ใครทราบบ้างว่าท่านที่หลวงปู่สิม พุทธาจาโร กล่าวถึงนี้คือใครในปัจจุบัน

ลองอ่านเนื้อเรื่องนี้ดูครับ แล้วลองทายดูซิว่าปัจจุบันท่านนี้ ที่หลวงปู่สิมกล่าวถึงนี้คือใครในปัจจุบัน

เมื่อ"ฆราวาสโสดาบัน"ถามปัญหา"หลวงปู่สิมอรหันต์"

เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2526 ซึ่งตรงกับวันอาสาฬหบูชา มีฆราวาสนักปฏิบัติธรรมท่านหนึ่ง(ยังไม่เปิดเผยนามตอนนี้) ได้นั่งรถทัวร์เดินทางไกลจากกรุงเทพมหานครไปถึงสำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาวจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อไปกราบเรียนถามปัญหาเกี่ยวกับธรรมปฏิบัติที่แก้ไม่หาย คลายไม่ออกอยู่ประการหนึ่งกับหลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร ซึ่งเป็นที่รับรู้และรับรองกันโดยทั่วไปว่า เป็น" พระอริยเจ้า" ผู้ทรงคุณธรรมเบื้องสูงสุดอีกองค์หนึ่งในยุคนี้ว่า

"หลวงปู่ครับ ทำไมผมนั่งภาวนาแล้ว ทั้งๆที่มีสติดีอยู่โดยตลอดแท้ๆ แต่ทำไมมันคอยแต่จะหลับอยู่เรื่อยเลยล่ะขอรับ..???"

เมื่อได้ฟัง หลวงปู่ผู้พุทฺธาจาโรก็ชายตามอง"ฆราวาสนักปฏิบัติธรรม"ท่านนี้ แล้ว"สแกน"การทั้งปวงจนทะลุปรุโปร่งด้วยอรหันตญาณจนแจ่มแจ้งสิ้นเชิงในชั่วพริบตาเดียวก่อนที่จะกล่าวสั้นๆแต่กินความหมายอย่างลึกซึ้งที่สุดแต่เพียงว่า
"ผู้รู้..ผู้รู้จะสงสัยอะไร..อย่าสงสัยเลย...?!?!"
และ
"ผู้รู้...ออก..ออกมา"ข้างนอก"นะ..

และท้ายสุด หลวงปู่สิมยังได้กล่าวอย่างให้กำลังใจฆราวาสท่านนั้นอีกด้วยว่า
"ให้ตั้งใจภาวนาไปเถอะ แล้วจะได้ของดีในพรรษานี้แหละ!!??!!"

และเมื่อ"ฆราวาสนักปฏิบัติธรรม"ท่านนั้น Get ในอุบายธรรมที่หลวงปู่สิมท่านให้เป็นอันดีและเดินทางกลับออกไปแล้ว หลวงปู่สิมก็หันมาปรารภกับพระซึ่งเฝ้าคอยอุปัฏฐากอยู่ ณ ที่นั้นอันมีพระอาจารย์วิชา,พระอาจารย์เมธา(เจ้าอาวาส สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่ององค์ปัจจุบัน) เป็นต้นในทันทีทีเดียวว่า
"โยมคนตะกี้ที่มากราบหลวงปู่นี่ เพิ่น(เขา)เป็นโสดาบันแล้วน๊ะ..!!!!"

นอกจากนี้ หลวงปู่สิมท่านยังได้"พยากรณ์"ไว้ต่ออีกหน่อยด้วยว่า
"และเพิ่นก็จะได้บรรลุสกิทาคามีภายในพรรษานี้แหละ..!!!!!"

และภายหลังจากนั้น ภายในพรรษาปีพ.ศ. 2526 "ฆราวาสนักปฏิบัติธรรม"นั้นก็ได้"Upgrade"คุณธรรมภายในจนถึงขั้น"สกิทาคามี"สมจริงดังที่หลวงปู่สิมเคย"เล็ง"ดูไว้ล่วงหน้าทุกประการ อีกทั้งยังสำเร็จ"อภิญญาสมาบัติ"ขั้นสูงเยี่ยม ที่น้อยคนน้อยพระนักจักมีวาสนา"เข้าถึง"ได้อีกด้วย!!!!!!

