"ผีโขมดป่าจะเข้าเมือง" @6+เตรียมรับและเข้าใจพลังงานชีวิต มีอายุยืน กับยุคพลังงานใหม่

หลวงตาม้าท่านว่าศาสนาพุทธเป็นเรื่องความรู้สึกและพลังงานเป็นนามธรรม

 

โรคระบาด Covid กลับมาระบาดรอบสองอีกครั้ง ตามคำทำนาย แล้วก็เกิดขึ้นจริง ๆ ค่ะ

จึงได้สนใจติดตามข่าวอีกครั้ง และปรากฎว่ามีข้อมูลของต่างประเทศเกิดวิกฤติหนักกันมาอย่างต่อเนื่อง เห็นหลุมฝังศพในภาพข่าวแล้วเข้าใจ

ผีโขมด เป็นกลุ่มจิตวิญญาณของผู้ที่เคยเป็นสัตว์ป่าขนาดใหญ่และดุร้ายมาก่อน หมายจะเอาชีวิตผู้ที่คิดจะเป็นพรานล่าชีวิตตนเอง จิตวิญญาณเหล่านี้ มีความสามารถในการใช้พลังอำนาจเร้นลับของจิตได้เหนือสัตว์อื่น เมื่อตายแล้วก็ยังมีพลังอำนาจมืดเหล่านี้อยู่ในตนเอง

ชำระโลกเปิดประตูมิติเปิดโอกาสให้กรรม-นายเวรชำระความ

เป็นกลุ่มรูปธรรมทั้งผู้ที่เคยเกิดเป็นมนุษย์ เป็นสัตว์ประจำโลกมาก่อน แต่ด้วยเหตุที่ถูกเพื่อนมนุษย์ด้วยกันทำร้ายจนสิ้นชีวิตไป มนุษย์ฆ่ามนุษย์ด้วยกัน และฆ่าสัตว์ตัดชีวิตให้พวกเขาต้องตายอย่างทนทุกข์ทรมาน จนจิตวิญญาณ ไม่อาจละวางความโกรธแค้นได้

ถ้าเรานำคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ตรัสกล่าวไว้ว่า ผู้ฆ่าสัตว์ ย่อมอายุสั้น และ ผู้ที่เบียดเบียนสัตว์ ย่อมเกิดโรคภัย

ถ้าเกิดโรคประจำมาตั้งแต่เกิด นั่นมาจากวิบากกรรมที่ถ่ายทอดจากรหัสพันธุกรรมที่นำมาเกิด

บางคนเกิดโรคร้ายขึ้นมา ต้องเจ็บป่วยและตายไปก่อนวัยอันควร กรณีดาราช่อง 3 คุณปอทฤษฏี ได้บ้าง ที่มีข่าวดังว่ามีผู้เห็นกรรมว่าอดีตเคยลงโทษคนจมน้ำตาย เจ้ากรรมนายวรเขาขัดขวางให้รักษาไม่ได้

และโรคระบาด covid 19 จุดเริ่มต้นจากการแพร่เชื้อที่มาจากตลาดขายเนื้อสัตว์ป่า อู่ฮั่น และการระบาดรอบสองในไทย ก็เกิดจากตลาดกุ้ง จังหวัดสมุทรสาคร

เจ้ากรรมนายเวรเหล่านี้อาจมาในรูปของเชื้อโรค

 

DNA เป็นสารพันธุกรรมในธรรมชาติ

ไวรัส มีกรดนิวคลีอิกเพียงชนิดเดียวที่เป็น DNA (หรือ RNA บางชนิด) ด้วย

ไวรัสทั่วไปตามธรรมชาติจำเป็นต้องเข้าไปเจริญและทวีแพร่พันธุ์ในเซลล์ของสิ่งมีชีวิตเท่านั้น โดยยีนของไวรัสและยีนของเซลล์ที่เพาะเลี้ยงไวรัสต้องมีกลไกสอดคล้องต้องกัน ไวรัสจะสามารถเจริญแพร่พันธุ์ไวรัสใหม่ได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับชนิดของเซลล์และชนิดของไวรัส

