ในหลวงทรงร้องไห้เมื่อวันที่ 8 มีนา ที่ผ่านมา

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย merious, 23 กรกฎาคม 2008.

  1. merious

    merious Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    82
    ค่าพลัง:
    +94
    หากผมได้ลงข้อมูลผิดบอร์ด รบกวน MOD กรุณาแยกกระทุ้นี้ด้วยนะครับ เพราะผมไม่เห็นบอร์ดไหนตรงกับกระทู้ผม...

    [​IMG]

    ในหลวงทรงร้องไห้เมื่อวันที่ 8 มีนา ที่ผ่านมาผมได้ไปงานที่โรงเรียน
    เหมือนเช่นทุกปีตอนกลับเดินมาตามตึกยาวเพื่อจะกลับมาทางประตูด้าน
    เพาะช่าง ยังไม่ถึงบริเวณเศาลหลวงพ่อปู่ พบอาจาร์ยท่านหนึ่งนั่งอยู่

    [​IMG]

    จำได้ว่าเป็นอาจารย์สุธี ท่านเกษียณไปแล้ว ไม่รู้คุณรู้จักรึเปล่า กราบอาจารย์ท่านแล้ว สังเกตุเห็นว่าอาจารย์ร้องไห้อยู่ ท่านบอก เพิ่งได้พบกับรุ่นพี่ที่มาในงาน รุ่นที่เท่าไหรก้อไม่ได้ถาม เป็นนายทหารราชองครักษ์ชั้นผู้ใหญ่ เค้าเล่าให้อาจารย์ฟังว่า

    ****ในหลวงทรงร้องให้เห็นบ่อย****

    [​IMG]

    'ทรงเสียใจที่เมืองไทยจะสิ้นในรัชกาลของท่าน แล้วกระนั้นหรือ'

    ผมอยากจะตอบอาจารย์ไปว่าคงไม่หรอก ถ้าคนไทย รู้จำคำว่าว่า'หน้าที่'มากกว่า'สิทธิ'
    เราเคยชินกับการเป็น..ผู้รับ...จากคนคนหนึ่งที่เกิดมาเป็น..ผู้ให้...ให้มาตลอด เคยชินจนลืมไปว่าวันนี้ถึงเวลาแล้วรึยังที่ เราควรจะผู้ให้แก่พระองค์ท่านบ้าง... ผมลาอาจารย์เรียบร้อยร้อย กลับไปตามตึกยาว ไปไหว้ พระผู้ให้กำเนิดโรงเรียน อธิฐาษขอให้พระองค์ท่านช่วยคุ้มครองให้หลานท่านทรงมีแต่ความสุข..ทรงมีพระพลานามัยที่แข็งแรง...เพียงแค่ไม่อยากได้ยินว่า
    ..ในหลวงทรงร้องไห้
    ความสุขของพระมหากษัตริย์
    หนึ่งปีที่ผ่านมา
    เราใส่เสื้อเหลืองเราใส่สายรัดข้อมือสีเหลือง

    [​IMG]

    คนนับแสนไปนั่งรอเป็นชั่วโมงๆ หน้าพระที่นั่งอนันตสมาคมเพื่อจะได้เห็นพระพักตร์ของพระบาทพระเจ้าอยู่หัวเพียงไม่กี่นาทีวันนั้น ในขณะที่ทั้งโลกเริ่มเสื่อมศรัทธาในระบบการปกครองโดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขเราได้ แสดงให้โลกได้เห็นว่ามีประเทศเล็กๆ ประเทศหนึ่งที่คนทั้งชาติยังซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อราชวงศ์ จักรี และ พระมหากษัตริย์อันทรงเป็นที่รักยิ่งของคนไทย

    .....สิบสองปีที่ผ่านมา


    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวรหนักด้วยโรคหัวใจเพราะทรงงานหนักเกินไปในขณะเดียวกัน สมเด็จพระราชชนนีก็ทรงพระประชวรหนักอยู่ ณ โรงพยาบาลศิริราชเช่นกัน เรายังจำรูปในหนังสือพิมพ์ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมพระราชชนนี
    ไม่กี่วันหลังจากการผ่าตัดใหญ่ถวาย พระหัตถ์ข้างหนึ่งกุมอยู่ที่พระอุระ และในพระหัตถ์อีกข้างหนึ่งทรงถือ ม้วนแผนที่กรุงเทพฯ เพราะน้ำกำลังท่วมกรุงอยู่ ยังจำกันได้ไหม?
    ..... 34 ปีที่ผ่านมา

    วันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ.2516

    เป็นครั้งแรกในรัชกาลที่เกิดวิกฤติด้านการเมืองรุนแรงที่สุด
    วันนั้น นิสิตนักศึกษาและประชาชนนับหมื่นนับแสนเดินขบวนประท้วงรัฐบาล เหตุการณ์ร้ายแรงยิ่งขึ้นตำรวจทหารยิงประชาชน ในขณะที่นิสิตนักศึกษาก็เผาสถานที่ราชการ เกิดกลียุคทุกหย่อมหญ้า
    ' คนไทยฆ่าคนไทยด้วยกันเอง '

