พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>ฮว่าหลงเตี่ยนจิง(画龙点睛): วาดมังกรเติมดวงตา
    http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9510000091528
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>2 กันยายน 2551 17:24 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=right border=0><TBODY><TR><TD width=5>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=206 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=206>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> (huà) อ่านว่า ฮว่า แปลว่า วาด
    (lóng) อ่านว่า หลง แปลว่า มังกร
    (diǎn) อ่านว่า เตี่ยน แปลว่า เติม,แต้ม
    (jīng) อ่านว่า จิง แปลว่า ดวงตา

    ในสมัยราชวงศ์เหนือใต้ มีจิตรกรเอกผู้หนึ่ง นามว่า จาง เซิงเหยา ภาพทุกภาพที่เขาวาดต่างงดงามพลิ้วไหวดั่งมีชีวิต โดยเฉพาะภาพสัตว์นั้นมีผู้ยกย่องว่าเมื่อเขาวาดเสร็จราวกับสัตว์เหล่านั้นโลดเล่นออกมาจากผืนผ้าเลยทีเดียว

    ครั้งหนึ่ง จาง เซิงเหยาเดินทางไปท่องเที่ยวยังวัดอันเล่อ และได้วาดภาพมังกร 4 ตัวไว้บนผนังวัด ทว่ามังกรทั้ง 4 ตัวล้วนไม่มีดวงตา ครานั้นจึงมีผู้สงสัยเข้ามาสอบถามจาง เซิงเหยาว่าเหตุใดจึงไม่วาดดวงตาของมังกร?

    จาง เซิงเหยาตอบว่า "ดวงตาเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของมังกร หากข้าพเจ้าเติมมันลงไป ย่อมทำให้มังกรทั้ง 4 ตัวนี้มีชีวิต โผบินหนีขึ้นสู่ท้องฟ้าแล้ว" เมื่อผู้คนได้ฟังดังนั้นต่างพากันหัวเราะด้วยไม่เชื่อถือ คิดว่าจิตรกรผู้นี้เสียสติไปแล้ว

    ทว่าเมื่อจิตรกรเอกจรดปลายพู่กันวาดดวงตาให้มังกรไปได้เพียง 2 ตัว ก็เกิดฟ้าร้องฟ้าผ่า พลันมังกรทั้งสองตัวก็กลับมีชีวิตโผบินหนีขึ้นไปบนท้องฟ้า สร้างความตกตะลึงให้แก้ผู้คนเหล่านั้นป็นอันมาก

    "วาดมังกรเติมดวงตา" ใช้เปรียบเทียบกับการประพันธ์ การพูด หรือการวาดภาพ หากมีประเด็นหลักที่ชัดเจน เกาะกุมใจความสำคัญก็จะทำให้การถ่ายทอดมีความน่าสนใจ ตรงกันข้ามหากขาดใจความสำคัญ บทความ คำพูด หรือภาพนั้นๆ ย่อมไม่มีความน่าสนใจแต่ประการใด
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder id=post107129 cellSpacing=0 cellPadding=9 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: 0px solid; BORDER-TOP: 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: 1px solid; BORDER-BOTTOM: 1px solid">2-8-51, 07:27 PM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: 1px solid; BORDER-TOP: 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: 0px solid; BORDER-BOTTOM: 1px solid" align=right> #830 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px solid; BORDER-TOP: 0px solid; BORDER-LEFT: 1px solid; BORDER-BOTTOM: 0px solid" width=175>sithiphong<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_107129", true); </SCRIPT>
    บ้านเราเหมือนบ้านท่าน
    [​IMG]
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR style="BACKGROUND-IMAGE: url(images/misc/level/red_faded.gif)"><TD width=5 height=11>[​IMG]</TD><TD width="100%" height=11>[​IMG]</TD><TD width=1 height=11>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR style="BACKGROUND-IMAGE: url(images/misc/level/grey_faded.gif)"><TD width=5 height=11>[​IMG]</TD><TD width="100%" height=11>[​IMG]</TD><TD width=1 height=11>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR style="BACKGROUND-IMAGE: url(images/misc/level/green_faded.gif)"><TD width=5 height=11>[​IMG] <TD><TD width="100%" height=11>[​IMG] <TD><TD width=1 height=11>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>​

    [​IMG]

    เป็นสมาชิกเมื่อ: Jun 2006
    สถานที่อยู่: กรุงเทพ
    โพส: 1,735
    ขอบคุณ: 142
    ได้คำขอบคุณ 2,766 ครั้งจาก 1,214 โพส
    บทความ Blog: 5
    [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_107129 style="BORDER-RIGHT: 1px solid"><!-- icon and title -->ตอบ: "พระวังหน้า ที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้....."
    <HR SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->เมื่อสักพักนี้ ผมได้โทร.ไปคุยกับพระอาจารย์ชยางกูร วัดป่าโนนจ่าหอม

    ท่านเล่าให้ฟังว่า ไม้ครูวังหน้า ,พระขรรค์ ,พระกฤช(ผมใช้คำพูดของท่าน) และพระวังหน้าหลายพิมพ์ ท่านบอกว่า ท่านได้นำไปบรรจุในพระพุทธรูปที่ได้สร้างขึ้นใหม่ เป็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่มากๆ ท่านบอกกับผมว่า พลังอิทธิคุณนั้น มีมากมายมหาศาลด้วยพระคุณครูบาอาจารย์(หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร ,สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี และพระอภิญญาใหญ่) ที่ท่านเมตตาอธิษฐานจิตให้

    ผมเองก็ได้กราบเรียนท่านว่า ผมจะนำไม้ครู ,พระขรรค์ ,พระกฤช และพระวังหน้า ถวายท่านเพิ่มเติมด้วย แต่อีกเรื่องที่สำคัญมากๆก็คือ ผมตั้งใจอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามสมณโคดม และพระบรมสารีริกธาตุ พระปัจเจกพุทธเจ้า ถวายท่านด้วย เพื่อที่ท่านได้อัญเชิญประดิษฐานไว้ที่วัดป่าโนนจ่าหอม และวัดอื่นๆที่ท่านเห็นสมควรครับ

    โมทนาสาธุครับ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    15 เรื่องน่ารู้ เกี่ยวกับ ปาก และ ฟัน

    http://hilight.kapook.com/view/28435

    1. รู้จักฟันกันหน่อย

    ฟันเป็นอวัยวะพิเศษที่เจริญมาจากเนื้อเยื้อชั้นนอก (Ectoderm) เช่นเดียวกับผิวหนังหรือเกร็ดของปลา ฟันมี 2 ชุดคือฟันแท้และฟันน้ำนมซึ่งมีโครงสร้างคล้ายๆกันดังนี้

    [​IMG] มีชั้นเคลือบฟัน (Enamel)เป็นส่วนที่อยู่นอกสุดและมีความแข็งที่สุดของฟัน ทำหน้าที่รับน้ำหนักในการบดเคี้ยว มีโครงสร้างเป็นผลึก ไม่มีเส้นเลือดและเส้นประสาท จึงเป็นส่วนที่ไม่ได้รับความรู้สึก เวลาที่ฟันเริ่มผุจึงไม่มีอาการเจ็บปวดใดๆ

    [​IMG] ชั้นเนื้อฟัน (Dentine) เป็นส่วนที่อยู่ถัดจากเข้ามา ประกอบด้วยท่อเล็กๆจำนวนมาก ซึ่งเป็นที่รวมของเส้นประสาทรับความรู้สึก ดังนั้นเวลาฟันผุถึงชั้นนี้ ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการเสียวฟัน

    [​IMG] โพรงประสาทฟัน (Pulp) คือโพรงช่องว่างภายในฟัน เป็นที่อยู่ของเส้นประสาท และเส้นเลือดที่มาหล่อเลี้ยงตัวฟัน ทำหน้าที่ในการรับความรู้สึกร้อน เย็น ปวด เจ็บ กรณีที่ฟันผุมาถึงชั้นนี้ จะไม่สามารถอุดฟันได้

    [​IMG] ชั้นร่องเหงือก (Gingival crevice) คือร่องระหว่างตัวฟันกับขอบเหงือก ปกติจะมีขอบบาง มีความลึกประมาณ 2 มิลลิเมตร แต่ถ้ามีโรคเหงือกอักเสบ หรือเป็นรำมะนาด อาจมีอาการบวม ทำให้ร่องนี้ลึกขึ้น และเกิดการอักเสบมากขึ้นได้

    [​IMG] เหงือก (Gingiva) คือส่วนเนื้อเยื่อที่หุ้มตัวฟัน และกระดูกขากรรไกรไว้

    [​IMG] เคลือบรากฟัน (Cementum) เป็นชั้นบางๆ คลุมเนื้อฟันบริเวณรากฟันไว้ แตกต่างจากเคลือบฟันตรงที่มีความแข็งแรงน้อยกว่า ปกติจะฝังตัวอยู่ในกระดูก แต่ถ้ามีเหงือกร่น หรือเกิดโรครำมะนาด อาจทำให้ส่วนนี้สัมผัสกับน้ำและอากาศ เกิดอาการเสียวฟันได้ กระดูกเบ้ารากฟัน (Alveolar bone) คือส่วนของกระดูกที่รองรับรากฟัน

    2. ฟันแต่ละซี่มีประโยชน์อย่างไร

    [​IMG] ฟันหน้าตัด (Incisor Teeth) อยู่บริเวณหน้าสุด มีทั้งหมด 8 ซี่ ทำหน้าที่กัดอาหาร

    [​IMG] ฟันเขี้ยว (CanineTeeth) เป็นฟันที่มีรากยาวที่สุด มีทั้งหมด 4 ซี่ และมีความแข็งแรงมาก ปลายแหลม ทำหน้าที่ตัด ฉีก และแยกอาหารออกจากกัน

    [​IMG] ฟันกรามน้อย (Premolar or Bicuspid Teeth) จะพบเฉพาะในฟันแท้เท่านั้น รูปร่างคล้ายฟันกรามแต่มีขนาดเล็กกว่า มีทั้งหมด 8 ซี่ ทำหน้าที่ในการบดเคี้ยวอาหารร่วมกับฟันกราม

    [​IMG] ฟันกราม (Molar Teeth) เป็นฟันที่ใหญ่ที่สุดในปาก มีความสำคัญมากเพราะนอกจากจะช่วยในการบดเคี้ยวอาหารแล้ว ยังทำงานร่วมกับฟันเขี้ยวในการคุมทิศทางการเคลื่อนไหวของขากรรไกรอีกด้วย

    3. ฟันสำคัญมากกว่าบดเคี้ยว

    [​IMG] ช่วยในการพูดให้ออกเสียงชัดเจนขึ้น

    [​IMG] ช่วยรักษาโครงสร้างใบหน้า ให้มีความกว้าง ความยาว และความอิ่มของริมฝีปากให้สมดุลกัน

    [​IMG] เป็นส่วนประกอบของบุคลิกภาพ เพราะฟันเป็นส่วนหนึ่งที่มองเห็นได้ง่าย โดยเฉพาะเวลาที่พูดคุยกัน

    4. เกิดอะไรเมื่อเป็นโรคในปาก

    "เมื่อเป็นโรคในช่องปากจะทำให้ร่างกายได้รับอาหารไม่เพียงพอ เพราะความเจ็บปวดที่เกิดจากการเคี้ยวอาหาร จะทำให้เราทานได้น้อย ร่างกายจึงซูบซีด อ่อนเพลียไม่มีแรง นอกจากนั้นหากปล่อยทิ้งไว้ไม่ไปพบทันตแพทย์ เชื้อโรคในช่องปากจะยิ่งลุกลามไปยังอวัยวะข้างเคียง เช่น โพรงจมูก ทำให้เกิดไซนักอักเสบ ทอลซินอักเสบได้"

    5. ฟันผุดูอย่างไร

    ฟันผุ เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียบางชนิด เช่น สเตรปโตคอคไค (Streptococci) ที่อาศัยอยู่บนแผ่นคราบจุลินทรีย์ในปากของเรา ย่อยสลายอาหารจำพวกแป้งและน้ำตาลที่เกาะอยู่ตามชั้นเคลือบฟัน ซึ่งผลพวงจากการย่อยสลาย จะก่อให้เกิดกรดบางชนิด โดยเฉพาะกรดแลกติก ไปทำลายโครงสร้างของฟัน ทำให้เกิดการผุกร่อน

    หากคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังสงสัยว่าฟันผุ เรามีวิธีสังเกตดังนี้ในขั้นต้น จะสังเกตเห็นฟันเป็นสีขาวขุ่นเหมือนสีของนม ผิวฟันมีลักษณะด้าน ไม่มันเหมือนฟันปกติ ต่อมาจะเห็นได้ชัดว่าผิวฟันซี่นั้นมีลักษณะขรุขระไม่เรียบ และมีอาการเสียวฟันบ่อยๆ ทั้งนี้หากปล่อยไว้ไม่รักษาให้ลุกลามไปจนถึงโพรงประสาทฟันซึ่งเป็นที่อยู่ ของเส้นประสาทรับความรู้สึก อาจทำให้เกิดอาการเจ็บปวด เคี้ยวอาหารไม่ได้ และก่อให้เกิดฝีในเหงือกได้ค่ะ

    6. เลือดออกตามไรฟัน สัญญาณเหงือกอักเสบ

    เวลามีเลือดออกตามไรฟัน เรามักจะคิดกันว่าร่างกายขาดวิตามินซี จริงๆ แล้วสำหรับคนที่รับประทานผัก และผลไม้เป็นประจำตลอดทั้งปี โอกาสขาดวิตามินซีถึงขนาดเลือดออกตามไรฟันมีน้อยมาก และสำหรับผู้ที่กินผักและผลไม้เป็นประจำ แต่มีอาการเลือดออกตามไรฟันบ่อยๆโดยไม่ทราบสาเหตุนั้น ทันตแพทย์อนุศักดิ์ คงมาลัย กล่าวไว้ว่า เป็นอาการของคนที่ป่วยเป็นเหงือกอักเสบค่ะ ยิ่งหากใครที่แปรงฟัน (อย่างถูกต้อง) แล้วมีเลือดติดที่ขนแปรงเป็นประจำ ร่วมกับเวลาบ้วนปากด้วยน้ำปกติแล้วมีเลือดปนออกมาด้วย ให้รู้ในทันทีว่าอาการเหงือกอักเสบมาเยือนคุณแล้ว


    [​IMG]


    7. เศษอาหาร ตัวการโรคเหงือกอักเสบ

    หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ไม่ค่อยใส่ใจในสุขภาพฟันของตัวเองเท่าไรนัก ปล่อยให้เศษอาหารที่รับประทานเข้าไปตกค้างอยู่ตามซอกเหงือก ร่องฟัน ขอบเหงือก พึงรู้ไว้เลยค่ะว่า มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเหงือกอักเสบมากทีเดียว เพราะเศษอาหาร เป็นตัวกระตุ้นสำคัญที่ทำให้จุลินทรีย์ในช่องปากแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดหินปูน และการติดเชื้อของเนื้อเยื่อรอบๆ ตัวฟัน นอกจากนี้หินปูนที่เกาะอยู่บนฟันเป็นเวลานาน จะเปลี่ยนสภาพจากแข็งเป็นนิ่ม จับตัวกันเป็นแผ่นหนาขยายไปตามรากฟัน จนไปบาดเหงือก ทำให้เหงือกระคายเคือง อักเสบบวมแดง เหงือกร่น เป็นโรคเหงือกอักเสบได้ในที่สุด และหากปล่อยไว้ไม่รักษา อาจทำให้ฟันโยก เคี้ยวอาหารไม่ได้ และอาจรุนแรงถึงขั้นเป็นฝีที่เหงือกได้

    8. รำมะนาด อันตรายที่คุณคาดไม่ถึง

    ถ้าจะถามว่า ปัจจุบันคนส่วนใหญ่สูญเสียฟันด้วยโรคอะไรมากที่สุด คำตอบที่ได้ ไม่ใช่โรคฟันผุแต่อย่างใดค่ะ ทว่าคือโรครำมะนาด เรามาทำความรู้จักกับโรคนี้กันหน่อยดีกว่าโรครำมะนาด หรือ โรคปริทันต์อักเสบ เกิดจากเนื้อเยื่อหรืออวัยวะรอบๆ ตัวฟัน คือ เหงือก เนื้อเยื่อปริทันต์ และกระดูกเบ้ารากฟันซึ่งทำหน้าที่ช่วยยึดฟันให้ตรึงแน่นอยู่กับขากรรไกรมี อาการอักเสบอย่างรุนแรง ส่งผลให้เกิดอาการบวมแดงที่เหงือก มีกลิ่นปากเนื่องจากการบูดเน่าของเนื้อเยื่อที่ใต้ซอกฟัน ทำให้เกิดอาการปวด เหงือกอักเสบ ฟันโยกคลอน หากปล่อยไว้ไม่รักษาอาจลุกลามจนเป็นหนองได้ ทั้งนี้โรครำมะนาดจะไม่แสดงอาการผิดปกติใดๆให้ทราบล่วงหน้า จนกว่าเข้าสู่ระยะสุดท้ายซึ่งรักษาไม่ได้แล้ว คนส่วนใหญ่จึงจำต้องปล่อยให้ฟันหลุดไปอย่างน่าเสียดาย

    9. หินปูนคืออะไร

    หินปูน หรือหินน้ำลาย เกิดจากเศษอาหารที่ตกค้างในช่องปาก กระทั่งกลายเป็นคราบจุลินทรีย์ที่มองไม่เห็น ต่อมาเมื่อมีแคลเซียมในน้ำลายเข้าไปทำปฏิกิริยา จะตกตะกอนสะสมอยู่บนฟัน หากไม่ได้แปรงฟันหรือทำความสะอาดไม่ดีพอ แผ่นจุลินทรีย์นั้นก็จะสะสมยึดติดที่คอฟันจนแน่น ไม่สามารถกำจัดออกได้ กลายเป็นสีเหลือง สีน้ำตาล หรือสีดำ ทำให้กลายเป็นโรคเหงือกอักเสบได้ในที่สุด

    10. ทำไมต้องผ่าฟันคุด

    ฟันคุด คือ ฟันที่ขึ้นในช่องปากเป็นซี่สุดท้ายของแถวฟันด้านในสุด ในช่วงอายุราว 25 ปี การงอกของฟันคุด มักสร้างความเจ็บปวดให้กับเจ้าของเป็นอย่างมาก เพราะมักจะเกิดอาการอักเสบบวมแดงของเหงือกรอบฟันคุด และปวดร้าวไปทั่วทั้งกราม

    นอกจากนี้ ฟันคุดยังมีโอกาสผุได้ง่ายกว่าฟันซี่อื่นๆ เนื่องจากอยู่ด้านในสุดทำความ สะอาดยาก และหากปล่อยให้มีการอักเสบรุนแรง จนเกิดการติดเชื้อกระจายไปถึงเนื้อเยื่อภายในกระพุ่งแก้ม อาจทำให้เกิดอาการขากรรไกรบวมได้ ด้วยเหตุนี้ใครที่มีฟันคุด ทันตแพทย์จึงแนะนำให้ผ่าออกค่ะ
    11. ฟลูออไรด์มากไปใช่ว่าดี

    แม้ฟลูออไรด์จะช่วยป้องกันฟันผุ แต่หากได้รับมากเกินไปก็เกิดผลเสียต่อร่างกายได้เช่นกันคือ ทำให้ฟันตกกระ ในขณะที่หน่อฟันกำลังเจริญเติบโต (แรกเกิดถึง 12 ปี )หากร่างกายได้รับฟลูออไรด์ในน้ำดื่มสูงกว่าสองส่วนในล้านส่วนขึ้นไป จะทำให้ฟันเปลี่ยนสีได้ตั้งแต่สีขาวขุ่น น้ำตาล ไปจนถึงน้ำตาลเข้ม (ด้วยเหตุนี้เด็กที่อายุต่ำกว่า 7 ปีจึงไม่ควรกินหรือกลืนยาสีฟัน) ทำให้เกิดภาวะผิดปกติเฉียบพลันในร่างกาย ในกรณีที่ร่างกายได้รับฟลูออไรด์ขนาด250 มิลลิกรัมขึ้นไปโดยทันที ฟลูออไรด์จะเข้าไปสร้างความระคายเคืองต่อเยื่อยุกระเพาะอาหาร ทำให้คลื่นไส้และอาเจียน ท้องเดินชักเกร็ง และอาจหมดสติถึงตายได้ (มักเกิดกับเด็กที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์)

    12. ข้อเสียของฟันปลอม

    การใส่ฟันปลอมที่ไม่ถูกสุขลักษณะ จะเป็นตัวเร่งสำคัญที่ทำให้ฟันซี่ที่ผุอยู่แล้ว ลุกลามมากขึ้น อาจลุกลามทะลุถึงโพรงประสาทฟัน นอกจากนี้ฟันปลอมยังทำให้เกิดปัญหาเจ็บเหงือก เคี้ยวอาหารไม่ถนัด เป็นเหตุให้ระบบทางเดินอาหารต้องรับภาระในการย่อยอาหารหนักขึ้น จนอาจทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหารหรือลำไส้ตามมาได้

    13. วิธีลดอาการปวดฟัน

    อาการปวดฟัน (Toothache) ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากฟันผุ ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่อยากหายทรมานจากอาการปวดฟัน เรามีข้อแนะนำง่ายๆ ต่อไปนี้คะ

    [​IMG]ในกรณีที่อาการปวดฟันมีลักษณะปวดตุบๆ ให้ใช้น้ำแข็งประคบที่ด้านข้างของใบหน้าประมาณ 5 - 10 นาที ทุกๆ ครึ่งชั่วโมง ความเย็นจะช่วยลดอาการปวดและบวมได้

    [​IMG]เลี่ยงอาหารที่ร้อนจัด เย็นจัด และหวานจัด โดยเฉพาะชา กาแฟ และไอศกรีม เพราะจะยิ่งกระตุ้นให้ปวดฟัน และควรงดอาหารแข็งประเภทต้องใช้วิธีกัดกิน เช่น แครอท ฝรั่งที่ยังไม่สุก เพราะการขบกัดแรงๆ จะกระตุ้นให้เกิดอาการปวดฟันมากขึ้น

    [​IMG]ในกรณีที่อุดฟัน ควรหลีกเลี่ยงการเคี้ยวหมากฝรั่งอย่างเด็ดขาด เพราะนอกจากจะทำให้ปวดฟันมากขึ้นแล้ว ยังจะทำให้สารที่อุดฟันไว้หลุดออกง่ายขึ้นอีกด้วย

    14. ขูดหินปูน เมื่อไหร่ถึงจะดี

    ควรไปขูดหินปูนอย่างน้อยปีละสองครั้งครับ ทั้งนี้บางคนหินปูนขึ้นช้า บางคนขึ้นเร็ว 6 เดือนเป็นระยะเวลาเฉลี่ย แต่ทั้งนี้ต้องไปพบทันตแพทย์เช็คสภาพฟันโดยละเอียดอย่างน้อยปีละครั้ง

    15. ทำไมต้องแปรงลิ้น

    ลิ้นของเรามีลักษณะเป็นปุ่มเล็กๆ มีหน้าที่รับรสอาหารต่างๆ ลิ้นจึงเป็นที่ชื่นชอบของเชื้อแบคทีเรียและจุลินทรีย์บางชนิดเป็นอย่างมาก มันจึงอาศัยอยู่และคอยแบ่งอาหารบนลิ้นไปด้วย หากเราแปรงฟันโดยไม่แปรงลิ้น เชื้อโรคที่เกาะแน่นอยู่ที่ลิ้นก็จะไม่ถูกกำจัดออกไป ปล่อยไว้อาจทำให้มีกลิ่นปากและฟันผุได้

    การแปรงลิ้นนอกจากจะช่วยให้ประสาทการรับรสของเราดีขึ้นแล้ว ยังป้องกันปัญหากลิ่นปากได้ด้วย ทั้งนี้การแปรงลิ้นควรเริ่มแปรงจากส่วนในของลิ้น ออกมาทางปลายลิ้นสัก 2-3 ครั้ง โดยให้แปรงอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง ก็จะทำให้ลิ้นมีสุขภาพดีขึ้นค่ะ




    ขอขอบคุณข้อมูลจาก ชีวจิต
    [​IMG]
    ภาพประกอบทางอินเทอร์เน็ต​
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เริ่มต้นที่คำถาม ... แล้วคำตอบจะปรากฏ

    http://hilight.kapook.com/view/28438




    [​IMG]


