เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๖๖

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 24 ตุลาคม 2023.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,544
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,538
    ค่าพลัง:
    +26,376
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๖๖


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,544
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,538
    ค่าพลัง:
    +26,376
    วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๒๔ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ อากาศที่ทองผาภูมิช่วงนี้พิลึกพิลั่นมาก เนื่องเพราะว่าฝนหยุดแล้ว แต่ว่าโดยปกติระยะนี้ถ้าฝนหยุด ทองผาภูมิจะหนาวทันที แต่เมื่อคืนนี้ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไร อากาศจึงร้อนมาก จนกระผม/อาตมภาพต้องตื่นตั้งแต่เที่ยงคืน และด้วยความที่เป็นคนที่ตื่นแล้วจะไม่นอนอีก กระผม/อาตมภาพจึงได้เจริญภาวนา "สะสมเสบียงบุญ" ไปเรื่อย สรุปว่าวันนี้สามารถที่จะสะสมรวมกันได้เป็น ๑๐ ชั่วโมงเลยทีเดียว

    เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าแม้กระทั่งเวลาบิณฑบาต กระผม/อาตมภาพก็จะทรงอารมณ์ภาวนาไปตลอด เพื่อประโยชน์ใหญ่ของญาติโยมที่ให้การอนุเคราะห์สงเคราะห์ ถ้าเรารักษากำลังใจได้ดี มีความสะอาดมาก อานิสงส์ของญาติโยมที่ใส่บาตรก็จะมีมากไปด้วย

    หลังจากกลับวัดมาและฉันเช้าเรียบร้อยแล้ว ก็สะสมเสบียงบุญต่อไปอีก เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า วันนี้ต้องออกไปคุมสนามสอบนักธรรมชั้นตรีสนามหลวงอีกตามเคย เดี๋ยวจะไม่มีเวลาทำ ปรากฏว่าพระครูวรกาญจนโชติ เจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิ ท่านเป็นหวัด แล้วกระผม/อาตมภาพซึ่งรักษาโรคประจำตัว คือมาลาเรียเรื้อรัง จนกระทั่งไม่มีภูมิคุ้มกันของตนเอง จึงได้รับหวัดของท่านมาทันทีที่อยู่ใกล้กัน

    เมื่อทำหน้าที่ในส่วนของผู้ดูแลสนามสอบเสร็จสรรพเรียบร้อยแล้ว กระผม/อาตมภาพก็เดินทางเข้าสู่วัดอุทยาน ตำบลบางขุนกอง อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี เพื่อที่จะรอพบหมอฟันใน
    ตอนเช้าวันพรุ่งนี้ ส่วนตอนบ่ายนั้นก็มีงานปลุกเสกวัตถุมงคล จึงทำให้ต้องขาดการดูแลสนามสอบไป ๑ วัน

    สำหรับตอนช่วงเดินทางแล้ว จะเป็นช่วงที่กระผม/อาตมภาพภาวนาได้อย่างเป็นหลักเป็นฐาน เป็นการเป็นงานมากที่สุด เนื่องเพราะว่าการเดินทางจากอำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี กว่าที่จะไปถึงอำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรีนั้น ก็ใช้เวลาหลายชั่วโมง จึงเป็นเวลาของการสะสมบุญส่วนตัวไปโดยตลอด