เรื่องนี้ เป็นเรื่องจริงที่เล่าลือในศิษย์หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโรกันมานานแล้ว มีพยานบุคคลที่อยู่ในเหตุการณ์ยืนยันรับรองได้อย่างครบถ้วน ไม่มีข้อผิดพลาดใดๆ เป็นที่น่าอนุโมทนาสาธุการเป็นที่ยิ่ง...
ทราบมาว่า ในปัจจุบันนี้ "ฆราวาสสกิทาคามี"ที่หลวงปู่สิมได้เคยให้อุบายธรรมและทำนายไว้แต่ตอนนั้น เมื่อได้ไปศึกษาปฏิบัติธรรมเพิ่มเติมจากอีกหลายครูบาอาจารย์อีกหลายสำนัก มีหลวงปู่ดูลย์ อตุโล วัดบูรพาราม สุรินทร์เป็นที่ยิ่ง ต่อมา ก็ได้บรรพชาอุปสมบทเป็น"พระ"ในบวรพระพุทธศาสนาอย่างสมภาคภูมิ และได้บรรลุคุณธรรมภายในจนถึง"ที่สุด" ภายในเวลาเพียง "3" ปีนับแต่ครองผ้ากาสาวพัตร์ไปเรียบร้อยแล้ว...........

++++++

มีใครรู้บ้างหรือเปล่า ว่าท่านนี้คือใคร???
ปัจจุบันท่านนี้ยังมีชีวิตอยู่นะครับ และท่านก็สอนธรรมมะได้ดีมาก ๆ เลย

http://www.gmwebsite.com/Webboard/Topic.asp?TopicID=Topic-080605144027090

 

ผมขอตอบว่า หลวงพ่อปราโมทย์ ครับ สวนสันติธรรม (ขออนุญาตแก้ไข )
กราบแทบเท้าครูอาจารย์ ด้วยความเคารพอย่างสูง

 

มารอฟังคำตอบนะคร้าบบ

 

สวนสันติธรรม ไม่ใช่เหรอพี่ ผมก็ว่าหลวงพ่อปราโมทย์ ปราโมชฺโช นั่นแหละ
เคยฟังผ่านหู มาน่ะ

 

สาธุ สาธุ สาธุ ขอกราบเท้าหลวงพ่อปราโมทย์ ปราโมชฺโช

 

อนุโมทนาครับ

ธรรมะจากพระผู้รู้

จากนิตยสารออนไลน์ ธรรมะใกล้ตัว

สันตินันท์
(พระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชฺโช ในปัจจุบัน)
http://palungjit.org/showthread.php?t=134083

๑๙ ก.ค. ๒๕๔๒
สันตินันท์
(พระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชฺโช ในปัจจุบัน)

ถาม - นั่งคู้บัลลังก์คืออะไรครับ ใช่การนั่งขัดสมาธิเพชรหรือเปล่า แล้วการทำสมาธิโดยการนั่งวิธีนี้ ดีกว่าวิธีอื่นๆ หรือไม่ครับ?