    เพราะไม่รู้จักตั้งคำถามให้กับชีวิต เราจึงต้องตกเป็นทาสทางความคิดฝ่ายลบของตนเอง และผู้อื่นอยู่ร่ำไป ตกเป็นทาสการถูกครอบงำ ทางจิตวิญญาณที่ซ่อนอยู่ในตัวเรา ทำให้จิตเดิมแท้ที่ควรจะไดรู้แจ้งเห็นจริงในชีวิตเลือนหายไป

    การใช้ชีวิตของคนเรานั้น ย่อมมีวิถีทางแห่งการสร้างสุข และแสวงหาคำตอบให้กับตัวเองไม่เหมือนกัน ทุกคำตอบที่เกิดขึ้นในใจ ล้วนมีที่มาในความเข้าใจของแต่ละคน จะมีการกะเกณฑ์ความรู้สึกนึกคิดของแต่ละคน ให้อยู่ในกรอบเดียวกันย่อมเป็นไปได้ยาก ถึงจะบังคับได้ ก็คงเพียงแค่ควบคุมทางกายเท่านั้น แต่ความรู้สึกในใจก็ยังถวิลหาสิ่งที่เป็นความฝันของตัวเองอยู่ดี

    แต่เมื่อเราพิจารณาสิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้คนในโลกใบนี้ กลับเห็นว่าไม่ว่ากี่ยุคสมัยผ่านมา ทุกคำตอบที่เราเดินตามกันมาหลายชั่วอายุคน กลับปรากฏว่า ไม่มีคำตอบใดที่ทำให้หายสงสัยในเรื่องการเกิดสักที

    ยิ่งแสวงหาคำตอบให้ชีวิตก็ยิ่งว้าวุ่น และสับสนเข้าไปทุกขณะ เสมือนว่าคำตอบที่ได้รับมานั้นเป็นคำโกหกจากรุ่นสู่รุ่นไม่รู้จบ จึงทำให้เราวนเวียนอยู่ในวังวนของความทุกข์ และปัญหาอยู่ร่ำไป ทำให้ชีวิตที่เป็นอยู่นี้เหมือนกับว่ามีความสุข แต่เป็นความสุขที่ห่อหุ้มด้วยความหลอกลวงตัวเองไปวันๆ เพราะเมื่อเราหันกลับไปมองอดีตที่เป็นคำถามในชีวิต และคำตอบที่ปรากฏในปัจจุบัน จะเห็นได้ว่าเป็นคำตอบเดิมๆ ที่เหมือนกับว่าเราถูกกรอกข้อมูลไว้ว่า

    "ชีวิตต้องเป็นอย่างนี้เท่านั้น จึงชื่อว่าประสบความสำเร็จและมีความสุข"

    เกิดมาต้องมีหน้าตาดี และเป็นลูกคนรวย ต้องเรียนหนังสือในสถาบันที่มีชื่อเสียง ต้องมีงานทำที่ดี และมีรายได้สูง ต้องมีคู่ครองที่คู่ควรแก่เกียรติยศของตัวเอง ต้องมีรถ มีบ้าน และสมบัติพัสถานที่เชิดหน้าชูตา ต้องมีลูกเป็นโซ่ทองคล้องใจให้ครอบครัวสมบูรณ์แบบ ต้องมีเกียรติยศชื่อเสียง และอำนาจในการดูแลชีวิตของตน และคนรอบข้างให้มีความสุข และปลอดภัย ฯลฯ

    คำตอบเหล่านี้เหมือนกับว่า ทุกคนที่เกิดมาต้องเดินบนถนนเส้นนี้เท่านั้น ถ้าเดินเส้นทางอื่นถือว่าไม่ใช่ความสำเร็จที่ชาวโลกวาดหวังไว้

    แต่ผู้เขียนกลับมีความเห็นว่า ทั้งๆ ที่เราพยายามเดินตามเส้นทางที่มีมาแต่ครั้งบรรพกาล แต่ความสุขของคนเราก็มิได้เพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมแต่อย่างใด คำตอบที่เราเข้าใจว่าเป็น "ความสุข" และ "ความสำเร็จ" ในชีวิตนั้น กลับต้องลงทุนลงแรงในการแสวงหาเพิ่มมากขึ้น

    สิ่งที่ตามมาก็คือ ถูกความเห็นแก่ตัวเข้ามาครอบงำตัวตนเสียจนหมดสิ้น ทำให้ชีวิตพลาดจากเส้นทางเดิมแท้ อันเป็นความงดงามอย่างน่าเสียดาย พลาดจากความเป็นชีวิตเดิมแท้ที่บริสุทธิ์ พลาดจากความสุขที่ไม่ต้องลงทุนด้วยการเห็นแก่ตัว พลาดจากความสำเร็จอันนำมาซึ่งความดีงาม และมิตรภาพที่พึงมีต่อผู้คนรอบข้าง พลาดจากความดับทุกข์ในใจที่ควรจะประสบในชีวิตนี้ เพราะไม่รู้จักตั้งคำถามให้กับชีวิต เราจึงต้องตกเป็นทาสทางความคิดฝ่ายลบของตนเอง และผู้อื่นอยู่ร่ำไป ตกเป็นทาสการถูกครอบงำทางจิตวิญญาณที่ซ่อนอยู่ในตัวเรา ทำให้จิตเดิมแท้ที่ควรจะได้รู้แจ้งเห็นจริงในชีวิตเลือนหายไป

    "ชีวิตที่ดีงามเริ่มต้นที่คำถามที่แท้จริง" จึงเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาด้วยตัวของเราเอง เพราะหากมีคำถามที่ชัดเจนในตัวเอง ชัดเจนทั้งทางความคิดและการกระทำ ทางออกที่มีอยู่ซึ่งอาจไม่เหมือนใคร แต่เป็นทางออกของความสุขที่แท้จริง ย่อมมีโอกาสเปิดเผยความจริงอีกด้านหนึ่งให้ปรากฏได้ เป็นความจริงที่ไม่อิงความสุขและความสำเร็จจากสิ่งอื่นใด

    ในความรู้สึกส่วนตัวเกี่ยวกับคำถามเรื่องชีวิต ผู้เขียนประทับใจในคำถามของ "พระพุทธเจ้า" ผู้เป็นจอมตรัยแห่งพระพุทธศาสนา เพราะหากเราศึกษาชีวิตของพระองค์ จะเห็นได้ว่าถ้าเปรียบเทียบความร่ำรวยในด้านทรัพย์สมบัติ และเกียรติอำนาจ พระองค์ไม่ได้ด้อยกว่าใครอื่นในโลก แต่พระองค์ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่คนอย่างเราจะประสบได้ในชีวิตนี้

    แต่น่าแปลกใจก็คือพระองค์กลับมองว่า ชีวิตที่เกิดมาท่ามกลางความเกิด แก่ เจ็บ และตายเหล่านี้ เป็นสิ่งที่นำมาซึ่งความทุกข์ ทำให้คนเราจมอยู่กับวังวนแห่งความทรมานมิรู้จบ ถึงจะแสวงหาทางออกให้หลุดพ้นตามวิธีของชาวโลกอย่างไร ก็ยังชื่อว่าเป็นไปเพื่อการเวียนวนอยู่ในวิถีเดิมอยู่ดี

    ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงตั้ง "คำถามใหม่" ให้กับชีวิตของพระองค์เอง เป็นคำถามที่ต้องการออกจากกรอบเดิมๆ ที่เคยมี เพื่อการหลุดพ้นจากความเกิด แก่ เจ็บ ตายอย่างที่ผ่านมา และจากวังวนของความทุกข์ที่น่ากลัวเหล่านั้น สุดท้ายพระองค์จึงตัดสินพระทัยก้าวออกจากความเป็นพระราชาแห่งสมมุติแบบชาวโลก เพื่อค้นหาความจริงและความหลุดพ้นให้กับตัวเอง จนสามารถค้นพบคำตอบของชีวิตที่ปรารถนา และได้คำตอบที่เป็น "ความสุขอันยั่งยืน" กระทั่งได้รับการขนานนามว่า "พระพุทธเจ้า" ในเวลาต่อมา

    บางคนอาจจะปฏิเสธในใจว่า "ฉันทำอย่างพระพุทธเจ้าไม่ได้หรอก" แต่หากปรารถนาความสุขที่ไม่ต้องอาศัยทรัพย์และเกียรติยศชื่อเสียงมาเติมเต็มให้ชีวิตนี้ เราก็ต้องรู้จักปฏิวัติชีวิตของตัวเองให้ได้ ต้องรู้จักแสวงหาจุดยืนที่ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับจิตใจ ถึงแม้ว่าจะยากลำบากสักเพียงใดหรือมิอาจเทียบเท่าพระองค์ก็ตาม แต่อย่างน้อยได้มีโอกาสเรียนรู้ตามรอยบาทของพระองค์บ้างก็ยังดี เพราะถ้าเรายอมจมอยู่กับวิถีชีวิตแบบเดิมๆ โดยมีความทุกข์คอยตบหน้าให้น้ำตาริน หรือหมองเศร้า เพราะสิ่งที่เราปรารถนาไม่รู้จบอยู่นั้น ก็ถือว่าเป็นสิทธิ์ของเรา

    แต่ถ้ามีทางเลือก และมีโอกาสแสวงหาความสุขที่ดีกว่าให้ตัวเอง ทำไมเราไม่ยอมที่จะ "ตั้งคำถามใหม่ให้กับชีวิตของตัวเองล่ะ" แม้ในเบื้องต้นอาจจะยากลำบากในการหาคำตอบ หรือความเป็นบวกของความสุขให้เจอได้ แต่ครั้นเรารู้จักเรียนรู้ที่จะตอบคำถามที่ตั้งขึ้นมาใหม่ด้วยวิธีการใหม่ๆ ที่นำมาซึ่งความสุขอันแท้จริงได้แล้ว ชีวิตที่ดำรงอยู่คงไม่ต้องหวังพึ่งวัตถุภายนอกมากจนเกินไป

    เพราะความสุขที่แท้จริงมีอยู่ในตัวเราทุกคน เว้นเสียแต่ว่าจะเปิดใจยอมรับที่จะค้นหา และตอบคำถามใหม่ที่ซ่อนอยู่ในใจเราหรือไม่เท่านั้นเอง เริ่มต้นที่การมีคำถามให้กับชีวิต แล้วคำตอบที่ค้างคาใจจะค่อยปรากฏชัดได้ในสักวัน


    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
    [​IMG]

    จากหนังสือ ทำใจเสียบ้าง แล้วทุกอย่างจะดีขึ้น
    แต่งโดย: ชุติปัญโญ

    ภาพประกอบทางอินเทอร์เน็ต
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    หนุ่มจีนช็อก! ฟ้าผ่าเปรี้ยง นาทีสาบานมั่ว

    http://hilight.kapook.com/view/28431

    [​IMG]


    หนังสือพิมพ์เซี่ยงไฮ้เดลี่ รายงานว่า เกิดเรื่องฮือฮาขึ้นในเมืองฟู่ฉิง มณฑลฟูเจี้ยน ทางภาคตะวันออกของจีน หลังจากหนุ่มจีนลั่นคำสาบานขอให้ฟ้าดินลงโทษ ถ้ายืมเงินเพื่อนไปแล้วทำลืมไม่ยอมคืน ปรากฏว่าสาบานจบไม่ทันขาดคำฟ้าก็ผ่าเปรี้ยงลงมาใส่ร่าง ต้องรีบนำตัวส่งโรงพยาบาล

    รายงานระบุว่า เมื่อสามปีก่อน นายซู่ยืมเงินจากนายหวง 500 หยวน หรือราว 2,500 บาท เพื่อนำไปซื้อของขวัญวันมงคลสมรส แต่จนถึงปัจจุบันยังไม่คืน อ้างว่าจำไม่ได้ กระทั่งเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา นายหวงทนไม่ไหว เดินถือท่อนไม้บุกไปยังบ้านของนายซู่หวังทวงเงินคืน ​

