสกสิณเป็นเครื่องนำทำใจให้สงบเป็นฌาน แล้วอธิษฐานด้วยญาณว่าจงเป็นอากาศก็จะเป็นได้ดั่งอธิษฐานนั้นทันที พระอาจารย์ภูริทัตตเถระ (มั่น) เคยเล่าให้ฟังว่าเมื่อคราวท่านไปอยู่ถ้ำเชียงดาวจังหวัดเชียงใหม่เมื่อไปอยู่แรกๆรู้สึกอึดอัดคับแคบทั้งๆถ้ำนั้นก็กว้างพอสมควร ท่านจึงเข้าอากาสกสิณเบิกภูเขาทั้งลูกให้เป็นอากาศไปจึงอยู่ได้สบายไม่รู้สึกอึดอัดเหมือนแรกๆแต่ท่านมิได้เล่าว่าสามารถเดินผ่านภูเขาไปได้หรือไม่ ? ผู้ชำนาญทางอากาสกสิณน่าจะทดลองทำดูบ้างน่าจะสนุกดี
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    ๖. ปฐวีอุมมุชชภาพหรือดำดิน ได้แก่การอธิษฐานแผ่นดินให้เป็นน้ำแล้วลงดำผุดดำว่ายได้
    -------------------------------------------------------

    พระอาจารย์มั่น เคยทำฤทธิ์หายตัวให้ดู และบอกว่าใช้อากาศกสิณเหมือนกัน

    สนุกๆ เหมือนทำในน้ำธรรมดาเช่นนั้นตัวอย่างในข้อนี้ยังไม่เคยพบได้พบแต่คำกราบทูลของนางอุบลวรรณาเถรีในคราวที่พระผู้มีพระภาคจะทรงทำยมกปาฏิหาริย์ว่านางสามารถทำได้แล้วทูลอาสาจะทำปาฏิหาริย์แทนพระบรมศาสดาเพื่อให้เดียรถีย์และมหาชนเกิดอัศจรรย์ว่าแม้แต่สาวิกาของพระผู้มีพระภาคเจ้าก็มีฤทธิ์น่าอัศจรรย์เพียงนี้แล้วพระบรมศาสดาจะมีฤทธิ์น่าอัศจรรย์เพียงไหน

    ปาฏิหาริย์ข้อนี้บ่งชัดแล้วว่าต้องใช้อาโปกสิณเป็นเครื่องนำทำใจให้สงบเป็นฌานแล้วจึงอธิษฐานด้วยญาณว่าจงเป็นน้ำก็จะเป็นได้ดั่งอธิษฐานทันที

    ๗. อุทกาภิชชมานภาพหรือไต่น้ำ ได้แก่การอธิษฐานน้ำให้เป็นแผ่นดินแล้วเดินไปบนน้ำได้เหมือนเดินบนแผ่นดิน ฉะนั้นข้อนี้ก็ไม่ปรากฏมีอุทาหรณ์คงเนื่องด้วยหาที่น้ำทำปาฏิหาริย์ข้อนี้ไม่ได้กระมัง ! ครั้งหนึ่งพระบรมศาสดากับพระสาวกเดินทางไปจะข้ามแม่น้ำแห่งหนึ่งผู้คนกำลังสาละวนจัดหาเรือแพเพื่อส่งข้ามแก่พระศาสดาและพระสาวกเมื่อจัดเสร็จพระบรมศาสดากับพระสาวกลงเรือแล้วตรวจดูไม่เห็นพระอีก๒รูปจึงคอยอยู่นานก็ไม่เห็นมาพระบรมศาสดาจึงตรัสว่าไม่ต้องคอยผู้ที่ข้ามแล้วครั้นข้ามไปถึงฝั่งโน้นก็พบพระทั้ง๒รูปนั้นนั่งรอยู่ก่อนแล้วสมจริงดั่งพระพุทธดำรัสการข้ามน้ำของพระ๒รูปนั้นปรากฏว่าเหาะข้ามไปมิได้ไต่ไปบนน้ำจึงมิใช่อุทาหรณ์ของปาฏิหาริย์นี้

    ปาฏิหาริย์ข้อนี้บ่งความแจ่มแจ้งอยู่ว่าต้องใข้ปฐวีกสิณเป็นเครื่องนำทำใจให้สงบเป็นฌานแล้วจึงอธิษฐานด้วยฌานว่าจงเป็นแผ่นดินก็จะเป็นได้ดั่งอธิษฐาน

    ๘. อากาสจังกมนภาพหรือปฏิหาริย์เหิรฟ้า ได้แก่การอธิษฐานอากาศให้เป็นแผ่นดินแล้วนั่งขัดสมาธิบนอากาศได้สำเร็จอิริยาบถเดินยืนนั่งนอนได้เหมือนบนแผ่นดิน ฉะนั้นอุทาหรณ์ในข้อนี้มีมากพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำมากครั้ง ครั้งทรงทำยมกปาฏิหาริย์

    ก็ทรงใช้ปาฏิหาริย์นี้ประกอบด้วยคือทรงเนรมิตพระองค์ขึ้นหลากหลายทำกิจต่างๆกันบนนภากาศกลางหาวบ้าง ทรงแสดงธรรมบ้างทรงจงกรมบ้างทรงนั่งสมาธิบ้างทรงบรรทมสีหไสยาสน์เป็นต้น บนอากาศกลางหาวนั้นเอง ก่อนหน้าที่จะได้ทรงทำยมกปกฎิหาริย์นี้ มีเรื่องเล่าว่าพระมหาโมคคัลลานเถระกับพระปิณโฑลภารทวาชเถระไปบิณฑบาตด้วยกันได้ยินคำโฆษณาของเศรษฐีคนหนึ่งว่าเขายังไม่ปลงใจเชื่อว่ามีพระอรหันต์เกิดขึ้นในโลกถ้ามีจริงขอให้เหาะเอาบาตรรไม้แก่นจันทน์ที่แขวนอยู่บนอากาศนี้ไปเขาพร้อมด้วยบุตรภรรยาจะถวายตัวแก่ผู้นั้นยอมเคารพนับถือสักการบูชาตลอดชีวิต ถ้าพ้น๗วันไปไม่มีใครเหาะมาเอาบาตรนี้ได้เขาก็จะลงความเห็นว่าไม่มีพระอรหันต์ในโลกแน่แล้ว คำอวดอ้างของสมณคณาจารย์นั้นๆว่าเป็นพระอรหันต์เป็นมุสาเป็นคำลวงโลกดังนี้

