เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 24 มีนาคม 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,540
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,538
    ค่าพลัง:
    +26,373
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๖๗


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,540
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,538
    ค่าพลัง:
    +26,373
    วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๒๔ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ เป็นวันพระขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๔ แปลว่าเราจะเหลืออยู่อีกประมาณ ๒๐ วัน ก็จะเป็นวันเสาร์ขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๕ ปีมะโรง คือ วันเสาร์ ๕ ตรีวัน

    คราวนี้ทุกวันพระใหญ่ เรามีการลงอุโบสถเพื่อทบทวนพระปาฏิโมกข์ ซึ่งเป็นการทำตามพระวินัย ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติเอาไว้อย่างหนึ่ง เป็นการฝึกฝนขัดเกลาตนเองอย่างหนึ่ง เนื่องเพราะว่าพวกเราทั้งหลาย ต้องบอกว่ายังปฏิบัติอยู่ในระดับที่ "ใช้ไม่ได้" อะไรที่ทำซ้ำ ๆ กันก็มักจะเบื่อหน่าย ท้อถอย พูดง่าย ๆ ว่า "หมดอารมณ์" ที่จะทำต่อ แล้วก็กลายเป็นเหยื่อของกิเลสต่อไป..!

    หลายท่านอาจจะสังเกตว่า แม้แต่วันนี้ กระผม/อาตมภาพก็มีภารกิจมาก ไปเหนือไปใต้อยู่ตลอดเวลา "หลวงพ่อไม่เหนื่อยบ้างหรือ ? ไม่เบื่อบ้างหรือ ?" จะบอกว่าไม่เหนื่อยก็เป็นการฝืนความเป็นจริงมากเกินไป แต่ถ้าถามว่า "ไม่เบื่อหรือ ?" ขอยืนยันว่าไม่เบื่อ ต่อให้เป็นการทำอะไรกันซ้ำ ๆ ทุกวัน กระผม/อาตมภาพก็ไม่เคยเบื่อ เพราะว่า "แข่งกับตัวเองอยู่ตลอดเวลา" ว่าเราสามารถทำวันนี้ให้ดีกว่าเมื่อวานหรือไม่ ? เราจะทำเรื่องนี้ให้ดีกว่า เร็วกว่า ครั้งก่อนหรือไม่ ?

    ในเมื่อมีการฝึกฝน แข่งขัน ขัดเกลาตนเองอยู่เสมอ เป้าหมายก็คือทำสิ่งที่ดีกว่าสิ่งที่ผ่านมา โอกาสที่เราจะเบื่อจะหน่ายจึงไม่มี เพราะว่าอันดับแรกเลยก็คือ จริงจังจริงใจกับงานที่ตัวเองทำ เมื่อได้รับมอบหมายมา เป็นภาระ เป็นหน้าที่ ก็ต้องทำให้ดีที่สุด คำว่าทำให้ดีที่สุดนี่ก็คือ เต็มกำลังกาย เต็มกำลังใจ เต็มกำลังสติปัญญาของตนเอง ถ้าหากว่าไม่ไหว ก็ยังต้องพึ่งพาอาศัยกำลังคน กำลังทรัพย์อีกต่างหาก

    เมื่อเป้าหมายชัดเจนแบบนี้ ก็เหมือนกับเราวิ่งแข่งกับตัวเอง ไม่ต้องเสียเวลาไปแข่งกับคนอื่น โอกาสที่จะสนใจเรื่องภายนอกจึงมีน้อย เพราะว่าต้องคอยพินิจพิจารณาว่า "เราทำงานนี้ มี รัก โลภ โกรธ หลง ปนเข้าไปในงานด้วยหรือไม่ ?" "ทำงานแล้วยังต้องให้คนอื่นเขายอมรับ ต้องให้คนอื่นเขาชื่นชม ต้องให้คนอื่นเขามองเห็นหรือไม่ ?" ถ้าเรายังทำในลักษณะอย่างนั้นอยู่ ให้รู้เลยว่า "ไร้อนาคต" คำว่าไร้อนาคตในที่นี้ก็คือ อนาคตในการปฏิบัติธรรมของตน..!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,540
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,538
    ค่าพลัง:
    +26,373
    เราจะเห็นว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทานขั้นตอนและวิธีการ ในการพัฒนาตนเองของเรา ในศีล ในสมาธิ ในปัญญา เป็นขั้น ๆ ขึ้นไป บุคคลที่สามารถพัฒนาข้ามขั้นได้ ถือว่ามีความสามารถสูงเป็นพิเศษ