    อย่างไรก็ตาม นายซู่ปฏิเสธเช่นเดิม ทั้งยังหยิบท่อนเหล็กขึ้นมาเตรียมสู้กับเพื่อน ทำให้นายหวงท้าให้นายซู่สาบานต่อหน้าฟ้าดินว่าไม่ได้ขอยืมเงินตนไปจริงๆ ขณะที่นายซู่รีบชูท่อนเหล็กขึ้นฟ้ากล่าวคำสาบานทันที แต่ทันทีที่พูดจบฟ้าก็ผ่าลงมาใส่ร่าง ต้องรีบหามส่งโรงพยาบาล ซึ่งเคราะห์ดีไม่เจ็บหนักถึงขั้นเสียชีวิต


    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
    [​IMG]
    ภาพประกอบทางอินเทอร์เน็ต​
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ขอโทษ VS ให้อภัย ... 2 คำสั้นๆ ที่มีความหมายยิ่งใหญ่นัก

    http://hilight.kapook.com/view/28241


    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
    ขอขอบคุณผู้วาดภาพและบรรยายเนื้อหา โดย คุณกะว่าก๋า

    คนเราเมื่ออยู่ร่วมกันไม่ว่าจะในสังคมใดหรือที่ไหน ย่อมต้องมีการกระทบกระทั่งกันบ้าง และผลของการกระทบกันนี้ย่อมทำให้คู่กรณีเกิดความไม่พอใจ โกรธเคือง และอาจกลายเป็นศัตรูกันในที่สุด หากเป็นเช่นนี้แล้วทั้งสองฝ่ายย่อมเกิดการอาฆาต พยาบาทกันแน่นอน แต่หากทั้งสองฝ่ายรู้จัก "ขอโทษ" และ "ให้อภัย" ความโกรธ เกียจ เหล่านี้ย่อมหมดไป

    "ขอโทษ" และ "ให้อภัย" เป็นเรื่องที่ทำยาก เพราะมันต้องมาจากการให้อภัย โดยไม่มีเงื่อนไขหรือข้อแม้ใดๆ บางคนอาจบอกว่า หาก "ขอโทษ" และ "ให้อภัย" จะเป็นการเสียศักดิ์ศรีหรือการเป็นผู้แพ้ แต่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่. . . ถ้าคุณรู้จักให้อภัยและขอโทษคุณจะเป็นผู้ชนะต่างหาก ชนะใจตนเอง และเป็นผู้กล้าหาญ ที่คุณยอมรับความผิดนั้นได้ แล้วก็ยอมขอโทษ ในสิ่งที่ได้กระทำลงไป . . . . ​

    อย่างไรก็ตามเมื่อพูดถึงคำ 2 คำนี้แล้ว ก็ทำให้นึกถึงการ์ตูนของคุณกะว่าก๋า เรื่องหมื่นตากับการให้อภัย แล้วอยากนำเสนอให้เพื่อนๆ ได้อ่านกัน และรู้จักกล่าวคำ "ขอโทษ" ทุกครั้งที่ทำผิด และ "ให้อภัย" ทุกครั้งเมื่อได้ฟังคำขอโทษ หากทุกคนรู้จักคำ 2 คำนี้แล้ว เชื่อว่าสังคมไทยคงจะสงบสุข ร่มเย็นแน่นอนค่ะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1_454.jpe
      1_454.jpe
      ขนาดไฟล์:
      44.5 KB
      เปิดดู:
      36
    • 2_188.jpe
      2_188.jpe
      ขนาดไฟล์:
      61.8 KB
      เปิดดู:
      54
    • 3_88.jpe
      3_88.jpe
      ขนาดไฟล์:
      60.7 KB
      เปิดดู:
      43
    • 4_55.jpe
      4_55.jpe
      ขนาดไฟล์:
      46.3 KB
      เปิดดู:
      45
    • 5_39.jpe
      5_39.jpe
      ขนาดไฟล์:
      79.2 KB
      เปิดดู:
      39
    • 6_27.jpe
      6_27.jpe
      ขนาดไฟล์:
      78.9 KB
      เปิดดู:
      44
    • 7_22.jpe
      7_22.jpe
      ขนาดไฟล์:
      80.6 KB
      เปิดดู:
      39
    • 8_17.jpe
      8_17.jpe
      ขนาดไฟล์:
      72.1 KB
      เปิดดู:
      36
    • 9_18.jpe
      9_18.jpe
      ขนาดไฟล์:
      55 KB
      เปิดดู:
      42
    • 10_15.jpe
      10_15.jpe
      ขนาดไฟล์:
      45.9 KB
      เปิดดู:
      36
    • 11_16.jpe
      11_16.jpe
      ขนาดไฟล์:
      66.2 KB
      เปิดดู:
      37
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมรู้น๊ะว่า คุณเพชรไม่กดอนุโมทนา เพราะอะไร เหอๆๆๆๆๆ
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    วันที่นัดพบกันในครั้งหน้า ห้ามพลาดอีกเช่นกัน ผมจะอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามสมณโคดม ไปมอบให้กับทุกๆท่านที่ได้ไปพบกัน

    แต่ที่ขาดไม่ได้ ผมจะนำพระพิมพ์ไปให้ชมกัน เพื่อศึกษาเป็นองค์ความรู้ที่หาได้ยาก และไปฟังท่านอาจารย์ประถม อธิบายให้ฟังเรื่องขององค์ความรู้ต่างๆ

    พลาดแล้วพลาดเลยครับ
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>Q&A Corner : สิทธิทางภาษีของกองทุนรวมRMF
    http://www.manager.co.th/MutualFund/ViewNews.aspx?NewsID=9510000103479
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>2 กันยายน 2551 10:40 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> คำถาม - ซื้อกองทุนรวมRMF เมื่อตอนอายุ 54 ปี เมื่อใช้สิทธิทางภาษีแล้ว ถามว่า 1. เมื่ออายุครบ 55 ปี สามารถขายได้เลยหรือไม่ หรือจะต้องถือให้ครบระยะ 5 ปีก่อนจึงจะขายได้ โดยที่ไม่ผิดเงื่อนไขทางภาษี 2. RMFต้องฃื้อต่อเนื่องติดต่อกัน 5 ปี (เว้นได้ 1 ปี)จึงจะมีสิทธิทางภาษี แปลว่า จะต้องซื้อRMF ทุกปี หรือว่าให้ถือต่อเนื่องที่ชื้อไว้ให้ครบ 5 ปี หากให้ฃื้อทุกปีในเวลา 5 ปีจะต้องฃื้อจากกองทุนรวมRMFที่เดิมหรือไม่ 3.หากต้องฃื้อทุกปีในเวลา 5 ปี(เว้นได้ 1 ปี) ถามว่าในปีที่ 6 จะขายทั้งหมดพร้อมกันเลย ผิดเงื่อนไขภาษีหรือไม่ หรือว่าแต่ละรุ่น(ปี)ที่ฃื้อ จะต้องถือไว้ให้ครบรุ่นละ 5 ปีก่อน จึงจะขายได้โดยไม่ผิดเงื่อนไขทางภาษี TRITSADEE

    ตอบ - ทางเจ้าหน้าที่สมาคมบริษัทจัดการกองทุนเเละคุณพอเพียงได้ตอบคำถามดังนี้ครับ เงื่อนไขการลงทุนของ RMFนั้น1.ลงทุนอย่างต่อเนื่องทุกปี โดยซื้อหน่วยลงทุนของ RMF ไม่น้อยกว่า 1 ครั้ง 2.ลงทุนขั้นต่ำ 3% ของเงินได้ในแต่ละปี หรือ 5,000 บาท ( แล้วแต่ว่าจำนวนใดจะต่ำกว่า ) 3. ไม่ระงับการซื้อหน่วยลงทุนเกินกว่า 1 ปี ติดต่อกัน ( ยกเว้นปีใดที่ไม่ได้มีเงินได้ ก็ไม่ต้องลงทุน ) และ4. ลงทุนและถือหน่วยลงทุนจบอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ และมีการลทุนมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ซื้อหน่วยลงทุนครั้งแรก ( การนับให้นับเฉพาะปีทีมีการลงทุนเท่านั้น ) หมายความว่า ปีใดไม่มีการลงทุนจะไม่นับอายุการลงทุนในปีนั้น ๆ ค่ะ

    โดยเจ้าหน้าที่จากสมาคมได้ตอบคำถามดังนี้ครับ 1. การซื้อครั้งแรก เมื่อตอนอายุ 54 ปี แล้วพออายุครบ 55 ปี ขายคืนจะทำให้ผิดเงื่อนไขที่กรมสรรพากรกำหนดครับ ตามที่ คุณเพียงพอแจ้งไว้แล้ว หรือเมื่อซื้อตอนอายุ 54 ปี แล้วหลังจากนั้นไม่ซื้ออืกเลยติดต่อกัน 2 ปี ก็จะทำให้ผิดเงื่อนไขการลงทุนเช่นกัน เนื่องจากว่าแม้จะอายุครบ 55 ปีแล้วแต่มีจำนวนปีที่มีการลงทุนเพิ่มตามเงื่อนไขที่กรมสรรพากรกำหนดยังไม่ครบ 5 ปี

    2. ต้องซื้อทุกปีโดยสามารถใช้สิทธิเว้นการลงทุนได้ไม่เกิน 1 ปีติดต่อกันครับ แต่ถ้าอายุครบ 55 ปีแล้วมีปีในการลงทุนอย่างต่อเนื่องตามที่กล่าวในข้อ 1 อีกไม่น้อยกว่า 5 ปี ผู้ลงทุนนั้นจะซื้อหรือไม่ซื้อเพิ่มอีกก็ได้ครับ อย่างไรก็ดี ในการซื้อกองทุนรวม RMF นั้นไม่ได้มีข้อจำกัดแต่อย่างใดว่าต้องซื้อแต่กองทุนเดิมเท่านั้นครับ

    3. การซื้อต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 5 ปีนั้นจะสามารถขายคืนได้ทั้งหมดพร้อมกันโดยได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีเมื่อมีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ครับ

    หากท่านผู้อ่านมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการลงุทนในกองทุนรวม สามารถส่งคำถามมาได้ที่อีเมล์ fund@manager.co.th หรือโพสต์คำถามไว้ที่ www.manager.co.th ในหน้ากองทุนรวม ทีมงานเต็มใจที่จะหาคำตอบให้ทางผู้อ่านได้ทราบอย่างเเน่นอนครับ

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>เกษียณแล้ว ลงทุนอย่างไรดี!
    http://www.manager.co.th/MutualFund/ViewNews.aspx?NewsID=9510000103477
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>2 กันยายน 2551 10:40 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=right width=1 height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=bottom align=middle background=/images/linedot_hori.gif height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=bottom align=left width=1 height=1>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=center align=middle width=1 background=/images/linedot_vert.gif>[​IMG]</TD><TD><TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=center align=middle width=1 background=/images/linedot_vert.gif>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=right width=1 height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle background=/images/linedot_hori.gif height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=left width=1 height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=middle>ถ้าถึงเวลาเกษียณแล้ว นั่นหมายถึงไม่มีเวลาสำหรับจะเตรียมกันแล้ว เพราะปกติการวางแผนการลงทุนที่ถูกหลักอนามัยนั้น ใครเริ่มทำก่อนก็ค่อนข้างจะได้เปรียบเอามากๆ เปรียบได้กับเต่าและกระต่ายในนิทานอีสป เนื่องจากดอกผลของผลตอบแทนที่ได้รับในปีแรกๆจะยิ่งทบเท่าทวีคูณมากยิ่งขึ้นอย่างมากในปีหลังๆ</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=left height=12>[​IMG]</TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=7 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>คอลัมน์ Money DIY
    โยแมน
    yeomanwarders-dailymanager@yahoo.com


    วันก่อนได้มีโอกาสไปแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้บริหาร และพนักงานขององค์กรพิเศษของรัฐแห่งหนึ่งที่กำลังเตรียมตัวเกษียณในเดือนหน้านี้ ก็ให้นึกได้ครับว่า ส่วนใหญ่เราจะพูดกันถึงแต่เรื่องเตรียมตัวก่อนเกษียณ แต่ไม่กลับไม่ค่อยมีการพุดถึงการเตรียมตัวใช้ชีวิตทางการเงินหลังเกษียณกันบ้าง