เรื่องการขัดสมาธิเพชรนั้น หลวงปู่สิม พุทธาจาโร แห่งถ้ำผาปล่อง ท่านชอบมากครับเวลาไปนั่งฟังธรรมของท่านก็ดี ไปนั่งปฏิบัติต่อหน้าท่านก็ดีท่านชอบแนะนำให้ขัดสมาธิเพชรเพราะมีข้อดีหลายอย่างครับ คือทำให้ไม่นั่งหลับง่ายๆและจิตใจก็จะเข้มแข็งมาก สมชื่อสมาธิเพชรทีเดียวเนื่องจากเป็นท่านนั่งที่ทรมานมากกับคนที่ไม่คุ้นเคยคราวหนึ่งพาเพื่อนที่เรียนในสถาบันจิตวิทยาความมั่นคงด้วยกัน ขึ้นไปกราบท่านบนถ้ำผาปล่อง เชียงดาว เชียงใหม่แต่ละท่านเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ในวงการต่างๆ ทั้งนั้นพอไปถึงหลวงปู่ก็แสดงธรรม โดยให้นั่งขัดสมาธิเพชรท่านเทศน์ไปสักพักก็มีคนแอบเปลี่ยนท่านั่งเป็นสมาธิราบบ้าง พับเพียบบ้างมีผู้เขียนกับผู้ใหญ่ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคอีกท่านหนึ่ง ที่ทนนั่งได้จนท่านเทศน์จบพอท่านเทศน์จบท่านก็ยิ้ม บอกว่า "ยังไง นั่งกันไม่ไหวเลยหรือ"เพื่อนที่ทนนั่งได้ตลอดก็กราบเรียนท่านว่า "โอ๊ยแย่ครับหลวงปู่ ปวดขาเหลือเกิน"หลวงปู่มองหน้าด้วยความเมตตาอย่างยิ่ง แล้วถามว่า"ขา มันบอกว่า มันปวดหรือโยม"เพื่อนก็ตอบว่า "ครับ ขามันปวดมากเลยครับ"สรุปแล้ว เพื่อนไม่เข้าใจที่ท่านสอนคือท่านสอนให้พิจารณาต่อไปว่า ขาเป็นเพียงธาตุที่ไม่รู้จักเจ็บปวดความเจ็บปวดเป็นเวทนาที่แทรกอยู่ในกายเท่านั้นแต่ทั้งขาและเวทนาก็ไม่เคยบ่นว่าปวดคนที่เร่าร้อนโอดโอยแทนขา คือจิตของเราเองต่างหากสำหรับท่านั่งสมาธินั้น นอกจากคำว่า "คู้บัลลังก์" แล้วยังมีภาษาเก่าที่ตายไปแล้วอีกคำหนึ่งคือคำว่า "นั่งพะแนงเชิง""เชิง" คือเท้า "พะแนง" คือ ทับ ซ้อนต่อมาคนรุ่นหลังออกเสียงเพี้ยนไปเป็นคำว่า พนัญเชิงเวลานี้เหลือที่ใช้คำนี้อยู่แห่งเดียว คือวัดพนัญเชิง กับหลวงพ่อพนัญเชิงเคยอ่านพบว่า ที่เรียกท่านว่าหลวงพ่อพะแนงเชิง ก็เพราะท่านเป็นพระนั่งสมาธิขนาดใหญ่องค์แรกๆของอโยธยา (ก่อนอยุธยา)ในขณะที่พระขนาดใหญ่ก่อนหน้านั้น นิยมสร้างเป็นพระนั่งห้อยพระบาท

</PRE><CENTER>
http://dungtrin.com/mag/?12.pra</CENTER><!-- / message --><!-- sig -->__________________

 

​

ลองฟังในช่วง 5 .20 นาที ครับ
[music]http://audio.palungjit.org/attachment.php?attachmentid=16433[/music]​

 

ใช่แล้วครับท่านนี้ก็คือ สันตินันท์ในอดีต หรือ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ในปัจจุบันนั่นเองแหละครับ ถ้าใครเคยอ่านหรือฟังเทศน์ของหลวงพ่อมาบ้างก็อาจจะเคยได้ยินตอนที่ท่านเล่าถึงหลวงปู่สิมเรียกท่าน

