กระแส"พญานาค"กับข้อเท็จจริงบางอย่าง(มีคลิป) คนที่ไม่เชื่อควรดูด้วยดุลพินิจ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย 9@Phonlee, 1 กุมภาพันธ์ 2018.

  1. aegmanmu

    aegmanmu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    5,232
    ค่าพลัง:
    +10,136
    สาธุๆสวยงามมากๆครับ
     
  2. aegmanmu

    aegmanmu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    5,232
    ค่าพลัง:
    +10,136
    สอบถามท่าน9
    บังเอิญผมไปเจอคนในเฟสลงรูปนี้ ไม่รู้ว่าเป็นวัดหรืออะไร คล้ายรูปธรรมจักรเลย
    Untitled.png
     
  3. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,429
    ค่าพลัง:
    +35,339
    เมตตาต้องสร้างจากภายในไปภายนอกจร้า...
    ภายนอกไม่ว่า คน สัตว์ ภพภูมิ หรือ สรรพสัตว์ จะรับรู้ได้เอง..
    เสน่ห์อยู่ตรงกระแสที่ออกจากภายในไปภายนอกนี่หละ

    "Let's start to begin"
    เริ่มแรกหัดยิ้มหน้ากระจกก่อนทุกเช้า(จำเป็นต้องฝึก)
    ต่อมา ให้ความเคารพนับถือทุกภพภูมิ แต่ไม่ยึดถือ
    มีความเป็นมิตร ต่อ คน สัตว์ รวมทั้งสรรพสัตว์
    ไม่ตัดสิน เลือกข้าง ชี้ขาด ไม่ว่ากรณี เรื่องราวใดๆ
    พูดในสิ่งที่ผู้สนทนาอยากได้ยิน ไม่ใช่พูดในสิ่งที่เราต้องการพูด
    บางเรื่องรู้ของเราคนเดียวก็พอ ไม่จำเป็นต้องให้ใครเค้ารับรู้ด้วยหรอก


    ที่สำคัญหลีกเลี่ยงการใช้ชีวิต แบบตัว I

    อ่านไว้ซะ....
    บทความตอนตัว I
    ''ยิ่งเราใช้ชีวิตด้วยตัว I มากเท่าไร
    ตัว I ของเราก็จะยิ่งผิดหวังมากเท่านั้น
    เพราะไม่มีใครเกิดมาเพื่อทำตามความคาดหวังของคุณ
    ดังนั้นสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีทั้งหลาย
    ตัวอักษรที่เห็นแก่ตัวที่สุด
    ก็คือตัว I ที่แสดงถึงความคาดหวัง
    ดังนั้นจงหลีกเหลี่ยงมันเสียเถิด
    แล้วจะหลีกเลี่ยงมันอย่างไรดี?
    จงนึกถึงความเป็นจริงเมื่อคาดหวัง
    การที่เราคาดหวังไม่ผิดอะไร
    แต่จงเข้าใจว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะทำตามคุณ
    อีกอย่างหนึ่งที่จะหลีกเลี่ยงตัว I ได้
    นั่นคือการเป็นผู้ให้แก่คนอื่นๆ
    คุณรู้ไหมทำไม ?
    ถ้าคุณต้องการเป็นผู้รับ
    คุณต้องพึ่งพิงผู้อื่น ซึ่งก็อาจไม่ทำตามคุณ
    แต่ถ้าคุณต้องการเป็นผู้ให้ใครจะห้ามคุณได้
    ถ้าคุณต้องการความเคารพ ผู้คนอาจไม่เคารพคุณ
    แต่ถ้าคุณให้ความเคารพผู้อื่น จะมีใครมาห้ามคุณได้
    เมื่อคุณอยากได้ความรัก
    แต่ไม่มีใครรักคุณ
    แต่ถ้าคุณอยากมอบความรักให้ผู้อื่น ใครจะมาห้ามคุณ
    เมื่อคุณต้องการความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ แต่ไม่มีใครมอบให้
    แต่ถ้าคุณอยากมอบความเอื้อเฟื้อให้ ใครจะหยุดคุณได้
    ดังนั้นจงเริ่มเดินทาง
    จาก '' ตัวเอง '' ไปสู่ '' ผู้อื่น ''
    ยิ่งคุณต้องการมากเท่าไร
    คุณก็จะผิดหวังอยู่อย่างนั้น
    แต่ยิ่งคุณมอบให้คนอื่นมากเท่าไร
    คุณก็จะพบแต่ความสุข

