เรื่องเด่น นานาเรื่องราวหลวงพ่อพระราชพรหมยาน

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย Wannachai001, 16 กันยายน 2014.

  1. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    111
    ค่าพลัง:
    +225,705
    0001 (46)a.jpg

    อาราธนารับพิธีสะเดาะเคราะห์ที่บ้าน

    อาจารย์ยกทรง : กราบเท้านมัสการพระเดชพระคุณหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง งานสะเดาะเคราะห์ที่วัดท่าซุง 4 เมษายน ศกนี้

    หากลูกหลานบางคนจำเป็นไปไม่ได้ หรือไม่ได้ไป สมมติ ติ๊ต่างว่าถึงเวลา 4 โมงเช้า

    หลวงพ่อ : ติ๊ต่างๆๆๆ

    อาจารย์ยกทรง : ไอ้ติ๊งต่าง ตุ๊ง มันตัวเดียวกันหรือเปล่าพ่อ

    หลวงพ่อ : ติ๊งต่อง (หัวเราะ)

    อาจารย์ยกทรง : เอานะ ถึงเวลา 4 โมงเช้าก็ดี บ่าย 2 โมงก็ดี ในขณะนั้นลูกควรจะปฏิบัติแบบไหน เผื่อจะได้มีโอกาสได้รับสิริมงคล

    หลวงพ่อ : เอาอย่างนี้แล้วกัน ตั้งใจรับแล้วภาวนาว่า พุทโธ

    อาจารย์ยกทรง : อ้อ..ใช้พุทโธหรือครับ

    หลวงพ่อ : ใช้เวลาประมาณสัก 15 นาที เวลาที่นั่นเขาจะทำเขาแนะนำกันก่อน เวลามีมากไป เวลาไม่น้อยก็ 15 นาทีก็แล้วกัน

    ขอรับด้วยใช้ได้ เหมือนยันต์เกราะเพชรก็เหมือนกัน

    อาจารย์ยกทรง : อ้อ..สะเดาะเคราะห์กับเป่ายันต์นี่คล้ายๆกัน

    หลวงพ่อ : คล้ายๆกัน เพราะว่าทำพิธีเดียวกัน แต่บทต่างกัน

    (จากหนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม 15 หน้า 374-375)



    ******ท่านที่ไม่สามารถไปร่วมพิธีสะเดาะเคราะห์ที่วัดได้ เราอยู่บ้านสามารถอาราธนารับได้เหมือนการเป่ายันต์เกราะเพชร ถ้าสามารถฝากเงินไปร่วมทำบุญและฝากชื่อไปใส่โลงในงานให้เผาไปด้วยจะดีมากครับ



     
  2. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    111
    ค่าพลัง:
    +225,705
    (103143.jpg

    สร้างพระทำด้วยโลหะกับทำด้วยปูน

    "หลวงพ่อเจ้าคะ การสร้างพระพุทธรูปทำด้วยโลหะกับทำด้วยปูน อย่างไหนจะดีกว่ากันเจ้าคะ?"

    ถ้าเป็นเจตนาของฉันนะ ชอบให้ทำด้วยปูนมากกว่า ปั้นด้วยปูนแล้วก็ปิดทอง เพราะอะไรรู้ไหม เพราะพระปูนไม่มีใครขโมย พระโลหะเผลอหน่อยเดียวคนตัดเศียรแล้ว ดีไม่ดีเอาไปทั้งองค์

    ฉะนั้น ปูนดีกว่า มีอานิสงส์เท่ากัน ราคาถูกกว่า ทนทาน และรักษาง่ายกว่า

    การสร้างพระพุทธรูปนี่เป็น พุทธบูชาเป็น พุทธานุสสติ ในกรรมฐาน 40 กอง

    ท่านบอกว่า "กำลังพุทธานุสสติเป็นเหตุให้เข้าถึงนิพพานได้ง่ายที่สุด ง่ายกว่ากองอื่น"

    ก็เห็นจะจริง เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านอยู่นิพพานนี่ และท่านก็เป็นต้นตระกูลของพระนิพพาน ใช่ไหม

    ทีนี้ถ้าเราต้องการสร้างให้สวยตามที่เราชอบ เห็นแล้วก็ทำให้จิตใจสดชื่น จิตมันก็นึกถึงพระอยู่เสมอ

    ถ้าจิตนึกถึงพระพุทธรูปองค์นั้นอยู่เสมอ ก็จัดเป็น พุทธานุสสติกรรมฐาน ถ้าใจเราเกาะพระพุทธเจ้าเป็นปกติ ตายแล้วลงนรกไม่เป็น

    ฉะนั้น ถ้าหากโยมเห็นว่าพระที่ทำด้วยโลหะสวยกว่า ชอบมากกว่า โยมก็สร้างแบบนั้น

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 472 เดือนกรกฏาคม 2563 หน้า 77)
     
  3. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    111
    ค่าพลัง:
    +225,705
    (((((((27_700_n.jpg

    วิธีเสริมการสะเดาะเคราะห์

    ก็คือ

    1. ทำบุญกับนักเรียน ถามพญายมว่า ทำบุญกับนักเรียนมีอานิสงส์อะไร ท่านบอกว่า นักเรียนเป็นผู้ทรงฌาน ย่อมมีอานิสงส์ดีกว่าคนปกติ

    เด็กที่จะเข้าเรียนทั้งหมดที่นี่ ต้องได้มโนมยิทธิ ต้องได้ฌานสมาบัติ เป็นฌานขั้นต้น และทุกอาทิตย์เขาจะซักซ้อมกันทุกอาทิตย์ เด็กบ้านจะซ้อมกันเดือนละ 2 ครั้ง ถ้าเด็กหอพักซ้อมทุกอาทิตย์

    วิธีเสริมสะเดาะเคราะห์ประการที่ 2 กลับไปบ้านให้เอาดอกมะลิ ใส่ขันน้ำใสๆ แล้วก็ตั้งไว้ที่หน้าบูชาพระแล้วก็บูชาพระ

    เมื่อบูชาพระเสร็จ ท่านบอกว่าให้อุทิศส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวร แล้วก็เอาน้ำนั้นไปรดที่โคนต้นโพธิ์ ถ้าใกล้บ้านมีต้นโพธิ์ หรือใกล้วัดมีต้นโพธิ์ หรือถ้าไม่มีต้นโพธิ์ ให้เอาไปเทที่กลางแม่น้ำ

    ท่านบอกว่า ถ้าบังเอิญบ้านดอน ตันโพธิ์ก็ไม่มีแม่น้ำก็ไม่มี ให้ไปเทที่โคนต้นไม้ใหญ่ คือว่า ต้นไม้ใหญ่มีแก่นก็แล้วกัน เพราะต้นไม้ใหญ่มีแก่นทุกต้นมีรุกขเทวดา

    ท่านบอกว่า ถ้าทำอย่างนี้เคราะห์ของท่านจะบรรเทาลงมาก คำว่าเคราะห์จะให้หมดน่ะไม่ได้ มันเป็นบาป บาปเก่าสิ้นไป บาปใหม่ก็มา

    เมื่อเสร็จพิธีเป่ายันต์เกราะเพขร หลวงพ่อนำอุทิศส่วนกุศล จบแล้วหลวงพ่อบอกว่าตอนที่อุทิศส่วนกุศลให้แก่เจ้ากรรมนายเวร ที่บอกให้เอาดอกมะลิใส่น้ำใสบูชาพระพุทธรูป

    ตอนนี้แหละบรรดาเจ้ากรรมนายเวรบอกว่า "สดชื่นเหลือเกินครับ ผมเยือกเย็นและสดชื่นมาก"

    อย่างนี้สลัดง่าย หมายความว่าเขาไม่เกาะง่ายนะและทุกคนอย่าลืมนะ

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 89 กรกฏาคม 2531 หน้า 71-72)

    *******************************************************************************

    คือว่าเมื่อกี้นี้ขณะที่ภาวนากันอยู่ ลุงทั้งสองท่านยืนอยู่ข้างหน้านี่ ท่านบอกว่าคนที่ตั้งครรภ์มาวันนี้ทั้งหมด ลูกมีนิสัยเป็นผู้หญิงทั้งหมดให้ชื่อใช้อักษร "อ" ออกหน้านะทุกคนนะ

    ท่านบอกคนที่ตั้งครรภ์มาวันนี้ทั้งหมด ไม่เป็นไรคลอดบุตรไม่ตายรับรอง รับรองว่าไม่มีภัยอย่าลืมเอาน้ำมนต์ไปนะ แล้วก็เด็กที่มาวันนี้ หมายถึงว่าเด็กอยู่ในท้องนะ มีนิสัยคลัายผู้หญิงหมดทุกคน

    และก็คนเกิดอีกสองวันคือ วันจันทร์กับวันศุกร์ วันนี้ไม่ทวงกรรมไม่ทวงหนี้ เป็นแต่เพียงบอกว่าคนที่เกิดวันจันทร์กับวันศุกร์ กลับไปบ้านให้เอาไก่หนึ่งชิ้น แต่ห้ามฆ่าไก่ที่บ้านนะ ไก่บ้านอื่นก็ห้ามสั่งเขาฆ่า ไปซื้อเขาที่ตลาดจะเป็นไก่ตัมก็ได้ ไก่ย่างก็ได้ชิ้นเล็กๆก็ได้ ท่านไม่ห้ามไม่จำเป็น

    ให้บูชาทำด้วยสองอย่าง คือคนที่คิดว่าไม่สมควรจะถวายพระ ก็ให้ตั้งโต๊ะปูผ้าขาวกลางแจ้ง บูชาครูบาอาจารย์ ไม่ใช่เจ้ากรรมนายเวร หรือท่านผู้มีคุณ

    แต่ถ้าหากว่าท่านผู้เป็นนักบุญให้เอาไก่ชิ้นนั้นใส่บาตรไปกับพระ แล้วก็อุทิศส่วนกุศลให้แก่ครูบาอาจารย์และท่านผู้มีคุณ ไม่ใช่เจ้ากรรมนายเวร

    ท่านบอกว่าอย่างนี้ คนเกิดวันจันทร์กับวันศุกร์จะมีโชคดี หมายความว่ามีการคล่องตัว

    ฉันก็เลยถามท่านว่าคนอื่นวันอื่นอยากจะทำบ้างจะว่าอย่างไงมันไม่แพง เพราะราคาไม่
    แพงใช่ไหมไก่ชิ้นเล็กๆก็ใช้ได้ ไม่จำเป็นต้องชิ้นใหญ่

    ท่านบอกวันอื่นจะทำบ้างก็ได้ แต่ว่าการคล่องตัวมีโชคได้ผลน้อยกว่าเขานิดหนึ่ง ฉันว่าก็ยังดีกว่าไม่ได้เลยนะ ใช่ไหม ผลน้อยนิดหนึ่งก็หมายดวามว่าเขาได้บาทเราได้ 99 สตางค์ ก็พอไปได้นะ อาศัยเขาซินะ อย่าลืมว่าไก่ชิ้นหนึ่งชิ้นย่อยๆ

    ถ้าขี้เกียจไปทำบุญที่วัด ก็เอาผ้าขาวปูบนโต๊ะกลางแจ้ง ตั้งเครื่องบูชาตั้งใจบูชาครูบาอาจารย์และท่านผู้มีคุณ ถ้าบังเอิญเป็นนักบุญก็เอาใส่บาตรไปพร้อมกับข้าว แล้วก็อุทิศส่วนกุศลให้แก่ครูบาอาจารย์และท่านผู้มีคุณ คราวนี้ไม่ทวงกรรมกัน

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 99 พฤษภาคม 2532 หน้า 56-57)

    158303_0.jpg
     
  4. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    111
    ค่าพลัง:
    +225,705
    ลพ.รดน้ำอบผ่านแก้วจักรพรรดิ์.jpg

    พระโสดาบันมีกำลัง 7 ช้างสาร



    ท่านเจ้าคุณฯ : ด็อกเตอร์ สมัยนี้พระอริยเจ้าที่เป็นพระโสดาบันนี่จะมีแรงอย่างสมัยพุทธกาลหรือเปล่าก็ไม่รู้ จะให้ไปเขาใหญ่ดูสักหน่อย เพราะไอ้งาเกมันเก่งเหลือเกิน (หัวเราะ)

    ดร.ปริญญา : เขาว่าหายไปแล้วนี่ครับตัวนั้น หายไป 2-3 ปีแล้ว หายสาบสูญไปไม่รู้เป็นตายร้ายดีอย่างไร

    ท่านเจ้าคุณฯ : เขาเอางาออกไปแล้วมั้ง

    ดร.ปริญญา : เคยกราบเรียนถามหลวงพ่อนะครับเรื่องนี้ว่าองค์อื่นๆนี่ก็มีแรงเยอะกันทั้งนั้นนี่ พระเจ้าปเสนทิโกศลมีแรงเยอะกับเขาด้วยหรือเปล่า

    ท่านเจ้าคุณฯ : ตอนนั้นยังไม่เป็นพระโสดาบันนี่

    ดร. ปริญญา : ไม่จำเป็นต้องเป็นครับหลวงพี่

    ท่านเจ้าคุณฯ : อ้อ เหรอ

    ดร.ปริญญา : ครับ เป็นบุคคลพิเศษที่เกิดมาก็มีกำลัง 7 ช้างสาร

    ท่านเจ้าคุณฯ : คือสมัยที่พระอานนท์ใช่ไหมที่ว่ายืนขวางช้างอะไรน่ะ

    ดร. ปริญญา : ช้างนาฬาคีรี ยกมือทิ่มช้างตูดกระแทกเลย

    ท่านเจ้าคุณฯ : อยากจะทดลอง ใครเป็นพระโสดาบันหรือไม่ จะให้ลองไปเขาใหญ่ดู (หัวเราะ)

    ดร.ปริญญา : มีพระอานนท์ มีท่านวิสาขาและก็มีนายบุญทาสีที่เป็นคนใช้ของท่านวิสาขา

    ได้กราบเรียนถามหลวงพ่อท่าน ท่านบอกว่าพระเจ้าปเสนทิโกศลก็แรงเยอะ (กำลัง) 7 ช้างสารเหมือนกัน ท่านพันธุลเสนาบดีก็แรงเยอะ ที่ฟันไผ่ 500 ลำไม่ให้ได้ยินเสียง

    อย่างเครื่องประดับมหาลดาปสาธน์ที่ท่านวิสาขาไปลืมทิ้งไว้ที่พระเชตวันนั่น พระองค์อื่นยกไม่ขึ้นต้องให้ท่านพระอานนท์ยกไปเก็บ

    ท่านเจ้าคุณฯ : อ๋อ มีแรงช้างสารนี่

    ดร.ปริญญา : ใช่ครับ

    ท่านเจ้าคุณฯ : นางวิสาขาก็มีด้วยสิ อย่างนี้

    ดร.ปริญญา : ใช่ครับ เสร็จแล้ว พอ(ท่านวิสาขา)ลืม อ้าวนึกขึ้นมาได้ก็ให้นายบุญทาสีไปเอากลับ เพราะว่าคนอื่นไปเอากลับก็ไม่ได้อีกเหมือนกัน

    ท่านเจ้าคุณฯ : แรงไม่พอ

    ดร.ปริญญา : แรงไม่พอ แต่บอกว่าถ้าพระจับแล้วก็ถวายพระเลยนะ

    ท่านเจ้าคุณฯ : (ขอแถมหน่อยนะ) สมัยก่อนนั่นเคยมีเล่าในหนังสืออะไรไม่รู้ พระเจ้าปเสนทิโกศลไปฟังเทศน์พระพุทธเจ้า พวกบริวารไปฟังก็สำเร็จพระโสดาบัน พระสกิทาคาฯ อนาคาฯ อรหันต์กันหมด แต่พระเจ้าปเสนทิโกศลไปฟังเหมือนกัน ครอก หลับ ฟังไม่รู้เรื่อง หลับ แต่ไปทุกวันนะ เพราะเชื้อปรารถนาพุทธภูมินี่แหละ

    (จากคอลัมภ์ "ท่านเจ้าคุณฯสนทนา" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 481 เดือนเมษายน 2564 หน้า 20-21)



    ทำสมาธิได้ยินเสียงหัวใจเต้นดัง

    มีคนฝากคำถามให้ดร.ปริญญาถามว่า

    ขณะที่ทำสมาธิได้ประมาณสัก 5 นาที ทำไมจึงได้ยินเสียงหัวใจเต้นเสียงดังมาก ก้องอยู่ในหู ขณะนั้นกระผมก็ตกใจแล้วก็ลืมตาขึ้นเลย จะเป็นทุกครั้งที่ทำสมาธิ พอจิตเริ่มสงบก็ได้ยินเสียงทันที ขอความกรุณาให้ความกระจ่างด้วยขอรับ

    ท่านเจ้าคุณฯ ตอบว่า เป็นเพราะหัวใจมันเต้นแรง (หัวเราะ)

    พอจิตสงบมันก็จะรู้ คือธรรมดาปกติเรานี่เราก็หายใจทิ้งไปวันๆ มันจะกี่ร้อยกี่พันเที่ยว ใช่ไหม ไม่เคยรู้ พอจิตเราละเอียดขนาดว่าหัวใจเต้นตุ๊บๆนี่ รู้นี่ก็ยังหยาบอยู่ รู้อาการของกายนี่ยังหยาบใช่ไหม

    แต่รู้ลมหายใจเข้าออกนี่หลวงพ่อบอกว่ารู้ถึง 3 ฐานเป็นปฐมฌานใช่ไหม รู้ไหมเวลาหายใจเข้าออก คุยกันก็ไม่รู้เลยใช่ไหม ไม่คุยบางทียังไม่รู้เลย คือรู้หัวใจเต้นตุ๊บๆ ก็ถือว่าไม่อยากให้รู้เสียงหัวใจหรืออย่างไร

    ดร.ปริญญา : คือว่าพอเต้นแล้วทีนี้สมาธิไม่อยู่ เพราะมัวแต่ได้ยินเสียงหัวใจเต้น

    ท่านเจ้าคุณฯ : คือต้องทำไม่สนใจกิริยาทางกาย ใจตัวนี้นะ มันก็เป็นเสี้ยนหนามของสมาธิที่เราตั้งใจไว้ เป็นเสี้ยนหนาม เพราะฉะนั้นอาการที่เป็นอะไรกับกาย ที่เราจะตั้งใจจะพุทโธก็ดี จะรู้ลมหายใจเข้าออกก็ดี ก็ตั้งใจอย่างไรให้รู้อย่างนั้น

    อย่างนี้มันก็ยังน้อยใช่ไหมล่ะ ถ้าเกิดพอถึงปีติถึงจะต้องสั่นปุ๊บ ไม่ต้องทำอะไรกันเลยหรือ ใช่ไหม ปีติบางทีมันสั่นปั๊บๆเข้ามา เราต้องทิ้งคำ (ภาวนา) ไม่ทำอะไรเลย อย่าให้สนใจกิริยากายของตัวเอง มันจะเต้นตุ๊บตั๊บเต้นแรงเต้นค่อยก็เรื่องของมัน แต่เรารู้ลมหายใจ รู้ภาวนา พุทโธ ก็รู้ ที่เราตั้งใจไว้ เรื่องอื่นไม่ต้องสนใจ

    เพราะว่าแค่ปีตินี่อาการของร่างกายมันก็หลายอย่างแล้ว บางที (ตัว)บวมใหญ่ ใหญ่โตเท่าไหนก็ไม่รู้ เต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด พอเรารู้อย่างนี้เราไม่ต้องทำตัวนี้ คือปีติหรือตัวเสี้ยนหนามของสมาธิที่จะเกิดเป็นปฐมฌานนี่

    คือบางคนก็กลัวตาย พอเต้นตุ๊บๆจะตายหรือเปล่าวะ ลืมเลยไอ้ที่ตั้งใจ พุทโธ ธัมโม ไว้ คนเราพอจะถึงมันจะกลัวตายตรงนี้ บางทีหายใจจะหมดนะ หายใจมันน้อย

    ดร.ปริญญาเสริมว่า ทำไมๆ หายใจไม่เข้าปอดสักที เลยหายใจเฮือกขึ้นอีก

    ท่านเจ้าคุณๆ : ใช่ เลิกเลย จะตายแล้วไม่ต้องทำกันเลย ฉะนั้นตอนแรกที่เขาทำ เขาตั้งใจแล้วอย่างไร

    ดร.ปริญญา : เขาไม่ได้บอกว่าตั้งใจอย่างไร แต่บอกว่าพอเริ่มทำสมาธิก็จะได้ยินเสียงหัวใจเต้นตึ๊กตั๊กๆ แล้วก็เลยตกใจทุกที

    ท่านเจ้าคุณฯ : ถ้ามันรู้จริงๆ ก็ว่าตั้งใจจะดูใจว่าตึ๊กตั๊กขนาดไหน ดูสิว่ามันตึ๊กๆ

    ตึ๊กก็พุทโธ 1 ตึ๊กก็พุทโธ 2 ดูมันซะเลย เอากิริยาของลมหายใจมารู้จริงนะ ตั้งเป็นนิมิตจับซะเลย เป็นกายคตาฯไปเลย มองออกมันตึ๊ก 1 มันตึ๊ก 2 ตึ๊ก 3 ก็นับให้ได้ อย่างนี้ก็เป็นสมาธิ ไม่ใช่ว่าจะต้องทำอย่างใดอย่างหนึ่ง

    มันตึ๊ก 1 ละ ตึ๊กนี่ 2 ละ ตึ๊กนี่ 3 ละ แล้วก็ภาวนาไปเรื่อย ดูซิมันก็เป็นสมาธิ ดีไม่ดีฝึกได้ทุกอย่างอยู่ในอิริยาบถได้

    สมาธิบางทีบางอย่างนี่ อิริยาบถนี่ไม่ต้องภาวนานะ รู้มือ รู้กำมือหรือเปล่า รู้กำเข้ากำออกหรือเปล่า นี่ก็เป็นกิริยาอย่างหนึ่งที่รู้อิริยาบถ เป็นวิธีฝึกสมาธิเหมือนกัน


    (จากคอลัมภ์ "ท่านเจ้าคุณฯสนทนา" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 477 เดือนธันวาคม 2563 หน้า 19-20)



    โยมมาวัดบ่นถึงหลวงพ่อ



    โยมปู้จุดธูปเสร็จภายใน 7 วัน พอได้เงินมาวัด พอถึงศาลานวราชก็เอาบัตรไปให้เขา แกก็เหมารถมาสัก 7-8 คนได้

    พอถึงศาลานวราชปุ๊บ แกเห็นป้ายตรงประตูเขาเอารูปแปะไว้ คนลักรองเท้าก็ดี คนอะไรก็ดี เขาจะถ่ายรูปติดเข้าไว้ และมีบอกว่าใครเข้าทรงก็จะถ่ายรูปติดไว้

    โยมปู้นี้มีหลวงปู่ (องค์หนึ่ง) คุมอยู่ พอเห็นเขาถ่ายรูปติด โยมปู้ก็กลัวขึ้นมา ถ้าเกิดมาเข้าทรงในวัดนี่ตายแล้ว ต้องถ่ายรูปกูติดที่นี่แน่ๆ แล้วแกก็ตั้งใจไว้ บอกหลวงพ่อหลวงปู่อย่าเข้าทรงในวัดเลยเขาถ่ายรูปติดแน่ พอพูดเท่านั้นแหละ โยมปู้สั่นใหญ่เลย

    ทีนี้พวกที่มาด้วยกันบอก ปู้ ถ้ามึงเข้าทรงเมื่อไหร่กูไปเลยนะ ไม่รอนะ พวกบ้านด้วยกันจะทิ้งแล้ว ไม่ยอมแล้วสั่นปั้บๆบอกไม่ให้เข้ายิ่งจะเข้าใหญ่ ความกลัว

    ทีนี้พอไปนั่งอยู่ ได้ข่าวว่าหลวงพ่อไม่อยู่เสียอีกแล้ว หลวงพ่อไปสิงคโปร์เสียแล้ว พอได้ข่าวว่าหลวงพ่อไปสิงคโปร์ โยมปู้บอก หลวงพ่อ ปู้ก็ไม่มีเงินมา มาแต่ละทีก็มาลำบาก มาวันนี้หลวงพ่อไม่อยู่เสียอีก ก็รำพัน บ่นก็นั่งบ่นในห้อง ไม่มีเงินมา มายาก มาหลวงพ่อก็ไม่อยู่เสียอีก