บางส่วนจากคำเทศน์ของหลวงพ่อปราโมช วันที่ 21 ม.ค. 2550

...ตอนโน้นประมาณ พ.ศ.2520 หน่อย ๆ ปี 26 - 27 ปี 27 แหละ ประมาณนั้นน่ะ หลวงปู่ดูลย์ไม่อยู่แล้ว หัดดูใจไปเรื่อย ๆ เอไม่ผ่านสักที ไปเจออาจารย์มหาบัว ไปหาท่านที่บ้านตาด ตอนนั้นท่านยังสอนแสดงธรรม ฉันข้างบนนะ ศาลาไม้ ฉันข้างบน คนก็ยังไม่มากหรอก ขึ้นไปถึงก็ไปข้างหลังท่านนะ ท่านนั่งพิงเสาอยู่ จะฉันข้าว บอก "ท่านอาจารย์ครับ ขอโอกาส" ขอโอกาสนะ ธรรมเนียม ท่านหันมามอง บอกว่า "เอาไว้ก่อน ยังไม่ว่าง รอประเดี๋ยว" แล้วท่านก็มีธุระ คุยกับคนโน้นคนนี้ เสร็จแล้วพอท่านมีเวลา ท่านหันมา "ว่ายังไง ว่ายังไง" บอก "ผมดูจิตดูใจอยู่นี่นะ ครูบาอาจารย์ทุกๆ องค์เลย บอกว่าก็ทำถูกแล้วดูต่อไปเรื่อย ๆ เอ๊ะ แต่ดู ๆ มามันรู้สึกยังไงชอบกลนะ มันผ่านธรรมะที่ละเอียด ๆ ขึ้นไปอีกไม่ได้ มันตันอยู่แค่นั้นเอง" ท่านบอกว่า "ต้องเชื่อเรานะ เราผ่านมาด้วยตัวเราเอง ที่ว่าดูจิตนั้น ดูไม่ถึงจิตหรอก ให้บริกรรมเข้าไป อะไรๆ ก็สู้บริกรรมไม่ได้" ท่านว่าอย่างนี้ เพราะว่าท่านใช้บริกรรม ตัวท่านนะ ครูบาอาจารย์แต่ละองค์ก็ใช้ไม่เหมือนกันหรอก ตัวท่านน่ะ ท่านบริกรรมเอา ที่ว่าเราดูจิต ดูจิต เราดูไม่ถึงจิต เราดูไป ดูไป แล้วไปอยู่หน้า ๆ ไปอยู่นอก ๆ ดูเข้าไม่ถึง

แต่ก็ยังดีกว่าอีกพวกหนึ่งนะ อีกพวกหนึ่งดูแล้วงหลุดเข้าอยู่ข้างใน เพ่งลึกๆ ลึกๆ เข้าข้างในไปเรื่อย ๆ หลวงพ่อก็เคยผิดนะ เข้าข้างใน ตอนที่เข้าข้างในไปนี่ ไปเจอหลวงปู่สิมเข้า หลวงปู่สิมเท่านกวักมือ "ผู้รู้ ผู้รู้ ออกมานอก ๆ นี่ ออกมานอก ๆ นี่" เราก็ เอ ทำไมให้ออกมานอก ๆ ครูบาอาจารย์บอกว่าอย่าส่งนอกนี่ ใช่มั๊ย เราก็ส่งเข้าข้างใน ความจริงครูบาอาจารย์ท่านไม่ได้บอกให้ส่งใน ท่านบอกว่าอย่าส่งนอก คืออย่าหลงออกไป ให้รู้กายรู้ใจตัวเองไว้ ไม่ส่งนอกก็คือ ให้รู้สึกตัว รู้กายรู้ใจ เราก็นึกว่าต้องส่งเข้าข้างใน ก็เอาเข้าไปไว้ข้างใน ไปเจอหลวงปู่สิมท่านบอกให้ออกมานอก ๆ นี่ กิเลสอยู่นอก ๆ นี่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กระทบอารมณ์นี่กิเลสจะได้โผล่ขึ้นมาให้ดู ไปหลบอยู่ข้างในแล้วจะไปดูอะไร ไม่มีอะไรให้ดู มีแต่ความนิ่งความว่าง นี่พอเอาออกมาอยู่ตรงนี้นะ เสร็จแล้วไปเจอหลวงปู่เทศก์อีก บอก หลวงปู่สิมท่านให้ออกมานอก ๆ หลวงปู่เทสก์เลยอธิบาย มันเป็นกลางนั่นเอง ไม่ส่งนอกไม่ส่งใน คือเป็นกลาง กลาง ๆ เราก็จงใจประคองไว้ตรงกลาง เห็นมั๊ย หาเรื่องทำจนได้

