เรื่องเด่น นานาเรื่องราวหลวงพ่อพระราชพรหมยาน

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย Wannachai001, 16 กันยายน 2014.

  1. แก้วกลม

    แก้วกลม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +239
    ส่วนตัวและครอบครัวได้รับความเมตตาจากหลวงพ่ออนันต์หลายครั้งครับ รับรู้ได้ถึงความเมตตาของท่านที่มีมากเหลือเกิน และบอกได้เลยว่าเจโตปริยญาณของหลวงพ่อท่านชัดเจนแม่นยำยิ่งครับ

    น้อมส่งหลวงพ่อพระราชภาวนาโกศล (หลวงพ่ออนันต์ พทฺธญาโณ )สู่แดนนิพพานด้วยเศียรเกล้าครับ
     
  2. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    112
    ค่าพลัง:
    +225,709
    361055.jpg


    เรื่อง วิธีดูพระ


    พระที่เสียๆ นี่ หนึ่ง เกี่ยวกับลาภ พระเสียเพราะลาภ ลาภมากอย่างหนึ่ง สอง เสียเพราะว่า สมาธิ สมมุติว่าเคยได้ฌาน แต่ไอ้ฌานโลกีย์นี่น่ะ มันได้แล้วก็หายได้ แล้วไอ้คนสรรเสริญนี่น่ะพาให้เราลอยขึ้นไป แล้วเราก็ไม่วิเคราะห์ตัวเราเอง ไม่โจทย์ความผิดตัวเราเอง เมื่อลอยขึ้นไปแล้วนี่มันก็ลงไม่ได้ ไอ้ลอยขึ้นไปติดเพดานเงิน เงินก็พาไปให้กิเลสเราฟูขึ้นไปอีก

    พระนี่ดูยาก พระนี่ก็มีหลายระดับเหมือนกัน เขาเรียกว่าบารมีไม่เท่ากัน อย่างหลวงพ่อเคยบอกพระที่วัด ไม่ต้องให้ใครเขาไปยอเรา เราถามตัวเราเอง เขามีแบบวัดอยู่ บางคนนี่มีความพอใจแค่ทำทาน นี่ก็พอใจ แต่ชวนไปรักษาศีลนี่ไม่เอาหรอก...มาก โอ้โฮ ศีลตั้ง ๕ ข้อ กระดุกกระดิกไปไหนไม่ได้เลย

    บางคนทำทานเอา ชวนรักษาศีล ทำ แต่ชวนนั่งสมาธิ ไม่ไหว ไม่ได้เดี๋ยวบ้า บางคนทำทาน ทำ รักษาศีล ทำ ภาวนาเอา แต่ชวนไปนิพพานไม่เอา ยัง กลัวไม่มีก๋วยเตี๋ยวกินอีก หากปรมัตถบารมีนี่ ชวนทำทาน ทำ รักษาศีล พอใจ มีความสุข เจริญภาวนา โอ๊ย ชอบมากเลย มีความสุขใจเหลือเกิน เห็นทางบรรลุมรรคผล ชวนไปนิพพาน ชาตินี้ทนไม่ไหว ต้องไป นี่เขาเรียกปรมัตถบารมี สามารถจะบรรลุได้มรรคได้ผลได้ ทีนี้กำลังใจของคนมันไม่เท่ากัน การปฏิบัติก็หยาบละเอียดต่างกันไป

    คือเราจะไปวัดนี่มันต้องมีความรู้ อย่างหลวงพ่ออย่างนี้น่ะ ต้องมีเจโตฯ ต้องมีทิพจักขุญาณ มันถึงจะดูคนรู้ ถ้าเรามาเดาจริยากันภายนอกหรือการเห็นกันอย่างนี้ บางทีมันไม่ออก แต่กริยาที่มันทำฉาวโฉ่ออกไปนี่ มันก็น่ากลัวน่าเกลียด

    ที่นี้ พระที่สนทนาธรรมก็สังเกตดู คุยกับพระคุยไม่ได้ถึง ๔ อย่างนี่หรอก แค่ศีลบางทีท่านก็ร่อแร่แล้ว คุยกันนี่ร่อแร่ จุดประสงค์ของการบวชมันไม่เหมือนกันนี่ ไม่เหมือนกัน บางคนบวชเป็นประเพณี บวชเพื่อเป็นนิสัยปัจจัย ตรงนี้มันก็สำคัญ

    บางคนบวชแล้วนี่ ไปอ่านที่เทวทัตท่านลงเอวจี ท่านมีสมาธิอยู่ก่อน ที่คนยกย่องท่าน พอยกท่านมันก็มีพวกมาก ทีนี้มันลอดตัว มันเหลิงเลย พอมีพวกมาก เหลิงปุ๊บ ก็จะแยกนิกายขึ้นมา พระพุทธเจ้าปกครองนี่...ไม่ไหวเลย บางทีทำไม่รู้ไม่ชี้ พระพุทธเจ้านี่ท่านรู้กฎของกรรม ท่านก็ไม่ติง ใช่ไหม เทวทัตว่าอย่างนี้ไม่ถูก อย่างนั้นไม่ถูก ให้คนกินเนื้อสัตว์ เอ๊ะ... ห้ามฆ่าสัตว์ แต่พระพุทธเจ้าท่านไม่เห็นห้ามคนกินเนื้อสัตว์เลย เขาว่าปากว่าตาขยิบ พระเทวทัตท่านบอกอย่างนั้น จริงๆ มันต้องไม่กินเนื้อสัตว์สิ ห้ามเขาแล้วนี่

    ที่นี้ไอ้คนที่เป็นสาวกก็ยกย่องสรรเสริญมันก็ลอยล่ะสิ ก็แน่เหมือนกันโว้ย ต้องปกครองสงฆ์แข่งพระพุทธเจ้า อีตรงนี้น่ะมันเข้าขั้น ลอยขึ้นแล้วมันลงไม่ค่อยได้ บริวารมันค้ำอยู่นี่ เอาละวะ จิตก็เป็นมิจฉาทิฏฐิ อีตอนนี้ฌานจะเสื่อม อกุศลกรรมจะให้ผล ใครติงไม่ได้ มันลอยเสียแล้วนี่ มันเป็นอย่างนั้น อ่านหนังสือที่หลวงพ่อเขียนไว้นี่ เราก็วิเคราะห์ เออ... มันก็จริงตามนั้น

    “เรื่องพระนี่มีคนเขาเสนอมา เขาบอกว่าได้โสดาบันแล้วให้มีเครื่องหมายอย่างนี้ สกิทาคามีมีเครื่องหมายอย่างนี้ พอถามหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านก็บอกว่า ถ้าไอ้อย่างนี้มันก็โกงกันได้น่ะสิ”

    ท่านบอกว่าอย่าไปห่วงกังวลตัวนี้ ท่านพูดไว้นะ คนที่มันเกิดมานี่ มันจะมีมรรค มีผลนี่มันมีกำลังใจมาแล้ว มันจะพอใจสิ่งที่ว่ามีมรรคมีผลเท่านั้น จิตของเราเองมันจะพอใจเฉพาะพระที่มีมรรคมีผล ถ้าไม่มีมรรคผลมันก็รู้ มันก็ไม่เข้าไปปักในใจ ถ้าเราจะได้มรรคได้ผลนี่มันจะพอใจ เอ้อ...องค์นี้สอนอย่างนี้มันถูกใจ มันถูกจริต จะต้องคุย จะต้องปฏิบัติ เชื่อท่าน อะไรอย่างนี้ ถ้าเราจะไม่มีมรรคผลมันก็เกาะไอ้พวกนี้ไป เกาะที่เปลือกไปอะไรไป ก็ว่าอย่างนี้ดีแล้ว มันจะเป็นอย่างนั้น

    อย่างท่านเองนี่เจอ หลวงปู่ปาน ครูบาอาจารย์เป็นพระอรหันต์แนะนำ อย่างหลวงพ่อโหน่ง หลวงพ่อเนียมนี่ มันจะพอใจกัน พระในประเทศไทยตั้งเยอะแยะ ทำไมไม่พอใจ ไปพอใจเฉพาะองค์อย่างนี้ เขาบอกองค์ที่จะได้มรรคได้ผล มันจะพอใจแต่พระที่มีมรรคมีผล จะคบแต่พระจำพวกนั้น คนเปลือกก็ชอบเปลือก คบพระเฉพาะเปลือก ก็จะพอใจกันอย่างนั้น

    ฟังท่านเล่าประวัติหลวงปู่ปานนะ ที่ไม่มีจำหน่ายน่ะ แต่ว่าเก่าๆ ท่านจะเล่าให้ฟังหมด จะดูยาก แต่พระเองจะดูรู้ มันมีอุปกิเลสอยู่ในนั้นเยอะน่ะ จะไปอ่านในอุทุมพริกสูตร แสดงตัวเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ อุปกิเลสมันอยู่ในตัวละก็ มันไม่ถึงความดีหรอก มันไม่เข้าถึงความดีเลย

    อย่างอะไรล่ะ สมมุติห่มจีวร พูดถึงห่มจีวรกัน สมัยก่อนวัดเรานี่ ไม่ใช่ว่าวัดเรามันจะดีกว่าคนอื่นนะ อย่าไปคิด ดีไม่ดีมันอยู่ที่การงดเว้น ไม่ใช่ว่าอยู่วัดท่าซุงจะดี ครูบาอาจารย์สอนเป็นพระอรหันต์แล้วจะดีไปหมด อย่าไปคิดอย่างนั้น อยู่ที่การงดเว้นของตัวและบุคคลที่ปฏิบัติ ไม่ใช่เขาไปอยู่วัดท่าซุง โอ้โฮ...แจ๋วไปหมด อย่างนั้นไม่ใช่ ไม่รับรองว่าจะแจ๋วทุกองค์ หรือเจ้าอาวาสจะแจ๋ว ใครจะแจ๋ว ไม่รับรองใคร แต่ว่าอยู่ที่การปฏิบัติของตัวคนนั้นเอง