    พอกลางคืนบ่นอย่างนั้น ตอนเช้าเขาประกาศเลยว่า หลวงพ่อมาแล้ว มาจากสิงคโปร์แล้วมาตอนกลางคืน แกก็ดีใจ

    ทีนี้พอไปกราบหลวงพ่อเท่านั้นเอง หลวงพ่อบอก ไอ้อ้วน ไอ้ลูกสาวนั่นน่ะ มาหาพ่อเรียกไอ้อ้วน ยายปู้แกก็แก่แล้วตั้ง 60 มาเรียกลูกสาว แกก็ไม่ไป หลวงพ่อบอกไอ้อ้วนนั่นแหละ พวกที่อยู่ด้วยกันเขาก็ดันโยมปู้ไป พอโยมปู้ไปถึงใกล้ๆ หลวงพ่อก็บอก เป็นไงลูกสาว คิดถึงพ่อเหรอ เท่านั้นแหละ ไอ้อ้วนร้องไห้ไม่มีละ ดีใจพอปีติ

    ท่านก็คุยให้ฟังอะไรต่ออะไร พูดถึงความรักความผูกพันกันมา พอบ่าย 3 โมงหลวงพ่อก็กลับพอแกเดินออกหน้ามา หลวงพ่อก็จอดรถไขประตูหน้าต่างบอก อ้วนลูกรัก พ่อพักก่อนนะลูกนะ แหม ถ้าเป็นเราได้ยินได้ฟังอย่างนั้นก็ชื่นใจใช่ไหม ตั้งแต่นั้นแกก็ผูกพันมา

    ***เห็นความรัก และความเมตตาของหลวงพ่อหรือยัง ความรักของหลวงพ่อต้องบอกว่าเป็น อัปปมัญญา เลยนะ รักทั้งคนเป็น รักทั้งคนตายที่เป็นลูกหลานบริวารนะ***


    (จากคอลัมภ์ "ท่านเจ้าคุณฯสนทนา" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 467 เดือนกุมภาพันธ์ 2563 หน้า 27)

    168853967_1876861245823739_5087162721035498495_n.jpg
    บนกรมหลวงชุมพรขอของถูกขโมย



    ท่านเจ้าคุณฯ : โยมยีมาเล่าให้ฟังเมื่อวานนี้ เมื่อวานเล่าบอกว่าโยมยีไปช่วยเขาทำอาหารที่วัด พวกกลุ่มเขาน่ะนะ กลับมาบ้านญาติที่ไม่พึงปรารถนามาเอาพระเครื่องไปหมดเลย เข้าไปในบ้านเอาไปหมดเลย

    ทำไงล่ะ อยากได้ของเก่าหลวงพ่อคืนนี่ ก็เลยบนกรมหลวงชุมพรให้ได้ของคืนมา

    กรมหลวงชุมพร เวลาบนแล้วต้องจัดการบนก่อน นี่เขาทำพิธีบน ทำไปทำมาเขาเอาของมาคืนไว้หน้าบ้าน บนขอให้จับตัวได้จะไม่เอาเรื่อง ก็จับตัวได้อีก ไอ้คนลักขโมยบอกว่า เอาไปขายใครเขาก็ไม่ได้ ไม่มีใครซื้อ ไปขายใครใครก็ไม่เอา กลัวหรือยังไงก็ไม่รู้ จึงเอามาคืน

    ยกทรง : อ๋อ ตกลงได้คืนเลยหรือครับ

    ท่านเจ้าคุณฯ : ได้คืน

    ยกทรง : แหม มหัศจรรย์จริง

    ท่านเจ้าคุณฯ : ไปอ่านตำราบนกรมหลวงชุมพรไว้ให้ดี เวลาได้ของคืนแล้วก็ต้องแก้บนอีกรอบหนึ่งนะ อย่าไปทำรอบเดียว คือตอนก่อนบนก็ทำรอบหนึ่ง พอได้ของคืนเสร็จก็ต้องแก้อีกรอบหนึ่ง

    (มีเรื่องหนึ่ง) เห็นหลายเจ้าแล้ว ไปถาม ทำไมสมัยก่อนลูกน้องกรมหลวงชุมพร ตอนนั้นท่านยังเป็นอะไรอยู่ก่อน ท่านเป็นอะไร "อินทกะ" ตอนนี้ท่านเลื่อนเป็นท้าวมหาราชแล้วนะ เป็นท้าวมหาราชด้านทิศใต้ ชื่อ "ท้าววิรุฬหก" เป็นท้าววิรุฬหกนะ

    สมัยก่อนเป็นกรมหลวงชุมพรอยู่นี่ ต้องมี ไอ้เป้ ทำไมถึงบอกต้องมีไอ้เป้ บอก ลูกน้องชอบ ตามคนดีจังเลย ตามคนตามของหายอะไรอย่างนี้นะ

    ***ไอ้เป้ คือ เหล้า นะ ตอนหลังท่านเป็นท้าวมหาราชท่านสั่งไม่ให้มีแล้ว ลูกน้องก็เลยอด ท้าวมหาราชเป็นหัวหน้าของเทวดาชั้นจาตุมหาราชนะ มีหน้าที่ดูแลโลกมนุษย์โดยเฉพาะสถานที่สำคัญๆในพระพุทธศาสนา บางคนก็ถือท่านเป็นที่พึ่ง***

    (จากคอลัมภ์ "ท่านเจ้าคุณฯสนทนา" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 481 เดือนเมษายน 2564 หน้า 19)
    190669958_1913338848842645_4907736460221777045_n.jpg
    พระเลี่ยมทอง

    ที่เรียกว่าพระห่มจีวรสวย คือพระเลี่ยมทองนี่นะ ก็มีอานิสงส์นี่ ที่เราเลี่ยมทองพระแล้วคล้องคอนี่

    มีอยู่คราวหนึ่ง มีคนเขาโดนปล้น ปล้นไปหมดเลย หลวงพ่อก็ไปเยี่ยมหรือไงนี่ ก็เรียกเข้ามา อีหนูเอาพระนี่ไปนะ ภาวนาอย่างนี้นะ ถ้ามีเงินมีทองแกก็เลี่ยมซะ เลี่ยมทองซะ

    ทีนี้คนนี้เขามีความเคารพนะ พอมีเงินก็เลี่ยมทองเลย เลี่ยมทองแล้วก็ภาวนาตามที่ท่านสั่งไว้ ก็ทำมาค้าขึ้น

    เราก็มาดูตามพระสูตรที่ว่า มีคนเอาแผ่นทองคำเปลวปิดพระก็มีอานิสงส์นี่ ขนาดปิดฐานส้วมยังมีอานิสงส์ตั้งเยอะ แต่นี่เราปิดพระพุทธรูป พระพุทธเจ้านะ จึงมีอานิสงส์มาก

    คนโบราณเขาฉลาดดีอยู่แล้วละ เราอย่าฉลาดกว่าก็แล้วกัน คือทำทำไม มีผลอย่างไร มีผลตามพระสูตรตามที่พระพุทธเจ้าตรัสนี่ ไม่ใช่คนมีกิเลสตรัส พระพุทธเจ้าตรัสว่ามีอานิสงส์ คนสมัยใหม่อาจจะรู้เกินไปซะหน่อย

    เลี่ยมทองนี่ทำให้สวยแล้วก็เป็นบุญด้วย

    (จากคอลัมน์ "ท่านเจ้าคุณสนทนา" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 465 เดือนธันวาคม 2562 หน้า 24-25)



    188906829_1914096542100209_7646967088826572369_n.jpg


    พระมหากัสสปถูกพระอินทร์หลอก

    ดร. ปริญญา ถามท่านเจ้าคุณฯว่า "หลวงพี่จำได้ไหม หลวงพ่อเคยเล่าเรื่องพระมหากัสสปถูกพระอินทร์หลอก"

    ท่านเจ้าคุณฯ ตอบว่า จำได้คำสองคำต้องเป็นเรื่อง เกริ่นมาหน่อยสิ

    ดร. ปริญญาบอกว่า "เอาคร่าวๆนะครับ คือว่าพระอินทร์เห็นเทวดาใหม่รัศมีกายผ่องใสยิ่งนัก ตัวเองรัศมีกายสู้ไม่ได้ ก็เลยเดือดร้อน พอรู้ว่าพระมหากัสสปจะออกจากนิโรธสมาบัติก็จะไปขอ

    ก็มีนางฟ้าบอก อย่าไปเลยเพราะว่าท่านไม่ให้หรอก ท่านจะให้คนจน พระอินทร์ก็บอกว่า ถ้าไปอย่างพวกเธอไปก็ไม่ได้สิ ต้องไปอย่างฉันไป หลวงพ่อท่านว่าอย่างนั้นนะ"

    ยกทรงถามว่า "ไปอย่างฉันไป ไปแบบไหน"

    ดร. ปริญญาบอกว่า "ก็ไปเป็นขอทานสิ ปลอมเป็นคนจน ปลอมเป็นคนเข็ญใจ เป็นทุกขตะ

    ทีนี้คำถามคืออย่างนี้ครับ คือว่าการถวายพระพุทธรูปนี้ทำให้มีรัศมีกายผ่องใส แต่ เอ ทำไมพระอินทร์ถึงได้ไปเอาอานิสงส์ถวายทานกับพระออกจากนิโรธสมาบัติ ให้รัศมีกายผ่องใส ทำไมจึงไม่ไปถวายพระพุทธรูปครับ"

    ท่านเจ้าคุณฯ บอกว่า อ๋อ ขอดูเงินนี่ก่อน

    ยกทรง (หัวเราะ) "อย่างน้อยๆก็ถ่วงเวลาไว้ก่อน"

    แล้วท่านเจ้าคุณฯ ตอบว่า คือพระที่ออกจากนิโรธสมาบัตินี่หายาก สมัยพระพุทธกาลนี่ พระที่เข้านิโรธสมาบัตินี่ เข้าแล้วนี่ใครจะฆ่า จะเอาปืนไปยิง จะเอาไฟเผา ก็ไม่ตาย มีในพุทธประวัติ คือว่า พระที่เข้านิโรธสมาบัติ 15 วันนี่ อย่างกับคนตายเลยนี่ เงียบไปเลย

    ทีนี้นางสามาวดีไปอาบน้ำแล้วไปผิงไฟ ไฟก็ไปลามเผาจนตัวดำเป็นตอตะโก ก็นึกว่าพระตาย เอาไฟสุมใหญ่เลย กลัวจะมีความผิด ก็ทำลายหลักฐาน

    ทีนี้อานิสงส์ก็คือว่าใครทำบุญกับท่านคนเดียว จะรวยในทันทีเลยนี่

    ยกทรงถามว่า "หมายความว่าทำเป็นคนแรกใช่ไหมครับ"

    ทำเป็นคนแรกและคนเดียวด้วยนะ เป็นมหาเศรษฐีในวันนั้น ทีนี้ที่ว่าพระอินทร์กับพระมหากัสสป เคยเห็นท่านพระมหากัสสปเข้านิโรธสมาบัติ เห็นแล้วว่ารัศมีกายยังแพ้ลูกน้องอยู่ ก็เหาะมาแปลงกายเป็นคนจน เมื่อพระมหากัสสปออกจากนิโรธสมาบัติ แล้วก็เข้าไปถวายทาน

    ยกทรงถามว่า "อีตอนเข้าไปถวายทานพระมหากัสสป ท่านรู้หรือไม่รู้ครับ"

    ท่านมหากัสสปท่านมีญาณสมาบัติ (เป็นพระอรหันต์) ปฏิสัมภิทาญาณ แต่ไม่ยักใช้(ญาณ) เลยไม่รู้

    ดร. ปริญญาเสริมว่า "พอตักข้าวใส่บาตร กลิ่นข้าวทิพย์ฟุ้งขึ้นมา ก็เสียท่าพระอินทร์ซะแล้ว"

    ดร. ปริญญาถามว่า "แล้วทำไมพระอินทร์ถึงไม่ไปถวายพระพุทธรูป ทำไมถึงมาเอาทานของพระออกจากนิโรธสมาบัติเพื่อให้รัศมีกายผ่องใสขึ้นครับ"

    ท่านเจ้าคุณฯ ตอบว่า เข้าใจว่านิโรธสมาบัตินี่ ทำบุญกับพระธรรมดานี่ไม่เท่ากับทำบุญกับพระที่ออกจากนิโรธสมบัติเป็นแสนๆเท่า เพราะความบริสุทธิ์และความที่ท่านออกจากนิโรธสมาบัตินี่

    ยกทรงบอกว่า "ตอนที่อาจารย์ด็อกเตอร์ถามน่าคิดนะ คือว่าพระอินทร์ต้องการรัศมี น่าจะถวายพระพุทธรูปถึงจะถูกต้องกับรัศมีสีแสง ใช่ไหม แต่บังเอิญสมัยนั้นการสร้างพระพุทธรูปยังไม่มีมั้ง"

    ดร. ปริญญาบอกว่า "อันนี้ก็ไม่จริงอีกเหมือนกัน มีแล้ว

    เพราะพระพุทธรูปองค์แรกของโลกนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศลสร้าง สร้างตอนที่พระพุทธเจ้าจะเสด็จไปโปรดพระพุทธมารดาบนดาวดึงส์ คิดถึงก็เลยให้ช่างแกะสลักรูปพระแก่นจันทร์ เป็นพระพุทธรูปองค์แรกของโลก"

    ยกทรงถามว่า "แล้วพระพุทธลักษณะนี่เหมือนไหม"

    ท่านเจ้าคุณฯ บอกว่า ท่านเขียนชื่อไว้ข้างล่างว่า "พระพุทธเจ้าสมเด็จพระสมณโคดม"ใครปั้นอะไรไม่เหมือนให้เขียนชื่อไว้

    ดร. ปริญญาบอกว่า "พระพุทธรูปองค์นี้ยังอยู่นะครับ

    อยู่ในเจดีย์ที่ "วัดโพธาราม วัดเจ็ดยอด" อยู่เชียงใหม่ ของจริง

    ผมก็เคยถามหลวงพ่อว่า พระองค์นี้ยังอยู่ไหมหรือปลวกกินไปหมดแล้ว"

    ยกทรงถามว่า "แล้วหลวงพ่อตอบยังไง"

    "ท่านตอบว่า ถ้าเขาโง่อย่างแกก็หมด"

    แสดงว่ายังอยู่ สงสัยจะต้องขุดเจดีย์วัดเจ็ดยอดซะละมั้ง (หัวเราะ)

    ยกทรงบอกว่า "มันจะลงไปข้างล่างซะก่อนล่ะสิ"

    ***ตรงนี้ก็เป็นความรู้ดีนะ เพราะแต่ก่อนก็ทราบมาว่า หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ไม่มีใครกล้าสร้างรูปหมือนพระพุทธเจ้า จึงสร้างแต่เจดีย์กัน เพราะถือกันว่าสร้างเจดีย์ก็เท่ากับสร้างพระพุทธรูป***

    (จากคอลัมภ์ "ท่านเจ้าคุณฯสนทนา" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 475 เดือนตุลาคม 2563 หน้า 8-10)






    วัฏจักรของชีวิต

    ท่านเจ้าคุณฯบอกว่า อันที่จริงโลกนี้กลับไปกลับมา คุยกันสมัยก่อนตอนที่หลวงพ่อมีชีวิตอยู่นะ

    (ขอสงวนชื่อ) ไปเกิดเป็นลูกอยู่ทุ่ง อยู่นู่นอะไรฉางๆนะ หนองฉาง เราไม่รู้หรอก ตอนกลางคืนท่านก็บอกว่า ท่านย่ามาบอก (ขอสงวนชื่อ) เป็นเด็กมาเกิดที่นี่คน คุณไปดูสิ ที่แขนนี่ ให้หลวงพ่อดูตอนเช้าเด็กจะมา ให้ดูที่แขน จะมีไฝอยู่ที่นี่ ไฝอยู่ตรงนี้ ตรงข้อพับ ถ้าว่ามีไฝอยู่ตรงนี้คุณต้องเชื่อนะว่า (ขอสงวนชื่อ) มาเกิด

    ทีนี้ท่านก็บอกพูดอย่างนี้ไม่ได้ เดี๋ยวคนอื่นเขาหาว่าเราบ้า ท่านก็บอก พ.ล.ล. เรียนที่โรงเรียนที่วัดน่ะนะ เป็นผู้หญิง ส่วนมากเวลาที่เขาจัดงานโรงเรียนอะไร จะเป็นหัวหน้าเขา จัดละครอะไรก็ช่าง มีหัวทางนี้ มีหัวพิเศษแปลกกว่าคนอื่นเขา รุ่นๆเดียวกัน เขาพิเศษในเรื่องจัดละคร จัดแสดงอะไรเขาจะเขียนบทเขียนอะไรยังไง เล่นกันเอง พวกกลอน พวกอะไร ก็เก่งกลอน (ขอสงวนชื่อ) เขาเก่งโคลงกลอนเยอะนี่

    ยกทรงบอกว่า แปลกนะ ตอนนั้นบารมีก็ดี ไม่น่าจะลงมาเป็นอิตถีลิงเลย (เป็นผู้หญิง)

    ท่านเจ้าคุณฯบอกว่า โลกนี้เป็นวัฏฏะนี่ มันกลับไปกลับมาอยู่อย่างนี้ คนเรานี่มาเกิดอย่าไป (น้อยใจ) ซึ่งบางทีมันเลือกมาแล้ว

    อย่างหลวงพ่อจะลงมาเกิดนี่ ไปฟังเทปอดีตรำลึก ก่อนมาท่านเลือกมาแล้วนี่ ท่านเล่าให้ฟังนะ ท่านดูมาแล้วว่าถ้าจะลงมาจะลงมาตระกูลไหนก็ได้ เพราะมาจากพรหมนี่ แล้วปรารถนาพุทธภูมินะ จะลงมาในตระกูลไหนก็ได้ แต่ว่าลงมาในตระกูลที่ไม่เป็นมิจฉาทิฐิ ข้อ 2 ง่ายกับการบำเพ็ญสมณธรรม โดยลงมาตระกูลที่ไม่รวยเกินไปและไม่จน พูดง่าย ๆพ่อแม่ไม่เป็นมิจฉาทิฐิ

    (จากคอลัมภ์ "ท่านเจ้าคุณฯสนทนา" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 475 เดือนตุลาคม 2563 หน้า 13-14)


    ต้นโพธิ์ที่ 3 ไร่ล้ม





    มีอยู่คราวหนึ่ง ที่ศาลา 3 ไร่ มีต้นโพธิ์ข้างศาลา 3 ไร่อยู่ต้นหนึ่ง หลวงพ่อมาสายลม กลับไปต้นโพธิ์ต้นนั้นหัก ล้มมาทับบ้างเล็กน้อย แต่ไม่เสียหายอะไรมาก

    พอกลับไปวัด ท่านก็อยู่ที่ห้องท่านน่ะนะ ท่านเล่าตอนฉันยา บอกว่า กลับมาเทวดามายืนก้มหน้าอยู่ที่ข้างกุฏิ บอกว่า บ้านที่ผมอาศัยพักพิงอยู่หักเสียแล้วครับหลวงพ่อ

    หลวงพ่อก็รู้ว่าต้นโพธิ์ที่ 3 ไร่หัก หลวงพ่อถามว่า มาอยู่กับฉันไหม หลวงพ่อชวนมาอยู่ที่กุฏิ วิมานมาแพะไว้ที่นี่

    เทวดาก็ดีใจน่ะนะ ว่าหลวงพ่อชวนให้มาอยู่ พอหลวงพ่ออนุญาตเขาก็ย้ายมาได้ เลย หลวงพ่อชวนอย่างนี้ก็มีศักดิ์ศรีมากแล้ว

    ยกทรงบอกว่า หลวงพ่อถนอมน้ำใจเทวดาทุกอย่าง ลูกวัดลุยลูกเดียว แหม หลวงพ่อรอบคอบทีเดียวนะ เมตตาแม้กระทั่งเทวดา


    (จากคอลัมภ์ "ท่านเจ้าคุณฯสนทนา" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 448 เดือนกรกฏาคม 2561 หน้า 17)

    เรื่อง สมาธิ


    "มีคำถามว่า สมาธิแบ่งออกได้หลายแบบ หลายวิธีการ แต่ละวิธีมีจุดมุ่งหมายที่แตกต่างกันออกไป บ้างก็ว่าให้ถือกำหนดลมหายใจ บ้างก็ว่าให้คิดถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่ง บ้างก็ว่าคือการมองเข้าไปในสิ่งที่เป็นอยู่จริง อยากทราบว่าแท้ที่จริงแล้ว สมาธิคืออะไร และมีข้อควรปฏิบัติอย่างไร และจะถือหลักใดในการปฏิบัติ?"

    เอ้อ สมาธิยกไปก่อน คุยถึงเรื่องกินก่อน คือคนกินข้าวนี่ กินข้าวก็อิ่มใช่ไหม กินก๋วยเตี๋ยวก็อิ่ม กินขนมปังก็อิ่ม กินกาแฟก็อิ่ม กินให้อิ่มเพื่อต้องการไม่ให้ร่างกายหิว ร่างกายมันหิวถึงกินใช่ไหม

    สมาธิก็เหมือนกัน ทำเพื่อต้องการให้จิตสงบ เพราะฉะนั้นจะจับภาพพระก็ดี จะภาวนา นะมะ พะธะ ก็ดี จะรู้ลมหายใจเข้าออกก็ดี เป็นอุบายอย่างหนึ่งให้จิตสงบ ฉะนั้น คนทุกคนนี่จริตไม่เหมือนกัน คือนิสัยของคนไม่เหมือนกัน บางคนก็ชอบสีเขียว บางคนก็ชอบสีแดง ใครพอใจสีไหนก็เอาสีนั้น ทีนี้การภาวนา ใครชอบอย่างใดก็เอาอย่างนั้น

    พระพุทธเจ้าจึงสอนกับคนทุกคนที่มีจริตทุกจริตได้หมด ฉะนั้นถึงแยกแยะการภาวนาให้ตรงกับนิสัยกับจริตของคน ภาวนาแบบไหนก็ไม่ผิด ขอให้จิตเป็นสมาธิก็แล้วกัน ถ้าภาวนาแบบไหนถ้าไม่มีสมาธิก็แสดงว่าผิดแล้ว ผิดทาง

    เพราะสมาธินี่มีแค่ขณิกสมาธิ นี่จิตก็เริ่มสุขแล้ว ถ้าภาวนาไปจิตฟุ้งซ่านต้องหยุดหรือเครียดต้องหยุด แสดงว่าผิดทาง แค่เข้าไปถึงประตูนี่มันยังไม่เข้าทาง เข้าไปชิมหน่อยเดียวมันยังไม่สุข นี่แสดงว่าผิดแล้ว ผิดทาง ต้องหยุด กลับมาตั้งหลักใหม

    อย่างอานาปานุสสติ อย่างนี้เป็นต้น อานาปาฯ คือรู้ลมหายใจเข้าออก รู้ลมหายใจนะ แต่เรากลัวมันจะไม่รู้ เอ๊ะ มันไม่รู้สักทีวะ สูดซะแรงๆ บางทีก็เกร็งลม คือรินลมน่ะ กลัวลมจะออกไม่เป็นธรรมชาติ รินออกรินเข้า หนักเข้าเหนื่อย เหนื่อยก็เครียด แสดงว่าผิดแล้ว พระพุทธเจ้าให้รู้ลมหายใจเข้าออกเฉยๆ หรือภาวนาควบไปด้วย

    แต่คนเราถ้าฝึกใหม่ๆ คล้ายกับมันจะแน่นหน้าอกไปหมด ตึงประสาทไปหมด แสดงว่าผิด ค่อยๆรู้เข้ารู้ออกก่อน หยาบสุดต้องรู้เข้ารู้ออกเฉยๆก่อน ถ้าต่อไปถึงจะรู้ อ้อ มันเข้าไปถึงไหนแล้ว มันออกไปถึงไหนแล้ว ต่อไปมันจะรู้ มันเข้าไปถึงนั่นมันละเอียด อ้อ เห็นสายลมแล้ว จิตก็จะเริ่มเบา จิตก็จะสุขขึ้น สุขแสดงว่าถูกทางแล้ว ถ้าเครียดต้องหยุด

    การปฏิบัติธรรมนี่จะยากอยู่ช่วงสมาธิต้นๆเท่านั้นเอง ฉะนั้นที่ถามว่า ภาวนาอย่างไร อะไรอย่างไร คือว่าให้พอกับจริตของคน ใครชอบอย่างไรให้เอาอย่างนั้นนะ หลวงพ่อสอนนะ แต่สำนักบางสำนักอื่นเขาสอนให้ภาวนาพุทโธก็ดี หรือภาวนาอย่างใดอย่างหนึ่งก็ดี ก็ภาวนาก็ไม่ผิด แต่ว่ามันเหมือนกับอะไรล่ะ อย่างวัดท่าซุง หรือหลวงพ่อของเรานี่มีแกง 40 หม้อ เลือกกินเอา แต่วัดอื่นมีแกงหม้อเดียว เราจะเลือกกินเอาร้านไหนก็แล้วแต่ กินอิ่มเหมือนกันนี่ แต่เราไปเลือกเอา กรรมฐานคือกรรมฐาน 40 ข้อ ชอบใจตัวไหนก็เอา

    “เอาเป็นว่าตอบข้อหนึ่ง ก็คือ สมาธิ คือ อุบายเครื่องสงบใจ ทำใจให้สงบ ควรจะปฏิบัติอย่างไร ก็บอกว่ากรรมฐาน 40 น่ะ ไปเลือกเอาเถอะ ทีนี้เขาถามว่า แล้วจะยึดหลักใดในการปฏิบัติ หรือว่าต้องให้ไปอ่านกรรมฐาน 40 เสียก่อน แล้วค่อยมาคุยกันใหม่”

    คือพื้นฐานจริงๆแล้วนี่ท่านให้เอาอานาปาฯเป็นหลักไว้ อานาปาฯนี่เป็นต้น ตัวนี้ทำให้สงบง่ายขึ้น ถ้าได้ตัวนี้แล้วตัวอื่นจะง่ายขึ้น อานาปาฯ นี่เป็นกรรมฐานที่ละเอียด แล้วก็เป็นหลักใหญ่ ถ้าจับกสิณแล้วอานาปาฯไม่ทรง ก็จะทรงตัวยาก ถ้าได้อานาปาฯเสียแล้ว ตัวอื่นจะง่ายหมด

    ไอ้ตัวอานาปาฯมันตัวลบคลื่น จะจับกสิณสีแดงก็ต้องมาลงที่ศูนย์อานาปาฯนี่ จะเปลี่ยนเป็นสีเขียว สีอะไรได้ อานาปาฯคล่องเสียมันก็เปลี่ยนง่าย อานาปาฯคือ ลบอารมณ์ฟุ้งซ่าน

    “ทีนี้พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านเคยปรารภว่า ในกรรมฐาน 40 หรือว่า ถ้ารวมมหาสติปัฏฐานสูตรเป็น 41 นี่ เป็นกรรมฐานพิจารณาเสียตั้ง 29 เป็นกรรมฐานภาวนาแค่ 11 คือ อานาปาฯ กับกสิณ 10 เป็นกรรมฐานภาวนา

    ในขณะที่อื่นๆนี่ ไม่ว่าจะเป็นอนุสสติก็ดี จะเป็นพรหมวิหาร 4 จะเป็นอะไรก็ตามแต่เถิด เป็นกรรมฐานพิจารณา

    ทีนี้แม้แต่กรรมฐานพิจารณาก็ต้องตั้งต้นที่อานาปาฯ ใช่ไหมครับ? หรือว่าอย่างไรครับ?”