    จริงๆแล้วเหตุผลมันก็พอมีอยู่ว่าเหตุใดจึงมักจะพูดกันถึงแต่การ "เตรียมตัวก่อนเกษียณ" ก็เพราะถ้าถึงเวลาเกษียณแล้ว นั่นหมายถึงไม่มีเวลาสำหรับจะเตรียมกันแล้วนั่นเองครับ เพราะปกติการวางแผนการลงทุนที่ถูกหลักอนามัยนั้น ใครเริ่มทำก่อนก็ค่อนข้างจะได้เปรียบเอามากๆ เปรียบได้กับเต่าและกระต่ายในนิทานอีสป เนื่องจากดอกผลของผลตอบแทนที่ได้รับในปีแรกๆจะยิ่งทบเท่าทวีคูณมากยิ่งขึ้นอย่างมากในปีหลังๆ หรือที่ฝรั่งเขาเรียกกันว่า "มหัศจรรย์แห่งดอกเบี้ยทบต้น" (Miracle of Compound Interest)

    ขนาดสุดยอดนักวิทยาศาสตร์คนสำคัญของโลกอย่างอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ผู้คิดค้นทฤษฏีสัมพัทธภาพ ครั้งหนึ่งได้เคยกล่าวถึง "ดอกเบี้ยทบต้น" ว่าเป็นการค้นพบทางคณิตศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด"

    แต่ทีนี้จะทำอย่างไรสำหรับผู้ที่เพิ่งจะมาทราบถึงกลยุทธ์นี้ ในวันที่กำลังเกษียณอยู่รอมร่อแล้ว อันนี้ก็อย่าเพิ่งท้อถอยไปครับ เรายังพอมีช่องทางการจัดการชีวิตเหลืออยู่บ้าง

    1) สำรวจว่าตนเองมีเงินและทรัพย์สินอื่นเหลืออยู่เท่าไหร่กันแน่ ทั้งในส่วนที่จะรับเป็นเงินก้อน และที่รับเป็นรายเดือน ไม่ว่าจะจากเงินบำเหน็จ เงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ เงินสวัสดิการสำหรับผู้สูงอายุที่ได้รับจากหน่วยงาน บ้าน ที่ดิน เงินเก็บใส่ไห ใส่หัวเตียง ฯลฯ

    2) สำรวจว่าตนเองมีสวัสดิการรักษาพยาบาลทั้งในส่วนตนเอง และคู่สมรสหรือไม่ โดยข้าราชการนั้นจะได้สิทธิรักษาพยาบาลทั้งในส่วนตนเอง คู่สมรส บิดา มารดา รวมถึงบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะในโรงพยาบาลของรัฐ ในขณะที่องค์กรพิเศษ หรือรัฐวิสาหกิจส่วนใหญ่สวัสดิการจะครอบคลุมเพียงคู่สมรส และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะเท่านั้น ส่วนพนักงานภาคเอกชนนั้นส่วนใหญ่ไม่มีสวัสดิการแบบนี้ให้ครับ

    3) ตรวจสอบว่ามีประกันสุขภาพ และประกันชีวิตอยู่หรือไม่ วงเงินค่ารักษาพยาบาล ค่าห้อง มีอยู่แค่ไหน เพียงพอกับค่ารักษาพยาบาลในปัจจุบัน หรือที่คาดว่าจะเป็นในอนาคตหรือไม่ อาจลองตรวจสอบราคาค่าห้องพักของโรงพยาบาลที่เราเป็นคนไข้อยู่แล้วเป็นฐานในการประมาณการคร่าวๆก่อน (แต่ถ้าพบว่าแพงเกินกำลังก็ต้องเริ่มหาโรงพยาบาลอื่นๆที่ราคาลดหลั่นกันลงมาครับ)

    4) ทบทวนว่ามีค่าใช้จ่ายอะไร ที่ยังผูกพันอยู่บ้าง เช่น ค่าผ่อนบ้าน ค่าเบี้ยประกัน ค่าผ่อนรถ ค่าเล่าเรียนลูก หลาน ค่าอาหาร รวมถึง ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ เป็นต้น

    5) หากท่านมีรายได้อื่นนอกจากเงินเดือน ก็ลองรวบรวมมาให้หมดครับ ไม่ว่าจะเป็น ค่าเช่าที่ดิน ค่าเช่าบ้าน

    6) เมื่อรวบรวมข้อมูลเบื้องต้นเสร็จแล้ว ก็ต้องเริ่มต้นด้วยการดูว่ารายได้จากบำนาญ หรือรายได้อื่นที่อาจจะมีนั้น เพียงพอกับค่าใช้จ่ายที่คาดว่าจะมีหลังเกษียณหรือไม่ ซึ่งถึงแม้ว่าจะพอในวันนี้ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะพอในวันหน้านะครับ เพราะสิบปีที่แล้วก๋วยเตี๋ยวยังชามละ 10-15 บาท มาตอนนี้ชามละ 30-40 บาท อีกสิบปีข้างหน้าก็มีสิทธิที่ราคาจะถึง 60-80 บาท ดังนั้นถ้าท่านคิดว่ามีโอกาสมีชีวิตอยู่ได้เกิน 10 ปีขึ้นไป ก็คงต้องเตรียมรับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มมากขึ้น 2 เท่าในทุกๆ 10 ปีเอาไว้ด้วยครับ

    7) หากพิจารณาอย่างแน่ใจแล้ว พบว่ารายได้หลังเกษียณไม่น่าจะเพียงพอกับรายจ่ายหลังเกษียณค่อนข้างแน่นอนแล้ว (ไม่ว่าจะเป็นตอนนี้ หรืออีก 10-20 ปีข้างหน้า) ก็ต้องมาถึงขั้นตอนทำใจให้เข้มแข็ง พร้อมทั้งสำรวจค่าใช้จ่ายว่ามีอะไรที่จะตัดทอนลงได้บ้าง หรืออาจเปลี่ยนให้ลูกหลานเป็นผู้รับช่วง เช่น ค่าสาธารณูปโภคในบ้าน ค่าผ่อนบ้าน

    8) ถ้าตัดลดค่าใช้จ่ายไปแล้ว แต่ก็ยังมากกว่ารายได้ต่อเดือนที่เข้ามาอยู่ดี (ย้ำว่าต้องคิดเผื่อถึงอนาคตด้วยนะครับ เพราะรายได้จากบำนาญหลังเกษียณนั้นมักจะไม่เพิ่มขึ้น แต่ค่าใช้จ่ายต่อเดือนจะเพิ่มขึ้นตลอด) ก็ถึงเวลาที่ต้องเอาเงินเก็บขึ้นมาบริหารจัดการกันล่ะครับ

    ขั้นแรกก็ต้องรวบรวมว่าเงินเก็บ เมื่อรวมกับเงินบำเหน็จ และ/หรือ เงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพแล้วเป็นจำนวนเท่าไหร่ จากนั้นก็มาจัดสัดส่วนการลงทุนครับ โดยยึดหลักว่าถ้าดูแล้วอีก 10 ปีเงินรายได้จะไม่พอกับรายจ่ายค่อนข้างมาก ก็คงต้องมีสัดส่วนในหุ้นอยู่ด้วย ซึ่งพอฟังคำว่าหุ้นนั้นเหมือนของแสลงสำหรับคนที่ไม่ค่อยรู้จักใกล้ชิดกับการลงทุนในหุ้น แต่ที่จริงแล้วการมีหุ้น ก็เหมือนการไปร่วมเป็นเจ้าของธุรกิจกิจการที่มีคนที่ชำนาญบริหารจัดการอยู่แล้ว เรามีฐานะเป็นเพียงผู้ถือหุ้นที่จ้างคนอื่นมาบริหารแทนเพื่อให้มีรายได้ โดยเราไม่ต้องไปเหนื่อยลงแรงด้วยตัวเอง สำหรับรายได้นั้นก็จะมาในรูปเงินปันผลที่ได้รับจากบริษัทเหล่านี้นั่นเอง

    สำหรับคนวัยเกษียณหุ้นที่เหมาะแก่การลงทุนน่าจะเป็นหุ้นที่มีความมั่นคงสูง และมีรายได้สม่ำเสมอเป็นหลัก (เพราะเราเน้นรายได้มาใช้จ่าย มากกว่าการเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นเยอะๆในอนาคต)

    สำหรับสัดส่วนหุ้นนั้นเคยเล่าให้ฟังไปแล้วว่าปู่จอห์น โบเกิล แห่งกองทุนแวนการ์ด ได้บอกเคล็ดส่วนตัวของแกว่า ให้เอาอายุตนเอง ลบด้วย 10 เหลือเท่าไหร่ให้ลงทุนสัดส่วนนั้นในตราสารหนี้ เช่น เกษียณอายุ 60 ก็เท่ากับ 60 - 10 = 50 แปลว่าลงทุนในตราสารหนี้ได้ 50% อีก 50% ลงทุนในหุ้น ซึ่งออกจะผิดแผกจากตำราปกติที่มักจะให้คนหลังเกษียณลงทุนในหุ้นน้อยๆ เพียงไม่เกิน 10% หรือไม่มีเลยเป็นต้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ท่านต้องสามารถทนเห็นหุ้นขาดทุนมากๆได้ คำว่ามากๆนี่บางทีขาดทุน 30-50% ในปีเดียวก็เคยเห็นกันมาแล้ว แต่อย่าลืมว่าเราไม่ได้สนใจราคาตลาดของหุ้นเท่ากับปันผลที่ได้รับจากหุ้นในระยะยาวนะครับ

    เนื้อที่หมด ขอต่อกันหนหน้าแล้วกันครับ!
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>กระบวนยุทธ์ รับมือเงินเฟ้อ
    http://www.manager.co.th/MutualFund/ViewNews.aspx?NewsID=9510000091706
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>5 สิงหาคม 2551 08:56 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> คอลัมน์ Money DIY
    โยแมน
    yeomanwarders-dailymanager@yahoo.com


    ได้ลองขึ้นรถเมล์ช่วย (ประหยัด) ชาติ (นี้) กันหรือยังครับ ผมเองได้มีโอกาสปีนป่ายแย่งชิงไปขึ้นกับเขามาแล้ว แต่ดูท่าแล้วชายหนุ่มร่างระหงอย่างผม คงทนลำบากขึ้นรถเมล์ร้อนๆไม่ไหว สงสัยต้องกลับมาขึ้นรถตู้คู่ใจเหมือนเดิม อย่างว่าแหละครับคนมันรวยช่วยไม่ได้ (อะแฮ่ม….)

    คิดๆดูแล้ว ผมก็ไม่ค่อยได้อานิสงส์อะไรจากนโยบายรัฐบาลเป็นชิ้นเป็นอันสักเท่าไหร่ครับ เพราะรถก็ไม่มีขับ ห้องก็เช่าเขาอยู่ ไม่เห็นเฮียเจ้าของหอแกจะมีทีท่าลดราคาค่าน้ำค่าไฟอะไรให้ ครั้นจะออกปากถาม ก็กลัวแกจะทวงค่าเช่าห้องเดือนที่แล้ว คิดไปคิดมาผมว่าเงียบไว้น่าจะปลอดภัยกับอนาคตมากกว่า.....