    Credit : Gaur Gopal Das
    แปลโดย : เพจ Bossup Solution
    หมายเหตุ บางส่วนของคำแปล

    ถ้าใจคิดเป็นผู้ให้ ใครจะห้ามเราได้จริงไหม?

    ถ้าคิดจะให้ ก็ให้ไป
    ให้แล้วจะกลาย เป็นบุญ เป็นบารมี
    หากนำไปใช้แล้วย่อมมีหมดไป...


    ถ้าคิดจะให้ ก็ให้ไป
    ให้แล้วก็แล้วไป ไม่อะไรกับอะไร
    ให้แล้วจะกลาย เป็นบุญ เป็นบารมี
    หากนำไปใช้แล้วย่อมมีหมดไป
    แต่จะไหลเวียนกลับมาเป็นบารมีไม่มีหมด
    ประกายความสว่างสไหวของจิตแต่ละดวง
    แตกต่างกันเพราะเหตุนี้แล
    พวกนี้เป็นบารมีเฉพาะดวงจิต




    สวัสดีครับ
    พรุ้งนี้ร่วมงาน ยกยอดฉัตร ที่วัดป่าแห่งหนึ่ง
    อ.จุตรัส ชัยภูมิ ครับ
     
  4. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,909
    ค่าพลัง:
    +4,738
    (ปักหมุด 65) หน้า87
    เรื่อง กรวดน้ำ กรวดแห้งยังไม่จบ เพราะยังมีคนสงสัย

    :oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops:

    บุรุษไร้เงา(อจ.นพ) โพสต์
    อุทิศส่วนกุศลแบบกรวดด้วยน้ำ
    กับกรวดแห้งนั้น........มันแตกต่างอย่างไร....

    กรวดน้ำ คือ การใช้จิตเป็นต้นกำเนิดของแรง และใช้น้ำเป็นสื่อนำแรงผ่านอากาศ ในการนำพา
    พลังงานบุญนั้นๆ
    กรวดแห้ง คือ การใช้จิตเป็นต้นกำเนิดของแรง และมีอากาศเป็นสื่อนำแรง
    ในการนำพาพลังงานบุญนั้นๆ พูดถึงส่วนหลักๆนะ

    แต่มิควรลืมว่า สื่อนำแรง ไม่อิงพื้นที่ คือ ไม่เหมือนองค์ประกอบสะสาร
    เช่น ขวดแทนอีกขวดไม่ได้ แต่สื่อนำแรงกี่ล้านๆแรงก็รวมกันได้หมด และเมื่อไม่มี
    พื้นที่ ก็ไม่มีระยะทางมาเกี่ยวข้อง จึงไม่มีเรื่องเวลาที่ต้องใช้ เพื่อไปถึงอีกฝั่ง
    เหมือนพื้นที่ จึงอยู่เหนือเรื่อง กาลเรื่องเวลานั่นเอง
    และนอกจาก สามารถรวมกันได้ไม่จำกัดในต่ำแหน่งกันเป็นล้านๆ
    ก็ยังจะสามารถสร้างแรงขึ้นมาใหม่ได้........... ถือ ว่าโม้ซ้ำอีกรอบ เผื่อใครลืม......