    ท่านทั้ง๒จึงปรึกษากันว่าเราจะทำอย่างไรดี วันนี้ก็เป็นวันที่ครบ๗แล้ว ถ้าจะปล่อยไปเขาก็จะปรามาสพระอรหันต์เล่นได้ เพราะเศรษฐีคนนี้มีอิทธิพลคนเชื่อถือถ้อยคำแกมากอยู่เขาก็จะพากันลบหลู่ดูหมิ่นสมณะทั้งหลายไม่สนใจฟังคำแนะนำสั่งสอนต่อไป เว้นแต่ผู้มีสติปัญญารู้จักคิดและพิจารณา ท่านทั้ง๒ลงความเห็นว่าควรทำปาฏิหาริย์เพื่อป้องกันเสี้ยนหนามได้จึงวางภาระนี้ให้แก่พระปิณโฑลภารทวาชเถระเป็นผู้นำ ท่านได้ใช้ปลายคีบแผ่นศิลาแผ่นใหญ่พาเหาะลอยขึ้นไปในอากาศสูง๗ชั่วลำตาบเหาะลอยวนรอบพระนคร๗รอบ แล้วปล่อยแผ่นศิลาให้ไปตกลงยังที่เดิมของมัน ส่วนตัวท่านเหาะลอยไปเอาบาตรไม้แก่นจันทน์ยังเศรษฐีคนนั้นพร้อมด้วยบุตรภรรยาให้เสื่อมใสในพระพุทธศาสนามหาชนได้ติดตามขอให้พระปิณโฑลภารทวาชเถระแสดงอิทธิปาฏิหาริย์มีประการต่างๆอีกหลายครั้ง

    ความทราบถึงพระบรมศาสดาจึงตรัสประชุมสงฆ์สั่งห้ามแสดงอิทธิปาฏิหาริย์พร่ำเพรื่อให้ทุบบาตรรแก่นจันทน์แจกกัน โดยตรัสว่าเป็นบาตรไม่ควรบริโภค

    พอข่าวการทรงสั่งห้ามแสดงอิทธิปาฏิหาริย์นี้กระจายไปพวกเดียรถีย์ก็ได้ท้าทายเป็นการใหญ่โดยเข้าใจว่าเมื่อทรงห้ามพระสาวกมิให้แสดงปาฏิหาริย์แล้วพระบรมศาสดาก็คงไม่ทรงแสดงอิทธิปาฏิหาริย์เช่นเดียวกันแต่เดียรถีย์นิครนถ์ต้องผิดหวังหมดเพราะพระบรมศรีสุคตทรงรับจะแสดงอิทธิปาฎิหาริย์แข่งกับเดียรถีย์นิครนถ์ที่มาท้าทายดั่งเรื่องปรากฏในยมกปาฎิหาริย์ที่นำมาเล่าไว้ในบทนำนั้นแล้วพวกเดียรถีย์นิครนถ์หลงกลตกหลุมพรางแทบจะแทรกแผ่นดินหนีก็มี

    อิทธิปาฏิหาริย์เหิรฟ้านี้นอกจากใช้ปฐวีกสิณเป็นเครื่องนำดังกล่าวแล้วท่านว่าใช้ลหุภาพคือความเบาเป็นเครื่องนำก็ได้อธิบายว่าเข้าจตุตถฌานแล้วอธิษฐานให้กายเบาเหมือนสำลีแล้วลอยไปในอากาศได้หรือลอยไปตามลมได้เหมือนสำลีหรือปุยนุ่นฉะนั้นเพราะลหุสัญญาปรากฏชัดในจตุตถฌานคือรู้สึกเบากายเบาจิตกายก็โปร่งบางเกือบจะกลายเป็นอากาศอยู่แล้วย่อมเหมาะที่จะใช้ทำปาฏิหาริย์ข้อนี้สะดวกดี

    [​IMG]

    ๙. สันติเกภาพ ได้แก่การอธิษฐานให้สิ่งที่อยู่ในที่ไกลมาปรากฏในที่ใกล้เช่นอธิษฐานให้ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ซึ่งอยู่ในที่ไกลมาปรากฏในที่ใกล้ๆมือแล้วลูกคลำจับต้องได้หรืออธิษฐานให้ที่ไกลเป็นที่ใกล้ที่เรียกว่าย่นแผ่นดินเช่นสถานที่ห่างไกลหลายร้อยโยชน์อธิษฐานให้มาอยู่ใกล้ๆเดินไปประเดี๋ยวเดียวก็ถึงเช่นนี้เป็นต้น

    อิทธิปาฏิหาริย์นี้มีอุทาหรณ์หลากหลาย เช่นคราวที่พระบรมศาสดาเสด็จไปทรมานปุราณชฏิลได้เสด็จไปบิณฑบาตถึงอุตตรกุรุทวีปซึ่งเป็นที่ไกลกลับมาถึงพร้อมกับผู้ไปบิณฑบาตในที่ใกล้ๆดังเล่าไว้ในบทนำนั้นแล้วเมื่อคราวทรงทำยมกปาฏิหาริย์เสด็จเสด็จไปจำพรรษาณดาวดึงส์ ปรากฎว่าก้าวพระบาทเพียง๓ก้าวก็ถึงดาวดึงสเทวโลกอนึ่งปรากฏในตำนานพระพุทธเจ้าเสด็จเลียบโลกก็ว่าได้เสด็จไปในที่ต่างๆซึ่งเป็นระยะทางห่างไกลมากในชั่วเวลาไม่