    คนเรานี่มันจะอยู่ที่อุปาทาน รวมๆ ครูบาอาจารย์องค์นี้ดี ถ้าอย่างนี้ต้องดีหมด อะไรอย่างนั้น แต่จริงๆ แล้ว แม้แต่ตัวพระเองก็ต้องคิดว่า เรานี่มันงดเว้นอะไรได้บ้าง มันต้องเตือนอยู่เสมอ มันต้องว่าตัวเองอยู่เสมอ ไม่ใช่ว่าตีคลุมไปอย่างนั้น ส่วนมากคนจะตีคลุมไป อยู่สำนักนี้แล้วจะต้องแจ๋ว จะอยู่ที่ไหนก็ช่างเถอะ แต่มันก็ดีอยู่อย่าง คืออยู่ในสิ่งแวดล้อมดี สุขภาพจิตไม่ค่อยเสีย อย่างเราพอใจนิพพาน จะไปอยู่ไอ้ที่เขาพอใจทางโลกกันนี่ อารมณ์ก็หงุดหงิด แต่อยู่ในสังคมอย่างนี้มันก็คุยกันรู้เรื่องง่าย


    หลวงพ่อพระราชภาวนาโกศล(อนันต์ พทฺธญาโณ)


    http://www.watthasung.com/wat/viewthread.php?tid=194

    เรื่อง การห่มจีวรของพระวัดท่าซุง

    " การห่มจีวรนี่ ที่วัดท่าซุงทำไมไม่ห่มกลัก ทำไมต้องห่มเหลือง กลักไม่มีเลย ทำไมเรื่องราวมันเป็นยังไงมายังไง มีอะไรเล่าให้ลูกหลานฟังไหมครับ "

    เรื่องห่มจีวรเหมือนกัน สมัยก่อนนี่ก็มีสีกลักมั่ง สีแก่นขนุน สีกลักดำ กลักแดง กลักแก่นขนุน สีเหลือง อะไรอย่างนี้ ใครพอใจอย่างไหนก็ไปห่มกันเอา มีจีวรอะไรก็ไปห่มกัน ก็มีอยู่วันหนึ่ง เราก็ไปช่วยหลวงพ่อห่มจีวร ก็ห่มจีวร จับจีวรให้ท่าน สำหรับผ้ารัดอกอะไร จะไปรับแขก เวลามีงานน่ะ ท่านก็บอกกับเรา ท่านก็ติงมา

    ท่านบอก "เราเป็นพระอยู่ในบ้านในเมือง ไม่ต้องไปห่มสีกลักกับเขานะ ไม่ต้องไปแสดงตัวว่าเป็นพระกรรมฐาน อยู่ในเมืองให้ใช้สีนี้ มันกลืนกับนักเรียนไป มันกลืนกับพระในเมืองไป"

    แต่จริงๆคนเขามองก็มองกันแค่ภายนอก ตัวนี้มันเป็นมายาอีกตัวหนึ่ง เหมือนทำให้เขารู้ว่าเราเป็นพระกรรมฐาน มองละเอียดจะรู้ว่านี่มันเป็นมายาอีกตัวหนึ่ง

    อย่างเราแต่งสีสารพัดสีนี่ แต่จริงๆเรารักษาศีล 8 ก็ได้ รักษาศีล 5 ศีล 8 นี่ก็ได้ หลวงพ่อท่านเอาผลของจิตจริงๆ ผลของตัวจิตของเราจริงๆ ไม่ใช่ว่าสีลาย สีเขียว สีแดง แล้วจะไม่มีศีล 8 ศีล 8 ไม่ใช่อยู่ที่ตัวนี้ อยู่ที่การงดเว้น เราทำได้หรือเปล่า เขาจะยกย่องว่าเราดี ไม่ดี แต่เรานี่จะดีหรือไม่ดี อยู่ที่จิตของตัวของเราเองนี่แหละ ท่านหวังผลตัวนี้ ท่านไม่ได้หวังเปลือกอะไร มันก็ลึกซึ้งละเอียดไปอีกนะ

    ทีนี้คุยให้พระฟัง พระก็ยอมรับว่า เออ ไม่ต้องสร้างมายาให้คน ไม่ต้องสร้างเรื่องลวงโลกเปลือกนอกให้คนเขาเห็น ไม่ต้องไปใส่มายาให้คนอื่นเขามองเรา ให้เขาเกิดศรัทธาแค่เปลือกนอกหรืออะไรก็ช่าง ที่วัดเลยปฏิวัติหมดเลย พระก็ยอมรับว่าเออ จริง ทุกองค์ก็เลยห่มสีเดียวกันหมดเลย

    เรามาสังเกตุ พระไปธุดงค์กัน พระไม่ได้ไปธุดงค์ก็ห่มสีเหลืองๆ อย่างนี้ไป อีกองค์ก็ห่มสีกลักไป สีกลักเอาไปกินหมด (หัวเราะ) สีเหลืองอดอยาก

    " หมายความว่าคนใส่บาตรทำบุญ "

    คนใส่บาตรอะไรต่ออะไรอย่างนี้ มันก็ เออ มีส่วนเหมือนกัน สู้สีกลักไม่ได้ เรารู้ มีประการณ์นี่

    มายาตัวนี้มันเป็นอุปกิเลส ถ้าเราเจตนาจะทำตัวนี้ มันเป็นอุปกิเลสเสียแล้ว ความดีจะไม่เข้าถึง

    อย่างนั่งกรรมฐานโชว์อีกอย่าง หลวงพ่อท่านสอนมาเยอะเลยละ เห็นคนเขามานี่ เดินจงกรมเสียหน่อย เขาจะได้รู้ว่าเคร่ง

    พวกนี้ก็ไม่ได้ ถ้ารู้ปุ๊บต้องหลบเลย ก็หลวงพ่อเองท่านเป็นถึงขนาดนั้นแล้ว ฉันอยู่ห้องเทปตรงกัน เราก็เปิดไฟทำงาน พอเปิดไฟปั๊บ หลวงพ่อรูดม่านเลย ม่านตรงที่ท่านเดินจงกรมอยู่น่ะ ท่านรูดท่านปิด ท่านเป็นพระขนาดนั้น ท่านยังปิดเราเลย เราอยากจะเปิด (หัวเราะ) มันเป็นอย่างนั้นน่ะสิ กิเลสมันมี มันจะเป็นอย่างนั้น ท่านสอนในเรื่องอุปกิเลสเยอะ ท่านสอนแล้วท่านก็ต้องระวัง

    ทีนี้ถ้าเราเอาไปใช้ก็ได้ประโยชน์กับเรา ใคร่ครวญติตัวเองอยู่เสมอ ไปถึงไหนแล้ว ขึ้เกียจ ขยัน กิเลสตัวไหนมันงอก เราจะเคาะมันตรงไหนนี่ ไม่มีใครมาเคาะให้เราหรอก เราต้องเคาะเอง จิตเรานี่ ถ้าเราไม่เคาะเอง เสร็จ

    มันเหมือนโกหกตัวเอง อยากจะเป็นพระอรหันต์โดยไม่ต้องออกแรง ส่วนมากคนเรามันจะอย่างนี้ อยากจะเป็นผู้หมดกิเลสโดยไม่ต้องออกแรง นึกว่าวันหนึ่งมันจะพั๊วะ อย่างสมัยยพุทธกาล (หัวเราะ)

    ที่จริงแล้วต้องทำ ต้องเคาะ ตรวจดูจิตเราเสมอ ต้องเคาะกิเลสเราอยู่เสมอ ไม่ใช่ว่ากิเลสมันพอกมาแล้ว อีก 7 วันถึงนึกได้มาเคาะมัน มันเกาะลงกระดูกแล้ว ถ้าเคาะได้ไว มันก็ละได้ไว

    แต่จริงๆ ของหลวงพ่อนี่ท่านสอนทุกอย่าง ทั้งกรรมฐาน 40 มหาสติปัฏฐานสูตร นี่ละเอียดหมด ละเอียดจริงๆ สอนแบบแนวปฏิบัติเลยนะ ของหลวงพ่อ จากแนวปฏิบัติโดยตรงเลย

    " อย่างนี้ก็แสดงว่าเจ้าอาวาสก็ได้เปรียบสิ รู้หมดเลยนะ "

    ในหนังสือพ่อเก็บไว้หมดเลย เจ้าอาวาสเก็บหมด เก็บใส่ตู้ไว้เยอะ (หัวเราะ) ไม่ค่อยได้เอามาใช้ เขาบอกว่าใกล้เกลือกินด่างนี่จริง เพราะหนังสือนี่ตั้งกี่เล่ม ไม่อ่านจบสักเล่มเลยนี่

    สมัยก่อนท่านจะเปิดเสียงตามสาย ท่านบอกว่าไม่ใช่สอนทั้งหมด แต่ว่าให้มันผ่านหู จะได้ไม่ทะเลาะกับคนอื่นเขา ให้รู้ไว้บ้าง

    หลวงพ่อพระราชภาวนาโกศล(อนันต์ พทฺธญาโณ)



    (จากคอลัมภ์ จากคำบอกเล่า ธัมมวิโมกข์ เมษายน 2538)

    IMG_20171214_152428.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กุมภาพันธ์ 2018
  3. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    112
    ค่าพลัง:
    +225,709
    เรื่อง พระสุปฏิปันโนมาวัดท่าซุง


    (ด๊อกเตอร์ปริญญา พูดว่า)

    " เดี๊ยวทีนี้กลับมาถึงเรื่อง...ยังไม่ถึงงานหลวงปู่ปานเลย เพิ่งจะถึงพระสุปฏิปันโน มาถึงนี่แล้ว เอ้ากลับไปงานหลวงปู่ปาน "