    จะว่าไปแล้ว เรื่องของแพงนั้น คนไทยถือว่ายังโชคดีนักหนาครับ เมื่อเทียบกับผู้คนในประเทศอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเมืองฝรั่งมังค่า หรือเพื่อนบ้านในกลุ่มอาเซียน เพราะประเทศไทยนั้นอย่างไรเสียก็เป็นอู่ข้าวอู่น้ำ ต่อให้ราคาน้ำมันแพงไปถึงไหนถึงไหน แต่ถ้าเรามีข้าวปลาอาหารอยู่ไม่ไกลมือเอื้อมแบบนี้ ก็ยังพอประทังชีวิตกันไปได้ นี่ยังไม่นับว่าคนไทยมีน้ำใจชอบช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยากอีกต่างหาก ซึ่งผมว่าคนที่ลำบากสุดตอนนี้ คงไม่พ้นคนที่รายได้ปานกลาง และไม่กล้าขอข้าวใครกินนั่นแหละครับ

    แม้ว่าหลายคนจะมองว่า ช่วงนี้มีแต่เรื่องแย่ๆ แต่หากพิจารณากันดีๆแล้ว ภาวะเช่นนี้ก็มีแง่งามให้เราได้ใคร่ครวญอยู่เหมือนกัน เมื่อก่อนให้ตะโกนปาวๆจนปากฉีกถึงสุวรรณภูมิว่าเงินเฟ้อน่ะมันน่ากลัวนักหนา อย่ามัวแต่กลัวเงินต้นหาย เพราะเวลาแก่ตัวไปนั้น แม้เงินต้นไม่หาย แต่ซื้อหาอะไรไม่ได้เลยอาจจะแย่ยิ่งไปกว่า ก็หามีใครฟังไม่ ท่านทั้งหลายยังคงตั้งเข็มทิศที่จะฝากเงินไว้แต่เพียงอย่างเดียว มาถึงตอนนี้ คงได้เริ่มรู้สึกแล้วครับว่าอาหารการกิน เครื่องใช้ไม้สอยทั้งหลายต่างก็ราคาพุ่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จนคนที่มีรายได้จากดอกเบี้ยอย่างเดียวเริ่มรู้สึกแล้วครับว่าดอกเบี้ยสูงยังไงก็ไม่สามารถชดเชยราคาข้าวของที่เพิ่มขึ้นได้

    ทีนี้จะทำยังไงกันดีล่ะครับ คำถามที่มีอยู่ว่อนไปหมดทั้งเมืองก็คือ จะลงทุนอย่างไรให้ชนะเงินเฟ้อ ซึ่งหลายคนก็แนะนำให้ลงทุนในเงินฝาก หรือตราสารการเงินระยะสั้นๆเพื่อรับประโยชน์จากการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ย บางคนก็ว่าควรจะลงทุนยาวๆไปเลย เพราะอัตราดอกเบี้ยของตราสารระยะยาวนั้นพุ่งขึ้นไปสูงเกินกว่าเหตุ จากการที่นักลงทุนมีอาการปอดชำรุดกลัวเงินเฟ้อกันจัดเกินไป

    แต่หากมองกันยาวๆแล้ว การลงทุนในตราสารหนี้แต่เพียงอย่างเดียว ไม่ว่าจะยืดจะหดอายุตราสารแค่ไหน ก็ไม่อาจทำให้ท่านหนีความน่ากลัวของเงินเฟ้อไปได้หรอกครับ เปรียบเหมือนคนกลัวฟันผุ แค่แปรงฟันอย่างเดียวอาจไม่พอ แต่ต้องใช้ไหมขัดฟันร่วมด้วย ขัดฟันอย่างเดียวก็อาจไม่พอต้องให้หมอขูดหินปูนเป็นประจำทุก 6 เดือนอีกต่างหาก

    ซึ่งกระบวนการที่นอกเหนือจากการแปรงฟัน ก็นำมาซึ่งค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นด้วย รวมถึงค่าเสียเวลา ไม่ว่าจะเป็นการหัดใช้ไหมขัดฟัน (ใหม่ๆโดนไหมบาดเหงือกอีกต่างหาก) ส่วนหมอฟันนั้นพอเจอกันมักจะไม่ได้แค่ขูดหินปูนอย่างเดียว แต่คุณหมอฟันคนสวยต้องเจอฟันผุซี่เดิมๆ (ที่เริ่มจะผุอีกแล้ว!) เรียกได้ว่ามีโอกาสเจ็บทั้งตัว เสียทั้งตังค์นั่นแหละครับ

    เปรียบเหมือนการลงทุนครับ เอะอะอะไร ก็จะฝากเงิน ฝากเงิน ท่าเดียว เงินออมก็ยากที่จะเติบโตได้ทันเงินเฟ้อ ดังนั้น เราต้องหาทางลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆที่งอกเงยไม่แพ้เงินเฟ้อร่วมด้วย ไม่ว่าจะเป็นกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ หุ้นปันผล กองทุนรวมหุ้น หรือแม้กระทั่งลงทุนบางส่วนในกองทุนรวมสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งท่านก็ต้องพร้อมรับความจริงด้วยว่าราคาของหุ้น หรือ กองทุนเหล่านี้จะต้องมีขึ้นมีลง แถมขึ้นได้มาก ลงได้มากอีกด้วย แต่เราก็ต้องแบ่งเงินมาลงทุนบ้าง เพราะเรารู้แล้วเห็นแล้วว่าการฝากเงินอย่างเดียว ยังไงก็พาเราไปไม่ถึงไหนแน่นอน

    บางคนก็อาจเถียงว่าหุ้นตกแอ้งแม้งทั่วโลก กอดเงินฝากไว้ แม้ดอกเบี้ยจะต่ำกว่าเงินเฟ้อ แต่ก็ดีกว่าขาดทุนบานตะเกียงไปกับหุ้น ผมว่าเราต้องดูให้มันครบทั้งวงจรครับ ไม่ว่าขาลง ขาขึ้น แล้วจะพบว่าก่อนหุ้นจะตกขนาดนี้ ก็เคยขึ้นมาซะเยอะแยะ แถมช่วงที่หุ้นตกอย่างหนัก ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทั้งหลายก็พากันพาเหรดขึ้นมากันเป็นทิวแถว ซึ่งถ้าเรากระจายการลงทุนไปให้ครบถ้วน ก็น่าจะช่วยลดผลกระทบระยะสั้นที่เกิดจากการลงทุนในสินทรัพย์ชนิดใดชนิดหนึ่งลงไปได้บ้าง

    สำหรับสัดส่วนการลงทุนนั้น ผมขอเอาคำแนะนำของคุณปู่จอห์น โบเกิล ผู้บุกเบิกกองทุนเชิงรับอันเกรียงไกรในสหรัฐฯอย่าง Vanguard Fund มานำเสนอครับ โดยคุณปู่โบเกิลบอกว่าอายุเท่าไหร่ให้หักลบด้วย 10 จะเท่ากับสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ ส่วนที่เหลือก็คือหุ้นและสินทรัพย์เสี่ยงอื่นๆ เช่น ถ้าเราอายุ 30 แสดงว่ามีสัดส่วนตราสารหนี้ได้ 30-10 เท่ากับ 20% ที่เหลือเป็นหุ้น ส่วนคนที่อายุ 50 ก็จะมีสัดส่วนตราสารหนี้ได้ 50-10 เท่ากับ 40% เป็นหุ้นถึง 60% เป็นต้น

    บางคนอาจรู้สึกครับว่าหลักการนี้ ออกจะเข้มไปหน่อย แต่คุณปู่ท่านได้ให้แง่คิดไว้ครับว่าเราควรปล่อยให้เงินออมของเราทำงานอย่างเต็มที่ ในช่วงเวลาที่เรามีโอกาสผิดพลาดได้มาก เพราะยังมีรายได้อยู่ ต่อเมื่อแก่ตัวไปแล้ว เราจะไม่มีเวลามากพอที่จะแก้ไขความผิดพลาดใดๆที่เกิดขึ้นจากการลงทุนได้อีก

    พบกันใหม่ เดือนหน้าครับ!

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ในกระทู้พระวังหน้าฯ นอกจากความรู้เรื่องพระพิมพ์(ที่พอมีอยู่บ้าง) ,การทำบุญร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ,การทำบุญกับสภากาชาดไทย ,มูลนิธิชัยพัฒนา ,มูลนิธิพระดาบส และความรู้เรื่องของธรรมในเรื่องต่างๆแล้ว

    สิ่งที่ผมคิดว่า สำคัญไม่แพ้กันก็คือ ความรู้ในการดำรงชีวิตในเรื่องต่างๆ เช่นสุขภาพ (หากสุขภาพไม่ดีแล้ว จะทำอย่างอื่นได้ไม่ดีหรือไม่ได้เลย) ,การเงินภายในครอบครัว (ไม่มีเงิน ก็จะมีปัญหาภายในครอบครัว แล้วจะไม่มีจิตใจที่จะไปทำบุญในที่ต่างๆได้) หรือเรื่องอื่นๆ

    ผมจึงนำบทความต่างๆ ที่ผมเห็นว่า เป็นประโยชน์กับท่านผู้อ่าน นำมาเสนอให้ท่านผู้อ่านได้ศึกษากัน

    โมทนาสาธุครับ
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมจะนำพระพิมพ์ต่างๆ บางรุ่นก็มีหลายพิมพ์ หลายเนื้อ และหลายองค์ผู้อธิษฐานจิต เช่น พระสมเด็จอรหัง ที่มีมากเนื้อหลายพิมพ์ แต่สำหรับสมเด็จอรหัง ก็มีในประเภทปกติ และไม่ปกติ

    หรืออย่างพระสมเด็จ วังหน้าและวัดระฆัง ก็เช่นกัน มีทั้งประเภทปกติ และไม่ปกติ เช่น พระสมเด็จที่สร้างใน...............(ผมขอสงวนสิทธิ์ไม่แจ้งให้ทราบ) ซึ่งรุ่นนี้ มีคนที่ตามหากัน ซึ่งเรียกว่า พลิกแผ่นดินหากัน ส่วนพระสมเด็จ วัดระฆัง จะอยู่ในประเภทปกติครับ

    ผมจะนำไปให้ชมกันบางส่วนครับ
     
  15. kaicp

    kaicp เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    146
    ค่าพลัง:
    +1,190
    เพิ่งเข้า web ได้ ตกข่าวไป 2 วัน

    ขอให้พี่จิ๋วหายไว ๆ
    ขอเป็นอีกหนึ่งกำลังใจครับ
     
  16. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    55555 ต้องกดๆๆๆๆๆ:z12
     
  17. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=right border=0><TBODY><TR><TD width=5>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=206 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=206>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    "วาดมังกรเติมดวงตา" ใช้เปรียบเทียบกับการประพันธ์ การพูด หรือการวาดภาพ หากมีประเด็นหลักที่ชัดเจน เกาะกุมใจความสำคัญก็จะทำให้การถ่ายทอดมีความน่าสนใจ ตรงกันข้ามหากขาดใจความสำคัญ บทความ คำพูด หรือภาพนั้นๆ ย่อมไม่มีความน่าสนใจแต่ประการใด

















    ล้ำลึกๆๆ
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เราจำเป็นต้องอบรมใจของเราทุกๆ คน เมื่อมันโกรธขึ้น ก็ดูความโกรธ ความโกรธนี้มันมาจากไหน เราให้มันโกรธหรือเปล่า ดูว่ามันดีไหม ทำไมเราถึงชอบมัน ทำไมเราถึงไม่ทิ้งมัน เมื่อโกรธขึ้นมาแล้วไม่ดี ไม่ดีเราเก็บมันไว้ทำไม ก็เป็นบ้าเท่านั้น
    หลวงพ่อชา สุภัทโท
    วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี

     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    บำบัดความเครียด... สมาธิบำบัด
    http://www.dhammajak.net/smati/36.html

    เครียด เครียด เครียด .........
    เครียด เครียด เครียด ชีวิตประจำวันของคนทำงานทำให้ดัชนีความเครียดของคนไทยพุ่งสูงปรี๊ด ความเครียดทำให้สุขภาพเราแย่ลง ทำให้เราป่วยง่ายขึ้น ที่สำคัญสำหรับสาวๆ เครียดมากๆทำให้หน้าแก่ก่อนวัยได้นะ เมื่อเรารู้สึกเครียดร่างกายเราจะหลั่งฮอร์โมน Adrenaline จากต่อมหมวกไต ถ้าเครียดมากก็หลั่ง Adrenaline มากขึ้นฮอร์โมนความเครียดก็จะไปยับยั้งการทำงานของอวัยวะสำคัญทั้งหมด เช่นหัวใจ ไต ตับ ปอด ทำให้อวัยวะสำคัญของเราเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว สุดท้ายก็พร้อมใจกันหยุดทำงานเพราะฮอร์โมนความเครียดไปทำให้ภูมิต้านของร่างกายเราต่ำลง ต่ำลง เรียกว่าโรคเครียดนอกจากทำแก่ง่ายแล้วยังทำให้ถึงตายได้นะเนี่ย