    กี่วันสุดวิสัยที่คนธรรมดาจะเดินทางด้วยเท้าได้ไกลถึงเพียงนั้น สถานบ้านเมืองในแคว้นสุวรรณภูมิมากแห่งได้มีตำนานรับสมอ้างข้อนี้เช่นพระพุทธบาทสระบุรีก็ว่าเสด็จมาประทับเหยียบรอยพระพุทธบาทไว้ด้วยพระองค์เองรอยพระพุทธบาทตามริมฝั่งแม่น้ำโขงอีกหลายแห่งเช่นที่เวินกุ่มโพนสันเป็นต้นก็มีตำนายรับสมอ้างเช่นเดียวกันทางภาคเหนือก็มีรอยพระบาทหลายแห่งที่มีตำนานเช่นนี้แต่ข้าพเจ้าไม่ได้ไปเห็นสถานที่เหล่านั้นด้วยตนเองทั้งหมดที่สระบุรีเวินกุ่มโพนสันข้าพเจ้าได้ไปมนัสการมีผู้ยืนยันรับรองว่าเสด็จมาประทับรอยพระบาทไว้ด้วยพระองค์จริง
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    อีกเรื่องหนึ่งพระเถระรูปหนึ่งอยู่เกาะลังกาเวลาพระอาคันตุกะมาพักกะท่านมากท่านพาไปบิณฑบาตถึงกรุงปาฏลีบุตรในอินเดีย โดยทำอิทธิปาฏิหาริย์ย่นแผ่นดินทะเลกั้นระหว่างเกาะลังกากับอินเดียปรากฎแก่พระภิกษุผู้ไปด้วยเป็นลำคลองเล็กๆน้ำสีเขียวๆเท่านั้น ท่านเนรมิตไม้เป็นตะพานไต่ข้ามไปครั้นไปถึงอินเดียแล้วพระที่ไปด้วยก็แปลกใจ จึงถามท่านว่าเป็นเมืองอะไรท่านบอกว่าเมืองปาฏลีบุตรพระที่ไปด้วยติงว่าก็ปาฏลีบุตรอยู่ในอินเดียมิใช่หรือนี่ เราอยู่เกาะลังกาไฉนจึงจะมาถึงเมืองปาฏลีบุตรได้ชั่วเวลาไม่นาน พระเถระบอกความจริงให้ทราบดังเล่าไว้เบื้องต้นนี้พระเหล่านั้นเกิดอัศจรรย์ขนพองสยองเกล้าและได้ความเชื่อมั่นในพระธรรมวินัยเป็นพลวปัจจัยให้เร่งความเพียรบำเพ็ญสมณธรรมยิ่งขึ้นจนได้บรรลุมรรคผลตามสมควรแก่วาสนาบารมีของตนๆเรื่องย่นแผ่นดินได้นี้แม้ในปัจจุบันก็ปรากฏว่ามีผู้ทำได้แต่ไม่อาจนำมาเล่นไว้ในที่นี้ได้

    อิทธิปาฏิหาริย์สันติเกภาพนี้ใช้มโนภาพเป็นเครื่องนำคือนึกเห็นสถานที่หรือสิ่งที่อยู่ไกลนั้นให้แจ่มชัดแล้วอธิษฐานด้วยญาณว่าจงอยู่ใกล้ก็จะเป็นได้ดั่งอธิษฐานทันที


    ๑๐. ทูเรภาพ ได้แก่การอธิษฐานให้ที่ใกล้เป็น
    ที่ไกลหรือให้สิ่งที่อยู่ไกล ดั่งในคราวที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทรมานพระอังคุลิมาลเถระเป็นตัวอย่างดังได้เล่าไว้ในบทนำนั้นแล้วพระองค์เสด็จอยู่ในที่ไกลเสมอจนถึงร้องตะโกนให้ทรงหยุดอีกครั้งหนึ่งกำลังแสดงธรรมแก่นางวิสาขามหาอุบาสิกาและหญิงสหาย๔-๕คนหญิงเหล่านั้นซ่อนสุราไปดื่มในเวลาฟังเทศน์ เมื่อเมาเข้าแล้วทำท่าจะฟ้อนรำตามวิสัยของคนเมา พระบรมศาสดาทรงสังเกตุเห็นจึงทรงทรมานด้วยอิทธิปาฏิหาริย์ทูเรภาพทำให้หญิงเหล่านั้นไปปรากฏอยู่ในที่ไกลสุดสายตา จนเกิดความกลัวตัวสั่นงันงกและสร่างเมา จึงทรงทำให้ปรากฏในที่ใกล้ตามเดิมหญิงเหล่านั้นทูลขอขมาคารวะและรับพระไตรสรณคมน์ตั้งอยู่ในศีล๕-๘จนตลอดชีวิต

    ปาฏิหาริย์นี้ก็ใช้มโนภาพเป็นเครื่องนำเช่นเดียวกันกับสันติภาพคือนึกเห็นสิ่งที่อยู่ใกล้หรือสถานที่ใกล้ให้แจ่มชัดในใจและนึกเห็นเป็นอยู่ไกลแล้วอธิษฐานทันที

    ๑๑. โถกภาพ ได้แก่การอธิษฐานให้ของมากปรากฏเป็นของเพียงนิดหน่อยข้อนี้ไม่เคยพบตัวอย่างคงเป็นเพราะไม่มีเหตุจำเป็นให้ทำก็ได้ปาฏิหาริย์นี้ใช้มโนภาพนึกเห็นสิ่งของมากมายเป็นเพียงนิดหน่อยให้แจ่มชัดในใจแล้วอธิษฐานหรือจะใช้ปาฏิหาริย์กำบังให้เห็นแต่เล็กน้อยก็ได้เหมือนกัน

    ๑๒. พหุกภาพ ได้แก่การอธิษฐานให้ของน้อยปรากฏเป็นของมาก มีตัวอย่างหลายหลากเช่นในครั้งหนึ่งพระบรมศาสดาตรัสสั่งพระมหาโมคคัลลานเถระให้ไปทรมาณเศรษฐีตระหนี่ในกรุงสาวัตถีคนหนึ่งไม่ปรากฏนาม เศรษฐีกับภรรยากำลังทอดขนม
    -----------------------------------------------------
    ทรงอธิษฐานบาตรที่ท้าวจตุโลกบาลนำมาถวาย ๔ ใบ ให้เป็นใบเดียว.

