ดับโทสะด้วยอำนาจของเมตตา

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย โสภา จาเรือน, 8 กันยายน 2008.

  1. โสภา จาเรือน

    โสภา จาเรือน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    2,013
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,332
    [​IMG]

    โทสะไม่ว่ามากหรือน้อยดับด้วยอำนาจของเมตตา

    พระพุทธองค์ทรงสอนให้เมตตา ให้กรุณา ก็ให้เมตตาให้กรุณา อย่างเต็มเปี่ยมทั้งหัวใจโทสะไม่ว่ามากไม่ว่าน้อยจะดับลงได้ด้วยอำนาจของเมตตาทันที

    ยิ่งทุ่มเทใจเชื่อพระพุทธเจ้าทำตามพระองค์เต็มสติกำลัง ใจก็จะตั้งอยู่ในความไม่มีโทสะมีแต่ความสุขสงบเย็นสว่างไสวจนกระทั่งอาจรู้สึกเหมือนไม่มีเมตตา ไม่มีกรุณาไม่มีมุทิตาในใจตน มีแต่อุเบกขาเท่านั้น แต่ความจริงอุเบกขานั้นพร้อมด้วย เมตตากรุณา มุทิตา เปรียบดังขึ้นรถด่วนที่วิ่งผ่านสถานีต่าง ๆ อย่างรวดเร็วไม่หยุดสถานีระหว่างทางเลย ไปหยุดต่อเมื่อถึงสถานีปลายทางถึงที่หมายได้สมประสงค์ตรงสถานีปลายทางนั้นเช่นนี้ไม่หมายความว่ารถไฟไม่ได้วิ่งผ่านสถานีต่าง ๆ ในระหว่างทางรถผ่านแต่ละสถานีอย่างรวดเร็วจนยากจะสังเกตรู้ว่าเป็นสถานีใดบ้างเท่านั้น

    การอบรมเมตตากรุณา มุทิตา ไปจนถึงอุเบกขาด้วยวิธีพิเศษ คือ เชื่อพระพุทธเจ้าให้แน่วแน่มั่นคงยอมเป็นยอมตายเพื่อปฏิบัติตามที่ทรงสอนไว้จะได้ผลรวดเร็วดังนี้

    ผู้มีเมตตา กรุณาและมุทิตา
    จะต้องใช้อุเบกขาแทรกไว้ทุกเวลา

    ผู้ยังไม่บรรลุผลสูงสุดของพรหมวิหารธรรมยังพยายามตั้งใจอบรมพรหมวิหารธรรมอยู่ ควรต้องรู้ว่า ผู้มีเมตตา กรุณา มุทิตานั้นควรอย่างยิ่งที่จะต้องใช้อุเบกขาแทรกไว้ทุกเวลาเหมือนเป็นยาดำที่จำเป็นต้องแทรกอยู่ในยาดีแทบทุกขนานไม่เช่นนั้นแล้วยาดีที่ขาดยาดำก็จะไม่เป็นยาดีที่สมบูรณ์และพรหมวิหารธรรมก็จะไม่สมบูรณ์เช่นเดียวกัน

    เมตตาขาดอุเบกขา...ก็ผิด, กรุณาขาดอุเบกขา...ก็ผิด, มุทิตาขาดอุเบกขา...ก็ผิด

    เมตตากรุณาที่ผิดก็เช่นปรารถนาเขาเป็นสุข พยายามช่วยให้เขาพ้นทุกข์เต็มกำลังความสามารถเมื่อทำไม่ได้ดังความปรารถนาก็เป็นทุกข์ เพราะไม่วางอุเบกขาเช่นนี้แหละผิด

    แต่ถ้าทำเต็มสติปัญญาความสามารถโดยควรแล้วแม้ไม่เกิดผลดังปรารถนาก็วางอุเบกขาเสียได้ไม่เร่าร้อนด้วยความปรารถนาต้องการจะให้สมมุ่งหมายเช่นนี้ก็เป็นเมตตากรุณาที่ไม่ผิด