    คืนนั้น สถานีโทรทัศน์ทุกช่องถ่ายทอดสดจากพระราชวังสวนจิตรลดา
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสกันคนไทยทุกคนว่า “คนไทยจะฆ่าคนไทยด้วยกันไม่ได้ ทุกอย่างต้องสงบโดยฉับพลัน”
    และทุกอย่างก็สงบโดยฉับพลัน หลังจากนั้นไม่นาน มีฝรั่งคนหนึ่งมาถามผมว่า “เป็นไปได้อย่างไร ที่คนๆ เดียวจะมีอำนาจเหนือคนทั้งประเทศได้อย่างนั้น?” ผมไม่ได้ตอบ แต่ตอนนั้นใจผมคิดถึงประโยคที่ มรว. คึกฤทธิ์ ปราโมชฯ ได้ให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ BBC ว่า พระองค์ทรงเป็น 'SOUL OF THE NATION' หรือ“จิตวิญญาณของคนไทยทั้งชาติ” ยังจำกันได้ไหม?
    แล้ววันนี้เรากำลังทำอะไรกันอยู่
    เราสร้างค่านิยมผิดๆ ว่าคนที่ประสบความสำเร็จคือคนที่มีเงินมากที่สุด
    เราโกงทุกครั้งที่มีโอกาส
    เราเรียกร้องประชาธิปไตยโดยคิดถึงแต่ “สิทธิ
    ” แต่ลืมคำว่า “หน้าที่”
    เรากำลังฆ่ากันเองทุกวันในภาคใต้
    เราสร้าง “กฎหมู่” ให้เหนือ “กฎหมาย”
    เราเดินขบวนประท้วงในทุกอย่างที่เราไม่เห็นด้วย
    เราก้าวร้าวต่อกัน เราแตกแยกกัน
    และทั้งโลกกำลังจับตามองเราอยู่
    เราเคยหยุดคิดกันบ้างไหมว่า
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา
    จะทรงเสียพระทัยเพียงใด?
    แล้วสิ่งที่เราทำไปในวันเฉลิมพระชนมพรรษาคืออะไร การที่เราใส่เสื้อเหลือง สายรัดข้อมือ ที่ว่า Long life The King เราทำเพื่ออะไร
    มันเป็นแค่ผักชีโรยหน้าที่จะแสดงให้โลกเห็นว่าคุณรักพระมหากษัตริย์เพียงใดเท่านั้นนะเหรอ

    80 ชันษาของพระองค์ท่าน หากเปรียบกับคนธรรมดาก็สมควรที่จะได้พักเต็มที่ได้รับการดูแลและระมัดระวังเป็นพิเศษ ไม่สมควรที่จะตรากตรำทำงานหนัก แต่กลับเป็นว่า ในปีที่ครบ 80 ชันษาของพระองค์ท่านยังต้องทรงงานอยู่ตลอดเวลา ทั้งๆ ที่ทรงต้องอยู่ภายใต้การถวายการดูแลของคณะแพทย์

    พระองค์ต้องรับทุกข์ของคนไทยทั้งชาติ
    ความสุขของพระมหากษัตริย์พระองค์นี้
    ไม่ใช่จะประทับอยู่ในพระราชวังใหญ่โตสวยงาม แห่ล้อม
    ด้วยข้าราชบริพาร

    หากแต่ความสุขของพระมหากษัตริย์พระองค์นี้คือ
    เมื่อประชาชนของพระองค์ท่านรักสามัคคีกัน
    รู้จักความ พอเพียง และมีสติ-เพียงเท่านี้เอง
    แล้ววันนี้เรากำลังทำอะไรกันอยู่?
    หรือนี่คือการแสดงความกตเวทีต่อพระมหากษัตริย์ของเรา



    ถ้ารักในหลวงรักประเทศของเราก็ส่งต่อไปให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถึงเวลาที่ต้องตอบแทนคุณแผ่นดิน ตอบแทนพระคุณพ่อแล้ว

    ข้อมูลจาก: FWD Mail
     
  2. mosmosba

    mosmosba เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    133
    ค่าพลัง:
    +106
    หน้าสงสารท่านทำงานหนัก ขอให้สุขภาพแข็งแรง อยู่กับคนไทยไปนานๆๆนะครับ

    I LOVE King
     
  3. เรียนรู้ธรรม

    เรียนรู้ธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2007
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +250
    ถ้าทุกคนมีศีลธรรม เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตน ตั้งมั่นในความเพียงพอ ยึดถือความถูกต้องไม่ใช่ถูกใจ มีหิริโอตัปปะ ทุกที่ในเมืองไทยคงมีแต่ความสุขความเจริญ ท่านก็คงไม่ลำบากอย่างนี้หรอก
    ขอกราบแทบพระบาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญ
     
  4. ปอฝ้าย

    ปอฝ้าย สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +0
    น่าสงสารท่านจังค่ะ
     