เพราะฉะนั้นที่ผิดๆ หลวงพ่อผิดมาเยอะแล้วนะ ไปประคองไว้ตรงกลาง ประคองไปใจมันก็อย่างโน้นอย่างนี้ เดี๋ยวเกาะ เดี๋ยวหลุด เดี๋ยวอย่างโน้นอย่างนี้ ก็ใช้ไม่ค่อยได้ แต่ว่าต้องคอยสังเกตนะ ถ้าใจของเราไม่ตั้งมั่น ไม่ได้ ใจต้องตั้งมั่น หัดสังเกตไว้ ถ้ารู้สึกใจไปอยู่นอก ๆ ใจกระจาย ถ้าทำสมถะเป็นก็ทำสมถะ ทำไม่เป็นจริง ๆ ให้รู้ว่าใจกระจายอยู่ ถ้ารู้ว่าใจกระจายออกไป มันจะค่อยทวนกระแสเข้ามาตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดูขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง เพราะฉะนั้น สมาธิสำคัญนะ ทิ้งไม่ได้ หลายคนนึกว่าดูจิตแล้วไม่ต้องทำสมาธิ ดูจิตน่ะ หัดดูเข้าไปเลย แล้วก็ค่อยสังเกตเอา ใจไม่ตั้งมั่นค่อยรู้เอา มันค่อยเกิดสมาธิขึ้นมา เสร็จแล้วเราจะทำสมาธิก็ทำได้ ทำไม่ยาก จำเป็นนะ ศีล สมาธิ ปัญญา ศีลก็จำเป็น คนไม่มีศีลนี่ใจฟุ้งซ่าน ใจฟุ้งซ่านไม่เกิดปัญญา จำเป็น....

 

เอ้อ เพิ่งฟังวันนี้เอง หลวงพ่อเทศน์สนุกมากๆ เปิดฟังเกือบทุกวัน
ทั้งสนุกได้ความรู้และข้อคิดสอนตัวเอง
"เอ้า ใจลอยไปแล้วรู้มั้ย เพ่งไปนะ ดูออกมั้ยเออ ดีแล้ว" คำที่หลวงพ่อพูดบ่อย
หลวงพ่อจะใช้คำน่ารักมาก "โยมเดี๋ยวนี้เจ้าเล่ห์"
อยากไปกราบท่านจัง ก็คงจะโดนทัก "เอ้า ใจลอยไปแล้วนะรู้มั้ย"

 

ท่านสอนธรรมะได้ทันสมัย ฟังสนุก พร้อมได้การปฏิบัติที่รู้สึกตัวอยู่เสมอ

ครูบาอาจารย์ท่านสอนให้ทำ เราก็ได้แต่ฟัง แล้วทำ แต่ก็ได้แค่ทำ เพราะธรรมอยู่สูงเหลือเกิน

ทุกวันนี้ขอแค่ให้กิเลสเบาบางลง เจ้าเรือนเดิม คือ โลภะ โทสะ โมหะ อ่อนกำลังลงก็พอใจ

และจะขัดต่อไป ให้ใจสะอาด

ขอบคุณพระอาจารย์ปราโมทย์ครับ

 

สาธุครับ เคยได้ยินแต่หลวงพ่อปราโมทย์เล่าตอนไปกราบหลวงปู่สิม เพิ่งรู้ว่ามีหลังไมค์จากลูกศิษย์ หลวงปู่สิมด้วย

 

ยังมีฆราวาสอีกท่าน

ตอนนี้ ไม่ต่ำกว่าอนาคามี คาบเกี่ยวอรหันตมรรค

ทวารเปิดบางจุด เพราะ มีความจำเป็นที่ยังห่มเหลืองไม่ได้

ถ้าใครรู้จักหลวงปู่บุญฤทธิ์ ที่สวนทิพย์ ปากเกร็ด เมืองนนท์


อาจได้เจอคนๆนี้

 

อนุโมทนา ครับ
สาธุ สาธุ สาธุ
___________
ธรรมะคือธรรมชาติ

 

สาธุ อนุโมทนาคับ ..เห็นด้วยคับว่าเป็นหลวงพ่อปราโมทย์...

สาธุ..สาธุ..สาธุ

 

ขอเชิญฟังธรรมะหรืออ่านหนังสือของหลวงพ่อปราโมทย์ที่ www.wimutti.net ครับ

 

สาธุครับ พระอรหันต์ยังมีอยู่ ธรรมะให้ผลได้ไม่จำกัดกาล