    มุทิตา ความพลอยยินดีด้วยเช่นกันมุทิตาที่ผิดก็เช่นไปพลอยยินดีด้วยกับการได้การถึงที่ไม่สมควรทั้งหลายการได้การถึงที่ผิดที่ไม่ชอบเช่นนั้นผู้มีมุทิตาที่แท้จริงในพรหมวิหารจะวางใจเป็นกลาง วางเฉยอยู่ได้ด้วยอุเบกขาไม่เข้าไปเกี่ยวข้องแม้ด้วยมุทิตา

    ใจที่เป็นอุเบกขา
    ไม่หวั่นไหวไปตามการแสดงออกภายนอก

    ผู้มีอุเบกขาในใจจริงนั้นการแสดงออกภายนอกเหมือนไม่มีอุเบกขาได้ เพราะผู้มีอุเบกขานั้นไม่หมายถึงว่าจะต้องไม่รับรู้ในคุณในโทษของสิ่งภายนอกผู้มีอุเบกขาย่อมรู้ดีว่าปฏิบัติอย่างไรเป็นคุณ ปฏิบัติอย่างไรเป็นโทษบางทีการวางเฉยทางกายวาจา เหมือนกับใจที่วางเฉยอยู่ด้วยความสงบ ก็อาจเป็นคุณแต่บางทีก็อาจเป็นโทษ

    ฉะนั้นเมื่อการวางเฉยภายนอกจะเป็นโทษผู้มีพรหมวิหารธรรมข้ออุเบกขาพิจารณาเห็นแล้ว ก็ย่อมต้องแสดงออกตามความเหมาะความควรรักษาไว้อย่างหวงแหนที่สุดเพียงอย่างเดียว คือ ใจที่เป็นอุเบกขาไม่หวั่นไหววูบวาบขึ้นลงไปตามการแสดงออกภายนอก

    อุเบกขาที่แท้จริงสร้างความสงบอย่างยิ่งแก่ใจ

    ความสงบอย่างยิ่งของใจย่อมมีอยู่ได้เป็นปกติ ด้วยอำนาจของอุเบกขาที่แท้จริงในพรหมวิหารผู้มีใจยังไม่เป็นอุเบกขาบางทีก็สามารถแสดงอุเบกขาให้ปรากฏภายนอกได้

    หลายคนเคยพูดว่า
     
  2. โสภา จาเรือน

    โสภา จาเรือน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    2,013
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,332
    [​IMG]



    แสงแห่งปัญญามีอานุภาพใหญ่ยิ่ง

    ความคิดย่อมพ่ายแพ้แก่อำนาจของปัญญา

    ปัญญาควบคุมความคิดได้ความคิดย่อมพ่ายแพ้แก่อำนาจของปัญญา

    ดังนั้นผู้มีปัญญาเท่านั้นที่จะสามารถควบคุมความคิดมิให้ก่อให้เกิดความทุกข์ได้นั่นคือผู้มีปัญญาเท่านั้นที่จะสามารถพาใจหลีกพ้นความเศร้าหมองของกิเลสได้ผู้ไม่มีปัญญาหาทำได้ไม่

    ความทุกข์ทั้งหลายหลีกไกลได้ด้วยปัญญา

    ปัญญามีอำนาจเหนือความคิด ก็คือปัญญามีอำนาจเหนือกิเลสนั่นเอง เพราะเมื่อปัญญาควบคุมความคิดได้ความคิดก็จะไม่ปรุงแต่งไปกวนกิเลสที่มีอยู่เต็มโลก ให้โลดแล่นเข้าประชิดติดใจจึงเป็นการควบคุมกิเลสได้พร้อมกับการควบคุมความคิด

    ความเกิดเป็นทุกข์เพราะความเกิดนำมาซึ่งความแก่ ความเจ็บ ความตายความพลัดพรากจากของรักของชอบใจและความไม่ประจวบด้วยสิ่งปรารถนาทั้งปวง

    ความทุกข์เหล่านี้หนีไม่พ้นเพราะเป็นผลตามมาของความเกิดอย่างแน่นอน

    ความทุกข์ทางกาย...หนีพ้นได้ด้วยการไม่เกิดเท่านั้น
    ส่วนความทุกข์ทางใจ...หนีได้ด้วยความคิด

    อานุภาพแห่งแสงของปัญญา

    สติต้องรู้ก่อนว่ากิเลส คือ โลภะ หรือ ราคะ โทสะ โมหะ ตัวใดกำลังเข้าประชิดจิตใจเมื่อมีสติรู้..ก็ให้ใช้
     