  5. jaya

    jaya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,110
    ค่าพลัง:
    +2,183
    เหมือนกันเลยค่ะ dencee เนื้อเรื่องและคำพูดที่ใช้ในเรื่องนี้ ดิฉันได้โพสต์ไว้ก่อนแล้วที่ หมวดศูนย์ประชาสัมพันธ์ ห้องประกาศทั่วไป จ๊ะ ใช้ชื่อเรื่องว่า น้ำตาพ่อหลวง แต่ที่นั่นไม่ค่อยมีเข้าไปอ่านเท่าไหร่ แต่ก็deejaที่มาโพสต์อีก เพราะจะได้ช่วยให้เพื่อน ๆ ได้อ่านกันมาก ๆ ขึ้น และจะได้ช่วยกันทำถวายให้พ่อหลวงของเรา ทรงพระเกษมสำราญได้บ้าง
     
  6. runchoo_man

    runchoo_man เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    597
    ค่าพลัง:
    +593
    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ท่านเคยพูดถึงเรื่องสมาธิของในหลวงเอาไว้นะครับ

    ว่าในหลวงท่านเป็นคนที่มีสมาธิดีมากๆๆๆ คนหนึ่ง

    อาจจะเป็นไปได้ที่ว่า พระองค์เข้าณาณแล้วรู้เหตุการณ์ในอนาคตได้พระองค์เอง

    หลวงพ่อท่านบอกว่า ดีมาก เมื่อเทียบกับพระที่มีเวลาว่างทำสมาธิมากกว่า
     
  7. FenderMan

    FenderMan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    280
    ค่าพลัง:
    +566
    ผมอ่านFWM นี้มานานแล้วนี่ครับ
     
  8. korachaa

    korachaa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    123
    ค่าพลัง:
    +548
    ;aa50LONG LIFE THE KING (ไม่รู้เขียนถูกรึปล่าว) ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน
     
  9. ประทีปแก้ว

    ประทีปแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2008
    โพสต์:
    3,506
    ค่าพลัง:
    +8,328
    ทำดีเพื่อในหลวงอยู่แล้ว
     
  10. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,681
    ค่าพลัง:
    +51,931
    ท่านถาม : จะทำอย่างไรดี ???
    เราตอบ : มีทางเดียว พึ่งสัจจะ โลกุตตระ

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  11. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,824
    ค่าพลัง:
    +5,398
    ผู้ที่ปฏิบัติธรรมมานาน จิตใจจะพ้นไปจากโลกธรรม 8 จะมีปัญญาสอนตนเองได้ว่า "สิ่งใดเกิดแต่เหตุ" ดังนั้นแม้ฟ้าถล่มก็ไม่รู้สึกกังวลหรือเป็นทุกข์ใจ ภูมิธรรมของพระองค์นั้นพ้นจากภาวะที่จะมีความเศร้าโศกแบบคนธรรมดาที่ต้องร้องห่มร้องไห้ อย่างดีก็เกิดธรรมสังเวช
    แน่ใจว่า FWD Mail นี้เป็นของจริงหรือปลอมเพื่อหวังผลในด้านใดด้านหนึ่ง ลองตรองดูก็จะรู้ได้เอง
     
  12. nattapong0925

    nattapong0925 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +165
    I LOVE THE KING
    เมื่อไหร่คนไทยจะตื่นจากการที่คิดหาประโยชน์ใส่ตัว โดยเฉพาะพวกพันธมิตร ขอร้องเถอะ ทำเพื่อพ่อหลวงของเราบ้างเถอะ หยุดเสียทีกับการกระทำที่ทำอยู่ สงสารพ่อหลวงของเราบ้าง
     
  13. มนตรา_นาคี

    มนตรา_นาคี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    211
    ค่าพลัง:
    +179
    เห็นแก่คนอื่นบ้าง..จะสงบสุขกันดั่งเช่นเคยที่เป็นมา
     
  14. C.ไปมาหลายวัด

    C.ไปมาหลายวัด Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2008
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +49
    ความเห็นส่วนตัวนะครับ...
    ผมว่าทุกฝ่ายควรหันมามองตัวเองว่า...
    การกระทำใดของเราหรือฝ่ายเรา ที่มีส่วนทำให้ชาติเสียหายบ้าง ทำให้กระทบกระเทือนพระราชหฤทัยของพระองค์บ้าง
    อย่าเอาแต่มองว่าอีกฝ่ายไม่ดีตรงโน้นตรงนี้ ...แต่ไม่เคยมองว่าเรา หรือฝ่ายเรา ทำอะไรลงไปบ้าง
    ตอนนี้ผมเป็นห่วงพระองค์ที่สุด ผมสงสารพระองค์มากๆ
    ทั้ง2ฝ่าย คงไม่เคยคิดว่าถ้า ...ประเทศไทย ไม่มีพระองค์ท่าน ...เราๆท่านๆจะเป็นอย่างไรกัน
    ขอกราบแทบพระบาท ...ขอพระองค์จงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน
     
  15. nondanun

    nondanun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    5,980
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +32,611

    เคยมีคนบอกผมว่าในหลวงท่านถอดจิตได้
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message --><DD>[​IMG] <DD><DD>เคยมีคนบอกผมว่าในหลวงท่านถอดจิตได้ ถ้าหากไม่ติดพระราชกรณียกิจใด ๆ ท่านจะนั่งสมาธิตั้งแต่ 6 ทุ่ม ถึง 6 โมงเช้าทุกวัน

