คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม ประสบการณ์พระพุทโธน้อยและของอธิษฐาน

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย st-antique, 27 เมษายน 2012.

  1. st-antique

    st-antique ขอบารมีคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เป็นที่พึ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    18,858
    ค่าพลัง:
    +84,227
    อธิษฐานรูปที่วัดท่าผา ราชบุรี

    10417557_774774152543679_9183840923612266459_n.jpg

    ในช่วงก่อนวัน "มาฆบูชา" ซึ่งปีนี้เป็นปีอธิกมาส มีเดือน ๘ สองครั้ง วันมาฆบูชาของปีนี้จึงตรงกับวันเพ็ญ เดือน ๔ พ.ศ. ๒๔๙๙ (๒๕ ก.พ.) ท่านก็ออกเดินทางไปสงเคราะห์ผู้เดือดร้อนในเรื่องต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องโรคภัยไข้เจ็บ อีกครั้ง ตามคำขอร้องของพระครูบุญคณูปถัมภ์ (หลวงปู่เชย ผลปุญโญ ) เจ้าอาวาสรูปแรกของวัดท่าผา ที่มีความประสงค์จะสร้างอุโบสถของวัดขึ้นมาหลังหนึ่ง แต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ เลยเดินทางมาขอให้คุณแม่บุญเรือน ซึ่งตอนนั้น มีชื่อเสียงแห่งบารมีธรรมขจรขจายเป็นที่เลื่องลือมากให้ช่วยเหลือ คุณแม่บุญเรือนจึงรับปากว่า จะเดินทางไปช่วยสร้างโบสถ์วัดท่าผาตามคำเชิญ การเดินทางไปครั้งนี้ เป็นการไปหลังจากที่ท่านได้เที่ยวตระเวนสงเคราะห์มา ๓ ภาคแล้ว คือ ภาคเหนือในปี ๒๔๙๑, ภาคใต้ ในปี ๒๔๙๕, ภาคอีสาน ในปี ๒๔๙๖ และในครั้งนี้ท่านได้ไปยังภาคสุดท้าย คือทางทิศตะวันตกของประเทศไทย ในแถบจังหวัดราชบุรีและกาญจนบุรี

    และในครั้งนี้ท่านก็ยังมีวัตถุประสงค์อยู่ในใจ ที่จะเดินทางต่อไปนมัสการยังพระแท่นดงรัง จ.กาญจนบุรี ซึ่งอยู่ไม่ห่างไกลกันเท่าใดนัก เพื่อที่จะเข้านิโรธสมาบัติเพื่อทำงานสำคัญของแผ่นดินบางอย่างไว้ในใจ ซึ่งครั้งนี้จะเป็นครั้งที่ ๔ ของการเข้านิโรธสมาบัติของคุณแม่ฯ และเป็นครั้งสุดท้ายของคุณแม่ด้วย การเข้านิโรธสมาบัติของคุณแม่ฯ ซึ่งในครั้งก่อนๆ รวม ๓ ครั้งนั้น ท่านได้กระทำ ณ สถานที่ดังต่อไปนี้

    ๑. บ้านสามัคคีวิสุทธิ ที่ถนนวิสุทธิกษัตริย์ พ.ศ. ๒๔๙๖

    ๒. พระพุทธบาท สระบุรี ต้นปี พ.ศ. ๒๔๙๘

    ๓. บ้านนาซา ระยอง พ.ศ. ๒๔๙๘

    การเลือกสถานที่ที่จะทำงานสำคัญครั้งนี้ ท่านถือเคล็ดจากชื่อของสถานที่ คือจังหวัดกาญจนบุรี โดยพิจารณาว่า

    "กาญจนบุรี หรือ เมือง ‘กาญจน์’ นับเป็นเมืองแห่ง ‘กาล’ เวลา บัดนี้ ถึงเวลาที่จะช่วยลูกๆ และบ้านเมือง ที่จะเข้าที่ยุ่งยากคับขันในอนาคตอันใกล้นี้แล้วฯ"

    ด้วยเหตุนี้ คุณแม่บุญเรือนจึงได้ประกาศกับลูกศิษย์ว่า

    "ถึงเวลาแล้วที่แม่จะช่วยลูกๆ ได้ ถ้าใครอยากจะให้แม่ช่วยอะไร ก็ให้ไปที่เมืองกาญจนบุรี..!!!!!!"

    ด้วยประการฉะนี้ เมื่อถึงกำหนดวันเดินทางไปวัดท่าผา จึงมีศิษยานุศิษย์ร่วมเดินทางไปกับคุณแม่บุญเรือนคณะใหญ่ รวมถึง นายสุวรรณ ทองนาค ผู้ที่เข้ามาเป็นศิษย์คุณแม่บุญเรือนฯ ในปี ๒๔๙๕ และได้ติดตามคุณแม่บุญเรือนมาโดยตลอด ในครั้งนี้ก็ได้พาคณะ คือกลุ่มพรรคพวกเพื่อนฝูง ในจังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งในจำนวนนี้ มีหมอผล สุขศาลาอำเภอสามชุกมาด้วย

    คณะของคุณแม่บุญเรือนฯ ได้เดินทางไปที่วัดท่าผา ต.ท่าผา อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี ได้ออกเดินทางโดยกำหนดให้ไปถึงวัดในตอนกลางวันของวันเพ็ญ เดือน ๔ พ.ศ. ๒๔๙๙ (๒๕ ก.พ. ๒๔๙๙) ซึ่งตรงกับวัน "มาฆบูชา"

    เมื่อถึงวัดแล้ว กิจกรรมแรกก็คือ คุณแม่บุญเรือนได้แจก "ถุงเขียวเหนี่ยวทรัพย์" ที่เหลือไปจากเมื่อคราวแจกที่พระพุทธบาท สระบุรี แล้วมีการอธิษฐานปูนรักษาโรคตามแบบฉบับของท่าน ทำให้ปูนแดงย่านบ้านโป่งถึงแก่การขาดตลาดโดยฉับพลัน มีการขายกันถึงถ้วยตะไลละ ๑ บาท นับว่าแพงสุดยอดในสมัยนั้น

    คุณแม่บุญเรือนได้นำ ถุงเขียวเหนี่ยวทรัพย์ จำนวนหนึ่งไปแจกชาวบ้านที่มาทำบุญที่ศาลาการเปรียญ และอีกจำนวนหนึ่งมอบไว้ให้แก่ พระครูบุญคณูปถัมภ์ (หลวงปู่เชย ผลปุญโญ ) เจ้าอาวาสเก็บไว้ (ถุงเขียวเหนี่ยวทรัพย์ที่ท่านมอบให้ไว้นี้ เมื่อหลวงพ่อเชยมรณภาพ ได้นำถุงไปเผาแต่ไม่ไหม้ไฟ จึงขุดหลุมฝัง ต่อมาบริเวณที่ฝังถุงเขียวเหนี่ยวทรัพย์นี้มีการถมที่ให้สูงขึ้น ถุงจึงถูกฝังอยู่ใต้พื้นดินลึกหลายเมตร)

    คุณแม่บุญเรือน อธิษฐานรูป

    ในวันเดียวกันที่ศาลาการเปรียญวัดท่าผา คุณแม่บุญเรือนให้ศิษย์ไปตามช่างภาพท้องถิ่นมาถ่ายภาพคุณแม่นั่งพับเพียบหน้าโต๊ะหมู่บูชา ด้วยอาการสำรวม และท่านได้อธิษฐานขอให้ภาพนี้เป็นภาพแห่งกาลเวลา เป็นภาพศักดิ์สิทธิ์ อธิษฐานให้ครั้งเดียวในครั้งนี้ และเมื่อภาพนี้ อัด ย่อ ขยาย อีกกี่พัน กี่หมื่นครั้ง ก็จะมีความศักดิ์สิทธิ์ จึงได้มอบให้หลวงพ่อเชย เจ้าอาวาสวัดท่าผานำไปแจก

    ถ่ายภาพอธิษฐาน

    เมื่อเสร็จแล้ว ก็มีการประกอบพิธีถ่ายภาพอธิษฐาน ณ ศาลาวัดท่าผาในตอนสายของวันเดียวกัน โดยมีการไปหาช่างถ่ายภาพมาจากจังหวัดกาญจนบุรี โดยมีการประกอบพิธีจุดเทียนชัยด้วย (ปรากฏอยู่ที่โต๊ะหมู่บูชาในภาพอธิษฐาน) แล้วจึงอัญเชิญให้คุณแม่นั่งลงหน้าโต๊ะหมู่ อันมีพระพุทธปฏิมากรประดิษฐานอยู่ ณ เบื้องบนสุด ทั้งนี้ ก็เพื่อจะหาเงินมาสร้างโบสถ์ให้แก่วัดท่าผาในครั้งนั้นเป็นสำคัญ

    และในขั้นตอนการ "จุดเทียนชัย" เพื่อถ่ายภาพอธิษฐาน ที่คุณแม่บุญเรือนย้ำนักย้ำหนาว่า "อย่าให้ดับได้เป็นอันขาด จะเสียพิธี" และท่านยังสั่งต่ออีกด้วยว่า "ลมไม่มีหรอก ให้ยกเทียนชัยออกมาตั้งหน้าโต๊ะหมู่ได้" ที่ตามปกติแล้ว ลมจะต้องสงบหยุดนิ่งตามคำวาจาสิทธิ์แห่งท่านตามปกติวิสัยแห่งเอกอัครมหารัตนคุณแม่ผู้ทรงอภิญญาใหญ่แห่งยุคอย่างไม่อาจเป็นอื่นไปได้

    แต่บังเอิญในวันนั้น มีผู้ร่วมประกอบพิธี ได้มีพฤติกรรมบางอย่าง ไปกระทบจิตที่ทรงฤทธิ์อภิญญาอย่างยิ่งยวดของคุณแม่บุญเรือนเข้า ทำให้จากที่ลมไม่มี ก็พลันกลับมีพายุใหญ่โหมกระหน่ำพัดเข้ามาอย่างรุนแรงจนเทียนชัยหวิดๆ จะดับมิดับแหล่เสียให้ได้ เลยทีเดียว..!

    เรื่องของเรื่องก็มีอยู่ว่า...........

    คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติมเคยบอกกับศิษย์ใกล้ชิดหลายๆครั้งว่า โดยปรกตินั้น จิตของท่านจะใสบริสุทธิ์หยุดนิ่ง แน่วแน่ตั้งอยู่ในอารมณ์ฌานขั้นสูงสุด (จตุตถฌาน หรือ ฌาน ๔) อยู่ตลอดเวลา อันเป็นคุณลักษณะของจิตพระอริยบุคคลผู้ทรงฌานที่สำเร็จแล้วโดยทั่วไป ประกอบกับการที่คุณแม่บุญเรือนท่านได้อภิญญา และเป็นผู้ที่มีอิทธิจิตที่ทรงฤทธิ์อำนาจอย่างแรงกล้าอยู่แล้วด้วยอีก จึงเป็นจิตที่พร้อมจะบันดาลให้เกิดอิทธิฤทธิ์อภินิหารต่างๆ ตามบุญญาบารมีที่ท่านได้เคยสั่งสมออกมาอยู่เสมอและทุกรูปแบบ..!!!

    ดังนั้น หากจิตที่ทรงอานุภาพยิ่งใหญ่ดังกล่าวไปกระทบหรือไหวไปด้วยสิ่งใด ไม่ว่าจะเป็นด้วยคำพูดหรือการกระทำใดๆ ก็ตาม ก็จะมีเหตุบังเกิดขึ้นไปตามที่จิตไหวตัวทันที ไม่ว่าจะเป็นในทางดีหรือร้ายก็ตาม..!

    คุณแม่บุญเรือนจึงบอกบ่อยๆว่า

    "พอจิตท่านนึกว่าเป็นอะไร การก็จะเป็นไปตามนั้นทันที..!"

    ด้วยเหตุนี้ ในชั้นแรกเมื่อคุณแม่บุญเรือนสั่งให้นำเทียนชัยออกมาตั้งหน้าโต๊ะหมู่เพื่อเตรียมตัวถ่ายภาพอธิษฐานได้ พร้อมว่า "ลมไม่มีหรอก" ที่ตามปกติแล้ว ลมก็จะต้องไม่มีมาก่อกวนให้เทียนชัยต้องดับให้เสียพิธีอย่างเด็ดขาด

    แต่...พอดีคนที่ยกเทียนชัยออกมานั้น ดันไปมีพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อจิตอันแน่วแน่เป็นหนึ่งเดียวอยู่ในขณะนั้น ด้วยการเอามือป้องเทียนเพื่อป้องกันลมตามปกติวิสัยที่มักกระทำโดยทั่วไปให้คุณแม่บุญเรือนเห็นเข้า เมื่อตาเห็นรูป จักขุวิญญาณก็ส่งข้อมูลไปกระทบจิตของคุณแม่บุญเรือน จิตซึ่งเป็นอนัตตาของคุณแม่บุญเรือนจึงคิดขึ้นมาในทันทีโดยปราศจากความจงใจว่า

    "ลมอะไรของมันนั่นน่ะ..!!!???"

    พริบตานั้น จากที่บรรยากาศเดิมที่สงบสงัดนิ่งแทบจะสนิทกลับแปรเปลี่ยนไปในบัดดล

    นั่นก็คือ ได้มีลมพายุใหญ่ก็โหมกระหน่ำพัดเข้ามายังปริมณฑลพิธีอย่างรุนแรง กิ่งโพธิ์ใหญ่ข้างศาลาวัดท่าผาที่ใช้ในการถ่ายรูปก็โยกคลอนโอนเอนเจียนจะหักลงในทันที.!

    เมื่อการณ์ได้แปรเปลี่ยนไปถึงเพียงนั้น คุณแม่บุญเรือนถึงกับตวาดสั่งออกมาอย่างเฉียบขาดในทันทีว่า "พวกมึงอย่าให้เทียนดับได้ทีเดียวนา..!" ทำให้บรรดาศิษย์ต่างต้องกุลีกุจอวิ่งมาช่วยกันป้องเทียนชัยกันจริงๆ จังๆ เป็นการใหญ่ มิให้เทียนชัยนั้นดับลงจนเสียพิธีเป็นอันเด็ดขาด

    แต่หลายมือๆ ก็ยังไม่อาจต้านทานแรงลมพายุที่เกิดแต่อำนาจจิตของคุณแม่บุญเรือนได้

    ท้ายที่สุด จนถึงขั้นต้องใช้ร่มขนาดใหญ่มาบังมหาพายุแห่งอภิญญากันเลยทีเดียว

    เรียกว่า ว่าจะลมพายุจะสงบลง และเทียนชัยยังไม่ดับลงตามไปด้วย ก็เล่นเอาบรรดาลูกๆ หลายๆ คนของคุณแม่บุญเรือนถึงแก่การเหน็ดเหนื่อยและใจหายใจคว่ำกันไปตามๆกัน

    ด้วยประการฉะนี้ คุณแม่บุญเรือนถึงสั่งนักสั่งหนาว่า

    "ไปไหนกับแม่ ถ้าแม่บอกให้ไปทำอะไร ก็ทำไปเถอะ แต่อย่าได้ไปเที่ยวพูดอะไรขึ้น"

    เพราะ

    "พอได้พูดขึ้น ก็จะเกิดเรื่องขึ้นมาทุกที..!"


    หมายเหตุพิเศษ: ด้วยเหตุที่คุณแม่บุญเรือนมีจิตที่ทรงไว้ซึ่งอิทธิฤทธิ์อย่างรุนแรงแก่กล้า ที่พร้อมจะดลบันดาลให้ทุกสิ่งบังเกิดขึ้นได้อย่างน่าอัศจรรย์อย่างยิ่งยวดถึงเพียงนี้ คุณแม่บุญเรือนจึงได้ห้ามขาดมิให้ใครก็ตามที่มาอยู่ต่อหน้าท่าน พูดในสิ่งที่เป็นอัปมงคล ไม่ดีไม่งามไม่พึงปรารถนา (เป็นต้นว่า จน, แย่, ฉิบหาย ฯลฯ..ฯลฯ..ฯลฯ..)ให้เข้าหูท่านเป็นอันเด็ดขาดเพราะจิตท่านจะไปจับอยู่กับคำอัปมงคลดังกล่าวนั้น แล้วผลร้ายที่ "จน, แย่, ฉิบหาย ฯลฯ..ฯลฯ..ฯลฯ.." ก็จะบังเกิดแก่ตัวผู้พูด ให้ตกต่ำซ้ำซ้อน ไปอย่างช่วยไม่ได้ สมควรแก่การที่ไม่รู้จักสังวรวาจาให้จงดีนั่นเอง

    ด้วยประการฉะนี้ คุณแม่บุญเรือนถึงแก่เคยได้ไล่ตะเพิดชายคนหนึ่ง ซึ่งไม่รู้ความนัยแล้ว ไปพิโอดพิโอยคร่ำครวญกับท่านว่า "คุณแม่ครับ ช่วยผมด้วย ผมยากจน" เสียอย่างหนักทีเดียวว่า

    "ไป...มึงไปให้พ้น กูไม่คบกับคนยากคนจน..!!!!!!!!!!!!!!"

    เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะ หากจิตของคุณแม่บุญเรือนไปคิดว่า "มันจน" เท่านั้น คนที่พูดคำว่าจนให้คุณแม่ได้ยิน ก็จะจนกรอบยิ่งกว่าเก่าเป็นจตุรทวีตรีคูณ ท่านเลยแก้ด้วยการไล่ตะเพิดให้ออกห่างท่านไปโดยไว ก่อนที่ความจนจะบังเกิดขึ้นจริงๆ ตามปากว่าด้วยประการฉะนี้แลฯ


    และในเมื่อคุณแม่บุญเรือนซึ่งมีวาจาสิทธิ์กับกอรปด้วยฤทธิ์อภิญญาอันมีปาฏิหาริย์อย่างยิ่งได้มีประกาศิตอธิษฐานกำชับไว้ว่า อันภาพอธิษฐานที่วัดท่าผานี้ "ต่อให้อัดภาพนี้อีกกี่ร้อยกี่พันกี่หมื่นกี่แสนครั้ง ก็จะมีความศักดิ์สิทธิ์เสมอกับภาพต้นฉบับ ประดุจหนึ่งคุณแม่ท่านมานั่งอยู่เฉพาะหน้า" จึงไม่สิ่งใดจะพึงต้องสงสัยต่อไปอีกแล้ว

    และภายหลังจากเสร็จพิธีถ่าย "รูปอธิษฐาน" ที่วัดท่าผาและรับประทานอาหารกลางวันกันแล้ว ตอนบ่ายยังมีการเทศน์ด้วย ซึ่งการเทศน์ครั้งนี้ได้ก่อให้เกิดปรากฏการณ์การ "ยืมปากเทศน์" ขึ้น อันเป็นเหตุอัศจรรย์ประการหนึ่งซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อน ที่ทำให้ทางวัดท่าผาสามารถเก็บเงินค่ากัณฑ์เทศน์ได้ถึง ๑๐,๐๐๐ บาทเศษ ซึ่งนับว่ามหาศาลสำหรับค่าเงินเมื่อเกือบ ๖๐ ปีที่แล้วมา

    กว่าทุกสิ่งจะเสร็จสรรพ ก็ค่ำมืดแล้ว จนถึง ๔-๕ ทุ่ม รถของคณะคุณแม่บุญเรือน จึงได้เดินทางออกจากวัดท่าผา มุ่งหน้าต่อไปยังวัดพระแท่นดงรัง อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรีในทันที
     
  2. st-antique

    st-antique ขอบารมีคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เป็นที่พึ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    18,858
    ค่าพลัง:
    +84,227
    การอธิษฐานของคุณแม่บุญเรือน

    การอธิษฐานธรรมของท่านแยกเป็นลักษณะใหญ่ๆ ได้ ๓ ลักษณะคือ

    ๑. อธิษฐานด้วยสัจวาจา เพราะท่านแก่กล้าในวิปัสสนากรรมฐานทำให้วาจาของท่านมีอิทธิฤทธิ์ที่จะพูดและสั่งการสิ่งใดในทางที่ชอบ ให้เกิดผลศักดิ์สิทธิ์ได้ เช่นอธิษฐานให้หายโรค ให้ร่ำรวยในทางที่ชอบ ให้ปลอดภัยจากอันตราย ให้ปลอดภัยจากกระสุนปืน ให้ฝนตกฝนหยุด อธิษฐานอวยพรแด่ในหลวงและราชินี

    ๒. อธิษฐานสิ่งของทั่วไป ได้แก่ การนำสิ่งของมาให้ท่านอธิษฐานหรือท่านอธิษฐานของท่านเอง สิ่งที่ท่านอธิษฐานมีหลายอย่าง เช่น น้ำ ปูน สาคู ผลไม้ต่างๆ มีมะม่วง แตงโม ชมพู่ และอื่นๆ น้ำตาลทราย เกลือ พริกไทย อาหาร การอธิษฐานโดยมากท่านอธิษฐานให้เป็นยาทิพย์รักษาโรคให้หายทุกชนิด ปูน (ปูนแดงที่กินกับหมาก) ท่านอธิษฐานใช้ทาเป็นยา เช่น ทาแก้ปวด บวม แก้โรคนานาชนิดเช่น มะเร็ง วัณโรค ไส้ติ่งอักเสบ โรคเรื้อน โรคไต บาดแผลทุกชนิด น้ำ เม็ดพริกไทย ไพล สาคู ท่านอธิษฐานเพื่อนำไปรับประทานเป็นยาแก้โรคต่างๆ


    ๓. อธิษฐานของพิเศษเป็นครั้งคราว เช่นอธิษฐานกรวด ทราย กันไฟไหม้ ตะกั่วถ้ำชากันอุบัติเหตุ อธิษฐานก้อนหิน ศิลาน้ำ เพื่อป้องกันภัยบางประการ อธิษฐานประจุพระพุทธรูปให้ศักดิ์สิทธิ์ อธิษฐานเทียนแนวชีวิต อธิษฐานหนังสือต่างๆ เช่น หนังสือใบโพธิ์ หนังสือหลวงพ่อพุทโธใหญ่ เป็นต้น อ่านแล้วทำให้เกิดสติปัญญาและมีโชคดี

    ของอธิษฐานของท่านนั้น เมื่อผู้ใดนำไปใช้ก็ต้องอธิษฐานขอให้สัมฤทธิ์ผลอีกที แล้วระลึกถึงคุณแม่บุญเรือน ของอธิษฐานจะกลายเป็นของศักดิ์สิทธิ์และยาทิพย์ได้สำเร็จสมความปรารถนาเป็นอันมาก
     
  3. st-antique

    st-antique ขอบารมีคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เป็นที่พึ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    18,858
    ค่าพลัง:
    +84,227
    พ.ศ. ๒๔๗๓
    ช่วยทำคลอดโดยใช้พลังจิตอธิษฐานน้ำให้ดื่ม


    พ.ศ. ๒๔๗๓ คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม ได้ใช้ความรู้ในการเป็นหมอตำแย และพลังจิตที่ได้รับมาจากการปฏิบัติธรรมมาช่วยเหลือ ในการคลอดบุตรยากของเพื่อนสามี คือสิบโทคำ สิทธิวงศ์ ซึ่งได้เล่าเรื่องดังกล่าวถวายแด่ท่านเจ้าคุณพระรัชชมงคลมุนี เมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๔๘๙ ความบางตอนมีอยู่ว่า

    “ส่วนแม่บุญเรือน โตงบุญเติมภรรยานายจ้อย ก็เป็นผู้ถือมั่นในทางธรรมดียิ่งอีกด้วย ช่วยชีวิตสัตว์ มนุษย์ เท่าที่เห็นก็คือได้ช่วยภรรยาและบุตรของกระผม โดยภรรยาท้องครบกำหนดแล้ว เจ็บและปวดอยู่ ๓ คืน ๓ วัน เด็กมาขวางตัวอยู่ทำอย่างไร ๆ ก็ไม่คลอด จนเกือบจะหมดลมหายใจ หมอตำแยก็หลายคนช่วยไม่ได้ แม่บุญเรือนพอทราบดังนั้นก็รีบไป โดยมิได้มาขอร้องแต่อย่างใดเลย พอไปพบเข้าก็ให้เอาน้ำมาขันหนึ่ง อธิษฐานน้ำให้กินและเอามือบีบที่ท้อง พอสักครู่หนึ่งเด็กคลอดออกมาได้ทั้ง ๆ ที่มิมีการเบ่ง เพราะคนอ่อนเพลียเต็มที่แล้ว คล้าย ๆ กับเด็กไหลเลื่อนออกมาเอง

    เป็นอันว่าภรรยาและบุตรของกระผมก็ปลอดภัย เป็น บุตรหญิงคนแรก เวลานี้อายุ ๑๖ ปีแล้ว กระผมภรรยาและบุตร จึงขอเสนอคุณงามความดีของแม่บุญเรือนด้วย”
     
  4. st-antique

    st-antique ขอบารมีคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เป็นที่พึ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    18,858
    ค่าพลัง:
    +84,227
    พ.ศ. ๒๔๗๖

    ในปีนี้อุบาสิกาฟัก พยัคฆาภรณ์ ซึ่งเป็นแม่ชีเพื่อนของคุณแม่บุญเรือนซึ่งรักใคร่และสนิทสนมกันมาก ผู้ซึ่งบวชชีอยู่ที่วัดสัมพันธวงศ์ และเป็นผู้ซึ่งได้ขอร้องให้คุณแม่บุญเรือนแสดงอิทธิวิธี ด้วยการล่องหนเข้าไปในศาลาวัดสัมพันธวงศ์อีกครั้งหนึ่งตามเรื่องที่ได้กล่าวข้างต้นนั้น ได้ถึงแก่กรรมลงด้วยโรคไตพิการ หลังจากที่กลับมาอยู่บ้านสามภูมิ ถนนสาทร (ซึ่งเป็นบ้านของ “เจ้าสัวกอเป็งเชียง” หรือ “เจ้าสัวเจียร” ประกอบด้วยบ้านของ ๓ ตระกูลใหญ่มี “กอวัฒนา”, “พยัคฆาภรณ์” และ “ทวีสิน” ) ตามคำอ้อนวอนของบรรดาบุตรและญาติได้เพียงสามเดือน

    ในตอนเช้าของวันที่ถึงแก่กรรม ญาติผู้ใหญ่เห็นอาการเพียบหนัก ก็เข้าไปบอกหนทาง (เพื่อให้ไปสู่สุคติ หรือพระนิพพาน) คนไข้ก็บอกว่า "ยัง" ตอนเย็น เข้ามาบอกอีก คนไข้ก็บอกว่า "ยัง" อีก

    เวลาประมาณ ๒๐.๐๐ น. (๒ ทุ่ม) วันนั้น แม่บุญเรือนพร้อมด้วยสามีและบุตรเลี้ยงได้มาเยี่ยม เห็นคนไข้กำลังลืมตา และมีอาการคล้ายจะประสงค์หรือระลึกอะไรอยู่ จึงได้พูดกับคนไข้ว่า "มาแล้ว" ทันใด แม่บุญเรือนก็ขอให้ญาติจัดดอกไม้ธูปเทียนลงมาใส่ในมือคนไข้ และจับมือพนมขึ้นไว้บนหน้าอก ทันทีคนไข้ก็หลับตาและสิ้นใจในเวลา ๒ ทุ่มเศษๆ นั้นเอง

    ญาติบางคนได้ถามแม่บุญเรือนว่า เหตุใดจึงทราบและมาทันก่อนเวลาสิ้นใจ แม่บุญเรือนได้เล่าถึงเหตุการณ์ในวันที่อุบาสิกาฟักถึงแก่กรรมว่า เวลาใกล้ค่ำวันนั้น ได้รับประทานอาหารเย็นอยู่กับสามีและบุตรสาว ทั้งสามีและบุตรสาวเห็นมีมือมาจับไฟฟ้าแก่วงไปมา ก็ได้บอกให้คุณแม่บุญเรือนทราบ ครั้นอิ่มข้าวแล้ว แม่บุญเรือนมานั่งใกล้หน้าต่างห้องเพื่อรับประทานหมาก ก็ได้เห็นมือลอดช่องหน้าต่างมากวักเรียก ก็ทราบว่าเป็นมือของอุบาสิกาฟัก จึงได้พร้อมกันมาเยี่ยม แล้วพูดกันว่า "เห็นจะเป็นนิมิตที่จะได้เห็นกันเป็นครั้งสุดท้าย"
     
  5. st-antique

    st-antique ขอบารมีคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เป็นที่พึ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    18,858
    ค่าพลัง:
    +84,227
    บันทึกของคุณนายลิ้นจี่ ฤษาภิรมณ์


    วัดเจดีย์หลวง เชียงใหม่
    ๑/๑๐/๒๔๙๑

    เมื่อกลางเดือนแปด (ก.ค.) พ.ศ. ๒๔๙๑ คุณบุญเรือนได้มาพักอยู่กับดิฉันที่บ้านพัก ต่อมาเดือนแปดข้างแรม ได้เห็นคุณบุญเรือนนำเอาดอก “บัวตั๋น” ที่เหี่ยวแล้วมา ๒ ดอก และคุณบุญเรือนบอกว่าจะอธิษฐานให้บาน ส่วนดิฉันและคุณนายเจียร ก็บอกว่ามันบานไม่ได้แล้วเพราะไม่เคยเห็น แต่คุณบุญเรือนบอกว่า ยายหมอนี่(ทำให้)บานได้ ระยะสวดมนต์แล้วประมาณสองทุ่มเศษ ก็เห็น ดอก "บัวตั๋น" ที่เหี่ยวทั้งสองดอกนั้น บานขึ้นมาอย่างงดงาม ดอกหนึ่งบานเต็มที่ อีกดอกหนึ่งบานพอสมควร และมีกลิ่นหอมด้วย จึงให้คุณนายเจียรดู คุณนายเจียรก็บอกว่าไม่เคยเห็นอย่างนี่เลย สำหรับดิฉันก็ไม่เคยเห็นเช่นนี้เหมือนกัน แต่ก็มีความสงสัยอยู่ บางทีจะมีวิธีเล่นทางปรอทก็เป็นได้

    คุณบุญเรือนพักอยู่กับดิฉัน ๑๙ วัน แล้วย้ายไปอยู่บ้านบ้านพักที่ีปลูกใหม่ ห่างจากบ้านอิฉันประมาณ ๑๐ วาเศษ ต่อมาวันแรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๙ (วันที่ ๒ กันยายน ๒๔๙๑) ดิฉันมีโอกาสเห็นดอก “บัวต้น” ที่กุฏิพระท่านบานแล้วและเด็ดวางไว้ ๓ ดอกเหี่ยวแล้ว และได้ที่ต้นอีก ๒ ดอกก็เหี่ยวเหมือนกัน ดิฉันจึงนำมาอธิษฐานดูบ้างว่าจะบานได้หรือไม่ ก็เริ่มอธิษฐานดูบ้างแล้ว แต่กลับได้รับตอบจากคุณบุญเรือนว่า คุณพี่อธิษฐานได้เหมือนฉันหรือ ส่วนดิฉันก็ตอบไปว่า ดิฉันจะลองอธิษฐานดูบ้าง เพราะคำอธิษฐานนี้เป็นของกลาง ใคร ๆ ก็อธิษฐานได้ ใจไม่ได้คิด เห็นเขาขึ้นคานหามไม่ได้เอามือประสานก้น เมื่อพูดเสร็จอิฉันก็มาที่พัก

    พอใกล้จะสวดมนต์เย็นก็มีฝนตกมาพอสมควร ในเวลาฝนตกมานี้ คุณบุญเรือนได้มาหาดิฉัน เพื่อมาสวดมนต์เย็น และบอกให้ดิฉันตรวจตัวท่านว่าดิฉันเปียกไหม ครั้นแล้วดิฉันก็ได้ตรวจดูโดยใช้มือลูบตามตัวและศีรษะคุณบุญเรือน ตลอดจนพิจารณาเสื้อผ้า ก็ไม่เห็นมีเปียกที่ตรงไหนเลย เมื่อระลึกได้ตอนนี้ดิฉันจึงขออโหสิกรรม ถ้าพลาดพลั้งอะไรด้วยกายหรือวาจาใจ เพราะดิฉันคิดว่าคุณบุญเรือนนี้เล่นปรอท

    ในเวลาใกล้ ๆ กันนั้น คุณนายบุญช่วยก็มาที่บ้านเพื่อสวดมนต์ ซึ่งห่างประมาณ ๒ วาเศษ เมื่อขึ้นมาแล้วดิฉันก็ได้ตรวจดูก็เห็นเปียกฝน ต่อมาลงมือสวดมนต์สักประเดี๋ยว คุณนายเจียรก็มาอีกและเลยสวดมนต์จนจบ ดิฉันจึงได้ตรวจดูคุณนายเจียรก็เปียกชุ่มอยู่

    เมื่อสรุปแล้วจึงเห็นคุณบุญเรือนไม่เปียกฝนเป็นของแน่นอน เพราะท่านทั้งสองคนนั้นอยู่ใกล้กว่าก็ยังเปียก ส่วนดอกบัวตั๋นนั้น ๕ ดอกที่ดิฉันอธิษฐานนั้นก็บานขึ้น(แต่)ไม่เต็มที่เหมือนของที่คุณบุญเรือนอธิษฐาน

    ต่อมาวันอาทิตย์ที่ ๑๒ กันยายน พ.ศ. ๒๔๙๑ ดิฉันให้เด็กมาขุดหน่อกล้วยที่ข้างบ้านพักคุณบุญเรือน พอขุดไปได้ ๒ หน่อก็แหงนดูปลีกล้วย ก็เห็นปลีกล้วยโผล่ออกมาสูงได้สักคืบหนึ่ง คุณบุญเรือนก็ห้ามว่า มันออกปลีแล้ว จะขุดมันทำไม ดิฉันก็ขุดออกอีก ๓ หน่อ รวมเป็น ๕ หน่อ เหลือไว้อีก ๑ หน่อ ดิฉันก็แหงนขึ้นไปดูปลีกล้วยอีก คราวนี้เห็นยาวยื่นโค้งออกมาอย่างอัศจรรย์ ซึ่งตามปกติจะยาวออกมาอย่างผิดสังเกตไม่ได้