  3. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,610
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,605
    โมทนาครับ มีประโยชน์มากๆครับ ทำเป็นกระทู้แนะนำแบบภาพให้แล้วนะครับ
     
  4. oomsin2515

    oomsin2515 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    2,934
    ค่าพลัง:
    +3,393
    อนุโมทนากับเจ้าของกระทู้ที่นำสาระ ดี ๆ มาให้อ่านครับ
    สาธุ สาธุ สาธุ<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p



    _____________________________<O:p</O:p
    เชิญร่วมบริจาคหนังสือ เข้าห้องสมุดชุมชนวัดย่านยาว<O:p</O:p
    http://palungjit.org/showthread.php?t=130823<O:p</O:p
     
  5. chuleepornp

    chuleepornp สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +4
    อนุโมทนา จ้า เป็นประโยชน์มากค่ะ
    อยากดับเหมือนกันแต่ทำยากจัง แต่จะพยายามมีสติให้มาก
     
  6. J.Sayamol

    J.Sayamol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    6,190
    ค่าพลัง:
    +21,530
    การทำความดี... มีการรักษาศีล ให้ทาน ภาวนา เป็นต้น การทำความชั่ว มีกายทุจริต วจีทุจริต เป็นต้น ครั้นเราทำความดี ความดีจะตามสนอง ให้เรามีความสุข มีสุคติเป็นที่ไป ครั้นเราทำความชั่ว ความชั่วจะตามสนอง ให้เรามีความทุกข์ มีทุคคติ เป็นที่ไป ... พวกเรา ได้อัตภาพร่างกายมาสมบูรณ์ บริบูรณ์ ก็เป็นเพราะ ปุพเพกตปุญญตา บุญของเราที่ได้ทำมาแต่ปางก่อน พวกเรา จึงไม่ควรประมาท ควรรีบทำคุณความดีละความชั่ว ... พวกเรา มีการมาทำบุญ ให้ทาน มีการสดับรับฟังธรรมะ รักษาศีล ภาวนา ก็พาให้เกิดความสบายใจ นั่นแหละบุญ เห็นกันที่นี่แหละ ไม่ต้องรอตายแล้ว จึงจะไปสวรรค์
    <O:p
    ... ใจดี ก็เป็นสวรรค์แล้ว ใจร้าย ก็เป็นนรก ... การปฏิบัติธรรมนั้น ไม่มีโทษ มีแต่คุณ คือ จิตไม่ขุ่นมัว จิตผ่องใส จิตเบิกบาน จะยืน เดิน นั่ง นอน ก็มีความสุข ไม่มีความทุกข์ จะเข้าสุ่สังคมใด ก็องอาจกล้าหาญ ... การทำความเพียร เมื่อสมาธิเกิดมีขึ้นแล้ว จะไม่มีความหวั่นไหว ไม่มีความเกียจคร้านต่อการงาน ทั้งทางโลกและทางธรรม เพราะ ได้ปัญญา มาเป็นกำลัง ...

    .....เมื่อปัญญา ... เกิดขึ้นแล้ว ก็รู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์ จะเรียนทางโลก ก็สำเร็จ จะเรียนทางธรรม ปฏิบัติก็สำเร็จ ... พระพุทธเจ้า ท่านจึงสั่งสอนอบรม ให้เกิดให้มีขึ้นมา เบื้องต้นตั้งแต่ ศีล เพราะ ศีล เป็นที่ตั้งของสมาธิ สมาธิ เป็นที่ตั้งของ ปัญญา ไม่ว่า ศีล สมาธิ ปัญญา ก็เป็นทางมาแห่งวิมุตติ คือ ความหลุดพ้น ด้วยกันทั้งสิ้น ... ธรรมทั้งหลาย ตกอยู่ในไตรลักษณ์ มี ทุกขา มี อนิจจา มี อนัตตา ... ทั้งสามนี้ ให้สำนึกพึงรู้ไว้ ... ธาตุสี่ ได้แก่ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ ... ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล เมื่อมารวมกันแล้ว ก็แตกดับไป เป็นของไม่แน่นอน เป็น อนิจจัง ไม่เที่ยง ทุกขัง มีแต่ทุกข์ ถ้าใครไปยึดถือไว้ ... ผู้เจริญเมตตาอยู่เสมอ จะไม่ตกต่ำ และ เมตตา จะหนุนตนให้เจริญ จะได้บุญกุศลเพิ่มเติมอยู่เสมอ ผู้ถวายทาน แม้ตั้งร้อยครั้ง ก็ได้ผลบุญสู้ผู้รักษาศีล แม้เพียงครั้งเดียวไม่ได้ ผู้รักษาศีล แม้ตั้งร้อยครั้ง ก็ได้บุญกุศลสู้การเจริญเมตตาภาวนา เพียงครั้งเดียวไม่ได้ ... การเจริญเมตตาภาวนา เพียงชั่วช้างกระดิกหู งูแลบลิ้น ก็ได้ผลบุญมาก ...
    <O:p