    <DD>ผมฟังทีแรกยังไม่อยากเชื่อเลย แต่ผมได้อ่านหนังสือของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ที่ได้พูดถึงในหลวงว่า ท่านมีสมาธิดีมาก ท่านเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ตามธรรมดาหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) แห่งวัดท่าซุง จะอัดเทปถวายในหลวง เพื่อนำไปเปิดขณะปฏิบัติธรรม เท่าที่กระผมทราบมา ท่านเอาเทปของหลวงพ่อฤาษีลิงดำที่อัดเสียงถวายแขวนคอแล้วเดินจงกรม ที่พระราชวังไกลกังวล หัวหิน บางครั้งท่านก็นั่งสมาธิโดยจับเสียงคลื่นเป็นอารมณ์กรรมฐาน

    <DD>ในหลวงท่านทรงแนะนำให้บุคคลใกล้ชิดได้ปฏิบัติธรรมด้วย เช่น พระราชวงศ์ องคมนตรี องครักษ์ หรือแม้แต่บุคคลที่ใกล้ชิดกับท่าน นี่ก็เป็นหลักฐานว่าสิ่งที่ผมได้กล่าวมามีเค้ามูลแห่งความจริง มีพระหลายองค์ บอกว่า ในหลวงเป็นผู้ทรงฌาณคนหนึ่ง เวลาท่านไปที่ไหน พระเถระชั้นผู้ใหญ่หลายองค์ขยับแล้วขยับอีก แต่ในหลวงท่านเพียงแค่กระพริบตาอย่างเดียว นั่งนิ่งไม่ขยับเขยื้อนเลยได้เป็นชั่วโมง ๆ

    <DD>พลตำรวจเอกที่เคยเป็นองครักษ์ของท่านคนหนึ่ง ก็เคยพูดไว้ว่า ในหลวงท่านเคยเล่าให้ฟังว่า ท่านเคยนั่งสมาธิเห็นร่างกายของท่านเป็นเนื้อแดง ๆ ลอกออกจนเห็นกระดูกสีขาว ๆ

    <DD>มีผู้ปฏิบัติธรรมท่านหนึ่งเล่าให้ฟังว่า ในหลวงท่านเคยถอดจิต (จะเรียกว่าถอดจิตก็ไม่ถูกเสียทีเดียว เพราะโอเลี้ยงหายไปครึ่งแก้ว) มาหาท่านหนึ่งที่มีบารมีมาก สามารถต่อรองกับพระยายมเพื่อนำคนที่ตกนรกไปแล้วขึ้นมาได้ ที่ในหลวงท่านถอดจิตมาหา ก็เพราะต้องการให้ช่วยอดีตนายกรัฐมนตรีท่านหนึ่งที่เป็นเชื้อพระวงศ์ขึ้นจากนรก แต่ท่านนี้ไม่ยอมช่วยเพราะเหตุไม่ถูกกับอดีตนายกฯท่านนั้น

    <DD>แต่ที่น่าแปลกก็คือ ถ้าในหลวงท่านถอดจิตมา (มาแค่จิตอย่างเดียว ร่างกายไม่ได้มาด้วย) โอเลี้ยงคงไม่หายไปครึ่งถ้วยหรอกครับ เพราะเจ้าของบ้านให้คนไปซื้อมาถวายในหลวง แต่นี่ที่หายไปครึ่งแล้ว แสดงว่า ในหลวงท่านหายตัวได้ครับ! ในหลวงท่านฝึกสมาธิจนถึงขั้นอภิญญา คือ แสดงฤทธิ์ได้ ซึ่งลูกศิษย์สายหลวงพ่อฤาษีลิงดำมีหลายคนทำได้ ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไร เพียงแต่ว่าเขาไม่ค่อยแสดงฤทธิ์กันเท่านั้นเอง

    <DD>แต่ถ้าท่านรู้มากกว่านี้ ก็คือ ในหลวงท่านเป็นพระโพธิสัตว์ใหญ่ (พระโพธิสัตว์ คือ บุคคลที่ปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต) และท่านก็มีบารมีมากพอที่จะเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตแน่ ๆ แล้ว (ต่อจากหลวงปู่ทวด และสมเด็จโต) ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลยที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะหายตัวได้ !

