พระปิดตามหาโชคหลวงพ่อบุญมากผงรูปเหมือนลพ.สาคร คลองหอทอง

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Jumbo A, 17 สิงหาคม 2022.

  1. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,892
    ค่าพลัง:
    +21,459
    1766416529399.jpg 1766416535462.jpg 1766416538378.jpg 1766416465840.jpg 1766416469060.jpg 1766416474655.jpg 1766416477523.jpg 1766416480490.jpg 1766416484620.jpg 1766416498306.jpg 1766416509806.jpg 1766416515723.jpg 1766416518703.jpg 1766416521215.jpg 1766416526697.jpg 1766416532408.jpg


    ประวัติหลวงพ่อเวก

    หลวงพ่อเวกวุฑฒิปัญโญ "วัดลาดศรัทธาราม"เพชรบุรี
    พระครูสุภาณีวิทยาคุณ หรือ หลวงพ่อเวก วุฑฒิปัญโญ อดีตเจ้าอาวาส วัดลาดศรัทธาราม ต.บ้านลาด อ.บ้านลาด จ.เพชรบุรี และอดีตพระเกจิอาจารย์อีกรูปหนึ่งของจังหวัดเพชรบุรี ที่มีผู้เลื่อมใสศรัทธาจำนวนมาก วัตถุมงคลของท่านเป็นหนึ่งในตำนานพระเครื่องเมืองเพชรบุรี ที่มีประสบการณ์มากมาย

    มีนามเดิมว่า เวก คุ้มจินดา พื้นเพเดิมเป็นคนท่ายาง จ.เพชรบุรี เกิดเมื่อวันพุธ ที่ 13 ต.ค.ศ.2452

    ต่อมาครอบครัวย้ายถิ่นฐานไปประกอบอาชีพที่คลองจินดา อ.สามพราน จ.นครปฐม

    เข้าพิธีอุปสมบทเมื่อปี พ.ศ.2472 ณ วัดจินดาราม อ.สามพราน จ.นครปฐม โดยมีพระราชธรรมาภรณ์ หรือ หลวงพ่อเงิน จันทสุวัณโณ วัดดอนยายหอม เป็นพระอุปัชฌาย์ ส่วนนามพระอนุสาวนาจารย์ และพระกรรมวาจาจารย์นั้น ไม่มีการบันทึกไว้

    หลังอุปสมบท ตั้งใจใฝ่รู้ขยันหมั่นเพียรศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัยวิปัสสนากัมมัฏฐาน และศาสตร์ต่างๆ จากหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม ผู้เป็นอาจารย์อย่างเคร่งครัด กระทั่งมีความรอบรู้ชำนาญแตกฉานในศาสตร์ต่างๆ ตามแบบอย่างของผู้เป็นอาจารย์

    นอกจากความแตกฉานด้านพระธรรมวินัย ในช่วงราวปี พ.ศ.2480 หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม ได้จัดสร้างวัตถุมงคลบารมีสิบทัศ เป็นจุดเริ่มต้นที่หลวงพ่อเวกได้ศึกษาวิชาจัดสร้างพระบารมีสิบทัศ จากหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม จนแตกฉาน

    ต่อมาพระเวกได้ย้ายมาจำพรรษา ณ วัดเกาะแก้วสุทธาราม

    เมื่อเจ้าอาวาสวัดลาดศรัทธารามได้ว่างลง ชาวบ้านจึงนิมนต์พระเวกไปเป็นเจ้าอาวาส

    เมื่อวันที่ 5 ธ.ค.2499 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรที่ "พระครูสุภาณีวิทยาคุณ"

    หลวงพ่อเวก ประพฤติตนตั้งมั่นอยู่ในธรรมวินัย ท่านได้สร้างคุณูปการมากมาย ตลอดจนก่อสร้างบูรณปฏิสังขรณ์พัฒนาถาวรวัตถุศาสนสถาน เพื่อสืบต่อพระศาสนา เป็นประโยชน์ต่อพระสงฆ์ สามเณรและ พุทธบริษัทต่างๆ มากมาย จนเป็นที่เลื่อมใสได้รับความเคารพ

    พ.ศ.2512 จัดสร้างพระพุทธรูปประจำวัดลาดศรัทธาราม นามว่า พระพุทธหิรัญราช เป็นพระพุทธรูปที่มีพุทธศิลป์งดงาม องค์พระนั่งขัดสมาธิอย่างปางสมาธิ พระหัตถ์เบื้องขวาห้อยพาดบนพระชานุ (เข่า) หันฝ่าพระหัตถ์ไปข้างหน้า พระหัตถ์ซ้ายพาดแบอยู่บนพระเพลา (หน้าตัก) บนพระหัตถ์วางไว้ด้วยโถน้ำพระพุทธมนต์ศักดิ์สิทธิ์ โดยมีหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม เป็นองค์ประธานเททองหล่อ

    ด้านวัตถุมงคลมีมากมาย อาทิ พระผงรุ่นต่างๆ แต่ที่ได้รับความนิยมสูง คือ พระบารมีสิบทัศพระพุทธหิรัญราช

    ได้รับความเมตตาแนะนำจากหลวง พ่อเงิน วัดดอนยายหอม ผู้เป็นอาจารย์ ให้จัดสร้างพระพุทธหิรัญราช พิมพ์บารมีสิบทัศขึ้น หลวงพ่อเวกจึงเสาะหา รวบรวมมวลสารเพื่อจะนำสร้างพระซึ่งท่านสามารถหามวลสารมาได้ครบถ้วนตามตำราโบราณ

    พระพุทธหิรัญราช พิมพ์บารมีสิบทัศ วัดลาดศรัทธาราม หลวงพ่อเวก จัดสร้างขึ้นระหว่าง พ.ศ.2490-2500 โดยมีหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม ผู้เป็นอาจารย์เป็นประธานในพิธีและร่วมปลุกเสก

    มีสัณฐานองค์ขนาดใหญ่เป็นทรงคล้ายห้าเหลี่ยม มี 2 พิมพ์ คือ พิมพ์ป้อม และพิมพ์ชะลูด พุทธลักษณะด้านบนมีพระพุทธรูปประทับยืน 5 องค์ ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง

    หลวงพ่อเวก ดำรงตนอยู่ในร่มกาสาวพัสตร์แห่งพระธรรม เป็นศูนย์กลางแห่งความเคารพศรัทธาให้กับพุทธ ศาสนิกชนนานกว่า 50 ปี

    มรณภาพอย่างสงบ เมื่อวันอังคารที่ 6 พ.ค.2523 สิริอายุ 72 พรรษา

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    เหรียญพระหิรัญญาราชปี ๒๕๑๒

    ให้บูชา 150 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ


    IMG_20251222_220716.jpg IMG_20251222_220742.jpg
     
  2. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,892
    ค่าพลัง:
    +21,459
    FB_IMG_1766417742407.jpg