    http://www.dhammathai.org/articles/view.php?No=493
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กันยายน 2008
  7. ประทีปน้อยส่องทาง

    ประทีปน้อยส่องทาง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2008
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +10
    อนุโมทนาค่ะ....

    "เมตตาธรรม ค้ำจุนโลก"

    "ปัญญาญาณ ชนะมารในใจ"

    อยากให้โลกนี้ มีคนเมตตาธรรมให้มากๆ จะได้สงบสุขข สันติเสียที.....

    สาธุ สาธุ สาธุ สาธุ
     
  8. junior phumivat

    junior phumivat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    1,346
    ค่าพลัง:
    +1,688
    ผู้ถาม : เมื่อทำบุญแล้ว ถ้าจะอุทิศส่วนกุศลภายหลังจะได้ไหมคะ...........?
    หลวงพ่อ : การทำบุญไปแล้วครั้งหนึ่งสักกี่ปี ๆ บุญก็ยังมีอยู่ถ้าทำไปแล้วสัก ๓๐ ปี ก็ยังอุทิศส่วนกุศลได้ บุญมันไม่หาย ไม่ใช่เราทำบุญแล้ว เดี๋ยวเดียวมันหายไปไม่ใช่อย่างนั้นนะ
    ผู้ถาม :แล้วถ้าเผื่อทำบุญแล้ว ไม่ได้อุทิศส่วนกุศลจะได้บุญเต็มที่ไหมคะ...?
    หลวงพ่อ : ก็ได้เต็มที่อยู่แล้ว เราเป็นผู้ได้สมบูรณ์แบบ แต่อยู่ที่ว่าเราจะให้เขาหรือไม่ให้ การอุทิศส่วนกุศล นี่นะ ถ้าเราไม่ให้ เราก็กินคนเดียวใช่ไหม..... ทีนี้ถ้าเราให้เขาของเราก็ไม่หมดอีก ส่วนที่เราให้ไปไม่ได้ยุบไปจากของเดิม อย่างเรื่องของ พระอนุรุทธ สมัยที่ท่านเกิดเป็นคนเกี่ยวหญ้าช้างของมหาเศรษฐี เวลาที่ท่านทำบุญแล้ว เจ้านายขอแบ่งบุญ ท่านก็สงสัยว่าการแบ่งบุญน่ะจะแบ่งได้ไหม จึงไปถามพระปัจเจกพุทธเจ้า ที่ท่านรับบาตรนะ ท่านก็เปรียบเทียบให้ฟังว่า

    "สมมุติว่าโยมมีคบ แล้วก็มีไฟด้วย คนอื่นเขามีแต่คบ ไม่มีไฟ ทุกคนต้องการแสงสว่าง ก็มาขอต่อไฟที่คบของโยมแล้วคบทุกคนสว่างไสวหมด อยากทราบว่าไฟของคุณโยมจะยุบไปไหม....?
    ท่านอนุรุทธก็บอกว่า ไม่ยุบ
    แล้วท่านก็บอกว่า "การอุทิศส่วนกุศลก็เหมือนกัน ให้เขา เขาโมทนา แต่บุญของเราเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์"