    เพราะตอนนั้นคนกำลังตื่นมาก ตื่นพระสุปฏิปันโนนี่ เอ้าองค์นู้นก็พระอรหันต์ หลวงพ่อบอกว่าไม่ใช่พระอรหันต์ พระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ สุปฏิปันโนนี่ ฉันไม่ได้รับรองว่าเป็นพระอรหันต์นี่ คนก็โอ้โห..มาทำบุญกัน หลวงพ่อก็จะเอาพระมานั่งเป็นแถว องค์นั้นนั่งตรงนั้นนั่งตรงนี้ และก็ให้คนมาทำบุญเข้าแถว ไม่มีใครเขาทำกันหรอก มีวัดท่าซุงนี่แหละ ลิเกละครไม่มี ก็มาทำบุญกัน ไอ้คนมันเกิดศรัทธาอยู่แล้วนี่ ศรัทธานี่โอ้โฮ ห้ามไม่อยู่เชียวนะ

    ทีนี้ก็เกิดทำอาหารถวายพระสุปฏิปันโนน่ะ ใครกินอาหารหลังพระสุปฏิปันโนแล้วนี่เป็นทิพย์ เป็นยา สมองดี ปัญญาเลิศ ประเสริฐกว่าคนไม่ได้กินทั้งปวงอะไรอย่างนี้ คนมีศรัทธาแล้ว กินของหลังพระอรหันต์ท่านต้องเสกแล้วใช่ไหม เข้าใจกันว่าอย่างนั้น มงคล 39 ใครไกล้ชิดก็หากินของดีๆหน่อย ไอ้พวกหางแถวก็กินของที่ว่าเหลือจากคนกิน

    ทีนี้วันดีคืนดีก็มีหลวงปู่บุดดา หลวงปู่คำแสนเล็ก หลวงปู่คำแสนใหญ่ หลวงปู่สิม หลวงปู่ชุ่ม ลูกศิษย์ก็เยอะใช่ไหม วัดน้ำบ่อหลวงเป็นสำรับอย่างนี้นี่ ทีนี้เวลาหลวงปู่ท่านฉันแล้วนี่ ก็แบ่งกันกิน ไอ้คนอยู่ใกล้ชิดกินมาก ก็กินไป ที่เหลือก็กินน้อย

    ทีนี้ก็ของหลวงปู่บุดดา เอ้าของหลวงปู่บุดดาเหรอ เอ้าคนนี้ก็กิน กินแล้วก็หน้าเจื่อนๆ แบ่งคนอื่นมั่ง ไปถึงไอ้คนปากเปราะเข้า เอ้ากินๆ โอ้โห กูไม่เห็นมีรสมีชาติอะไรเลยวะนี่ ไอ้ลูกศิษย์ที่ถือมาก็บอก ไหนล่ะ ยี๊..ไอ้นี่จะมีรสชาติอะไรเล่า ก็ถ้วยล้างฟันปลอมหลวงปู่นี่ (หัวเราะ) เอาแล้ว ไอ้คนที่ปลงไม่ได้ก็กูนึกแล้ว กูเห็นพริกลอยอยู่ (หัวเราะ) ทีนี้ก็ อ้วก..พุ่งเหมือนแหลน พิษอรหันต์ออกแล้วนี่ กูไม่เห็นมีรสชาติอะไรเลยวะนี่ ถ้าไอ้คนนั้นไม่พูดคงจะกินกันอีกหลายเจ้า ไอ้พวกกินมาแล้วมันไม่พูด ก็มีคุณน้อยกานดานี่ แกปากโป้งอยู่แล้ว แกก็พุ่งแหลนแล้ว (หัวเราะ)

    " ตอนนั้นมีพิธีพุทธาภิเษกด้วยไม่ใช่หรือครับ "

    มีพุทธาภิเษก พระเปลี่ยนกันเข้าหรือไงนี่ ใครมาทีหลังก็เข้าทีหลัง

    " แล้วหลวงพี่ได้เข้าไปในโบสถ์บ้างหรือเปล่าครับ ตอนท่านทำพิธีพุทธาภิเษกน่ะ "

    เข้าบ้างไม่ได้เข้าบ้าง

    " ของที่ปลุกเสกวันนั้นมีอะไรบ้าง พอจะจำได้ไหมครับ วัตถุมงคลน่ะ "

    เดี๊ยวนี้ก็มีพระหลายองค์ที่เป็นเหรียญน่ะ (เหรียญพระสุปฏิปันโน)

    (ด็อกเตอร์ปริญญาพูดเสิรมว่า)

    " แล้วก็ตอนกำลังทำพิธีพุทธาภิเษกน่ะ หลวงปู่ชุ่มลุกขึ้นเปลี่ยนสบงจีวรหมดเลย "

    นี่ไม่ได้เข้าหรอก พระเล็กพระน้อยน่ะ ไม่ค่อยได้เข้า เข้าว๊อบๆ แวมๆ ไม่ได้ละ หลวงพ่อท่านสั่งเด็ดขาดนะ สั่งคำเดียวนี่ไม่มีใครแล้ว ไม่ว่าคนหรือตำรวจทหาร มันมีกระตุกสร้อยเหมือนกัน จับได้ ขอทงขอทานจับหมด เพราะมันคอยลักรองเท้าเขา

    " มีคนไปถามหลวงพ่อว่าทำไมหลวงปู่ชุ่มต้องลุกขึ้นเปลี่ยนเครื่องทรง หลวงพ่อบอกว่า ไม่มีใครทนอยู่ได้หรอก เห็นพระพุทธเจ้าเสด็จน่ะ ต้องเปลี่ยนชุดให้เรียบร้อย คือชุดเก่าแล้ว เปลี่ยนใหม่เลย "

    " เป็นอันว่างานปลุกเสกคราวนั้นพระพุทธเจ้าเสด็จมา "

    เราเข้าไปเห็นท่านเสด็จอยู่นานแล้ว

    " ได้ทิพจักขุญาณหรือเปล่านี่ เห็นตาเนื้อเลยหรือครับ "

    โอ้โฮ เห็นตาเนื้อเลย ท่านเสด็จอยู่นานก่อนเราจะเข้าไปอีก ปลุกเสกในโบสถ์(หมายถึงพระประธานในโบสถ์)

    คือ หลวงพ่อท่านนิมนต์พระสุปฏิปันโนมา เงินที่เขาทำบุญถวายท่านหมด ไม่ได้เก็บไว้ที่วัดนะ ถวายท่านกลับไปหมด ท่านให้เอากลับไป ไปสร้างวัดที่ท่านอยู่ ท่านก็เอามาคืน แต่ว่าหลวงพ่อท่านถวายกลับไปหมดแล้วเงินที่ท่านมีก็ถวายท่านไปอีก เรียกว่าเอาบุญกันทั้งนั้นเลย

    ทีนี้มันไม่เหมือนชาวบ้านเขาอยู่อย่างหนึ่ง ทำบุญกลางวัน กลางคืนก็พักผ่อนกัน นั่งคุยสนทนาธรรมกันอะไรอย่างนี้ ไม่อึกทึกครึกโครม หลวงพ่อท่านส่วนมากจะเน้นความปลอดภัย ความปลอดภัยมาก กลางคืนไม่ทำงาน คนก็ไม่จุ้นจ้านใช่ไหม เหมือนกับคนภายในเราอยู่กัน กลางวันก็มาทำบุญกัน

    " เอ้าทีนี้ตอนในหลวงกับสมเด็จเสด็จนี่ ตอนเสด็จนี่มีใครตามเสด็จครับ นอกจากสมเด็จ 2 พระองค์แล้วมีใครครับ "

    ก็มีฟ้าหญิงจุฬาภรณ์กับพระเทพฯ นี่ 2 องค์ ไอ้ฉันก็เป็นพระตื่นด้วย อยู่ที่นวราชตื่น พระก็อยู่เป็นกระจุกที่นี่น่ะ ไม่ได้ปล่อยพระเพ่นพ่านไปไหนเลย มีหลวงพ่อรับแขกอยู่ในโบสถ์ พอรับแขกได้นานหน่อยก็ ทางจังหวัดหาว่าหลวงพ่อล๊อคตัวในหลวงไว้ หลวงพ่อเก่งนะ ล็อคตัวในหลวงไม่ให้ไปไหน

    " แล้วเรื่องจริงๆ เป็นยังไง ล๊อคหรือเปล่า หรือยังไง "

    หลวงพ่อก็คุยกับในหลวง ในหลวงก็ทรงปรารถว่าห่วงบ้านเมือง เรียกว่าคอมมิวนิสต์ยังเยอะอยู่น่ะ ท่านก็บอกว่าบ้านเมืองไม่มีอะไร ไม่เป็นขี้ข้าของรัสเซียหรอก ของจีนแดงอะไร ท่านรับรอง แต่ต่อไปน้ำมันจะปรากกฏขึ้น แต่ปรากฏขึ้นทีละน้อย เพราะคนยังโกงกันอยู่

    " ตอนในหลวงกับสมเด็จเสด็จมานี่ก็แวะที่โบสถ์วัดเก่าก่อน แล้วเสร็จแล้วถึงจะเดินมาที่โบสถ์ใหม่ ตอนเดินมานี่ก็มีเจ้าอาวาสเก่าเดินนำหน้า แล้วก็ตอนนั้นกลดไม่กาง หุบกลดมา เข้าวัดไม่กางกลด หุบกลดมาเลย ที่ว่าฝนโบกขรพรรษตกนี่ช่วงนี้แหละ "

    ตกจริงๆ เราก็เพิ่งเคยเห็นนี่แหละ เม็ดโป้งๆเลยนะ

    " เข้ามาแล้วก็เข้าโบสถ์ก่อน คุยกับหลวงพ่อ เสร็จแล้วถึงออกไปเททอง เททองเสร็จก็ไปทักทายญาติโยม แล้วก็ราษฏร แล้วเสด็จกลับ "

    คล้ายๆ กับมันเริ่มที่วัดเราหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ ที่ทำบุญกลางถนนกันนี่ พวกเรามันพวกนักบุญอยู่แล้ว นี่ก็ทำบุญกลางถนน ในหลวงก็รับ รับกันเรื่อยเปื่อยตอนนี้เอง ในหลวงรับกับมือเอง มันเพิ่งเริ่มที่นี่ ฉันไม่เคยเห็นที่ไหนนะ