    - ผ่อนคลายความเครียดด้วยการทำสมาธิ
    การทำสมาธิถือได้ว่าเป็นการผ่อนคลายความเครียดที่ลึกซึ้งที่สุด สมาธิทำให้จิตใจสงบนิ่ง แต่มีสติ หยุดความคิดที่ฟุ้งซ่าน วิตกกังวล หรืออารมณ์ด้านลบทั้งหลาย เมื่อเราทำสมาธิจะรู้สึกสบายขึ้นเพราะจะมี Hormoneชื่อ Endorphins หลั่งออกมาในขณะที่จิตใจสงบนิ่ง ฮอร์โมน Adrenaline จากต่อมหมวกไต ก็จะหยุดหลั่ง และในขณะนั้นเองเมื่อจิตสงบสมองส่วน Hypothalamus จะสั่งให้เม็ดเลือดขาวแข็งแรงขึ้น ภูมิต้านทานของเราก็จะสร้างเพิ่มขึ้นหลังจากถูกยับยั้งด้วยฮอร์โมนความเครียด การทำสมาธินี้ดีมาก มาก สำหรับคนที่กำลังบำบัดมะเร็งเพราะ เมื่อภูมิต้านทานกระเตื้องขึ้นการกำจัดcell มะเร็งก็จะเป็นไปตามที่ต้องการ


    - ทำสมาธิแบบไหนดี?
    การทำสมาธิที่สามารถบำบัดโรคที่เกิดจากความเครียด ความกังวล ไม่ใช่โรคที่เกิดจากเชื้อโรคโดยตรง แต่สามารถรักษาใจที่เป็นทุกข์อันเกิดจากโรคได้ วิธีฝึกสมาธิบำบัดมีหลายวิธี ได้แก่ การนั่งภาวนา เดินจงกรม การแผ่เมตตา การอธิษฐานจิต การฝึกใช้พลังภายในร่างกาย การใช้พลังภายนอก การฝึกเพ่งลูกแก้ว และอย่างน้อยควรทำวันละ 2 ครั้ง ถ้าทำได้


    - ท่าที่สบายที่สุด
    จะนั่งขัดสมาธิหรือจะนอนหงายวางแขนไว้ข้างตัวก็ได้ ให้เป็นท่าที่เรารู้สึกสบายตัวที่สุด แล้วก็เลือกสถานที่ที่เรารู้สึกผ่อนคลาย สบายๆไม่ร้อนไม่หนาวเกินไป อุณหภูมิในห้องสบาย ๆ
    หลับตาลงจะได้ตัดตัวเองออกจากโลกภายนอก จิตจะได้สงบง่ายขึ้น แล้วเริ่มด้วยการกำหนดลมหายใจโดยสูดหายใจเข้าช้า ๆ ให้ท้องพอง หายใจออกช้า ๆให้ท้องแฟบ สัก 3 ครั้ง ให้สังเกตลมที่ผ่านเข้าออกทางจมูกว่ากระทบถูกอะไรบ้าง

    จากนั้นให้หายใจให้สบาย กำหนดจิตของตนไปรับรู้ลมหายใจเข้าออก โดยไม่ต้องสนใจเสียงรอบข้าง ให้รับรู้เฉย ๆ ถ้าจิตมันจะวอกแวกนึกนั่นนึกนี่ แว่บไปหาเพื่อนคนโน้นคนนี้ นึกห่วงงานที่นั่นที่นี่บ้างก็ดึงสมาธิกลับมาอยู่กับลมหายใจ แรก ๆ อาจทำยากมาก เหมือนเราหัดเดินตั้งไข่ครั้งแรก ล้มบ้าง ลุกบ้างแต่ถ้าพยายามเข้าในที่สุดเราก็จะเดินได้การทำสมาธิก็เช่นกัน ถ้าเราพยายามขยันดึงจิตกลับมาอยู่กับลมหายใจ ทำซ้ำ ๆ สม่ำเสมอ ในที่สุดจิตก็จะเชื่อง และเริ่มนิ่ง เมื่อเข้าถึงสมาธิก็จะได้ความรู้สึกปีติรู้สึกสบายอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน เพราะ ฮอร์โมนEndorphins หลั่งออกมา และ ฮอร์โมนความเครียด Adrenaline ที่ต่อมหมวกไตก็จะหยุดหลั่งออกมา และเมื่อเข้าสมาธิได้แล้วก็ควรทำเป็นประจำอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ๆ ละไม่ต่ำกว่า 15 นาที
    - เทคนิคการฝึกหายใจ
    โดยปกติแล้วการหายใจด้วยอก ชีพจรจะเต้นเร็ว เหนื่อยง่าย ต้องหายใจถี่ๆแต่ถ้าหายใจด้วยท้องชีพจรจะเต้นช้า ในทางวิทยาศาสตร์เราอธิบายได้ว่าเป็นการกระตุ้นกะบังลม ที่กะบังลมจะมีเส้นประสาทวากัส (Vagus) ซึ่งเส้นประสาทตัวนี้เป็นพาราซิมพาเทติก เป็นเส้นประสาทมีผลต่อการผ่อนคลายของกล้ามเนื้อ เพิ่มการทำงานของลำไส้ เส้นประสาทวากัส (Vagus) จะส่งคลื่นไปที่สมอง ทำให้หลอดเลือดขยาย ความดันเลือดลดลง ชีพจรเต้นช้า หายใจช้า ดังนั้นเราจึงต้องฝึกหายใจลงไปที่ท้องแทน
    เทคนิคการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ
    ความเครียดทำให้กล้ามเนื้อทุกระบบในร่างกายหดตัว เวลาเครียดเรามักจะทำหน้านิ่วคิ้วขมวด กำหมัด กัดฟัน ทุกครั้งที่รู้สึกเครียด ทำให้กล้ามเนื้อเกร็งตัวเกิดอาการเจ็บปวด เช่น ปวดต้นคอ ปวดหลัง ปวดไหล่

    - การฝึกคลายกล้ามเนื้อ
    จะช่วยลดอาการหดเกร็งของกล้ามเนื้อลง เพราะในขณะที่ฝึก จิตใจ ของเราจะจดจ่ออยู่กับการคลายกล้ามเนื้อ ความคิดฟุ้งซ่าน และความวิตกกังวลก็ลดลง ช่วยให้จิตใจจะมีสมาธิมากขึ้น
    วิธีการฝึก เลือกนั่งในท่าที่สบาย เลือกเสื้อผ้าที่สวมใส่สบาย ถอดรองเท้า หลับตา ทำใจให้ว่าง ตั้งใจจดจ่ออยู่ที่กล้ามเนื้อส่วนต่างๆ 10 กลุ่ม โดยการปฏิบัติดังนี้คือ
    1. มือและแขนขวา โดยกำมือ เกร็งแขน แล้วคลาย
    2. มือและแขนซ้าย ทำเช่นเดียวกัน
    3. หน้าผาก เลิกคิ้วสูงแล้วคลาย ขมวดคิ้วแล้วคลาย
    4. ตา แก้ม จมูก ให้หลับตาแน่น ย่นจมูก แล้วคลาย
    5. ขากรรไกร ลิ้น ริมฝีปาก โดยกัดฟัน ใช้ลิ้นดันเพดานปากแล้วคลาย เม้มปากแน่นแล้วคลาย
    6. คอ โดยก้มหน้าให้คางจรดคอแล้วคลาย เงยหน้าจนสุดแล้วคลาย
    7. อก ไหล่ และหลัง โดยหายใจเข้าลึกๆกลั้นไว้ แล้วคลาย ยกไหล่สูงแล้วคลาย
    8. หน้าท้องและก้น โดยการแขม่วท้อง แล้วคลาย ขมิบก้นแล้วคลาย
    9. เท้าและขาขวา โดยเหยียดขา งอนิ้ว แล้วคลาย เหยียดขา กระดกปลายเท้าแล้วคลาย
    10. เท้าและขาซ้าย ทำเช่นเดียวกัน

    ข้อแนะนำ
    ระยะเวลาที่เกร็งกล้ามเนื้อ ให้น้อยกว่าระยะเวลาที่ผ่อนคลาย เช่น เกร็ง 3-5 วินาที ผ่อนคลาย 10-15 วินาที
    ควรฝึกประมาณ 8-12 ครั้ง เพื่อให้เกิดความชำนาญ
    เมื่อคุ้นเคยกับการผ่อนคลายแล้ว ให้ฝึกคลายกล้ามเนื้อได้เลยโดยไม่ต้องเกร็งก่อนหรืออาจเลือกคลายกล้ามเนื้อเฉพาะส่วนที่มีปัญหาก็ได้ เช่น บริเวณใบหน้า คอ หลัง ไหล่ เป็นต้น ไม่จำเป็นต้องคลายกล้ามเนื้อทั้งตัวแต่ถ้ามีเวลาทำได้ทั้งหมดก็จะดีมากมากสำหรับตัวคุณเอง


    - ฝึกสมาธิประจำ แก้ได้หลายโรค
    หากฝึกสมาธิเป็นประจำ จิตใจก็เบิกบาน สมองแจ่มใส จิตใจเข้มแข็ง อารมณ์เย็น พร้อมตลอดเวลาไม่ว่าจะมีปัญหาอะไรมากระทบ สามารถแก้ปัญหาต่างๆ ด้วยความมั่นใจในตัวเอง เมื่อมีสมาธิที่เข้มแข็ง ปัจจุบันมีการวิจัยและค้นพบข้อดีของการทำสมาธิเช่น

    • ช่วยปรับสภาวะสมดุลของร่างกายให้เป็นปกติ ทำให้อัตราการหายใจและชีพจรช้าลง
    • ทำให้คลื่นสมองสงบ กล้ามเนื้อผ่อนคลายตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ระดับฮอร์โมนที่ถูกระตุ้นจากความเครียดลดลง
    • แก้ปัญหานอนไม่หลับได้ถึงร้อยละ 75 และ
    • ช่วยให้ผู้ที่ปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อ ใช้ยาแก้ปวดลดลงจาก เดิมร้อยละ 34
    • ช่วยให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งและโรคเอดส์ มีอาการทุกข์ทรมานลดน้อยลงกว่าการรักษาเฉพาะทางทางยา
    • ช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะไมเกรน ความถี่หรือความรุนแรงของอาการจะลดลงร้อยละ 32
    และยังพบอีกว่าในการรักษาผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน ผู้ที่มีความเชื่อมั่นในศาสนาจะหายเร็ว กว่า ตรงกันข้ามกับคนที่ไม่นับถือศาสนาอะไรเลย จะมีอัตราการตายมากกว่าผู้นับถือศาสนาถึง 3 เท่า
    ในสหรัฐอเมริกา มีงานวิจัยของมหาวิทยาลัยวิสคอนซิล และมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย พบผลตรงกันว่า ชาวพุทธที่นั่งสมาธิเป็นประจำ สมองในส่วนที่ทำงานเกี่ยวข้องกับอารมณ์ที่ดี และ ความคิดด้านบวกจะทำงานกระฉับกระเฉงกว่า ช่วยผ่อนคลายความเครียด และทำให้สมองส่วนที่เป็นศูนย์กลางความทรงจำด้านร้ายสงบลง และการนั่งสมาธิอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้อารมณ์แปรปรวน ตกใจ เกรี้ยวกราด หรือหวาดกลัวลดลงด้วย
    แพทย์โรคหัวใจจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้ให้คนไข้โรคหัวใจฝึกสมาธิระหว่างบำบัดด้วยยาไปด้วยและได้ผลเป็นที่น่าพอใจ เพราะทำให้ความดันโลหิตและความเครียดลดลงอย่างมาก
    ฉะนั้นถ้าอยากมีสุขภาพดี ไม่แก่ง่าย ตายเร็ว ก็ต้องเริ่มการฝึกทำสมาธิและต้องเริ่มทำตั้งแต่เดี๋ยวนี้เลย อย่าได้ผัดผ่อนเด็ดขาด
    ..................
    บทความจาก
    http://kullastree.com
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    วิธีจัดการกับความเครียด