    พระสมเด็จ รุ่นมหาอุดพิมพ์ใหญ่-หลวงปู่วรพรตวิธาน (พันธ์ ติสฺโส) หลวงปู่เหยียบรถกระดก (เดี่ยง) วัดจุมพล อ.แวงน้อย จ.ขอนแก่น
    วิชามหาอุตม์ เป็นศาสตร์วิชาที่ให้คุณวิเศษทางความอุดมสมบูรณ์ ทำมาหากินคล่อง มีกินไม่มีหมดผู้ใช้ต้องหมั่นสวดภาวนา วิชามหาอุตม์เป็นอักขระพระคาถามหายันต์ที่นำไปลงวัตถุมงคลต่างๆหรือปลุกเสกสิ่งของนำมาบูชา จนกระทั่งนำอักขระมหายันต์มาสักยันต์ลงบนร่างกาย แต่ถ้าจะให้เกิดคุณโดยเร็ว ต้องหมั่นภาวนาพระคาถากำกับไว้ ถือว่าเป็นมนต์มหาเสน่ห์ มหานิยมเมตตาเป็นเลิศ ศาสตร์วิชามหาอุตม์นี้หลายท่านคิดว่าเป็นมหาอุด ที่หมายถึง อุดลูกปืน อุดสิ่งชั่วร้ายไม่ให้เข้าตัวอะไรประมาณนี้ซึ่งความจริงแล้ว วิชาที่อุดลูกปืนหรือป้องกันสิ่งชั่วร้ายนั้น อยู่ในหมวดวิชาอยู่ยงคงกระพัน วิชานี้ป้องกันอาวุธต่างๆ ได้ ป้องกันสิ่งเลวร้ายได้ อย่างเช่น ผู้ที่มีวิชาอยู่ยงคงกระพันถูกยิงด้วยปืน ถึงแม้ลูกปืนจะยิงออกและถูกเข้าตามร่างกาย แต่ก็ไม่สามารถทะลุผ่านผิวหนังเข้าไปได้ อย่างนี้เป็นต้น ส่วนปืนยิงไม่ออกอยู่หมวดวิชาชาตรี ทำให้ลูกปืนมีน้ำหนักมากกว่าแรงลั่นไกและถ้ายังลั่นไกหลายครั้งลำท่อปืนอาจจะแตกหรือระเบิดได้ หรือปืนที่ยิงออกแต่ไม่ถูกเป้าหมายนั้น อยู่ในหมวดวิชาแคล้วคลาด ถ้าท่านมีวิชาแคล้วคลาดต่อให้ยิงปืนจนหมดแม็กก็ไม่ถูก ด้วยเหตุนี้บูรพาจารย์จึงได้คิดค้นวิชาที่ให้คุณทางด้านอุดมโภคทรัพย์ขึ้นมาเนื่องจากสมัยก่อนผู้คนมีอาชีพทางการเกษตรเสียส่วนมาก จึงต้องเน้นวิชาเกี่ยวกับความอุดมสมบูรณ์ วิชามหาอุตม์นี้ได้แยกวิชาย่อยอีกหลายสายวิชา อาทิ วิชาปลุกเสกหรือลงนะหน้าทองเป็นเมตตามหาเสน่ห์ วิชาปลุกเสกหรือลงสาลิกาลิ้นทองเมตตามหานิยม วิชาหุงสีผึ้งทาปากเด่นทางเมตตาค้าขายดี เป็นต้น
    พุทธคุณ: ยันต์ตะกร้อ ที่อยู่ด้านนอกตะกรุด เป็นยันต์มหาอุตม์ คำว่ามหาอุตม์ แปลว่า ยิ่งใหญ่ครบถ้วนสมบูรณ์ มีพุทธคุณทุกด้าน คุ้มครองป้องกัน แคล้วคลาดปลอดภัย คงกระพัน เมตตามหานิยม และมีมวลสารโลหะผสมมวลสารเหล็กไหล อยู่ด้านใน เหล็กไหลนั้น เป็นแร่กายสิทธิ์ มีฤทธิ์ในตัว ครบทุกด้านเช่นกัน คงกระพันชาตรี โชคลาภค้าขาย คุ้มครองป้องกัน แคล้วคลาด

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    หลวงปู่วรพรต เหยียบรถกระดก” จ.ขอนแก่น

    ผู้มีธาตุขันธ์ กาย สังขาร เป็น มรกต หนึ่งเดียวใน โลก

    ประวัติ หลวงปู่วรพรตวิธาน.. นามเดิม ท่านชื่อ “พันธ์ ทับงาม” เกิดวันพุธที่ 1 ธันวาคม 2444 ที่บ้านน้ำอ้อม อ.เกษตรวิสัย จ.ร้อยเอ็ด

    (ที่จริงแล้วท่านเกิดในปี พ.ศ 2437 แต่แจ้ง วันเกิดช้ากว่ากำหนดโดยวันเดือนเกิดไม่ทราบแน่ชัด) บิดาชื่อ พ่อศิลา มารดาชื่อ แม่ทอง ทับงาม ชีวิตเยาว์วัยท่านเป็นคนเรียนหนังสือเก่งมาก จนขุนเกษตรวิสัยเจ้าเมืองร้อยเอ็ดเอาไปรับราชการเป็นเสมียนประจำตัวท่าน รับราชการจนอายุได้ 16 ปี จึงลาบวชเป็นสามเณร ณ.วัดบ้านน้ำอ้อม จนอายุได้ 21 ปี จึงได้อุปสมบทเป็นพระต่อโดยมีพระครูธรรมสังฆบาลเป็นพระอุปัชณาย์มีฉายาว่า “ติสโส” ท่านเป็นพระหนุ่มที่เรียนหนังสือเก่งมากท่องปฏิโมกข์ได้ตั้งแต่พรรษาแรก และปี พ.ศ 2472 หลวงปู่ ท่านสอบนักธรรมชั้นเอกได้ ในปีนั้นหลวงปู่สอบนักธรรมเอกได้เพียงองรูปเดียวเท่านั้นทั่วมณฑลร้อยเอ็ด
    (รวมกาฬสินและมหาสารคามด้วย) จนได้รับรูปท่านเจ้าคุณพระโพธิวาศจารย์แม่กองธรรมอุบลเป็นรางวัล

    หลวงปู่ได้มาเรียนเทศนากับท่านเจ้าคุณกัณหา ณ วัด หนองทุ่ม อ.พล จ.ขอนแก่น (เจ้าคุณกัณหาเจ้าคณะ จังหวัดขอนแก่น ในสมัยนั้น พ.ศ 2473) ปี พ.ศ 2475 บ้านเมืองได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเจ้าคุณกัณหาจึงได้ส่งหลวงปู่วรพรตมาเป็นเจ้าอาวาสวัดจุมพล บ้านก้านเหลือง อ.แวงน้อย จ.ขอนแก่น อายุการสร้างวัดจุมพล ประมาณ 150 ปี ในสมัยรัชกาลที่ 5

    พ.ศ 2480 หลวงปู่ได้สร้าง อุโบสถขึ้นมาใหม่ เสร็จเอาปี พ.ศ 2483 ค่าก่อสร้างเป็นเงิน 2,500 บาท ปูนชีเมนต์สมัยนั้นถุงละ 1.50 บาท ปี พ.ศ. 2482 หลวงปู่ได้ขอพระราชทาน พระปรมาภิไธย์ย่อ
    ของรัชการที่ 8 แต่พระองค์ท่านได้พระราชทานเหรียญพระฉายาลักษณ์ของท่านให้หลวงปู่วรพรต หลวงปู่ท่านเอาเหรียญนั้นติดไว้หน้าพระอุโบสถต่อจากนั้นมาหลวงปู่ก็ได้พัฒนาวัดจุมพลมาเรื่อยๆ ตลอดจนวัดต่างๆ ในอำเภอแวงน้อย และอำเภอพล (แต่ก่อนอำเภอแวงน้อยเป็นตำบล ขึ้นอยู่กับอำเภอพล) ในการสร้างพระอุโบสถและกุฎิ รวมทั้งศาลาการเปรียญ รวมทั้งสิ้น ประมาณ 30 หลัง ต่อมาในปี พ.ศ. 2518 ได้มีการขยายการปกครองออกไปอีก ทางการจึงตั้งตำบลแวงน้อยขึ้นเป็นอำเภอแวงน้อย หลวงปู่วรพรตวิธานจึงได้เป็นเจ้าคณะอำเภอแวงน้อยรูปแรก