    ใช่ๆ ท่านบอกว่าถ้าไม่มีอานาปาฯ อย่างอื่นไม่ทรงตัว

    “อย่างเช่นว่าจะเอาตัวเมตตาเป็นบทกรรมฐานอย่างนี้ จะพิจารณาเมตตาอย่างเดียวไม่ได้ ต้องตั้งต้นที่อานาปาฯเสียก่อน พอกำลังใจนิ่งดีแล้ว ทีนี้ก็จะพิจารณาได้ทะลุปรุโปร่งใช่ไหมครับ?”

    แต่บางอย่างท่านก็ให้คิดพิจารณาเสียก่อน พิจารณาจนจิตเย็นแล้ว อ่อนดีแล้ว อย่างเช่น หลวงปู่ปานสอนให้หลวงพ่อใช่ไหม หลวงพ่อชอบอิทธิฤทธิ์นี่ ชอบฤทธิ์ชอบเดช โอ๊ย...แกจะให้มีอภิญญาทรงตัวแกต้องพิจารณาเสียก่อนว่า เออ...ร่างกายนี่มันไม่เที่ยงนะ มันต้องตายนะ พิจารณาให้จิตยอมรับ หลวงพ่อก็เออ... จะให้มีฤทธิ์มีเดชใช่ไหม ก็ต้องพิจารณาตรงนี้ ที่แท้หลวงปู่ปานสอนวิปัสสนาญาณให้เสียจนชุ่มหมดแล้ว พอสมาธิทรงตัวมันก็ง่าย หลวงปู่ปานฉลาดกว่าหลวงพ่อ

    “เอ๊ะ แต่ได้ข่าวว่าท่านพระครูปลัดฯ ท่านเจ้าอาวาสนี่ท่านก็ชอบฤทธิ์ชอบเดชอยู่ไม่ใช่หรือครับ?”

    ชอบ...โอ้โห ชอบจังเลย ชอบจนเขี้ยวเหี้ยนหมดเลย ไม่ได้สักอย่าง มันเป็นบุพกรรมต้องชอบสุกขวิปัสสโก คือตัวเองมันเกี่ยวกับกลัวจะตายเสียก่อน กลัวจะไม่ได้อะไรสักอย่างเลย คือมันเป็นคนคิดมากอยู่อย่างว่า ไอ้ที่เรารู้มันจริงหรือเปล่า บางทีมันก็จริงมั่ง บางทีก็ไม่จริงมั่ง เราก็ เอ๊ มันจะเสียเวลาเสียแล้ว

    “ชักจะมีมรณานุสสติ ว่าอย่างนั้นเถอะ”

    ใช่ กลัวจะเสียเวลาเกินไป สอง กลัวเราจะเสียพระเสียก่อน เลยต้องตัดออกไปให้หมด


    (จากหนังสือที่ระลึกงานกตัญญูกตเวทิตามงคล พระมหาเถระประชานาถ องค์ที่สองของวัดท่าซุง หน้า 128-131)



    เรื่อง ปวารณาออกพรรษา

    บางคนก็ยังไม่รู้ว่าพระนี่เขาออกพรรษากันยังไง เพราะถ้าไม่บวชบางทีก็ไม่รู้ใช่ไหม

    พระท่านออกพรรษานี่เขาเรียกว่า "ปวารณาออกพรรษา"

    แต่จริงๆแล้วนี่ การออกพรรษาพระเขาปวารณาตัวกัน

    ตามสมัยพุทธกาล พระนี่เข้าพรรษาจะอยู่รวมกัน ออกพรรษาแล้วจะแยกกันไป ก็บอกว่า ถ้าเห็นผมอยู่ที่ไหน อาวุโสมากกว่าก็ดี อ่อนอาวุโสก็ดี ถ้าเห็นผมอยู่ที่ไหนทำตัวไม่เหมาะสมแล้ว ขอให้ท่านช่วยตักเตือนผมด้วย เพราะเราต่างคนต่างจากครูบาอาจารย์ไปหาที่วิเวก หาที่สงบสงัด ถ้าทำตัวไม่เหมาะสมขอให้ช่วยตักเตือนซึ่งกันและกัน เขาเรียกว่าปวารณา ปวารณาตัวกัน ตักเตือนกันได้

    ยกทรงเสริมว่า "ทีนี้เราจะเอาคำว่าปวารณามาใช้กับครอบครัวได้หรือเปล่าครับ เมียตักเตือนผัว ผัวตักเตือนเมีย ต่างคนต่างตักเตือนกันน่ะ"

    ดร.ปริญญาบอกว่า "ไอ้เมียตักเตือนผัวนี่มันมีมานานแล้วนะ แต่ไอ้ผัวตักเตือนเมียนี่ยังไม่เคยเห็นนะ" (หัวเราะ)

    ความจริงพระวินัยท่านละเอียดอ่อน อันที่จริงพระเขาปกครองกันด้วยพระวินัย ไม่ใช่ปกครองกันด้วยยศถาบรรดาศักดิ์ ถือพรรษาถือระเบียบวินัยเป็นที่ตั้ง

    ถ้าอย่างพระผู้ใหญ่นั่งอยู่ เข้าไปถึงก็ไปปิดผัดลมเป๊ะๆๆ ไม่ได้ ต้องขออนุญาตก่อน ตามจริงๆนะ ตามพระวินัยเขาจริงๆ แต่บางทีก็รูดพระวินัยเสียก็เยอะ

    มีพระท่านมาเล่าให้ฟังบอกว่า สมัยหลวงพ่อยังอยู่ก็ไปกราบเรียนถามท่านว่า บางทีนี่มันคิดอกุศล คิดด่าครูบาอาจารย์ในใจ อยู่ใกล้ก็เร่าร้อน ก็ไปถามหลวงพ่อ พอจะกราบพระก็ด่าพระพุทธเจ้า ด่าในจิต ห้ามก็ไม่อยู่ เจอครูบาอาจารย์ก็ด่าในจิตอยู่เรื่อย ไปกราบเรียนถามกลัวจะเป็นบาป เป็นโทษหนัก

    หลวงพ่อก็บอกว่ากิเลสมารน่ะ ทีแรกมันเอากายก่อน ถ้ากายจะให้ด่ามันไม่ด่า กายให้ฆ่ามันไม่ฆ่า เพราะว่าจิตมันแข็งอยู่ ทีนี้กายมันเอาไม่ไหวก็เอาใจละ ไปคุมใจ มันสอนใจ บังคับจิต ทีนี้เราก็ดิ้นสิ จิตเราไม่อยากจะทำชั่ว มันดิ้น อึดอัด กลัวจะบาป

    ท่านบอกถ้ามันละเอียดขึ้นมันจะไม่เอาตัวนี้ ไปเอาจิต จิตมันละเอียดขึ้นเพราะก่อนนี้ถ้าบังคับให้กายฆ่าสัตว์ตัดชีวิตมันก็เอาแล้วใช่ไหม ทำ แต่ตอนนี้มันไม่ทำแล้ว มันก็ไปเอาจิต ตัวนี้ต้องถือว่ามันเป็นกิเลสมาร

    ก็ต้องภาวนาไปเรื่อย เดี๋ยวมันก็หาย ต้องมีความอดทนพอ เราอย่าไปทำตามมันเท่านั้นเอง

    ถ้าจิตละเอียดมันจะเอา พระนี่ถ้าถึงจุดนี้ละต้องระวัง ต้องคุยกัน ถ้ามันเอาจริงมันกลุ้มนี่ สึกแล้วมันก็หาย เพราะกิเลสทางโลกเข้ามาคุมเต็มที่แล้วนี่ ไปอยู่เป็นพวกกันเสียแล้ว

    (จากคอลัมภ์ "จากคำบอกเล่า" ธัมมวิโมกข์ เล่มที่ 177 เดือนธันวาคม 2538 หน้า 89-90)


    ล้างส้วมถูกหวย

    มีอยู่กลุ่มหนึ่งเฉพาะเลยคณะนี้ ไปจากดอนเมือง ไปล้างส้วมโดยเฉพาะ ไปเช้าเย็นกลับ ไปล้างส้วม 20-30 ห้องก็กลับ

    ทีนี้ก็เกิดสามีของแกไปเมืองจีน ล้างห้องน้ำได้เท่าไร โทรศัพท์มาถาม เท่านั้นเท่านี้ แทงหวยหรือเปล่า หวยมันออกที่แกล้างส้วมมา อย่าง 20 ห้องนี่มันก็ออก 20 ก็ถูก มีนายตำรวจอยู่คนล้างส้วมก็ถูกหวย


    (จากคอลัมภ์ "จากคำบอกเล่า" ธัมมวิโมกข์ เล่มที่ 177 เดือนธันวาคม 2538 หน้า 95)

    เรื่องท่องคาถา


    ท่านเจ้าคุณฯ : ได้ยินคนคุยกันแว่วๆ ว่าจะสอบแล้วกลัวจังเลย กลัวสอบไม่ได้

    ท่านก็เลยบอกว่า ใครบอกนะ กลัวสอบไม่ได้ ท่องคาถา สหัสสเนตโต สิ (สหัสสเนตโต เทวินโท ทิพพจักขุง วิโสทายิ)

    อันที่จริงยังไม่เห็นใครที่จะกล้าพิสูจน์เหมือนหลวงพ่อสักที หลวงพ่อท่านลองหมด ไอ้ที่คาถาเล่นโปท่านก็ลองนะ แต่ท่านไม่บอกเราเท่านั้น ท่านลองแทงโป ทั้ง โปตาย โปเป็น นั่นแหละ และน่าจะรู้เรื่องคุณไสยคุณคน อย่างนี้ท่านน่าจะรู้ แต่ท่านไม่บอก

    ที่รู้แล้วบอกก็มีคาถาป้องกันเฉยๆ ท่านให้เราท่องป้องกัน ขนาดคนมานั่งทำที่วัดท่านยังไม่บอกเราเลยนี่ พอไปแล้วถึงบอกเขาไปแล้ว มาบอก "มันมาทำตั้ง 3 วันแล้ว ข้าไม่บอกพวกแกหรอก กลัวพวกแกจะเป็นพระเครื่อง"

    ยกทรง : พระเครื่องหมายความว่าอย่างไรครับ

    ท่านเจ้าคุณฯ : มันออกฤทธิ์ได้น่ะสิ (วิ่งได้)

    เทวดาก็มาถามหลวงพ่อนะ บอกท่านครับจะเอาขนาดไหนดีครับ จะเอาให้กระอัก
    เลือดหรือเอาให้คลานเลย หลวงพ่อบอก "ทำให้ไม่มีผลก็แล้วกัน เอาแค่นี้"

    ไอ้นี่มันไปแล้วเราจะพิสูจน์ยังไงล่ะ ท่านบอก "เดี๋ยวแกเลิกปลุกเสกแล้วไปดูที่ธรรมสถิตย์นะ จะมีห้องที่ 8 มันจะแกะกระเบื้องไป 3 แผ่น"

    ศาลาธรรมสถิตย์หลวงพ่อไม่เคยไปนี่ ไม่เคยไปดูหรอก หลังห้องพักฆราวาส พอเราไปดูก็ตรงตามนั้นจริงๆ แกะกระเบื้องไป 3 แผ่น

    ยกทรง : กระเบื้องแกะไป 3 แผ่นเอาไปทำอะไรครับ

    ท่านเจ้าคุณฯ : คงเอาไปทำที่บ้านอีก น่ากลัวจะไม่ขลังหรือไงไม่รู้ รุ่นเรานี่ถ้าเขาทำมาตายเปล่า ไม่รู้เรื่องอะไรเลย



    (จากคอลัมน์ "ท่านเจ้าคุณสนทนา" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 461 เดือนสิงหาคม 2562 หน้า 15)



    วัดท่าซุงมีส้วมมาก

    โยมถามว่า "ทำไมที่วัดท่าซุงถึงสร้างส้วมมาก"

    ท่านเจ้าคุณฯตอบว่า สมัยก่อนหลวงพ่อท่านเป็นนักเทศน์ เกิดไปอั้นขี้อั้นเยี่ยวที่
    ไหนมาก็ไม่รู้ ท่านบอก โอ้โห เข็ดเลย หาส้วมไม่ได้ ท้องก็จะถ่าย

    ท่านบอกไปสร้างวัดที่ไหนจะต้องสร้างส้วมให้มันสบายเสียที

    (ฉะนั้นวัดท่าซุง) ไปที่ไหนก็มีทุกจุด (ด้วยประการ ฉะนี้)



    (จากคอลัมภ์ "ท่านเจ้าคุณฯสนทนา" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 470 เดือนพฤษภาคม 2563 หน้า 14)







     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กรกฎาคม 2024
  5. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    111
    ค่าพลัง:
    +225,705
    (((((41944373404_n.jpg

    เสริมการสะเดาะเคราะห์
    (ตามวิธีหลวงพ่อแนะนำในคลิปเปิดในพิธีสะเดาะเคราะห์ 13 เม.ย. 67)


    ผลของทาน ผลของศีล ผลของการเจริญภาวนา ผลของการสงเคราะห์นักเรียน ผลของการบวชเณร ผลของการบวชชี

    ซึ่งผลของทานจะเป็นปัจจัยให้เกิดความสุขมีทรัพย์มาก

    ผลของศีลจะเกิดให้มีความสุขความเยือกเย็นใจ

    ผลของการเจริญภาวนาจะทำให้สุขใจมากมีปัญญา

    และผลของการสงเคราะห์นักเรียนนักศึกษาจะได้ปัญญาบารมี

    ผลของการบวชเณรองค์หนึ่ง เราได้สวรรค์กัปหนึ่ง ถ้าบวช 100 องค์เราก็ได้สวรรค์ 100 กัป ผลของบวชเณรจะมีอายุบนสวรรค์หรือพรหมโลกยืนนาน

    ผลของการบวชชีกรรมบถ 10 นี่มีผล 3 อย่าง คือ ต้องปฏิบัติ กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ไม่เหมือนศีล 8 หรือศีล 5 ละเอียดกว่า

    ด้านกายกรรมของเขาจะเป็นปัจจัยให้เรามีร่างกายมีความสุข ในชาติหน้าสวยสดงดงาม ด้านวจีกรรมจะเป็นเหตุให้มีวาจาเป็นทิพย์พูดอะไรมีคนชอบฟัง
    ด้านมโนกรรม จะทำให้จิตใจบุคคลทั้งหลายมีกำลังใจเยือกเย็น

    ฉะนั้นการบวชเณร บวชชีมีผลร่วมกัน 4 ประการ คือ

    1. มีอายุยืนนานบนสวรรค์
    2. รูปร่างหน้าตาสวย
    3. วาจาเป็นทิพย์
    4. ใจเป็นสุข

    ต่อไปนี้ขอให้ทุกคนสมาทานศีล

    หลังจากสมาทานศีลแล้วหลวงพ่อได้นำญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายสมาทานพระกรรมฐานและเจริญสมาธิประมาณสัก 10 นาที เมื่อหมดเวลาเจริญสมาธิหลวงพ่อได้เมตตาเล่าให้บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายฟังว่า

    "ขณะที่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทนั่งหลับตาภาวนาอยู่ ตอนนั้นก็มีเทวดาชั้นจาตุมหาราช แต่งตัวชุดสีแดงๆ ชุดสีแดงๆนี่คุมเคราะห์กรรม เคราะห์กรรมต่างๆที่พึงมีเทวดาชุดนี้คุม ท่านมาบอกว่าที่นั่งอยู่ที่นี้มีอยู่ 8 คนที่ทำเฉพาะเท่านี้นะช่วยกันไม่ได้ นอกนั้นช่วยได้หมด

    อีก 8 คนขอให้ทำแบบนี้คือ หนึ่งใช้ไก่หนึ่งชิ้นแต่ห้ามไปฆ่าไก่ที่บ้านหรือที่วัดนะ ห้ามฆ่าไก่นะโยมนะ เอาไก่หนึ่งชิ้นจะเป็นชิ้นเล็กชิ้นโตไม่สำคัญ เอาขาสักขาหนึ่งไปซื้อเขามาที่สุกแล้ว แล้วก็มาใช้ธูป 3 ดอกแล้วก็เทียน 3 เล่ม บูชาพระ

    บูชาพระเสร็จถือว่าเคราะห์กรรมใดๆ ที่พึงมีขอทำบุญถวายทานกับบรรดาพระสงฆ์ด้วยไก่ชิ้นนี้ และขอให้เจ้ากรรมนายเวรขอให้อโหสิกรรมด้วย

    ก็ถามท่านว่า คน 8 คนคือใคร ท่านบอกเหมือนกันโยม


    อาตมาก็ไม่ขอบอก ขอปิดไว้ก่อน ถามว่าบังเอิญคนอื่นที่ไม่มีเคราะห์กรรมแบบนั้นจะทำบ้างจะมีผลอย่างไรบ้าง เพราะของราคาไม่แพง

    ท่านบอกคนอื่นที่ไม่มีเคราะห์กรรมอย่างนั้นถ้าทำบ้าง จะมีการคล่องตัวยิ่งขึ้นหมายความว่าโชดดีมากขึ้น

    ทุกคนทำได้นะ คือทำเผื่อไก่ ชิ้นไม่โตนักจะเป็นไก่ย่างก็ได้ เป็นขาก็ได้ แล้วก็เทียนเล่มเล็กๆ 3 เล่ม ธูป 3 ดอก จุดบูชาพระเสียก่อน แล้วก็บอกว่าขอทำไก่นี้หนึ่งชิ้น ถวายแก่พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ขอเจ้ากรรมนายเวรโปรดโมทนาด้วยแล้วก็อภัยให้ด้วย อโหสิกรรมให้ด้วย

    หลังจากนั้นก็เอาไก่ไปถวายที่วัด หรือว่าจะทำตอนเช้ามืดเวลาเช้าพระบิณฑบาตก็ใส่บาตรพร้อมกับพระมาก็ได้นะ

    ตอนที่จะเลิกพอดีท่านผกาพรหมมาองค์นี้ใหญ่มาก แต่งตัวขาวแพรวพราวเป็นระยับ ท่านผกาพรหมท่านมา ท่านบอกว่า รอก่อนครับ เพียงเท่านั้นยังไม่พอ มีเรื่องหนึ่งที่ผมหนักใจ เพราะงานนี้ผมก็ต้องรับรองด้วย ท่านบอกว่าโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เคยเอาของสงฆ์ไป มีไหมของในวัดมันก็มีสองอย่าง ถ้าเป็นตันไม้ดอก ต้นไม้ผล หรือต้นไม้ผักหญ้ากิน

    ถ้าคนปลูกยังอยู่ ขอกับคนปลูกนี่ไม่ถือว่าเป็นของสงฆ์ แต่ว่าพระที่ปลูกสึกไปแล้วก็ดี ตายไปแล้วก็ตาม ตกเป็นของสงฆ์ เป็นอย่างนี้จะขัดข้องต่อการสะเดาะเคราะห์


    ท่านบอกว่าคนที่เคยเอาของสงฆ์ไป หรือเคยบุกรุกในที่ของสงฆ์ก็ตาม ชำระหนี้สงฆ์เสีย ก็ถามท่านว่าจะชำระหนี้สงฆ์ยังไง

    ท่านบอกเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ตั้งใจชำระหนี้สงฆ์กันเดือนละบาทจะไปให้วัดไหนก็ได้ จะเก็บไว้ก่อนก็ได้ เดือนหนึ่งใส่กระป๋องไว้หนึ่งบาทตั้งใจชำระหนี้สงฆ์ หลายๆเดือนจนครบหนึ่งปีเข้าไปถวายวัดใดวัดหนึ่งก็ได้ แล้วบอกพระว่าเงินจำนวนนี้ผมขอชำระหนี้สงฆ์ เอาเท่านี้นะ ถ้าเพียงเท่านี้ท่านช่วยสะเดาะเคราะห์ได้"

    แล้วหลวงพ่อได้เมตตาเล่าให้ฟังนิดหนึ่งว่า

    "การสะเดาะเคราะห์คราวนี้มีท่านผกาพรหมเป็นเจ้าภาพ ท่านคุมงานนะเมื่อกี้ขณะที่พระให้พร อาตมาก็บอกว่าในฐานะที่ท่านผกาพรหมเป็นเจ้าภาพใหญ่คุมงาน ถ้าบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทมีอารมณ์ขัดข้องใดๆให้บอกท่านผกาพรหมช่วยเหลือได้ไหม

    ท่านบอกว่าได้เหมือนกันแต่ต้องบอกท่านท้าวเวสสุวัณด้วย

    ท้าวเวสสุวัณท่านก็บอกว่า ได้ครับ

    ก็เป็นอันว่าถ้าบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทขัดข้องใดๆเกิดขึ้น และต้องการการคล่องตัว ก็นึกถึงพระพุทธเจ้าก่อน พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์เสร็จ แล้วก็บอกท่านท้าวผกาพรหมและท่านท้าวเวสสุวัณ ช่วยแล้วกันนะ"