    " แต่หลวงพ่อเคยบอกว่าเริ่มต้นจากวัดท่าซุง ในหลวงเริ่มรับแบงค์จากมือประชาชน เริ่มครั้งแรกที่วัดท่าซุง เคยพูดที่ซอยสายลมไว้ "

    แต่ก่อนไม่เคยเห็นน่ะ เดินไปก็รับไปเรื่อยๆ

    หลวงพ่อพระราชภาวนาโกศล(อนันต์ พทฺธญาโณ)

    (จากคอลัมภ์ "จากคำบอกเล่า" ธัมมวิโมกข์ ตุลาคม 2538)


    king.jpg 15135969_198719500583214_8258895828383652390_n.jpg 15056263_198719340583230_7424158467060223570_n.jpg
     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,411
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๖๐ พระราชภาวนาโกศล เล่าเรื่องลูกชายลูกหญิง ที่วิหาร๑๐๐ เมตร วัดท่าซุง

    มูลนิธิศิษย์วัดวีระโชติธรรมาราม
    Published on Jul 12, 2017
    หลวงพ่อท่านเจ้าคุณพูดถึงลูกหญิงลูกชายของหลวงพ่อพระราชพรหมยานกี่คน อยู่ที่ใดบ้างจะไปนิพพานกันกี่คน ฟังเอานะ
    เพลงรัก-หลวงพ่อพระภาวนากิจวิมล

    เบื้องบาท พระยุคล
    Published on Feb 10, 2014

    วีดีโอชุดนี้ จัดทำขึ้นเพื่อน้อมบูชาพระกรุณาคุณ แห่งองค์หลวงพ่อท่านเจ้าคุณพระภาวนากิจวิมล เจ้าอาวาส วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี ที่มีต่อลูกหลานอย่างหาประมาณมิได้ด้วยดีเสมอมา น้อมกราบแทบบาทของหลวงพ่อครับ


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กุมภาพันธ์ 2018
  5. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    112
    ค่าพลัง:
    +225,709
    15027483_198722537249577_8125976291103776588_n.jpg 15055886_198721033916394_7868067454073727455_n.jpg 15027857_198722397249591_1873454515080345447_n.jpg
    เรื่องหลวงปู่ชุ่มเข้านิโรธสมาบัติ

    พระผู้ใหญ่ที่หลวงพ่อแนะนำส่วนมากเป็นพระอรหันต์ทั้งนั้นนี่ ที่เข้านิโรธสมาบัติก็ครูบาชุ่มนี่เอง แหม..สมัยก่อนนี้ไม่มีใครเขาพูดหรอกเข้านิโรธสมาบัติ หลวงพ่อนี่ก็...หมายความว่ายังไงล่ะ ไอ้เราเองก็ไม่มีปัญญาใช่ไหม หลวงพ่อเข้านิโรธสมาบัติให้หน่อยนะ อย่างนั้นอย่างนี้ ต้องคนเก่งกับพวกเก่งคุยกัน

    หลวงพ่อบอกว่าให้หลวงปู่ช่วยสงเคราะห์ลูกหลานด้วยเถอะ ลูกหลานจะได้ทำบุญกับพระที่เข้านิโรธสมาบัติอะไรอย่างนี้ หลวงพ่อบอกให้ครูบาชุ่มเข้า ครูบาชุ่มท่านบอกว่าป่วย บอกไม่ไหว ร่างกายไม่ดี หลวงพ่อก็บอกว่าหลวงปู่ ถ้าห่วงร่างกายละก็ ไม่ต้องเข้าหรอก แหม โดน อีไม้เข้าหลวงปู่.....(หัวเราะ)

    " ลิ้นการฑูตจริงๆ จะพลิกพลิ้วชิวหาเป็นอาวุธ "

    ท่านเข้าในอิริยาบท 4 หรือไงนะ เข้าในอิริยาบท 4 นี่ ยืน เดิน นั่ง นอน 7 วัน ทีนี้พอเข้าเสร็จนี่ โอ้โห คนไปนี่นะ หามกันไป ทันมั่ง ไม่ทันมั่ง เป็นพันเป็นหมื่นละมั๊ง ได้เงินกี่แสนก็ไม่รู้ สองสามสี่แสนหรือเปล่าไม่รู้

    พอหลวงพ่อบอกเข้านิโรธสมาบัตินี่ เราเกิดมายังไม่เคยได้ยินเลยว่าพระเข้านิโรธสมาบัติเป็นยังไง คนแตกตื่นกันไป ทีนี้เพื่อนฉันนี่ก็อยู่วัดขุยโพธิ์ เป็นพระ ก็ไปกับเขามั่ง ไปทำบุญกับหลวงปู่ชุ่ม พระจะไปเบียดโยมอยู่ยังไงล่ะ พวกก็คว้าหลวงปู่แห่ไปไหนต่อไหนแล้ว พระก็ตาลีตาเหลือกอดข้าวอดปลากัน ไปแย่งอะไรเขาไม่ได้ สายสิญจน์นี่พวกแย่งกันกระจุยหมด เพื่อนฉันก็ไม่ได้อะไรกับเขา ไปเห็นไอ้ที่เขาเรียกว่า ขัดแตะ ภาษา บ้านนอกเขาเรียกว่าขัดแตะ ไม้ไผ่ที่ทำลูกกรงรอบเป็นซี่บางๆ ขัดแตะทำเป็นลูกกรงที่กระท่อมที่ท่านอยู่น่ะ เขาปลูกกระท่อมพิเศษให้ท่านเข้าไปอยู่ ไอ้นี่เขาไม่ได้อะไรก็เอาไม้ขัดแตะมาหน่อยวะ เอาไม้ขัดแตะมาเป็นที่ระลึก

    พอกลับมาบ้านก็เอามาไว้ที่บ้าน มาให้โยม บ้านท่านอยู่อุตรดิตถ์ พระเดชะนี่อยู่อุตรดิตถ์ พ่อแกสมัยเป็นหนุ่มๆ ไม่หนุ่มแล้ว อาจจะแก่แล้วละ ก็ไปกับอา ไปขุดได้ลายแทงสมบัติมา ก็ไปขุดกัน ไอ้อาหนุ่มก็ขุดอยู่ข้างล่าง ไอ้พี่ชายอยู่ข้างบน พอขุดไปได้สักเมตรนึงนี่ ก็ไปเจอรากไม้ ไอ้อาขุดนี่เจอรากไม้ ไอ้พี่ชายก็บอก เฮ้ย ทองคำนะมึง เอาขึ้นมาเลย(หัวเราะ) ไอ้อาอยู่ข้างล่างก็บอก นี่มันรากไม้ ทองคำอะไรเล่า อยู่ข้างบนเห็นเป็นทองคำ พอเถียงกันน่ะ เสียงลมพัดอื้ดๆๆ มายืนถือกระบองจังก้า อีตอนนี้เอง เผ่นไม่รู้ทองคงทองคำแล้ว(หัวเราะ) คนละทางสองทางแล้ว

    แล้วพอถึงวัน 15 ค่ำนี่ ไอ้เจ้าของนี่มันจะมา ลูกน้องท้าวเวสสุวรรณหรือเปล่าไม่รู้ มันจะมาทวงที่บ้าน มันจะมาหมาจะหอนกันเกรียว แล้วไอ้น้องสาวนี่พอผีเข้ามันจะบีบคอตัวเอง มันจะบีบคอต้วเองให้ตาย จะผูกคอตายอยู่เรื่อย ถึงเวลาก็ต้องทำพิธีกันใหญ่ตอนนั้นน่ะ ก็หนี ไม่ตายสักที เกือบตายทุกที

    ทีนี้เจ้าเดชะนี่ก็เอาไม้ขัดแตะมาให้ที่บ้าน พอมาให้ที่บ้านปุ๊บ ไอ้ผีนี่ขึ้นเรือนไม่ได้ มันวนรอบบ้าน ขึ้นไม่ได้่ เอชักดีแล้ว ไม้อันเดียวขึ้นไม่ได้แล้ว ทีนี้ทำยังไง เอาไว้ที่รั้วบ้าน เอาสายสิญจน์โยงรอบ สองสามเที่ยว ไม่มาเลย เดี๊ยวนี้ไม่มาเลย เจอไม้ขัดแตะหลวงปู่ชุ่ม

    หลวงพ่อพระราชภาวนาโกศล(อนันต์ พทฺธญาโณ)

    (จากคอลัมภ์ "จากคำบอกเล่า" ธัมมวิโมกข์ ตุลาคม 2538)


    13411902_10154282399274329_8969500072019728150_o.jpg

    เรื่อง หลวงพ่อเข้านิโรธสมาบัติ

    หลวงพ่อท่านบอกกับฉันนี่ 2 ครั้ง แต่ท่านเข้าเป็นอาจินต์ทุกวัน ท่านบอกเข้าแล้วนี่ ความเป็นอยู่ของคนจะดีขึ้น เพราะว่ามีลาภมาก

    ที่นี่เคยเข้า ท่านเคยเล่าครั้งหนึ่งนะ ฉันถามท่าน มีอยู่วันหนึ่งรับแขกมาก มันเพลียร่างกายไม่ดี ท่านขึ้นไปนอนข้างบนโน่น ก็เข้าทีนี้เวลารับแขกตอนทุ่มหนึ่งนี่ พระก็ไปปลุก หลวงพ่อครับๆ ท่านก็ตัวแข็ง ดาบตระกูลก็บอก ผมเองๆ หลวงพ่อครับๆ หลวงพ่อก็ตัวกลิ้งไปกลิ้งมา แต่ก่อนก็จับขาเฉยๆ ดาบตระกูลจับตัวเลย หลวงพ่อครับๆ กลิ้งไปกลิ้งมา ไม่ตื่น ดาบตระกูลก็บอก กูไม่เอาแล้วอย่างนี้ ไปไกลแน่ (หัวเราะ)