ตามกฎแห่งแรงดึงดูด สิ่งที่เหมือนกันย่อมดูดกัน เคยคิดไหมว่า คนในครอบครัวเดียวกันอยู่ด้วยกันทำไมบางคนติดไวรัส บางคนไม่ติดไวรัส บางคนถึงแม้ติดไวรัสก็มีภูมิคุ้มกันรักษาตนเองได้ บางคนติดแล้วหมอรักษาหาย บางคนติดแล้วหมอรักษาไม่หาย

**ยีนของไวรัส ต้องมีกลไกที่สอดคล้องกันกับเซลล์ที่ไวรัสไปเกาะ จึงจะแพร่พันธ์ได้

อาจแบ่งได้หลายกรณี

1.เซลล์จองจำโดยเจ้ากรรมนายเวร มาแฝงในรูปเชื้อปรสิตในเซลล์ร่างกาย

2.เซลล์ที่เสื่อมเกิดจากการทานอาหารเนื้อสัตว์ บริโภคไขมัน น้ำตาล จนเกิดพิษตกค้างในร่างกาย คือ คลอเรสเตอรอล และตรีเกลอเซอร์ไรต์สูง จึงสอดคล้องกับเข้ากันได้ดีกัยเชื้อไวรัส (หมายถึงผู้ป่วยเรื้อรังมีอัตราเสี่ยงสูง) เป็นต้น

 

มนุษย์จะต้องรู้ว่า ร่างกายที่เป็นโครงสร้างทางวิทยาอันสลับซับซ้อน มีกลไกอวัยวะภายในที่ใช้สำหรับผลิตไฟฟ้าที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างแยบยลติดตั้งเอาไว้ภายใน

เซลล์ทุกเซลล์ภายในร่างกายมนุษย์ หรือโครงสร้างทางวิทยารูปธรรมทั้งระบบ จะต้องใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นปัจจัยพื้นฐานในการทำงานของเซลล์ทุกเซลล์ ทั้งอวัยวะภายนอกและภายในด้วย

คำตอบส่วนใหญ่สำหรับมนุษย์โลก ที่ยังไม่รู้ในข้อคำถามสำคัญ

1.ทำไมมนุษย์จึงมีกระแสไฟฟ้าไหลเวียนทั่วร่างกาย

2.กระแสไฟฟ้าในร่างกายมนุษย์เกิดขึ้นได้อย่างไร

3.กลไกใดในร่างกายมนุษย์เป็นผู้ผลิตกระแสไฟฟ้า

4.มนุษย์เผชิญวิบากกรรมจากอดีตชาติ ในภพชาติปัจจบันกันได้อย่างไร

5.ทำไมมนุษย์ทุกคนจึงหนีวิบากกรรมและหนีความตายไม่พ้น

 

จากข้อมูลวิกิพีเดีย

นิวเคลียสเปล่งแสงสีฟ้า

และเซลล์ของมนุษย์และสัตว์ ที่ชื่อว่า ยูแคริตโอต คำคำนี้ มีความหมายว่า "แก่นแท้"

 

ภาพข่าวเกี่ยวกับโรคระบาดโควิด ประเทศออสเตรเลียได้กล่าวไว้ว่า ผู้ที่ติดเชื้อโควิดมี 95 % ที่หายขาด



https://www.naewna.com/inter/532810


และ อินเดียฟุ้งรักษาผู้ป่วยโรคโควิดได้ 95%



https://www.newtv.co.th/m/news/?id=71612


และ...ภาพข่าวเดลินิวส์

ผู้ป่วยป่วยรายแรกของไทยรอบ 2 อายุ 76 ปี มีแม่ป่วยติดเตียงอายุ 95 ปี ขณะนี้ก็ได้หายป่วยจากโรคโควิดแล้ว

https://www.dailynews.co.th/politics/815048

แล้วเหตุใดโรคโควิดจึงทำให้เศรษฐกิจโรคพังทลาย

 