    (คัดลอกบางส่วนจาก ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 100 เดือนมิถุนายน 2532 หน้า 66-68)


    ((((56032_n.jpg
     
  6. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    111
    ค่าพลัง:
    +225,705
    273708647_484642326631895_2436281504599011309_n.jpg

    ขอนำเรื่องด้วยคำกลอนว่า

    เมื่อชาติที่แล้วพี่นั่งอยู่ข้างขวา
    ส่วนน้องยาก็นั่งอยู่ข้างซ้าย
    ปรนนิบัติพระพุทธองค์ให้เย็นสบาย
    ชาตินี้ก็จึงได้มาพบกัน (อีก)


    ขออธิบายเพิ่มเติมว่า

    พี่ชาย คือ พระอนันต์ พทธญาโณ (ชื่อในสมัยบวชใหม่ๆ)

    น้องชาย คือข้าพเจ้า พระอาจินต์ ธมมจิตโต (ชื่อข้าพเจ้าในสมัยบวชใหม่ๆ)

    พี่นั่งอยู่ข้างขวา คือ แม่สุ (ชื่อในสมัยนั้น)

    ส่วนน้องยาก็นั่งอยู่ข้างช้าย คือ หนูต้อย (ชื่อในสมัยนั้น)

    แล้วสมัยนั้นคือสมัยไหน ก็สมัยที่พระเจ้าปเสนทิโกศลกับท่านแม่มัลลิกาเทวี ถวายอสทิสทานแด่พระพุทธเจ้า และพระสงฆ์ 500 องค์ ด้วยโภชนาหารอันประณีต ได้ทำทานแข่งกับชาวบ้าน ตอนแรกๆ ชาวบ้านทำทานมากกว่า พระเจ้าปเสนทิโกศลพระองค์รู้สึกไม่สบายพระทัย ทรงครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรจึงจะทำทานให้มากกว่าพวกชาวบ้าน คิดไม่ตก พระพักตร์เศร้าหมอง

    ท่านแม่มัลลิกาเทวีก็ทูลถาม เมื่อทราบสาเหตุแล้วจึงแนะนำว่า ให้มีเจ้าหญิงคอยปรนนิบัติพระพุทธเจ้าและพระสาวก 500 องค์ องค์ละ 2 คน และมีช้างคอยถือฉัตรกางกั้นองค์ละ 1 เชือก เพราะทั้งสองอย่างนี้ชาวบ้านไม่มี พระเจ้าปเสนทิโกศลก็ทรงพอพระทัย เห็นชอบกับความคิดนี้

    ฉะนั้น พวกเจ้าหญิงทั้งหลาย จึงต้องทำหน้าที่ดังกล่าว ก็มีเจ้าหญิงที่ชื่อเล่นว่า แม่สุ และ หนูต้อยนี่แหละ ที่ได้ปรนนิบัติพระพุทธเจ้า จะถือว่าบุญพาวาสนาส่งก็ใด้ ได้รับหน้าที่ตรงนี้

    ชาตินี้จึงได้มาพบกัน (อีก) ที่วัดท่าซุง แต่กว่าจะพบกันได้ ก็หลังจากที่ได้ลงมาจากสวรรค์ผ่านไปแล้ว ของท่านเจ้าคุณฯ 25 ปี ของข้าพเจ้า 29 ปี (เพราะบวชเมื่อปี พ.ศ. 2529)

    มีเรื่องตลกที่ท่านเจ้าคุณฯ เล่าให้ฟังว่า เห็นพระเดชพระคุณหลวงพ่อลงมาแล้ว เราก็เลยรีบลงบ้างมองดูข้างล่างว่าจะลงไปเกิดที่ไหนดี ก็แลเห็นยอดแหลมๆ เยอะแยะ ก็คิดกว่าเป็นปราสาทราชวัง ก็จึงตัดสินใจลงที่อำเภอชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์ แต่ลงมาแล้ว ได้ลืมตมาดูโลกแล้วจึงเห็นว่าที่ยอดแหลมนั้นเป็นกองฟางนั่นเอง เลยต้องช่วยพ่อแม่ทำนาอยู่หลายปี จนกระทั่งบวชก็ได้มาอยู่กับพระเดชพระคุณหลวงพ่อที่วัดท่าซุง


    ท่านเล่าให้ฟังอย่างนี้แล้วท่านก็ขำตัวเอง แต่ไม่รู้ว่า ท่านเจ้าคุณฯ ทราบหรือยัง ว่าที่เห็นเป็นยอดแหลมเหมือปราสาทราชวังน่ะเห็นถูกแล้ว เพราะที่วัดท่าชุง มีมณฑป และวิหารยอดแหลมตั้งหลายยอด

    ส่วนน้องชาย เห็นพี่ชายลงแล้ว หาที่ลงอยู่นาน ก็เลยต้องเกิดห่างกัน อยู่ที่คลองบ้านธาตุ อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี ไม่ได้มีอาชีพทำนา แต่ช่วยยายกับน้าทำอิฐมอญเผาส่งขาย อยู่จนกระทั่งโต และได้มาเข้าโรงเรียนเตรียมทหารในกรุงเทพฯ ตอนนี้มีงานไม่ต่างกันเท่าไหร่ พี่ชายแบกไถ น้องชายแบกปืน มามีอาชีพเดียวกันก็ตอนมาบวชอยู่ที่วัดท่าซุงกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อนี่แหละ เคยใกล้กันแล้ว ก็ไม่แคล้วกันอีก

    แต่ว่า อนิจจา

    ตอนนี้พี่ทิ้งร่างกายไปเสียแล้ว
    ส่วนน้องแก้วโดดเดี่ยวอาลัยหา
    ไม่มีวันที่จะเห็นพี่ได้กลับมา
    สู่ชีวิตชาวนาอีกต่อไป

    ขอโมทนาเป็นอย่างสูง พี่ไปสบายก่อนเถอะ

    พี่ไปแล้วก็อย่าได้ทิ้งพี่น้อง ประกับประคองไปนิพพานด้วยกันหนา

    ขอพี่จงส่งพลังมา เพื่อช่วยงานพระศาสนาทดแทนคุณ
    (คุณของพระพุทธเจ้าและหลวงพ่ออันหาประมาณมิได้)



    ในงานพระราชทานเพลิงศพท่านจ้าคุณพระราชภาวนาโกศล จัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 9 กุมภาพันธ์ และวันที่ 10 กุมภาพันธ์ จัดพิธีพระราชทานเพลิง พวกพี่ๆน้องๆ มีความตั้งใจจัดงานนี้เพื่อพี่ด้วยความตั้งใจพิธีพิถันและประณีตให้สมกับที่พี่ทำงานบูรณะ ปรับปรุง ก่อสร้าง อาคารสถานที่ที่วัดท่าซุงด้วยความประณีตสวยงาม สมัยที่มีชีวิตเป็นเจ้าอาวาสวัดท่าซุงอยู่


    เมื่อพระเดชพระคุณหลวงพ่อย้ายที่อยู่ ไปพักที่ตึกกลางน้ำเมื่อปี 2526 ท่านเจ้าคุณฯ ก็ติดตามไปรับใช้หลวงพ่อที่ตึกกลางน้ำตั้งแต่นั้น ฉะนั้นจึงได้ฟังเรื่องอะไรต่ออะไรมาเยอะมาก

    แต่ตอนท่านมารับสังฆทานที่บ้านสายลม เมื่อได้เป็นเจ้าอาวาสใหม่ๆ มีคำสนทนาตอนหนึ่งท่านบอกว่า

    ..เราเสียตั้งแต่ตันมาจุดหนึ่ง คือว่าเราผิดพลาดอยู่ตอนหนึ่ง ตอนอยู่กับท่านนี่ คือเราไม่ได้หวังจะมาคุยอะไรให้ใครฟังอย่างนี้ แต่ว่าเราเข้าใจว่าหลวงพ่ออยู่ 120 ปีนี่ ไม่ต้องไปคุยหรอก ฟังหลวงพ่อคุยแล้วไม่ต้องไปสนใจอะไรหรอก คิดอยู่ของเราอย่างนี้แหละ เราตายก่อนหลวงพ่อไม่ต้องไปจดไปจำอะไรหรอก เราก็ทิ้งไปเลยเรื่องอย่างนี้ คือไม่คิดจริงๆหลวงพ่อจะเล่าอะไรเราก็ฟังแต่เราก็ไม่ได้จดไว้ มันก็ลืมไปเยอะ

    เพราะตอนเย็นๆ หลวงพ่อฉันยานี่ท่านจะเล่า จะหมาเห่าหมาหอนท่านก็เล่า ใครมาใครไป มาว่าอะไรต่ออะไร

    ส่วนมากจะคุยเรื่องอาหาร วันนี้จะสั่งอาหารอะไร พรุ่งนี้จะสั่งอาหารอะไร พอเล่าเรื่องอาหารเราก็กลืนน้ำลาย

    หลวงพ่อบอก ไอ้นี่มันน้ำลายไหลแล้วนี่

    ยกทรงถามว่า "หลวงพ่อฉันยาแล้วอารมณ์ดี คุยปกติไหมครับ"

    ท่านเจ้าคุณฯ บอกว่า "หลวงพ่อฉันยาคุยกันได้ แต่เราอย่าคุยเรื่องหนักนะ เรื่องที่ต้องใช้ความคิดจะไม่คุย คุยเรื่องตลกอะไรต่ออะไร คนนั้นทำอย่างนี้ คนนี้ทำอย่างนั้น ท่านก็คุยเรื่องตลกมาให้เรา เราไม่ได้จำจริงๆ แต่หัวเราะกัน องค์นี้หัวเราะกันอยู่อย่างนั้นแหละ เราก็คุยแบบอยากให้ท่านคลายเครียด เพราะรับแขกมาแล้วนี่ ก็มีบีบมีนวดบ้าง"

    ยกทรงบอกว่า "แหม..เสียดายถ้ามีเทปบันทึกไว้ในสมัยนั้น"

    ท่านเจ้าคุณฯ บอกว่า "ความคิดเราผิดเอง ถ้าเรารู้เป็นอย่างนี้เราจะต้องมากกว่านี้ ต้องจดต้องอะไร ต้องอัดเทป ไม่ต้องคุยอะไรให้ใครฟังหรอก เดี๋ยวเราก็ตายแล้ว"


    นี่คือคำปรารภของท่านเจ้าคุณฯ แต่ขนาดจำได้ไม่มาก หรือไม่ได้ตั้งใจจดจำ แต่ก็มีเรื่องที่ท่านเจ้าคุณฯ จำได้มาเล่าให้ฟังหลายเรื่อง จึงได้รวบรวมมาบางเรื่อง ดังนี้




    หลวงพ่อโดนรุกรานจะฉันข้าวกลางแม่น้ำ

    เล่าถึงสมัยก่อนก่อนโน้น หลวงพ่อท่านจะทำอะไรพิเศษอย่างหนึ่ง คือสมัยก่อนอยู่วัดท่าซุงใหม่ๆมีศัตรูมาก คนเกเรก็เยอะ จ้องจับผิดท่านก็เยอะ เพราะ ประวัติหลวงพ่อปาน ออกมาพูดถึงทิพจักขุญาณมาก พูดคุยกับพระมาก (พระคือพระพุทธเจ้า) เขาก็หาว่าอวดอุตริ

    ทีนี้ก็มีคนย่ำยีท่านมาก หลวงพ่อก็บอกว่า ถ้าเขามารุกถึงวัดเมื่อไหร่ จะประกาศตัวเป็นอิสระเมื่อนั้น เหมือนกับ หลวงพ่อดาบส

    "นันต์ ถ้าข้าประกาศตัวเป็นอิสระเมื่อไหร่ ข้าจะห่มผ้าสีตองอ่อน จะไปฉันอาหารบนแม่น้ำสะแกกรังสักวันเดียว ดูซิ สีเหลืองกับสีตองอ่อนจะเป็นอย่างไร"

    ตอนแรกท่านประกาศจะมรณภาพ พ.ศ.2514 หรือ 2515 พอมรณภาพจะลอยเข้าโลงไปเลย

    แต่ตอนหลังพระไม่ให้ไป จะให้อยู่ก่อน ช่วยกันเพราะคนหลังๆ ยังมาเกิดอีก

    การที่ท่านจะลงมาเกิดชาติสุดท้ายนี่ ท่านรู้มาแล้วลาท่านปู่มาแล้ว ลาตั้งแต่ข้างบน แต่เวลาลงมาลืม บอกมาแล้วว่าจะมาลาพุทธภูมิ พวกเราจึงตามลงมา

    ถ้าท่านไม่ลาพุทธภูมิเราคงไม่ลงมาหรอก คงจะโต๋เต๊รออยู่ข้างบน เพราะไม่จำเป็นจะต้องลงมานี่ เพราะตามกันมาเยอะแล้ว 16 อสงไขย

    ส่วนมากลูกศิษย์หลวงพ่อจะหัวแข็ง ปราบยาก คือตามกันมา 16 อสงไขยก็จริง แต่ลงเกิดไม่เท่าพุทธภูมิหรอก พุทธภูมิลงมาถี่ พวกเราก็ตามกันมาห่างๆ ลงบ้างไม่ลงบ้าง สะสมความรู้ไว้มาก บางทีคนสอนอ่อนกว่าก็ปราบไม่ลง แต่หลวงพ่อพูดอะไรเชื่อหมด หัวหน้าพูดอะไรก็ไม่มีใครไม่เชื่อ เพราะตามกันมานี่

    งานบวชพระถือธุดงค์

    งานที่ท่านดำริคิดขึ้นมาเอง ก็คือ งานบวชพระถือธุดงค์ ปกติสมัยพระเดชพระคุณหลวงพ่อมีชีวิตอยู่ ก็จัดงานอุปสมบทหมู่กันบ้าง ในวาระสำคัญๆ แต่เมื่อท่านเจ้าคุณฯ เป็นเจ้าอาวาสแล้ว ท่านจัดงานบวชพระถือธุดงค์ทุกปี คือบวชพระแล้วปฏิบัติธุดงค์ด้วย

    เพราะมีพระบางองค์เสนอแนะให้ท่านเจ้าคุณฯจัดงานเป่ายันต์เกราะเพชร แต่ท่านเจ้าคุณฯ ไม่จัด ท่านบอกว่า ท่านไม่มีความสามารถอย่างหลวงพ่อ และไม่มีคุณสมบัติตามที่หลวงพ่อระบุไว้หลายข้อ เช่น ไม่มีทิพจักขุญาณสามารถรู้ใด้ว่า ผู้มาเป่ายันต์ได้รับยันต์ครบหมดทุกคน แต่ท่านก็อยากให้คนมาทำความดีร่วมกันปีละครั้ง ก็จึงจัดงานบวชพระถือธุดงค์ขึ้นมา เริ่มตั้งแต่ปี 2536

    ก็เผอิญไปตรงกับที่พระเดซพระคุณหลวงพ่อได้บันทึกเทปไว้ เรื่องธุดงค์ในวัด หมายความว่าไม่ต้องไปเดินดงแบบพระธุดงค์ในป่าในเขา ทำที่วัดก็ได้ และพระเดชพระคุณหลวงพ่อยังแนะนำการอยู่ธุดงค์ในวัดโดยละเอียด ท่านเจ้าคุณฯ จึงได้ยึดแนวปฏิบัติมาทำ ในสมัยท่านเป็นเจ้าอาวาสได้จัดงานบวชพระถือธุดงค์มาเป็นเวลา 25 ปี

    และถึงแม้ว่าท่านเจ้าคุณฯละสังขารแล้ว ท่านเจ้าอาวาสองค์ใหม่ คือ พระครูปลัดสมนึก ก็ไม่ทิ้งปฏิปทาของท่าน ยังจัดงานบวชพระถือธุดงค์ต่อไป

    ผลงานและความดีของท่านเจ้าคุณฯ เขียนไปเขียนมาก็เกิน 10 หน้าแล้ว ก็ยังพรรณนาไม่หมด ขอแถมคำสอนของท่านสักหน่อย

    ปกติท่านเจ้าคุณฯจะไม่ค่อยจะอยากสอนธรมะเท่าไหร่ เพราะเห็นว่าคำสอนหลวงพ่อมีมากแล้ว

    แต่ก็มีบางครั้งที่ท่านพูดออกมา ฟังแล้วมันเป็นธรรมะนี่ บันทึกกันไว้และคัดลอกมา

    "เราพบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และมีการประพฤติปฏิบัติ ค่าของเราจะหลุดจากวัฏฏะได้มีค่าสูง ซึ่งวัดด้วยทรัพย์สินและเงินทองก็ไม่ได้สักอย่าง ทรัพย์สินนี้ใช้ไม่ถึง 100 ปีเราก็ไม่ได้ใช้ แต่อริยทรัพย์ที่เป็น ศีล สมาธิ ปัญญานั้น มีค่ายิ่ง ยิ่งกว่าทรัพย์สินในวัฏฏะทุกสิ่งทุกอย่าง"

    "ทุกอย่างเกิดขึ้นแล้ว และก็จะจากไปในที่สุด โลกช่างไม่มีอะไรน่ายินดี เต็มไปด้วยสิ่งโสโครกและเป็นทุกข์"

    "เราทำได้เต็มที่และทำดีที่สุดแล้ว เหลือเพียงอย่างเดียวคือไปอยู่ที่พระนิพพานเท่านั้น"

    ท่านทำความดีเพื่อผู้อื่นมามากจริงๆ จนแทบไม่มีเวลาพักผ่อน เหนื่อยก็นอนพัก ไม่ค่อยมีเวลาได้ออกกำลังกาย

    ฉะนั้น เมื่อมีโรคภัยมาก็ต้องอดทนทำงานและทำงาน ก็ไม่ได้บอกให้ใครรู้มาก กลัวว่าจะตกใจ จะเสียกำลังใจ ผู้ที่รับใช้ใกลัชิดเท่านั้นที่ทราบ ท่านทำงานแบบมอบกายถวายชีวิตต่อหลวงพ่อ ต่อพระพุทธเจ้าจริงๆ เพราะอะไร อ่านคำพูดต่อไปนี้


    "สำหรับผมไม่มีคำว่าครั้งสุดท้าย การทำดีถวายเพื่อแทนคุณ ทำได้จนตาย"

    "ความดีที่หลวงพ่อได้สอนไว้นั้น ไม่เสียเปล่าไปในอากาศ ไม่เสียเวลาที่ท่านได้ทรมานร่างกายไว้ แม้จะเจ็บป่วยไข้ก็พยายามอบรมสั่งสอนลูกหลานของท่านให้มีความมั่นคง แม้ท่านจะจากร่างกายไปแล้ว ความดีของท่านก็ยังทรงตัว ตรึงใจ ฟังแล้วก็มีความสุข ยังตรึงตาตรึงใจให้เราได้เคารพท่านไม่มีวันเสื่อม"

    คำว่า ยังตรึงตาตรึงใจ คำพูดของท่านต่อไปนี้เป็นเครื่องยืนยัน

    "วันไหนไม่เคารพหลวงพ่อไม่มี ไม่คิดถึงก็ไม่มี ความดีของท่านนั้นก็หาประมาณมิได้ อย่างที่ว่า

    พุทโธ อัปปมาโณ
    ธัมโม อัปปมาโณ
    สังโฆ อัปปมาโณ

    เป็นจริงอย่างยิ่ง"

    บัดนี้ หลวงพ่อก็จากกายไปแล้ว ท่านเจ้าคุณฯ ได้พักผ่อนแล้ว ไม่เหนื่อย ไม่ทุกข์ ไม่ป่วย ไม่ไข้ ไม่ลำบากกาย ไม่ลำบากใจอีกแล้ว ท่านตัดสักกายทิฏฐิได้ดีก็สมควรไปอยู่สภาวะธรรมที่ดี สภาวะธรรมที่ดีที่สุด คือ พระนิพพาน ท่านเจ้าคุณฯ คงไปได้สมความปรารถนาแล้ว

    เมื่อพี่ไปไปแล้วอย่าไปลับ โปรดเมตตาหันกลับดูน้องๆ บ้าง

    พี่น้องทางนี้รักพี่ไม่จืดจาง จะขอเดินตามทางพี่ที่นำไป


    (คัดลอกบางส่วนจากหนังสือ ลูกศิษย์บันทึก พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชภาวนาโกศล บันทึกโดย พระครูภาวนาธรรมนิเทศก์ หน้า 15-17 , 26-27)


    172198_0.jpg
     
  7. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    111
    ค่าพลัง:
    +225,705
    10414505_719048948154022_5672348375046827690_n.jpg

    พิธีพุทธาภิเษกของหลวงพ่อพระราชภาวนาโกศล


    ในสมัยเป็นเด็กๆได้เคยสงสัยว่า ในพิธีพุทธาภิเษกตอนหลังที่หลวงพ่อพระราชภาวนาโกศลท่านเป็นประธานในพิธีนั้น จะยังมีพรหมเทวดารักษาวัตถุมงคลเหมือนในสมัยหลวงพ่อพระราชพรหมยานหรือเปล่า คิดไปคิดมาก็ไม่คลายสงสัย จนมีปีหนึ่งท่านได้มีเมตตาเล่าเรื่องการทำพิธีพุทธาภิเษกให้ฟังก่อนที่จะเริ่มพิธี ดังนี้

    "สมัยก่อน ก่อนบางคนยังไม่เกิด พ.ศ. 2516,17,18 หลวงพ่อท่านจะนั่งกรรมฐานที่ตึกเสริมศรี เป็นที่รวมของพระตอนเย็นๆ หลวงพ่อท่านจะลงมาตอนทุ่มหนึ่ง จะนั่งกันทุกวันที่นั่น มีพระ 5 องค์ 10 องค์
    มีอยู่พรรษาหนึ่ง ท่านทำพิธีกรรมทั้งพรรษา เขาเรียกว่าปลุกเสกครบไตรมาส 3 เดือน ฉันก็จำไม่ได้มากว่ามีอะไรบ้าง ก็มีพระดินเผาอยู่เรียกว่าทุ่งเศรษฐี ที่เขียนว่าร้อยปีหลวงปู่ปาน นั่นท่านทำครบไตรมาส
    หลวงพ่อท่านก็จะบอกว่าต่อไปนี้ฉันจะไม่มีเวลาทำครบไตรมาสอย่างนี้อีกแล้ว ต่อไปคนจะมาวัดมาก จะไม่มีเวลาทำครบไตรมาส 3 เดือน ครั้งนี้คงเป็นครั้งสุดท้ายที่จะทำ 3 เดือน พอทำพิธีกรรมหมาในวัดก็จะหอน พอจบกรรมฐานหมาก็จะหอนอีก

    ทุกคราวที่ท่านลงมา พอสอนกรรมฐานท่านก็คุยอะไรต่ออะไร เราก็พระบวชใหม่ ก็บอกว่า หลวงพ่อครับ ตอนปลุกเสกนี่ ตอนหลวงพ่อบวงสรวงหมามันหอนลึ่มเลย ตอนเลิกอีก

    หลวงพ่อบอกว่า แกได้ยินรึ บอก ได้ยินครับ ท่านก็เงียบ ท่านบอกว่า ไอ้หมานี่มันดีกว่าแกนะ (หัวเราะ)
    ก็ถามท่านว่า หลวงพ่อครับ ปลุกเสกนี่ทำอย่างไรครับ

    ท่านตอบว่า "พระที่อาราธนามานี่ ท่านจะมาทำ เมื่อเต็มแล้วพระอรหันต์มาอีกรอบ เมื่อเต็มแล้วจะฝากพรหมและเทวดา ถ้าไม่เกินวิสัยกฎของกรรมแล้วให้ช่วย"
    ฉันก็จำอยู่แค่นั้นแหล่ะ อยู่ในใจตลอดว่า พระนี่ที่ดีนี่จะมีเทวดารักษาอยู่ ถ้าไม่เกินวิสัยกฎของกรรมจะช่วยได้"

    พอถึงตรงคำว่า "ฉันก็จำอยู่แค่นั้นแหล่ะ อยู่ในใจตลอด"