    ญาติโยมที่อยู่ในกลุ่มไลน์ ถ้าหากเห็นชั่วโมงการสะสมเสบียงบุญมากมายขนาดนั้น ก็อย่าได้สงสัย เนื่องเพราะว่าทุกครั้งที่ขึ้นรถ กระผม/อาตมภาพก็ต้องเตรียมตัวที่จะมรณภาพ..! เหตุที่ต้องเตรียมตัวเช่นนั้นก็เพราะว่า อันตรายจะมาถึงเมื่อไรก็ไม่รู้ ? จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องส่งใจไปกราบครูบาอาจารย์ พร้อมกับภาวนาไปด้วย ถือว่าเป็นการเดินทางครั้งสุดท้ายในชีวิตด้วยความไม่ประมาท..!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,544
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,538
    ค่าพลัง:
    +26,376
    เมื่อมาถึงวัดอุทยาน ปรากฏว่าเป็นเรื่องของเคราะห์ซ้ำกรรมซัด เนื่องเพราะว่าทางด้านนี้ฝนกระหน่ำหนักมาก โดยปกติแล้วทางทองผาภูมินั้น ฝนจะตกทั้งวันทั้งคืน ตอนนี้เขื่อนวชิราลงกรณ ซึ่งห่างจากวัดท่าขนุนตามทางรถยนต์ประมาณ ๔ กิโลเมตร หรือถ้าหากว่าตามแม่น้ำ ก็แค่ไม่กี่ร้อยเมตร..! น้ำเข้าสู่เขื่อนเกือบ ๆ ๙๐ เปอร์เซ็นต์แล้ว ก็เป็นเรื่องที่น่าดีใจว่า อย่างน้อยถ้าหากว่าบริหารจัดการได้ถูกต้อง ต่อให้ปีหน้าแล้งขนาดไหนก็ตาม เราก็คงจะมีน้ำเพียงพอต่อการใช้งาน

    แต่ว่าช่วงวันที่ผ่านมาฝนหยุด กลับมาตกหนักทางด้านนนทบุรีนี้แทน กระผม/อาตมภาพที่รับเอาไข้หวัดมา เจอฝนเข้าไปอีก จึงกลายเป็นซ้ำหนัก จนต้องรีบฉันยาก่อน แล้วมาบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุน สำหรับท่านทั้งหลายอยู่ในขณะนี้

    สำหรับวันนี้ในเรื่องของข้อสอบนักธรรมชั้นตรีสนามหลวงเป็นวิชาธรรมวิภาค และคิหิปฏิบัติ คำว่า ธรรมวิภาค คือส่วนหนึ่งของหลักธรรมสำคัญ ที่ส่วนใหญ่แล้วก็คือให้เราได้รู้ว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนอะไรไว้บ้าง และถ้าเป็นไปได้ ควรที่จะปฏิบัติตามนั้นให้ได้ ในส่วนของคิหิปฏิบัตินั้น เหมาะสำหรับพระภิกษุสามเณร ซึ่งสึกหาลาเพศไปแล้ว จะได้เอาไปใช้ในชีวิตประจำวันในยามที่เป็นฆราวาส ส่วนใหญ่ก็จะออกในส่วนของธรรมวิภาค ๗ ข้อ คิหิปฏิบัติ ๓ ข้อ เป็นต้น

    คิหิปฏิบัติในวันนี้มีคำถามเกี่ยวกับมิตรแท้ที่ควรคบว่ามีกี่ประเภท อะไรบ้าง ซึ่งเราท่านทั้งหลายต้องเข้าใจว่า ทางพระพุทธศาสนานั้นแยกมิตรออกเป็น ๒ ประเภท ก็คือมิตรแท้ ๑ มิตรเทียม ๑ แล้วมิตรแท้ที่อยู่ในคำถามนั้นยังแบ่งออกเป็น ๔ ประเภท ก็คือ

    หนึ่ง...มิตรมีอุปการะ เป็นบุคคลที่ช่วยเหลือเราในทุกรูปแบบ

    สอง...มิตรร่วมทุกข์ร่วมสุข เรามีความสุข เขาก็ร่วมสุขด้วย มีความทุกข์ เขาก็ร่วมทุกข์ด้วย ไม่ได้อยู่ในโคลงกลอนที่กล่าวเอาไว้ว่า

    เมื่อมั่งมีมากมายมิตรหมายมอง
    เมื่อมัวหมองมิตรมองเหมือนหมูหมา
    เมื่อไม่มีมิตรหมดมิมองมา
    แม้มอดม้วยหมูหมาไม่มามอง