มนุษย์รู้หรือไม่ว่า รูปธรรมชีววิทยาของมนุษย์มันถูกกำหนดให้มีคุณสมบัติพิเศษกว่ารูปธรรมอื่น คือ
1.เจริญเติบโตได้
2.ซ่อมแซมส่วนที่ชำรุดสึกหรอเองได้
3.ดำรงตนอยู่ได้โดยไม่มีอายุขัย

แต่ความเป็นจริงปรากฎว่า มนุษย์โลกกลับมีอายุขัยสั้นลงเรื่อย ๆ

ในยุคต้น มนุษย์จะเกิดยาก ตายยาก เพราะทุกคนมีธรรมชาติเป็นแก่นแท้ ไม่มีเทคโนโลยี

ในยุคกลาง มนุษย์จะเกิดยาก ตายง่าย เพราะขาดเทคโนโลยี และศีลธรรมเริ่มเสื่อม

ในยุคปลาย มนุษย์จะเกิดง่าย แต่ตายยาก เพราะอาศัยเทคโนโลยีช่วย แต่ขาดศีลธรรม

ในยุคสุดท้าย มนุษย์จะเกิดง่าย ตายง่าย เพราะเป็นยุคที่มนุษย์ได้รับพิษภัยจากเทคโนโลยีที่ตนสร้างขึ้นมา แต่จิตมนุษย์พากันตกต่ำลงจนขาดความสมดุลอย่างรุนแรง ยังเป็นผลให้ต้องแบกภาระกรรมหนักที่กระทำต่อกันไว้

มนุษย์เคยหาคำตอบให้ตนเองไหมว่า จะมีอวัยวะชิ้นหนึ่ง ๆ ภายในไม่กี่ชิ้นที่ไร้ท่อสื่อสาร ไร้สะพานเชื่อมโยงตนเองไว้ ให้เป็นระบบเดียวกันกับกลไกอวัยวะอื่น ๆ เหมือนอวัยวะทั่วไป

ต่อมไร้ท่อทุกต่อม ที่มันไม่มีท่อสื่อสารหรือไม่มีสะพานเชื่อมโยงตนเองไว้กับอวัยวะอื่น ๆ ก็เพราะมันไม่จำเป็นต้องมีนั่นเอง เหตุที่มันไม่จำเป็นต้องใช้ก็เพราะว่า ต่อมไร้ท่อทุกต่อมจะถูกกำหนดให้มีวิธีประสานการทำงานและมีวิธีการติดต่อสื่อสารกันกับอวัยวะชิ้นอื่น ๆ ด้วยการใช้คลื่นความถี่ทางไฟฟ้าแม่เหล็ก นอกย่านความถี่ที่มนุษย์รู้จักทั้งสิ้น

ต่อมไร้ท่อ ไม่มีการเชื่อมโยงอวัยวะใด ๆ ภายในร่างกาย แต่ใช้ระบบสื่อสารภายในร่างกายผ่าน ฮอร์โมน ต่อมไร้ท่อ มีการหลั่งสารเคมีที่เรียกว่า "ฮอร์โมน" เข้าสู่กระแสเลือดหรือน้ำเหลือง เพื่อไปควบคุมหรือดัดแปลงสมรรถภาพเซลล์

มนุษย์รู้หรือไม่ว่า กระแสไฟฟ้าเหนี่ยวนำกับอำนาจเหนี่ยวนำ ในชุดเส้นใยเกลียวแม่เหล็ก "ดิจิตัลลิส" ที่ติดตั้งอยู่ในระบบเซลล์ทุกเซลล์ มันคือบุรพกรรมแม่เหล็ก ที่มีผลโดยตรงต่อสุขภาพกาย สุขภาพจิต และอายุขัยของตนเองทั้งสิ้น