    ขออนุโมทนาบุญกับทุกๆท่านครับ




    ธรรมใดที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงพบแล้ว ขอธรรมนั้น จงสำเร็จแก่ท่านทั้งหลายโดยเร็วด้วยเถิด สาธุ สาธุ สาธุ
    อิทัง ปุญญะผะลัง ผลบุญใด ที่ข้าพเจ้า ได้บำเพ็ญแล้ว ตั้งแต่ต้นชาติ จนถึงปัจจุบันชาติ ข้าพเจ้าขออุทิศส่วนกุศลนี้ ให้แก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ที่เคยล่วงเกินมาแล้ว แต่ชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี ขอเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย จงโมทนา ส่วนกุศลนี้ ขอจงอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้า ตั้งแต่บัดนี้ ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน และขออุทิศส่วนกุศลนี้ ให้แก่เทพเจ้าทั้งหลาย ที่ปกปักรักษาข้าพเจ้า และเทพเจ้าทั้งหลาย ทั่วสากลพิภพ และพระยายมราช ขอเทพเจ้าทั้งหลาย และพระยายมราช จงโมทนาส่วนกุศลนี้ ขอจงเป็นสักขีพยาน ในการบำเพ็ญกุศล ของข้าพเจ้าในครั้งนี้ด้วยเถิด และขออุทิศส่วนกุศลนี้ ให้แก่ท่านทั้งหลาย ที่ล่วงลับไปแล้ว ที่เสวยความสุขอยู่ก็ดี เสวยความทุกข์อยู่ก็ดี เป็นญาติก็ดี มิใช่ญาติก็ดี ขอท่านทั้งหลาย จงโมทนาส่วนกุศลนี้ พึงได้รับประโยชน์ ความสุข เช่นเดียวกับข้าพเจ้า จะพึงได้รับ ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด หากท่านทั้งหลายยังไม่มีโอกาสได้อนุโมทนาเพียงใด ขอเทพเจ้าทั้งหลายและพระยายมราชจงเป็นสักขีพยานให้แก่ข้าพเจ้าด้วย เจอเธอเมื่อใด ขอให้เธอได้อนุโมทนาส่วนกุศลนี้ด้วยเถิด ผลบุญใด ที่ข้าพเจ้า ได้บำเพ็ญแล้ว ตั้งแต่ต้นชาติ จนถึงปัจจุบันชาตินี้ ขอผลบุญนี้ จงเป็นปัจจัย ให้ข้าพเจ้า ได้เข้าถึง ซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเถิด หากแม้นยังไม่ถึงพระนิพพานเพียงใด ขอคำว่าไม่รู้ ไม่มี ในสิ่งที่ดี จงอย่าได้บังเกิดแก่ข้าพเจ้าเลย ขอผลบุญทั้งหลาย ที่ข้าพเจ้า ได้กระทำแล้ว ตั้งแต่ต้นชาติ จนถึงปัจจุบันชาติ จงบังเกิดผล ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด
     
  9. อวยชัย จิรชัยธร

    อวยชัย จิรชัยธร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +662
    โมทนาบุญกับผู้ที่โพสกระทู้นี้ครับ
    ผมกำลังเจอกับเหตุการณ์ที่กำลังลงในกระทู้นี้พอดีครับ
    ผมขออนุญาต copy โพสเก็บไว้อ่านนะครับ
    และจะพยายามทำตามดูนะครับ รู้สึกว่าช่วงนี้ต้องรบรากับสิ่งเหล่านี้มากครับ
    ทำให้ใจเป็นทุกข์ อยากพ้นทุกข์เร็วๆครับ
     
  10. maruko_k

    maruko_k เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    332
    ค่าพลัง:
    +1,318
    อนุโมทนาค่ะ
    แผ่เมตตาทุกวันค่ะ แล้วก็รู้สึกดีจริงๆด้วย
     
  11. ชานนคนไทย

    ชานนคนไทย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,008
    ค่าพลัง:
    +3,128
    ขออนุโมทนาบุญ...สาธุ สาธุ สาธุ ครับ พรหมวิหาร 4 สวัสดีคัรบ
     
  12. lee_

    lee_ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +8
    อนุโมทนาด้วยคนค่ะ เคยโกรธคนบางคนมากๆ จนทำให้เราร้องให้เสียใจตลอด มาได้อ่านตรงนี้หายเลย
     

แชร์หน้านี้

Loading...