    ถ้าว่ากันตามลำดับขั้นก็คือ ๑. โสดาปัตติมรรค ๒. โสดาปัตติผล ๓. สกทาคามิมรรค ๔. สกทาคามิผล ๕. อนาคามิมรรค ๖. อนาคามิผล ๗. อรหัตมรรค ๘. อรหัตผล

    องค์สมเด็จพระทศพลพิจารณาแล้วว่า "มนุษย์ที่เกิดมาย่อมมีศักยภาพพอในการพัฒนาตนเอง จากปุถุชนผู้หนาแน่นด้วยกิเลส เป็นอริยชนผู้ก้าวหน้าขึ้นไปโดยส่วนเดียว ไม่มีการตกต่ำ" จึงได้ยอมเหนื่อยยาก อบรมสั่งสอนพวกเราถึง ๔๕ ปีเต็ม ๆ โดยเรียก ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาเหล่านี้ว่า "ธรรมเสนา" คือ "ทหารในกองทัพธรรม"

    ในเมื่อเป็นทหาร ก็ต้องเข้มแข็ง แกร่งกร้าว ต้องสามารถรบจนตัวตาย โดยไม่เสียดายชีวิตตัวเอง เพื่อความสำเร็จที่รออยู่ข้างหน้า แล้วพวกเราทั้งหลายลองมาพินิจพิจารณาดูว่า "ตนเองทำตัวสมกับการเป็นธรรมเสนาหรือไม่ ?"

    ในเมื่ออาวุธยุทโธปกรณ์ทุกอย่างมีพร้อม ก็เหลือแค่กำลังใจของเราเอง ว่าจะมุ่งมั่นฟันฝ่าไปได้เท่าไร ? พวกที่ปล่อยตัวเองให้เป็น "ปลาตายลอยน้ำ" เพราะว่าท้อแท้ ท้อถอย ไม่คิดที่จะขัดเกลาตนเองให้ดีขึ้น อีกไม่นานก็จะเป็นขยะ ที่โดนคลื่นทะเลซัดขึ้นสู่ฝั่ง..!
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,540
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,538
    ค่าพลัง:
    +26,373
    เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเปรียบเอาไว้ว่า "พระธรรมวินัยนี้เหมือนกับคลื่นทะเล ย่อมซัดเอาซากศพและขยะต่าง ๆ ขึ้นสู่ฝั่งเสมอ" ดังนั้น..ถ้าหากว่าเรา "ทำตัวเป็นปลาตายลอยน้ำ" ไม่หวังความก้าวหน้าอะไร ท้ายที่สุดก็จะโดนกิเลสชักนำไป ถ้าไม่สึกหาลาเพศเสียก่อน ก็จะยอมจ่อมจมอยู่ในผ้าเหลืองท่ามกลางความเลวของตนเอง แล้วก็กลายเป็นสนิมเหล็กที่คอยกัดกร่อนจนพระพุทธศาสนาผุพังไปทุกวัน..!

    นอกจากสร้างสิ่งที่ดีที่งามเสริมให้พระพุทธศาสนาของเราเป็นสิ่งที่ให้คนเคารพศรัทธาไม่ได้แล้ว ยังเท่ากับเป็นผู้ทำลายพระพุทธศาสนาด้วยตนเองเสียอีก..!

    อย่าได้หวังว่าจะอาศัยคนอื่น เราบวชมาวันแรก อุดมการณ์มีไว้อย่างไร ? จะปฏิบัติเพื่ออะไร ? หลักการ วิธีการ ครูบาอาจารย์ได้บอกไว้หมดแล้ว ก็อยู่ที่เราว่าจะมีความพากเพียรไม่ท้อถอยสักเท่าไร ? ไม่ใช่กระทบโน่นนิดก็ท้อ กระทบนี่หน่อยก็ถอย อย่างนั้นไม่ใช่ทหารในกองทัพธรรม แต่ว่าเป็นขี้ข้ากิเลส พร้อมจะโดนเขาจูงจมูกไปเป็นทาส..!

    ทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิตของเรา ไม่ว่าจะเป็นหน้าที่การงาน หรือว่าอารมณ์ใจ รัก โลภ โกรธ หลง ก็ตาม ต้องเอามาเป็นประโยชน์ในการขัดเกลา กาย วาจา ใจ ของเราให้ดีขึ้นอยู่เสมอ ไม่ต้องไปแข่งขันกับใคร เราแค่แข่งขันกับตัวเองก็พอแล้ว

    คำว่า "ตัวเอง" ในที่นี้ ก็คือ ระหว่างใจของตนเองที่เต็มไปด้วยกิเลส กับกำลังใจที่ว่า เราจะสามารถขัดกิเลสส่วนนี้ออกจากใจของเราได้ หรือว่ากิเลสจะฝังแน่นต่อไป ? ทดลองแข่งขันกับตนเองดูบ้าง ไม่ใช่อยู่แบบไร้จุดมุ่งหมายไปวัน ๆ อยู่รอแค่ให้ผ่านพ้นวันนี้ไป รับหน้าที่อะไรไป ก็ไม่เคยทำให้เต็มที่ สักแต่ว่าทำงานนั้นให้เสร็จ ไม่ได้คิดจะทำให้ดีที่สุดเต็มกำลังของตนเลย

    ถ้าเป็นไปในลักษณะนี้ ท่านทั้งหลายก็ไม่มีหวังในเรื่องของมรรคของผลอะไรเลย เนื่องเพราะว่ามรรคผลนั้น เป็นเรื่องของคนจริง ไม่ใช่แค่คิด หากแต่ว่าพูดจริง แล้วก็ทำจริงด้วย ยอมมอบกายถวายชีวิต เพื่อแลกกับข้อธรรมที่ตนเองจะพึงได้
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,540
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,538
    ค่าพลัง:
    +26,373
    ถ้าใครทำแบบนี้อยู่ ก็จะไม่เสียเวลาไปจับผิดคนอื่น เพราะว่าดูที่ตัวเอง แก้ที่ตัวเองก็ไม่ไหวแล้ว ยังจะมีเวลาไปสนใจเรื่องรอบข้างอีก ก็แปลว่าวางกำลังใจผิด ถ้าใครรู้ตัวว่าผิด ก็รีบแก้ไขกลับมาให้ถูก

    เราอยู่วัด คำว่า "วัด" ในที่นี้ ก็คือ "วัดว่าใจเรามีกิเลสเท่าไร ?" แล้วก็พยายามขัดเกลาให้เหลือน้อยที่สุด ก่อนที่เราจะหมดลมหายใจ ถ้าสามารถตัดละขาดกันไปได้เลยยิ่งดี

    สำหรับบรรดาผู้มาบวชชีพราหมณ์ทั้งหลาย ถ้าหวังจะอยู่ปฏิบัติเกิน ๗ วัน ให้แจ้งกับแม่ชีชื่น (อุบาสิกาชื่น ศรีสองแคว หัวหน้าแม่ชีวัดท่าขนุน) ถ้าแม่ชีชื่นพิจารณาแล้วรับเราเข้ามาอยู่ตัว ก็ไปหาพระเวรสังฆทาน โกนหัวรับศีล ๘ ที่นั่น แล้วไปหาเลขาฯ พัฒน์ (พระพัฒน์ ฐิตาจาโร เลขานุการเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน) เอาบัตรประชาชน หรือว่าบัตรแสดงตน ไปให้ท่านลงทะเบียนข้อมูลเอาไว้ คราวนี้ก็อยู่สู้กันต่อไป ว่ากิเลสจะชนะ หรือว่าเราจะชนะ ? แต่ส่วนใหญ่เห็นแพ้ยับเยินทุกที..!

    เพียงแต่ว่าแพ้แล้วต้องทำตัวเป็นคนหน้าด้าน ลุกขึ้นสู้ใหม่ ไม่ใช่แพ้แล้วแพ้เลย ถ้าเราพยายามสู้ นานไปเมื่อมีความชำนาญมากขึ้น กำลังใจเข้มแข็งขึ้น เราก็มีโอกาสชนะบ้าง หลังจากนั้นถ้ายังเพียรพยายามไม่ท้อถอย เราก็จะชนะมากกว่าแพ้ แล้วท้ายที่สุดเราก็จะไม่แพ้อีก

    เพียงแต่อย่าพยายามไปเก็บ "ขี้" มาใส่ตัวให้มากนัก ไม่ว่าจะเป็น ขี้รัก ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง สนใจเรื่องของคนอื่นมากกว่าตัวเอง ถ้าหมั่นขยันเก็บ "ขี้" ใส่ตัวเองมาก ๆ เข้า โอกาสที่เราจะขัดเกลาตัวเองให้สะอาดก็ยาก

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายแก่พระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันอาทิตย์ที่ ๒๔ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...