นิวคลิโอไทด์ทุกคู่ภายในระบบเซลล์ของอวัยวะ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สำคัญต่าง ๆในมิติกายภาพในระดับไมโคร เพื่อการดำรงชีวิตอยู่ จะคอยรับรหัสสัญญาณบุรพกรรมแม่เหล็ก ที่ถูกถ่ายทอดในลักษณะการทวนสัญญาณออกมาจากชุด
"ดิจิลัส"ที่เร้นอยู่ข้างในอีกทีหนึ่ง หากว่ามันได้รับรหัสสัญญาณอำนาจแม่เหล็กเหนี่ยวนำที่ต่ำลง มันก็ถูกกำหนดให้แปลควาหมายเป็นว่า

มันกำลังได้รับคำสั่งใหม่!
ให้ทำลายตนเองทันที!

หากเกิดกรณีเช่นนี้เมื่อใด มนุษย์จะต้องรู้ไว้เสมอว่า เมื่อนั้นตัวมนุษย์นี่เองกำลังเป็นผู้เปลี่ยนแปลงรหัสบุรพกรรมแม่เหล็กของตน ในการแก้ไขคำสั่งเดิม เพื่อให้เซลล์ทุกเซลล์ของตนเองทำงานใหม่ที่ผิดพลาดไปจากเดิมให้เข้าแล้ว

 

ค่ะ พยายามจะเรียบเรียงเพื่อให้เข้าใจการทำงานของอวัยวะร่างกาย ที่เซลล์ของมนุษย์ ที่มีชื่อว่า "เซลล์ยูคาริโอต" คือ ที่เกี่ยวข้องมีความหมายว่า " แก่นแท้" เป็นเช่นไร

คำว่า "แก่นแท้" คือแก่นแท้ทางพลังงาน เซลล์ทุกเซลล์จึงเชื่อมโยงการด้วยการถอดรหัส และแปลรหัสสัญญาณ โดยมีกระแสแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นตัวเหนี่ยวนำ

เราจะทราบกันดีว่า เซลล์คือชีวิต ชีวิตก็คือเซลล์ เซลล์หลายเซลล์รวมกันเป็นเนื้อยื่อ เป็นอวัยวะ ระบบเนื้อเยื่อเป็นระบบอวัยวะ ระบบอวัยวะประสานงานกันเป็นระบบร่างกาย

มนุษย์จะต้องรู้ว่า ร่างกายมนุษย์มิได้ต้องการน้ำ แร่ธาตุที่เป็นสารอาหาร และก๊าซออกซิเจน ซึ่งเป็นตัวตนสรรพสิ่งในมิติกายภาพแค่เพียงด้านเดียวอย่างที่คิดเชื่อกันแต่อย่างใด

 

ตื่นขึ้นมากลางดึก ก็รู้สึกเอ๊ะใจ! เลข 95 มีนัยยะสำคัญเช่นไร และผู้ป่วยของไทยที่มีอายุ 95 ปีที่หาย อันเป็นเลขนำที่ทำให้ต้องสืบค้นข้อมูล และได้ข้อมูลเหล่านี้มา...มันไม่ใช่เรื่องที่บังเอญแน่นอนเลยค่ะ

ข้อ 95 % ของประเทศออสเตรเลีย ที่ข่าวออกซึ่งความจริงเป็นข้อที่ ขาดหายไป ไม่ใช่หายขาดค่ะ

และข้อมูลที่ประเทศอินเดีย แต่กลับบอกว่า โรคโควิด 19 รักษา หายขาด ได้ 95 %

และผู้ป่วยจากโรคโควิดของไทยที่ป่วยติดเตียงได่ อายุ 95 ปี หายแล้ว เป็นเหตุให้ได้มาข้อมูลเหล่านี้มิใช่เรื่องบังเอิญค่ะ