    ทีนี้กลับไป เราก็ถามหลวงพ่อครับ ได้ข่าวว่าหลวงพ่อปลุกไม่ตื่นเลยที่สายลม หลวงพ่อเพลียมากใช่ไหมครับ ท่านบอก ไม่ใช่ เข้านิโรธสมาบัติลึกไปหน่อย ร่างกายมันเพลียมาก ร่างกายไม่ไหว นี่ท่านบอกกับเราครั้งหนึ่งนะ

    ครั้งที่สองที่ชิคาโก คือ หลวงพ่อนี่ลำไส้จะเหมือนกับกระบอกที่มันไม่บีบรัดอย่างนี้ มันเหมือนกระบอกเฉยๆ กระบอกข้าวหลาม มันไม่บีบรัด อาหารไม่ย่อย พอฉันอะไรไปแล้วนี่อาหารมันจะเป็นพิษ มันไม่สลายตัว ไม่ย่อย ต้องเอาน้ำสบู่กับดีจรเข้ ยาดำ เรานี่ดีจรเข้หน่อยนึงกับยาดำก็โอ้โห วิ่งโจนทะยานแล้ว ใช่ไหม ของท่านยาดำ ดีจรเข้ กับน้ำสบู่ผสมกัน แล้วก็สวนทวาร สวนครั้งหนึ่งประมาณ 1,200 ซีซี มันไม่ออก ก็ทำไงล่ะ มันไม่เอิ๊กไม่อ๊าก มันก็ทรมาน ท่านก็บอก เอ้อ เอาชีวิตมาทิ้งเสียที่นี่ซะแล้วมั๊งนี่ ท่านก็เข้าดับทุกขเวทนาไปเลย เข้านิโรธสมาบัติบ้านนั้นไปเลย ท่านก็เล่าว่าบ้านนี้เป็นอะไร เคยมีพระพุทธเจ้ามา มีพระอรหันต์มา เป็นมงคลใหญ่ ที่ชิคาโกนะ นั่นก็ครั้งหนึ่ง

    ทีนี้ก็ทำบุญใหญ่ละสิ พอรู้ว่าเข้านิโรธสมาบัติ คือเข้าแล้วทำบุญกันหลายคน ความเป็นอยู่คล่องตัว ถ้าคนเดียวก็จะรวยไปเลย ตามพุทธกาลนะ

    " แล้วไอ้สบู่ออกไหมครับวันนั้นน่ะ "

    ไม่ออกเป็นวันเหมือนกัน โอ้โห ทรมาน

    ครั้งที่ 3 นี่ก็ตอนป่วยอยู่ที่วัด ท่านประทีปก็นอนเฝ้าอยู่ เราก็เห็นนอนหลายวัน เราก็ไปเปลี่ยนมั่ง เราก็บอกว่า เออ..ทีป วันนี้ท่านนอนไปเลย ผมจะอยู่ดูหลวงพ่อเอง ท่านก็ป่วยมาก สักตีสองได้ท่านลุกมาเข้าห้องน้ำ เราก็ประคองเข้าห้องน้ำ เสร็จแล้วก็ไปนั่งที่เตียง ท่านบอก นันต์ ข้าไมได้นอนตั้งแต่หัวค่ำเลยวันนี้ พระพุทธเจ้ามาให้เข้านิโรธสมาบัติตั้งแต่หัวค่ำ เราก็โอ้โฮ พูดถึงนิโรธสมาบัตินี่ หูผึ่งเลย ย่ามเยิ่มไม่ได้เอาเงินทองเข้ามาสักบาทเลย นึกอยู่ ถ้ากูทำวันนี้กูรวยตายเลย(หัวเราะ) นึกรวยเหมือนกัน กูรวยตายเลย ไม่มีใครรู้เท่ากูเลยวันนี้ พอเราคิดอย่างนั้น ท่านบอก เออ..ไม่เป็นไรหรอก เพื่อประโยชน์ของส่วนรวม ความเป็นอยู่เป็นสุขทั้งตัวเราเองและคนอื่น

    พอคุยไปได้สักประเดี๊ยวท่านก็บอก นันต์ สร้างประสาททองคำนะ เราก็เอ๊ะ หลวงพ่อครับ สร้างตรงไหนครับ โรงอิฐน่ะ สร้างตรงโรงอิฐ ตอนนั้นมันก็เป็นโรงอิฐ หลวงพ่อทำอิฐบล๊อกอยู่ เราก็คิดว่าหลวงพ่อสร้างประสาทแก้วแล้ว จะสร้างประสาททองคำบ้างอะไรบ้างนี้ ก็ไม่รู้ พอท่านบอกเท่านั้นเราก็เก็บเอาไว้ในใจ หลวงพ่อมาสายลมท่านก็ไม่พูด ไม่เห็นพูดที่ไหนนะ มาบอกกับเราตอนท่านเข้านิโรธสมาบัติ

    พอหลวงพ่อมรณภาพก็มาคุยกับพระ พระสุรจิตคุมงานก่อสร้างก็บอกว่า หลวงพ่อชี้เหมือนกันตรงโรงอิฐ ให้สร้างที่สำหรับเก็บพระพุทธรูป เราก็นึกว่า เออ หลวงพ่อนี่บูชาพระพุทธเจ้าด้วยทองคำ ก็คงจะสร้างประสาทนี่เอาไว้พระพุทธรูป ทีนี้ก็ลงมือ ให้พระสามารถออกแบบอะไรต่ออะไรด้วย เริ่มทำกันมา ก็คงจะไม่มีปัญหาอะไรหรอก ปัญหาก็มีอยู่ว่าช่างน้อยไปสักหน่อย ช่างมี 15 คน โอ้โห หลังใหญ่ มันไม่ทันกินเลย เราก็แหม อย่างน้อยสักร้อยนึงถึงจะไปถึงโน่นถึงนี่ได้ มันช้า

    " วันนั้นเอาอะไรถวายหลวงพ่อหรือเปล่า ออกจากนิโรธสมาบัติ "

    ไม่มีสักบาทหนึ่งเลย ก็ไปนอนเป็นเพื่อนท่าน ไม่ได้มีอะไรไปเลย(หัวเราะ) พอคิดในใจว่าไม่มีเงินสักบาทหนึ่ง ท่านก็บอก เออไม่เป็นไรหรอก เพื่อประโยชน์ของคนส่วนรวม ความเป็นอยู่เป็นสุขของตัวเราเอง สอง เพื่อประโยชน์ของคนส่วนรวมอะไรอย่างนี้ พอคิดในใจท่านก็ตอบแล้ว

    " นึกว่าจะไปเปิดก๊อกน้ำ เอาน้ำมาถวายตอนออกนิโรธสมาบัติ นึกว่าจะถอดจีวงจีวรถวายสักหน่อย "

    จะโดนตะพดหงายท้องผึ่ง (หัวเราะ)

    หลวงพ่อพระราชภาวนาโกศล(อนันต์ พทฺธญาโณ)

    (จากคอลัมภ์ "จากคำบอกเล่า" ธัมมวิโมกข์ ตุลาคม 2538)


    22096129_862324633926330_2634979945036141347_o.jpg
     
  6. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    112
    ค่าพลัง:
    +225,709
    b.jpg

    หลวงพ่อดุมากๆ


    มาหาท่านครั้งแรก ไอ้เรามันไม่เคยเจอพระดุ เราก็เดี๋ยวจะไปเดี๋ยวจะถามยังงั้นยังงี้นะ รู้จักหลวงพ่อจากอ่านหนังสือหลวงปู่ปานอย่างเดียวครั้งแรกเลย ตอนนั้นบวชแล้วสิ มาท่านก็เลี้ยงหมาก๊อกก๊อก ฉันเพลเสร็จ ท่านจะมาเลี้ยงหมาท่านเป็นกะละมังๆเลยมาตักทำเองเลย ท่านบอกให้พระเลี้ยงนี่หมามันจะติดสีเหลือง อย่างน้อยก็เป็นเทวดา เสร็จแล้วก็ไปล้างชามท่าน้ำนั่นน่ะ เลี้ยงปลาอีกทีเรียกว่าปลาตะเพียนทอง มันก็มากิน ล้างกะละมังเสร็จก็กลับ

    เราไปใหม่ก็ไปนั่งรับท่านข้างใน โอ้โหตาท่านคมกริบ มองเพ่ง....ไอ้คนสมัยนี้มันบวชเป็นพิธีกรรมเท่านั้นแหละ มันบวชมันกลัวมีเมียไม่ได้มันถึงบวช ว่าเราหรือเปล่าวะเนี่ย ว่าเราหรือเปล่า(หัวเราะ) แข็งปั้กลงมาถึงใจเลยนะ ตอนหลังนี่

    " เดี๊ยวสิ เดี๊ยวสิ หลังจากนั้นมีอะไรต่อหรือเปล่า "

    ตอนนี้บอกไม่ได้ (หัวเราะ) เป็นความลับพูดเป็นสาธารณะชนไม่ได้ (หัวเราะ) โอ้ ท่านจวกปั๋งๆๆมาเลย

    " โดนดีเลยนะ "

    พระครูสุรินทร์ท่านก็มาฝากบอกว่าฝากด้วยพระท่านอยากจะปฏิบัติธรรม ท่านบอกระงับนิวรณ์ได้หรือยัง เราบอกนิวรณ์นี่อะไรวะ (หัวเราะ) ไม่ต้องรู้ว่ามีอะไรเลย คือ ไม่รู้เรื่องเลย

    " เรียกว่ามาอย่างบริสุทธิ์เลยนะ...แหม..เอ้ออย่างนี้ก็ดีนะ ลูกหลานจะได้รู้ไว้ "

    เราบอกอะไรวะ ตัวอะไรวะ ไม่รู้เรื่องเลย

    " นี่ต้องอย่างนี้เจ้าอาวาสต้องเก่งมาอย่างนี้นะ "

    บอกหลวงพ่อครับญาติผมที่อยู่นี่นครสวรรค์ แล้วก็แถวๆนี้มโนรมย์นี่มีญาติเยอะครับ มีพี่น้องอยู่แถวนี้ครับ ท่านบอกเออพี่น้งพี่น้องไม่สำคัญน่ะ ระวังนะอย่าฟังเสียงนกเสียงกาหมาเห่าหมาหอนให้มากนักนะ