    หลวงปู่ท่านเป็นผู้มีวิชาอาคมขลังมาก ได้เรียนวิชาอาคมมาจาก 5 อาจารย์ด้วยกัน เช่น หลวงศรีธรรมศาสตร์ อ.โกสุมพิสัย จ.มหาสารคาม หลวงปู่ศึกษาวิชาไสยศาสตร์ จากอาจารย์ครีธรรมศาสตร์ จนเรียนจบเรียบร้อยแล้วก็ได้เดินทางไปศึกษาวิชาอาคมจาก พระอาจารย์ขันวัดท่าสะแบง ต.มะบ้า อ.ธวัชบุรี จ. ร้อยเอ็ด พระอาจารย์ขันวัดท่าสะแบงนี้ท่านเป็นผู้มีวิชาอาคมรูปหนึ่งในภาคอีสานในสมัยนั้น ไม่ว่าจะเป็นวิชาอาคมทางด้านเมตตามหานิยม, คงกระพันชาตรี, แคล้วคลาด, มหาอุต ป้องกันขับไล่ คุณไสย คุณผี คุณคน หลวงปู่วรพรตท่าน ก็ได้รับการถ่ายทอดวิชาอาคมจากพระอาจารย์ขันจนหมดสิ้น แล้วหลวงปู่ก็ได้ไปศึกษากับ
    พระอาจารย์ โส วัดบ้านฟ้าเหลี่ยม อ.อาจสามารถ จ.ร้อยเอ็ด เกจิอาจารย์ดังองค์หนึ่ง ในสมัยนั้น ขนาดท่านปัสสาวะรดต้นไม้ เอาปืนยิงต้นไม้ ยังยิงไม่ออกแต่ก็ยังไม่พอความต้องการของหลวงปู่ หลังจากนั้นท่านก็ได้มุ่งหน้าไปศึกษากับ
    หลวงปู่ชม ฐานธัมโม แห่งวัดกู่ พระโกนา อ.สุวรรณภูมิ จ.ร้อยเอ็ด ซึ่งมีศักดิ์เป็นลุงของท่าน หลวงปู่ชมรูปนี้ท่านมีวิชาอาคมแก่กล้าสามารถ
    มาก มีอิทธิปาฏิหาริย์นานัปการ ท่านสามารถ ล่องหนหายตัวได้ หลวงปู่ชมท่านได้สร้าง วัดขึ้นบริเวณใกล้กับกู่โกนา อยู่ทางจะไป อ. ท่าตูม จ.สุรินทร์ ซึ่งเป็นเส้นทางที่จะมุ้งไปเขมรต่ำ
    (ประเทศกัมพูชาในปัจจุบัน) หลวงปู่ท่านได้ศึกษาวิชาอาคมและวิปัสนากัมมัฏฐาน อยู่ 2 ปี เมื่อ พ.ศ. 2479 ท่านได้กราบลาหลวงปู่ชม ออกมุ่งหน้ามายัง จ. ขอนแก่น เพื่อกับวัดจุมพล ของท่าน

    หลังจากที่ท่านได้เล่าเรียนวิชาอาคมจากพระอาจารย์ ต่างๆ เสร็จเรียบร้อยแล้ว ท่านก็ได้ออกเดินธุดงค์ไปกับหลวงพ่อผาง จิตฺตคุตฺโต และได้แยกทางกันที่ อ. มัญจาคีรี จากนั้นหลวงปู่วรพรตท่านก็ได้เดินผ่านดงพญาเย็น-พญาไฟ ผ่านไปประเทศลาว พม่า เขมร เรื่องราวตอนที่ท่านเดินธุดงค์ ไปนั้นมีมากมาย ผจญทั้งสัตว์ร้ายและภูตผีปีศาจ แต่ท่านก็ผ่านอุปสรรคนั้นมาได้

    หลวงปู่ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ในสมัยรัชการที่ 8 มีพระราชทินนามว่า “พระครูวรพรตวิธาน” เราจึงเรียกติดปากว่า “หลวงปู่วรพรต” ตั้งแต่นั้นมาหลวงปู่ได้แสดงปาฏิหาริย์ให้ปรากฏแก่สายตาของผู้คนเป็นครั้งแรก ก็คือ

    เรื่องหลวงปู่เหยีบรถกระดก (ลอยขึ้น) เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ 2503 หลวงปู่จะออกเดินทางจาก อ. พล จ. ขอนแก่น ด้วยรถโดยสารเพื่อจะไป จ.ร้อยเอ็ด รถคันที่หลวงปู่จะขึ้นเป็นรถสองแถวขนาดใหญ่ ตามธรรมดาโดยทั่วไปแล้วพระเณรจะต้องนั่งด้านหน้าติดกับคนขับ เพื่อจะได้ไม่ปะปนกับผู้โดยสารคนอื่น แต่รถคันนี้มีผู้หญิงนั่งเต็มอยู่ด้านหน้าแล้ว ด้านหลังรถยังพอมีที่นั่งได้ คนขับรถจึงบอกให้หลวงปู่ขึ้นทางท้ายรถ หลวงปู่ก็ได้ปฏิบัติตามโดยดี แต่ก่อนจะขึ้นรถหลวงปู่ได้พูดกับคนขับรถว่า “รถจะไม่เดี่ยง หรือ
    ”(เดี่ยงเป็นภาษาไทยอีสานแปลว่า “ กระดก”) คนขับก็บอกว่า “ไม่เดี่ยงแน่เพราะรถรับน้ำหนักได้หลายตัน” พอคนขับพูดจบ หลวงปู่ก็ก้าวเท้าขึ้นรถ ปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้นทันที ด้านหน้ารถลอยขึ้น เหมือนมีมือยักษ์มาจับยกขึ้น คนขับรถเห็นเช่นนั้น ถึงกับตกตะลึงจึงกราบนิมนต์หลวงปู่มานั่ง ด้านหน้า โดยให้พวกผู้หญิงไปนั่งด้านหลัง ตั้งแต่นั้นมา สมญานาม
    “หลวงปู่วรพรตเหยียบรถเดี่ยง”
    จึงเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นในเขตขอนแก่น ชัยภูมิ นครราชสีมา ต่างก็รู้เรื่องกันดี เคยมีญาติโยมที่อยู่ไกลถึง จ. กระบี่ เดินทาง มากราบขอคาถาเหยียบรถกระดกจากท่าน ท่านก็มอบคาถานะโมพุทธายะให้ไป แต่จะทำได้เหมือนหลวงปู่ หรือ เปล่าไม่ทราบ

    FB_IMG_1766417739758.jpg

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของระบบทางข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระสมเด็จมหาอุดพิมพ์ใหญ่และพิมพ์เล็ก ๒ องค์ หลวงปู่วรพรต ปี๒๕๓๕

    ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20251219_191623.jpg IMG_20251219_191656.jpg IMG_20251222_220819.jpg IMG_20251222_220838.jpg
     
  3. SIR2010

    SIR2010 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    3,153
    ค่าพลัง:
    +5,842
    จองครับ
     
  4. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,892
    ค่าพลัง:
    +21,459
    Aad_Asabho.jpg
    พระผงสมเด็จพุฒาจารย์โตฯ สร้างโดย สมเด็จพุฒาจารย์อาจ อาสโภ วัดมหาธาตุ กรุงเทพ เนื้อผงเก่า ยุคแรก เนื้อจัด หายาก

    สมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสโภ ป.ธ.8) อดีตเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เป็นบุคคลแรกที่นำการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามแนวสติปัฏฐานสี่ (หรือแบบยุบหนอ-พองหนอ) จากพม่ามาเผยแพร่ในประเทศไทยมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกในสมัย 25 พุทธศตวรรษ เนื่องเพราะท่านดำรงตำแหน่งสำคัญทางการคณะสงฆ์ นั่นคือ สังฆมนตรีว่าการองค์การปกครอง ซึ่งเทียบได้กับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในสมัยนั้น นอกจากนั้นท่านยังดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ พระอารามหลวงอันดับที่ 1 ในเมืองไทย ดำรงตำแหน่งสภานายกมหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยสงฆ์อันดับที่ 1 ของเมืองไทย ที่สำคัญก็คือ ทรงสมณศักดิ์เป็นที่ "พระพิมลธรรม" ตำแหน่งรองสมเด็จพระราชาคณะ หรือที่เรียกกันว่า พระราชาคณะชั้นหิรัญบัฎ
    สมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสโภ ป.ธ.8) อดีตเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เป็นบุคคลแรกที่นำการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามแนวสติปัฏฐานสี่ (หรือแบบยุบหนอ-พองหนอ) จากพม่ามาเผยแพร่ในประเทศไทยมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกในสมัย 25 พุทธศตวรรษ เนื่องเพราะท่านดำรงตำแหน่งสำคัญทางการคณะสงฆ์ นั่นคือ สังฆมนตรีว่าการองค์การปกครอง ซึ่งเทียบได้กับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในสมัยนั้น นอกจากนั้นท่านยังดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ พระอารามหลวงอันดับที่ 1 ในเมืองไทย ดำรงตำแหน่งสภานายกมหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยสงฆ์อันดับที่ 1 ของเมืองไทย ที่สำคัญก็คือ ทรงสมณศักดิ์เป็นที่ "พระพิมลธรรม" ตำแหน่งรองสมเด็จพระราชาคณะ หรือที่เรียกกันว่า พระราชาคณะชั้นหิรัญบัฎ ขอนำประวัติของท่านเป็นพิเศษ

    ชาติกำเนิด
    สมเด็จพระพุฒาจารย์ มีนามเดิมว่า คำตา ดวงมาลา เป็นบุตรคนโตของนายพิมพ์ และนางแจ้ ดวงมาลา เกิดเมื่อวันอาทิตย์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2446 แรม 4 ค่ำเดือน 12 ณ บ้านโต้น ต.บ้านโต้น อ.เมือง จังหวัดขอนแก่น เป็นบุตรนายพิมพ์ และ นางแจ้ ดวงมาลา มีพี่น้องร่วมบิดามารดาทั้งสิ้น 4 คนท่านเป็นบุตรคนโต น้องอีกสามคนคือ นางบี้ นายเพิ่ม และนางเชื้อ ตามลำดับ เมื่อย้ายมาอยู่วัดมหาธาตุฯ พระธรรมไตรโลกาจารย์ (เจ้าอาวาสขณะนั้น) ได้เปลี่ยนชื่อท่านจาก คำตา เป็น อาจ เพื่อให้เหมาะกับบุคลิก องอาจ แกล้วกล้า ของท่าน
    ได้รับการศึกษาเบื้องต้นในสำนักพระอาจารย์หนู และพระอาจารย์ใส ที่วัดศรีจันทร์ ซึ่งเป็นวัดประจำหมู่บ้านโต้น พ.ศ.๒๔๕๙ อายุ ๑๔ ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณร ที่วัดศรีจันทร์ พระอาจารย์หนูเจ้าอาวาสวัดศรีจันทร์เป็นพระอุปัชฌาย์ จากนั้นได้ศึกษาเล่าเรียนหนังสือธรรม แบบอักษรภาคอีสานซึ่งจารึกอยู่ในใบลาน จนมีความรู้ความสามารถพอที่จะสอนคนอื่นได้ อายุ ๑๖ ปี ได้สมัครเข้ารับการอบรมวิชาครูพิเศษ ๖ เดือน ที่โรงเรียนขอนแก่นวิทยาคาร (ขอนแก่นวิทยายน) ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำจังหวัดขอนแก่น จนสามารถสอบไล่ได้วิชาครูเทียบเท่าชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ และได้บรรจุเป็นครูที่โรงเรียนประชาบาลวัดกลาง ตำบลเมืองเก่า อำเภอเมืองขอนแก่น
    ต่อมา พ.ศ. ๒๔๖๓ ขณะมีอายุ ๑๘ ปี ได้ลาออกจากครูประชาบาล แล้วมุ่งสู่กรุงเทพฯ เพื่อศึกษาด้านพระพุทธศาสนาและวิชาการด้านอื่นๆ โดยการเดินทางด้วยเท้าจากขอนแก่นเป็นเวลาถึง ๙ วันจึงถึงจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งเป็นต้นทางรถไฟเข้ากรุงเทพฯในสมัยนั้น ร่วมกับคณะอีก ๔ รูป เมื่อเดินทางถึงกรุงเทพฯแล้ว ปีแรกได้เข้าพำนักอยู่วัดชนะสงคราม และได้เข้าไปรับการศึกษาพระปริยัติธรรม ณ สำนักเรียนวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎ์ ปีที่ ๒ จึงย้ายเข้ามาอยู่ในวัดมหาธาตุฯ

    การบรรพชาอุปสมบท
    เมื่ออายุ 14 ปี ท่านได้บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดศรีจันทร์ จ.ขอนแก่น โดยมีอาจารย์พระหน่อ วัดศรีจันทร์ เป็นพระอุปัชฌาย์ ต่อมาท่านย้ายมาอยู่กรุงเทพฯเพื่อศึกษาพระปริยัติธรรมที่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์
    จนอายุครบ 20 ปี ท่านจึงได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ในวันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2466 ขึ้น 6 ค่ำ เดือน 8 ณ พัทธสีมาวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ โดยมีสมเด็จพระวันรัต (เฮง เขมจารี) ขณะยังดำรงสมณศักดิ์ที่พระธรรมไตรโลกาจารย์ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระญาณสมโพธิ (สวัสดิ์ กิตฺติสาโร) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระพิมลธรรม (ช้อย ฐานทตฺโต) ขณะยังดำรงสมณศักดิ์ที่ พระศรีสมโพธิ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับนามฉายาว่า อาสโภ

    การศึกษา
    ท่านได้ศึกษาอักษรลาวตั้งแต่บวชเป็นเณรที่ขอนแก่น

    พ.ศ. 2461 สอบได้วิชาครู เทียบเท่าชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนขอนแก่นวิทยาคาร (ปัจจุบันคือโรงเรียนขอนแก่นวิทยายน)
    พ.ศ. 2464 สอบได้นักธรรมตรี สำนักเรียนวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์
    พ.ศ. 2465 สอบได้นักธรรมโท
    พ.ศ. 2466 สอบได้เปรียญธรรม 3 ประโยค
    พ.ศ. 2467 สอบได้เปรียญธรรม 4 ประโยค
    พ.ศ. 2468 สอบได้เปรียญธรรม 5 ประโยค
    พ.ศ. 2469 สอบได้เปรียญธรรม 6 ประโยค
    พ.ศ. 2471 สอบได้นักธรรมเอก และสอบได้เปรียญธรรม 7 ประโยค
    พ.ศ. 2472 สอบได้เปรียญธรรม 8 ประโยค
    สมณศักดิ์

    พ.ศ. 2477 เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่ พระศรีสุธรรมมุนี
    พ.ศ. 2482 เป็นพระราชาคณะชั้นราชในราชทินนามเดิม
    พ.ศ. 2489 เป็นพระราชาคณะชั้นเทพที่ พระเทพเวที
    พ.ศ. 2490 เป็นพระราชาคณะชั้นธรรมที่ พระธรรมไตรโลกาจารย์
    พ.ศ. 2492 เป็นพระราชาคณะเจ้าคณะรองชั้นหิรัณยบัฏที่ พระพิมลธรรม
    พ.ศ. 2503 ถูกถอดจากสมณศักดิ์
    พ.ศ. 2518 ได้รับสมณศักดิ์คืน
    พ.ศ. 2528 เป็นสมเด็จพระราชาคณะที่ สมเด็จพระพุฒาจารย์
    ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่พระศรีสุธรรมมุนี และเลื่อนเป็นพระราชาคณะชั้นราช ชั้นเทพ ชั้นธรรม ชั้นหิรัญบัฏ ที่พระพิมลธรรม ได้รับสมณศักดิ์ ตำแหน่งอัครมหาบัณฑิต จากรัฐบาลพม่า และเป็นสมเด็จพระราชาคณะที่สมเด็จพระพุฒาจารย์