    </DD><DD>ที่มา http://palungjit.org/showthread.php?t=156288</DD>
     
  16. nondanun

    nondanun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    5,980
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +32,611
    แนะนําให้อ่านครับ

    พระสมาธิของพระเจ้าอยู่หัว
    พล.ต.อ. วสิษฐ เดชกุญชร


    ด้วยพระเมตตา แห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ที่ทรงสละความสุขส่วนพระองค์ เพื่อพสกนิกรชาวไทยพระองค์ประดุจพระผู้สร้างแผ่นดิน ทรงเป็นดั่งผู้ มอบชีวิต มอบความรุ่งเรือง มอบความเจริญงอกงามภายใน หัวใจคนไทยทั้งชาติ ทรงเป็นผู้ริเริ่มสร้างสรรค์ เป็นแรง บันดาลใจจุดประกายพลังแผ่นดิน

    หากเราได้มีโอกาสศึกษาพระบรมราโชวาท แห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เราจะเข้าใจได้อย่างแจ่มชัดด้วยคำสอน ที่พระองค์ทรงพระราชทานให้ แต่ละข้อแต่ละอย่างนั้น ล้วนเกิดขึ้นจากการที่พระองค์ ทรงไตร่ตรองพิเคราะห์ถึงปัญหานั้น อย่างถ่อง แท้ แล้วว่าจะเป็นหนทางแห่งการแก้ปัญหา การดับทุกข์ได้ด้วยสมาธิ

    ธรรมดาสภาวะจิตอันเป็นสมาธินั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร เกิดขึ้นจากการบังคับควบคุม เกิดขึ้นจากความผ่อนคลาย หรือเกิดขึ้นจากภาวะคับขันต่อการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นตรงหน้าจะทำให้ต้องเร่งรวบรวมสติให้มั่น ไม่ว่าสมาธิจะเกิดขึ้นอย่างไร สมาธิเป็นของดี เป็นของที่เกิดขึ้นได้จากการ ฝึกฝน เป็นของที่มีอยู่ในกาย และในจิตอันพร้อมเป็นของเข้าใจได้ เป็นของเข้าใจง่าย และใช้ได้กับคนทุกเพศทุกวัยและความเข้าใจอันแจ่มชัดที่แสดงให้เห็นว่า สมาธิ เองก็มิใช่ของที่เกิดขึ้นโดยลำพังหรือใช้โดยลำพัง แต่สมาธิที่ดีจะยังประโยชน์แก่ผู้อื่นได้มากหากผู้ใช้สมาธิรู้จักการ ปฎิบัติอันถูกต้อง ถูกต้องทั้งแก่ตนแลถูกต้องทั้งแก่ผู้อื่น ดังที่ได้ศึกษาจากรอยพระจริยวัตร แห่ง องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมืพลอดุลยเดช อันได้แสดงไว้ถึงเรื่องราวของ "พระสมาธิ"

    ผู้ที่เคยเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทในงานหรือพิธีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต้องประทับอยู่เป็นเวลานานๆ เช่น ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร คงจะได้เห็นด้วยความพิศวงกันทุกคนว่า พระเจ้าอยู่หัวนั้น เมื่อทรงนั่งลงแล้ว จะประทับอยู่ในพระอิริยาบทนั้นตั้งแต่เริ่มพิธีไปจนกระทั่งบไม่ทรงเปลี่ยนพระอิริยาบทเลย
    นอกจากนั้น ยังทรงปฎิบัติพระราชกรณียกิจอย่างกระฉับกระเฉง ต่อเนื่อง ไม่มีพระอาการที่แสดงว่าทรงเหนื่อย หรือทรงเบื่อเลย ผมเคยเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร พิธีนั้นยาวถึงประมาณ ๔ ชั่วโมง และมีบัณฑิตผู้สำเร็จการศึกษาเฝ้าฯ รับพระราชทานปริญญาบัตรเป็นจำนวนหลายพันคน ได้เห็นเหตุการณ์เช่นว่านั้น แต่ผมได้เห็นมากกว่านั้นคือ เมื่อเสด็จพระราชดำเนินกลับไปถึงพระตำหนักจิตรลดาโหฐานในตอนค่ำวันนั้น พระเจ้าอยู่หัวยังทรงออกพระกำลังบริหารพระวรกายด้วยการวิ่งในศาลาดุสิตาลัยอีก

    ในการประกอบพระราชกรณียกิจอื่นๆ ก็เช่ยเดียวกัน พระเจ้าอยู่หัวทรงปฎิบัติด้วยพระอาการที่แสดงว่า เอาพระทัยจดจ่ออยู่กับพระราชกรณียกิจนั้นๆ อย่างต่อเนื่อง ไม่ทรงเหนื่อยหรือเบื่อหน่าย เช่น ในการทรงดนตรี ( ที่ใคร ๆ มักจะนึกว่าเป็นการหย่อนพระราชหฤทัย) เป็นต้น ผมเคยเห็นพระเจ้าอยู่หัวประทับทรงดนตรี ตั้งแต่หัวค่ำจนสว่าง โดยทรงนั่งไม่ลุกเลยแม้แต่จะเพื่อเสด็จฯ ไปห้องสรงในขณะที่นักดนตรีอื่น ๆ ลงกราบแล้วถอยหลังลุกไปเข้าห้องน้ำกันเป็นครั้งคราวทุกคน