    ก็ได้ปลดเปลื้องลงแล้วซึ่งสิ่งที่สงสัยว่าท่านทำพิธีอย่างไร มีพรหมและเทวดารักษาหรือไม่ เพราะท่านบอกท่านก็จำวิธีที่หลวงพ่อพระราชพรหมยานทำ และสอนท่านมาดังที่ท่านกล่าวมาแล้วนั้นแล
    หลังจากนั้นท่านก็เล่าประวัติบุคคลตัวอย่างคือคุณพัชรินทร์ ซึ่งมีประวัติในยูทูปแล้ว เนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องที่ว่ามีเทวดารักษาวัตถุมงคลอยู่จริง เมื่อประสบเคราะห์ภัย ก็คุ้มครองตัวได้จริง ท่านสามารถหารับฟังกันได้ตามอัธยาศัยในยูทูปครับ

    และในช่วงท้ายก่อนเริ่มพิธีหลวงพ่อท่านกล่าวต่อว่า

    "บวงสรวงเป็นพิธีกรรมอันเชิญเทพเทวาอารักษ์ทั้งหลาย มีดอกไม้บายศรี ธูปเทียน ใช้ลูกแก้วจักรพรรดิ์เป็นตัวสื่อ ก็จะมีการสวดเจริญพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ 10 จบ จะนั่งสมาธิจนถึง 1 ทุ่มจนเสร็จพิธี ถือว่าเป็นพิธีใหญ่

    พระพุทธเจ้าทุกองค์เป็นประธาน มีพระอรหันต์ทุกองค์เชิญมาร่วมพิธีกรรมทุกองค์เป็นผู้สนับสนุน มีเทพเทวาอารักษ์ทั้งหลายถ้วนหน้าป็นสักขีพยาน และก็อำนวยอวยพรเป็นธุระให้แก่วัด ให้แก่พระพุทธเจ้าให้แก่พระธรรม ให้แก่พระสงฆ์ สืบเนื่องพระศาสนาให้มั่นคง ให้ของทั้งหลายเป็นอนุสสติ ยึดเหนี่ยวพระรัตนตรัย เมื่อนึกถึงเมื่อใดก็อบอุ่นชื่นใจ หากไม่เกินวิสัยกฎของกรรมแล้วก็ขอเมตตาบารมีท่านทั้งหลายโปรดสงเคราะห์ ให้มีความปลอดภัย ประสงค์สิ่งใดถ้าไม่เกินวิสัยกฎของกรรมแล้ว ก็ขอให้ญาติโยมทั้งหลายอาราธนาอันเชิญเพื่อเป็นกุศล"


    (คัดลอกบางส่วนจากหนังสือ ลูกศิษย์บันทึก พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชภาวนาโกศล โดยคุณวุฒิเมศร์-ริญญาภัสร์ ศิริโรจน์วรากร หน้า 169-170)



    439840635_794165778917.jpg
     
  8. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    111
    ค่าพลัง:
    +225,705
    IMG_20190208_165948.jpg



    น้ำตาของหลวงพ่อท่านเจ้าคุณฯ เป็นพระธาตุ


    ข้าพเจ้าได้เข้าสู่แสงธรรมจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ครั้งแรกปลายปี 2544 ทั้งที่เกิดและโตในจังหวัดอุทัยธานี

    ปีนั้นข้าพเจ้าได้เข้ามาศึกษาและปฏิบัติธรรมครั้งแรก เพราะเรียนหนังสืออยู่ในกรุงเทพฯ จึงได้มาทำบุญและช่วยงานที่บ้านสายลม แต่ก่อนที่จะเข้าวัดท่าซุงเต็มทั้งหัวใจข้าพเจ้าได้ยินคำปรามาสหลวงพ่อท่านเจ้าคุณฯจากการไปทำบุญที่อื่นว่า หลวงพ่อท่านเจ้าคุณฯไม่ได้อะไร ด้วยที่ข้าพเจ้าไม่มีปัญญาพิจารณา ทำให้ประโยคที่ได้ยินมานั้นอยู่ในใจเรื่อยมา

    ในปี พ.ศ. 2545 เดือนธันวาคม ข้าพเจ้าได้มาบวชพระและปฏิบัติธุดงค์ปีแรก พร้อมกับความต้องการที่จะได้ "มโนมยิทธิแบบเต็มกำลัง"

    ก่อนบวชท่านผู้รู้ท่านแนะนำว่า ...เวลาทำให้วางตัวสบายๆ ...ไม่ต้องนั่ง ...ให้นอนทำ เวลานอนร่างกายตรงไหนตึงก็ปล่อยให้หย่อน แล้วก็จับลมหายใจไปในแบบ 3 ฐาน ฐานที่ 1 ปลายจมูก ฐานที่ 2 ตรงอก ฐานที่ 3 ศูนย์เหนือสะดือ

    ถ้าเรารู้ฐานที่ 1 แสดงว่าอารมณ์เราทรงในขณิกสมาธิ ถ้าเรารู้ฐานที่ 1 และฐานที่ 2 แสดงว่าอารมณ์เราทรงในอุปจารสมาธิ ถ้าเรารู้ฐานที่ 1 ฐานที่ 2 และฐานที่ 3 แสดงว่าอารมณ์เราทรงในปฐมฌาน

    เมื่อละเอียดขึ้นมันจะเป็นสายทั้งเข้าและออก เมื่ออทิสสมานกายจะออกเต็มกำลังร่างกายจะแข็งจะชา ไม่มีความรู้สึกตั้งแต่ปลายเท้าจนถึงคอ เหลือแต่หัวพอขยับได้ สักพักก็ไม่รู้สึกทั้งตัว จิตกับประสาทจะแยกกัน เมื่อออกได้จะไปไหนก็อธิษฐานตามแต่เรา พอบวชเข้าจริงๆทำอยู่ 2-3 วันก็ไม่ได้

    มาวันหนึ่งในระหว่างบวช ข้าพเจ้าพิจารณาในพระธรรมที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยานน้อมนำมามาสอน ในเรื่องความเป็นจริงของร่างกาย หลังเจริญพระกรรมฐานที่มหาวิหาร 100 ปีฯ (ศาลา 12 ไร่เดิม) ก็เข้าป่าไปพักผ่อนที่กลด ก่อนจำวัดในป่าก็สมาทานพระกรรมฐาน พอนอนก็นึกจับลม 3 ฐาน

    แต่รู้ลม 3 ฐานมันยากจึงคิดว่ารู้ฐานเดียวก่อน เอาแค่ปลายจมูกและภาวนา นะมะ พะธะ แค่นี้มันก็ฟุ้งเป็นปกติ พอฟุ้งซ่านก็ดึงกลับมารู้ลมเข้าออกพร้อมภาวนาอีก มันก็ฟุ้งอีก สู้มันไปสักพัก ก็ด้วยไม่ยอมมันนี่เองในที่สุดมันก็ได้ถึง 3 ฐาน ครู่เดียว.... ร่างกายมันชาๆ ไม่มีความรู้สึกมาตั้งแต่ปลายเท้าถึงคอ หัวพอขยับได้... ทรงอารมณ์นี้ไม่นาน ก็ไม่รู้สึกอาการทางร่างกายเลย แต่รู้สึกว่าตัวเอง (อทิสสมานกาย) อยู่ในที่โล่งๆในท่านอน

    ก็เห็นพระรูปหนึ่งวรกายท่านเป็นสีทองอ่อนๆกระจายออก สว่างงดงามมาก พระท่านนั่งขัดสมาธิอยู่ข้างๆตัวทางด้านซ้าย

    รู้ขึ้นมากับใจเลยว่าท่านคือ "หลวงพ่อนันต์"

    ท่านกล่าวประโยคหนึ่ง ซึ่งข้าพเจ้าจะไม่มีวันลืม "เตรียมตัวตาย อย่าห่วงกายนะ"

    ตอนนั้นจิตรู้ขึ้นมาเลยว่า เป็นคำสอนมโนมยิทธิแบบเต็มกำลัง จึงรู้ว่าอาการก่อนๆที่เคยมีมา ที่คล้ายกับถูกผีอำแต่มองไม่เห็นตัวตั้งแต่เด็กนั้น ตามที่พระท่านสอนก็คืออารมณ์ฌานยังหยาบไป แค่สูงขึ้นอีกหน่อยก็ออกเต็มกำลังได้

    จะเห็นได้ว่าการที่หลวงพ่อท่านเจ้าคุณฯมาสอนในแบบนี้ ถ้าคนธรรมดา หรือสมมุติสงฆ์ หรือพระที่มีอันดับไม่สูงนักใน 4 อันดับ ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรับรองว่าเป็นพระนั้น ท่านจะทำกันได้หรือไม่ จะขอนัอมเอาบันทึกของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน จากหนังสือสมบัติพ่อให้ (เล่มเก่า) ท่านบันทึกไว้ว่า

    "...นักเจริญสมาธิถึงอารมณ์ฌานและทรงฌานได้ มีประเพณีที่ทราบกันว่า จะต้อง เห็นและรับการศึกษาจากท่านที่เป็นอทิสสมานกายเสมอ จนมีระเบียบว่า เมื่อก่อนจะทำกรรมฐานต้องเตรียมกระดาษดินสอไว้ เมื่อท่านบอกอะไรต้องรีบจด อย่าให้ค้างคืนถึงสว่างจะลืมคาถาบางตอน ถ้านักทรงฌานไม่พบเรื่องนี้จะเป็นเรื่องทรงฌานที่แปลกมาก อาจจะเป็นฌานเก๊ก็ได้"

    ทั้งนี้ท่านผู้เป็นอทิสสมานกายที่มาสอนได้โดยขณะนั้นท่านยังมีชีวิตอยู่ ท่านต้องมีคุณธรรมที่เป็นเลิศขนาดไหน

    ข้าพเจ้าได้อุปัฏฐาก และอำนวยความสะดวกกับพระผู้ดูแลหลวงพ่อท่านเจ้าคุณฯ จนถึงวันสุดท้ายที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ข้าพเจ้าทำทุกอย่างเท่าที่ข้าพเจ้าทำได้ เพื่อถวายความสะดวกกับพระผู้ดูแล

    ข้าพเจ้าคิดแค่ว่า "เราดูแลท่าน ท่านก็ดูแลหลวงพ่อของเราอีกที" ไม่ต้องการแสดงตัวให้หลวงพ่อเห็น ไม่ขอคำชมจากใคร ขอเพียงเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยหลวงพ่อได้บ้างก็พอ

    ข้าพเจ้าได้มีโอกาสเข้าไปกราบท่านที่ห้องไอซียู ได้เข้าไปใกล้ ใกล้มากพอที่จะได้เห็นสายตาขององค์ท่านที่มีแต่ความเด็ดเดี่ยว ทราบว่าอาการของท่านหนักมากเวลานั้น แต่แววตาไม่บ่งบอกถึงความเจ็บปวด หรือความเศร้าหมองใดๆ ท่านมิได้แสดงถึงความหวาดหวั่นต่อมรณภัยที่จะเข้ามาถึงแต่อย่างใดเลย

    วันที่ย้ายจากห้องไอซียูไปห้องพิเศษครั้งแรกข้าพเจ้าได้มีโอกาสเข้าฟังคำสอน วันนั้นพระเดชพระคุณท่านเมตตาชี้มาที่ข้าพเจ้า พร้อมเน้นย้ำถึงอิริยาบถบรรพในมหาสติปัฏฐานสูตร ท่านพูดถึงพระธรรมที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยานน้อมนำมาสอนพวกเรา ซึ่งจะทราบกันว่า เมื่อท่านปรารภถึงหลวงพ่อพระราชพรหมยานคราใดจะปิติมีน้ำตาทุกครั้ง ครั้งนี้ก็เช่นกัน พระผู้ดูแลต้องเอากระดาษทิชชู่มาเช็ดน้ำตาให้ท่าน

    ตอนกำลังจะทิ้งกระดาษข้าพเจ้าเอามือไปรองรับและขออนุญาตเก็บไว้บูชา

    ข้าพเจ้าเก็บไว้นานจนเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2561 รู้สึกอยากจะคลี่กระดาษเช็ดน้ำตาท่านดู พบว่าน้ำตาของหลวงพ่อท่านเจ้าคุณเป็นเพชรใส และเป็นองค์พระธาตุที่สวยงามมาก

    ประจักษ์พยานอีกท่านคือคุณพรเทพ ลี้ไวโรจน์ (เพื่อนในคณะลูกพ่อสัมพเกษี) ได้เก็บกระดาษเช็ดน้ำตาหลวงพ่อท่านเจ้าคุณฯบูชาไว้ โดยได้รับมาคนละที่คนละเวลา ก็เป็นพระธาตุเช่นเดียวกัน

    ...คุณของพระพุทธเจ้าหาประมาณมิได้ คุณของพระธรรมหาประมาณมิได้ คุณของพระสงฆ์หาประมาณมิได้..

    พระเมตตาของหลวงพ่อท่านเจ้าคุณฯ ที่มีต่อข้าพเจ้านั้นราวกับปาฏิหาริย์ ทุกเรื่องราวประทับอยู่ในหัวใจโดยยากจะแทนด้วยคำพูด หรือตัวหนังสือใดๆ ท่านคือพ่อ ท่านคือจอมทัพ ท่านเป็นทุกอย่างในด้านกำลังใจ เป็นพ่อ เป็นครูผู้สอน เป็นตัวอย่างในการประพฤติปฏิบัติตาม เป็นทุกๆอย่างของ "ลูก" คนนี้ ไม่มีสิ่งใดเลยในโลก ที่จะตอบแทนพระคุณท่านได้ และไม่มีอะไรเลยในโลก ที่หาควรข้องอยู่ ไม่มีอะไรยิ่งไปกว่าพระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า และสุขที่ยิ่งไปกว่าพระนิพพานนั้นไม่มี

    ข้าพเจ้าจึงขอตั้งสัจจะ สัญญา และอธิษฐานว่า นับแต่นี้ไปจะขอปฏิบัติความดีถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา และบูชาตรงซึ่งพระคุณอันหาประมาณมิได้ของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน และหลวงพ่อพระราชภาวนาโกศล พระผู้ประดุจดั่งบิดาทั้งสองพระองค์ตราบเท่าถึงพุทธภูมิพระโพธิญาณที่ปรารถนา

    (คัดลอกบางส่วนจากหนังสือ ลูกศิษย์บันทึก พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชภาวนาโกศล โดย คุณภูเบศวร์ อุนจะนำ หน้า 179-181)





    IMG_20190208_170054.jpg IMG_20190210_111008.jpg IMG_20190210_110555.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 เมษายน 2024
  9. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    111
    ค่าพลัง:
    +225,705
    งานทำบุญประจำปี วัดท่าซุง 17 มีนาคม 2534





    มีพระพิเศษมาร่วมงานรวม 6 องค์ รวมถึงพระสหายของหลวงพ่อทั้ง 2 องค์ ท่านคุมจิตเณรมาร่วมในพิธีด้วย ท่านเป็นใครบ้างดูได้จากในคลิปครับ

    หลวงปู่สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา กล่าวสัมโมทนียกถา และให้พรแก่ญาติโยมในตอนท้าย รับพรจากหลวงปู่กันครับ

    messageImage_1714638129633.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 พฤษภาคม 2024
  10. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    111
    ค่าพลัง:
    +225,705
    DSC_0025.JPG
    หลวงปู่สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยาให้พรญาติโยมในงานทำบุญประจำปีวัดท่าซุง มีนาคม 2534




    183867443_1900679846775212_4172647631175996285_n (1).jpg 151976385_1841490982694099_8485888883655362059_n.jpg
     
  11. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    111
    ค่าพลัง:
    +225,705
    งานทำบุญวันเกิดหลวงปู่สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา 20 มีนาคม 2534

     
  12. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    111
    ค่าพลัง:
    +225,705
    ((((((((((714709690637.jpg


    หลวงปู่วัดสามพระยากล่าว สัมโมทนียกถา ในงานทำบุญประจำปี 17 มีนาคม 2534









    พระเถระและ "พระพิเศษ" ที่มาในงานทำบุญประปี 2534



    (((((((((((_1714709611962.jpg
     
  13. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    111
    ค่าพลัง:
    +225,705
    857956_550740481666948_1127187293_o.jpg

    แก้ผ้าสะเดาะเคราะห์


    ผู้ถาม : ดิฉันหลงผิดไปหาหมอเทศน์ 108 ฝั่งธนฯ ให้สะเดาะเคราะห์ โดยให้ดิฉันแก้ผ้า แล้วแกก็เอาเทียนมาจี้ตามจุดต่างๆในร่างกาย โดยเสียด่าครูไปครั้งละ 3,500 บาท เขาบอกให้ดิฉันไปถึง 5 ครั้งจึงจะหมดเคราะห์ ถ้าไม่ไปมันจะเสกให้เดือดร้อนใหญ่ จึงบากหน้ามาพึ่งบารมีหลวงพ่อให้ช่วยแก้หน่อยเถิดเจ้าค่ะ

    หลวงพ่อ : แก้ผ้าเฉยๆไม่เสียสตางค์นั้นไม่เป็นไรนะ นี่ครั้งละ 3,500 ไม่ใช่ 3,500 แล้วจบเกมส์นะ นี่ให้ไปถึง 5 ครั้ง

    โอ้โฮ ตายแล้ว อย่างนี้ดีกว่า ไม่ไปดีกว่า ถ้าไม่ไปก็เดือดร้อนเท่านั้น ถ้าขืนไปก็เดือดร้อนมากกว่านั้น เดือดร้อนมากกว่าเดิม เอ๊ะ เทวดาตั้ง 108 องค์ก็แบ่งกันได้ไม่เท่าไหร่นะ (หัวเราะ)

    ผู้ถาม : เอ...แปลกนะแบบนี้ก็มีคนหลงเชื่อเหมือนกันนะ

    หลวงพ่อ: ไม่ใช่หลงเชื่อ ตั้งใจเชื่อเลย จ้างเชื่ออีกด้วย ขนาดจ้างเขานะ 3,500 เป็นค่าจ้างนะ

    นี่คุณจงคิดว่า ถ้ากฎของกรรม กฎของอทินนาทานเดิมเข้ามาสนองใจ ก็ต้องเห็นผิดเป็นชอบยอมเสียตาม นี่แหละเป็นเรื่องของธรรมดา ใครๆก็เหมือนกันละนะ

    ผู้ถาม : นี่มาหาหลวงพ่อเสียตั้งแต่แรกก็ดี

    หลวงพ่อ : ก็จ่ายเสียรวดเร็ว 50,000 ก็หมดเรื่องไป รับรองว่าหายแน่

    ผู้ถาม : อะไรหายครับหลวงพ่อ?

    หลวงพ่อ : คนหายไปเลย ไม่มาอีกเลย เข็ด คนสะเดาะเคราะห์หาย เข็ด

    ทีหลังไม่ต้องไปอีกนะ บอกเขาด้วยนะ...ไม่จำเป็น

    ผู้ถาม: เรื่องพระเข้าพระแทรกนี่ ก็คิดว่าเราทำบุญทำกุศลกันมากอะไรต่ออะไร มันจะให้ผลส่งกลับไปสะเดาะเคราะห์อะไรหรือเปล่าครับ?

    หลวงพ่อ : ความจริงมันเป็นกฎของกรรม ตามที่เขาเรียกว่า พระราหูเข้าพระเสาร์แทรก เนื้อแท้จริงๆแล้วเขาเป็นกฏของกรรมเดิม

    อันนี้ถ้าหากเรามีจิตเป็นกุศลเป็นกำลังสูง มันก็บรรเทา หายเลยมันไม่ได้นะ มันบรรเทาลง


    (จากธัมมวิโมกข์ ปีที่ 6 ฉบับที่ 53 หน้า 42-43)


    1417652_550740488333614_406970392_o.jpg
    พระราหูเสวยอายุ

    ผู้ถาม : มีคนเขาบอกกับดิฉันว่าตอนนี้ราหูกำลังเสวยอายุ ให้มาทำรับเสียกับพระ อยากจะเรียนถามกับหลวงพ่อว่าที่วัดมีราหูหรือเปล่าเจ้าคะ ?

    หลวงพ่อ : ที่วัดมีทั้งราหูราตานะ ราหูหมายถึงพูดให้ได้ยิน ราตาหมายถึงตอนมองเห็นไง

    นี่พระราหูเขาให้แก้กับพระ นั่นหมายความว่าคนแนะนำนะให้ไปแก้กับพระ นั่นมันเสียสตางค์ไม่มาก ถ้าหากไปสะเดาะเคราะห์รับพระแบบนี้นะ

    ถ้ามีสตางค์หน่อย 7-8 หมื่นสบายๆ อย่างกล้วยๆก็ 10,000 สมัยนี้ราคาจริงๆ เดี๋ยวนี้เงินมันตกลงไปนะ ความจริงไม่น่าจะถึง 100 บาท

    มีอะไรล่ะ ดอกไม้สีเขียว 12 กระทง เทียน 12 เล่มธูป 12 ดอก ข้าวตอก 12 กระทง ธงสีดำ
    12 อัน อันนี้แหละจุดศูนย์กลางใหญ่

    ถ้าจะแถมนะ ไปวัดเทพฯแถมเงิน 12 พัน ถ้าไปวัดท่าซุงแถมเงิน 12 หมื่น ไม่จำเป็นนะ ความจริงเขาทำกันแค่นี้

    ดอกไม้สีดำมันหายาก ก็ใช้ดอกไม้สีเขียวๆนะ ไม่แดง ไม่ฉูดฉาดก็แล้วกันก็ 12 กระทง ข้าวตอก 12 กระทง ธูป 12 ดอก เทียน 12 เล่ม

    ถ้าจะเป็นสตางค์ ก็ไส่ไปกระทงละ 1 ก็เป็น 12 เหมือนกันจะเป็น 12 บาท 12 สลึงก็ได้ 12 สตางค์ก็ได้

    เท่านี้แหละไม่มีอะไรมาก


    (จากธัมมวิโมกข์ ปีที่ 6 ฉบับที่ 53 หน้า 42)

    Cr. ภาพจากเพจ วัดบุปผาราม
     
  14. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    111
    ค่าพลัง:
    +225,705
    _9247309.jpg

    ความเป็นมาเกี่ยวกับวัดท่าซุง


    วัดท่าซุงนี้เท่าที่ทราบเจริญรุ่งเรืองมาแล้ว 8 สมัย สมัยพระนารายณ์มหาราชและก็สมัยพระเจ้าอินทราชา


    "พระเจ้าอินทราชา สมัยอยุธยาใช่ไหมครับ"


    อยุธยารัชกาลที่ 3 ไม่เชื่อถามด๊อกเตอร์ซิ เคยเจริญรุ่งเรืองมาแล้ว 2 สมัย แล้วเวลานั้นส่วนใหญ่ก็เป็นบ้านไม้ อาคารไม้ มีป่าไม้มาก ท่านมาแสดงตัวให้ปรากฏ รุ่นก่อน 70 องค์เศษ แล้วมารุ่นหลังนี่มาแสดงตัวอีก 1 องค์ ตามที่หลวงพ่อขนมจีนท่านบอกนะ


    ไปถึงวันแรกบอก วัดนี้สร้างก่อนอยุธยา 30 ปี นี่หลวงพ่อขนมจีนท่านเล่าให้ฟังนะ คืนนั้นมียี่เก ฉันไม่ได้ดูยี่เก ฉันคุยกับหลวงพ่อขนมจีน เสียงฟังเพราะดี เพราะเสียงเจ็ก


    "มาสภาพเดิมหรือครับ?"