    ถ้าในลักษณะอย่างนั้นถือว่าเป็นมิตรเทียม ไม่ใช่มิตรแท้​
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,544
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,538
    ค่าพลัง:
    +26,376
    มิตรแท้ประเภทต่อไปก็คือ มิตรแนะประโยชน์ สิ่งใดที่เป็นสิ่งดี ทำแล้วเกิดความเจริญในกาย ในวาจา ในใจของเรา เพื่อนฝูงประเภทนี้จะคอยบอก คอยกล่าว บางทีก็จ้ำจี้จ้ำไชให้เราทำในสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น จนกระทั่งบางทีเราก็คิดว่า นี่กูมีพ่อ หรือว่าครูเพิ่มมาตั้งแต่ตอนไหนวะ ?

    สุดท้าย มิตรมีความรักใคร่ มิตรประเภทนี้สามารถตายแทนเราได้ รักใครรักจริง

    บรรดามิตรต่าง ๆ เหล่านี้ ที่องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าแนะนำให้เราคบหา สามารถที่ทำให้เราแยกแยะได้ว่า ในยามที่เป็นฆราวาสนั้น เราควรที่จะคบหามิตรประเภทใด

    ถ้าหากว่าเป็นผู้ที่มีอุปการะ เราก็ต้องมีกตเวทิตา คือรู้จักแทนคุณท่านเมื่อสามารถที่จะแทนได้

    ถ้าหากว่าเขาร่วมทุกข์ร่วมสุข ถึงเวลาเขาทุกข์ เราก็ต้องร่วมทุกข์กับเขาด้วย ไม่ใช่อยู่เฉพาะร่วมสุขเท่านั้น

    ถ้าหากว่าเขาแนะประโยชน์ให้ เราก็ควรที่จะรีบทำ เพื่อที่ถึงเวลาแล้ว สิ่งดี ๆ ทั้งหลายจะได้บังเกิดมีแก่ตัวเรา

    ถ้าเขามีความรัก มีความจริงใจ เราก็ควรที่จะรักและจริงใจตอบ เป็นต้น

    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น พระองค์ทรงแนะนำหลักธรรมที่เป็นทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ ก็คือก่อให้เกิดประโยชน์ชัดเจนในชาติปัจจุบันนี้ สัมปรายิกัตถประโยชน์ ก็คือในชาติต่อ ๆ ไป อย่างเช่นว่าการให้ทาน ชาติต่อไปเราจะเป็นผู้ที่ร่ำรวย สมบูรณ์พูนสุขด้วยโภคทรัพย์ต่าง ๆ การรักษาศีล ชาติต่อไป เราก็จะเป็นบุคคลผู้มีรูปสวย มีจิตใจดีงาม มีอายุยืนนาน ไม่เป็นผู้มีอายุสั้นพลันตาย เป็นต้น

    การเจริญภาวนา ชาติต่อ ๆ ไป เราก็จะเป็นผู้มีปัญญามาก มีปัญหาทางโลก ก็สามารถที่จะแก้ไขไปได้โดยง่าย มีปัญหาทางธรรม ก็สามารถพินิจพิจารณารู้แจ้งแทงตลอด เข้าถึงธรรมเหล่านั้นได้ เป็นต้น ดังนั้น..ในเรื่องของคิหิปฏิบัติ จึงเป็นเรื่องที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องการในทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ ก็คือประโยชน์ที่เห็นชัดเจนในชาติปัจจุบันนี้
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,544
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,538
    ค่าพลัง:
    +26,376
    อีกข้อหนึ่งก็คือในเรื่องสังคหวัตถุ ก็คือสิ่งที่สมควรจะสงเคราะห์ต่อกัน เพื่อยึดโยงกำลังใจให้รักใคร่สามัคคีเหนียวแน่นกัน ประกอบไปด้วย