    ในการทรงเรือใบก็เช่นเดียวกัน ทรงจดจ่ออยู่กับการบังคับเรืออย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เริ่มต้นจนกระทั่งจบ ครั้งหนึ่งเสด็จฯ ออกจากฝั่งไปได้ไม่นานก็ทรงแล่นเรือใบเข้าฝั่ง ตรัสกับผู้ที่คอยมาเฝ้าฯ อยู่ด้วยความฉงนว่าเสด็จฯ กลับเข้าฝั่งเพราะเรือใบพระที่นั่งแล่นไปโดนทุ่นเข้าซึ่งในกติกาการแข่ง เรือใบถือว่า ฟาวล์ ทั้งๆ ที่ไม่มีใครเห็น
    แสดงว่าการทรงดนตรีก็ดี ทรงเรือใบก็ดี สำหรับพระเจ้าอยู่หัว เป็นงานอีกชนิดหนึ่ง ที่จะต้องทำด้วยความจดจ่อและต่อเนื่องไปจนกว่าจะเสร็จเหมือนกัน
    พระราชกรณียกิจอื่นๆ ทั้งน้อยและใหญ่ ทรงปฎิบัติแบบเดียวกัน คือด้วยการเอาพระราชหฤทัย จดจ่อไม่ทรงยอมให้ขาดจังหวะจนกว่าจะเสร็จ และไม่ทรงทิ้งขว้างแบบทำๆ หยุดๆ เพราะฉะนั้น จึงจะเห็นว่าพระราชกรณียกิจทั้งหลายนั้น สำเร็จลุล่วงไปเป็นส่วนใหญ่
    ผมไปรู้เอาหลังจากที่เข้ารับราชการในตำแหน่งนายตำรวจราชสำนักประจำอยู่ได้ไม่นานว่าที่ ทรงสามารถจดจ่ออยู่กับพระราชกรณียกิจทุกชนิดได้เช่นนั้นก็เพราะพระสมาธิ

    ผมไม่ทราบว่า พระเจ้าอยู่หัวทรงริเริ่มฝึกสมาธิตั้งแต่เมื่อใด แต่สันนิษฐานว่าคงจะเริ่มในเดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๔๙๙ เมื่อทรงผนวชที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) หลังจากทรงผนวชแล้ว ประทับจำพรรษาอยู่ที่พระตำหนักปั้นหย่า วัดบวรนิเวศวิหาร ทรงอยู่ในสมณเพศเป็นเวลา ๑๕ วัน ครั้งนั้นสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ซึ่งทรงเป็นพระอุปัชณาจารย์ทรงเลือกสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก (เมื่อครั้งยังเป็นพระโสภณคณาภรณ์) ให้เป็นพระอภิบาล (พระพี่เลี้ยง) ของพระเจ้าอยู่หัว เป็นที่ทราบกันดว่า แม้จะทรงมีเวลาน้อยแต่พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงศึกษาและปฎิบัติตามพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด และคงจะได้ทรงฝึกเจริญพระกรรมฐานในโอกาสนั้นด้วย
    เมื่อผมเข้าไปเป็นนายตำรวจราชสำนักประจำในปี พ.ศ. ๒๕๑๓ นั้น ปรากฎว่าการศึกษา และปฎิบัติสมาธิหรือกรรมฐาน ในราชสำนักกำลังดำเนินอยู่แล้ว พระเจ้าอยู่หัวทรงปฎิบัติเป็นประจำ และข้าราชสำนักข้าราชบริพารหลายคน ทั้งฝ่ายพลเรือน และทหารก็กำลังเจริญรอยพระยุคลบาทอยู่ด้วยการฝึกสมาธิอย่างขมักเขม้น
    ผมไม่ได้ตั้งใจจะหัดสมาธิ แม้จะเคยศึกษามาก่อน โดยเฉพาะจากหนังสือของ ท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุ แต่ระหว่างการตามเสด็จฯ โดยรถไฟ จากกรุงเทพมหานคร ไปอำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๕ การเดินทางไกลกว่าที่ผมคาดคิด หนังสือเล่มเดียวที่เตรียมไปอ่านฆ่าเวลาบนรถไฟ ก็อ่านจบเล่ม เสียตั้งแต่กลางทาง ขณะนั้นผมเห็นนายทหารราชองครักษ์ ประจำที่ปฎิบัติหน้าที่ถวายความ ปลอดภัยร่วมกันสองนาย ใช้เวลาว่างนั่งหลับตาทำสมาธิ ผมจึงลองทำดูบ้างโดยใช้อานาปานสติ (คือกำหนดรู้แต่เพียงว่ากำลังหายใจเข้า และหายใจออก) อันเป็นวิธีที่พระพทธเจ้าทรงใช้ และท่านอาจารย์พุทธทาสแนะนำ ปรากฎว่าจิตสงบเร็วกว่าที่ผมคาด แลเห็นนิมิตเป็นภาพสีสวย ๆ งามๆ มากมายและเป็นเวลาค่อนข้างนานด้วย ตั้งแต่นั้นมาผมก็ติดสมาธิและกลายเป็นอีกผู้หนึ่ง ที่ปฎิบัติสมาธิเป็นประจำมาจนทุกวันนี้
    เมื่อความทราบถึงพระกรรณว่าผมเริ่มปฎิบัติสมาธิ พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงกรุณาพระราชทานหนังสือ และแถบบันทึกเสียงคำสอนของครูบาอาจารย์ต่างๆ ลงมา และบางครั้งก็ทรงพระกรุณา พระราชทานพระราชดำรัส แนะนำด้วยพระองค์เอง ผมจึงได้รู้ว่า พระสมาธิของพระเจ้าอยู่หัวนั้นก้าวหน้าไปแล้วเป็นอันมาก รับสั่งเล่าเองว่าแม้จะทรงใช้ อานาปานสติ เป็นอุบายในการทำสมาธิ แต่พระเจ้าอยู่หัวก็ไม่ทรงสามารถที่จะกำหนดพระอัสสาสะ (ลมหายใจเข้า) และพระปัสสาสะ (ลมหายใจออก) ได้แต่ลำพัง ต้องทรงนับกำกับ วิธีนับของพระเจ้าอยู่หัวนั้นทรงทำดังนี้ หายใจเข้าครั้งที่หนึ่งนับหนึ่ง
    หายใจเข้าครั้งที่สอง นับสอง
    หายใจเข้าครั้งที่สาม นับสาม
    หายใจเข้าครั้งที่สี่ นับสี่
    หายใจเข้าครั้งที่ห้า นับห้า
    หายใจออกครั้งที่หนึ่ง นับหนึ่ง
    หายใจออกครั้งที่สอง นับสอง
    หายใจออกครั้งที่สาม นับสาม
    หายใจออกครั้งที่สี่ นับสี่
    หายใจออกครั้งที่ห้า นับห้า