    http://www.dhammajak.net/dhammabox-2/20.html

    <TABLE align=right border=0><TBODY><TR><TD width="100%">[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    การจะจัดการกับความเครียดท่านต้องหาว่าความเครียดเกิดจากสาเหตุใดและร่างกายเราตอบสนองต่อความเครียดนั้นอย่างไร ขั้นตอนต่อมาต้องเรียนรู้วิธีการจัดการเกี่ยวกับความเครียดซึ่งมีวิธีดังนี้
    1. ค้นหาปัญหาที่ทำให้เกิดความเครียด เป็นข้อที่สำคัญที่สุดหากไม่ทราบสาเหตุก็ไม่สามารถป้องกันได้ บางท่านอาจจะไม่ทราบว่าเครียดจากอะไร ท่านผู้อ่านลองสำรวจตัวเองสิว่าชีวิตประจำวันของท่านมีอะไรบ้างที่ท่านเบื่อ เช่นการพูดคุยกับภรรยา การอาบน้ำลูก รถติด งานเร่ง งานน่าเบื่อ งานมาก บทบาทไม่ชัดเจนฯลฯ ท่านลองสำรวจอาการของท่านเมื่อพบสิ่งที่ไม่ชอบหรือน่าเบื่อ เช่นโกรธ เบื่อ ท้อแท้ ปวดศีรษะ เหล่านี้คือเหตุที่ให้เกิดความเครียด ปัจจัยใดที่ทำให้ท่าเครียดที่สุด ภาวะใดที่ท่านกลัวมาก ท่านอาจจะจดลงในสมุดบันทึกเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดความเครียด อาการที่แสดงออก หลังจากที่ทราบสาเหตุแล้วก็ลองแก้ไข หากบางสิ่งสามารถหลีกเลี่ยงได้ก็ให้หลีกเลี่ยงเช่นบางท่านไม่ชอบการเมืองก็ไม่ต้องดูข่าวหรือพูดคุยเกี่ยวกับการเมือง
    2. การป้องกัน
    3. แก้ไข
    4. ยอมรับความจริง
    5. หลีกเลี่ยง
    6. การปรับเปลี่ยน
    7. เรียนรู้วิธีผ่อนคลาย
    8. มีความเชื่อมั่นในตัวเอง
    9. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
    10. รับประทานอาหารที่มีคุณภาพ
    11. ผักผ่อนอย่างเพียงพอ
    การป้องกัน
    หลังจากทราบสาเหตุแล้วการป้องกันความเครียดจะเป็นวิธีที่ไม่ให้เกิดความเครียดซึ่งมีวิธีการต่างๆดังนี้ การเตรียมตัวเพื่อรับความเครียดสามารถทำได้ดังนี้
    1. การวางแผน เมื่อเกิดปัญหาหรือความเครียดพยายามตั้งสติและใช้ปัญญาหาทางแก้ไข
    • เมื่อมีปัญหาพยายามหาทางเลือกหลายๆทาง และเลือกทางแก้ที่ดีที่สุด
    • ขณะทำงานก็วางแผนอนาคตไปด้วย ตั้งเป้าหมายที่เป็นไปได้และท้าทายการตั้งเป้าหมายเกินความสามารถเล็กน้อยจะเป็นการท้าทาย หากทำสำเร็จก็จะเกิดความภูมิใจความมั่นใจในตัวเองก็จะตามมา
    • ตั้งเป้าหมายที่สมเหตุสมผลซึ่งจะทำให้เกิดแรงจูงใจที่จะกระทำ หากตั้งเป้าเกินความจริงจะทำให้เกิดความเครียด หากต้องการประสบความสำเร็จต้องพัฒนาความสามารถเพิ่มแต่ถ้าไม่พยายามก็ไม่ประสบผลสำเร็จความเครียดก็จะเกิดตามมาและในที่สุดก็เลิกไปเอง
    • จัดลำดับความสำคัญ และความเร่งด่วนของงาน งานที่สำคัญอาจจะไม่ใช่งานที่เร่งด่วนก็ได้ ให้ทำงานที่เร่งด่วนก่อน และก็ไปงานที่สำคัญ ขณะทำงานก็อย่ากังวลงานที่ยังไม่ได้ทำ ให้ทำงานที่ยากที่สุดก่อนงานอื่น
    • กระจายงานให้แก่คนที่เหมาะสมโดยแบ่งงานเป็นส่วนแล้วกระจายงานออกไป
    1. การสื่อสาร การสื่อสารจะช่วยลดความขัดแย้ง
    • ใช้เหตุผลในการสื่อสาร การใช้เหตุผลจะทำให้เพื่อนร่วมงานได้เสนอปัญหาและแนวทางแก้ไข คนส่วนให้ต้องการแก้ปัญหาเพื่อสิ่งที่ดีขึ้น การใช้เหตุจะทำให้เพื่อนร่วมงานยอมรับและให้ความร่วมมือ ห้ามใช้ความก้าวร้าว
    • พูดความจริง การพูดความจริงจะมีความเครียดน้อยกว่าการโกหก
    • แก้ไขความขัดแย้ง เมื่อเกิดความขัดแย้งให้จับเข่าแก้ปัญหา และเมื่อได้ข้อสรุปจงลืมว่าปัญหาเกิดจากใคร และอย่าเครียดแค้น
    • ให้เป็นนักฟังที่ดี ไม่มีใครที่สามารถเรียนรู้ขณะที่ตัวเองกำลังพูด การเป็นผู้ฟังที่ดีจะได้แนวความคิดใหม่ การเป็นผู้ฟังที่ดีมิใช่คุณจะต้องเชื่อทุกอย่างเป็นเพียงคุณมีข้อมูลเพิ่มเติมซึ่งช่วยในการตัดสินใจ
    1. การเปลี่ยนมุมมองคนบางคนมองวิกฤติเป็นโอกาส น้ำครึ่งแก้วบางคนมองเหลืออีกครึ่งหนึ่ง
    2. การผักผ่อน การนอนพักผ่อนอย่างพอเพียงวันละ 7-8 ชั่วโมงจะทำให้ลดความวิตกกังวลได้
    3. เมื่อเกิดปัญหาให้ควบคุมอารมณ์ให้สงบ ให้หยุดงานที่ทำอยู่ หายใจเข้าลึกๆ หรือหลีกหนีไปเดิน 15 นาที
    4. ให้นึกถึงผลเสียที่จะเกิด ผลเสียหายอย่างแรงที่อาจจะเกิดขึ้น ขณะเดียวกันก็นึกถึงโอกาสที่จะไม่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว
    แก้ไข
    แม้ว่าเราไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงความเครียด แต่เราสามารถลดโรคที่เกิดจากความเครียดโดย
    1. ปรึกษากับเพื่อน ครอบครัว หรือเพื่อนร่วมงานจะช่วยท่านมองปัญหาในแง่มุมอื่นๆ ท่านจำเป็นต้องบอกเพื่อนร่วมงานว่าบางสิ่งไม่สามารถทำได้ ต้องรู้จักปฏิเสธ ท่านอาจจะต้องลดงานพิเศษบางอย่างขณะเกิดความเครียด ท่านต้องเคารพตัวเองไม่เอาเปรียบตัวเอง ไม่ทำงานเกินความสามารถตัวเอง ไม่ทำงานจนไม่มีเวลาพักผ่อน การทำงานต้องมีขอบเขตหากมิเช่นนั้นท่านอาจจะเป็นผู้ปกครองที่ไม่ดี เป็นเพื่อนร่วมงานที่ไม่ดี ต้องสามารถควบคุมอารมณ์โกรธได้ดี เมื่อโกรธก็หาสิ่งที่ชอบทำเช่นการฟังเพลง การเดิน
    2. อย่าซึมเศร้า เมื่อท่านมีโรคประจำตัวหรือประสบกับความผิดหวัง ท่านอาจจะหมดกำลังใจ ซึมเศร้า ชีวิตนี้ไม่มีความหวังอีกแล้ว อาการซึมเศร้าจะทำให้ท่านประสบกับความทุกข์ยากและทำให้อาการเจ็บปวดเพิ่มขึ้น ท่านอาจจะคิดว่า "ทำไมต้องเป็นเรา" "ทำไมเราถึงต้องทำสิ่งนั้น" "ทำไมเราทำสิ่งนั้นไม่ได้"คนปกติทุกคนจะคิดเหมือนกัน ท่านต้องทำใจและพยายามแก้ไข
    3. ทำชีวิตให้สบายๆอย่าทำชีวิตให้วุ่นวาย ทำตัวสบายๆงานที่ไม่สำคัญก็ไม่ต้องทำเลือกงานที่จำเป็นไม่ว่าจะเป็นงานบ้านหรืองานประจำทำให้เสร็จแล้วจึงเลือกงานที่น่าเบื่อทำต่อ
    4. เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้น ให้พยายามทำในสิ่งที่ตัวเองชอบและมีความสุข
    5. บริหารเวลาให้เหมาะสม จัดลำดับความสำคัญของงานให้ทำงานที่หนักเมื่อรู้สึกสบายหรือทำในตอนเช้า จัดเวลาสำหรับพักด้วย
    6. ให้ทำงานที่ละอย่างจนสำเร็จโดยการตั้งเป้าหมายในแต่ละวัน การตั้งเป้าหมายไม่จำเป็นต้องเป็นงานอาจจะเป็นงานอดิเรกก็ได้เมื่อได้กระทำสำเร็จจะเกิดความภูมิใจ
    7. เมื่อไม่สามารถแก้ไขปัญหาให้ปรึกษาแพทย์
    ยอมรับความจริง
    • ยอมรับความจริงว่าท่านสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้แต่ท่านไม่สามารถเปลี่ยนแปลงคนอื่น เพราะหากท่านคิดเปลี่ยนแปลงคนอื่นแล้วไม่สำเร็จท่านก็จะเกิดความเครียด
    • ยอมรับความจริงว่าคนทุกคนไม่มีใครที่สมบูรณ์แบบต้องมีข้อบกพร่องยอมรับกับข้อบกพร่องความเครียดจะน้อยลง หลายคนคาดหวังว่าคนใช้จะสามารถทำงานได้ดีเท่ากับที่ตัวเองทำ เมื่อคนใช้ทำไม่ได้ก็เกิดความเครียด
    • สร้างอารมณ์ขันให้กับตัวเองโดยเฉพาะเมื่อเวลาเกิดความเครียด ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับความเครียดแนะนำให้หัวเราะเมื่อมีความเครียด โดยจัดเวลาสำหรับงานบันเทิง คุยเรื่องตลกกับเพื่อนหรือดูตลก การหัวเราะจะช่วยลดความตึงเครียดได้เป็นอย่างดี อย่าปล่อยให้ตัวท่านตึงเครียดมืดมน มองโลกในแง่ดี
    • ให้นึกว่าท่านสามารถเรียนรู้บางสิ่งจากเหตุการณ์ทุกอย่าง
    หลีกเลี่ยง
    • หลีกเลี่ยงความเครียดเล็กน้อย เช่นรถติดก็ออกจากบ้านให้เช้าขึ้น หลีกเลี่ยงไปใช้เส้นทางอื่น
    • หลีกเลี่ยงหรืออยู่ห่างๆบุคคลที่ทำให้ท่านเครียด เช่นแฟนที่ขี้บ่น เจ้านายที่จุกจิก
    • หลีกเลี่ยงการรับผิดชอบงานที่มากเกินไป
    • เมื่อมีความเครียดให้หยุดงานสักพักและหลีกหนีจากสถานการณ์ที่ทำให้คุณเครียด
    • หลีกเลี่ยงการถกเถียงประเด็นที่หลีกเลี่ยงไม่ได้หรือประเด็นที่หาข้อสรุปไม่ได้
    การปรับเปลี่ยน
    เป็นการปรับเปลี่ยนขบวนความคิดและการปฏิบัติตนเพื่ออนาคตที่ดีกว่า
    • ปรับเปลี่ยนวิธีคิด มองโลกในแง่ดีเสมอไม่พยายามมองโลกในแง่ร้าย ทุกปัญหามีทางออก เปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส โลกมี่ทั้งกลางวันและกลางคืน หาหนทางที่จะพลิกสถานการณ์
    • ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม รู้จักปฏิเสธในส่วนไม่ใช่ความรับผิดชอบของตัวเอง ลดความรีบร้อน หัดทำงานให้เสร็จที่ละอย่าง หัดกระจายงานสู่ผู้อื่น หางานอดิเรกทำที่ทำให้หายเบื่อ
    • ปรับเปลี่ยนสภาพทำงาน ปรึกษากันเพื่อลดข้อขัดแย้งในการทำงาน กำหนดความรับผิดชอบของแต่ละคน กำหนดเจ้านายให้แน่นอน กำหนดกฎเกณฑ์ที่เอื้อต่อการทำงาน มีระบบให้คำปรึกษาเรื่องความเครียด
    • ปรับเปลี่ยนความรู้สึกของตัวเอง หัดสร้างอารมณ์ขันในภาวะที่เครียด ยอมรับคำตำนิ รู้จักผ่อนคลายเครียด
    บทความจาก...
    http://www.siamhealth.net
     

แชร์หน้านี้

Loading...