    เราก็เอ..หมายความว่ายังไงวะ คิดไปคิดมาพี่น้องเราด่าหลวงพ่อทุกคนเลย (หัวเราะ) ก็พี่น้องเราอยู่แถวนั้นใช่ไหม พี่น้องเกลียดหลวงพ่อทั้งนั้น ท่านถึงบอกว่าอย่าฟังหมาเห่าหมาหอนมากนัก

    ทีนี้วันแรกก็ ไอ้เราก็ส่วนมากอาบน้ำแม่น้ำน่าน มาถึงที่นี่มันก็น้ำประปาใช่ไหม ไอ้ตรงพระฉันเก่า มันมีอยู่ห้องหนึ่ง ก็อาบซู่ๆ ออกมา ฮื่อน้ำท่ามันก็มีอยู่ข้างๆไม่ใช้ สำอางค์มาอาบน้ำนี่ (หัวเราะ)

    " อู้ฮู้ ประเดิมใหม่ๆเลยหรือ "

    อู้ฮู้ จวก..เขาให้คนอาบน้ำในแม่น้ำไงเล่า แถวนั้นเขาอาบน้ำในแม่น้ำกันทั้งนั้น ตั้งแต่นั้นเข็ดเลยไม่อาบอีกแล้ว (หัวเราะ) ต้องอาบน้ำที่แพ ท่านประหยัด แถวนั้นไม่มีปลูกดอกไม้อะไรหรอก ตึกเสริมศรีนะ เพราะว่าท่านให้ตักน้ำในแม่น้ำมารดนี่ (หัวเราะ) น้ำก๊อกอะไรนี่ท่านไม่ให้รดหรอก เพราะว่าเปลืองมันต้องใช้คลอรีน ต้องใช้ไฟฟ้าสูบมา ใครจะขยันนักล่ะ

    ทีนี้บางคนก็เอาน้ำประปาไปล้างรถ พอท่านเห็นท่านก็จวกเอา ไอ้ขี้ข้าไอ้พวกนี้ โอ้ด่าเจ็บทั้งนั้นเลย

    " เรียกว่าล้างทีเดียวชาตินี้ไม่ได้ล้างอีกต่อไปเลย "

    ท่านเป็นคนละเอียดถี่ถ้วน ใช้คุ้มค่า เงินที่บริจาคไปนี่ใช้คุ้มค่าไม่ฟุ่มเฟือย ท่านละเอียดเรื่องเงิน แล้วไม่ไว้ใจคนหรอกเรื่องเงินน่ะ ต้องรู้ทุกอย่างเรื่องเงินทอง

    ทีนี้ก็เอ๊ะทำไมถึงดุ ชักกลัวละสิคราวนี้ ทีนี้ลงเทศน์เมื่อไรเอาเมื่อนั้น (หัวเราะ) ก็เทศน์กันที่แคบๆ นี่อย่างกับห้องนี้ มันเล็กกว่าอีกนี่

    " ไม่มีทางหลบเลยหรือครับ "

    ก็หนีกันไม่จนหรอกมองเห็นกันหมด

    " อ๋อ..คนน้อยก็เทศน์คนมากก็เทศน์ "

    เทศน์ลงทุกวัน เราคุยกันอย่างนี้เราจะรู้เราคุยอะไรกันบ้าง ทีนี้มีพี่สะใภ้ท่านอยู่คนหนึ่ง ท่านก็เทศน์เรื่องอะไร เรื่องคนในครัวนะ เออ..พระท่านก็บิณฑบาตมานะ ท่านก็ฉันอย่างนั้น แต่อีแม่ครัวจัญไรนี่สิ มันต้องทำพิเศษกินอีก ท่านก็ว่า เราก็แหม...กูว่าแล้วมันต้องยายนี่แน่ เต็มที่เลย (หัวเราะ)

    พอตกกลางคืนเอาใหม่ท่านเทศน์อีก ให้ทุกคนมันดูตัวมันนั่นแหละไม่ใชไปดูตัวบุคคลอื่น ดูจิตของตัวเอง ไอ้ตัวมันเองดูตัวเองซะบ้าง อู้ฮู้..ว่ากูนี่หว่านี่ (หัวเราะ) ไม่ต้องไปฟ้องนะ คิดในใจนะ เราคุยกันนึกๆว่าโอ้ว่ายายคนนั้นแหละ

    ครูบาอาจารย์นี่รู้จริงไม่มีโมเม ตอนหลังหลังนี่ชักเบาแล้ว ซักห้าปีสิบปีนี่นะ เบาเรื่องนี้ เมื่อก่อนนี่นะโอ้โฮ เรียกว่าพรรษาแรกพูดกันไม่รู้เรื่อง ว่าเอ๊ะหลวงพ่อทำไมถึงสั่งงานอย่างเดียวกันนี่สามคนสี่คน สั่งคนนี้ พอเจอเราสั่ง เจอพี่โอสั่ง แต่งานอย่างเดียวกัน มันเบลอเพราะกลัวกันนี่ เดี๋ยวมันไม่ทำ มันเบลอ มันกลัวจนลานเกินไป

    " เรียกว่าพอเข้าไปใกล้ พอสั่งอะไรก็ ครับ ครับ ครับ "

    พระฉันอาหารกันท่านดูว่าเออ...พระฉันอาหารมีรสชาติอย่างไรบ้าง เป็นห่วง แต่เมื่อฉันเสร็จแล้วสักพักหนึ่ง ท่านบอกว่าได้ยินเสียงหมามันกัดกันหรือไงนี่ (หัวเราะ)

    " อู้ฮู้ ใช้ศัพท์อย่งนั้นเลยหรือครับ "

    ใช้อย่างนี้ กินข้าวดังจ๊วบๆนี่มันไม่ใช่คน ไม่ใช่พระหรอก คนก็ยังเลวเกินไป นี่เขาเรียกหมู หมูคือสัตว์เดรัจฉาน อู้ฮู้

    (หลวงพ่อดุมาก พระที่อยู่ทันหลวงพ่อกลัวมาจนทุกวันนี้)



    หลวงพ่อพระราชภาวนาโกศล(อนันต์ พทฺธญาโณ)

    1625568_590138941071239_1685093930_n.jpg
    เรื่องพิธีสะเดาะเคราะห์


    สะเดาะเคราะห์นี่มันเป็นการบำเพ็ญ ไม่ใช่รับเคราะห์แทนเขานี่ ต้องเชื่อกฏของกรรมอย่งที่พระพุทธเจ้าตรัส ไม่ใช่ว่าพอทำพิธีสะเดาะเคราะห์แล้วเคราะห์มาเข้าตัวเองอะไรอย่างนี้

    พิธีสะเดาะเคราะห์คือทำความดีหนีความชั่ว หมายความว่าช่วงจังหวะนี่ อกุศลกรรมมันจะมาทันเราพอดี ทันพอดีเลยเวลานี้ เราเดินมาพอดีมันก็ถึงพอดี แต่ถ้าเราวิ่งไวกว่ามันก็พลาดเหมือนกัน คือวิ่งสปีดให้มันไวกว่าปกติสักหน่อย

    มีอยู่คราวหนึ่งไปชลบุรีกับหลวงพ่อ มีหลวงพ่อ หลวงปู่ธรรมชัย ฉัน แล้วก็หลวงพี่โอ หลวงพ่อบอก เฮ้ย ! สามโมงออกเดินทางนะ สามโมงปุ๊บนายทหารชั้นผู้ใหญ่ก็มา จะเจิมนั่นจะเจิมนี่ จะให้หลวงปู่ธรรมชัยเจิม

    หลวงพ่อท่านก็บอก " หลวงปู่ เวลาก็ต้องเป็นเวลาไป "

    หลวงปู่ก็งง (หัวเราะ) หลวงพ่อดุนี่

    " อ๋อ..หลวงปู่นี่เคยถูกดุเหมือนกันเหรอครับ "

    โดน (หัวเราะ) หลวงปู่ธรรมชัยนะ หลวงปู่ธรรมชัย พอมาในรถท่านก็บอกตอนสามโมงน่ะ ที่ออกสามโมงนั่นน่ะ มันจะคลาดกันที่ตรงไหน รถมันจะชนกัน ถ้าเราไปช่วงหลังจากนั่นน่ะมันจะชนกัน ตรงนั้นเราไปไปชนกันพอดี เราไปช่วงนี้มันจะคลาดกันตรงนั้น

    สะเดาะเคราะห์มันมีอะไรล่ะ เราไม่ได้เรียกเป็นเงินเป็นทองห้าบาท สิบบาท ร้อยบาท พันบาท แต่แสนบาทเราก็เอาใช่ไหม (หัวเราะ)

    การเจริญภาวนาก็ถือว่าเป็นบุญ การฟังพระสวดอภิธรรมก็ถือว่าเป็นบุญ มีอานิสงส์ใช่ไหม การรักษาศีลก็ถือว่าเป็นบุญสะเดาะห์เคราะห์ เดินมานี่ให้ภาวนาพุทโธ ก็เป็นพุทธานุสสติเป็นบุญใหญ่ ไม้ที่แตะนี่ (คธาเสก) ก็พระพุทธเจ้าทำใช่ไหม ก็เป็นพุทธานุสสติ บุญสามสี่อย่างมารวมกันนี่ มันก็มากกว่าธรรมดา มันก็เพิ่มพลังขึ้น ทำให้หนีได้เร็วขึ้น ไวขึ้น เอ้าหมดเวลาแล้วหรือ แหม กำลังมีเรื่องคุยหมดเวลาเสียได้

    หลวงพ่อพระราชภาวนาโกศล(อนันต์ พทฺธญาโณ)


    (จากคำบอกเล่า ธัมมวิโมกข์ สิงหาคม 2537)

    0-nvgtGXeJYZSLS1RP.jpeg
     
  7. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    112
    ค่าพลัง:
    +225,709
    เรื่องพิธีสะเดาะเคราะห์