    เมื่อถึงห้าแล้ว หากจิตยังไม่สงบ ก็นับถอยหลังจากห้าลงมาหาหนึ่ง แล้วนับจากหนึ่งขึ้นไปหา ห้าใหม่ กลับไปกลับมาเช่นนั้น จนกว่าจิตจะสงบ
    รับสั่งว่า ที่เห็นพระองค์ประทับอยู่นิ่ง ๆ นั้น พระจิตทรงอยู่กับหนึ่งเข้าหนึ่งออกตลอดเวลา
    พระเจ้าอยู่หัวทรงศึกษาเรื่องสมาธิด้วยการรวบรวม และประมวลคำสอนของครูบาอาจารย์ทุกคน แล้วก็ทรงพระกรุณาพระราชทานประมวลคำสอนนั้นแก่ผู้ที่ทรงทราบว่ากำลังปฎิบัติสมาธิอยู่
    ครั้งหนึ่ง ทรงพระกรุณาพระราชทานแถบบันทึกเสียงของสมเด็จพระญาณสังวรฯ ให้ผม รับสั่งว่าเป็นบันทึกเสียงการแสดงธรรมเรื่อง ฉฉักกสูตร (คือพระสูตรว่าด้วยธรรมะ หมวด ๖ รวม ๖ ข้อ ซึ่งอธิบายความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ และความไม่มีตัวมีตนของสิ่งต่างๆ มีอายตนะภายนอก อายตนะภายใน วิญญาณ ผัสสะ เวทนา และตัญหา พระสูตรนี้ เหมาะสำหรับผู้ที่ศึกษาและปฎิบัติวิปัสสนากรรมฐาน) และทรงแนะนำให้ผมฟังธรรมบทนั้น
    ผมรับพระราชทานแถบบันทึกเสียงม้วนนั้นมาแล้วก็เอาไปใส่เครื่องบันทึกเสียงและเปิดฟัง ฟังไปได้ไม่ทันหมดม้วนก็ปิดแล้วก็เก็บเอาไว้ไม่ได้ฟังอีก หลังจากนั้นไม่นานนัก ได้เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท พระเจ้าอยู่หัว มีพระราชกระแสรับสั่งถามว่า ฟังเทปของสมเด็จฯ แล้วหรือยัง เป็นอย่างไร
    ผมไม่อาจจะกราบบังคมทูลความอันเป็นเท็จได้ ต้องกราบบังคมทูลตรงๆ ว่าฟังได้ไม่ทันจบม้วนก็ได้หยุดฟังเสียงแล้ว ตรัสถามต่อไปถึงเหตุผลที่ผมไม่ฟังให้จบ และผมก็จำเป็นต้องกราบ บังคมทูลตรงๆ ว่า สมเด็จฯ ท่านเทศน์ฟังไม่สนุก พูดขาดเป็นวรรค ๆ เป็นห้วง ๆ เนื่องจากสมเด็จฯ พิถีพิถันในการใช้ถ้อยคำและประโยคเทศน์ของท่านนั้น ถ้าเอามาพิมพ์ก็จะอ่านได้สบายกว่าฟัง
    พระเจ้าอยู่หัวตรัสถามว่า ที่ฟังสมเด็จฯ เทศน์ไม่รู้เรื่องนั้นก็เพราะคิดไปก่อนใช้หรือไม่ว่า สมเด็จฯ ท่านจะพูดว่าอย่างนั้น อย่างนี้ ครั้นท่านพูดช้ากว่าที่คิด หรือพูดออกมาแล้วไม่ตรงกับที่ คาดหมายจึงเบื่อ เมื่อผมนิ่งไม่กราบบังคมทูลตอบ ก็ทรงแนะนำว่า ให้กลับไปฟังใหม่ คราวนี้อย่าคิดไปก่อนว่าสมเด็จฯ จะพูดว่าอย่างไร สมเด็จฯ หยุดก็ให้หยุดด้วย ผมกลับมาทำตามพระราชกระแสรับสั่ง เปิดเครื่องบันทึกเสียงฟังเทศน์ของสมเด็จฯ จากแถบบันทึกเสียงม้วนนั้นใหม่ตั้งแต่ต้น ฟังด้วยสมาธิ
    สมเด็จฯ หยุดตรงไหน ผมก็หยุดตรงนั้น และไม่คิด ๆ ไปก่อนว่า สมเด็จฯ จะพูดว่าอย่างไร คราวนี้ผมฟังได้จนจบและเห็นว่าจริงดังพระราชดำรัส แถบบันทึกเสียงม้วนนั้น เป็นม้วนที่ดีที่สุดม้วนหนึ่ง
    ครั้งหนึ่ง หลังจากที่นั่งสมาธิแล้ว ผมได้มีโอกาสเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทและกราบบังคมทูลประสบการณ์ที่ได้ขณะทำสมาธิ ผมกราบบังคมทูลว่า ขณะที่นั่งสมาธิครั้งนั้น รู้สึกว่าตัวเองลอยขึ้นจากพื้นสูงประมาณสอกหนึ่ง ทีแรกก็ยังไม่รู้สึกอะไรแต่ครั้รหัวเริ่มคล้อยลงไปข้างหน้า ทำท่าเหมือนจะตีลังกา ผมก็ตกใจและต้องเลิกทำสมาธิ
    พระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชวิจารณ์ว่า ถ้าหากสติยังอยู่ ยังรู้ตัวว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น ก็ไม่ควรจะเลิก แต่ควรจะปล่อยให้เป็นไปตามสภาพนั้น
    อีกครั้งหนึ่ง หลังจากทำสมาธิแล้ว ผมกราบบังคมทูลว่า พอจิตสงบผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังเลื่อนต่ำลงไปในท่อขนาดใหญ่ครือตัวผม และที่ปลายท่อข้างล่างผมแลเห็นแสงสว่างเป็นจุดเล็ก ๆ แสดงว่าท่อยาวมาก กลัวจะหลุดออกจากท่อไป ผมก็เลยเลิกทำสมาธิ
    รับสั่งเช่นเดียวกันว่า หากยังรู้ตัว (มีสติ) อยู่ ก็ไม่ควรเลิก ถึงหากจะหลุดออกนอกท่อไปก็ไม่เป็นไร ตราบเท่าที่สติยังอยู่ และรู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับตน
    ต่อมาภายหลังจากการศึกษาคำสอนของครูปาอาจารย์ทุกท่าน และโดยเฉพาะของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตรัสสอนให้ "ดำรงสติให้มั่น" ในเวลาทำสมาธิ