    งานการปกครองคณะสงฆ์

    พ.ศ. ๒๔๗๕ เป็นเจ้าอาวาสวัดสุวรรณดาราราม จังหวัดพระนครศรีอยุธนา
    พ.ศ. ๒๔๘๔ เป็นสมาชิกสังฆสภา
    พ.ศ. ๒๔๘๖ เป็นเจ้าคณะตรวจการภาค ๔
    พ.ศ. ๒๔๘๘ เป็นสังฆมนตรีช่วยว่าการองค์การศึกษา
    พ.ศ. ๒๔๙๑ เป็นเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุฯ และสังฆมนตรีว่าการองค์การปกครอง
    พ.ศ. ๒๕๒๘ เป็นสังฆปาโมกข์ ฝ่ายพระอภิธรรมปิฎก สังคายนาพระธรรมวินัย ตรวจชำระพระไตรปิฎกฉบับหลวง เฉลิมพระชนมพรรษา ๕ รอบนักษัตร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙
    งานด้านการเผยแผ่พระพุทธศาสนา

    เป็นพระเถระผู้ใฝ่ในความเจริญงอกงามของพระพุทธศาสนาทั้งฝ่ายปริยัติและปฏิบัติ ผลงานของพระเดชพระคุณได้ขจรกระจายไปทั่วโลก และได้สร้างความสัมพันธ์กับประเทศต่างๆ เช่นประเทศพม่า อินเดีย ศรีลังกา อังกฤษ และอเมริกา เป็นต้น อันเป็นเหตุให้พระพุทธศาสนาได้เผยแผ่ไปทั่วทุกมุมโลก
    สมเด็จพระพุฒาจารย์ถึงแก่มรณภาพเมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๒ เวลา ๑๑.๑๕ นาฬิกา ณ โรงพยาบาลสยาม กรุงเทพมหานคร รวมอายุได้ ๘๖ ปี กับ ๑ เดือน

    ประวัติและผลงานเกี่ยวกับการจัดตั้งสำนักวิปัสสนากัมมัฎฐาน เป็นครั้งแรกในประเทศไทย

    หลวงพ่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาสภมหาเถร) ได้ย้ายจากวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ไปอยู่ประจำ ณ วัดสุวรรณดาราราม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา อันเป็นพระอารามหลวงชั้นเอกพิเศษ เพื่อช่วยปฏิบัติศาสนกิจด้านพระพุทธศาสนา ตั้งแต่พ.ศ.๒๔๗๕ ในฐานะ พระมหาอาจ อาสโภ เปรียญธรรม ๘ ประโยค และได้ย้ายกลับคืนมาอยู่วัดมหาธาตุอีก ในฐานะตำแหน่งเจ้าอาวาส ที่พระธรรมไตรโลกจารย์ เมื่อ พ.ศ.๒๔๙๑

    วิปัสสนากรรมฐานแบบยุบหนอ-พองหนอ

    ในปี ๒๔๙๑ นั่นเอง หลวงพ่อสมเด็จฯ ได้ไปในงานกิจนิมนต์ในรัฐพิธีที่ท้องสนามหลวง วันที่ ๑ มกราคม ๒๔๙๑ ฯพณฯ อูละหม่อง เอกอัครราชทูตสหภาพพม่าประจำประเทศไทยคนแรกได้ไปร่วมงานนั้นด้วย ภายหลังจากการประกอบศาสนพิธีเสร็จแล้ว หลวงพ่อสมเด็จฯ ได้ถือโอกาสสนทนากับ ฯพณฯอูละหม่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการพระศาสนาทั้งในประเทศไทยและประเทศพม่า หลวงพ่อสมเด็จฯ ได้สนทนาถึงสิ่งที่เป็นสาระ ๒ ประการ คือ
    ประการที่ ๑ หลวงพ่อสมเด็จฯ ให้ทรรศนะว่า พระภิกษุพม่าที่อยู่ในประเทศไทยปัจจุบันมีแต่พระแก่ๆ หย่อนสมรรถภาพเข้ากับคนไทยไม่ได้สนิท ทำให้คนไทยเข้าใจไปว่า พระภิกษุในประเทศพม่าก็เหมือนกันนี้ ความจริงพระภิกษุพม่าที่อยู่ในประเทศพม่าที่มีความเชี่ยวชาญแตกฉานพระไตรปิฎกมีจำนวนมาก ควรจะจัดส่งพระประเภทนี้มาอยู่ประเทศไทยบ้าง หลวงพ่อสมเด็จฯ มีความยินดีที่จะสนับสนุนให้ได้โอกาสเผยแพร่พระพุทธศาสนาร่วมกัน
    ประการที่ ๒ พระไตรปิฎกภาษาบาลีพร้อมทั้งอรรถกถาและฎีกา ฉบับอักษรพม่าได้อ่านมาบริสุทธิ์ บริบูรณ์ดีมาก ใคร่ขอให้ทางประเทศพม่าได้ส่งมาให้ประเทศไทยบ้าง จะเป็นมหากุศลอย่างมาก
    ปี พ.ศ. 2495 พระพิมลธรรม (อาจ อาสโภ) ได้ส่งพระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ) ขณะเป็นพระมหาโชดกไปศึกษาวิปัสสนากรรมฐานสายของมหาสีสย่าด่อที่สำนักศาสนยิสสา ประเทศพม่า เป็นเวลา 1 ปี แล้วนำกลับมาสอน พร้อมทั้งพระพม่าสองรูป คือพระภัททันตะ อาสภเถระ ปธานกัมมัฏฐานาจริยะ และพระอินทวังสเถระ กัมมัฏฐานาจริยะ โดยเปิดสอนครั้งแรกที่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ในปี พ.ศ. 2496 จากนั้นจึงขยายไปเปิดสอนที่สาขาอื่นทั่วราชอาณาจักร มีการตั้งกองการวิปัสสนาธุระที่วัดมหาธาตุฯ ต่อมาถูกยกสถานะเป็นสถาบันวิปัสสนาธุระ สังกัดมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2524 และได้เผยแพร่การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานแบบยุบหนอ-พองหนอจนแพร่หลายดังปัจจุบัน
    ด้วยเหตุที่หลวงพ่อสมเด็จฯ ได้สนิทสนมกับ ฯพณฯ เอกอัครราชทูตครั้งนั้น เป็นปัจจัยต่อมา คือเมื่อ พ.ศ.๒๔๙๒ สภาการพุทธศาสนาแห่งสหภาพพม่า ได้จัดส่งพระภิกษุระดับบัณฑิต ขั้นธรรมาจริยะ มายังประเทศไทยตามคำแนะนำของหลวงพ่อสมเด็จฯ ๒ รูป คือท่านสัทธัมมโชติกะ ธรรมาจริยะ ๑ ท่านเตชินทะ ธรรมาจริยะ ธัมมกถิกะ ๑ ครั้งแรกเมื่อยังไม่รู้ภาษาไทย ได้จัดให้พักอยู่ที่วัดปรกพม่า ต่อมาได้จัดให้ท่านสัทธัมมโชติกะ ธัมมาจริยะ ไปตั้งสำนักสอนพระอภิธรรมปิฎกอยู่ที่วัดระฆังโฆสิตาราม และทำการสอนประจำจนเป็นหลักฐานอยู่ ณ วัดระฆังนั้น จนกระทั่งถึงแก่มรณภาพ เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๙ ส่วนท่านเตชินทะ ธัมมกถิกะ ได้จัดให้มาสอนอยู่ที่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์จนกระทั่งคืนสู่ประเทศพม่า เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๔
    ถึงแม้ว่าท่านพระอาจารย์สอนพระอภิธรรมปิฎก ได้ถึงมรณภาพและกลับคืนสู่ประเทศของตนแล้ว แต่ก็ได้ฝังรากฐานวิชาความรู้พระอภิธรรมปิฎกไว้อย่างดีเป็นระเบียบเป็นหลักฐาน คือเขียนและแปลเป็นหลักสูตรไว้ จนได้ใช้ศึกษาเล่าเรียนสืบต่อกันมาจนทุกวันนี้ ปัจจุบันสำนักใหญ่ส่วนกลางตั้งอยู่ที่วัดมหาธาตุยุวราษฎร์รังสฤษฎิ์ มีสำนักสาขาอยู่ทั่วไปทั้งภายในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัดประมาณ ๗๐ สำนักเรียน
    เมื่อ พ.ศ.๒๔๙๓ สภาการศึกษาพุทธศาสนาแห่งสหภาพพม่า ได้ส่งสมณทูตทั้งอัญเชิญพระไตรปิฎกภาษาบาลีอักษรพม่าพร้อมอรรถกถาและฎีกา ตามที่หลวงพ่อสมเด็จฯ ขอไว้ มายังประเทศไทย โดยมีท่านยานิกเถร เจ้าอาวาสวัดอัมพวนารามพระนครย่างกุ้ง เป็นหัวหน้า มีมหาเศรษฐีเซอรอูต่วนเป็นไวยาวัจกร ได้ถวายพระไตรปิฎกอักษรพม่าแก่มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ๑ ชุด ถวายแก่มหามกุฏราชวิทยาลัย วัดบวรนิเวศวิหาร ๑ ชุด ถวายแก่สำนักเรียนพระอภิธรรมปิฎกวัดระฆังโฆสิตาราม จำนวน ๑ ชุด
    เมื่อ พ.ศ.๒๔๙๔ ทางการคณะสงฆ์แห่งประเทศไทย ได้จัดส่งพระสมณทูต พร้อมทั้งพระไตรปิฎกฉบับอักษรไทย ไปเยี่ยมตอบและมอบให้แก่ประเทศพม่า โดยมีเจ้าคุณพระศาสนโสภณ อุฏฐายีเถร เป็นหัวหน้า เจ้าคุณพระพิมลธรรม อาสภเถร วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ เป็นรองหัวหน้า เจ้าคุณพระศรีวิสุทธิญาณ วัดกันมาตุยาราม เป็นคณะปูรกะ และมีนายสัญญา ธรรมศักดิ์เป็นไวยาวัจกร
    เมื่อ พ.ศ.๒๔๙๕ หลวงพ่อสมเด็จฯ ได้ส่งพระเปรียญวัดมหาธาตุ ไปดูการศึกษาวิชาพระพุทธศาสนา ทั้งด้านคันถธุระและวิปัสสนาธุระที่ประเทศพม่า โดยนำไปฝากด้วยตนเอง ๓ รูป คือ ๑. พระมหาโชดก ญาณสิทธิ ป.ธ.๙ เรียนฝ่ายวิปัสสนาธุระ ๒. พระมหาบเพ็ญ ป.ธ.๕ และ ๓. สามเณรไสว ป.ธ.๕ เรียนฝ่ายคันถธุระ โดยให้พระมหาโชดก อยู่สำนักวิปัสสนากัมมัฏฐานศาสนายิสสา ภายใต้การปกครองของท่านมหาสีสยาดอ โสภณเถร พระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระ พระมหาบำเพ็ญและสามเณรไสว อยู่วัดอัมพวนาราม ภายใต้การปกครองของท่านยานิกเถร เจ้าอาวาส ซึ่งเป็นประธานเชิญพระไตรปิฎกฉบับอักษรพม่ามามอบให้ประเทศไทย