    สะเดาะเคราะห์นี่มันเป็นการบำเพ็ญ ไม่ใช่รับเคราะห์แทนเขานี่ ต้องเชื่อกฏของกรรมอย่งที่พระพุทธเจ้าตรัส ไม่ใช่ว่าพอทำพิธีสะเดาะเคราะห์แล้วเคราะห์มาเข้าตัวเองอะไรอย่างนี้ พิธีสะเดาะเคราะห์คือทำความดีหนีความชั่ว หมายความว่าช่วงจังหวะนี่ อกุศลกรรมมันจะมาทันเราพอดี ทันพอดีเลยเวลานี้ เราเดินมาพอดีมันก็ถึงพอดี แต่ถ้าเราวิ่งไวกว่ามันก็พลาดเหมือนกัน คือวิ่งสปีดให้มันไวกว่าปกติสักหน่อย

    มีอยู่คราวหนึ่งไปชลบุรีกับหลวงพ่อ มีหลวงพ่อ หลวงปู่ธรรมชัย ฉัน แล้วก็หลวงพี่โอ หลวงพ่อบอก เฮ้ย ! สามโมงออกเดินทางนะ สามโมงปุ๊บนายทหารชั้นผู้ใหญ่ก็มา จะเจิมนั่นจะเจิมนี่ จะให้หลวงปู่ธรรมชัยเจิม

    หลวงพ่อท่านก็บอก " หลวงปู่ เวลาก็ต้องเป็นเวลา ไป "

    หลวงปู่ก็งง (หัวเราะ) หลวงพ่อดุนี่

    " อ๋อ..หลวงปู่นี่เคยถูกดุเหมือนกันเหรอครับ "

    โดน (หัวเราะ) หลวงปู่ธรรมชัยนะ หลวงปู่ธรรมชัย พอมาในรถท่านก็บอกตอนสามโมงน่ะ ที่ออกสามโมงนั่นน่ะ มันจะคลาดกันที่ตรงไหน รถมันจะชนกัน ถ้าเราไปช่วงหลัง จากนั่นน่ะมันจะชนกัน ตรงนั้นเราไปไปชนกันพอดี เราไปช่วงนี้มันจะคลาดกันตรงนั้น

    สะเดาะเคราะห์มันมีอะไรล่ะ เราไม่ได้เรียกเป็นเงินเป็นทองห้าบาท สิบบาท ร้อยบาท พันบาท แต่แสนบาทเราก็เอาใช่ไหม (หัวเราะ) การเจริญภาวนาก็ถือว่าเป็นบุญ การฟังพระสวดอภิธรรมก็ถือว่าเป็นบุญ มีอานิสงส์ใช่ไหม การรักษาศีลก็ถือว่าเป็นบุญสะเดาะห์เคราะห์ เดินมานี่ให้ภาวนาพุทโธ ก็เป็นพุทธานุสสติเป็นบุญใหญ่ ไม้ที่แตะนี่ (คธาเสก) ก็พระพุทธเจ้าทำใช่ไหม ก็เป็นพุทธานุสสติ บุญสามสี่อย่างมารวมกันนี่ มันก็มากกว่าธรรมดา มันก็เพิ่มพลังขึ้น ทำให้หนีได้เร็วขึ้น ไวขึ้น เอ้าหมดเวลาแล้วหรือ แหม กำลังมีเรื่องคุยหมดเวลาเสียได้


    หลวงพ่อพระราชภาวนาโกศล(อนันต์ พทฺธญาโณ)

    (จากคำบอกเล่า ธัมมวิโมกข์ สิงหาคม 2537)


    3929_514885891855445_17944783_n.jpg

    หลวงพ่อใจถึง

    หลวงพ่อท่านมีชีวิตอยู่ถามอะไรไม่มีอะไรที่เป็นที่ข้องใจ เพราะท่านสงสัยมามากกว่าเราร้อยเท่าท่านค้นคว้ามาเยอะ ไอ้เราสงสงสัยไม่เท่าท่านหรอก เดิมหลวงพ่อเป็นคนไม่เชื่ออะไรง่ายๆใช่ไหม

    สมัยก่อนจะเล่าให้ฟังเรื่องหนึ่ง สมัยท่านเป็นเด็กรุ่นๆอย่างเรายังไม่กล้าเท่าท่านหรอก เด็กรุ่นๆวัยรุ่นนี่นะเขาบอกว่าท่านไปเลี้ยงควาย ทีนี้คนเก่าๆเขาสักกันใช่ไหม สักตามตัวนี่

    " ลุงๆ สักทำไมไอ้นี่นะ "

    " สักไว้เหนียว ฟันไม่เข้า ยิงไม่ออก "

    พอเผลอๆท่านก็ฟันเบ้งเลยฟันด้วยขวานนะ โอ..เข้าหรือเปล่าท่านไม่เล่าหรอก อย่างเราจะไปกล้าลองหรือน่ะ บอกว่าเหนียวฟันเลยฟันด้วยขวาน แหม...ขวานนี่หนักกว่าดาบนะ ถึงไม่เข้าก็เลี้ยงไม่โตเลยล่ะ

    " แสดงว่าหลวงพ่อนี่ตอนวัยรุ่นนี่น่าดูเหมือนกันคงจะเฮี้ยนน่าดูเหมือนกันนะ "


    ก็คุยว่าอย่างนั้นนี่คุยว่าเหนียวนี่ เดี๊ยวจะเล่าเรื่องใจถึงไปยิงเสือโดดให้ฟัง

    เสือโดดนี่เขาว่ามันเหนียวมันเป็นเจ้าพ่อสมัยโบราณ ถ้าเรียกเจ้าพ่อหมายถึงเสือปล้น เรียกว่าไปหมู่บ้านไหนตำบลไหนนี่ คนก็ต้องนั่งราบหมดแล้วลูกน้องพกปืนสองกระบอก

    ทีนี้ตำรวจเขาก็มาหา มาตามท่านให้ไปปราบเสือโดด ท่านก็ไปกันกับเพื่อนสองคนไปถึงมันต่างถิ่นใช่ไหมต่างอำเภอต่างจังหวัดนี่ เขามีงานวัดกันพอดีท่านก็บอกท่านไปจีบแม่ค้าอ้อยควั่น ไปนั่งจีบแม่ค้าตามแถวบ้านนอกเขามีแม่ค้าอะไรต่ออะไร ทีนี้ท่านก็นั่งกินอ้อยควั่นอยู่ซักประเดี๊ยวคนดูลิเกก็นั่งราบไปหมดนั่งราบกันไปหมด ก็ถามแม่ค้าใครมานี่แม้ค้าบอก " เสือโดดมาแล้ว เสือโดดมา "

    ท่านก็กินไปซักประเดี๊ยวก็เข้าไปหายกมือไหว้เสือโดด คนมันเต็มไปหมดเลยลูกน้องเดินไข่วไปหมด บอก

    " พี่ครับ ผมฝากเนื้อฝากตัวด้วยผมเป็นคนต่างถิ่นมาเขตพี่ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ "

    แล้วมองไปที่เอวเสือโดด

    " โอ...พี่ใช้ปืนรุ่นใหม่เชียวรึนี่ "

    เสือโดดบอก " เด็กๆเขาหามาให้ "

    บอก " พี่ๆ ขอดูหน่อยได้ไหม "

    เสือโดดก็ควักปืนให้ดู

    " โอ้โฮ..ใหม่เลย "

    พอใหม่ปุ๊บท่านเป็นปืนนี่เก่งปืนอยู่แล้วนี่ พอจับปุ๊ปไม่เอาแม๊กออกด้วยใช่ไหมทิ่มเป้งเลย ลูกน้องท่านสองคนสองกระบอกจี้คอหอยลูกน้องไว้เลย แหม...วีรกรรมอย่างกับในหนังเลยยิ่งกว่าหนังคาวบอย หนังฝรั่ง

    ที่ว่าเป้งนั่นยิงเสือโดดไปแล้วยิงหงายผึ่งไปแล้ว ไม่เหนียวเลยเพราะว่าเหนียวท่านยิงออกนี่ หลวงพ่อท่านมีวิธีของท่านบอก โอ้โฮ....คนกรูกันเข้ามานึกว่าจะช่วยเสือโดด ที่แท้สาธุกันทั่วไปหมด ปรกติไม่มีใครปราบได้หรอกมันเหนียวตำรวจมันสับโชะๆเลย ไม่เหนียว แล้วท่านเป็นคาถาต้องเสกคาถา

    " รู้สึกหลวงพ่อตอนนั้นใจกล้ามากนะ กระชั้นชิดขนาดนั้น ถ้าเกิดยิงไม่ออกละก็ยุ่งเลยเชียวนะ "


    ของท่านสมัยก่อนออกไปต้องสับ สับอย่างนี้ก่อนสับปืนยิงที่ตัวเองก่อน บางทีสับโชะๆยิงปัง อีกคนรุ่นเดียวกันกับท่านแน่กว่านั้นไปอีก อมปากกระบอกปืนสับโชะๆๆ เราไม่ไหวหรอกลองๆนี่ลั่นเป้ง

    " แล้วถ้าลั่นเป้ง "

    ก็ซี๊แหงไง (หัวเราะ)


    หลวงพ่อพระราชภาวนาโกศล(อนันต์ พทฺธญาโณ)

    (จากคอลัมภ์ จากคำบอกเล่า ธัมมวิโมขก์ เดือนกุมภาพันธ์ 2537)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กุมภาพันธ์ 2018
  8. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    112
    ค่าพลัง:
    +225,709
    IMG_20170721_152112.jpg
    เรื่องเงินงอก


    ที่วัดมีคนมาหาแล้วก็เอาเงินไปถวายแสนหนึ่ง คนที่รู้จักกันก็บอก ไอ้นี่แกถวายแล้วน้ำตาซึมถึงร่วงๆเผาะๆๆวะ บอกเป็นไงไปลักเขามาเหรอ มันก็บอกไม่ใช่ เงินงอก หลวงพี่เงินที่มาถวายนี่เงินงอก