    เห็น ที่ขีดเส้นใต้คำว่า สร้างแรงขึ้นมาใหม่ได้ ไหม

    เมื่อ ประเด็นหลักๆที่ควรจับเป็นแนวทางของคำตอบ
    คือ ๑.ต้นกำเนิดของแรง แน่นอนย่อมแตกต่างกัน เพราะว่า ในที่นี้มันคือ ตัวจิต โป๊ะแซะ

    และ ๒.ใช้น้ำเป็นสื่อผ่านอากาศ หรือ มีอากาศเป็นสื่อนำแรง
    แน่นอนว่า
    ๓. ย่อมอยู่ในสภาพแวดล้อมบนโลกนี้เหมือนกัน
    คือ อยู่ภายใต้แรงโน้มถ่วงของโลก และ สนามแม่เหล็กโลกใบเดียวกัน

    ดังนั้น หากมีคำถามว่า ผลเป็นอย่างไร ระหว่างผู้รับกับผู้ทำ
    ในที่นี้ เราจึงไม่สามารถสรุปชี้ชัดอะไรได้ นั่นเอง เกทเนาะ


    แต่ทั่วไป แบบแห้ง เหมาะสำหรับ กรณี ดวงจิต(สื่อนำแรงชนิดหนึ่งที่มีประจุ)
    ประเภทที่ อยู่ในอากาศทั้งหมด จะเข้าถึงได้โดยตรง.........

    และทั่วไป แบบน้ำ เหมาะสำหรับ กรณีดวงจิต ที่มีบางส่วน หรือ ทั้งหมด
    ที่ยังมีหรืออยู่ใต้ ธาตุดินหรือ ถูกธาตุดินทับ ดวงจิตตนเองไว้บางส่วน
    ธาตุดิน คือ สื่อนำแรงที่เหมือนกันดึงดูดกันทับถมกัน

    ดังนั้น การที่ อากาศ จะแทรกเข้าไปในธาตุดิน เพื่อนำแรง
    ที่สร้างจากต้นกำเนิดของแรง(ดวงจิต)ผ่านเข้าไปจะไม่สดวก
    เนื่องจากคุณสมบัติที่ทับถมกันอยู่ที่เป็นเอกลักษณ์ของธาตุดินนั้นเอง
    ดั้งนั้นเราจึงใช้น้ำ เพราะธาตุน้ำ มีคุณสมบัติอย่างหนึ่ง
    ก็คือ มันเป็นประจุเป็นสื่อนำแรงที่ไม่เข้าพวกกัน จึงเกิดเป็นธาตุน้ำ


    เราจึงใช้ คุณสมบัติของสื่อนำแรงที่ไม่เข้าพวกกันนี้(น้ำ)
    เข้าไปในสื่อนำแรงที่มันเหมือนกันดึงดูดกัน(ดิน)
    เพื่อที่จะให้ ดินนั้นเกิดช่องว่าง จากการที่มันได้แยกกัน
    (เล็กมากมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า)ใครมองเห็นได้
    จะยืมตา มาส่องแบคทีเรีย หน่อย ๕๕

    ช่องว่าง นี่จะพอเพียง ที่จะทำให้อากาศที่เป็นสือนำแรง
    ที่เกิดจากต้นกำเนิดของแรง(จิต) เข้าไปแทรกซึม
    จึงทำให้ ดวงจิต ที่ถูกธาตุดินทับอยู่บางส่วนหรือทั้งหมด
    สามารถเข้าถึง แรง(บุญ)ที่มาจากต้นกำเนิดของแรง
    โดยอากาศนำพามา ได้นั่นเอง..........

    นั่นหละ เค้าถึงบอกว่า การใช้น้ำ จะคลอบคลุมกว่า
    เพราะสามารถ เข้าถึง กลุ่มกระแสที่กำลังบุญน้อย(มีธาตุบางส่วนทับหรือทั้งหมด)
    ได้นั่นเอง..........

    ในภาพรวมแบบกว้างๆ หยาบๆประมาณที่เล่า
    :rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes:


    ***************************************

    (ปักหมุด 66) หน้า87 # 1727
    :(:(:(:(:(:(:(:(:(:(:(:(:(:(
    เรื่อง พญานาคที่ขะแมร์ ดินแดนแห่งเวทย์มนต์
    เนื่องจากเนื้อเรื่องยาว รูปภาพสวยๆเยอะจึงดึงมาให้อ่าน


    (คลิ๊กดูตามข้างล่างนี้)
    :oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops:
    https://palungjit.org/threads/637310/page-87

    (# ลำดับที่1727)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 มีนาคม 2025
  5. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,909
    ค่าพลัง:
    +4,738
    (ปักหมุด67) หน้า87
    :oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops:
    เรื่อง ชาติก่อนเคยเกิดเป็นอะไร ?