    เบื้องอยู่ชั้นบนของปราสาทโดยเกรงจะมีผู้ขอกัน พระมหาโมคคัลลานเถระทำปาฏิหาริย์เหาะไปปรากฏตัวอยู่ในอากาศตรงช่องหน้าต่างเศรษฐีเห็นแล้วก็ไม่พอใจจึงกล่าวคำประชดพระเถระพระเถระก็เฉย ในที่สุดเศรษฐีรำคาญใจหนักขึ้นจึงตกลงใจแบ่งให้ครึ่งหนึ่ง ๒คนสามีภรรยาช่วยกันดึงจนเหงื่อไหลไคลย้อยก็ไม่สามารถแบ่งขนมนั้นได้ทั้งนี้เป็นด้วยอำนาจปาฏิหาริย์ ของพระเถระเศรษฐีจึงตกลงใจถวายหมด

    ครั้นแล้วพระเถระไม่รับบอกว่าพระบรมศาสดาพร้อมด้วยพระสงฆ์สาวก๕๐๐ รูปกำลังนั่งรอฉันอยู่ที่วัดพระเชตะวัน ขอให้เศรษฐีกับภรรยานำไปอังคาสด้วยตนเอง เศรษฐอิดเอื้อนอยุ่หน่อยหนึ่งแต่แล้วก็ตกลงยอมไปพระเถระพาไปทางอากาศไปอังคาสพระบรมศาสดาและพระสาวก๕๐๐ รูปด้วยขนมเบื้องเพียงแผ่นเดียวจนอิ่มหนำสำราญหมดทุกรูป ครั้นแล้วก็ยังปรากฏอยู่เท่าเดิมเศรษฐีจึงกราบทูลว่าจะให้ทำอย่างไรอีกตรัสให้นำไปเททิ้งที่เงื้อมใกล้ซุ้มประตูพระเชตวันสถานที่นั้นเลยต้องเรียกว่าเงื้อมขนมเบื้องสืบมาเศรษฐีกับภรรยาเห็นความอัศจรรย์ในพระพุทธศาสนาบังเกิดศรัทธาเลื่อมใสได้บริจาคทรัพย์บำรุงพระพุทธศาสนามากมายเรื่องสำหรับปาฏิหาริย์ข้อนี้มีมากถ้าจะนำมาเล่าก็จะยืดยาว ปาฏิหาริย์นี้ใช้มโนภาพเป็นเครื่องนำทำใจให้สงบเป็นฌานแล้วอธิษฐานด้วยฌานว่าจงมากดังนี้ก็จะเป็นได้ดังอธิษฐาน

    ๑๓. กายวสิกภาพ ได้แก่การโน้มจิตและการอธิษฐานจิตให้เป็นเหมือนกายแล้วหยั่งลงสู่สุขสัญญาและลหุสัญญาทำให้กายเบาแล้วไปปรากฏกายในพรหมโลกได้ ถ้าต้องการสำเร็จอิริยาบถคือเดินยืนนั่งนอนก็ทำได้ถ้าต้องการจะเห็นพรหมด้วยทิพพจักษุก็ได้ฟังเสียงพรหมด้วยทิพพโสตก็ได้รู้ใจพรหมด้วยเจโตปริยญาณก็ได้ต้องการสนทนาปราศรัยกับพรหมก็ได้ต้องการแสดงธรรมถามปัญหาแก้ปัญหาหรือต้องการทำอย่างใดๆก็ทำได้ทุกประการ ณ พรหมโลก

    นั้นเรื่องนี้พระบรมศาสดาทรงทำมีเรื่องเล่าไว้ในพรหมนิมันตนิกสูตร ทรงเล่าว่าเมื่อคราวเสด็จประทับที่ภควันแคว้นอุกกัฏฐะทรงทราบความคิดผิดๆของท้าวพกาพรหม จึงเสด็จไปพรหมโลกชั่วพริบตาเดียวก็ถึง แล้วได้สนทนากับพรหมถึงเรื่องที่คิดเห็นนั้นว่าเป็นความเห็นที่ผิด ทันทีก็มีมารชั่วช้ามาขู่พระองค์ด้วยประการต่างๆ เป็นต้นว่าผู้ไม่เคารพนับถือพรหมตายแล้วจะไปสู่กำเนิดกายที่เลว พระบรมศาสดาตรัสตอบด้วยวาจาที่ส่อว่าทรงรู้เท่าทันและตรัสว่าพระองค์เป็นผู้ยิ่งกว่าพรหมแล้ว เกิดท้ากันขึ้นว่าพรหมจะหายไปให้พระองค์ตามหาพรหมก็หายไปไม่ได้