    ต่อมาวันอังคารที่ ๒๑ กันยายน พ.ศ. ๒๔๙๑ ดิฉันเดินมาหาคุณบุญเรือนที่บ้านพัก เวลาเช้าประมาณ ๘ น.เศษ เห็นถือไม้ราวตากผ้าอยู่ และคุณบุญเรือนได้เรียกดิฉันว่า "คุณพี่จี่ ฉันจับเต่าได้แล้ว" ดิฉันจึงมองดูเห็นน้ำในหนองหน้าบ้านยังกระเพื่อมอยู่ เห็เปลือกมะพร้าว น้ำทุ่งทะลุ พานทะลุ ไปกองอยู่บนกองหญ้าแห้งที่ลอยอยู่ในหนอง ซึ่งห่างจากตลิ่ง ๒ วาเศษ ซึ่งวางของเหล่านี้ไว้โดยเรียบร้อย จึงได้เฉลียวใจว่า เอาไปไว้ได้เร็วอย่างไร น้ำก็ยังกระเพื่อมอยู่ จึงได้พิจารณาตามเท้าและร่างกาย ไม่เห็นมีเปียกมีเปื้อนตรงไหน ดิฉันจึงขอไม้ราวมาลองพาดดู ก็ไม่ถึงกอหญ้านั้น เพราะยังห่างอยู่ประมาณอีก ๒ ศอกเศษ เมื่อสรุปแล้ว ก็เป็นของแปลกประหลาดอีก เพราะตามธรรมดาจะลงไปก็ต้องเปียก โดยดิฉันเป็นผู้อยู่ก่อนย่อมทราบสถานที่ได้ดี เพราะน้ำตอนนั้นลึก ถ้าไปยืนตอนนั้นก็จะลึกประมาณเพียงเข่า จึงเชื่อแน่ว่า คุณบุญเรือนนี้มีอิทธิฤทธิ์ทำได้ตามหลักของพระพุทธศาสนา

    ระหว่างคุณบุญเรือนดูช่างไม้ปลูกเรือนพักที่วัดเจดีย์หลวง ดิฉันได้ตัดต้นยอ ๒ กิ่ง และทิ้งไว้ ๒๐ กว่าวันแล้ว คุณบุญเรือนก็นำกิ่งยอที่ทิ้งนั้นทั้ง ๒ กิ่ง มาปักไว้หน้าเรือน แล้วเอาตำลึงมาปลูกให้ขึ้นพันกิ่งยอทั้งสอง แต่อีกกิ่งหนึ่งต้นตำลึงก็ไม่ขึ้นกิ่งยอก็ผุ อีกกิ่งหนึ่งสูงกว่าต้นตำลึงก็ขึ้นงามถึงยอดกิ่ง ที่ปักกิ่งยอนี้ปักได้เดือนเศษ บังเอิญน้ำท่วมที่ตัดต้นยอเมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน พ.ศ. ๒๔๙๑ แทนที่กิ่งยอนั้นจะผุอีก กลับงอกแตกใบอ่อนสี่ชั้นยอด ดูคล้าย ๆ กับกล้วยที่ออกปลี คือพอเห็นก็มีใบออกมา ๔ ใบ ๔ ชั้น ๕ ยอดทีเดียว ตามธรรมดาดิฉันมาทุกวัน คุณบุญเรือนก็ชี้ให้ดูต้นตำลึง บางคราวก็เอาลูกตำลึงต้นอื่นมาแขวนให้พิจารณา ตามธรรมดาดิฉันก็เคยพิจารณาสติปัฏฐาน ๔ อยู่เสมอ แล้วคุณบุญเรือนก็ให้พิจารณาต้นยอ คือ ตัดเสียแล้วซึ่งสรรเสริญเยินยอ และพิจารณาตำลึง คือ ตำลึงหนึ่ง ๔ บาท ก็เทียบกับอิทธิบาท ๔ เพราะเหตุนี้ดิฉันจึงได้ดูอยู่เสมอ และเห็นแปลกอีก จึงได้บันทึกไว้เพื่อพิจารณาในหลักธรรมะต่อไป

    ลิ้นจี่ ฤษาภิรมณ์​
     
  6. st-antique

    st-antique ขอบารมีคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เป็นที่พึ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    18,858
    ค่าพลัง:
    +84,227
    บันทึกของคุณนายแดง “บ้านเจริญพายัพ”​



    เชียงใหม่
    ๒/๑๐/๒๔๙๑
    วันแรม ๑๔ ค่ำเดือน ๙ เป็นเดือน ๑๑ เหนือ พ.ศ. ๒๔๙๑

    ตอนเย็น ๖ โมง คุณนายจี่ (คุณนายลิ้นจี่ ฤษาภิรมณ์) ได้มาที่บ้านพักคุณแม่บุญเรือนที่ดิฉันได้มาอยู่ด้วย และได้บอกว่า วันนิ้ดิฉัน (คุณนายลิ้นจี่) ได้นำดอก “บัวตั๋น” มา ๕ ดอก เพื่อจะอธิษฐานให้บานเป็นการส่วนตัว ว่าจะเรียนสำเร็จไหม ถ้าสำเร็จขอให้ดอกไม้บาน อธิษฐานอย่างนี้ ได้ยินคุณบุญเรือนตอบว่า คุณพี่อธิษฐานได้อย่างดิฉันหรือ เห็นเขาขึ้นคานหาม อย่าเอามือประสานก้น* แต่คุณนายจี่ก็บอกว่าอธิษฐานดูบ้าง ไม่ใช่เอามือประสานก้นอย่างเขา การอธิษฐานเป็นของกลาง ใครจะอธิษฐานก็อธิษฐานได้ เมื่อพูดดังนี้แล้วก็ไป

    ก่อนสวดมนต์ฝนได้ตกลงมา คุณแม่บุญเรือนบอกว่าจะไปสวดมนต์ แต่ดิฉันเห็นว่ากลัวจะเปียกฝน จึงให้บุตรสาวของดิฉันหยิบร่มมาให้ แต่คุณแม่บุญเรือนไม่ยอมรับเอาไป แล้วกลับมาตีอิฉันเข้าให้หนึ่งที แล้วก็มาบอกว่า อย่ามาสงสารดิฉันจะเสีย พูดเช่นนั้นแล้วก็ลงบันไดไป ส่วนร่มนั้นดิฉันก็ให้ลูกสาวกางกลับไป ต่อมาดิฉันจึงได้ตรวจตามร่างกายจนตลอดถึงศีรษะก็ไม่เห็นเปียก และทั้งเอาไฟฉายส่องดูตลอดเสื้อผ้า ทั้งได้จับดูด้วยก็ไม่เห็นเปียกฝน เพราะตอนขาไปอิฉันดูเดินตากฝนไป เป็นเหตุให้สงสัย ตอนขากลับมาอิฉันจึงได้ตรวจดู ก็สมดังที่คิด

    ต่อมา วันอังคารที่ ๑๒ กันยายน พ.ศ. ๒๔๙๑ ตอนเช้าดิฉันหุงข้าวอยู่ในครัว ส่วนคุณแม่บุญเรือนไปปอกมะพร้าวอยู่หน้าบันไดที่พัก พอเสียงหยุดปอกมะพร้าวแล้ว ก็ได้ยินคุณแม่บุญเรือน เรียกคุณนายจี่ว่า ดิฉันจับเต่าได้แล้ว ดิฉันก็ลุกขึ้นไปดูที่หน้าบ้าน เห็นเต่าอยู่ในมือคุณแม่บุญเรือนและถือไม้ราวตากผ้าด้วย แล้วดิฉันจึงมองไปที่กองหญ้าแห้งซึ่งลอยอยู่ในหนองน้ำ เห็นเปลือกมะพร้าวที่ปอกแล้วที่ใส่อยู่ในน้ำทุ่งที่ทะลุ (น้ำทุ่ง เป็นภาชนะสานด้วยไม้ไผ่ยาด้วยชัน ลักษณะคล้ายกรวยหงาย มีที่หิ้วทำด้วยไม้ สำหรับตักน้ำ สาวขึ้นมาจากบ่อน้ำ) และ พานทะลุ ไปกองอยู่บนหญ้าแห้งอย่างเรียบร้อย

    ครั้นแล้วดิฉันก็ตรวจดูที่เท้าและที่อื่น ๆ ก็ไม่เห็นมีเปียกเลย และเห็นคุณนายจี่ลองเอาไม้ราวตากผ้ายื่นไปเขี่ยที่กองหญ้าแห้งที่ลอยน้ำนั้นก็ไม่ถึง ยังห่างอยู่ประมาณ ๒ ศอกเศษ ทั้งน้ำตอนนั้นก็ลึกเพราะเป็นแอ่งเก่าอยู่ เมื่อสังเกตดูที่กองหญ้า ก็เหมือนกับมีรอยเท้าสองข้างเหยียบบนกองหญ้าแห้งนั้น กองหญ้านี่สมมุติว่าคนจะไปยืนก็คงไม่ได้ เพราะหญ้าฟูลอยน้ำขึ้นมา ทั้งกองหญ้านั้นก็ไม่ใหญ่พอที่จะทานน้ำหนักเด็ก ๆ ได้

    รุ่งขึ้นคุณแม่บุญเรือนจึงเอาอิฐขว้างไปที่กองหญ้าแห้งนั้น หญ้านั้นก็แตกกระจายไป

    ระหว่างที่ดิฉันมาอยู่ได้หนึ่งเดือนกับเก้าวัน ก็ได้เห็นคุณแม่บุญเรือนนี้ปฏิบัติในสัจจะมั่นคง ละเอียดถี่ถ้วน ยากที่ผู้ใดจะทำได้เช่นนี้ อิฉันก็พึ่งพบผู้ทำจริงอย่างแน่นอน เท่าที่ดิฉันได้ปฏิบัติมาก็ยังไม่ละเอียดเท่า จึงยังพยายามเรียนต่อไปเท่าที่จะทำได้ และได้อยู่ต่อมา ๓ เดือนเศษจึงได้กลับบ้าน

    ลงชื่อ แดง ชัวย่งเสง​
     
  7. st-antique

    st-antique ขอบารมีคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เป็นที่พึ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    18,858
    ค่าพลัง:
    +84,227
    พ.ศ. ๒๔๙๓

    ในปีนี้ คุณแม่บุญเรือนได้ทำการรักษาโรคให้กับบุคคลทั่วไปเป็นจำนวนมากราย ซึ่งมีรายที่น่าสนใจและได้มีบันทึกปรากฏไว้ดังต่อไปนี้


    ดูดกระดูกงอก

    นางกฐิน กุยยกานนท์ บุตรสาวคนเล็กของหลวงแจ่มวิชาสอนและคุณนายผิน ซึ่งได้แต่งงานกับ พอ. (พิเศษ) กาจ กุยยกานนท์ ได้มีบันทึกที่คุณแม่บุญเรือนได้ช่วยรักษาโรคกระดูกงอกให้กับบุตรชายของเธอไว้ดังนี้

    "เมื่อปลายปี พ.ศ.๒๔๙๓ บุตรชายของดิฉัน (น่าจะเป็น นายเทศภักดิ์ นิยมเหตุ นักแปลนวนิยายชื่อดัง ผู้ซึ่งคุณนายผิน แจ่มวิชาสอน ผู้เป็นยาย ขอไปเลี้ยง และใช้นามสกุลของท่าน เนื่องจากท่านไม่มีลูกชาย) อายุได้ ๙ ปี เป็นนักเรียนประจำอยู่ที่โรงเรียนวชิราวุธ เท้าได้บวมขึ้นตั้งแต่ข้อเท้าถึงหลังเท้า เดินไม่ได้ มีอาการปวดมากจนขาลีบเล็ก

    ดิฉันได้อุ้มมาหาคุณป้าบุญเรือน คุณป้าหมอว่า เป็นกระดูกงอกที่ใต้ตาตุ่ม ท่านจึงได้ทาปูนอธิษฐานให้ว่าจะต้องหาย ดิฉันเชื่อว่าต้องหาย เพราะเชื่อในอำนาจจิตอันศักดิ์สิทธิ์ของท่าน แต่สามีดิฉันไม่เชื่อ จึงได้พาลูกไปหาหมอลิลิตที่พงษ์แพทย์ ถนนบำรุงเมือง หมอตรวจแล้วได้แนะนำให้ไปเอ๊กซเรย์ที่หลานหลวงการแพทย์ เมื่อเอ๊กซเรย์แล้วหมอบอกว่าเป็นกระดูกงอก ต้องทำการผ่าตัดกระดูก แต่หมอไม่รับรองว่าจะหาย

    ดิฉันไม่ยอมให้ทำการผ่าตัด ได้พาลูกมาหาคุณป้าบุญเรือน โตงบุญเติม คุณป้าหมอได้อธิษฐานจิตให้ปูนเป็นยารักษา จึงได้เอาปูนทาต่อไป

    ปรากฏอัศจรรย์ว่า เมื่อเอาปูนทาแล้วมีการปูดออกมาเหมือนเดือยไก่ที่ส้นเท้า แต่ก็ไม่ละการทาปูน ได้ทาปูนต่อไปทุกวัน เพราะอาการบวมได้ลดลง และเดินได้แต่ไม่ค่อยถนัด

    คุณป้าบุญเรือนได้กวนสีผึ้งให้ปิด เพื่อจะได้ดูดกระดูกนั้นออกมา

    ต่อมาคืนหนึ่งเมื่อตื่นนอนเช้า เห็นเลือดไหลที่ตรงเส้นเท้า ดิฉันตกใจรีบมาหาคุณป้าหมอบุญเรือน แต่ตรงกันข้าม คุณป้าหมอบุญเรือนกลับบอกว่า ปูนตัดกระดูกงอกออกมาได้แล้ว จะหายแล้ว ให้ระวังคอยดูเพราะกระดูกที่ปูนตัดจะออกมา

    รุ่งขึ้นอีกวันหนึ่ง ดิฉันเปลี่ยนสีผึ้งปิดแผลให้ลูก กระดูกได้ออกมาอยู่ที่สีผึ้ง มองดูที่แผลลึกเป็นรู คล้ายกระดูกนั้นจะเดินมาจากอื่น

    กระดูกที่ออกมานั้นมีลักษณะแหลมคมมีสองแง่เกือบเท่าเม็ดพุทรา ดิฉันเอามาให้คุณป้าหมอบุญเรือนดู แล้วเอาไปให้หมอลิลิตดูด้วย คุณหมอลิลิตลงความเห็นว่า เป็นกระดูกงอกจริง

    ดิฉัน ยังทาปูนที่แผลให้ลูกอยู่เรื่อยๆจนกระทั่งน่องมีเนื้อ และหายเป็นปกติไปอยู่โรงเรียนประจำได้"
     
  8. st-antique

    st-antique ขอบารมีคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เป็นที่พึ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    18,858
    ค่าพลัง:
    +84,227
    ไตอักเสบ

    "ข้าพเจ้า นายพลตำรวจโทหลวงวิฑิตกลชัย (เนื่อง ทองโสภิต) ได้ป่วยเป็นโรคเยื่อตาอักเสบ เมื่อเดือนตุลาคม ๒๔๙๓ มีอาการปวดเจ็บตามข้อต่างๆ เช่น ข้อเท้า ข้อมือ ข้อเข่า ข้อนิ้วมือ ข้อนิ้วเท้า ได้จัดการให้แพทย์แผนปัจจุบันรักษาเป็นเวลาหลายเดือน แต่มีอาการทรงกับทรุดเรื่อยมา

    ภายหลังคุณป้าบุญเรือน โดงบุญเติม ได้ตรวจดู ปรากฏว่า เป็นโรคไต แต่คุณป้าบุญเรือน มีกิจธุระจำเป็นต้องไปเชียงใหม่ จึงไม่มีโอกาสจะช่วยเหลือข้าพเจ้าได้

    ขณะนั้น มีนายแพทย์หลายนายได้ตรวจอาการไข้ของข้าพเจ้า แต่ไม่ปรากฏว่ามีโรคเกี่ยวกับไตประการใด

    ครั้นคุณป้าบุญเรือนกลับจากเชียงใหม่แล้ว อาการไข้ของข้าพเจ้าทรุดหนักลงมาก เพราะนายแพทย์แจ้งว่า มีโรคอย่างอื่นแทรกแซงอีกหลายอย่าง เช่น วัณโรค ลำไส้อักเสบเรื้อรัง หัวใจอ่อน ไข้จับสั่นเรื้อรัง โรคขัดข้อ

    ส่วนโรคที่สำคัญนั้นคือ ไตอักเสบเรื้อรัง ดังที่คุณป้าบุญเรือนบอกไว้แต่ครั้งก่อน นายแพทย์แจ้งให้ทราบว่า ข้าพเจ้าต้องตายแน่นอน ให้บุตรภรรยาเลือกเอาว่า จะให้ข้าพเจ้าตายที่บ้านหรือที่โรงพยาบาล ถ้าตายที่โรงพยาบาลก็จะมีเวลานานต่อไปได้อีกบ้าง

    บุตรภรรยาของข้าพเจ้า จึงพร้อมใจกัน ส่งข้าพเจ้าไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลศิริราช เมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๔

    ขณะนั้น นายแพทย์ที่โรงพยาบาลทั้งหมดแน่ใจว่า ข้าพเจ้าต้องตาย แต่คุณป้าบุญเรือนได้พิจารณาดูด้วยกระแสญาณ เห็นว่า ข้าพเจ้ายังมีหวังอยู่

    คุณป้าบุญเรือนจึงกำหนดจิตเป็นสมาธิอธิษฐานสาคูเม็ดเล็ก ให้บุตรภรรยาข้าพเจ้าทำสาคูเปียกให้ข้าพเจ้ารับประทาน

    บุตรภรรยาของข้าพเจ้า ก็ปฏิบัติตามที่คุณป้าบุญเรือนสั่งทุกประการ ข้าพเจ้าก็ทุเลาขึ้นตามลำดับ จนถึงต้นเดือนมีนาคม นายแพทย์แจ้งให้ทราบว่า ข้าพเจ้าอาจไม่ถึงแก่ความตาย แต่จะต้องเป็นคนพิการไม่สามารถทำการงานได้ เนื่องจากข้าพเจ้ามีอายุ ๕๗ ปีแล้ว