    บุรุษไร้เงา(อจ.นพ) โพสต์
    เคยเกิดเป็นมาเกือบทุกอย่างนั่นหละ
    แต่ตอนเป็น กบ เป็น เขียด
    ไม่ค่อยมีนักปฎิบัติคนไหนเอามา
    เล่าบอกใครเฉยๆ ๕๕๕

    ๑.ประเทศไทย ๙๐ % เคยมีสัมพันธ์กับภูมิ
    พยานาคมาแล้วทั้งสิ้น
    ส่วนนี้พระครูปลัดจิตไวบอกไว้ไม่ได้รู้เองนะ. เคยเขียนไปแล้ว

    ๒.นักปฎิบัติ เกือบทุกคน จะได้พบครูบาร์
    อาจารย์ทางภพภูมิที่เคยมีสัมพันธ์
    ในอดีตได้ทั้งหมดทุกท่านเป็นเรื่องปกติ
    ธรรมดา ไม่แน่ใจเคยเขียนในห้องนี้ไหม
    ย้ำว่าพบได้ทุกท่าน เรื่องปกติ

    แต่จะเข้าใจเหตุได้
    ต้องไม่ยึดติดไม่ว่าท่านใดก็ตาม
    แต่ควรให้ความเครารพ เหมือนกันทุกท่าน
    ในอนางอ จะทราบด้วยตัวเองนี่หละ ^_^

    ๓. จำเอาไว้โล้ด ว่าถ้าหากว่าจิตยังสามารถ
    เห็นเป็นภาพอะไรได้ก็ตาม
    แสดงว่านั้นยังประกอบด้วยสัญญาความจำได้ในจิตอยู่
    (นึกออกไหม มาแบบดวงกลมๆ มาแบบไม่มีรูปร่าง
    ใครจะรู้หละ เกทไหม เช่น ดวงจิต
    เฮีย นพ ไปหา นาง ขนมปัง อดีตกิ๊กเก่า
    แต่ดันอุปโลกน์เป็นหน้าตาออกสเปน
    คงมีฮากันหละ)
    ส่วนในปัจจุบันเราจะสัมพันธ์กับภูมิอะไร
    มันอยู่ที่สัญญาตัวไหน ที่เก็บไว้ในจิต
    ที่มันชัดที่สุดนั่นเอง

    เช่น นางสาว Bodhi ใครก็ไม่รู้
    หากกก แว้. ย้อนดูไป ๑๕ ชาติจะพบ
    เคยเกิดครุฑมาก่อนนี่หว่า ว๊ากกกกกก
    และดันเคยเกิดเป็นพยานาคมา
    เมื่อช่วงชาติที่ ๔๐ ถึง ๕๐ อีกด้วย
    พอเข้าใจเหตุ ณ ปัจจุบันที่เป็นหรือยัง

    ปล ส่วนท้าย เป็นนิทานพอขำๆเด้อ
    o_Oo_Oo_Oo_Oo_Oo_Oo_Oo_Oo_Oo_O
    (อจ.นพ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 มีนาคม 2025
  6. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,909
    ค่าพลัง:
    +4,738
    (ปักหมุด68) หน้า97
    :eek::eek::eek::eek::eek::eek::eek::eek::eek::eek:

    เรื่อง เปรต อสุรกาย สัมภเวสี แตกต่างกันอย่างใด ?
    (คำถามจาก9)