    พระองค์จึงตรัสท้าว่าจะหายไปให้พรหมตามหาบ้าง พรหมตามหาไม่พบทั้งๆที่ทรงแสดงธรรมให้ได้ยินก้องอยู่พรหมพรหมปุโรหิตและพรหมปาริสัชเกิดอัศจรรย์ยอมยกให้ว่ายิ่งกว่าพรหมจริงๆทีนั้นมีมารชั่วร้ายแทรกเข้ามาขู่สำทับอีกห้ามว่า เมื่อรู้เองดีแล้วก็อย่าสอนผู้อื่นเพราะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายที่ตรัสรู้มาก่อนแล้วผู้สั่งสอนผู้อื่นตายแล้วไปดำรงอยู่ในกายเลว ผู้ไม่สั่งสอนผู้อื่นตายแล้วไปดำรงอยู่ในกายประณีต เราเตือนท่านเพราะหวังดีอย่าสอนผู้อื่น ดังนี้พระบรมศาสดาทรงทราบว่าเป็นคำของมารชั่วร้ายแล้วตรัสห้ามคำนั้นทรงยืนยันว่าทรงทราบธรรมดาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายดีแล้ว จำต้องสอนผุ้อื่นจึงสมกับความเป็นพระพุทธเจ้าทรงนำเรื่องมาเล่าที่วัดพระเชตวันกรุงสาวัตถีและตรัสสั่งให้เรียกว่าพรหมนิมันตนิกสูตร เพราะเป็นความเชื้อเชิญของพรหมมิใช่ของมารดังนี้พระโบราณาจารย์นำเรื่องนี้มาประพันธ์เป็นคำฉันท์ถวายพระพระชัยมงคลซึ่งพระสงฆ์ใช้สวดพรพระอยู่ในทุกวันนี้ท่านย่อใจความว่าคราวทรมานพกาพรหมนั้นทรงใช้พระคฑาวิเศษคือพระปรีชาญาณทรงทรมานพกาพรหมพร้อมทั้งบริษัทให้ละความเห็นผิดได้นับเป็นชัยชนะที่เลืองลือโด่งดังครั้งหนึ่ง.

    การไปพรหมโลกอย่งปรากฏกายเป็นปาฏิหาริยิ์ที่ทำได้ยากต้องมีเจโตวสีคือมีอำนาจทางใจแรงกล้าสามารถน้องนึกให้กายกับจิตมีสภาวะเท่ากันทั้งในทางความเบาและความเร็วพร้อมกับการอธิษฐานให้เป็นดั่งนั้นด้วยครั้นแล้วต้องเข้าฌานชั้นที่มีทั้งสุขสัญญาและลหุสัญญาคือตติยฌานจึงจะไปพรหมโลกได้ดั่งประสงค์ถ้าจะเข้าจตุตตถฌานซึ่งมีแต่ลหุสัญญาก็จะเลยไปจะไม่พบหมู่พรหมสมหมายพึงสังเกตว่าภูมิของฌาณซึ่งกำหนดไว้เป็นภูมิของฤทธิ์นั้นเพื่อให้เลือกเข้าฌานที่มีภูมิไปเช่นจะไปเทวโลกซึ่งบริบูรณ์ไปด้วยความสุขแชมชื่นต้องเข้าปิติสุขภูมิคือทุติยฌานจึงจะเห็นเทวโลก
     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    การทำให้กายกับจิตมีสภาวะเท่ากันนี้อาจจะตรงกับที่ทางโยคี (คือท่านปตัญชลี) บัญญัติไว้ว่าวิกาณภาพก็ได้เขาอธิบายไว้ว่ากำหนดจิตโดยวิสัยของกายและอธิษฐานให้การเบาสามารถเหาะลอยไปในอากาศช้าๆคล้ายไปด้วยกายธรรมดาดั่งนี้

    ๑๔. จิตตวสิกภาพ ได้แก่การน้อมกายและอธิษฐานกายให้เป็นเหมือนจิตแล้วหยั่งลงสู่สุขสัญญาและลหุสัญญาแล้วไปพรหมโลกโดยไม่ปรากฏกาย ครั้นแล้วจึงเนรมิตรูปที่สำเร็จด้วยใจมีอินทรีย์บริบูรณ์ให้ไปปรากฏเบื้องหน้าพรหมแล้วทำกิจต่างๆมีสนทนาเป็นต้นกับพรหมดั่งในข้อ๑๓ก็ทำได้ทุกประการ

    ปาฏิหาริย์นี้ตรงกันข้ามกับข้อ๑๓คือ ข้อนี้ให้น้อมกายและอธิษฐานให้เป็นเหมือนจิตธรรมชาติจิตนั้นเบาและรวดเร็วว่องไวไม่เป็นวิสัยที่ใครๆผู้ไม่มีตาที่วิเศษจะพึงเห็นได้ปาฏิหาริย์นี้อาจจะตรงกับที่ทางโยคี (คือท่านปตัญชลี) บัญญัติไว้ว่าลหุภาพนั่นเองเขาอธิบายว่าทำให้กายเบาและรวดเร็วเท่าจิตสามารถไปมาได้ว่องไวและผ่านไปได้ในที่ทุกแห่งไม่ติดขัดเหมือนการไปมาของจิตฉะนั้น

    วิธีปฏิบัติในข้อนี้พึงเทียงเคียงกับที่กล่าวไว้ในข้อ๑๓นั้นทุกประการ

    ๑๕. ธูมายิกภาพหรือบังควัน ได้แก่การอธิษฐานให้บังเกิดเป็นควันกลุ้มคลุมตัวไว้เพื่อปิดบังมิให้อีกฝ่ายมองเห็นตัว โดยมากใช้ทรมานพวกนาคซึ่งเป็นพิษร้ายปาฏิหาริย์นี้ใช้นีลกสิณก็ได้ใช้มโนภาพนึกเอาควันไฟซึ่งเป็นไปตามธรรมชาตินั้นก็ได้มาเป็นอารมณ์ทำใจให้สงบเป็นฌานแล้วอธิษฐานด้วยญาณว่าจงเป็นควันก็จะเป็นได้ดั่งประสงค์


    ๑๖. ปัชชลิกภาพหรือเปลวเพลิง ได้แก่การอธิษฐานให้เกิดเปลวเพลิงลูกรุ่งโรจน์โชตนาการท่วมตัว เป็นปาฏิหาริย์ที่ใช้ทรมานนาคร้ายโดยมากเช่นเดียวกับข้อ๑๕ธรรมดานาคกลัวไฟใช้ปาฏิหาริย์นี้ทรมานย่อมได้ผลทำให้เขากลัวและยอมอ่อนน้อมได้ง่าย