    คุณป้าบุญเรือน ได้ไปเยี่ยมข้าพเจ้าที่โรงพยาบาลศิริราช ข้าพเจ้าจึงเรียนให้คุณป้าทราบ แต่คุณป้ายืนยันว่า จะจัดการให้ข้าพเจ้าหายเป็นปกติ ให้รับราชการช่วยชาติบ้านเมืองได้ต่อไป และกำหนดให้ข้าพเจ้ากลับบ้านในวันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๔๙๔ ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติตาม และรักษาร่างกายตามคำแนะนำของคุณป้าบุญเรือนตลอดมา

    เมื่อกลับไปอยู่บ้านแล้ว ข้าพเจ้าได้แข็งแรงขึ้นเป็นลำดับ ได้ไปทำงานตามหน้าที่แต่วันที่ ๑๘ เมษายน ๒๔๙๔ ไม่มีอาการเจ็บไข้ประการใด

    ข้าพเจ้า สามารถไปตรวจราชการต่างจังหวัดได้ และไปทำงานตามปกติตลอดวัน บางทีต้องไปปฏิบัติหน้าที่ในเวลาค่ำคืนจนถึงยี่สิบสี่นาฬิกา (๒ ยาม) ก็ไม่รู้สึกอ่อนเพลียประการใด ผู้บังคับบัญชาหลายนายชมเชยว่า ข้าพเจ้าแข็งแรงและสดใสดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนเจ็บป่วย

    การที่ข้าพเจ้าหายโรคครั้งนี้ นับว่าคุณป้าบุญเรือน โตงบุญเติม ได้ช่วยชีวิตข้าพเจ้าอย่างแน่แท้ เพราะนายแพทย์ผู้สามารถก็ยังรู้สึกพิศวงว่า ข้าพเจ้าหายจากโรคได้อย่างไร เพราะแต่ก่อนมาผู้ใดป่วยเป็นโรคไตถึงระยะที่ข้าพเจ้าเป็นนี้ ไม่เคยมีผู้ใดรอดตายเลย

    แม้เมื่อข้าพเจ้าหายมาแล้ว เมื่อมีคนไข้มีอาการอย่างเดียวกับข้าพเจ้า นายแพทย์ได้ดำเนินการรักษาพยาบาล เช่นเดียวกับข้าพเจ้า แต่ก็ยังไม่มีผู้ใดหายเหมือนข้าพเจ้าแม้แต่สัก ๑ คน"

    ในวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๔๙๓ คุณแม่บุญเรือนได้เป็นผู้นำในการทอดผ้าป่าที่ศาลาสันติสุข ศาลาแดง

    และในช่วงปลายปี ๒๔๙๓ นี้ คุณแม่บุญเรือนได้ไปเชียงใหม่ ๑๘ วัน
     
  9. st-antique

    st-antique ขอบารมีคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เป็นที่พึ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    18,858
    ค่าพลัง:
    +84,227
    พ.ศ. ๒๔๙๔

    ประมาณกลางปี พ.ศ. ๒๔๙๓ คุณแม่บุญเรือน ได้รักษาโรคต่อมไทรอยด์อักเสบให้กับ นางลำใย กลางสุข ซึงเธอได้บันทึกเรื่องดังกล่าวไว้ดังนี้

    ดิฉันอยู่บ้านเลขที่ ๑๑๔ ตรอกสุเหร่าเก่า ข้างตลาดพระยาไกร พระนคร เมื่อประมาณกลาง ปี พ.ศ. ๒๔๙๓ ดิฉันเป็นโรคชนิดหนึ่งที่คอ บริเวณลูกกระเดือก มีอาการบวมนูนขึ้นมา ดิฉันรู้สึกปวดศีรษะบ้าง ใจคอหงุดหงิด ไอบ้าง เวลาฟ้าร้อง รู้สึกกลัวมาก คิดว่าจะตายท่าเดียว อาการ ดังกล่าวทวีขึ้นทุกที และคอบวมมากขึ้นผิดปกติ โตเท่าผลหมากดิบขนาดใหญ่ ดิฉันจึงไปปรึกษาแพทย์ผู้หนึ่งซึ่งรู้จัก แพทย์บอกให้ดิฉันไปทำการผ่าตัดเสีย จึงจะหาย แต่ดิฉันไม่ยอมผ่าเพราะกลั พอพ้นฤดูฝนปี พ.ศ. ๒๔๙๔ แล้ว ดิฉันจึงได้มาหาคุณแม่บุญเรือน ที่บ้านสามัคคีวิสุทธิพร้อมกับซื้อปูนมาด้วย คุณแม่บุญเรือนได้ไล่ให้ดิฉันกลับให้ไปหาแพทย์ทำการผ่าตัดเสียเถิด บอกว่า ดิฉันเป็นต่อมไทรอยต์อักเสบหรือกลอยเตอร์ ยังไม่ถึงขนาดหนัก ให้รีบไปผ่าเอาออกเสีย เพราะว่าข้างในเป็นเหมือนขี้มูกแข็งๆ แต่ดิฉันไม่ยอมกลับ ไม่ยอมไปหาแพทย์ เพราะกลัวผ่าตัด ขอให้คุณแม่บุญเรือนช่วยเถิด

    คุณแม่บุญเรือนพูดว่า “ดิฉันไม่มีความสามารถหรอก แต่ถ้าจะให้ดิฉันช่วยจริงๆ ก็ลองมาทาปูนดูสัก ๔ วัน ถ้าไม่ยุบก็ต้องไปผ่า”


    ดิฉัน ก็มาหาคุณแม่บุญเรือนทุกวันในตอนเย็นๆ ให้คุณแม่บุญเรือนทาปูนให้ ทาอยู่ ๓ ครั้งๆ ละวัน ก็รู้สึกว่ายุบลงเล็กน้อย อาการปวดศีรษะ ใจคอหงุดหงิดและไอ ก็ทุเลาลงไปด้วย ดิฉันจึงพยายามมาหาคุณแม่บุญเรือนทุกวัน ท่านก็ทาปูนให้ที่คอทุกครั้งจนหายเป็นปกติ อาการต่างๆ ก็หายไปด้วย อาการโรคประสาทกลัวฝนตกฟ้าร้องก็หายไป อาการโกรธง่ายก็หายไป จิตใจหนักแน่นเข้มแข็ง สดชื่นสบายกาย สบายใจ อย่างอัศจรรย์ เพราอาศัยคุณธรรมของคุณแม่บุญเรือนโดยแท้
     
  10. st-antique

    st-antique ขอบารมีคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เป็นที่พึ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    18,858
    ค่าพลัง:
    +84,227
    หัวใจโต

    นางสาวอำนวย กลั่นกลาย บันทึกไว้ดังนี้
    หนูเป็นคนไม่แข็งแรง มาตั้งแต่เด็กๆ เป็นคนขี้โรค ไม่ทราบว่า เป็นอะไร ออดๆ แอดๆ เดี๋ยวเป็นเดี๋ยวหายตลอดมาจนกระทั่งอายุ ๑๘ ปี โรคได้กำเริบขึ้นมา มีอาการปวดตามข้อ แน่นในอก นอนไม่ได้ ต้องนั่งพิงอยู่ตลอดเวลา รับประทานอาหารไม่ได้อยู่ ๕ วัน ภายใน ๕ วันนี้ หนูได้รักษาอยู่หลายหมอ เพราะหมอทุกๆ คน ที่มาเห็นอาการไข้ของหนูเข้าแล้วไม่รับการรักษา จนกระทั่งส่งมาอยู่โรงพยาบาลศิริราชเป็นวันที่ ๖ ของวันป่วย ตรงกับวันที่ ๒๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๙๔ หมอไม่บอกว่าเป็นโรคอะไร แต่นางพยาบาลบางคนเกรงใจก็เลยบอกว่า เกี่ยวกับหัวใจ ได้รับการรักษาอยู่ถึง ๒๕ วัน ก็ค่อยยังชั่ว กลับมาอยู่บ้านก็ยังไม่หายขาด หนูได้ไปตรวจ ที่โรงพยาบาลอยู่หลายครั้ง หมอได้ให้ยามารับประทาน อาการก็เรื่อยๆ ไม่หาย หมอบอกทีหลังว่า เป็นโรคหัวใจโต ต่อมาหมอก็เลยสั่งงดยา เพราะกลัวจะแก่ยาเกินไป หมอบอกว่า หน้าหนาวข้างหน้าอาจจะเป็นอีก คุณแม่กลัวจะเป็นมาก จึงขวนขวายหาหมอ ก็มีผู้แนะนำให้คุณแม่มาหาคุณหมอบุญเรือน โตงบุญเติม คุณแม่ของหนู ได้มาพบกับคุณหมอบุญเรือน เล่าอาการเจ็บป่วยของหนูให้ท่านทราบ แต่หนูก็ยังไม่ได้พบคุณหมอบุญเรือนเลย เพียงแต่คุณแม่ได้จดชื่อหนูและอายุให้คุณหมอบุญเรือนไว้ คุณแม่ ได้ขอเอาปูนอธิษฐานมาให้หนูทาตามข้อที่ปวดและระหว่างหัวใจ หนูได้ตั้งใจอธิษฐานขอให้คุณหมอบุญเรือนช่วยรักษาโรคของหนูให้หาย ในเมื่อหนูเอาปูนทาตามที่ดังกล่าวแล้ว มันก็ค่อยๆ ยุบไปที่หัวใจก็รู้สึกสบาย ตามที่ปวดบวมหายไป รู้สึกแข็งแรงขึ้นทุกวัน อาการแน่นก็หายไปด้วย จนมาถึงฤดูหนาวก็ไม่เป็นไร หนูกลับแข็งแรงเหมือนเกิดใหม่ ทำอะไรทำได้ จิตใจสบายผิดกว่าธรรมดา เพราะหนูตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยสดชื่นเหมือนคราวนี้ คุณหมอบุญเรือนช่วยเมตตาชุบชีวิตใหม่ให้หนูแท้ๆ
     
  11. st-antique

    st-antique ขอบารมีคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เป็นที่พึ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    18,858
    ค่าพลัง:
    +84,227
    นิ่วในถุงน้ำดี

    ม.ร.ว.ไกรเทพ เทวกุล บันทึกไว้ดังนี้

    “เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๔ ข้าพเจ้า ม.ร.ว.ไกรเทพ เทวกุล ป่วยมีอาการแน่นจุกเสียดทุกๆ เดือน บางที ๒ ถึง ๓ เดือนต่อครั้ง ครั้นถึงเดือนเมษายน พ.ศ. ๒๔๙๕ รู้สึกว่าอาการเช่นนี้มีมากขึ้นจนทนแทบไม่ได้ เช่น หายใจไม่ออก ข้าพเจ้าจึงได้ไปปรึกษาแพทย์ปริญญาที่ข้างบ้าน นายแพทย์ผู้นั้นได้ฉีดยาและให้ยารับประทาน อาการก็ค่อยทุเลา ต่อมาจากนั้น ๒ ถึง ๓ วัน ก็เป็นอีก นายแพทย์ผู้นั้นแนะนำว่า ควรไปเอ๊กซเรย์ดู เพราะสงสัยในอาการนั้นคงเนื่องมาจากถุงน้ำดีอักเสบ ข้าพเจ้าก็ปฏิบัติตาม ปรากฏตามฟิล์มเอ๊กซเรย์ โดยนายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแผนกนี้ ลงความเห็นว่า เป็นนิ่วในถุงน้ำดี แนะนำให้ทำการผ่าตัดทันที ข้าพเจ้า ได้มาปรึกษาคุณป้าบุญเรือนถึงอาการเจ็บป่วย ตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้น คุณป้าบุญเรือน ได้เอ็ดข้าพเจ้ามากมายว่า ทำไมไม่มาปรึกษาฉันตั้งแต่แรก ถ้าอยากตายก็เชิญไปผ่าได้ ข้าพเจ้าว่า ไม่ผ่าละต้องเชื่อคุณป้าเสมอ เพราะนับถือตั้งแต่รู้จักกันมาเป็นครั้งแรก คุณป้า จึงให้ข้าพเจ้ารับประทานไพลและน้ำอธิษฐาน กับทั้งได้ให้ปูนอธิษฐานไปทาตามบริเวณหน้าอกและท้อง เว้นวันสองวัน ท่านก็นวดให้ข้าพเจ้าหนหนึ่ง ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติตามโดยเคร่งครัด อาการที่กล่าวแล้วก็ค่อยทุเลาและหายภายในเดือนนั้นเอง คุณป้าบุญเรือน ให้ไปฉายเอ๊กซเรย์ดูใหม่ ข้าพเจ้าก็ปฏิบัติตาม กับได้นำฟิล์มทั้งเก่าละใหม่มาเทียบกันดู ปรากฏว่า ในแผ่นแรก มีวงกลมสีขาวประมาณเท่าเหรียญสองสลึง ส่วนในแผ่นเอ๊กซเรย์ทีหลังไม่มี คงดูเป็นปกติเหมือนธรรมดา นายแพทย์บอกว่า ในบริเวณถุงน้ำดีไม่มีก้อนนิ่วแล้ว การที่ข้าพเจ้าหายจากโรคนิ่วในถุงน้ำดี ก็เพราะข้าพเจ้าเชื่อในคุณธรรมของพระพุทธเจ้ากับทำตามคำแนะนำสั่งสอน และเชื่อคำพูดจริงของคุณป้าบุญเรือน โตงบุญเติม จึงขอบันทึกเรื่องนี้เพื่อเป็นสักขีพยาน แด่คุณป้าบุญเรือน ซึ่งเป็นที่เคารพและนับถืออย่างสูงของข้าพเจ้า”
     
  12. st-antique

    st-antique ขอบารมีคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เป็นที่พึ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    18,858
    ค่าพลัง:
    +84,227
    พ.ศ. ๒๔๙๗

    คณแม่บุญเรือนไปเที่ยวที่จังหวัดลำปาง ท่านได้ไปพักที่บ้านคุณไสว คุณจันทร์ฟอง ศรีงาม เมื่อท่านไปถึงจังหวัดลำปาง คนลำปางรู้ว่าคุณแม่บุญเรือนมาลำปาง ก็มีคนมาหาท่าน ฟังท่านสอนธรรมะและแนะนำการใช้ปูนและตั้งน้ำอธิษฐาน คนมาหามากมาย วันรุ่งขึ้นจะเดินทางไปเชียงใหม่ คุณแม่บุญนาคได้นั่งรถยนต์ไปรับท่านตอนเช้าที่บ้านคุณจันทร์ฟองในเวลาก่อน ๖ โมงเช้า เวลาที่รถไฟจะออกคือ ๖:๐๕ น. คุณแม่บุญเรือนแต่งตัวเตรียมของเสร็จแล้ว ก็ขึ้นไปนั่งบนรถยนต์ แล้วบอกคุณแม่บุญนาคว่า "นายบุญนาค พาฉันไปไหว้พระที่บ้านนายก่อน ฉันยังไม่ได้ไหว้พระ" คุณอาภรณ์ซึ่งเป็นคนขับรถก็เรียนคุณแม่ว่า "เดี๋ยวนี้จวนจะ ๖ โมงแล้วเจ้าค่ะ กลัวว่าช้าไปและยังจะต้องไปซื้อตั๋วจองที่นั่งอีกด้วย" คุณแม่บุญเรือนท่านตอบว่า "ถ้าฉันไม่ไป รถไฟก็ไม่ออก ฉะนั้นพาฉันไปไหว้พระเสียก่อน" คุณอาภรณ์จึงพาคุณแม่พร้อมกับคณะมาไหว้พระสวดมนต์ที่บ้านคุณแม่บุญนาค เสร็จแล้วเป็นเวลา ๖:๑๐ นาฬิกา ท่านสั่ง "พาฉันไปได้แล้ว" นางสาวอาภรณ์ก็ขับรถยนต์มาถึงสถานีรถไฟ นายสถานีบอกว่า รถไฟเสียเวลาไป ๑๕ นาที พอซื้อตั๋ว และคุณแม่ขึ้นรถไฟเรียบร้อย รถไฟก็เคลื่อนพอดี คุณแม่เดินทางต่อไปยังจังหวัดเชียงใหม่

    ในปี พ.ศ. ๒๔๙๗ ปลายปี ได้จัดพิธีลอยกระทงครั้งใหญ่กลางเดือน ๑๒ ที่คลองเตย โดยการร่วมมือขององค์การท่าเรือกรุงเทพฯ อันมีนาวาเอกหลวงสุภีอุทกธาร (สุภี จันทมาศ) เป็นผู้อำนวยการและเป็นสามีคุณแกมแก้ว จันทมาศ มีคนไปร่วมลอยกระทงครั้งนี้เป็นจำนวนมาก เป็นเรือนร้อยๆ คน แห่กระบวนไปจากถนนวิสุทธิกษัตริย์ จนถึงท่าเรือคลองเตยกรุงเทพฯ แล้วทำพิธีลอยกระทง ณ ที่ท่าเรือนั้น
     
  13. st-antique

    st-antique ขอบารมีคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เป็นที่พึ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    18,858
    ค่าพลัง:
    +84,227
    ๖ ตุลาคม ๒๔๙๕ คุณแม่บุญเรือนไปปักษ์ใต้
    มีประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี ทุ่งสง นครศรีธรรมราช