และ...เคยได้รับรู้เรื่องราวผ่านยูทูปจาก อ.ท่านหนึ่งจากยูทูป ซึ่งเป็นผู้มองเห็นคลื่นพลังงานในกายมนุษย์ ได้ออกมาพูดเกี่ยวกับโรคระบาด Covid 19 ที่ระบาดในรอบแรก ๆ อยู่เสมอ ๆ ว่า โรคระบาดนี้ เป็นโรคระบาดไข้หวัดธรรมดา ที่มีโอกาสรักษาหาย หรือ ให้ไปคำนวณดูสถิติคนที่ติดโรค Covid. ที่ติดเชื้อ กับ อัตราการตาย เมื่อเทียบเป็น % แล้ว...เป็นอย่างไร หากนำมาเปรียบเทียยกับอัตราการตายที่ในแต่ละวัน คนตายด้วยโรคต่าง ๆ หรือ กับอุบัติเหตุ หรือ สาเหตุการตายอื่น ๆ และได้มีการพูดถึงเกี่ยวกับเรื่องวัคซีน ที่เป็นสาเหตุมาตั้งแต่แรกด้วยค่ะ

ที่นี้...ถ้าใครติดตามเรื่องราวในกระทู้ เตรียมตัวให้พร้อมมันกำลังมา ! แจ้งข่าวสารการชำระโลก ได้นำเรื่องที่สิ่งศักดิ์ได้กล่าวไว้เกี่ยวกับอาวุธเชื้อโรค ให้มนุษย์พึงสังวรระมัดระวังเอาไว้ให้ดี ที่หากเกิดขึ้นแล้วยากต่อการควบคุม นี่อาจเป็นแค่บทเรียนแรกี่เกี่ยวกับเชื้อโรค เพื่อให้ได้เป็นกรณีศึกษา ก็อาจเป็นไปได้ค่ะ

 

พูด กับเขียน ต่างกันลิบลับ
จะมีทั้งเรื่องธรรมะ และสุขภาพค่ะ
ช่วยเป็นกำลังใจ..ด้วยการติดตามให้ด้วยค่ะ

 

ดีครับ มียูทูปเบอร์เพิ่มขึ้นอีกคน
#สับตะไคร้ให้คนแรกๆเลยครับ

 

ขอบคุณค่ะ ดูแล้วยังขำตัวเอง พูดยังไม่ค่อยน่าฟัง เรื่องการจัดระเบียบความคิดที่เรียบเรียงออกมาทางคำพูดยังไม่น่าดึงดูดพอ

และความคิดก็ไปไวกว่าคำพูด คำพูดตามไม่ทันความคิด ยังมีกรณีหนึ่งคือ จิตไม่อยากจะพูดหรือขี้เกียจพูด เพราะที่ผ่านมาชอบคุยในใจกับตนเอง

การพูดที่ดี ต้องมีสตินำทาง การพูดจะลื่นไหล เคยเจอสภาวะโดยบังเอิญ ที่รู้ว่าตนเองมีสตินำทาง จะรู้ล่วงหน้าด้วยค่ะว่า วินาทีถัดไปจะต้องพูดอย่างไร พูดจะไหลมาเองโดยไม่รู้สรรหาคำเหล่านั้นมาจากไหน และพูดไปแล้วจะรู้สึกภาคภูมิใจในตนเองไปด้วยนะค่ะ

ยุคโควิดมาเปลี่ยนแปลงโลก การเผยแพร่ธรรมะออนไลน์ถือว่าเป็นงานสำคัญอีกด้วยค่ะในยุคนี้ และฝึกฝนตนเองไปพร้อมกันค่ะ

 

อาจจะยังเขิลกล้องน่ะครับ
ทำบ่อยๆคงชิน ต่อไปสู้กล้องเลยทีนี้
ส่วนทักษะการพูดฝึกฝนได้ครับ ขอเเค่เริ่ม
ตึกใหญ่แค่ไหน ก็เริ่มจากอิฐก่อนแรกทั้งนั้นครับ

 

ทำไมไม่ทำข่าวภัยพิบัติอย่างลุงเกษมเล้าาาา

 

หน้า......ม.......