    พระมหาโชดก ญานสิทธิ ได้ศึกษาวิปัสสนากัมมัฏฐานอยู่เป็นเวลา ๑ ปี แล้วกลับคืนสู่ประเทศไทย พ.ศ.๒๔๙๖ ในขณะเดียวกัน หลวงพ่อสมเด็จได้แสดงความจำนงไปยังสภาการพุทธศาสนาสหภาพพม่า ขอให้จัดส่งพระวิปัสสนาจารย์ผู้เชี่ยวชาญมายังประเทศไทย ๒ รูป พร้อมกับการคืนสู่ประเทศไทยของพระมหาโชดก ญาณสิทธิ สภาการพุทธศาสนามีความเห็นอกเห็นใจและเชื่อถือหลวงพ่อสมเด็จฯ สนิทชิดชอบอย่างมาก ดังนั้น จึงจัดส่งพระวิปัสสนาจารย์ผู้เชี่ยวชาญมายังประเทศไทย ๒ รูป คือ ๑.ท่านอาสภเถร ปธานกัมมัฎฐานาจริยะ ๒. ท่านอินทวังสะ ธัมมาจริยะ กัมมัฏฐานาจริยะ ทั้งสองรูปจัดให้พำนักอยู่ ณ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ช่วยเป็นอาจารย์สอนวิปัสสนากัมมัฏฐานร่วมกับพระมหาโชดก ป.ธ.๙ ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๙๖ เป็นต้นมา นับว่าได้เป็นกำลังเสริมสร้างพระปฏิบัติศาสนาให้เจริญขึ้นในประเทศไทย และยังดำรงคงอยู่ในปัจจุบันนี้

    ที่มาหอพุทธศิลป์..
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    ให้บูชา 150 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20251224_194720.jpg IMG_20251224_194740.jpg
     
  5. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,892
    ค่าพลัง:
    +21,459
    1347042-50041.jpg



    หลวงพ่อสวัสดิ์ อริยสงฆ์ ในยุคปลาย สุดยอดมหามงคลในการระลึกบูชา ปฏิบัติ ในวิถีพุทธธรรม
    ตามประวัติ หลวงพ่อสวัสดิ์ ก่อนบวชเรียน ท่านผ่านชีวิตในวิถีนักเลงคนสู้ชีวิต ศึกษาเวทย์มนต์คาถาอาคม เมื่อท่านบวชแล้วท่านเคร่งครัดปฏิบัติ ถือวิเวกเดินธุดงค์ แล้วกลับมาศึกษาด้านปริยัติธรรม เพื่อศึกษาแนวทางที่ถูกต้องอันจะไปกำกับในวิถีปฏิเวธ คือ แนวทางการปฏิบัติ สมาธิภาวนา แล้ว ละจากทางโลก มุ่งหาโมกขธรรม ต่อไป ด้วยการออกธุดงค์ ยาวนานหลายสิบปี จนบั้นปลายของชีวิต ในช่วง เกือบ20ปีก่อนละสังขาร ในอายุ 96 ปี นั่นหมายถึง ระยะเวลาราว50ปีที่หลวงพ่อสวัสดิ์ ฝึกฝนปฏิบัติในสมาธิในป่าในเขา ต่อเนื่องยาวนาน



    พระครูพิศาลพรหมจารย์ (หลวงพ่อสวัสดิ์ ปุณณสีโล) สำนักสงฆ์เม้าสุขา อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี

    นามเดิม สวัสดิ์ นามสกุล เฉลิมพงษ์ เกิดเมื่อวันศุกร์ที่ ๑๘ มีนาคม พ.ศ.๒๔๕๑ เป็นบุตรของ นายอิฐ นางบุญรอด เฉลิมพงษ์

    เด็กชายสวัสดิ์ เป็นเด็กที่ขยันแข็ง ใฝ่หาความรู้ทั้งหางโลกทางและทางธรรม

    อุปสมบทเมื่ออายุได้ ๒๕ ปี ณ วัดดอกไม้ ต.คลองโค อ.พิชัย จ.อุตรดิตถ์ เมื่อวันที่ ๒๐ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๗๖ พระครูญาณมุรนี (กล่อม) เป็นพระอุปัชฌาย์