    การเดินทางไปภาคใต้ ได้เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๔๙๕ เป็นการเดินทางโดยรถไฟ โดยคณะที่เดินทางประกอบด้วย คุณแม่บุญเรือน คุณนายบ๊วย ศิวพฤกษ์ คุณนายหล้า ศักดาธร คุณนายลำไย กลางสุข นางสาวฉวี ศิวพฤกษ์ บุตรสาวคุณนายบ๊วย และมีผู้ติดตามช่วยเหลืออีก ๑ คน บนรถไฟได้พบกับข้าราชการกระทรวงการคลังชื่อนายสะอาด ซึ่งเดินทางจะไปเยี่ยมญาติที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ได้คุยกันถึงเรื่องปูนอธิษฐานของคุณแม่บุญเรือน คุณสะอาดบอกว่า เคยได้ยินชื่อคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม มานานแล้ว แต่ไม่มีโอกาสได้ไปเยี่ยม เมื่อถึงสถานีประจวบคีรีขันธ์ ลงรถไฟแล้วเดินทางไปพักที่กองบิน ซึ่งเป็นบ้านพักของบุตรชายของคุณนายบ๊วย ศิวพฤกษ์ รุ่งขึ้น จึงพากันไปที่วัดเกาะหลัก อยู่นอกกองบินไปประมาณ ๑ ก.ม. ได้อาศัยกุฏิพระองค์หนึ่ง ทราบว่า เป็นพระปลัดของวัด ได้แจ้งความจำนงให้ท่านทราบ ครั้งแรกท่านจะให้ใช้ศาลาอีกแห่งหนึ่ง ไกลจากที่นั่น แต่คุณแม่บุญเรือนไม่ยอมไป ณ ที่นั้นได้อธิษฐานรักษาโรคให้กับประชาชนเป็นจำนวนมากที่ทราบข่าวและกิติศัพท์ของคุณแม่บุญเรือนจากนายสะอาด ที่ได้ไปเที่ยวบอกญาติและเพื่อนบ้านใกล้เคียงในประจวบฯ ให้นำเอาปูน ไพล น้ำ มาให้คุณแม่บุญเรือนอธิษฐาน เพื่อใช้เป็นยารักษาโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ เช้าวันรุ่งขึ้น ๘ ตุลาคม ๒๔๙๕ ได้ไปที่บ้านญาติของนายสะอาด ที่ตลาดใกล้สถานีรถไฟ เพราะได้รับเชิญให้ไปรับประทานอาหารกลางวันด้วย พอไปถึงก็มีคนเอาปูน ไพล น้ำ มาให้คุณแม่บุญเรือนอธิษฐานหลายสิบคนรออยู่แล้ว คุณแม่บุญเรือนต้องอธิษฐานให้เรื่อยไปเป็นชุดๆ ละหลายสิบคนเพราะบ้านคับแคบ จากนั้น ก็เดินทางไปขึ้นรถไฟที่สถานี เพื่อเดินทางต่อไปยังจังหวัดชุมพร ถึงสถานีชุมพรเวลา ๒ ทุ่ม นางสาวปราณี ธนวัฒน์ และคุณสุดใจ ซึ่งทั้งสองเป็นเพื่อนของนางสาวฉวี บุตรสาวคุณนายบ๊วย ที่ได้ร่วมเดินทางไปด้วย ได้มาคอยรับ และเดินทางไปพักที่บ้านคุณปราณี คณะคุณแม่บุญเรือนได้พักอยู่ที่จังหวัดชุมพร ๔ คืน ระหว่างนี้ ได้ข้ามแม่น้ำท่าตะเพาไปที่วัดสุบรรณนิมิตรทุกวัน ในวันแรกมีประชาชนมาหลายสิบคน วันที่ ๒ มีคนมาหาคุณแม่บุญเรือนประมาณ ๑ พันคน วันที่ ๓ มีประมาณ ๒ พันคน พอครบ ๔ คืนแล้ว คณะคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม ก็ออกเดินทางไปสุราษฎร์ฯ ถึงเวลาบ่าย ๔ โมงเศษ (เข้าใจว่าพักที่โรงแรมแหลมทอง) รุ่งเช้าวันต่อมา คณะคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม ได้เดินทางต่อไปยังนครศรีธรรมราช ถึงเวลา ๕ โมงเย็น พักที่โรงแรมนคร วันรุ่งขึ้นได้ไปที่วัดท่ามอญ (ปัจจุบันคือ วัดศรีทวี) มีประชาชนมารอให้คุณแม่บุญเรือนช่วยอธิษฐานรักษาโรคหลายสิบคน ตอนบ่ายคุณแม่บุญเรือน ไปไหว้พระธาตุ แล้วเลยไปวัดท่ามอญอีก เพื่อรักษาโรคให้ประชาชน วันรุ่งขึ้น เดินทางกลับพักที่สถานีทุ่งสงหนึ่งคืน พอรุ่งเช้าก็จับรถด่วนมาถ่ายรถที่สุราษฎร์ฯ

    รายละเอียดของการเดินทาง คุณนายบ๊วย ศิวพฤกษ์ ได้บันทึกไว้ดังนี้

    "ดิฉันอยู่บ้านเลขที่ ๒๕๓ ถนนดำรงรักษ์ อำเภอป้อมปราบ พระนคร เคยป่วยเป็นโรคลำไส้ในท้องมีลมเป็นก้อน รับอาหารไม่ได้ ร่างกายซูบผอมมาก ปากก็เบี้ยว เริ่มป่วยมาตั้งแต่เดือนมีนาคม ๒๔๙๕ เคยไปรักษาหมอจีน หมอไทย รวมทั้งแพทย์แผนปัจจุบัน รวมเวลา ๓ เดือน มีอาการทรงกับทรุดลงไป เสียเงินไปมาก คุณอุษา ไวคะกุล แนะนำบุตรสาวของดิฉัน ให้พาดิฉันมาหาคุณแม่บุญเรือน เพื่อทำการรักษา คุณแม่บุญเรือนให้ดิฉันทาปูนอธิษฐาน รับประทานไพลและดื่มน้ำอธิษฐาน อาการป่วยค่อยหายขึ้น และไม่ถึง ๓ สัปดาห์ ก็หายเป็นปกติทั้งหมด ท้องสบาย หายปากเบี้ยว การที่ดิฉันหายจากโรคครั้งนี้ รู้สึกเป็นพระคุณยิ่ง ดิฉันจึงถือโอกาสพาคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม ไปเที่ยวเพื่อพักผ่อนทางปักษ์ใต้ ออกเดินทางเมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๙๕ โดยทางรถไฟ ในการเดินทางคราวนี้ มีผู้ร่วมทางไปด้วย คือ คุณนายหล้า ศักดาธร คุณนายลำไย กลางสุข นางสาวฉวี บุตรสาวของดิฉันและมีผู้ติดตามช่วยเหลืออีก ๑ คน วันแรก ลงรถไฟที่สถานีประจวบคีรีขันธ์ แล้วเดินทางไปพักที่กองบินเป็นบ้านพักของบุตรชายของดิฉัน รุ่งขึ้น จึงพากันไปที่วัดเกาะหลัก นอกกองบินไปประมาณ ๑ ก.ม. ได้อาศัยกุฏิพระองค์หนึ่ง ทราบว่า เป็นพระปลัดของวัด ได้แจ้งความจำนงให้ท่านทราบ ครั้งแรกท่านจะให้ใช้ศาลาอีกแห่งหนึ่ง ไกลจากที่นั่น แต่คุณแม่บุญเรือนไม่ยอมไป ในตอนเช้าวันนี้ มีคนนำปูนและน้ำมาให้อธิษฐานประมาณ ๑๐ กว่าคน ประชาชนพวกนี้ทราบ(เรื่องคุณแม่บุญเรือน)จากข้าราชการกระทรวงการคลังผู้หนึ่งชื่อสะอาด ซึ่งเดินทางไปโดยรถไฟขบวนเดียวกัน เพื่อไปเยี่ยมญาติที่ประจวบฯ ได้สนทนากันถึงเรื่องปูนอธิษฐาน คุณสะอาดบอกว่า เคยได้ยินชื่อคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม มานานแล้ว แต่ไม่มีโอกาสได้ไปเยี่ยม จึงได้ไปเที่ยวบอกญาติและเพื่อนบ้านใกล้เคียงในประจวบฯ ให้นำเอาปูน ไพล น้ำ มาให้คุณแม่บุญเรือนอธิษฐาน เพื่อใช้เป็นยารักษาโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ

    มาแต่ไหนล่ะ…ไปๆ

    ในจำนวนคนที่มาครั้งแรก มีหญิงผู้หนึ่งอายุประมาณ ๔๐ ปี บอกคุณแม่บุญเรือนว่า ในท้องเป็นลำแข็งปวดเหลือทน แล้วก็พูดพล่ามไปเรื่อยๆ คล้ายคนขาดสติ คุณแม่บุญเรือนไม่ยอมพูดด้วย แต่ได้สังเกตดูอยู่ ต่อมามีเด็กคนหนึ่งได้นำปูนมา ๑ กะละมัง คุณแม่บุญเรือนจึงขอปูนจากเด็กหน่อยหนึ่ง แล้วเอานิ้วจิ้มปูนไปทาที่บริเวณข้อมือขวา ของหญิงที่บ่นว่าท้องเป็นลำแข็ง พอทาได้ประมาณ ๒ อึดใจ ผู้หญิงคนนั้นร้องว่า “ปวดกระดูกๆ ปวดกระดูกจนจะแตกอยู่แล้ว” ดิฉัน เห็นเส้นเลือดที่ข้อมือปูดขึ้นมา แกยิ่งร้องว่าปวดๆ เหลือเกิน เอามือขวาตบกระดานอย่างแรงอยู่เรื่อยๆ คุณแม่บุญเรือนจึงสั่งว่า ไม่ให้ทุบตีกระดาน ให้ยกแขนขึ้นๆ คนเจ็บก็ยกมือขึ้น แต่ยังตีอากาศอยู่เรื่อยๆ ส่วนมือซ้ายทุบอกแรงๆ ปากก็ร้องว่า “ปวดกระดูกจะแตกแล้ว” ลั่นกุฏิ คุณแม่บุญเรือนจึงลุกขึ้นไปจับมือไว้ไม่ให้ทุบอกแล้วได้ถามว่า

    “มาแต่ไหนล่ะ ไป ไป”

    คนเจ็บก็บอกว่า “ไป ไป”

    แล้วคุณแม่บุญเรือนก็ปล่อยมือ คนเจ็บ ก็ล้มตัวลงกับพื้นไปนอนตะแคงและนิ่งเฉยอยู่สักครู่ คุณแม่บุญเรือนก็บอกว่า “ลุกขึ้นเสียทีซี มันไปแล้ว” แล้วคุณแม่บุญเรือนได้หันมาบอกดิฉันว่า “ผีแม่ลูกอ่อนมันแฝงอยู่ มันกินกระดูกหัวไหล่และสะโพกเป็นรูหลายแห่ง” คนป่วยลุกขึ้นนั่งเช็ดหน้าซึ่งเหงื่อออกโชกมีลักษณะเหมือนน้ำมัน เมื่อเช็ดเหงื่อแห้งแล้ว ก็บอกว่า รู้สึกเบาตัว และว่าเคยถูกน้ำมันพรายมาตั้งแต่สาว หาหมอรักษาเรื่อยมาแต่ไม่หาย มีปวดเมื่อยอยู่ตามเดิม โดยเฉพาะที่หัวไหล่ และตะโพกปวดมาก พวกที่เดินทางไปด้วยรู้เห็นเหตุการณ์ รวมทั้งท่านปลัดเจ้าของกุฏิด้วย ต่อมาอีกสักครู่หญิงคนป่วยผู้นั้นก็กลับ ต่อจากนั้น ก็มีประชาชนหลั่งไหลมา เอาปูน ไพล น้ำ มาให้คุณแม่บุญเรือนอธิษฐานเพิ่มขึ้นจำนวนมาก เช้าวันรุ่งขึ้น ๘ ตุลาคม ๒๔๙๕ ได้ไปที่บ้านญาติของคุณสะอาด ที่ตลาดใกล้สถานีรถไฟ เพราะได้รับเชิญให้ไปรับประทานอาหารกลางวันด้วย พอไปถึงก็มีคนเอาปูน ไพล น้ำ มาให้คุณแม่บุญเรือนอธิษฐานหลายสิบคนรออยู่แล้ว คุณแม่บุญเรือนต้องอธิษฐานให้เรื่อยไปเป็นชุดๆ ละหลายสิบคนเพราะบ้านคับแคบ จากนั้น ก็เดินทางไปขึ้นรถไฟที่สถานี ก็ยังมีคนวิ่งตามไปให้อธิษฐานปีนอีกหลายคน คนหนึ่งบอกว่า เดินทางมาไกลตั้ง ๗ กิโลเมตร
     
  14. st-antique

    st-antique ขอบารมีคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เป็นที่พึ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    18,858
    ค่าพลัง:
    +84,227
    กิจกรรมในจังหวัดชุมพร

    พวกเราเดินทางต่อไปยังจังหวัดชุมพร ถึงสถานีชุมพรเวลา ๒ ทุ่ม นางสาวปราณี และคุณสุดใจ เพื่อนของบุตรสาวดิฉัน ได้มารับที่สถานีรถไฟ แกขึ้นไปรับบนรถและคุณปราณี หันให้ดูเสื้อผ้าบอกว่า “ดิฉันวิ่งมารับ ฝนตกและลื่นไปหมดจนหกล้ม ผ้าซิ่นเปื้อนไปแถบหนึ่ง” จากนั้น ก็ลำเลียงของออกจากรถไฟ คุณแม่บุญเรือนสะพายกระเป๋าใบหนึ่งกับหิ้วกระเป๋าเสื่อบรรจุศิลากรวดและหนังสือแดนมธุรส และใบตั้งน้ำอธิษฐานรักษาโรคเต็มกระเป๋า พากันออกเดินไปทางหลังสถานีรถไฟมีคุณสุดใจเป็นคนนำทาง ดิฉัน เดินตามหลังคุณแม่บุญเรือนไปติดๆ เพราะมืดมาก คุณสุดใจคิดจะช่วยถือกระเป๋าเสื่อให้คุณแม่ เพราะเห็นว่าหนัก คุณแม่บุญเรือนไม่ยอมบอกว่าจะถือเอง ขอให้คุณสุดใจเดินนำหน้าไปที่รถ พอถึงทางตอนหนึ่งมืดมาก ทางเดินแฉะเลอะเทอะ คุณสุดใจส่งมือมาให้คุณแม่บุญเรือน จะจูงท่านไป แต่คุณแม่บุญเรือนบอกว่า ไม่ต้อง แล้วพวกเราก็เดินต่อไป จนถึงรถยนต์ที่คุณปราณีและคุณสุดใจนำมาคอยรับ พอขึ้นนั่งบนรถ และขนของตามขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว

    คุณแม่บุญเรือนจึงถามว่า “ใครเท้าเปื้อนบ้าง?”

    ทุกคนก็บอกว่าเปื้อนทั้งนั้น แต่ของดิฉันไม่เปื้อนแต่ไม่บอกใคร พอถึงบ้านใครๆ ก็เข้าห้องน้ำล้างเท้ากัน แต่คุณแม่บุญเรือนและดิฉันขึ้นบนเรือนเลยทีเดียว พอขึ้นบนเรือนแล้วดิฉันจึงเห็นว่า เท้าของดิฉันเปื้อนเล็กน้อย จึงได้กลับลงมาล้างเท้า พอดีพบคุณลำไย ซึ่งมีหน้าที่ปฏิบัติคุณแม่บุญเรือน ในการเดินทางคราวนี้ กำลังยกรองเท้าคุณแม่บุญเรือนขึ้น จะนำไปล้าง

    คุณลำไยร้องขึ้นว่า “รองเท้าคุณแม่ไม่เปื้อน”

    ดิฉัน เห็นรองเท้าของคุณแม่บุญเรือนที่คุณลำไยยกขึ้นให้ดู ไม่เปื้อนจริงๆ เหมือนกับเดินบนถนนแห้งๆ รู้สึกอัศจรรย์มาก ดิฉัน ซึ่งตามติดหลังคุณแม่บุญเรือนมาก็พลอยได้พึ่งบารมี ไม่เปื้อนเปรอะเหมือนคนอื่นๆ

    นางบ๊วย ศิวพฤกษ์ ได้เล่าต่อไปว่า

    ให้นึกเอาเอง

    คืนวันนั้นที่บ้านคุณปราณี มีผู้มาเยี่ยมเยือนหลายคน ในจำนวนนั้น มีครูสตรีของโรงเรียนชุมพรคนหนึ่งนั่งอยู่ด้วย ครูสตรีผู้นี้ เป็นโรคลมก้อนในท้องจนท้องใหญ่เหมือนคนมีครรภ์ คุณแม่บุญเรือนได้ประกาศิตว่า “ให้มันยุบ แล้วทาปูนก็หาย” หญิงอีกคนปวดบวมที่ข้อศอก คุณแม่บุญเรือนก็ประกาศิตเป็นส่วนรวมอีกครั้งว่า “ผู้ที่นั่งอยู่ที่นี่ ให้นึกว่า เป็นโรคอะไรให้หายโรคทุกชนิด ให้นึกเอาเอง” เช้าวันรุ่งขึ้น ครูสตรีคนนั้นมาเอาเชือกวัดท้องให้ดู แล้วบอกว่า ท้องยุบไปนิ้วกว่า ส่วนหญิงที่แขนบวมก็บอกว่าหายบวมหายปวดไปแล้ว พวกเราได้พักอยู่ที่จังหวัดชุมพร ๔ คืน ระหว่างนี้ ได้ข้าม (แม่น้ำท่าตะเพา) ไปที่วัดสุบรรณ (วัดสุบรรณนิมิตร) ทุกวัน ในวันแรกมีประชาชนมาหลายสิบคน วันที่ ๒ มีคนมาหาคุณแม่บุญเรือนประมาณ ๑ พันคน วันที่ ๓ มีประมาณ ๒ พันคน