    ปาฎิหาริย์ข้อ๑๕ และข้อนี้มักใช้ติดๆกันเสมอในการทรมานนาคร้าย ใช้ข้อ๑๕ก่อนแล้วจึงใช้ข้อนี้ภายหลัง พระบรมศาสดาได้ทรงทำคราวไปทรมานปุราณชฏิลดังกล่าวไว้ในบทนำนั้นแล้วครั้งหนึ่งทรงสั่งพระมหาโมคคัลลานเถระไปทรมานนันโทปนันทนาคราชโดยทรงแนะอุปเทศให้พระเถระไปทรมานด้วยปาฏิหาริย์หลายประการมีปาฏิหาริย์๒ประการนี้ด้วยจึงทรมานสำเร็จอีกเรื่องหนึ่งทรงสั่งพระมหาโกฏฐิตเถระไปทรมานพระยานาคที่ท่าปยาคะก็ใช้ปาฏิหาริย์๒ประการนี้สามารถทรมานพระยานาคสำเร็จ

    ปาฏิหาริย์นี้ต้องใช้เตโชกสิณเป็นเครื่องนำทำใจให้สงบแล้วอธิษฐานด้วยญาณว่าจงเป็นเปลวเพลิงก็จะเป็นได้ดั่งอธิษฐานปาฏิหาริย์นี้แม้ในปัจจุบันก็มีผู้ทำได้แต่ไม่อาจนำมาเล่าได้

    ส่วนวิกุพพนาฤทธิ์ปรากฎแจ่มแจ้งในนิเทศดังได้ยกมากล่าวในตอนแจกประเภทแห่งฤทธิ์นั้นแล้วฤทธิ์ประเภทนี้ ไม่มีขอบเขตจำกัด อาจดัดแปลง

    พลิกแพลงทำได้ต่างๆยิ่งกว่าที่ปรากฏในนิเทศนั้นๆก็ได้เป็นฤทธิ์ที่ต้องใช้มโนภาพกับกำลังใจเป็นสำคัญ
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    เมื่อพิจารณาถึงทางที่จะพึงเป็นได้แห่งฤทธิ์๔ประเภทนี้แล้วได้เหตุสำคัญ๔ประการคือ

    ๑. กำลังฌาณอันเป็นภูมิแห่งฤทธิ์

    ๒. กำลังกสิณหรือมโนภาพซึ่งมีอิทธิบาท๔เป็นกำลังหนุน
    ๓. กำลังใจซึ่งเป็นต้นตอของฤทธิ์๑๖ประการ
    ๔. กำลังอธิษฐานซึ่งมีบทของฤทธิ์๘ประการเป็นกำลังอุดหนุน

    ฉะนั้นจะได้ขยายความแห่งกำลังอันสำคัญ๔ประการนี้ให้เป็นที่เข้าใจแจ่มแจ้งจะได้ถือเป็นหลักในการสร้างฤทธิ์๒ประเภทนี้สืบไป

    ๑. กำลังฌาน อันเป็นภูมิแห่งฤทธิ์นั้นท่านจำแนกไว้๔ภูมิคือวิเวกชาภูมิภูมิแห่งความเงียบจากกามคุณและอกุศลธรรมซึ่งได้แก่ปฐมฌาน๑ปิติสุขภูมิภูมิแห่งปิติสุขเกิดแต่สมาธิซึ่งได้แก่ทุติยฌาน๑อุเบกขาสุขภูมิภูมิแห่งอุเบกขาสุขซึ่งได้แก่ตติยฌาน๑อทุกขมสุขภูมิภูมิแห่งจิตไม่ทุกข์ไม่สุขซึ่งได้แก่จตุตถฌาน๑รวมความว่าภูมิแห่งฌานทั้ง๔ประการเป็นที่ตั้งแต่ฤทธิ์ได้ทั้งหมดแล้วแต่กรณีฤทธิ์บางประการอาศัยภูมิแห่งจิตในฌานชั้นต่ำแต่บางประการต้องอาศัยภูมิแห่งจิตใจในฌานชั้นสูงจึงจะมีกำลังพอที่จะทำได้ฤทธิ์ชนิดใดควรใช้ฌานเพียงภูมิไหนต้องอาศัยการฝึกฝนทดลองแล้วสังเกตเอาเองเรื่องของฌานได้กล่าวมามากแล้วคงเป็นที่เข้าใจและคงเชื่ออำนาจของฌานบ้างแล้วแม้แต่ความสำเร็จในฌานนั้นเองท่านก็จัดเป็นฤทธิ์ประเภทหนึ่งอยู่แล้วจึงไม่ต้องสงสัยว่าฌานจะไม่เป็นกำลังสำคัญในการทำฤทธิ์ประการหนึ่ง

    ๒. กำลังกสิณหรือมโนภาพ ซึ่งมีอิทธิบาท๔เป็นกำลังหนุนนั้นคือกสิณ๑๐ประการดังกล่าวไว้ในบทที่๓นั้นต้องได้รับการฝึกหัดให้ชำนิชำนาญสามารถให้เป็นกีฬาได้ดั่งกล่าวในบทที่๔ส่วนมโนภาพ

    นั้นหมายถึงภาพนึกหรือภาพทางใจซึ่งจำลองมาจากภาพของจริงอีกทีหนึ่งคล้ายดวงกสิณนั่นเองเป็นแต่มโนภาพมิได้จำกัดวัตถุและสีสันวรรณะอย่างไรภาพนึกหรือภาพทางใจนี้จะต้องได้รับการฝึกหัดอบรมไว้ให้ช่ำชองเป็นภาพแจ่มแจ้งเจนใจสามารถนึกวาดขึ้นด้วยทันทีทันใดเช่นเดียวกับดวงกสิณการฝึกหัดแพ่งกสิณและทำมโนภาพนี้ต้องอาศัยกำลังอุดหนุนของอิทธิบาทภาวนาเป็นอย่างมากที่สุดอิทธิบาทภาวนี้ได้อธิบายไว้แล้วในบทที่๔เมื่อได้ฝึกเพ่งกสิณและฝึกมโนภาพไว้ช่ำชองแล้วเป็นที่มั่นใจได้ทีเดียวว่าจะทำฤทธิ์ได้ดั่งประสงค์