    บุรุษไร้เงา(อจ.นพ) โพสต์ตอบ
    หลักๆก็คือแตกต่างกันที่กิริยา บารมี
    เช่น บางกลุ่มมีวิมาน มีฤทธิ์ อยู่บนฟ้า มีนางกำนัล
    แต่ไม่สามารถยื่นส่วนใดส่วนหนึ่งออกนอกวิมานได้
    เพราะจะโดนจักร จากท่านองค์สีเขียวๆ
    ลอยมาตัดส่วนที่ยื่นออกจากวิมานทันที เป็นต้น

    บางกลุ่มก็ตัวใสๆ สูงประมาณตึก ๗ ถึง ๘ ชั้น
    มีบริวาร ดูแลที่อยู่อาศัยบริเวณนั้นๆ
    ส่วนมากจะเป็นป่าก็มี

    คือไม่ใช่มีแต่ประเภท
    ที่ร้อนเสียงแหลมๆเล็กๆ
    ที่มาขอส่วนบุญเพียงอย่างเดียว..

    --กลุ่มนี้แตกต่างกันอย่างใด
    ตอบ เปรต หลักๆคือ เวลาจะรับบุญ
    จะมีกระแสวิบากมาขวางทำให้ใจไม่เป็นกลาง
    กระแสที่ขวางอาจจะเป็นกระแสร้อน
    ที่จะทำให้รู้สึก เวลามีคนมาอุทิศส่วนกุศลให้
    ดังนั้น ต้องใช้การทำบุญหลายครั้งหน่อย
    เปรตถ้าดูดีๆตาเค้าจะเหมือนมีแสงออกหน่อย
    หลักสังเกตุง่ายๆคือ
    มือจะยาวเลยหัวเข่า..
    ผอมๆเห็นแต่กระดูก
    แบบที่เห็นตามฝาผนังทั่วไปนั่นหละ...

    อสูรกาย ทั่วไปเป็นภูมิที่มีฤทธิ์
    และเวลาทำร้ายใครมักจะไปเป็นกลุ่ม
    สามารถปรากฏเป็นครึ่งสัตว์ครึ่งมนุษย์
    หรือเป็นคล้ายสัตว์เต็มตัวก็ได้
    ถ้ายังผูกใจเจ็บแฝงความโกรธอยู่เรื่อยไป...
    กลุ่มนี้ส่วนใหญ่ลูกนัยตาสีแดง....
    บางพวก อยู่มาก่อนจะมีพระพุทธฯก็มี
    มีฤทธิ์มาก พระธุดงค์ที่ว่าแน่ๆ
    ...มีวิชาเสร็จมาหลายราย
    ดีว่า กลุ่มเหล่านี้ เด่วนี้ค่อนข้างน้อย
    เพราะว่า พระป่าในยุคหนึ่งเวลาที่ท่านธุดงค์
    ได้ใช้ ม.44 ปรับทัศนคติภูมิเหล่านี้ไปเรียบร้อย

    และก็มีประเภทกึ่งเทพกึ่งอสูรกาย
    มีฤทธิ์ ลูกนัยตาสีเหลือง
    กลุ่มมีบารมี มีฤทธิ์ สังเกตุง่ายๆ
    คือ จะไม่ค่อยสบตากับใคร
    มีหน้าที่ สำคัญๆ เช่น
    ...ดูแลทางเข้าสถานที่สำคัญๆต่างๆเป็นต้น


    --ทำไมต้องแยกประเภท
    ...เมื่อเป็นกายที่ดับสูญตายแล้ว

    ตอบ ไม่ได้แยกประเภทอะไรหรอก
    มันเป็นไปตามวิบาก
    คำว่า วิบากก็คือกระแสจรที่จะจรเข้ามา
    ในเวลาที่ร่างกายแตกดับ
    ขึ้นอยู่กับว่า กระแสนั้นออกด้านไหน
    ถ้าออกทางโลภะก็จะไปเป็นเปรต
    ออกทางขี้โกรธไปเป็นอสูรกาย ประมาณนี้
    คือ กระแสตัวนี้ มันไปสร้างรวมกับ
    ...ตัววิญญานการรับรู้ของดวงจิต
    ให้เกิดเป็นอย่างโน้นนี่นั้นขึ้นมา
    เช่น ถ้าดีเป็นเทวดา ฯลฯ