จิมๆ

 

ฟังแล้วครับ
ท่านจิตยิ้มออกคลิป ท่าทางน่าจะสนุกดี
ท่านจิตยิ้ม ทำไมไม่ทำคลิป เรื่องจิตจักรวาลละครับ
เห็นรู้อย่างลึกชึ่ง

 

ผมคิดจะเป็นยูทูปเบอร์เหมือนกัน
เสียดาย อยู่ไม่หล่อ พูดไม่เป็น
....

 

สภาวะแบบนั้น เค้าเรียกว่า สภาวะจิตนำหน้ากายไปไกล
จิตไปอยุ่กับ อนาคต มากไป ใจก็เลยมุ่งสู่อนาคต
ยังเรียกว่า จิตติดอนาคตอยู่ ไม่ค่อยดีเท่าไหร่
ที่ดีที่สุด ก็ควรจะเป็น จิตปัจจุบัน จะดีที่สุด
มอง อดีต และ อนาคต ให้น้อยๆ ลง
แต่ ฝึกดูปัจจุบันให้เยอะ จิตจึงดี จิตจึงจะนิ่ง
จะยอมรับ กฏแห่งกรรม ได้ดีขึ้น

 

ขอแค่มีพรหมวิหาร 4 หรือ มุฑิตาจิต ยินดีที่จะให้ เดี๋ยวความงดงามในหัวใจก็ออกมาเองค่ะ

ปากกับใจตรงกัน หมายถึงคิดอย่างไร พูดอย่างนั้น คิดแล้วพูดไม่ได้อย่างที่ใจคิด ก็ดีกว่าพูดแล้วไม่คิด พูดแล้วขาดความมุฑิตา หรือยินดีในจิตของคนอื่นที่ขาดความมุฑิตาจิตนะค่ะ

อย่างที่จิตยิ้มพูดแล้ว ต่างจากการเขียน มิใช่ปากกับใจไม่ได้ตรงกันหรอกนะคะ แต่เกิดปากไม่ได้อย่างใจแค่นั้นเองค่ะ

หลักการพูดต้องอาศัยการจัดระเบียบทางความคิด แล้วจึงเรียบเรียงออกมาเป็นถ้อยคำที่สละสลวยสวยงาม มันมีปัจัยหลายอย่างที่ต้องฝึกฝน เหมือนสติ

การพูดต้องอาศัยทั้งสายตา ท่าทาง การกระทบ และการเคลื่อนไหวของจิต

ส่วนการฟัง และการเขียน อาศัยเพียงแค่การจดจ่อของสตินิ่งอย่างเดียว มันก็ไหลออกมา ความแตกต่างจึงต่างกันด้วยประการนี้ค่ะ

 

หลักการมุฑิตาจิต มีข้อดีประการหนึ่งที่สัมผัสมาด้วยตนเองค่ะ

เมื่อเรายินดีในความดีของคนอื่น ถึงเวลาอันควรจะมีสิ่งจัดสรรให้เราได้รํูและเข้าใจ และเกิดรู้วิธีการทำได้ค่ะ

การพูดที่มีประสิทธิภาพ

1.กำหนดความรู้สึกไว้ที่ตรงท้องเหนือสะดือ แล้วเวลาพูด ดันเสียงขึ้น รู้สึกว่า เกิดตัวรู้ทั้งตัว

2.ขณะพูด รับรู้การขยับที่ริมฝีปาก

3.อย่าเอาความรู้สึกไว้ที่สมอง ที่ให้มากำหนดไว้ที่หน้าท้องเหนือสะดือ

4.สร้าง Inner ภายใน ที่มีต่อเรื่องราว

5.ถ้าเราพูดกันคนอื่น / กล้อง ต้องรู้สึกว่ากำลังมอง และกำลังพูดไปพร้อมกันไปด้วย

การที่เรากำหนดความตัวรู้ได้จะทำให้เราพูดอย่างลื่นไหล เพราะเรากำลังรับข้อมูลจากจิตใต้สำนึก ที่เราเคยสั่งสมไว้ตั้งแต่พอดีตชาติ ค่ะ

ก็จะลองฝึกฝนปฏิบัติเช่นเดียวกันค่ะ