    หลวงพ่อสวัสดิ์ ปุณณสีโล อดีตท่านเป็นเจ้าคณะอำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรี ท่านจำพรรษาอยู่ที่สำนักสงฆ์เม้าสุขา มาสร้างขึ้นตามที่นางเม้า นามสกุลสุขาได้ถวายที่ดินให้นอกจากนี้ในด้านภินิหารของท่านยังมีมากมาย

    ท่านเคยรับใช้อยู่กับกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ เป็นศิษย์ของหลวงพ่อกล่อม วัดวังกะพี้ หลวงพ่อเนียง วัดวังพะเนียด หลวงปู่บาผู้สำเร็จวัดท่าข้ามบางปะกง ที่หลวงพ่อปานวัดบางเหี้ยให้ความเคารพนับถือหลวงปู่บาอย่างมาก

    หลวงพ่อมหาสวัสดิ์ เป็นพระสมถะ ความเป็นอยู่เรียบง่าย มีเมตตาสูง ให้ความช่วยเหลือสงเคราะห์ญาติโยมมาโดยตลอด เป็นพระนักพัฒนาของชาวชลบุรีรูปหนึ่ง คุณูปการของท่านมีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการสร้างโรงเรียน สำนักสงฆ์สำนักปฏิบัติธรรม เป็นผู้นำเหล่าภิกษุทั้งอำเภอออกธุดงศ์ทุกปีนำสิ่งของเพื่อช่วยเหลือผู้ ประสบภัยพิบัติต่างๆ ทั่วประเทศอยู่เสมอ

    ท่านมรณภาพเมื่อวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ.๕๔๖ สิริอายุ รวม ๙๖ ปี พรรษา ๗๐

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    เหรียญนั่งพานเนื้อทองแดงผิวไฟรุ่น ๑และพระนาคปรกใบมะขาม รุ่นเจ้าสัว พร้อมซองเดิมติดสติ๊กเกอร์รูปหลวงปู่

    ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ



    IMG_20251224_215825.jpg IMG_20251224_215851.jpg IMG_20251224_215912.jpg
     
  6. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,892
    ค่าพลัง:
    +21,459
    1766592251633.jpg

    การงานติดขัดการเงินขัดสน ความรักเหี่ยวเฉา คนรอบข้างไม่ดี ต้องบูชาพระพรหมรุ่นนี้ครับกับพระพรหมพันมือซึ่งถือเป็นพระพรหมที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งวัดถ้ำตะเพียนทองที่สร้างขึ้นตามนิมิตของพระเกจิอาจารย์ชื่อดังอย่างหลวงพ่อทองดำ สหายธรรมของหลวงปู่โต๊ะวัดประดู่ฉิมพลีโดยพระแม่กวนอิมปางพันมือบอกให้สร้างขึ้นด้านหลังมีอักขระ "โอม" อันศักดิ์สิทธิ์

    มวลสารที่ใช้สร้างนั้นได้แก่ผงธูปจากที่บูชาพระพรหมอันศักดิ์สิทธิ์ทั่วประเทศซึ่งก็รวมถึงศาลพระพรหมเอราวัณแยกราชประสงค์องค์เก่า ผงธูปบูชสพระพรหมพันมืออันศักดิ์สิทธิ์ ผงไม้งิ้วดำที่หลวงปู่โต๊ะท่านอธิษฐานทำพิธีบวงสรวงที่ศาลพระพรหมเอราวัณก่อนที่จะนำไปให้หลวงพ่อทองดำอธิษฐานจิตในถ้ำตะเพียนทองถ้ำที่มีเทวดาอารักษ์ปกปักษ์รักษา
    พระพรหมรุ่นนี้หายากมากแม้แต่ที่พื้นที่เองยังพบได้น้อยส่วนใหญ่ไปฮ่องกง สิงคโปร์หมดครับเพราะลูกศิษย์ท่านที่นั่นเยอะและยังศรัทธาพระพรหม

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    ตำนานชีวิต92ปี"หลวงปู่ทองดำ อินทวังโส" อดีตเกจิดังวัดถ้ำตะเพียนทอง จ.ลพบุรี ศิษย์ลพ.มุม ศรีสะเกษ-ลป.โต๊ะ วัดประดู่ฯ
    รูปภาพนักเขียน: อ.อนุชา ทรงศิริ
    อ.อนุชา ทรงศิริ
    17 ม.ค. 2567
    ยาว 1 นาที

    ตำนานชีวิต92ปี"หลวงปู่ทองดำ อินทวังโส"

    อดีตเกจิดังวัดถ้ำตะเพียนทอง จ.ลพบุรี

    ศิษย์ลพ.มุม ศรีสะเกษ-ลป.โต๊ะ วัดประดู่ฯ

    ทีมข่าวกองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์"คัมภีร์นิวส์" ร่วมย้อนตำนานชีวิต น้อมถวายความอาลัยในการจากไปของ"หลวงปู่ทองดำ อินฺทวํโส" อดีตเจ้าอาวาสวัดถ้ำตะเพียนทอง อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี ซึ่งมรณภาพลงเมื่อเวลา 17.12 น. วันที่ 17 ม.ค.2567 สิริอายุ 92 ปี

    ท่านเป็นศิษย์เอกสายตรงหลวงพ่อมุม วัดปราสาทเยอร์ จ.ศรีสะเกษ นอกจากนี้ ยังเคยไปร่วมพิธีกรรมพุทธาภิเษกหลายครั้ง และได้พบกับหลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี กทม. ด้วยความนับถือจึงฝากตัวเป็นศิษย์และได้รับการถ่ายทอดความรู้ต่างๆจากหลวงปู่โต๊ะ จคงนับเป็นศิษย์สืบทอดพุทธาคมของหลวงปู่โต๊ะอีกองค์ ท่านมีความเชี่ยวชาญวิทยาคมเป็นที่เลื่องลือไปทั่วสารทิศ จนได้รับการยกย่องว่าเป็น"เทพเจ้าแห่งทุ่งทานตะวัน"

    ท่านมีนามเดิมว่า "ทองดำ ปุยอบ" เกิดเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2475 ที่บ้านปรางค์กู่ อ.ปรางค์กู่ จ.ศรีสะเกษ โยมบิดาชื่อ นายศิลา โยมมารดาชื่อนางนวล มีพี่น้องด้วยกัน 4 คน ครอบครัวประกอบอาชีพทำนา วัยเยาว์เข้าเรียนหนังสือที่วัดบ้านปราสาท เรียนจบชั้นประถมที่ 4 หลังจากนั้นออกมาช่วยครอบครัวทำนา ช่วงหน้าแล้งบางคราวก็ไปรับจ้างทำงานต่างถิ่น

    เมื่ออายุ 22 ปีเข้าอุปสมบทที่วัดสมอ อ.ปรางค์กู่ จ.ศรีสะเกษ โดยมีพระครูวิรุฬหธรรมกิจ เป็นพระอุปัชฌาย์, พระอาจารย์เง้า เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอาจารย์โพธิ์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ หลังอุปสมบท ได้ศึกษาในพระปริยัติธรรมอย่างมุ่งมั่น สามารถสอบได้นักธรรมชั้นตรีและโท

    จากนั้นได้ไปศึกษาวิทยาคมกับหลวงพ่อมุม อินทปัญโญ วัดปราสาทเยอร์เหนือ จ.ศรีสะเกษ โดยช่วงแรกหลวงพ่อมุมไม่ค่อยสอนวิชาอาคมให้นัก เพราะต้องการดูอุปนิสัยศิษย์ว่าจะเป็นอย่างไร ตอนหลังหลวงพ่อมุมก็เมตตาสอนให้ และอยู่ศึกษาปฏิบัติอยู่กับท่านเป็นเวลาแรมปี

    ต่อมาได้ไปเรียนวิชากับพระอาจารย์ทองสุข วัดบ้านเพชร พระเกจิอาจารย์ที่แก่กล้าวิทยาคมอย่างมาก ทั้งยังเป็นพระอาจารย์สักยันต์ที่เลื่องลือยิ่งรูปหนึ่ง โดยพระอาจารย์ทองสุขได้มอบตำราไว้ให้ และยังสอนด้านการนั่งวิปัสสนากัมมัฏฐานอีกด้วย