    ในส่วนที่เกี่ยวกับพระสมาธิของพระเจ้าอยู่หัว เคยตรัสเล่าให้ผมฟังว่า ครั้งหนึ่งขณะที่กำลังทรงทำสมาธิอยู่ พระจิตสงบและเกิดนิมิต ในนิมิตนั้น พระเจ้าอยู่หัวทรงทอดพระเนตรเห็นพระกร (แขนท่อนล่าง) ลอกออกทีละชั้น ๆ ตั้งแต่จากพระตจะ (หนัง) ลงไปจนถึงพระอัฐิ (กระดูก)
    พระเจ้าอยู่หัวทรงประยุกต์พระสมาธิในการประกอบพระราชกรณียกิจทุกอย่างทั้งน้อยและใหญ่ จึงทรงสามารถเผชิญกับพระราชภาระอันหนัก ในตำแหน่งพระมหากษัตริย์ได้โดยไม่ทรงสะทกสะท้านหรือหวั่นไหว ไม่ทรงคาดการณ์ล่วงหน้าไปไกล ๆ อย่างเลื่อนลอยและเปล่าประโยชน์ ไม่ทรงอาลัยอดีตหรืออนาคต ไม่ทรงเสียเวลาหวั่นไหวไปกับความสำเร็จ หรือความล้มเหลวอันเป็นเรื่องที่ผ่านพ้นไปแล้ว แต่ทรงจดจ่ออยู่กับปัจจุบัน ทรงสนพระราชหฤทัยอยู่แต่กับพระราชกรณียกิจเฉพาะพระพักตร์เท่านั้น

    ในฐานะที่เกิดมาเป็นพลเมืองของประเทศที่มีพระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้เป็นพระประมุข และในฐานะที่ทุกคนมีหน้าที่ในการทำนุบำรุงเมืองไทยนี้ให้เป็นที่ร่มเย็นของเรา และของลูกหลานของเรา จึงสมควรที่เราจะเจริญรอยประพฤติตามพระยุคลบาทด้วยการศึกษาและปฎิบัติสมาธิกันอย่างจริงจัง และนำสมาธิมาประยุกต์ในการดำเนินชีวิต เช่นเดียวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา


    ที่มา http://www.duangden.com/TheKing/KingMeditation.html
     

แชร์หน้านี้

Loading...