    มาสภาพเดิม ไม่ใช่มาเป็นเงา เป็นตัวมานั่งคุยบนเตียงเลย เล่าประวัติตั้งแต่ต้นยันปลายเสร็จ พอลงท้ายบอกว่า ไอ้พระชุดนี้คุณอย่าไว้ใจมันนะ มันกินวัด มันขายวัดกิน


    "เป็นพระรุ่นพิเศษเลย"


    รุ่นพิเศษ พระอริยเจ้ารุ่นเทวทัต คือพระอริยเจ้าวัดนั้นมาหมดเมื่อสมัย หลวงพ่อเล่ง หลวงพ่อไล้


    "หลังจากหลวงพ่อขนมจีนมา"


    ก่อนหน้าฉันไปประมาณ 40 ปีก็มีพระองค์หนึ่ง


    เมื่อปีที่แล้วฉันกำลังป่วยอยู่ ท่านมานั่งที่เตียงประมาณสัก 2 ทุ่มนะ อายุประมาณ 10 พรรษา ถามว่า อายุกี่พรรษาแล้วครับ บอก 10 พรรษาครับ

    ถามว่า ท่านเป็นพระชั้นไหน บอก ผมเป็นพระอรหันต์ครับ


    ถาม สมัยไหน บอก สมัยหลวงพ่อเล่ง หลวงพ่อไล้


    ถามหลวงพ่อเล่ง หลวงพ่อไล้เป็นอะไร ท่านบอกตอนจะตายเป็นพระอรหันต์เหมือนกัน หลังจากนั้นมาก็เป็นภิกขุพานิช


    "หลวงพ่อเล่ง หลวงพ่อไล้สุดท้ายหรือครับ"


    สุดท้าย ฉะนั้นที่นั่นจริงๆเจริญกรรมฐานง่ายนะ ที่ไหนถ้าเคยมีพระอรหันต์ ที่นั่นเจริญกรรมฐานง่าย อย่างที่นี่ (ซอยสายลม) ง่าย เพราะ หลวงพ่อแสง เป็นพระอรหันต์


    "ที่หลวงพ่อเคยบอกว่าสถานที่นี้อดีตเคยเป็นวัด"


    ใช่ๆๆ


    "ฉะนั้นเวลาเจริญกรรมฐามนี่เฉพาะเขตนี้ หลวงพ่อแสงก็มาสงเคราะห์"


    ใช่ๆๆ ไม่ใช่เฉพาะหลวงพ่อแสงนะ อาศัยที่ท่านเป็นอรหันต์ใช่ไหม พระทุกชั้นก็มาช่วยกัน


    "ทีนี้ตอนที่ก่อนที่หลวงพ่อจะไปนั่น สภาพก็โทรมที่สุด"


    ก็ตามที่สมเด็จวัดสามพระยาท่านว่าน่ะ เมื่อก่อนนี้ไม่มีอะไร เดี๋ยวนี้ไม่มีอะไรที่จะไม่มี


    "ตอนจะกลับท่านบอกว่า เออ คุณวีระฉันน่ะต้องขอขอบคุณป้ายวัดด้วยนะ หมายถึงป้ายที่บอกว่าพระเถระเข้าทางนี้น่ะ ท่านไม่เข้าทางนั้นนะ ก็ไม่รู้ความรู้สึกที่พูดวันนั้น ท่านบอกไม่รู้เอาจากไหนมา มาได้ความรู้จากป้ายอันนี้ ต้องขอบคุณป้าย พอเลี้ยวเข้าไปพอเจอะสถานที่ก็เกิดจินตนาการ...".


    "เกี่ยวกับภาพที่ถ่ายหลังปกหนังสือธัมมวิโมกข์ มีประโยชน์มาก คนที่เขาไม่เชื่อว่าเทวดามีจริง ผีสางเทวดามีจริงหรือไม่ พอเรามีหนังสือนี่หลายๆคนเห็นเป็นผลให้คนหลายๆคนเชื่อ"


    ฉันถามเขาแล้วนะ ชุดที่มารำน่ะคณะผ้าป่า ถามว่าเทวดากับนางฟ้าตามปกติไม่แก่ แต่นี่ทำไมจึงมีคนมีอายุมาก เกินกว่าหนุ่มสาว เขาบอกว่าเป็นภาพในสมัยนั้นที่เขามีชีวิตอยู่


    "ตกลงว่าคนพวกนี้อดีตเคยทำบุญแถวๆนั้น"


    ที่นั่น อยู่ที่นั่นน่ะ มาในภาพสมัยนั้น


    "แสดงว่าเป็นเทวดาก็ทำอะไรได้ทุกอย่าง"


    ก็ไม่แน่ อย่างอื่นพอได้ ให้หวยไม่แน่ (หัวเราะ)




    (จาก ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 123 พฤษภาคม 2534 หน้า 21-22)


    (((((((171459941.jpg

    ทานบารมีเต็มได้ยังไง


    "ฆราวาสนี่มีทางทำให้ทานบารมีเต็มไหมครับ"

    มี ก็พระพุทธเจ้าท่านเคยเป็นฆราวาสมาก่อน ฆราวาสที่เขาฟังเทศน์จบเดียวเป็นอรหันต์น่ะ เขาเต็มทุกอย่างทั้ง 10 อย่างเต็มหมดแล้ว

    แต่ว่าคำว่าสาวก เขาแปลว่า ผู้รับฟัง ถ้าไม่รับฟังคำสอนนี่บรรลุอรหันต์ไม่ได้ เหมือนกับน้ำที่เต็มตุ่มแล้วแต่เจ้าของไม่รู้จักเปิดฝา

    "ฉะนั้นที่ไม่สามารถจะบรรลุได้อยู่ที่ว่าไม่ได้เปิด"

    ยังไม่ได้ฟัง สาวกภูมิ สาวกะ แปลว่า ฟัง ยังไงล่ะ

    "ทีนี้ว่าจะทำบุญแบบไหนถึงจะไปเจอพระที่เปิดฝาถูกใจและได้ผลเร็ว"

    ก็ทำบุญกับฉันชิ (หัวเราะ) เอาย่ามเปิดไว้เสมอ

    อย่างถามเมื่อกี้น่ะมันเหตุมีผล การรับฟังนี่ต้องเฉพาะบุคคลที่เคยเนื่องกันมา แม้แต่พระพุทธเจ้าก็เช่นเดียวกัน พระพุทธเจ้าท่านไม่ใช่จะโปรดคนได้ทุกคน สังเกตุไหมว่าเวลาที่จะตรวจอุปนิสัยของสัตว์ ตอนหัวค่ำน่ะตรวจไกลเข้ามาหาใกล้ ถ้าตอนเช้ามืดตรวจใกล้ไปหาไกล หมายความถึงว่าตรวจตั้งแต่ใกล้ที่กุฏิยาวไปทั่วจักรวาล ถ้าไกลเข้าหาใกล้หมายถึงว่าจากจักรวาลไปหากุฏิว่า วันนี้ใครจะบรรลุมรรคผลบ้าง ใครตกในข่ายพระญาณบ้าง ใช่ไหม

    ในเมื่อพระพุทธเจ้าตรวจอุปนิสัยทุกวัน ต้องพบว่าคนนั้นคนนี้ต้องบรรลุมรรคผลอยู่ที่ไหน ชื่ออะไร บุญเก่าทำอะไรไว้ จะไปพูดว่ายังไงจึงบรรลุมรรคผลนี่ รู้หมด

    แต่ทว่าถ้าตรวจอีกครั้งอีกจุดว่าเราจะไปก่อนเองดีหรือให้ใครไปก่อน คนนี้เคยเนื่องกับเราหรือเปล่า ถ้าเคยเนื่องกับพระองค์ก็โปรดเอง ถ้าไม่เคยเนื่องกับพระองค์พระองค์ก็ทรงดูก่อนว่าพระอยู่กับท่าน มีใครบ้างไหมที่เคยทำบุญร่วมกับคนนี้มาก่อน ถ้ารู้ว่าองค์นั้นเคยทำบุญร่วมกันมาก่อน ใช้องค์นั้นไปก่อน เขาจะพูดกันรู้เรื่องง่าย

    ในเมื่อองค์นั้นไปแล้ว เรียกว่าทะเลาะกันก่อน ไม่ใช่ดีกันนะ โต้กันไปเถียงกันมา เถียงไปเถียงมา แพ้ แพ้พระใช่ไหม ทีนี้พระพุทธจ้าก็เสด็จเหาะไปเลย เหาะไปเดี๋ยวนั้นเลย เหาะไปแล้วก็ลงไปนั่งข้างๆ พระองค์นั้นก็เข้าไปกราบ ว่านี่คืออาจารย์ของเรา พราหมณ์นั้นเลยนึกว่าลูกศิษย์เก่งขนาดนี้ อาจารย์จะเก่งมากกว่านี้เลยรับฟังเทศน์ พอเทศน์จบก็เป็นพระอรหันต์

    ฉะนั้นการรับฟังการแนะนำก็เหมือนกัน เวลานี้เวลานั้นก็เหมือนกัน คนต้องเนื่องกันมาในชาติก่อน ถ้าไม่เนื่องกันมาไม่มีทางรู้เรื่อง

    "ยังงั้นก็แสดงว่าลูกหลานทั้งหมดที่นั่งกันประจ๋อประแจ๋นี่ ก็ทั้งเนื่องทั้งเกี่ยวกันมานะครับ"

    ก็ไม่แน่ประเภทลองมาดูก็มี รู้ทุกวันแหละ ใครนั่งตรงไหนก็รู้หมด

    "อยากจะขอคำแนะนำในการวางกำลังใจเวลาทำบุญทุกครั้งครับ"

    ก็ตั้งใจไว้ อั้ว...จะทำบุญๆ

    "นี่หลวงพ่อพูดพระไตรปิฏกฉบับจีน"

    ใช่ๆๆ มันใกล้ประเทศไทยประเทศจีนมันติดกัน

    "อ๋อ..ตั้งใจล่วงหน้าไว้ก่อนว่าจะทำๆๆ"

    ทำด้วยจิตบริสุทธิ์อานิสงส์มันสูง ทำ ทำด้วยความจำใจได้เหมือนกันแต่ผลมันต่างกัน บุญเท่ากันเป็นเทวดาได้เหมือนกัน เป็นนางฟ้าได้เหมือนกัน แต่หน้ายู่ ความเป็นทิพย์เศร้าหมอง ไม่เหมือนกัน มันอยู่ที่จิตนะ

    "หลวงพ่อคะ ที่หลวงพ่อบอกว่าที่สมเด็จฯบอกว่า จะเอาของทั้งหลายทั้งโลกทำให้บารมีเต็ม แสดงว่าการทำบารมีให้เต็มนี่ขึ้นอยู่กับของที่ถวายใช่ไหมคะ"

    ไม่ใช่ แต่ว่ามันขึ้นกับของเหมือนกัน แต่ของก็เนื่องด้วยกำลังใจ ถ้าไม่มีของให้ก็ไม่ถือว่าทานบารมี แต่ของไม่เต็มโลก

    ให้กำลังใจมันเต็ม จิตพร้อมที่จะให้อยู่เสมอ

    แต่จิตไม่คิดจะขโมยใคร ไม่อยากจะลักของใคร

    "คือว่าเวลาทำบุญ อย่างเราทำบุญด้วยปัญญาว่า ทำบุญให้ฉลาดให้บารมีเพิ่มพูนด้วย"

    คำว่าบุญ เขาแปลว่าดี ทำบุญคือทำความดี ใช่ไหม บาป เขาแปลว่าชั่ว ทำบาป คือทำความชั่ว

    "ทุกวันนี้คะ ศีลก็รักษา บุญก็ทำ แต่ทำไมยังไม่ก้าวหน้าเรื่องธรรมะเลย พอหลวงพ่อไม่อยู่ก็ฟุ้งซ่าน"

    ก็ก้าวหน้าทุกวันหมดเรื่องหมดราว ใครเขาถอยหลัง ไม่มีใครเขาเดินถอยหลัง บางครั้งบางคราวนานๆ จะเดินถอยหลังสักครั้งหนึ่ง มันก้าวหน้าทุกวันเรื่อยๆ มันแก่ทุกวัน

    "พอหลวงพ่อไม่อยู่ นิวรณ์ก็ครอบ เป็นคนขี้โมโห"

    ดี ไอ้นั่นดีมาก เป็นการพิสูจน์กำลังของตัว ต้องมีประสบการณ์ เขาทรายเมื่อคืนนี้ถ้าไม่ชกกันไม่รู้ว่าเก่ง เห็นไหม

    "อ้อ ถ้าไม่ขึ้นซ้อมก็ไม่รู้"

    ใช่ ขึ้นซ้อมก็ยังไม่แน่ต้องขึ้นชกจริง นี่กรรมเก่าเข้ามาสนองจริงๆ เราแพ้หรือชนะ มันก็ต้องชนะบ้างแพ้บ้างเป็นของธรรมดาเพราะยังไม่หมดกิเลส

    "แล้วประเภทแพ้ตลอดล่ะครับ"

    แพ้ตลอดน่ะดีมาก อ้าว..ไม่ต้องนับไงเล่า (หัวเราะ) พอขึ้นไปก็แพ้เลย ไม่ต้องเสียเวลาซ้อม

    "ข้อเท็จจริงก็มีอยู่ว่าการปฏิบัติยังขาดตกบกพร่องอย่างไรบ้าง จะได้พัฒนาขึ้นบ้างคะ"

    เอายังงี้ก็แล้วกัน ขาดตกบกพร่องทั้งหมด ต้องใช้ค่าครูแพงหน่อย (หัวเราะ)

    "การปฏิบัตินี่บางทีแพ้ บางทีก็ชนะบ้างยังไม่เป็น"

    ก็เป็นของธรรมดา ถ้ายังไม่สิ้นกิเลสเพียงใด คำว่าแพ้ ยังปรากฏ ไอ้คำว่าสิ้นกิเลสนั่นหมายถึงว่า เอาสังโยชน์ 10 เข้ามาวัด ไม่ใช่เดาส่งเดชกัน

    การปฏิบัติถ้าไม่เข้าสังโยชน์ 10 ก็ไม่ไหว ทำยังไงก็ไม่ไปไหน นั่งสมาธิกันเฉื่อยไป กูเห็นนั่นกูเห็นนี่ กูเห็นนี่กูเห็นนั่น ไม่ได้เรื่อง

    "ที่เป็นอยู่ก็รักษาศีล สมาธิไม่ค่อยได้นั่ง ถ้าเกิดตายไป จะไปนิพพานได้ไหมคะ?

    ศีล สมาธิ ปัญญา แต่มันก็ไม่แน่ลูก การใช้ปัญญามันใช้ไม่มาก เราจะรู้ได้เมื่อเวลาเราจะตาย เราฟังเรื่องนิทานเป็นปกติ

    "ทำบุญทุกครั้งก็อธิษฐานว่า ขอไปนิพพานๆๆ"

    การทำบุญกับพระ การบูชาพระ ก็ขออธิษฐานว่า ไปนิพพานชาตินี้ ตายเมื่อไหร่ขอไปนิพพาน ทีนี้ถ้าเวลาเราจะตายจริงๆ มันเกิดเบื่อร่างกายขึ้นมา เวลานั้นจิตหวังนิพพาน มันก็ไปนิพพานทันที

    "อ๋อ...ทุกคนเวลาป่วยจัดๆใกล้จะตาย มันก็ไม่อยากได้อะไรอีก"


    ใช่ มันไม่มี จะได้มันป่วยแล้วอยากไปโอ๊ยๆๆๆ อยากรวยใหญ่น่ะ (หัวเราะ)


    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 123 เดือน พฤษภาคม 2534 หน้า 23-25)


    บนอย่างไร ให้แก้อย่างนั้น


    ทุกครั้งที่ดิฉันได้พบเห็นหลวงพ่อพระราชภาวนาโกศล ไม่ว่าจะอยู่ในวัดหรือที่ศูนย์ปฏิบัติธรรม จ.นครราชสีมา ซึ่งท่านจะเดินทางมาสอนกรรมฐานและรับสังฆทานทุกๆ 2 เดือนก็ตาม จะมีลูกศิษย์พูดคุยสนทนาธรรมกับท่านเสมอ ท่านไม่ถือตัว พยายามพูดคุยกับลูกศิษย์ทุกกลุ่มทุกคนอย่างเป็นกันเอง

    แต่สำหรับตัวดิฉันเองแล้ว ไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าท่าน รู้สึกเกรงในบารมีของท่านเหลือเกิน เวลาถวายสังฆทานแต่ละคราว ก็ถวายแล้วรีบถอยออกมา

    มีอยู่คราวหนึ่ง ทางบ้านดิฉันประสบปัญหาติดขัดบางประการในด้านการค้าจึงปรึกษากัน บูชาพระแล้วขอบารมีหลวงพ่อ และตั้งโต๊ะบนต่อองค์กรมหลวงชุมพร ขอให้ท่านช่วย โดยบนจะถวายสังฆทานชุดละ 100 บาททุกๆครั้ง หากปัญหาที่มีอยู่คลี่คลายลงเรื่อยๆ
    ต่อมาไม่นานนัก การค้าก็ค่อยๆดีขึ้นเป็นลำดับขึ้นมา ดิฉันก็จดๆไว้ นับได้สังฆทานประมาณ 7-8 ถัง

    พอมาถึงโคราชก็ตั้งใจจะถวายแก้บนคราวนี้ล่ะ พอถึงเวลาจะถวายดิฉันก็เกิดแย้งกันกับคุณแม่ คืออยากถวายชุดใหญ่ 2,000 บาทดีกว่า อัพเกรดดี อย่างนี้องค์เสด็จเตี่ยท่านต้องทรงโปรดเป็นแน่

    แต่คุณแม่บอกไม่ได้ๆ แม่เคยอ่านเจอในธัมมวิโมกข์ เราจะเปลี่ยนรายการเองไม่ได้ ต้องถวายชุดละ 100 จำนวน 8 ชุด ดิฉันก็พยายามบอกคุณแม่ว่า ยังไงชุดละสองพันต้องดีกว่าแน่นอน นั่งถกกันอยู่ อึดอัดน่าดู จะถวายเล็กหรือใหญ่ดี

    ช่วงนั้นเอง หลวงพ่อท่านเจ้าคุณฯ ท่านว่างจากคนถามพอดี ดิฉันรวบรวมความกล้า เข้าไปกราบ

    ท่านมองหน้าแล้วตอบว่า

    "ถวายชุดใหญ่ไม่ได้นะ เทวดานี่ต้องตรงประเด็น ตอนบนบอกอย่าง สำเร็จจะถวายอีกอย่าง อย่างนี้ไม่ได้"

    แล้วท่านก็ได้ยกตัวอย่างหนึ่ง เล่าว่ามีโยมไปบนพระที่วัดไว้ว่า ถ้าสำเร็จจะบวชเณรให้ พอได้แล้ว โยมคนนั้นเข้าไปกราบเรียนถามหลวงพ่อเราว่า จะแก้บนเป็นบวชพระให้แทน ดีกว่า จะได้ไหม

    หลวงพ่อตอบว่า ไม่ได้ บนอย่างไร ให้แก้อย่างนั้น

    หลวงพ่อเจ้าคุณฯ จึงถามหลวงพ่อเรา ภายหลังจากโยมคนนั้นกลับแล้วว่า ทำไมจึงแก้บนในสิ่งที่ดีกว่าไม่ได้

    หลวงพ่อตอบว่า ขณะที่บน เทวดาท่านทราบว่าเราจะทำสิ่งนี้ให้ ท่านพอใจ และต้องการสิ่งๆนี้ ท่านจึงสงเคราะห์ เวลาสำเร็จแล้ว เราต้องถวายให้ตรงกับสิ่งที่ท่านต้องการ เพราะถ้าไม่ตรงกับที่องค์นี้ต้องการ ท่านก็ไม่ช่วย เป็นองค์อื่นมาช่วยแทน ฉะนั้น ต้องตรงประเด็น

    นับเป็นครั้งเดียวที่ดิฉันได้รับความเมตตาอนุเคราะห์จากหลวงพ่อพระราชภาวนาโกศล เพราะดิฉันไม่มั่นใจถ้าจะถามจากคนอื่น ทำให้หลังจากนั้นมา จะทำอะไรจะขออะไรเมื่อสำเร็จแล้วต้องถวายตามที่บนตรงประเด็นตลอดค่ะ

    นับเป็นเมตตาที่ท่านสงเคราะห์ส่วนตัวโดยตรงจริงๆ สาธุ


    จากลูกจิ๋ว ศศิมา เปี่ยมคุณากร จ.ขอนแก่น


    (คัดลอกบางส่วนจากหนังสือ ลูกศิษย์บันทึก พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชภาวนาโกศล โดย ศศิมา เปี่ยมคุณากร หน้า 239)


    1225519.jpg
     
  15. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    111
    ค่าพลัง:
    +225,705
    อาบน้ำมนต์ 7 วัด


    ผู้ถาม : การปฏิบัติตามคำคนโบราณที่พูดว่า ถ้าจะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้สำเร็จสมหวังนั้น เขาบอกว่าเบื้องบนจะช่วย ถ้าเบื้องบนไม่ช่วยแล้วไม่สำเร็จ หนูทำทุกสิ่งทุกอย่างตามคำแนะนำ แต่เบื้องบนเบื้องล่างไม่มีทางช่วยลูกได้เลย

    ลูกตั้งใจว่าจะไปอาบน้ำมนต์สัก 7 วัด เพื่อที่จะได้ช่วยกำจัดสิ่งเลวร้ายของลูก อันนี้จะมีทางเป็นไปได้ไหม และควรจะไปวัดไหนดีเจ้าคะ

    หลวงพ่อ : แต่ความจริงน้ำมนต์ 7 วัดไม่ต้องเดินไปหรอกนะ รดวัดเดียวได้ทั้ง 7 วัด

    ที่เขาสวดคาถาว่า "อายุวัฒฑโก ธนวัฒฑโก สิริวัฒฑโก ยศวัฒฑโก พลวัฒฑโก วรรณวัฒฑโก สุขวัฒฑโก"

    บทนี้สะเดาะห์เคราะห์ใหญ่ใน มงคลจักรวาลน้อย

    ในสมัยโบราณท่านพูดแบบมีปัญหา ถ้าเคราะห์ร้ายให้รดน้ำมนต์ 7 วัฒฑ์

    คนที่ไม่เข้าใจก็เดินจนครบ 7 วัด แต่ความจริงเขาเสกน้ำมนต์ด้วยบทนี้ รดขันเดียวก็ครบ 7 วัฒฑ์ ใช่ไหม


    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 176 เดือนพฤศจิกายน 2538 หน้า 84)


     
  16. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    111
    ค่าพลัง:
    +225,705
    ((((((_8211367680955793420_n.jpg
    พิธีสะเดาะเคราะห์ มีคุณมีโทษ มีประโยชน์ไม่มีประโยชน์

    อาตมาหรือว่าฉันเองนี่ เอาฉันก็แล้วกัน ถ้าเป็นเด็กๆกว่านี่ ไอ้ฉันมันโตกว่า ใช้ฉันนะ อาตมาอาตเมอเดี๋ยวเด็กมันฟังไม่รู้เรื่อง เดี๋ยวจะนึกว่าเอ้าไปเอาม้าที่ไหนมาจะหาว่าพระเป็นม้าไป

    ฉันนี่เมื่อสมัยตอนเมื่อยังหนุ่ม ตอนนั้นปรากฏว่ามีโยมท่านผู้เคารพน่าเคารพผู้หนึ่ง ท่านเมตตา ท่านเป็นหมอดูหลายแบบ ดูดวงชะตาก็ได้ เลขเจ็ดตัวก็ได้ มหาทักษาก็ได้ กราฟก็ได้ ลายมือก็ได้ ท่านช่วยมาดูให้ทุกๆ 15 วันเฉพาะลายมือ

    มาตอนหนึ่งท่านมาบอกว่า

    "คุณ ตอนนี้ราหูเข้าเสวยอายุเป็นตอนที่มีความสำคัญมาก จะมีโทษทางท้อง จะเป็นโรคเกี่ยวกับท้อง ให้รับพระราหูเสีย"

    อาตมาก็คนหนึ่งในตองอูเหมือนกันยอมพิสูจน์บอก

    "โยม อาตมาถือว่าราหูมาก็ไม่ได้เชิญมา เมื่อไปก็ให้เชิญไปเองไม่ส่งละ ไม่รับไม่ส่งเป็นอย่างไรก็เป็นไป"

    ท่านบอก "ไม่ได้นะคุณนะ ไอ้เจ้าเฉลิม (คือเจ้าเสือปืนคู่สมัยนั้นอยู่ฝั่งธนบุรี) มัน
    ต้องตายเพราะตำรวจ เพราะว่าชะตาแบบนี้ ราหูเสวยอายุแบบนี้ ถ้าคุณไม่ทำ ฆราวาส
    ก็มีโทษ พระจะให้โทษให้เต็มอัตรา 100%

    ถ้าเป็นพระโทษจะเหลือประมาณ 25% คุณจะมีเรื่องหนักทางท้อง"

    ฉันก็เลยบอกว่า "เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน รอซะก่อนถ้ามันมีโทษจริงจะเชื่อ"

    แน่ะ แกดูอย่างอื่นเชื่อมาหมด อีตอนนี้ไม่ค่อยจะเชื่อ คนไม่ค่อยเต็มบาทนี่ ถ้า
    ไม่ 80 สตางค์ ก็ 6 สลึง ไม่มีวันครบบาทหรอกฉันนะ

    อยู่ต่อมาไม่กี่วันไม่นานนัก ไม่เกิน 10 วัน โยมก็มาเตือนอีกว่า

    "คุณ อีก 15 ภายใน 15 วันนะเข้าจุดสำคัญแล้วนะ เส้นลายมือก็บอก มหาทักษาก็บอก ดวงก็บอก เลขเจ็ดตัวก็บอก คุณนิ่งไม่ได้"

    บอก "รอก่อนโยม ให้มันเจอะเองซะก่อน"

    ก็พอดีมียาขนานหนึ่ง พระเขาฉันมาดีทุกองค์ๆ ก็ไปฉันบ้าง เท่านั้นแหละ ท้องถ่าย 3 ครั้งเท่านั้นแหละ หมดสติเลย สิ้นเวลาไปประมาณ 8 ชั่วโมง ฟื้นขึ้นมาง๊อกแง๊กโงเง

    ก็รวมความว่าคราวนี้เชื่อซิ เอาเข้าจริงๆ ตามวันเวลาที่โยมบอก

    โยมมาถามว่า "ไงคุณ ว่าไง?"