    แข็งแรงแล้ว

    ในตอนเย็นบ่ายประมาณ ๕ โมงเศษ พากันกลับจากวัดสุบรรณ ระหว่างที่ข้ามสะพาน ได้พบกับนางสมบูรณ์ สวัสดี บ้านอยู่ตำบลทุ่งคา จังหวัดชุมพร อายุ ๗๒ ปี มีอาชีพเป็นหมอนวด มีอาการปวดหัว และปวดตามเนื้อตามตัวเป็นกำลัง ได้มาให้คุณแม่บุญเรือนรักษาให้ในวันที่ ๒ ซึ่งคุณแม่บุญเรือนได้เอามือลูบหัวให้แล้วสั่งว่า ขอให้หายให้แข็งแรง ดังนั้น เมื่อเจอคุณแม่บุญเรือนกลางสะพาน นางสมบูรณ์จึงบอกว่า นางหายเป็นปกติและแข็งแรงดีแล้ว

    “แข็งแรงมากวิ่งข้ามสะพานได้ไหม” คุณแม่บุญเรือนถาม

    นางสมบูรณ์ สวัสดี จึงออกวิ่งเหยาะๆ ข้ามสะพานให้ดูตลอดสะพานทั้งหมด เมื่อวิ่งแล้ว นางสมบูรณ์ก็บอกว่า ไม่เหนื่อยเลย ซึ่งแต่ก่อนวิ่งข้ามสะพานไม่ได้เลย จะขึ้นสะพานต้องค่อยๆ จับราวสะพานเดินขึ้นไป

    บ้ามาก

    พอครบ ๔ คืนแล้ว คณะคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม ก็ออกเดินทางไปสุราษฎร์ฯ ถึงเวลาบ่าย ๔ โมงเศษ พอรับอาหารเย็นแล้ว เจ้าของโรงแรมแหลมทองได้ขึ้นมาหา เอาปูนมา ๑ ขวด บอกว่า พี่ชายของเขาเป็นบ้า ไปรักษาที่โรงพยาบาลก็ไม่หาย และอาละวาดด้วยต้องล่ามโซ่ไว้

    “รู้มาจากใครว่า คุณแม่บุญเรือนอธิษฐานน้ำรักษาโรคได้” นางบ๊วยถาม
    “รู้มาจากคุณคเณย์” เจ้าของโรงแรมแหลมทองตอบ

    คุณแม่บุญเรือนจึงบอกว่า “เอาน้ำและปูนมามากๆ หน่อย เพราะเป็นมาก” แต่เขาก็ไม่กลับไปนำน้ำและปูนมาเพิ่มอีก คุณแม่บุญเรือนจึงอธิษฐานให้เฉพาะปูน ๑ ขวดเท่านั้น และกำชับว่า “บ้ามาก ต้องทาปูนที่หน้าอกและท้ายทอยถึงสันหลัง”

    เท้าบวม

    รุ่งเช้าวันต่อมา คณะคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม ได้เดินทางต่อไปยังนครศรีธรรมราช ถึงเวลา ๕ โมงเย็น พักที่โรงแรมนคร วันรุ่งขึ้นได้ไปที่วัดท่ามอญ มีคนมาหลายสิบคน มีหญิงคนหนึ่งเท้าบวมทั้งสองข้าง เดินไม่สะดวก เอาปูนมาขอให้คุณแม่บุญเรือนอธิษฐาน คุณแม่บุญเรือนได้ให้ล้างเท้าให้สะอาด แล้วจึงทาปูนให้ จากนั้น คุณแม่บุญเรือนก็สั่งให้ลุกขึ้นเดินลองดู และให้นึกในใจว่า ไม่ให้เจ็บๆ ปรากฏว่า หญิงคนนั้นสามารถเดินได้คล่องแคล่ว อาการบวมก็เหี่ยวลงไปด้วย

    ด้วยเคารพ

    ตอนบ่ายคุณแม่บุญเรือน ไปไหว้พระธาตุ แล้วเลยไปวัดท่ามอญอีก เพื่อรักษาโรคให้ประชาชน วันรุ่งขึ้น เดินทางกลับปรากฏว่า มีคนนำปูนมาคอยที่สถานีรถไฟอีกมากมาย เพื่อจะให้คุณแม่บุญเรือนอธิษฐานให้ และท่านก็อธิษฐานให้ พักที่สถานีทุ่งสงหนึ่งคืน พอรุ่งเช้าก็จับรถด่วนมาถ่ายรถที่สุราษฎร์ฯ พอข้ามฟากก็พบกับเจ้าของโรงแหลมทองคอยอยู่แล้ว แกเชิญคุณแม่บุญเรือนไปที่หน้าห้องแถว เพื่ออธิษฐานปูนอีก มีคนนำปูนกันมาเป็นถังๆ จำนวนมาก แกเล่าให้ฟังว่า พี่ชายที่เป็นบ้า หลังจากทาปูนอธิษฐานแล้วก็หายเป็นบ้าในวันรุ่งขึ้น ไม่ต้องล่ามโซ่ ไปตลาดได้ ไปตัดผมเองคนเดียวได้ เพราะเหตุนี้ คนจึงมาคอยคุณแม่บุญเรือนกันแยะ คุณแม่ก็อธิษฐานปูนให้สมปรารถนา พอจะเดินมาขึ้นรถไฟก็มีคนนำปูนและน้ำมาคอยอยู่อีกเป็นจำนวนมาก คุณแม่บุญเรือนก็อธิษฐานให้อีก พอขึ้นรถไฟแล้วก็ยังมีคนนำปูนมาตั้งที่ข้างรถไฟอีกหลายคน เมื่ออธิษฐานให้เสร็จ รถไฟก็เคลื่อนขบวนออกจากสถานี รถแวะที่สถานีชุมพร มีคนมารับจำนวนมาก มีข่าวว่า มีคนหายโรคไปแล้วหลายคน ชายคนหนึ่งแกบอกกับคุณแม่บุญเรือนว่า “ผมไม่เคยไหว้ใครเลย เปิดหมวกก็พอแล้ว แต่ผมไหว้คุณแม่บุญเรือนด้วยความเคารพ เพราะได้ผลมาก”

    ๑๗ ต.ค. ๒๔๙๕ พวกเราทุกคนกลับมาถึงกรุงเทพโดยสวัสดิภาพ
     
  15. st-antique

    st-antique ขอบารมีคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เป็นที่พึ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    18,858
    ค่าพลัง:
    +84,227
    บันทึกยืนยันในเรื่องเท้าไม่เปื้อนโคลน

    ในเรื่องที่คุณแม่บุญเรือนได้เดินจากสถานีรถไฟจังหวัดชุมพรไปยังรถที่มาคอยจอดรับ ซึ่งทางที่เดินเฉอะแฉะไปด้วยโคลนเลน เพราะฝนตกหนัก แต่ปรากฎว่ารองเท้าคุณแม่บุญเรือนไม่มีดินโคลนเปรอะเปื้อนเลยนั้น มีบันทึกของคุณนายลำไย กลางสุข และบันทึกของนางสุดใจ สุนทรวิภาต โดยบันทึกของนางสุดใจนั้นได้บันทึกไว้โดยมีผู้ลงนามเป็นพยานอีกสามท่านคือ นางฉวี ศิวพฤกษ์ นางปราณี ธนวัฒน์ และคุณนายบ๊วย ศิวพฤกษ์ ยืนยันปรากฏการณืดังกล่าว ดังมีใจความต่อไปนี้

    บันทึกของคุณนายลำไย กลางสุข

    คุณนายลำไย กลางสุขที่มารักษาโรคไทรอยด์ที่คอ ที่เล่าไว้ในหัวข้อ “โรคที่คอ” เมื่อปลายปี ๒๔๙๔ จนหายนั้น พอปลายปี ๒๔๙๕ วันที่ ๖ ตุลาคม ก็ร่วมคณะคุณนายบ๊วย ศิวพฤกษ์ พาคุณแม่บุญเรือน ไปปักษ์ใต้ และได้บันทึกเรื่องน่าอัศจรรย์เกี่ยวกับคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติมไว้ดังนี้

    "เมื่อโรคหายแล้ว ดิฉันได้มีโอกาสติดตามคุณแม่บุญเรือนไปปักษ์ใต้ มีประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี ทุ่งสง นครศรีธรรมราช

    มีเรื่องหนึ่งน่าอัศจรรย์มาก เมื่อรถไฟถึงสถานีชุมพรเวลา ๒ ทุ่ม คุณปรานีและญาติพี่น้อง มารับที่สถานีรถไฟ คุณปราณี ขึ้นไปบนรถไฟบอกว่า หกล้มเปื้อนหมด เพราะฝนตกหนักเฉอะแฉะ พวกเราลงจากรถไฟไปขึ้นรถยนต์เพื่อไปบ้านคุณปราณี พวกเราก็เข้าห้องน้ำล้างเท้ากันทุกคน นอกจากคุณแม่บุญเรือนและคุณนายบ๊วย ศิวพฤกษ์ ซึ่งขึ้นไปบนเรือนก่อน แต่คุณนายบ๊วยต้องกลับลงมาล้างเท้า บังเอิญดิฉัน มาหยิบรองเท้าของคุณแม่บุญเรือนจะไปล้างโคลน แต่เห็นว่า ไม่เปื้อนเลย ดิฉันจึงชูรองเท้าให้คุณนายบ๊วยดูว่า รองเท้าของคุณแม่บุญเรือนไม่เปื้อนโคลนเลย แสดงว่า จะต้องเดินลอยตัวเหนือพื้นดิน ซึ่งเต็มไปด้วยโคลนเฉอะแฉะแน่ๆ"


    บันทึกของนางสุดใจ สุนทรวิภาต

    "ดิฉัน นางสุดใจ สุนทรวิภาต ขอเขียนถ้อยคำบันทึกไว้ว่า ดิฉันได้พบเหตุการณ์ที่แปลกประหลาด อย่างที่ไม่นึกว่าจะเป็นไปได้ เรื่องมีดังนี้ คือ

    ดิฉันได้ทราบจากคุณปราณีว่า คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม จะมาพักที่บ้าน และจะถึงชุมพรวันที่ ๘ ดิฉันจึงไปรับพร้อมคุณปราณี รถไฟถึงชุมพรประมาณ ๒ ทุ่ม ระหว่างที่รอรับอยู่นั้น ดิฉันและคุณปราณีได้เดินดูทางกันไว้เพราะคืนวันนั้นฝนตกมาก ทางเดินที่สถานีเฉอะแฉะมาก จึงเกรงว่า จะเปื้อนเปรอะคุณแม่บุญเรือน เพราะท่านไม่เคยมาชุมพรเลย พอรถไฟมาถึง คุณแม่บุญเรือนก็ลงมา ดิฉันเห็นท่านเป็นผู้มีอายุมาก สะพายกระเป๋าถือขนาดใหญ่ ๑ ใบ ในมือท่านถือกระเป๋าเสื่อ ซึ่งดิฉันเห็นว่า เป็นของที่หนักมากเกินไป สำหรับผู้ที่มีอายุขนาดท่านไม่น่าจะยกไหว ดิฉันจึงขอเป็นผู้ถือให้ท่าน แต่ท่านไม่ยอมบอกให้ดิฉันเดินไปก่อน ขณะนั้น ทางเดินมืดมากเฉอะแฉะเพราะฝนตก บางแห่งลื่นมาก ดิฉันจึงส่งมือให้คุณแม่บุญเรือนจับ เพื่อจะได้จูงท่าน แต่คุณแม่บุญเรือนไม่ยอมให้จูง ท่านเดินของท่านเอง และสั่งให้ดิฉันเดินนำไปที่รถยนต์ พอถึงรถยนต์ทุกๆ คนประมาณ ๑๐ คน ขึ้นรถหมดแล้ว ทุกคนพร้อมทั้งดิฉันก็ดูเท้าปรากฏว่า เท้าเปื้อนกันทุกคนและเปื้อนกันคนละมากๆ ด้วย เว้นแต่เท้าของคุณแม่บุญเรือนคนเดียวที่ไม่เปื้อน ส่วนคุณนายบ๊วย ซึ่งเดินตามติดหลังคุณแม่บุญเรือนเปื้อนตรงส้นเท้าเล็กน้อย รองเท้าของคุณแม่บุญเรือนไม่เปื้อนดินโคลนอะไรเลย เหมือนกับท่านเดินไปบนพื้นดินแห้งๆ ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะใครๆ ทุกคนที่ไปสถานีชุมพรในวันนั้นและเวลานั้นดิฉันกล้ายืนยันได้ว่า เท้าทุกคนจะต้องเปื้อนดินโคลน แต่เท้าคุณแม่บุญเรือน ไม่เปื้อนดินโคลนเฉอะแฉะเลย จึงเป็นเรื่องแปลกประหลาดมาก"
     
  16. st-antique

    st-antique ขอบารมีคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เป็นที่พึ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    18,858
    ค่าพลัง:
    +84,227
    อธิษฐานให้ลมหยุดพัด

    ในปลายปี ๒๔๙๕ ในพิธีลอยกระทงที่ได้จัดขึ้นที่ปากน้ำ โดย นาวาเอกหลวงสุภีอุทกธาร (สุภี จันทมาศ) ผู้อำนวยการองค์การท่าเรือกรุงเทพฯ คนแรก และเป็นสามีคุณแกมแก้ว จันทมาศ ลูกศิษย์คุณแม่บุญเรือน เป็นผู้ให้ความสะดวกเรื่องเรือพาหนะ และได้ร่วมเดินทางไปด้วย ในครั้งนั้น คุณแม่บุญเรือนได้แสดงการอธิษฐานให้ลมหยุดเพื่อที่จะให้สามารถจุดธูปเทียนที่กระทงได้ เหตุการณ์ในครั้งนั้น นางสาววรณี สุนทรเวช บุตรีพระยาแพทยพงษาวิสุทธาธิบดี แพทย์ประจำพระองค์ล้นเกล้ารัชกาลที่ ๖ ได้บันทึกเหตุการณ์ไว้ดังนี้

    "เมื่อวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๔๙๕ ดิฉันเลิกจากเรียน แล้วก็ไปไหว้พระที่บ้านคุณยาย ๆ ชวนไปลอยกระทงด้วยกันที่ปากนำในวันรุ่งขึ้น เช้าวันที่ ๒ พฤศจิกายน คุณยายและดิฉันก็ไป คุณแม่ได้ช่วยกันแต่งกระทงซึ่งสำหรับลอยในวันนั้น คุณถนอมเป็นคนเย็บกระทงเจิม ๙ ใบ นำไปลอยที่ปากน้ำ ๘ ใบ ส่วนอีกใบหนึ่งนั้น คุณยายให้คุณหมอปรีดา (ล้วนปรีดา) ไปลอยที่คลองเทเวศม์ กระทงใหญ่ทำเป็นรูปเรือ แต่งด้วยดอกไม้สด ถึงเวลาเย็นประมาณ ๑๗.๐๐ น. ออกจากบ้านสามัคคีวิสุทธิพร้อมกัน ไปปากน้ำโดยทางรถยนตร์ มีรถไปด้วยกัน ๘ คัน เมื่อถึงปากน้ำแล้วพบพวกที่ไปอยู่ก่อนอีกหลายคน รวมคนที่ไปด้วยกันทั้งหมด ๒๖ คน ได้ลงเรือยนต์ที่ท่าเรือปากน้ำ เวลาประมาณ ๑๘.๐๐ น. ออกเรือบ่ายหน้าลงไปทางปากอ่าวเลยกระโจมไฟออกไปแล้ว ก็กลับหันหัวเรือขึ้นมาทางกรุงเทพฯ คุณยายสั่งให้จุดกระทง กระทงนั้นช่วยกันจุดหลายคน ลมพัดแรงมากจึงจุดไม่สำเร็จ ส่วนกระทงนั้นดิฉันช่วยคุณยายจุด พอจุดติดลมก็พัดดับหมด คุณแกมแก้ว (จันทมาศ) เรียกให้คนเอาผ้าใบมากั้นข้างเรือเพื่อบังลม คุณยายไม่ยอมให้บัง ให้นำผ้าไปเสียที่อื่น คุณยายได้ยืนขึ้นอธิษฐานขอให้ลมสงบสักครู่ เพื่อจะได้จุดเทียนบูชาแม่พระกาพรหม ชั่วครู่ลมก็สงบอย่างขนาดจุดเทียนได้ทุกกระทง เมื่อจุดเทียนเสร็จแล้วก็ช่วยกันลอยกระทง กระทงที่ดิฉันจุดนั้นดับหมด ส่วนกระทงที่คุณยายจุดไม่ดับเลย ลอยนำหน้ากระทงรูปเรือซึ่งจุดไฟสว่าง ลอยไปสู่ปากอ่าว ดิฉันได้เฝ้ามองดูกระทง เห็นไฟสว่างเป็นดวงเล็กๆ จนลับสายตา"

    ในงานเดียวกันนั้น คุณบุญเสม มีหลีสวัสดิ์ ได้บันทึกไว้เช่นกันแต่มีรายละเอียดที่แตกต่างกันไปบ้างดังนี้