    ส่วนสัมภเวสี
    ตามตำราไม่ทราบกล่าวไว้ว่าอย่างไร
    บ้างอาจจะบอกว่า เร่ร่อน
    ความจริงทุกภพภูมิ ก็ถือว่าเร่ร่อน

    ทั้งนั้น เพราะยังเร่ร่อนอยู่ใน วัฏจักรนี้
    เพียงแต่ ที่ใช้คำว่า สัมภเวสี
    เพียงเพราะว่ากำลังบุญนั้น
    ยังเป็นที่ต้องการและมีความสำคัญ
    ที่จะหนุนให้ภูมิเหล่านี้
    มีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีได้
    พูดง่ายๆว่า เป็นภูมิที่ยังต้องการกำลังบุญอยู่
    (อจ.นพ)
    :eek::eek::eek::eek::eek::eek::eek::eek::eek::eek::eek::eek:

    9 @Phonlee, 31 ตุลาคม 2018
     
  7. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,909
    ค่าพลัง:
    +4,738
    (ปักหมุด69) หน้า 100
    :oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops:

    เรื่อง วิธีคลายเครียคเพื่อให้จิตคลายตัว)
    (คำถามจาก9)

    nopphakan(อจ.นพ) post:***เยี่ยมครับ***

    ยกตัวอย่างเปรียบง่ายๆ
    สมมุติว่า เราจะทำงานบางอย่าง
    ที่เป็นยูนิกซ์ ไม่ใช่แบบโครงการใหม่นะครับ
    แรกๆเราก็จำเป็นต้องที่จะเรียนรู้งานก่อน
    อาจจะจากการลองผิดลองถูก การอ่าน
    การอบรม การดูการสังเกตุ
    หรือมีคนคอยแนะนำดูแล
    ในช่วงแรกๆ เรียกว่าช่วงเริ่มต้น
    เอาทุกวิธียำรวมกันนั่นหละ
    ขอให้เราทำงานเป็นก่อน

    เอ๊าต่อมาพอเริ่มทำงานเป็น
    เราก็จะทำงานนั่นๆไปเรื่อยๆ
    เรียกว่าเป็นการทำซ้ำ
    และก็จะเกิดความชำนาญขึ้นมา
    ที่นี้หละไอ้การทำซ้ำนี้
    ก็จะมีคนทำงานนี้อยู่หลายแบบ
    เช่น พี่ฟิต พี่เรื่อยเปื่อย พี่แล้วแต่อารมณ์
    พี่ตามหน้าที่. พี่จำยอมทำ พี่ทำแบบชิว
    พี่ทำตามธรรมชาติเหมือนไม่ใช่งาน
    พี่ทำแล้วทุกข์ พี่ทำแล้วสุข พี่ทำแล้วจบ
    พี่ทำแล้วไม่จบ พี่ทำไปบ่นไป พี่ทำไปอู้ไป
    ถามว่าทุกๆ พี่นี่ งานที่ทำออกมาได้ผลลัพท์
    เหมือนๆกันนั่นหละครับ


    แล้วมันต่างกันตรงไหน
    ต่างกันตรงที่พี่คนไหน
    ที่ทำงานเหมือนเป็นธรรมชาติ
    เป็นสิ่งที่ต้องทำเพื่อดูแลรับผิดชอบ
    ตามหน้าที่ตนเองให้ดีที่สุด
    และที่สำคัญพอทำแล้วก็จบเป็น
    คืองานส่วนงาน ทิ้งไว้ที่ทำงาน
    ไม่เก็บมาคิด มานินทาเพื่อนร่วมงาน
    ถึงบ้านคือครอบครัวคือครอบครัวครับ
    เห็นอะไรไหม เห็นการอยู่ร่วมกับสังคม
    และการดำเนินชีวิตตรงนี้ไหม
    แค่เพียงทำงานที่ตนเองรับผิดชอบ
    ให้เต็มที่ ทำแบบมันเป็นธรรมชาติของตน
    และทำแล้วรู้จักจบเป็น
    จิตจะมาทำหน้าที่ส่วนอื่นๆต่อไปตามธรรมชาติของมัน