    บอก "เอาละ" เชื่อซิคราวนี้เชื่อแน่มันต้องเจอะกันจริงๆแบบนี้ ดีไม่ดีเสือกตายไปซะเลยแน่ะ นี่พูดภาษาไทยนะ ผู้ดีเกินไปอย่าฟังนะไม่ได้พูดให้ผู้ดีฟังนะ พูดให้ลูกๆ หลานๆ ฟัง

    หลังจากนั้นตอนพระราหูออกโยมบอก

    "ส่งราหูเสีย ให้ไปรับพระศุกร์"

    โยมก็ดี ไอ้การส่งการรับนี่โยมทำหมด สตางค์หนึ่งก็ไม่ได้เสีย โยมทำให้เรียบร้อยทุกอย่าง พอโยมทำแล้วโยมก็บอกว่า

    "อีตอนพระศุกร์เสวยอายุนี่ คุณมีลาภหนัก เงินจะมา เงินจะทรงตัว สมัยนั้นหากิน
    ไม่ค่อยพอกิน เป็นนักเทศน์แต่ได้มาก็เลี้ยงพระเลี้ยงลูกศิษย์หมด ไอ้พระไอ้ลูกศิษย์นี่ก็ดีเหมือนกัน เพราะว่าคนชะตาอาตมานี่ ท่านบอกว่า

    "เกิดมาทำคุณกับใครนี่เหมือนไฟตกน้ำ" ตามชะตานะ โยมบอกอย่างนั้น บอก
    "คุณทำคุณกับใครอย่าหวังผลตอบแทนนะ มันไม่รู้คุณนะไอ้คนพวกนั้นนะ"

    แต่เวลานี้ดีลูกหลานทรงธรรม ตอนนี้ไม่ใช่อาตมามีคุณกับลูกหลาน ลูกหลานมีคุณละ เอาอย่างฉันดีกว่าเพราะอะไรลูกหลานเลี้ยงเวลานี้ แต่ไอ้คนที่เลี้ยงไว้เองมันไม่ได้โผล่หน้ามาให้เห็นเลย เยอะแยะไอ้พวกนี้ ไม่ใช่คนอกตัญญูไม่รู้คุณคน คือเป็นคนลืมคน ลืมข้าวแดงแกงร้อน นี่ไม่ใช่ประณามนะ พูดให้ฟัง อย่าสะเทือนใจ เราถือว่าเราให้เป็นการให้ทาน

    หลังจากนั้นรับพระศุกร์ส่งราหู รับพระศุกร์เสร็จ ต่อมาประมาณไม่เท่าไรเดือนไม่ถึงละมั้ง เดินมาส่งเพื่อนที่ท่าเตียนกลับ เวลานั้นอยู่วัดประยูรวงศ์ เจอเจ๊กขายขวดนั่งยิ้มแต้ แกนั่งอยู่บนลังขวด ไอ้หาบขวดที่ขาย เห็นหน้าแกก็ยิ้ม

    ถาม "เถ้าแก่ยิ้มทำไม?"

    "ท่านวันนี้ไม่นับ วันพรุ่งนี้ มะรืน มะเรื่อง ภายใน 3 วัน ท่านจะได้เงินเป็นหมื่น"

    เราก็นึก เอาละ เจอะพิเภกเจ๊กเข้าอีกแล้ว เจอะเหมือนกับ ร.1 กับพระเจ้าตากสิน
    เจ๊กเห็นหน้าบิณฑบาตมาด้วยกัน เจ๊กยิ้ม

    ถาม "ทำไม"

    บอก "เอ้า ท่านทั้งสององค์จะได้เป็นพระราชาเป็นพระเจ้าแผ่นดิน"

    ท่านทั้ง 2 องค์ ก็เลยนึกว่าเจ๊กบ้า

    เพราะอะไร อายุไล่เลี่ยกัน พระเจ้าตากสินกับ ร.1 แล้วบวชพระด้วยกัน ถ้าเป็น
    พระเจ้าแผ่นดินก็ต้องเป็นพร้อมกัน พระเจ้าแผ่นดินเป็น 2 องค์ ได้เมื่อไร ถ้าเป็น
    ได้ 2 องค์ ก็ต้องอยู่คนละประเทศ นี่เจ๊กคนนั้นก็พยากรณ์ตามนั้น ก็นึกว่า เอ้าว่าอย่างไงก็ว่าไป

    ถาม "เถ้าแก่ จะได้อย่างไร ฉันเทศน์กัณฑ์ละ 100-200 บาท ยังแย่เลย จะเอาเงินหมื่นเงินแสนมาจากไหน คนอย่างฉัน ไม่มี"

    เขาบอก "ได้แน่ วันที่ 4 จากวันผมพยากรณ์ ผมจะไป ถ้าหากว่าไม่มีจริงๆ จะต่อว่า จะลงโทษอย่างไรก็ได้"

    พอกลับมาถึงวัด ตอนนั้นมันท้ายสงครามโลกครั้งที่ 2 สบู่หายาก โซดาไฟหายาก มีเพื่อนคนหนึ่ง เอาโซดาไฟใส่รถโกดังมาเลย เวลานั้นพระหนีระเบิด มาฝากไว้เต็มกุฏิหมด

    ถาม "มีที่กว้างไหม บ้านผมมันแคบ"

    ถามว่า "มาจากไหน"

    บอก "ไม่รู้ละ ได้มาด้วยความบริสุทธิ์ ไม่ต้องกลัวตำรวจจับ ฝากไว้ตีราคาไว้เลย
    ถ้าใครเขาจะซื้อบอกเขาด้วยครับว่าราคาถังละเท่านี้" ก็จำไว้

    ปรากฏว่ารุ่งขึ้นอีกวันมีโทรศัพท์มาถามว่า

    "รู้จักใครมีโซดาไฟไหม เขามีที่ขาย?"

    บอกว่า "ที่กุฏิมี เพื่อนฝากไว้"

    ไอ้คนที่โทรมาก็เพื่อนเหมือนกันบอกว่า ไอ้เพื่อนคนนั้นมันฝากไว้

    "มาดูได้ว่าแท้หรือ ไม่แท้" ก็ไม่รู้ไม่ได้เปิดดูของมัน

    ก็เลยบอก "ต้องการพบเจ้าของ" เลยโทรศัพท์ไปบอกเจ้าของ ทั้ง 2 ฝ่าย มาเจอะกันเข้า

    สมมุติเอานะว่าเจ้าของจะขายกระป๋องละ 1,000 บาท ไอ้เพื่อนคนที่ซื้อบอกว่า
    "จะซื้อ 1,400 บาท"

    ถามว่า "ทำไมเป็นอย่างนั้น" ฉันก็นั่งฟังว่าไอ้สองคนนั่นใครมันบ้ากันแน่

    บอก กูเอาพันเดียว"

    ไอ้นั่นบอก "กูจะซื้อ 1,400"

    สมมุติเอา ก็เป็นอันว่าตกลง

    ก็เลยถามว่า "แกทำไมซื้อแพงละ?"

    บอก "ผมจะไปขาย 1,800 ครับ เขาบอกผมมาอย่างนั้น เขาว่ากระป๋องละ
    1,800 ยี่ห้อแบบนี้นะ ลักษณะแบบนี้"

    ก็เลยตกลงกัน เขาวางเงินกันเสร็จ ไอ้เงินส่วนที่เหลือ ไอ้เพื่อนก็บอกว่า

    "เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน กูได้ 1,000 บาท กูได้กำไรแล้ว"

    ไอ้นั่นบอก "กูซื้อไป 1,400 นี่ กูก็ได้กำไรแล้ว เงิน 400 บาท ที่เกินนี่ถวายพระไป"

    โอ้โฮ้...ได้ตังค์ตั้ง 30,000 กว่า

    รุ่งขึ้นวันที่ 4 เจ๊กมาซิ

    ถาม "ได้ไหม?"

    บอก "ได้"

    "ขอแบ่งให้หมื่นหนึ่ง"

    แกบอก "ไม่เอาสตางค์หรอก ผมต้องการความรู้ของผม"

    ก็เลยเลี้ยงก๋วยเตี๋ยวไปชาม แกกินชามเดียว

    ถามว่า "ทำไมถึงไม่ต้องการ?"

    บอกว่า "ผมต้องการพิสูจน์ตำราของผม ตำราดูหน้าคน ถ้าตำรานี้ถูกอีกปีผมก็รวย ผมอยากจะดูคนแบบนี้มานานแล้ว ถ้าได้จริงๆ แบบนี้อีก 3 ปี ผมรวยมากกว่านี้เยอะ"

    รวมความว่าเจ๊กก็ไม่เอา เงินที่เหลือเพื่อนก็ไม่เอา ทำไงละ ตาอยู่ก็ได้ ตาอยู่ก็ใคร คืออาตมา ก็ฉันอยู่ ฉันอยู่ที่กุฏินั้นไอ้เพื่อนมาทิ้งไว้ที่นั่น เราก็ได้ เขาบอกให้ไว้เลย

    นี่แหละผลมันเป็นอย่างนี้นะ หลายคนที่เขาบอกว่ามีผล แต่ว่าคนที่มาทำนี่จะมีผลหรือ ไม่มีผลก็ตามใจ ไม่ได้ว่าอะไรนะ แต่ว่าอย่าลืมนะ ไม่ได้ประกาศให้ใครมาโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เวลาจะมาทำมามากๆ ขอประกาศอีกซักหน่อย กลางเดือน 12 จะทำพิธีสะเดาะเคราะห์เต็มกำลังทุกปี ให้ทุกคนเวลาจะลอยกระทงมาพร้อมกัน กลางเดือน 12 เวลากลางคืน เริ่มเวลา 3 ทุ่ม จะทำพิธีสะเดาะเคราะห์ทุกปี

    ที่อาตมาแนะนำมาก็ต้องหยุดแต่เพียงเท่านี้ ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนและลูกหลานทุกคน สวัสดี


    (จากธัมมวิโมกข์ ปีที่ 6 ฉบับที่ 53 หน้า 135-139)


    (((((((((((((((((((82365920_o.jpg

    เรื่อง พิธีสะเดาะเคราะห์

    สะเดาะเคราะห์นี่มันเป็นการบำเพ็ญ ไม่ใช่รับเคราะห์เขานี่ ต้องเชื่อกฎของกรรมอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัส ไม่ใช่ว่าพอทำพิธีสะเดาะเคราะห์แล้วเคราะห์มาเข้าตัวเองอะไรอย่างนี้

    พิธีสะเดาะเคราะห์ คือ ทำความดีหนีความชั่ว

    หมายความว่าช่วงจังหวะที่อกุศลกรรมมันจะมาทันเราพอดี ทันพอดีเลยเวลานี้ เราเดินมาพอดีมันก็ถึงพอดี แต่ถ้าเราวิ่งไวกว่า มันก็พลาดเหมือนกัน คือวิ่งสปีดให้มันไวกว่าปกติสักหน่อย

    มีอยู่คราวหนึ่งไปชลบุรีกับหลวงพ่อ มีหลวงพ่อ หลวงปู่ธรรมชัย ฉัน แล้วก็หลวงพี่โอ หลวงพ่อบอก เฮ้ย ! สามโมงออกเดินทางนะ สามโมงปุ๊บ นายทหารชั้นผู้ใหญ่ก็มา จะเจิมนั่นจะเจิมนี่ จะให้หลวงปู่ธรรมชัยเจิม

    หลวงพ่อท่านก็บอก หลวงปู่ เวลาก็ต้องเป็นเวลา ไป ! หลวงปู่ก็งง (หัวเราะ) หลวงพ่อดุนี่

    "อ๋อ..หลวงปู่นี่เคยถูกดุเหมือนกันเหรอครับ"

    โดน (หัวเราะ) หลวงปู่ธรรมชัยนะ หลวงปู่ธรรมชัย พอมาในรถท่านก็บอกตอนสามโมงน่ะ ที่ออกสามโมงนั่นน่ะ มันจะคลาดกันที่ตรงไหน รถมันจะชนกัน ถ้าเราไปช่วงหลังจากนั้นน่ะมันจะชนกันตรงนั้นเราไปไปชนกันพอดี เราไปช่วงนี้มันจะคลาดกันตรงนั้น

    สะเดาะเคราะห์มันมีอะไรล่ะ เราไม่ได้เรียกเป็นเงินเป็นทองห้าบาท สิบบาท ร้อยบาท พันบาท แต่แสนบาทเราก็เอาใช่ไหม (หัวเราะ)

    การเจริญภาวนาก็ถือว่าเป็นบุญ การฟังพระสวดอภิธรรมก็ถือว่าเป็นบุญ มีอานิสงส์ ใช่ไหม การรักษาศีลก็ถือว่าเป็นบุญสะเดาะเคราะห์ เดินมานี่ให้ภาวนาว่าพุทโธ ก็เป็นพุทธานุสสติเป็นบุญใหญ่ ไม้ที่แตะนี่ (คธาเสก) ก็พระพุทธเจ้าทำใช่ไหม ก็เป็นพุทธานุสสติ

    บุญสามสี่อย่างมารวมกันนี่ มันก็มากกว่าธรรมดา มันก็เพิ่มพลังขึ้น ทำให้หนีได้เร็วขึ้น ไวขึ้น

    (จากคอลัมภ์ "จากคำบอกเล่า" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 162 สิงหาคม 2537 หน้า 82-83)


     
  17. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    111
    ค่าพลัง:
    +225,705
    (((((((((3992227_8763259739941651611_n.jpg


    หลวงพ่อบอกวิธีพิสูจน์พระหลวงปู่ปานว่าแท้หรือไม่

    พระเครื่องหลวงพ่อปาน เวลานี้ถ้ามีที่ไหน บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายก็โปรดทราบว่า ถ้าเขามีมากๆก็จงอย่าเรียกว่าเป็น "พระปลอม" อาจจะเป็นพระทำขึ้นมารุ่นใหม่ รุ่นเก่าน่ะไม่มีเหลือแล้ว ขอยืนยัน ถ้าเขามีก็ไม่มีใครเขาขายกัน

    พระหลวงพ่อปาน มีเครื่องสังเกตได้อยู่อย่างหนึ่งคือว่า ถ้าจับแมลงป่อง หรือตะขาบมากัด เอาพระจุ่มน้ำเข้า เอาหลังแปะเข้าที่ถูกกัด เป็นงูร้ายก็ได้ ประเดี๋ยวเดียวพระจะเริ่มดูด ดูดแล้วก็ไม่ยอมหลุด ไม่ต้องเอาอะไรผูกไม่ยอมหลุด ผูกกับแขน ยกแขนยกขา อะไรได้ทั้งหมด พระไม่หลุด ถ้าพิษหมดจะหลุด

    และก็ประการที่สอง ถ้าเป็น พระหลวงพ่อปานจริงๆ ให้อาราธนาตามรูป รูป "หนุมาน" หรือ "ครุฑ" ก็ตามว่า "อิทธิฤทธิ พุทธะนิมิตตัง ขอเดชะเดชัง ขอเดชเดชะจงมาเป็นที่พึ่งแก่มะอะอุนี้เถิด" เพียงเท่านี้แล้วก็ใส่ในน้ำ จะมีเสียงร้องจิ๊กๆๆ อย่างนี้เป็นพระหลวงพ่อปานแท้

    ถ้าทดลองอย่างนี้ ไม่มีเสียงตามนี้ ไม่ใช่พระหลวงพ่อปาน

    เพราะว่าเวลานี้ก็มีคนบางท่าน เมื่อเร็วๆนี้ เมื่อไม่กี่วันมานี้ เมื่อต้นเดือนมกราคม อาตมาไปที่ซอยสายลม มีท่าน พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน อดีตแพทย์ใหญ่กรมตำรวจและเป็นประธานมูลนิธิหลวงพ่อปาน-พระมหาวีระ ถาวโร มาบอกว่า มีคนมีพระหลวงพ่อปาน 300 หรือ 400 องค์ก็ไม่ทราบ จะให้มาแจก ตั้งราคาองค์ละ 3.... บาท แต่ขอกลับไปครึ่งหนึ่ง

    อาตมาก็บอกว่า ไม่ต้องแล้ว พระหลวงพ่อปานหมดตั้งแต่สมัยอาตมาแจกเองแล้ว พระ 4,000 องค์ไม่ทันเสร็จงานก็หมด แล้วจะมีใครสามารถมากักตุนได้นี่ตั้งหลายร้อยองค์ ก็เชื่อกันไม่ได้

    แต่ว่าถ้าจะเป็นของจริงก็ให้อาราธนาตามที่กล่าวมาแล้ว ถ้ามีเสียงร้องได้จริง ก็เป็นพระหลวงพ่อปานจริง

    ถ้าถูกงูกัด ตะขาบกัด แมลงป่องกัดต่อยก็ตาม ชุบน้ำเอาหลังแปะประเดี๋ยวเดียวพระจะดูดติดกับเนื้อ โดยยกแขนขึ้นมาสลัดก็ไม่หลุด

    อย่างนี้เป็นพระหลวงพ่อปานแท้ นี่เป็นเครื่องพิสูจน์พระหลวพ่อปาน



    (จาก ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 209 เดือน สิงหาคม 2541 หน้า 23-24)
     
  18. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    111
    ค่าพลัง:
    +225,705
    messageImage_1716064276.jpg

    รูปในนาม

    เมื่อกี้เขาพูดทำไมเห็นวิมาน (อย่างนี้) เป็นรูปธรรม เป็นรูปใช่ไหม วิมานเป็นปราสาท
    มีร่างกาย มีอทิสสมานกายอย่างนี้

    มีอยู่คราวหนึ่งก็เกิดปัญญาแหลมขึ้นมาก็คุยกับโยมน้อย (กานดา อมาตยกุล) โยมน้อย หลวงพ่อเราบอกว่ามนุษย์เรา มีรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ 5 อย่างนี่รวมเป็นขันธ์ 5 ใช่ไหม นี่อยู่ในมนุษยโลกนะ ทีนี้อย่างเทวดาก็มีสุขเวทนา ใช่ไหม


    ทีนี้เวลาตกนรกก็มีทุกขเวทนา ใช่ไหม ก็ไหนว่าเวทนามีแต่เฉพาะขันธ์ 5 ในมนุษย์โลก เวทนาที่
    สวรรค์ก็มี เวทนาที่นรกก็มี นั่นเขาเรียกอะไร ก็เกิดปัญหาถาม ไอ้เราไปถามหลวงพ่อก็จะโดนตะพด ฝากโยมน้อยไปถาม

    โยมน้อยไปถึงก็คุยแฉ๊บๆไป พอถึงตรงนี้ ท่านนันต์ท่านสงสัยเรื่องเวทนาบนสวรรค์ หลวงพ่อบอก "บอกมันเลยนะ ไอ้นี่มันไม่พ้นนรก" ไฟเราแทบจะดับเลย

    ตอนหลังหลวงพ่อก็อธิบายให้ฟังเข้าใจง่าย บอก "ไอ้ที่พระเข้าใจว่ามนุษย์ก็มีเวทนา
    นรกก็มีทุกขเวทนา อย่าไปสนใจ ตัวนี้ (ตัวข้างบน) ภาษาที่เขาพูดกันเขาเรียกว่า "รูปในนาม" ท่านว่าอย่างนั้น พอท่านพูดเราก็เข้าใจ ไม่ให้เราสนใจด้วยนะตัวนี้ สนใจ
    จะตกนรกเอา ไม่พ้นนรก เราก็เลิก ปิดบัญชีเลย เราเอาแค่ขันธ์ 5 ถ้าวิเคราะห์ก็มีอีกเยอะนี่ ตามอภิธรรม

    ยกทรงถามว่า ผมสงสัยมานานที่ว่าเปรตมันกินเสลดน้ำลายมันกินอย่างไร หลวงพ่อ
    ก็เลยบอกว่า "มันกินรูปในนาม"

    มันนึกถึงเสมหะอะไรต่างๆเป็นรูปขึ้นมา แล้วก็นึกกินเข้าไปในตัวเปรต อย่างนี้หรือเปล่าครับ

    ท่านเจ้าคุณฯ ตอบว่า คงจะอย่างนั้น ดูตอนฝันสิบางทีวิ่งเหนื่อยแทบตาย ตื่นขึ้นมาเหงื่อกาฬแตกเหมือนกันนะ ตัวนี้คือ รูปในนาม มีรูป มีภาพนี่ ใช่ไหม เข้าใจไหม



    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 471 เดือนมิถุนายน 2563 หน้า 19-20)



    สร้างส้วมใต้ถุนโบสถ์


    เออ เดี๋ยวจะเล่าเกร็ดความรู้สักเรื่องหนึ่งมันไม่มีในตำราหรอก ที่วัดเราสร้างหอพระ
    อยู่แล้ว อยู่หลังพระอุโบสถแถวห้องพัก 17 ห้อง ที่นั่นจะมีเป็นตึกอยู่หลังหนึ่งเก็บพระพุทธรูปทั้งหมดเลย เก็บจนเต็มแล้วไปไว้บนดาดฬา

    การสร้างห้องเก็บพระพุทธเจ้านี่ จำไว้เลยว่าไม่ให้ทำห้องส้วมห้องน้ำในนั้น

    มีอาจารย์อยู่องค์หนึ่ง ชื่อ หลวงพ่อลักษณ์ (วัดชอนเดื่อ) ที่โคกสำโรง เดี๋ยวนี้ท่านได้มรณภาพแล้ว สมัยก่อนหลวงพ่อเคยไปที่วัดท่านที่โคกสำโรง หลวงพ่อลักษณ์ก่อสร้างพระอุโบสถ 2 ชั้น ใต้ถุนก็ทำเป็นห้องน้ำห้องส้วม ตอนก่อสร้างก็มีอุบัติเหตุไปเรื่อย สร้างไม่เสร็จสักทีมีปัญหาตลอด ทำยังไงก็ไม่เสร็จ ก็มาปรึกษาหลวงพ่อเหมือนกันบอก ไม่รู้มันเป็นยังไงครับโบสถ์หลังนี้สร้างยังไงมันก็ไปเสร็จ มีปัญหาตลอด

    หลวงพ่อบอกว่า "แกไปสร้างห้องส้วมที่ใต้ถุนพระอุโบสถนี่"

    เราก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร ที่แท้เทวดาไม่ยอม หลวงพ่อเลยบอกให้ทุบส้วมออก ไปบวงสรวงให้แล้วก็ผ่านมาได้ ของเราตึกที่หลังพระอุโบสถนั่นก็เหมือนกัน ท่านทำห้องสำหรับพระอยู่ แต่ไม่ทำห้องน้ำในนั้น ต้องออกไปข้างนอกอาคารหมด

    ขอให้จำไว้ว่า ที่เก็บพระพุทธเจ้านี่ วิหารพระพุทธเจ้านี่นะ เขาไม่ทำห้องน้ำห้องส้วมในนั้น ในเขตพุทธสถาน ก็แปลก



    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 457 เดือนเมษายน 2562 หน้า 15)



    การขอพระบรมสารีริกธาตุ

    อย่างขอพระบรมสารีริกธาตุ ถ้าคนอื่นขอ เออ ไปตักเอาสิ แต่พอเราขอนี่ เงียบ รุ่นนั้นหน้าแทบแตก