    "ถึงเดือนพฤศจิกายน เป็นเดือน ๑๒ ขึ้น ๑๕ ค่ำ คุณแม่บุญนาคได้ไปทำบุญบ้านคุณแม่บุญเรือนที่วิสุทธิกษัตริย์ และกลางคืนได้ไปลอยกระทง นั่งเรือใบไปที่ช่องนนทรีย์ คนไปร่วมลอยกระทงประมาณร้อยกว่าคน มีลมคลื่นแรงมาก อากาศก็หนาวมาก ลงเรือใบออกไปกลางแม่น้ำเจ้าพระยา คุณแม่บุญเรือนสั่งให้คุณหลวงสุภี พูดว่า ขอให้ลมหยุด ข้าพเจ้าจะจุดเทียนบูชาสักการะแม่เทวพรหมา แม่พระคงคา พอหยุดพูด ลมก็หยุดนิ่ง ไม่พัด พวกข้าพเจ้าทั้งหลายก็จุดเทียนลอยกระทงบูชาแม่พระคงคาได้ พอปล่อยกระทงถึงน้ำเป็นเสร็จพิธี ลมก็เริ่มพัดแรงอย่างเดิม"
     
  17. st-antique

    st-antique ขอบารมีคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เป็นที่พึ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    18,858
    ค่าพลัง:
    +84,227
    พบศิษย์คนสำคัญ

    ในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่สอง คุณแม่บุญเรือนได้พบกับสุภาพสตรีคนหนึ่งและพลอยทำให้ได้รู้จักกับสามีของสุภาพสตรีคนนั้น ซึ่งต่อมาได้เป็นศิษย์คนสำคัญและมีความศรัทธาในคุณแม่ท่านถึงขนาดปลูกบ้านหลังใหญ่บนที่ดินแถบพระโขนง ยกให้เป็นกรรมสิทธิ์ (แต่คุณแม่ได้โอนกรรมสิทธิ์คืนกลับไป) เพื่อคุณแม่จะได้ใช้ประกอบกุศลกรรมได้อย่างเต็มที่ สุภาพสตรีท่านนั้นก็คือ นางผิน แจ่มวิชาสอน ภรรยาของ อำมาตย์ตรี หลวงแจ่มวิชาสอน (แจ่ม นิยมเหตุ) ข้าราชการกระทรวงธรรมการ เจ้าของโรงงานยาสีฟันวิเศษนิยม ที่เป็นที่รู้จักกันดีมาตั้งแต่เริ่มผลิตออกจำหน่ายในปี พ.ศ. ๒๔๖๔ ในปลายสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เหตุที่คุณแม่บุญเรือนจะได้พบกับคุณนายผิน ก็เมื่อคราวที่คุณนายผินอพยพหลบภัยสงคราม ซึ่งในช่วงนั้นมีการทิ้งลูกระเบิดลงในพระนคร คุณนายผินจึงอพยพจากบ้านริมคลองบางกอกใหญ่ ข้างวัดสังข์กระจายไปอยู่ที่บางใหญ่ ตัวคุณนายผินเองนั้นเป็นโรคนอนไม่หลับมานานหลายปี นางทิพย์ บุตรสาวคนโตจึงได้พาคุณแม่บุญเรือนมารักษาโดยการนวดให้ รวมสองครั้ง แล้วก็ไม่ได้มาอีก เพราะหนทางไกลมาก เพราะในขณะนั้นคุณแม่บุญเรือนพักอยู่กับบุตรสาวบุญธรรมและบุตรเขยที่สถานีตำรวจนครบาลกลาง ที่ถนนพลับพลาไชย ต่อมาหลังจากนั้นไม่นานนัก หลานสาวคนโตของคุณนายผิน (ลูกของนางทิพย์กับ พ.ต.ต. เทียม เจียมวิจิตร) ก็ถึงแก่กรรม หลานคนนี้คุณนายผินรักมาก เพราะเป็นหลานคนใหญ่ ได้เลี้ยงดูมาแต่เล็กเกือบจะเท่ากับลูกคนเล็กและเป็นเด็กที่อ่อนโยน เป็นที่รักของญาติมิตรครูอาจารย์ เด็ก ผู้ใหญ่ที่รู้จักเขาทุกคน เมื่อคุณนายผินได้เสียของรักไปเช่นนี้ ก็เศร้าโศกเสียใจอย่างที่สุด ไม่คิดถึงตัวหรือใครอีก โรคนอนไม่หลับก็ยิ่งกำเริบ เมื่อทำบุญครบ ๗ วัน คุณแม่บุญเรือนก็มาเยี่ยมและจะนวดรักษาโรคนอนไม่หลับให้ แต่ในวันนั้นคุณนายผินไม่ยอมนวด คุณแม่บุญเรือนเลยบอกคุณนายผินว่าวันศุกร์จะมานวดให้ แล้ววันศุกร์คุณแม่บุญเรือนก็มารักษาให้ตามที่พูดไว้ แรกๆ คุณนายผินไม่ยอมให้นวด บอกว่า นวดไปก็ไม่มีประโยชน์ ไม่มีความสุข คุณแม่บุญเรือนได้พูดชี้แจงให้ฟังมากมาย คุณนายผินฟัง ๆ แล้วใจค่อยสบาย จึงบอกว่านวดก็นวด เวลานวดคุณแม่บุญเรือนก็พูดให้คุณนายผินฟังและพิจารณาได้ อย่างที่ดูไม่เหมือนการสั่งสอนหรือยกตัว เมื่อนวดเสร็จแล้วก็รู้สึกว่าสบายขึ้น จากนั้นนาน ๆ คุณแม่บุญเรือนก็มานวดให้คุณนายผินครั้งหนึ่ง ต่อมาคุณนายผินก็ได้เล่าเรื่องคุณแม่บุญเรือนให้คุณนายปลื้ม วิจิตรภัตราภรณ์ เจ้าของห้างวิวิธภูษาคารฟัง คุณนายปลื้มก็อยากนวดบ้าง นางทิพย์บุตรสาวคุณนายผินก็พาไปหาคุณแม่บุญเรือน ต่อมาในเดือนมีนาคม ๒๔๘๙ คุณนายปลื้ม ได้ชวนคุณหลวงแจ่มวิชาสอน และคุณแม่บุญเรือนไปดูสวนส้มที่จังหวัดจันทบุรีโดยทางรถยนต์ ในครั้งนั้น คุณแม่บุญเรือนได้แสดงความสามารถในการย่นระยะทาง (รายละเอียดตามที่คุณหลวงแจ่มวิชาสอนจะได้เล่าต่อไป) ซึ่งก็สร้างความประหลาดใจให้กับคุณหลวงเป็นอย่างยิ่ง ภายหลังที่กลับมาจากจันทบุรีไม่นานนัก คุณหลวงก็ได้ชวนคุณนายผินผู้ภรรยาไปขึ้นวิปัสสนาตามคุณแม่บุญเรือนที่วัดสัมพันธวงศ์ แต่คุณนายผินก็ค้านว่า คุณหลวงก็เรียนอยู่แล้วมิใช่หรือ คุณหลวงแจ่มวิชาสอนก็บอกว่าไม่เป็นไร เรียนแล้วก็เรียนอีกได้ คุณนายผินได้ยินดังนั้นก็พลอยยินดีด้วย แต่เมื่อไปวัดสัมพันธวงศ์เพื่อปวารณาตนเพื่อเรียนกรรมฐานกับท่านเจ้าคุณพระมหารัชชมังคลาจารย์ ก็ปรากฏว่าท่านไม่อยู่ พระรูปอื่นจึงรับแทนและได้จดบัญชีชื่อไว้ถวายท่านเจ้าคุณ ต่อมา เมื่อจวนเข้าพรรษา คุณแม่บุญเรือนบอกว่า ในระหว่างเข้าพรรษาทุกวันพระคุณแม่บุญเรือนจะไปวัด เมื่อกลับจากวัดจะมาค้างที่พระโขนง (ขณะนั้นคุณนายผินได้ไปปลูกบ้านไว้ที่อำเภอพระโขนงบนที่ๆ ซื้อเอาไว้ แต่ยังไปๆ มาๆ อยู่ระหว่างบ้านริมคลองบางหลวงกับบ้านที่พระโขนง) คุณนายผินจึงไปวัดสัมพันธวงศ์ทุกวันพระ คุณหลวงก็เลยพลอยไปด้วย เมื่อได้ฟังคำสั่งสอนของท่านก็เกิดศรัทธาเลื่อมใสเรียนวิปัสสนาด้วยทุกวัน จนวันขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๑๑ (วันพฤหัสบดี ที่ ๓ ตุลาคม ๒๔๘๙) คุณหลวงจึงได้ถวายดอกไม้ธูปเทียน ขอ นิสสัย ขึ้นธรรมเรียนวิปัสสนา เพราะเหตุนี้คุณนายผินจึงเห็นว่าผู้ปฏิบัติต้องอาศัยกัลยาณมิตร เช่นคุณนายผินคบคุณแม่บุญเรือน ที่ได้แนะนำสั่งสอนทุก ๆ วันที่มาค้างพระโขนง ตอนเช้าเป็นต้องสอนธรรมมะทุกวันคล้ายกับรักษาคุณนายผินด้วยธรรมะ เกิดความเบิกบานในใจผิดกว่าก่อน ๆ ส่วนโรคนอนไม่หลับของคุณนายผินก็เลยหายไปเองโดยไม่ต้องรับประทานยานอนหลับ

    เรื่องที่คุณแม่บุญเรือนก็ได้แสดงความสามารถทางด้านพลังจิตในการย่นระยะทาง ให้หลวงแจ่มวิชาสอน (แจ่ม นิยมเหตุ) ได้แปลกใจ โดยในเรื่องดังกล่าว คุณหลวงแจ่มวิชาสอนได้เล่าไว้ว่า

    "ในเดือนมีนาคม ๒๔๘๙ คุณพี่ปลื้ม วิจิตรภัตราภรณ์ ภรรยา หลวงวิจิตรพัสตราภรณ์ (เพี้ยน แสงรุจิ) เจ้าของห้างวิวิธภูษาคาร ได้ชวนข้าพเจ้า (หลวงแจ่มวิชาสอน) และแม่หมอบุญเรือนไปดูสวนส้มที่จังหวัดจันทบุรีโดยรถยนต์ สวนอยู่ห่างตัวจังหวัดสิบสองกิโลเมตร ตอนกลับจากสวนขณะที่รถกำลังติดไฟ แม่หมอบุญเรือนออกเดินไปก่อน ข้าพเจ้าออกเดินตามไปภายหลังห่างกันประมาณหนึ่งเส้น (๘๐ เมตร) ข้าพเจ้าเดินมาถึงที่เลี้ยวก็มองไม่เห็นตัวแม่บุญเรือนแล้ว เร่งฝีเท้าเดินตามไปอีกสองสามเลี้ยวก็มองไม่เห็น ข้าพเจ้าก็เลยหยุดคอยรถเพราะรู้สึกเมื่อย สักครู่หนึ่งรถก็ตามมาทัน ข้าพเจ้าจึงกลับขึ้นรถ ประมาณเวลานับแต่ออกเดินจนรถมาทันนั้นราวสิบห้านาที เมื่อขึ้นรถแล้วรถแล่นมาอย่างเร็วเพราะเป็นทางลงจากเขา รถแล่นมาเป็นหลายเลี้ยวจนถึงศาลาพักร้อน ซึ่งอยู่กึ่งกลางทางระหว่างจังหวัดกับสวน ก็ไม่เห็นแม่บุญเรือนคอยอยู่ รถหยุดที่ศาลาเติมน้ำหน้าหม้ออยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นแล่นต่อไปจนพ้นเขตเขาตกทุ่ง ก็ยังไม่เห็นแม่บุญเรือน ผู้อยู่ในรถต่างรู้สึกเอะใจ เพราะตามปกติธรรมดาคนเราจะเดินเร็วเช่นนี้ไม่ได้ รถคงจะแล่นผ่านมาเสียแล้ว ระหว่างทางแม่หมอคงจะแวะเข้าป่าเพื่อถ่ายทุกข์เป็นแน่ คิดจะให้รถหยุดรอ ก็พอดีเห็นแม่บุญเรือนเดินอยู่ข้างหน้า เดินเนิบๆ เมื่อขึ้นมาบนรถ สังเกตดูไม่เห็นกิริยาแสดงว่าเหน็ดเหนื่อยหรืออิดโรยอะไรเป็นปกติ ต่างก็ชมเชยกันว่า เดินเก่งจริง การที่แม่หมอบุญเรือนมาได้ไกลตั้ง ๘ กิโลเมตร ชั่วเวลาเพียงครึ่งชั่วโมงเช่นนี้ จึงสันนิษฐานได้ว่าจะมาโดยปกติธรรมดาไม่ได้ ต้องมาโดยอิทธิฤทธิ์ในทางทำจิตเข้าสู่ฌานสมาบัติอะไรอย่างหนึ่งเป็นแน่แท้" เรื่องดังกล่าวข้างต้น คุณพร้อม แสงรุจิ บุตรสาวคุณปลื้ม ซึ่งร่วมเดินทางไปด้วยก็ได้บันทึกเรื่องไว้ด้วยซึ่งรายละเอียดก็ตรงกับเรื่องที่คุณหลวงแจ่มวิชาสอนเล่าข้างต้น
     
  18. st-antique

    st-antique ขอบารมีคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เป็นที่พึ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    18,858
    ค่าพลัง:
    +84,227
    การฝึกหัดเป็นหมอนวด และสนใจในงานบุญ

    เมื่อคุณแม่บุญเรือนอายุได้ ๑๕ ปีเศษ ซึ่งเป็นวัยรุ่นสาว ท่านได้รับการฝึกสอนจากชีวิตในครอบครัวให้รู้จักการ “นวด” เนื่องจากปู่ของคุณแม่บุญเรือนผู้ซึ่งคนทั่วไปเรียกว่า “อาจารย์กลิ่น” เป็นหมอนวดผู้มีชื่อเสียงโด่งดังมากในสมัยนั้น ปรากฏว่าคุณแม่บุญเรือนมีความสนใจในวิชาหมอนวดนี้มาก จนกระทั่งเมื่อ “อาจารย์กลิ่น” ท่านเห็นว่าได้ประสิทธิประศาสน์วิชาได้ประมาณหนึ่งแล้วท่านจึงได้ “ครอบวิชาหมอนวด” และมอบตำราหมอนวดให้เป็นสมบัติสืบทอดแก่คุณแม่บุญเรือน โดยตำราดังกล่าวได้มีข้อห้ามไว้ว่า การนวดตามตำรานี้จะเรียกร้องเงินทองเป็นค่าจ้างไม่ได้ สุดแล้วแต่ผู้รับการนวดจะให้เองโดยสมัครใจเท่านั้น จากนั้น อาจารย์กลิ่นก็ได้แยกนิวาสถาน ไปอยู่ในที่วิเวกแห่งหนึ่ง ในสวนตำบลบางปะกอกนั่นเอง คุณแม่บุญเรือน ก็ได้ตั้งใจศึกษาวิธีนวด จากตำราของอาจารย์กลิ่น ต่อไปจนกระทั่งท่านมีความชำนิชำนาญในเรื่องการนวดเป็นอันมาก และได้กลายเป็นหมอนวดที่มีชื่อเสียงอย่างยิ่งผู้หนึ่ง และกลายเป็นวิชาที่ท่านสามารถใช้เป็นอาชีพได้เป็นอย่างดี ท่านเคยใช้วิชาหมอนวดนี้ช่วยนวดรักษาโรคภัยไข้เจ็บที่พึงใช้การนวดในการรักษาไว้เป็นอันมาก ในสมัยต่อมา เมื่อคุณแม่บุญเรือนได้สำเร็จธรรมแล้ว ท่านก็ได้ใช้วิธีรักษาด้วยการอธิษฐานธรรม และอธิษฐานสิ่งของต่างๆ เพื่อใช้ในการรักษาโรคตามวิธีการของท่าน ปรากฏว่ามีโรคภัยไข้เจ็บหลายชนิดที่ท่านใช้วิธีนวดเข้าช่วยด้วย เช่น คนไข้คนหนึ่งเป็นไส้ติ่งอักเสบ ท่านก็ได้อธิษฐานปูนทาและการนวดประกอบกัน และประสบผลสำเร็จในการรักษาอย่างน่าอัศจรรย์ ด้วยการนวดอันมีชื่อเสียงและสำเร็จผลของท่านนี้เอง ทำให้มีบุคคลไม่น้อยสนใจในวิธีการอันเป็นตำราของท่าน และได้เข้ามาขอเรียนและเป็นศิษย์กับท่าน แต่ศิษย์ที่ได้สนใจศึกษาวิธีการนวดของท่านจนสำเร็จครบถ้วนจริงๆ นั้น คือ นางพวง นภาพงศ์ ซึ่งได้เป็นหมอนวดที่ยึดมั่นในวิธีการนวดตามแบบและวิธีการของท่าน จนได้รับมอบตำราหมอนวด ที่ท่านได้รับจากอาจารย์กลิ่นไว้สืบทอดต่อไป และเมื่อคุณแม่บุญเรือนได้ทิ้งร่างวายชนม์ไปแล้ว นางพวง ก็ได้นำตำรามามอบให้เพื่อพิมพ์ไว้ในหนังสือที่จะแจกเป็นที่ระลึกในงานฌาปนกิจศพคุณแม่บุญเรือน ณ เมรุวัดธาตทอง การนวดทุกครั้ง คุณแม่บุญเรือน จะแนะนำให้ผู้รับการนวด ให้ทำบุญตักบาตร อุทิศส่วนกุศลให้แก่อาจารย์กลิ่นปู่ของท่านเสมอ ในช่วงสมัยวัยรุ่นของท่านนั่นเอง ท่านได้รับการแนะนำให้รู้จักพระภิกษุรูปหนึ่ง ที่วัดบางปะกอก พระภิกษุรูปนั้นคือพระอาจารย์พริ้ง (พระครูประศาสน์สิกขกิจ) ซึ่งมีศักดิ์เป็นลุงของท่าน พระอาจารย์พริ้งนี้เป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงมาก เป็นพระอาจารย์องค์หนึ่งของเสด็จในกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ท่านเคยได้รับปั้นเหน่ง (เข็มขัด) ที่ทำจากกระดูกกะโหลกหน้าผากของแม่นาคพระโขนง ซึ่งตกทอดมาจากสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) มาถึง สมเด็จพระพุฒาจารย์ (ทัด) แล้วจึงมอบมาให้ท่าน และท่านก็ได้ถวายต่อไปยัง เสด็จในกรมหลวงชุมพรฯ และเมื่อท่านรู้จักหลวงลุงของท่านแล้ว ท่านก็ได้นำภัตตาหารและและเครื่องไทยทานต่างๆ ไปถวายพระอาจารย์พริ้งอยู่เสมอๆ ทำให้ท่านได้รับการสั่งสอนให้รู้จักธรรมะ และคุณธรรมในการดำเนินชีวิตตามแนวคำสั่งสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านได้เริ่มเลื่อมใสศรัทธา และรักงานบุญงานกุศลมากขึ้น ทั้งน่าจะถือได้ว่าเป็นปฐมเหตุสำคัญประการหนึ่ง ที่ทำให้ท่านบำเพ็ญกรณียกิจ เป็นนักบุญในพระพุทธศาสนาในสมัยต่อมา ได้บำเพ็ญเพียรจนบรรลุความสำเร็จ