    ทาน คือรู้จักเสียสละ ให้ปันแก่ผู้อื่นเขา
    ปิยวาจา พูดดี พูดไพเราะ
    อัตถจริยา ทำตนเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น
    และสมานัตตตา กระทำความดีอย่างเสมอต้นเสมอปลาย

    ซึ่งความจริงในส่วนของสมานัตตตานี้ กระผม/อาตมภาพอยากจะบอกว่าเอาใจเขามาใส่ใจเรา ถ้าหากว่าเรารู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา รู้ว่าเขาไม่ชอบสิ่งใด เราก็ไม่ควรกระทำสิ่งนั้น เขาชอบใจในสิ่งใดที่ถูกที่ควร เราก็กระทำสิ่งนั้น ก็จะก่อให้เกิดความรักความสามัคคีขึ้น แล้วค่อย ๆ จับกลุ่มกันเป็นวงกว้าง ทำให้บ้านเมืองของเรามีความเจริญมั่นคง

    ในส่วนของธรรมวิภาคนั้น มีการกล่าวถึงรัตนะ คือดวงแก้วอันทรงคุณค่า ๓ ประการ ว่าประกอบไปด้วยอะไรบ้าง แต่ละอย่างมีประโยชน์อย่างไร ซึ่งเราท่านทั้งหลายส่วนใหญ่ก็ทราบแล้วว่า พุทธรัตนะ คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ทรงตรัสรู้เองโดยชอบ แล้วสั่งสอนบุคคลอื่นให้ตรัสรู้ตามไปด้วย

    พระธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ย่อมป้องกันผู้ปฏิบัติตามไม่ให้ตกไปสู่ทางที่ชั่ว คำว่า ทางชั่ว ในที่นี้เป็นได้ทั้งทางโลกและทางธรรม ก็คือไม่ให้เราเป็นคนชั่วในสังคม กลายเป็นบุคคลเหลือเดน ติดคุกติดตะราง หรือเป็นที่รังเกียจของผู้อื่นอย่างหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งก็คือให้รอดพ้นจากทุคติ คือนรก เปรต อสุรกาย และสัตว์เดรัจฉาน เป็นต้น

    ส่วนพระสงฆ์นั้น คือบุคคลที่ศึกษาพระธรรม จนกระทั่งรู้แจ้งแทงตลอด แล้วนำไปเผยแผ่ให้แก่ผู้อื่น
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,544
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,538
    ค่าพลัง:
    +26,376
    ดังนั้น..ในเรื่องของรัตนะ คือดวงแก้วอันทรงคุณค่าทั้ง ๓ ประการนี้ ต้องบอกว่าเป็นหลักชัยในพระพุทธศาสนาของเรา ในปัจจุบันนี้พระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ ยังสมบูรณ์พร้อม แต่ว่าเราจะต้องกราบให้ถูกต้อง ก็คือไม่กราบพระพุทธไปหยุดที่ทองคำ ไม่กราบพระธรรมไปติดที่คัมภีร์ เนื่องเพราะว่าถ้าในลักษณะอย่างนั้น แปลว่าเราติดในวัตถุ ไม่ได้ติดในส่วนที่เป็นคุณค่าอย่างแท้จริงของพระรัตนตรัย

    ดังนั้น..การกราบพระสงฆ์ของเรา จึงไม่ได้ติดอยู่ที่ลูกชาวบ้าน หากแต่ว่าเป็นบุคคลผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ยังพระพุทธศาสนาของเราให้เจริญมั่นคงต่อไป จึงเป็นเรื่องที่ท่านทั้งหลายต้องวางกำลังใจให้ถูกต้อง ความจริงข้อสอบมีถึง ๑๐ ข้อ แต่ไม่มีเวลาที่จะกล่าวทั้งหมด

    สำหรับวันนี้จึงขอเรียนถวายแก่พระภิกษุสามเณรของเราและบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันอังคารที่ ๒๔ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...