    ยกทรงบอก เป็นอย่างไรบอกหน่อยซิ

    คือมีอยู่วันหนึ่ง เคยเล่าให้ฟังแล้ว คือมีคนโทรศัพท์ไป ตอนนั้นมีฉัน มีหลวงพ่อ มีครูพรนุช ครูพรนุชก็ไปตักเอาพระบรมสารีริกธาตุ ตอนหลังมีพวกกันมาขอ เดี๋ยวจะไปขอหลวงพ่อให้

    ทีนี้หลวงพ่อก็นั่งฉันยาอยู่ ฉันยาเสร็จก็จะไปอาบน้ำ บอก หลวงพ่อครับ มีคนเขามาขอพระบรมสารีริกธาตุครับ คนนี้คนนั้นหลวงพ่อจำได้ไหมครับ

    (หลวงพ่อบอก) เออ จำได้

    พูดซะดีเลย หลวงพ่อครับได้ไหมครับ

    ท่านก็เงียบ เอ จะได้หรือเปล่าหว่า หลวงพ่อก็ลุกจะไปอาบน้ำ หลวงพ่อครับ หลวงพ่อครับ ขอสัก 5 องค์ได้ไหมครับ

    หลวงพ่อก็นั่งลงอีกที (บอกว่า) การขอพระบรมสารีริกธาตุนี่ ที่สมควรแล้วนี่ต้องเอาดอกไม้ธูปเทียนมา การทำอย่างนี้ถือว่าไม่สมควร การจะขอการจะเชิญพระพุทธเจ้านี่ต้องดอกไม้ธูปเทียนจึงสมควรยิ่ง

    เราก็หน้าซีดไปเลย เลยบอกเพื่อน เฮ้ย มึงเอาดอกไม้ธูปเทียนมาเลยนะ กูหน้าแตกมาแล้ว ต้องเอาดอกไม้ธูปเทียนเป็นการบูชานี่

    หลวงพ่อไม่ติงอย่างนี้เราก็ยังหยาบ เพราะเห็นคนอื่นขอก็มาตักไปได้นี่ เราก็ขอได้ แต่ท่านสอนเราให้ละเอียดขึ้น ไม่ใช่ดอกไม้ธูปเทียนไม่สำคัญ ต้องรู้ความสมควร

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 468 เดือนมีนาคม 2563 หน้า 26)
     
  19. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    111
    ค่าพลัง:
    +225,705
    messageImage_1715460718886.jpg

    หลวงพ่อไม่แสดงฤทธิ์


    ท่านเจ้าคุณฯ บอกว่า อันที่จริงนี่ อย่างปลุกเสกของอะไรนี่นะ เราคุยเฉพาะลูกศิษย์หลวงพ่อนะ อันที่จริงนี่หลวงพ่อท่านทำได้ทุกอย่าง แต่คนถ้าไปติดฤทธิ์ตรงนี้มันจะไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ หลวงพ่อถึงไม่เลือกทำตรงนี้

    หลวงพ่อไสบาบา ไม่ใช่คุยข่มท่านหรอก หลวงพ่อท่านก็ทำได้อย่างนั้น แต่คนจะไปติดฤทธิ์ จะสอนธรรมะ พุทโธ ธัมโม สังโฆ มันไม่เอาแล้ว มันจะเอาแต่ฤทธิ์ จะติดแต่ฤทธิ์นั่นแหละ ทางหาทางพันทุกข์มันจะไม่เอา

    ของหลวงพ่อนี่ท่านเอาเจโตฯ หรืออภิญญาของท่านสะกิดใจภายในใจของคนนิดๆ เท่านั้นเอง ให้เกิดศรัทธาเพื่อท่านจะได้ป้อนธรรมะเข้าไป แต่ไสบาบาท่านอาจจะมีอภิญญา ถ้ามีอภิญญาทำได้นี่ อย่าง เดวิด คอปเปอร์ฟิลด์ ที่เล่นกลนั่นนะ เขาว่าใช้อภิญญาจริง หลวงพ่อก็ว่าจริง อภิญญาทำได้ทุกอย่าง แต่ชวนไปนิพพานไปกันไหมล่ะ ไม่ไปหรอก มันติดอยู่ตรงนี้ ติดฤทธิ์ มีแล้วก็อยากให้เขาสรรเสริญ ตัวนี้โลกธรรมก็เข้าไปแล้ว อย่างไสบาบาหลวงพ่อท่านก็ไม่ค่อยพูดถึง แต่เดวิดนี่ท่านพูดว่า (ใช้) อภิญญา

    หลวงพ่อจะสอนอะไรจะสอนวิปัสสนาญาณควบไปด้วย สอนนำหน้าสมถะทั่วไป เพราะกลัวคนมันจะหลง อย่างเขาว่าเรามีอภิญญา เรามีอภิญญาจริง แต่ว่ามันจะฟู มันห้ามไม่ได้หรอก จิตมันจะบอกว่า พวกนี้มันโง่กว่าเราทั้งนั้นนี่ เรานี่เก่ง เราทำไอ้นี่ได้ แต่กิเลสไม่ใช่มันลดนะ มีทิพพจักขุญาณไม่ใช่กิเลสมันลด มันเท่าเก่า ถ้าเผลอมันก็ครอบเรามากกว่าเก่าอีก ต้องระวัง ต้องใช้ปัญญาควบไปด้วย ถ้าไม่ใช้ปัญญควบนี่เสียหายได้ เสียหายแก่ตัวเราเอง

    ส่วนมากหลวงพี่นี่ชอบสุกขวิปัสสโก ไม่ค่อยรู้เรื่องนี้มาก ถ้าพวกมีฤทธิ์ด้วยกันจะชอบค้นคว้า ตามหา จะคุยกันเป็นเรื่องเป็นราว ฉันคุยไม่ค่อยได้นาน เพราะว่าเรานิสัยมันไม่ชอบ นิสัยมันชอบเงียบๆ อะไรอย่างนี้ ที่ชอบเพราะมันไม่ได้นะ เลยมันหายอยากไม่เอา

    สมัยก่อนบวชพระใหม่ จับกสิณกองนี้นะเป็นทองคำ เราเอาก่อน พอไม่ได้เอาสีนี้ดีกว่า เอาใหม่อีกแล้ว เลยไม่ได้ซักกอง เพราะอะไร เบื่อ เพราะมันคงจะไม่เอาจริงนั่นแหละ

    หลวงพ่อท่านก็พยากรณ์ไว้แล้วนี่ หลวงพ่อท่านไม่ได้พยากรณ์เองหรอก พระบอก พระใหม่เอ๊ย เดินทางมหาสติปัฏฐานสูตรนะ ไอ้เราก็ไม่รู้ว่ามหาสติปัฏฐานสูตรเป็นยังไง ไปอ่านดูมันมีแต่สุกขวิปัสสโกทั้งนั้น

    เราก็เอาละวะ กำลังอยากได้ฤทธิ์พอดีนี่ สุกขวิปัสสโกรึ ลูกจะได้กองไหนขอให้เปิดเจอ เจอแต่สุกขวิปัสสโก ไม่เกี่ยวกับฤทธิ์สักกอง ไม่มั่นใจอธิษฐานใหม่ ก็สุกขวิปัสสโกอีกนั่นแหละ เลยไม่เอาแล้ว กลัวจะเสียกำลังใจ เอา 2 ครั้งพอ ครั้งที่ 3 เอาไว้ลุ้น ก็ความอยากนั่นแหละ อยากจะมีฤทธิ์ อยากเหาะไปโน่นไปนี่ พอปฏิบัติจริงๆ มันก็หายอยาก ทำไปๆมันก็ไม่ได้สักที คงไม่ได้ นิสัยมันจะไม่ได้

    คนที่ได้อภิญญานี่ภาษาชาวบ้านเขาเรียก ต้องบวมๆหน่อยๆ คนบ้าบิ่น เอาจริงเอาตาย อย่างนั้นแหละ สังเกตดูเหอะพวกได้อภิญญามองเผินๆ คล้ายบวมๆหน่อยๆ แต่เป็นคนเอาจริง รอบนี้เอาจริง มันบ้าเอาเป็นเอาตายเลยแหละ ถ้าคนต้วมเตี้ยมๆ ไม่มีทางหรอก เช้าชามเย็นชามอย่าไปหวัง

    ภาวนา พุทโธ จับภาพนิมิตได้นิดๆหน่อยเลิกแล้ว เดี๋ยวถึงเวลาคงจะมาเองหรือไง ไม่มาเองหรอก ของเราต้องทำเอง ไม่ใช่ลอยมาเองแล้วก็ได้เลย ไม่ได้หรอก หวังถูกหวย รวยโป ได้ อย่าไปหวังอย่างนั้น

    (หลวงพ่อ) ท่านคนจริงนี่ ท่านทำอะไรทำจริง เราอยากได้อะไรง่ายๆ อยากทำน้อยได้มาก ชอบอย่างนี้ อยากมีฤทธิ์มีเดชเหมือนกันน่ะ อยากภาวนา 1 นาที 2 นาทีให้ได้อภิญญาเลยอย่างนั้นแหละ เขาเรียก เขี้ยวเหี้ยน นั่นแหละ

    หลวงพ่อท่านเก็บเยอะ เก็บไม่ออกมาเยอะ ใช้นิดๆ หน่อยๆ เท่านั้นแหละ แถม ยังบอกกับเราเลย ถ้าเขาไล่เราเมื่อไหร่ไปกินข้าวกลางแม่น้ำสะแกกรังกัน ไม่รู้หมายความว่าเอาเราไปด้วยหรือเปล่าไม่รู้ ท่านบอกไปกินข้าวกลางแม่น้ำสะแกกรังสัก 2 วันเท่านั้นแหละนันต์เอ๊ย วัดนี่แตก วัดท่าซุงนี่แตก ทีนี้แหละ มันจะลือกันไปใช่ไหม ท่านจะห่มผ้าสี(เขียว)ตองอ่อน เปลี่ยนสี

    อภิญญาหลวงพ่อท่านทำได้ พูดแล้ว (สอนแล้ว) ไม่ใช่ทำไม่ได้นะ ท่านทำได้จริง พูดแล้วไม่ใช่ให้ลูกศิษย์ลูกหาว่าฉันไม่เก่งนะ แบบสมัยโบราณ พวกเดียรถีย์ บอก ถ้ากูจะเหาะ ใคร(ช่วย)บอก อย่าให้อาจารย์ทำนะ อย่าให้เหาะนะ อย่านะอาจารย์ รั้งไว้ แต่นี่ท่านทำได้นี่ ท่านลองของแล้ว ลองแล้วก็ไม่ได้ใช้หรอก

    หลวงพ่อส่วนมากจะใช้ เจโตฯ มาก แต่ตอนหลังท่านบอกไม่ได้ใช้อะไร พระมาบอก พระบอกวันนี้มีใครมาบ้าง คนที่มาระดับไหน มาแล้วจะได้มรรคได้ผลไหม พูดอย่างไรถึงจะได้รู้เรื่อง อะไรอย่างนี้

    สังเกตที่ ศาลานวราช พอท่านลงมาท่านจะมองหาคนที่ท่านรู้มา มาหรือยัง นั่งตรงไหน อะไรอย่างนี้ ท่านจะบอกลักษณะการแต่งกายมาเลย คนกำลังใจขนาดไหน คนนี้พูดยังไง ถึงจะรู้เรื่อง ทักยังไงถึงจะรู้ ส่วนมากพระท่านคุมทั้งวันทั้งคืน อย่างเราคุมพระ พระท่านไม่ยอมคุมด้วย



    (จากคอลัมภ์ "ท่านเจ้าคุณฯสนทนา" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 474 เดือนกันยายน 2563 หน้า 9-11)


    กรรมตระบัดสัตย์

    อ้อ เดี่ยวจะเล่าเรื่องผู้ว่าฯ นี่ ผู้ว่าฯ นี่ดี มันมาตรงกันหมดเลย ถูกย้ายมาสำรองราชการหรือไงนี่ ทีนี้ก็มาหาหมอไปเรื่อย หมอพระก็บอก ไอ้แกนี่ตระบัดสัตย์ โอ้โฮ ไอ้กรรมที่มันให้ผล กรรมที่มันตระบัดสัตย์ แกก็นึกไม่ออกว่าแกไปพูดตระบัดสัตย์อะไร

    ทีนี้แกก็สืบมาเรื่อย ไอ้สัตว์ที่แกปล่อยในสระหลังจวนนั่นน่ะ ทีนี้ก็เกิดเขาจะทำสระใหม่ ไอ้ภารโรงมันก็วิดน้ำ มันก็ย่างปลานี้ไปให้ท่านกิน ไอ้ปลาที่ปล่อยไว้นี่น่ะ แกก็ไปกินโดยไม่รู้เรื่องปลาที่แกปล่อยเอง แม่น้ำลำคลองก็หายากใช่ไหม แต่ไอ้ในสระนี่มันชัวร์อยู่แล้ว ที่แกปล่อยมันน่ะ

    กรรมตัวนี้มันมาให้ผล ที่พูดว่า สาธุขอให้ปลอดภัย อย่าเบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย แต่ตัวเราไปเบียดเบียนมันเสียเอง กินปลาที่เขาเอามาให้ นี่กรรมมันเอา

    "โอ้โห ขนาดไม่รู้นะ"

    ไอ้ภารโรงก็มาเล่าให้ฟัง เอาไปให้ทางบ้านเขาย่างหรือเปล่าไม่รู้นะ ได้กินน่ะ ไอ้กรรมตัวนี้มันมาให้ผล เขาออกทีวีเลยนี่



    (จากคอลัมภ์ "จากคำบอกเล่า" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 172 เดือนกรกฏาคม 2538 หน้า 103)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มิถุนายน 2024
  20. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    111
    ค่าพลัง:
    +225,705
    8d27ffd4-51bb-dbc0-1194-52aaa8626be4.jpg
    พระประธานในวิหาร 100 เมตร

    หลวงพ่อท่านสั่งไว้เหมือนกันว่า พระประธานในวิหาร 100 เมตร สั่งไว้กับปากเองนะ ไม่สั่งปากใคร

    บอกที่วัด ถ้ามีความจำเป็นจริงๆละก้อ ให้เอาดอกไม้ธูปเทียนไปบอกพระประธานในวิหาร 100 เมตร ด้วยความเคารพนะ เอาดอกไม้ธูปเทียนจัดไป ท่านสั่งไว้นะ

    "เออ นันต์ เผื่อชาวบ้านเขาเดือดร้อนกัน ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล มันมีความเดือดร้อน ก็ให้เอาดอกไม้ธูปเทียนไปขอด้วยความเคารพ"

    เราก็ไม่ได้ลองสักทีกลัว ถ้าลองนี่มันปรามาสนี่ เราก็กลัว เราก็ไม่เดือดร้อนอะไร



    (จากคอลัมภ์ "ท่านเจ้าคุณฯสนทนา" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 469 เดือนเมษายน 2563 หน้า 22)



    IMG_2620 (1).JPG


    เรื่อง พระไม่ยอมเทศน์

    เรื่องพระไม่ยอมเทศน์เลยมีอยู่องค์หนึ่งคือ หลวงปู่แหวน

    หลวงปู่แหวนนี่ไม่เคยขึ้นเทศน์เลย จนกระทั่งมีวันหนึ่งญาติโยมเขานิมนต์ขึ้นเทศน์ก็ไม่ยอมเทศน์ เผอิญหลวงปู่ตื้อท่านอยู่ด้วย

    ท่านบอก โยมนิมนต์แล้วไม่เทศน์ได้ยังไง ขึ้นไปขึ้นธรรมาสน์ ท่านก็ขึ้นธรรมาสน์เทศน์อยู่ 3 ประโยค

    พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
    ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
    สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

    ลงแค่นั้นแหละ

    ยกทรงบอก ยอดเป็นพระนักเทศน์จริงๆ แล้วหลวงปู่ตื้อ กับ หลวงปู่แหวนนี่ใครแก่กว่ากัน?

    ดร.ปริญญาบอกว่า เป็นเพื่อนกัน แต่หลวงปู่ตื้อแก่กว่า

    ยกทรงถามว่า ความดีก็คล้ายคลึงกันใช่ไหม?

    ดร.ปริญญาบอกว่า หลวงปู่ตื้อสำเร็จก่อน แต่หลวงปู่แหวนปรารถนาพุทธภูมิ จนกระทั่ง
    หลวงปู่ตื้อนิพพานไปแล้วจึงมาเตือนบอก อย่าเลย ทางอีกไกล ตัดลงเสียเถิด

    ท่านเจ้าคุณฯ บอกว่า เดี๋ยวจะเล่าเรื่องหลวงปู่ตื้อเหมือนกัน พอพูดถึงหลวงปู่ตื้อมีเรื่องเลย

    ยกทรงบอกว่า เรื่องเป็นอย่างไรครับ?

    ท่านเจ้าคุณฯบอกว่า หลวงปู่ตื้อนี่ใครฟังเทศน์ โดยเฉพาะผู้หญิงนี่ต้องก้มหน้าเลยนะ เพราะว่าทนไม่ได้เลย ท่านพูดตรงมาก แต่เราไม่เจอท่านหรอก เพราะว่ายังเด็ก

    มีคราวหนึ่ง นั่งกรรมฐานที่ตึกเสริมศรี พอนั่งกรรมฐานเสร็จ หลังกรรมฐานหลวงพ่อ
    ก็คุย บอกว่า เมื่อกี้นี้หลวงตาตี้อมา มาบอกหลวงพ่อว่า

    เฮ้ย มึงสอนกรรมฐานยังไงวะ นั่งท่าไหนถึงจะดีวะ

    หลวงพ่อบอก ไม่รู้โว้ย มึงตายไปแล้ว มาบอกเองสิ

    พูดกันอย่างนี้เลย ท่านก็ทำท่านั่งขัดสมาธิให้หลวงพ่อดู แล้วถามว่าอย่างนี้แกว่าดีไหม
    นั่งสมาธิขัดสมาธิเพชรก็ดี เอาหัวลงก็ดี นั่งท่าอะไรๆทำให้ดูได้หมด แล้วท่านก็บอกว่า อย่างนี้ไม่ดีสักท่าเดียว

    หลวงพ่อถามว่า มันดีท่าไหน

    หลวงปู่ตื้อตอบว่า มันดีที่ใจโว้ย ไม่ใช่ดีที่ท่า

    หลวงพ่อก็บอกว่า แหม...อย่างนี้นะ มาเจอกันตอนตายเป็นผี ถ้าเป็นๆเจอกันละก็ นะโม เทศน์กัน 3 วัน 3 คืนแน่


    (จากคอลัมภ์ "ท่านเจ้าคุณฯสนทนา" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 453 เดือนธันวาคม 2561 หน้า 30-31)


    หลวงพ่อป่วยทุกวัน


    อันที่จริงถ้าเราวัดกับหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านมีบุญกว่าเรามากใช่ไหม ท่านเป็นผู้หมดกิเลส ท่านทำบุญทำทานท่านก็ทำมาก สร้างวัดสร้างวาก็ไม่รู้จักเท่าไหร่ ใช่ไหม ท่านก็ป่วย ไอ้ป่วยตัวนี้คือเป็นกฎของกรรมนี่

    สรุปแล้ว พระพุทธเจ้าให้เชื่อกฎของกรรม พอเราป่วยก็ปลงยากนะ จะเชื่อกฎของกรรม จิตมันก็ดิ้นสิ เพราะเราอยากให้หายนี่ บอกเออรักษาหายก็หายไปเหอะ ไม่หายก็ไม่เป็นไร แต่เราไม่งั้น รักษาแล้วต้องหาย จิตมันก็ดิ้น ก็ทุกข์จิต มันไม่ยอมวางให้ จะให้วางๆแต่วางไม่ได้ มันเกาะนี่

    ถ้าป่วยมากๆปัญญามันก็หดหายเหมือนกัน มีทุกขเวทนามาก ขนาดพระอรหันต์ยังออกปากใช่ไหมล่ะ พระอัสสชิ ใช่ไหม ที่หลวงพ่อเทศน์น่ะ ร้องอ๋อยๆ บอกว่า ความดีหมดเสียแล้วหรือ เพราะท่านสุกขวิปัสโกนี่ท่านก็คราง นึกว่าความดีที่ปฏิบัติมาแล้วนี่ไม่มีเหลือแล้ว พระพุทธเจ้ามาโปรดจึงมั่นใจขึ้น ตอนนั้นท่านป่วยมีทุกขเวทนามาก ร้องครางเพราะทุกขเวทนา

    ความจริงหลวงพ่อท่านป่วยมากๆ ท่านก็บ่นเหมือนกัน มันไม่มีวันผ่อนเลยนี่ ให้ผมอยู่ยังไง ที่ปรารภไว้ ปรารภกับใครไม่รู้นั่งอยู่อย่างนี้ มันป่วยไม่มีวันผ่อนเลย คือไม่ใช่ผ่อน 3 วัน 7 วันเป็น มันเป็นทุกวัน คนเขาอยู่ก็เบื่ออะไรอย่างนี้ ท่านถึงไม่อยากอยู่ ถ้าเปรียบกับหลวงพ่อแล้วเราก็ยอม เราไม่มีบุญเท่าท่าน ใช่ไหม มันต้องเอาแน่

    หลวงพ่อท่านป่วยมากก็เพราะท่านพุทธภูมิ ท่านเกิดมากกว่าเรา เพราะท่านเป็นหัวหน้านี่ ท่านรับแทนเรา เพราะท่านทำของท่านเองไว้ เพราะเป็นหัวหน้านี่ อย่างเรานี่ อ้าวโยมยี ไปแกงมาสักหม้อหนึ่งซิ เอาปลามาตัวหนึ่ง แกงหม้อหนึ่ง

    ของท่านสั่งทีเป็นกองทัพนี่ เวลาจะไปรบทัพทีใช่ไหม ต้องฆ่าควายเป็นร้อยๆ พันๆ สำหรับทำเนื้อเค็ม ทำอะไรต่ออะไรไว้ออกศึกนี่ ไม่ทำปลาอย่างเดียวถ้าหัวหน้าสั่ง ท่านจึงรับมาก ต้องเสียสละมาก ต้องใช้กำลังใจสูง

    ไม่ใช่พระอรหันต์ท่านไม่ป่วยไม่ปวด ท่านก็ป่วยท่านก็ปวด บางครั้งนี่สั่นไปหมด จ่าตุ๋ยอยู่กับหลวงพ่อ เวลาให้น้ำเกลือเสร็จมันจะสั่น น้ำเกลือนี่เวลาปกติให้แล้วเขาก็ปรับตรงนี้ ใช่ไหม ใหม่ๆ มันก็ไม่เป็นไรหรอก พอเข้าไปนานๆเข็มที่ 2 มันจะเย็น

    เคยมีครั้งหนึ่งฉันอยู่กับโยมปรุง อยู่ชั้นเดียวกัน หมอก็มาให้น้ำเกลือโยมปรุง พอให้ 500 ซีซีแรกก็ไม่เป็นไร พอให้ 500 ครั้งที่ 2 นี่สิ ถุงที่ 2 นะ มันสั่นปั้บๆๆๆ (แต่หลวงพ่อ) ท่านไม่ยอมแพ้กับพวกนี้เลย

    หลวงพ่ออดทนมาก มีอยู่คราวหนึ่ง "นันต์ แกจับตัวข้าซิคล้ายมันร้อนจัง ร้อนเป็นไฟเลย"

    บอกหมออี๊ดลองวัด (อุณหภูมิ) ดูซิ หลวงพ่อบอกร้อน บอกให้หมออี๊ดดู หมออี๊ดบอก หลวงพี่ อย่างนี้เด็กตายนะ ตั้ง 40 องศา บอกอย่างนี้เด็กเกิดใหม่ตายเลย ถ้าขนาดนี้

    หลวงพ่อท่านอดทนไม่ค่อยออกปาก หนึ่งไม่เรียกใช้คน จะเรียก เออ มาดูหลวงพ่อนะ มาช่วยดูหน่อย ไม่เคยเรียกเลย

    โอ้โฮเรื่องนี้ ท่านเป็นคนเกรงใจ ถ้าใครทำให้ ท่านก็ดีใจนะ "เออ ขอบใจนะที่ช่วย" อย่างนั้นอย่างนี้นะ

    (จากคอลัมภ์ "ท่านเจ้าคุณฯสนทนา" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 471 เดือนมิถุนายน 2563 หน้า 14-15)

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มิถุนายน 2024

แชร์หน้านี้

Loading...