    ๓. กำลังใจ ซึ่งเป็นต้นตอของฤทธิ์ท่านจำแนกไว้๑๖ประการคือ

    (๑) จิตมั่นคงไม่แฟบฝ่อเพราะเกียจคร้าน
    (๒) จิตมั่นคงไม่ฟูฟุ้งเพราะความฟุ้งซ่าน
    (๓) จิตมั่นคงไม่ร่านเพราะความกำหนัด
    (๔) จิตมั่นคงไม่พล่านเพราะพยาบาท
    (๕) จิตมั่นคงไม่กรุ่นเพราะความเห็นผิด
    (7) จิตมั่นคงไม่ติดพันในกามคุณารมณ์
    (8) จิตมั่นคงหลุดพ้นจากกามราคะ
    (9) จิตมั่นคงพรากห่างจากกิเลสแล้ว
    (10)จิตมันคงไม่ถูกกิเลกคลุมครอบทับไว้
    (11)จิตมั่นคงเป็นหนึ่งไม่ส่ายไปเพราะกิเลส
    (12)จิตมั่นคงเพราะศรัทธาอบรม
    (13)จิตมั่นคงเพราะความเพียรประคบประหงม
    (14)จิตมั่นคงเพราะสติฟูมฟักไม่พลั้งเผลอ
    [COLOR=darkred](15)จิตมั่นคงเพราะสมาธิครอบครองไว้[/COLOR]
    [SIZE=3][COLOR=darkslategray](16)จิตมั่นคงเพราะปัญญาปกครองรักษา[/COLOR][/SIZE]
    [FONT=Tahoma][SIZE=3][COLOR=darkred](17)จิตมั่นคงเพราะถึงความสว่างไสวหายมืดมัว[/COLOR][/SIZE][/FONT]

    [FONT=Tahoma][FONT=Tahoma][SIZE=3][COLOR=black]จิตใจที่มั่นคงแข็งแรงดังกล่าวมานี้นับว่าเป็นกำลังสำคัญที่สุดในการทำฤทธิ์ท่านจึงจัดเป็นต้นตอ[/COLOR][/SIZE][/FONT][/FONT]

    ของฤทธิ์ผู้ประสงค์สร้างฤทธิ์ต้องพยายามอบรมจิตใจด้วยคุณธรรมต่างๆดังกล่าวไว้ในบทที่๔นั้นทุกประการ

    [​IMG]

    ๔. กำลังอธิษฐาน ซึ่งมีบทของฤทธิ์๘ประการเป็นกำลังหนุนคือว่าการบำเพ็ญอธิษฐานบารมีที่จะสำเร็จได้ต้องอาศัยกำลังหนุนของอิทธิบาท๔และสมาธิอันได้เพราะอาศัยอิทธิบาท๔ประการนั้น ประกอบกันบุคคลผู้จะสามารถอธิษฐานให้เกิดฤทธิ์เดชต่างๆได้นั้นจะต้องได้บำเพ็ญอธิษฐานบารมีมาอย่างมากมายเป็นคนมีน้ำใจเด็ดเดี่ยวลงได้ตั้งใจทำอะไรหรือเปล่าวาจาปฏิญาณว่าจะทำอะไรอย่างไรไปแล้วถ้าไม่เป็นผลสำเร็จจะไม่ยอมหยุดยั้งเลยแม้จำต้องสละชีวิตก็ยอม ดั่งสมเด็จพระบรมศาสดาของเราเป็นตัวอย่างในสมัยเป็นพระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญพระบารมีเพื่อพระโพธิญาณเคยตั้งพระหฤทัยไว้ว่าใครประสงค์ดวงพระเนตรก็จะควักให้ใครประสงค์ดวงหฤทัยก็จะแหวะให้ภายหลังมีผู้มาทูลขอดวงพระเนตรมิได้ทรงอิดเอื้อนเลยได้ตรัสเรียกนายแพทย์ให้มาควักพระเนตรออกทำทานทันที แม้จะได้ทรงรับทุกข์เวทนาสาหัสจากการนั้นก็มิได้ปริปากบ่นแม้สักคำเดียว

    ครั้นมาในปัจฉิมชาติที่จะได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระศาสดาเอกในโลกก็ได้ทรงบำเพ็ญพระอธิษฐานบารมีมั่นคงทรงบากบั่นมั่นคงก้าวหน้าไม่ถอยหลังตลอดมาจนถึงวาระจะได้ตรัสรู้ก็ทรงอธิษฐานจาตุรงคมหาปธานคือความเพียรใหญ่ยิ่งประกอบด้วยองค์๔คือทรงตั้งพระหฤทัยเด็ดเดี่ยวว่าเนื้อเลือดจะเหือดแห้งยังเหลือแต่หนังเอ็นและกระดูกก็ตามทีถ้ายังไม่บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณแล้วเราจะไม่ยอมหยุดยั้งความเพียรเป็นอันขาดดังนี้อาศัยอำนาจน้ำพระหฤทัยเด็ดเดี่ยวมั่นคงเป็นกำลังก็ได้ทรงบรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณสมประสงค์

    อธิษฐานบารมีที่จะดีเด่นได้ต้องประกอบด้วยอธิษฐานธรรมซึ่งเป็นกำลังหนุน๔ประการคือ

    1. สัจจะความสัตย์มีมั่นหมายไม่กลับกลอก
    2. ทมะมีความสามารถบังคับจิตใจได้ดี
    3. จาคะมีน้ำใจเสียสละอย่างแรงกล้าเมื่อรู้ว่าสิ่งใดเป็นประโยชน์ยิ่งใหญ่กว่าที่มีอยู่แล้วจะไม่รีรอเพื่อสิ่งนั้นเลยยอมทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างกระทั่วชีวิตเข้าแลกและ
    4. ปัญญามีความฉลาดเฉลียวรู้จักสิ่งที่เป็นประโยชน์-ไม่เป็นประโยชน์, ควร-ไม่ควร, เป็นได้-และเป็นไปไม่ได้

    แล้วดำรงในสัตย์อันเป็นประโยชน์และเป็นธรรมบังคับจิตใจให้เป็นไปในอำนาจทุ่มเทกำลังพลังลงเพื่อประโยชน์ที่มุ่งหมายนั้น.