    ต่อมาท่านได้ไปดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดปราสาทจันโง ปกครองอยู่เกือบ 12 ปี หลังจากพัฒนาสร้างวัดจนสำเร็จมั่นคงดีแล้ว ท่านก็เดินธุดงค์ไป จ.อุบลราชธานี และได้พบกับพระอาจารย์โฮม พระนักปฏิบัติรูปหนึ่งที่เก่งมาก จึงฝากตัวเป็นศิษย์เรียนวิชาอยู่ที่บนเขา ท่านสอนให้เดินจงกรม นั่งปฏิบัติภาวนาและสวดมนต์ต่างๆ อยู่เป็นเวลา 1 พรรษา

    ก่อนลากลับ พระอาจารย์โฮมมอบตำราพระธรรมเก้าโกฏิที่มีความศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก ท่านได้นำมาอ่านท่องจนจำขึ้นใจได้ทุกหน้า จากนั้นได้เดินธุดงค์จากจ.อุบลราชธานี มาแถบอีสานผ่านหลายจังหวัด ตัดผ่านมาถึงนครราชสีมา สระบุรี และลพบุรี

    ท่านมาปักกลดอยู่ที่หน้าถ้ำพระนารายณ์เขาวง แต่แรกก็ไม่มีชาวบ้านให้ความสนใจ ท่านก็ปฏิบัติภาวนาตามปกติ อยู่มาวันหนึ่งมีชาวบ้านนำภัตตาหารมาถวาย รวมทั้งมีชาวบ้านคนหนึ่ง ฐานะยากจนมาคอยอุปัฏฐากดูแลความเป็นอยู่ ท่านได้เป่าลงกระหม่อมและมอบตะกรุดโทนให้ดอกหนึ่ง ปรากฏว่าชาวบ้านคนนั้นไปประสบเหตุถูกคนทำร้าย แต่ไม่ได้รับอันตรายอย่างใด ทำให้มีชาวบ้านมาหาท่านกันหลายคน เพื่อขอตะกรุด

    พ.ศ.2512 เครือญาติของนางพิสมัย แซ่บาง เห็นวัตรปฏิบัติของท่านเมื่อครั้งที่ยังอยู่บริเวณหน้าถ้ำพระนารายณ์เขาวง จ.ลพบุรี เกิดความเลื่อมใสศรัทธา จึงนิมนต์ให้มาอยู่ ด้วยสถานที่ดังกล่าวมีความเงียบสงบเหมาะสำหรับการเจริญภาวนากัมมัฏฐานอย่างยิ่ง

    เมื่อท่านเดินทางไปอยู่บริเวณดังกล่าว คณะชาวบ้านและเครือญาติของนางพิสมัย ก็ปลูกที่พักให้หลังหนึ่งเล็กๆ ที่หน้าถ้ำตะเพียนทอง ซึ่งแต่ก่อนนั้นชาวบ้านไม่รู้ว่ามีถ้ำ รู้แต่ว่ามีทรัพย์สมบัติและผีดุ เมื่อท่านมาอยู่แล้ว ท่านกับชาวบ้านก็ช่วยกันถากถางต้นไม้และมีพระติดตามท่านมาอีกรูปหนึ่ง

    คืนหนึ่ง ท่านเกิดนิมิตฝันไปว่าในบริเวณแห่งนี้มีทรัพย์สมบัติและมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในถ้ำ ขณะกำลังเจริญภาวนาเดินจงกรมนั้นก็มีวิญญาณร้ายมารบกวนไม่เคยขาด ท่านจึงปรารภต่อวิญญาณนั้นว่า "อาตมามาที่นี่เพื่อสร้างวัดไม่ได้มาเอาทรัพย์สมบัติแต่ประการใดๆ" วิญญาณร้ายจึงยอมหนีไป

    ครั้นเมื่อก่อสร้างเสนาสนะในวัดได้ระยะหนึ่ง มีชาวบ้านมาขอวัตถุมงคลกับท่าน หลวงพ่อก็มีแต่ตะกรุดโทนให้ไป ต่อมาท่านได้ลงหมึกสักยันต์ให้ชาวบ้านและผู้คนที่ดั้นด้นกันมาจากที่ไกล

    ในจำนวนคนเหล่านั้น หลายคนเป็นโจรเสือร้ายที่มีหมายจับของทางราชการหลายคน ทำให้ผู้ว่าฯลพบุรีในสมัยนั้น ต้องมากราบขอร้องให้ท่านงดการลงหมึกสักยันต์ ด้วยมีหลายคนเป็นโจรปล้นฆ่า ยากแก่การปราบปราม ซึ่งท่านไม่เคยรู้เลยว่าเขาเป็นคนร้ายมีหมายจับของทางราชการ นับจากนั้นเป็นต้นมา ท่านงดสักยันต์โดยเด็ดขาด

    ต่อมา ท่านได้ทำเสื้อยันต์และผ้ายันต์มอบให้ทหารที่ไปรบตามชายแดน เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจ พวกทหารเหล่านั้นได้พากันมากราบหลวงปู่ทองดำ บอกว่ารอดพ้นปลอดภัยจากฝ่ายตรงข้ามด้วยเสื้อยันต์ของหลวงพ่อ

    ก่อนปีพ.ศ.2520 ท่านไปฝากตัวเป็นศิษย์หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี กทม. ขอศึกษาความรู้กับท่านระยะหนึ่ง แล้วเดินทางไปเรียนด้านการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานที่วิเวกอาศรม จังหวัดชลบุรีอยู่หลายเดือนจนสำเร็จญาณ 16 ชั้นฟ้า 16 ชั้นดิน แล้วออกธุดงค์ไปตามที่ต่างๆ ในแถบชายทะเลภาคตะวันออก อีสาน ภาคกลาง ภาคเหนือ

    ช่วงปี พ.ศ.2520-2524 หลวงปู่ทองดำรับนิมนต์ร่วมพิธีปลุกเสกพระเครื่องในกรุงเทพฯ หลายครั้งด้วยกัน

    วัตถุมงคลรุ่นแรกของหลวงปู่ทองดำ วัดถ้ำตะเพียนทอง จัดสร้าง พ.ศ.2520 ซึ่งมีเพียง 2แบบคือ พระสมเด็จงิ้วดำและนางพญางิ้วดำ เท่านั้น ส่วนเหรียญรุ่นแรกสร้างปี2523 สมัยยังเป็นสำนักสงฆ์ถ้ำตะเพียนทอง

    หลังจากนั้นได้หยุดไปนานจนถึงปี พ.ศ.2545 ท่านได้จัดสร้างวัตถุมงคลอีกครั้งหนึ่ง เพื่อหารายได้ก่อสร้างอุโบสถ กุฏิ และเสนาสนะต่างๆ พระเครื่องรุ่นปี พ.ศ.2545 ที่ท่านสร้างขึ้นอย่างเป็นทางการ คือ รุ่นมหาอำนาจ มหาเมตตา มหานิยม รุ่น 2 เรียกว่า รุ่นยอดขุนพลไตรมาส 45 รุ่น 3 คือ ขุนแผนจ้าวทรัพย์-จ้าวเสน่ห์ และอื่นๆ อีกหลายรุ่นจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต

    วัตถุมงคลของท่านเป็นที่กล่าวขานร่ำลือว่ามีพุทธคุณรอบด้าน!
    ที่มา คัมภีร์นิวส์

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระพรหมพันมือ ศิษย์สร้างถวาย ปี ๒๕๓๕

    ให้บูชา 200 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20251224_213226.jpg IMG_20251224_213250.jpg
     

แชร์หน้านี้

Loading...