    พระอาจารย์พริ้งนี้คุณแม่บุญเรือนมีความเคารพนับถือมาก เมื่อหลวงตาพริ้งมรณภาพ ในปี ๒๔๙๐ ท่านก็ได้ไปร่วมประชุมเพลิงที่วัดบางปะกอกด้วย วัดบางปะกอกที่กล่าวมาแล้วนี้ น่าจะเป็นวัดสำคัญที่ทำให้ท่านเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาด้วย ต่อมาเมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งขณะนั้นคุณแม่บุญเรือนมีชื่อเสียงมากแล้ว ได้นำสานุศิษย์ไปร่วมฌาปนกิจบิดาของท่านที่วัดบางปะกอกอีกครั้งหนึ่ง และต่อมาได้นำผ้าป่าไปทอดที่วัดนี้ และแวะเยี่ยมบ้านญาติของท่านในละแวกนั้นด้วย และดูเหมือนครั้งนั้นจะเป็นการไปเยี่ยมบ้านบางปะกอกเป็นครั้งสุดท้าย
     
  19. st-antique

    st-antique ขอบารมีคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เป็นที่พึ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    18,858
    ค่าพลัง:
    +84,227
    การปฏิบัติธรรม

    ในระหว่างนี้ท่านได้ยึดมั่นในการบุญการกุศล รักงานบุญ การถือศีลสวดมนต์ ฟังธรรมด้วยความเลื่อมใส คุณแม่บุญเรือนได้เริ่มฝึกหัดวิปัสสนากัมมัฏฐานที่วัดสัมพันธวงศ์ กับท่านเจ้าคุณพระมหารัชชมังคลาจารย์ (เทศ นิทฺเทสโก) เจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์ ซึ่งขณะนั้นมีสมณศักดิ์ที่ พระครูวิบูลศีลย์ขันธ์ และคุณแม่บุญเรือนมีอายุยังไม่ถึง ๓๐ ปี ต่อมาสามีได้อุปสมบทที่วัดนี้ ๑ พรรษา และเมื่อสามีลาสิกขาไปแล้ว สามีก็ยังเป็นผู้ถือมั่นในทางธรรมอย่างมาก สนใจแต่ในการเมตตากรุณา ยึดมั่นในศีล ๕ เคร่งครัด ทำบุญให้ทานเป็นประจำ สุราซึ่งเมื่อก่อนอุปสมบทดื่มเมาถึงคลาน ก็เลิกเด็ดขาด ทำให้คุณแม่บุญเรือนก็ยิ่งมีศรัทธาเลื่อมใสมากขึ้น ในวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๐ จึงได้ลาสามีออกบวชเป็นชี และอยู่ปฏิบัติธรรมที่วัดสัมพันธวงศ์ ได้เพียรฝึกหัดวิปัสสนากัมมัฏฐาน ด้วยความพยายามมากยิ่งขึ้น ได้อยู่ปฏิบัติในศาลาวัดสัมพันธวงศ์ด้วยความกล้าหาญ เข้าใจปลอดโปร่งในธรรมะ

    ท่านพระมหารัชชมังคลาจารย์ (เทศ นิทฺเทสโก) เจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์ ผู้เป็นพระอาจารย์สอนสมถะวิปัสสนากรรมฐาน ให้แก่คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม ได้เล่าถึงคุณแม่บุญเรือนไว้ตอนหนึ่งว่า

    “คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เป็นผู้มีศรัทธาหาโอกาสบริจาคทาน รักษาศีล ฟังธรรม ในวันธรรมสวนะอุโบสถ และฟังพระธรรมเทศนาที่ศาลาสัมพันธวงศ์ ซึ่งมีประจำวันตลอดมา

    ครั้นเมื่อคุณแม่บุญเรือน เข้าใจธรรมวินัยกว้างขวางขึ้น ก็พยายามศึกษาปฏิบัติถึงขั้นสมถวิปัสสนา ร่วมกับคณะคุณแม่ที่มาฟังธรรมเวลาค่ำ คือ นอกจากชาวบ้านที่มาฟังธรรมแล้ว ก็มีสตรีที่มีศรัทธามาถือบวชชีเป็นชีนุ่งขาวอยู่หลายคน เมื่อแสดงเทศนาจบแล้ว ก็เริ่มถามความเข้าใจและความกำหนดจดจำ ตลอดถึงแนะอุบาย ที่จะเป็นอุปการะแก่การปฏิบัติธรรมทั่วๆ ไป เมื่อแนะนำสั่งสอนนานเข้า ก็เลื่อนไปแสดงธรรมะที่ละเอียดขึ้นไปโดยลำดับ นับว่า เป็นชั้นสมถภาวนา อุบายทำให้ใจสงบเลื่อนไปถึงขั้นวิปัสสนาภาวนา อุบายที่จะทำใจให้เกิดความรู้แจ้งเห็นจริง ตามพระธรรมวินัยหรือตามพุทธประสงค์ที่แท้จริงบ้าง วันละประมาณครึ่งชั่วโมง หรือชั่วโมงเศษบ้าง ในบรรดานักศึกษาธรรม ที่ประชุมในยุคนั้น ท่านพระมหารัชชมังคลาจารย์ เล่าว่า คุณแม่บุญเรือน เป็นผู้ที่เข้าใจเนื้อความของธรรมะได้ดี เป็นผู้กล้าหาญ กล้าตอบ กล้าพูด มีปฏิภาณได้ถ้อยได้ความ ถือเอาอรรถรสได้ เมื่อพูดจาแนะนำ ปรับความเข้าใจทางทฤษฎีพอควรแก่เวลาแล้ว ก็เริ่มนำบูชาอาราธนากรรมฐานประกอบภาคปฏิบัติต่อไป โดยปกติก็ใช้เวลาประมาณชั่วเล่มธูป แล้วกรวดน้ำ เป็นอันเสร็จการปฏิบัติธรรม"
     
  20. st-antique

    st-antique ขอบารมีคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เป็นที่พึ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    18,858
    ค่าพลัง:
    +84,227
    เหตุการณ์ตอนที่ท่านจะบรรลุธรรม (๑๕ พฤษภาคม ๒๔๗๐)

    คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เคยเล่าถึงเหตุการณ์ตอนที่ท่านจะบรรลุธรรมไว้กับนายสุวรรณ ทองนาค บ้านอยู่อำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี (ซึ่งต่อมาในปี ๒๕๑๑ได้บวชเป็นพระ ที่วัดอาวุธวิกสิตาราม) ตอนหนึ่งว่า

    “(ในวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๐ ท่านได้) ตั้งใจจะขอปฏิบัติธรรมให้สำเร็จอยู่ที่ศาลาวัดสัมพันธวงศ์ เป็นเวลา ๙๐ วัน โดยถือศีล ๘ บวชเป็นชี นั่งสวดมนต์ภาวนา เจริญวิปัสสนาตามแนวทางของท่านเจ้าคุณพระมหารัชชมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์ (ในสมัยนั้น) การปฏิบัติธรรมดำเนินไปจนล่วงเข้าวันที่ ๘๙ ก็ยังไม่สำเร็จธรรม หรือเห็นธรรมแต่ประการใด จึงคิดท้อใจกลับบ้านที่บ้านพักตำรวจปทุมวัน ได้พบกับสิบตำรวจโทจ้อย ผู้เป็นสามี ซึ่งได้ทักมาว่า ‘กลับมาแล้วหรือ ? เมื่อกลับมาแล้วก็อยู่บ้านเถิด…’

    คุณแม่บุญเรือนจึงว่า ‘เมื่อจะให้อยู่บ้าน ก็ขอให้โยมจ้อยถือศีล ๘ เลิกยุ่งเกี่ยวฉันสามีภรรยาจะได้ไหม ?’

    สิบตำรวจโทจ้อยก็รับคำ จากนั้นสิบตำรวจโทจ้อย ก็ขอตัวออกไปปฏิบัติหน้าที่ราชการ ที่บ้านคงเหลือแต่โยมมารดา๑ ของคุณแม่บุญเรือน และหลานๆ ๒-๓ คน คุณแม่บุญเรือนจึงอาบน้ำ นุ่งขาวห่มขาว เตรียมตัวไหว้พระสวดมนต์ ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณ ๒๑.๐๐ นาฬิกา เดือน ๖ ขึ้น ๑๔ ค่ำ ปี พ.ศ. ๒๔๗๐ (ตรงกับวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๔๗๐) จากนั้น คุณแม่บุญเรือนก็ได้แลเห็นโยมมารดาและหลานๆ นอนหลับกันหมดแล้ว โยมมารดานั้นมีอาการกรน ส่วนหลานๆ ก็มีอาการละเมอบ่นพึมพำ และกัดฟันกรอดๆ รู้สึกเกิดธรรมสังเวชเบื่อหน่ายต่อสภาพอย่างนั้นขึ้นมาในขณะนั้นทีเดียวว่า

    ‘เออ… สังขารร่างกายนี้ ถึงแม้จะหลับใหลไปแล้ว แต่ก็ยังมีเวทนาผุดซ้อนขึ้นมาอีกนะนี่…’

    ท่านจึงคิดอยากหลีกหนีเสียชั่วคราว ครั้นแล้วคุณแม่บุญเรือน ก็ได้นั่งสมาธิกรรมฐานในห้องพระ จนกระทั่งถึงเวลาประมาณตี ๒ ก็มีอาการแน่นหน้าอก อึดอัด หายใจไม่ออก คล้ายกำลังจะตาย จึงตั้งสติว่า ‘ถ้าจะตายก็ขอให้ตายในตอนนี้เถิด จะได้หมดเวรหมดกรรม ธรรมก็ยังไม่ได้บรรลุเลย’ น่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก เมื่อคุณแม่บุญเรือนคิดดังนี้เท่านั้น อาการทุกขเวทนาทั้งปวงก็พลันหายไปสิ้น บังเกิดความสว่างขึ้นมาทั้งตัว มีความใสสว่างอย่างสุดที่จะประมาณ รู้ชัดว่าตนเองบรรลุอภิญญาถึง ๕ อย่าง มีพระธรรมเข้าประทับ เมื่อนึกอยากรู้อยากเห็นอะไร ก็รู้แจ้งแทงตลอดสว่างไสวไปหมด และยังได้อิทธิปาฏิหาริย์อีกด้วย จากนั้น เมื่อคุณแม่บุญเรือนบรรลุธรรมแล้ว ก็ได้นั่งกรรมฐานต่อไปอีก จนกระทั่งเวลาใกล้ตี ๕ รุ่งเช้า ได้คิดถึงวัดสัมพันธวงศ์ จึงตั้งจิตอธิษฐานขอให้เข้าไปนั่งในศาลาวัดสัมพันธวงศ์ (ปัจจุบัน ศาลานี้ถูกรื้อไปแล้ว) ซึ่งศาลานี้เป็นที่อยู่ของแม่ชีนักปฏิบัติธรรม คุณแม่เองก็เคยอาศัยบำเพ็ญธรรมที่ศาลานี้ พอสิ้นอธิษฐาน แล้วหลับตาลง ก็คล้ายกับหัวได้หกกลับไปเบื้องหน้า คล้ายกับตีลังกา เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก็ปรากฏว่าตัวเองได้เข้ามานั่งอยู่ในศาลาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่ทราบว่าเข้าศาลามาทางไหน และที่บ้านพักตำรวจกับศาลาวัดสัมพันธวงศ์ก็ไกลกันพอสมควร ขณะนั้น ประตูศาลาวัดยังคงปิดใส่กุญแจอยู่ คุณแม่บุญเรือนจึงได้ร้องเรียกให้พระภิกษุสามเณรซึ่งอยู่ในบริเวณนั้น ช่วยไขกุญแจเปิดประตูให้ทีเมื่อเรื่องที่คุณแม่บุญเรือนหายตัวมาปรากฏอยู่ในศาลาวัด แพร่หลายออกไป ก็มีพระเณรเถรชี อุบาสกคุณแม่ต่างก็มารุมล้อม โจษจันกันเซ็งแซ่ด้วยความตื่นเต้นอัศจรรย์ใจอย่างเหลือที่จะกล่าวได้ไปตามๆ กัน จนความนี้ได้ทราบถึง ท่านเจ้าคุณพระมหารัชชมังคลาจารย์ ๒ ท่านจึงให้เชิญคุณแม่บุญเรือนไปสอบถาม และขอให้คุณแม่บุญเรือนแสดงปาฏิหาริย์หายตัวเข้ามาอยู่ในศาลาวัดให้เป็นที่แจ้งประจักษ์อีกครั้ง ซึ่งคุณแม่บุญเรือนก็ตอบรับ ขอทดลองดูอีกครั้งในเวลาใกล้รุ่งของอีกวัน

    คืนนั้นตรงกับวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๖ (ตรงกับวันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๔๗๐) แม่ชีฟักเพื่อนปฏิบัติธรรม พักอยู่เป็นประจำที่ศาลานี้ ให้แม่ชีผู้อยู่ศาลาอีก ๓ คนดูแลปิดประตูหน้าต่างลงกลอนให้เรียบร้อยอย่างแน่นหนา และดูให้รู้เห็นเป็นพยานด้วย คืนนั้นปรากฏว่าที่วัดสัมพันธวงศ์ก็เกิดการโกลาหลอลหม่านคึกคักตื่นเต้นกัน น่าดู มีการจัดยามเฝ้าที่ประตูวัดทุกๆ ด้าน ถึงประตูละสองคน และมีการเดินสำรวจรอบศาลาวัดกันให้ขวักไขว่ทั้งคืน ชนิดมดแมงสักตัวเดินผ่านมา ก็ยากจะรอดพ้นสายตาไปได้ ส่วนที่บ้านพักตำรวจปทุมวัน คุณแม่บุญเรือนได้เข้าไปเจริญพระกรรมฐานตั้งแต่หัวค่ำ จนใกล้รุ่ง จึงอธิษฐานให้หายวับจากบ้านพัก เข้าไปปรากฏตัวในศาลาวัดสัมพันธวงศ์ได้เช่นเดียวกับคราวก่อน แต่คราวนี้ไม่มีลีลาอาการหกคว่ำคะมำหงายเหมือนคราวแรก นั่นคือพออธิษฐานเสร็จแล้วหลับตาลง พอลืมตาปั๊บ ตัวของคุณแม่บุญเรือนก็มานั่งเรียบร้อยอยู่ในศาลาทันที เมื่อคุณแม่บุญเรือนปาฏิหาริย์มานั่งในศาลาเสร็จ สิ่งแรกที่หูได้ผัสสะกับเสียงที่มากระทบก็คือ เสียงคุณแม่คุยกันว่า

    ‘จะแจ้ง (สว่าง) แล้ว น่ากลัวไม่มาแล้วมั๊ง’

    ส่วนอีกรายก็ว่า ‘ไม่มาก็ดี…ถ้ามา…ฉันจะต้องไปเป็นลูกศิษย์ขอเรียนวิชากับเขาอีก’

    เมื่อได้ฟังคำกล่าวเช่นนั้น คุณแม่บุญเรือนจึงร้องออกไปในทันใดว่า

    ‘เอ้า..! ใครอยากจะเป็นลูกศิษย์ฉัน…เชิญทางนี้…ฉันมาแล้ว !’

    พวกที่คอยอยู่ก็แปลกใจ และแน่ใจว่าหายตัวผ่านเข้ามาได้จริงๆ และมองเห็นผลสำเร็จทางสมาธิที่มีแก่ผู้ปฏิบัติด้วยวิริยะอุตสาหะ ต่อมาคุณแม่บุญเรือน ท่านได้อธิษฐานหายตัวจากศาลาไปเขาวงพระจันทร์ ท่านได้พบพระผู้วิเศษที่นั่น และได้รับพระธาตุ ๑ องค์จากพระองค์นั้น กลับมาพระธาตุยังกำอยู่ในมือ เป็นพยานแก่ตัวท่านเองว่ามิได้ฝันไป”
     

แชร์หน้านี้

Loading...