    อธิษฐานบารมีที่ได้อบรมฝึกฝนโดยทำนองดั่งกล่าวนี้ย่อมเป็นสิ่งมีพลานุภาพเกินที่จะคาดคิดถึงได้ว่ามีประมาณเพียงใดผู้มีอธิษฐานบารมีได้อบรมแล้วอย่างนี้เมื่อตั้งใจหรือมุ่งหมายที่จะให้เกิดอำนาจมหัศจรรย์อย่างไรก็ย่อมจะสำเร็จได้ทุกประการเมื่อใจศักดิ์สิทธิ์เช่นนั้นแม้การกระทำและคำพูดแต่ละคำที่เปล่งออกมาก็ย่อมศักดิ์สิทธิ์เป็นฤทธิ์เดชเช่นเดียวกันดั่งสมเด็จพระร่วงเจ้ากรุงสุโขทัยมีพระวาจาศักดิ์สิทธิ์สามารถสาปขอมดำดินให้กลายเป็นหินไปได้ฉะนั้น

    เมื่อได้ทราบหนทางที่จะให้บังฤทธิ์อำนาจมหัศจรรย์ดังนี้แล้วควรทรวบวิธีทำฤทธินั้นต่อไปเพื่อเมื่อถึงเวลาจำเป็นต้องทำฤทธิ์ก็จะได้ทำได้ทีเดียว

    อธิษฐานฤทธิ์ทั้ง๑๖ประการนั้นเมื่อจะทำฤทธิ์ชนิดใดพึงสำเหนียกดูว่าควรใช้กสิณหรือมโนภาพชนิดใดแล้วพึงอาศัยกสิณหรือมโนภาพชนิดนั้นเป็นพาหนะนำใจให้สงบเป็นสมาธิเข้าถึงภูมิที่สามารถจะอธิษฐานฤทธิ์ชนิดนั้นแล้วพึงออกจากฌานในทันใดพึงอธิษฐานคือตั้งใจแน่วแน่ว่าจงเป็น (อย่างนั้น) ครั้นอธิษฐานแล้วพึงเข้าสู่ความสงบอีกก็จะสำเร็จฤทธิ์ตามที่อธิษฐานทันที.

    ส่วนวิกุพพนาฤทธิ์พึงอาศัยมโนภาพเป็นพาหนะนำไปสู่ความสงบถึงขั้นของฌานอันเป็นภูมิ

    ของฤทธิ์นั้นๆแล้วน้อมจิตไปโดยประการที่ต้องการให้เป็นนั้นก็จะสำเร็จฤทธ์นั้นสมประสงค์เช่นต้องการแปลงกายเป็นช้างพึงนึกวาดภาพช้างขึ้นในใจให้แจ่มชัดจนจิตเป็นฌานขั้นใดขั้นหนึ่งแล้วจึงนึกน้อมให้ภาพช้างขั้นในใจให้แจ่มชัดจนจิตเป็นฌานขั้นใดขั้นหนึ่งแล้วจึงนึกน้อมให้ภาพช้างนั้นเด่นชัดยิ่งขึ้นแล้วแสดงกิริยาอาการตามใจประสงค์ให้เหมือนช้างจริงๆต่อไปก็ชื่อว่าสำเร็จฤทธิ์ข้อนี้ได้ส่วนข้ออื่นๆก็พึงทราบโดยนัยเดียวกัน

    การทำฤทธิ์ทั้ง๒ประเภทนี้เมื่อทำเสร็จแล้วพึงอธิษฐานเลิกทุกครั้งอย่าปล่อยทิ้งไว้จะเป็นสัญญาหลอกตนเองอยู่ร่ำไป ท่านผู้สนใจในทิพยอำนาจข้อนี้ก็ดีข้ออื่นๆที่จะกล่าวข้างหน้าก็ดีหากยังไม่เข้าใจแจ่มแจ้งข้าพเจ้ายินดีช่วยเหลือโดยเฉพาะเป็นรายๆไปเชิญติดต่อไต่ถามได้ทุกเมื่อ


    คัดลอกจากหนังสือทิพยอำนาจ
    www.watthummuangna.com
    <!-- / message --><!-- sig -->__________________
     
  8. chinasungkia

    chinasungkia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +852
    เรียนท่านเจ้าของกระทู้
    กระผมมีข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องฤทธิ์นี้ คือ เพื่อนของผมเคยถูกเจ้าเข้าทรง นะครับ ขณะนั้นผมก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย เพื่อนหญิงคนดังกล่าว สามารถล้วงรู้ได้หมดเลยว่า กระผมกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ ในขณะที่เจ้ากำลังเข้าร่างอยู่นั้น แต่เมื่อเจ้าออกจากร่างไปแล้ว ผมลองถามดูว่า รู้ไหมว่า ผมกำลังคิดอะไรอยู่ เพื่อนกลับตอบไม่ได้เลยครับ

    แต่เมื่อไม่นานมานี้ เพื่อนของผมคนดังกล่าว แม้เจ้าจะไม่ได้เข้า เขาก็สามารถรู้ได้ว่า ผมกำลังคิดอะไรอยู่ ผมก็เลยถามว่า รู้กับทุกคนเลยเหรอ และรู้ได้ตลอดเวลาเลยหรือไม่

    เพื่อนผมตอบว่า รู้เป็นบางเวลา และส่วนใหญ่จะรู้ เฉพาะบุคคลที่มีจิตใจศรัทธาในศาสนา

    ฤทธิ์ ดังกล่าว จัดอยู่ในฤทธิ์ข้อใดครับ
     
  9. มองดูสายลม

    มองดูสายลม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +59
    อ่าน แล้วถ้าไม่ดูใจไว้นี้เกิดโลภะเลยนะครับ สาธุครับ
    ชอบเรื่องแบบนีูู้^^
     

แชร์หน้านี้

Loading...