    ไม่มีครอบครัว ก็มาดูแลสุขภาพ
    ทำความสะอาด ใช้ชีวิตตามวีถีของตนเองต่อไป

    เมื่อจิตไม่ยึดไม่ไปเกาะกับสิ่งที่ผ่านมาแล้ว
    มันก็เลยไม่ได้ไปสร้างไปตั้งกฏเกณฑ์อะไร
    หรือเอาเรื่องที่ผ่านมาย้อนมาคิดสร้าง
    เรื่องบดบังตัวจิตอะไรให้มันเครียด
    มันก็้หมือนอุบาย
    ให้กับจิตค่อยๆผ่อนคลาย เป็นแนวทางเดิน
    ให้จิตกระทำอะไร ในวันต่อไปแบบธรรมชาติ
    แบบอัตโนมัติของมันเอง ว่าวันนี้
    ช่วงนี้ตอนนี้เราจะต้องทำอะไรบ้าง

    พอผ่านช่วงที่รู้ว่า จะต้องทำอะไร
    แบบอัตโนมัติแล้ว จากการที่จบเป็นทิ้งเป็น
    ไม่ว่าเรื่องงาน เรื่องส่วนตัวแล้ว

    นั่นหละเมื่อช่วงที่เวลาที่เราว่างเว้น
    จากการทำงาน เรื่องส่วนตัว หรือเฉยๆนิ่งๆ
    จิตมันก็เริ่มเข้าสู่กิริยาการคลายตัวเองได้
    ตามธรรมชาติของมันได้เองในเวลาปกติ
    ของมันเองนั้นหละครับ

    เพราะมันถูกฝึก จากการที่
    เริ่มจากการทำอะไรจบเป็น
    มันเลยรู้จักทิ้งเป็น และจบเป็น
    และก็ส่งผลให้ทำอะไรแบบอัตโนมัติ
    ตามธรรมชาติของมัน เมื่อมันทิ้งเป็นจบเป็น
    เมื่อทำทำทุกอย่างไปตามธรรมชาติของมัน
    มันก็เลยรู้จักที่จะแล้วๆไปเป็น
    ไม่ว่าหน้าที่การงานหรือเรื่องส่วนตัว
    เมื่ออัตโนมัติเป็น ทำแล้วแล้วไปเป็น
    มันก็ค่อยๆส่งตัวจิตให้ค่อยๆกลับคืนสู่ธรรมชาติเดิม
    ด้วยการเริ่มค่อยๆคลายตัวเองในเวลาปกติ
    เมื่อมันคลายตัวได้แล้ว
    หากการประพฤติยังเหมือนเดิม
    ด้วยที่จิตเคยคุ้นการคลายตัวแล้ว
    มันก็จะพัฒนาเพิ่มระยะเวลาตรงนี้
    ได้ของมันเองตามลำดับนั่นแลครับ ^_^

    ปล ติด สมาธิ ตบะ ฌาน ญาน กำลังจิต
    มันก็เหมือนเราทำงานแล้วจบไม่เป็น
    แล้วเก็บเอางานมาคิดอีกนั่นหละครับ
    งานเราจะทำเต็มที่เฉพาะเวลางาน
    เลิกงานแล้วคือจบ ที่ติดกัน
    เพราะจบไม่เป็นมั่วแต่เอางาน
    มาทำต่อ อยู่กับงานตลอดเวลาไม่จบ
    เราจบงานทิ้งเป็น แม้เราอยู่ที่ไหน
    งานนั้นเราก็ทำได้เหมือนเดิมไม่ลืม
    ไม่เสื่อมหรอกครับ. เกทเนาะ
    (บุรุษไร้เงา)
    :):):):):):):):):):):)

    9@Phonlee, 3 พฤศจิกายน 2018
     

แชร์หน้านี้

Loading...