    บอกเอ๊ะ...มันงอกยังไงวะ ติดใจ บอกทำไงเงินงอกจะได้ไปเล่าให้คนอื่นเขาฟังบ้าง คนนี้เขาค้าขายพืชไร่ ไอ้เงินงอกบอกแกทำยังไง เขาบอกท่องคาถาเงินล้านนี่ เลยบอกเขาก็ท่องกันทั้งนั้นไม่เห็นงอกเลย บอกก่อนที่จะท่องคาถานี่จับลูกแก้วให้เห็นขาวใสก่อน

    พอเห็นจับนิมิตไม่ใช่มือจับนะ เอาใจจับ ใจจับให้เห็นลูกแก้วขาวใส ภาวนาคาถาเงินล้าน ภาวนาไปเรื่อยๆ เวลาเขาซื้อขายพืชไร่กันนี่ ซื้อพันกิโลมันจะงอกเป็นร้อยกิโล ไอ้ตัวงอกมาแกจะจดไว้ เอาเฉพาะพันกิโล เหลือนั่นถือว่างอก ทำอยู่อย่างนี้ปีหนึ่ง ปีนี้กลัวจะขาดทุนเลยงอกมาแสนหนึ่ง คิดเป็นเงินแสนมาถวาย

    จะบอกให้คนอื่นรู้ก็กลัวเขาจะหาว่าเพี้ยนไปบ้าง ใจไม่ถึงบ้าง แล้วแกก็ดีใจ ยังไงดีใจว่าหลวงพ่อสอนแกไว้ให้เข้าใจตรงนี้ แล้วใครจะไปเอาไปปฏิบัติบ้างก็ได้นะ ลองดูลองจดดู ไม่ใช่งอกมาทีละแสน งอกมาทีละพันสองพัน ห้าร้อย สองร้อยนี่มันจะเกิน มันจะเกินมาเรื่อย คือท่องคาถาเงินล้านไม่ต้องรีบร้อน คือ ท่องให้ใจสบายไปเรื่อยๆ ให้เห็นลูกแก้วขาวไว้ด้วยยิ่งดีใหญ่

    " ถ้าท่องไม่จับลูกแก้วจะจับองค์พระ องค์ปฐมหรือองค์วิสุทธิเทพจะได้หรือเปล่า "

    คงได้มั๊งที่เขาได้มาทางลูกแก้วนี่ถ้าไปใช้คงจะได้นะ จะลองดูก็ได้


    หลวงพ่อพระราชภาวนาโกศล(อนันต์ พทฺธญาโณ)

    (จากคำบอกเล่า ธัมมวิโมกข์ มีนาคม 2538 หน้า 86-87)


    DSC_0062_3_zpsbxthsmu2.jpg
    เรื่องทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป

    เรื่องทำดีได้ดีมีที่ไหนทำชั่วได้ดีมีถมไป มีคนมากล่าวมาเช่นนี้ มันมีปัญหาอยู่เรื่อง จริงก็ตอบไม่ออกเหมือนกันถ้าไม่ได้จากหลวงพ่อมานี่ นึกไม่ออก

    คือว่าที่สมัยนี้ที่เขาพูดว่า ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป นี่เขาก็เกิดว่าไอ้คนรวยนี่มันเกิดโกงขึ้นมา ก็โกงรวยขึ้นไปๆๆ ทำไมมันโกงแล้วรวยขึ้น นี่เหตุผลปัจจุบัน ทำไมถึงรวยอะไรยังงี้น่ะ ทีนี้ถ้าจะตอบไม่มีระฆังก็ข้างๆคูๆ ไม่ค่อยเข้าใจ

    ทีนี้หลวงพ่อท่านตอบไว้บอกว่า ไอ้คนเรามันเหมือนกับเราตายไปแล้วเนี่ย ลูกหลานอยู่ข้างหลังก็ทำบุญให้ใช่ไหม ทำบุญให้มากทำบุญเรื่อยให้ แต่ไอ้ตัวเรามันตกนรกไปซะแล้ว มันก็ไม่ได้ผล ผลบุญที่ทำให้มันไม่ได้ผล ขณะที่ตกนรก มันรับไม่ได้ แต่ไอ้ผลบุญที่ทำมันไปรออยู่ ที่เขาอุทิศให้ไปรออยู่ ไอ้นี่เขาพ้นจากนรกก็ขึ้นมาก็เกิดมาเป็นคน สมมุติเกิดมาเป็นคน ไอ้ผลที่บุญที่มันรออยู่นี่มันให้ผล รวมตัวให้ผลเลย มันถึงเกิดได้ลาภทำมาหากิน มาจากนรกภูมิก็ยังได้รวยนี่ ไอ้ลาภที่ทำบุญสะสมไว้นี่ มาให้ผลตรงนี้ มาให้ผลตอนหลัง ตอนตกนรกมันให้ผลไม่ได้ มันให้ไม่ได้ บอก อ๋อ..ตรงนี้เอง


    แล้วก็มีอีกเรื่องหนึ่งคุยกับพระปลัดวิรัช ท่านไปอ่านหนังสือเจอว่า พระเจ้าจักรพรรดินี่มีอะไร มีเกือกแก้ว มีเมียแก้ว มีวิมานแก้ว มีขุนคลังแก้ว เหาะเหินเดินอากาศได้ เป็นเจ้าของโลก เป็นเจ้าโลกเลย ในโลกนี่ไม่มีใครสู้ได้ แต่มีความดีได้ส่วนเล็กน้อยของพระโสดาบันเท่าน้น พระโสดาบันมีความสุข 16 ส่วนนี่ พระเจ้าจักรพรรดิมีความสุขแค่ 1 ส่วนเท่านั้น พระวิรัชท่านก็สงสัยไปเรื่อย มันเป็นยังไงมันถึงมีความสุขนิดเดียวนะ เป็นเจ้าโลกแล้วนี่ ทีนี้ใครก็ลองตอบดูซิเป็นไง ความสุขน้อย พระโสดาบันบางทีจน ไถนา

    พระวิรัชท่านก็ไปถามหลวงพ่อเหมือนกัน บอกหลวงพ่อครับ ไอ้ความสุขพระเจ้าจักรพรรดิมี 1 ส่วนของพระโสดาบันเท่านั้น มันเป็นยังไง พระเจ้าจักรพรรดินี่เจ้าโลกอยากจะครองโลกเรื่อย คืออยากจะไปยึดเมืองโน้นเมืองนี้ ความโลภมันก็ยังมีอยู่ พระโสดาบันนี่ ท่านบอกว่า ความสุขของพระโสดาบันคือหนึ่งบรรเทาความโลภ บรรเทาความโกรธ บรรเทาความหลง ความสุขนี่มี แต่พระเจ้าจักรพรรดินี่ไม่บรรเทาเลยซิ ความโกรธยังเต็ม ความโลภยังเต็ม ความหลงยังเต็ม นี่ความสุขไม่ผ่อนคลาย ถึงยังงั้นถึงว่ามีความสุขนิดเดียวของพระโสดาบัน

    " แล้วเอาเขามาแล้วก็ต้องดูแลเลี้ยงดูเขาต่อไปใช่ไหม ก็ยิ่งหนักเข้าไปอีก "

    ท่านตอบงี้หายข้องใจ เพราะพระโสดาบันเขาบรรเทาความโลภแล้วนี่ บรรเทาความโกรธ บรรเทาความหลงทุกอย่าง แต่พระเจ้าจักรพรรดิไม่เคยบรรเทาเลย ความโลภเต็มอัตราศึก ความโกรธเต็มอัตราศึก แม้จะมีทรัพย์มากก็ยังมีความโลภ ความโกรธ ความหลงอยู่เยอะเต็มไปหมด

    " นี่จะยุญาติโยมให้เป็นพระโสดาบัน ที่ตอบๆยังงี้จะยุหรือเปล่านี่นะ "

    ก็อยากให้เป็นทุกคนน่ะ


    หลวงพ่อพระราชภาวนาโกศล(อนันต์ พทฺธญาโณ)

    (จากคำบอกเล่า ธัมมวิโมกข์ มีนาคม 2538 หน้า 87-88)

    IMG_20180211_074732.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กุมภาพันธ์ 2018
  9. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    112
    ค่าพลัง:
    +225,709
    IMG_20180211_074935.jpg


    เรื่องพระสึกเพราะกลัวเมียมีผัวใหม่

    (เรื่องนี้โยมเหลี่ยมเล่าให้ฟังว่ามีพระองค์หนึ่งบวชมาสิบพรรษาแล้ว ตอนหลังนี่คิดจะสึก ก็บอกว่าหลวงพ่อมาถามตรงจุดเลยว่าจะสึกเพราะว่ากลัวเมียจะมีผัวใหม่หรือไงเล่า พอพูดถึงเรื่องนี้แล้วพระครูปลัดอนันต์ก็เลยมีเรื่องถึงหลวงตาองค์หนึ่งจะเล่าให้ฟังดังต่อไปนี้)

    หลวงตา แม่เขาจะขายควายแล้วนะ

    " ขายไปเหอะกูไม่ห่วงแล้ว ขายไปเลย "

    พอบอกหลวงตา แม่เขาจะมีผัวใหม่แล้วนะ

    " ใครว่ากูไม่สึกวะ " (หัวเราะ) อีตรงนี้คงจะจริงนะ

    " แหม..สำคัญนะไอ้ความผูกพันในเรื่องนี้นะ (หัวเราะ) แหม..โชคดีที่เจ้าอาวาสไม่มีพันธะเรื่องนี้นะ เยี่ยมเลย...ไม่ต้องกลัวขายวัวขายควายนะ "

    คือบวชตั้งแต่วันแรกเลย ไม่ใช่ว่าเราดียังงั้นนะคือคิดตั้งแต่วันแรกเลย คิดว่า

    " คิดว่ายังไงครับ "

    คิดว่า เอ๊ะ..เราจะไปก่อเหตุไอ้เรื่องปัญหาวันข้างหน้านี่ ไอ้เราเป็นตัวก่อเหตุคนเดียวนี่ ถ้าเราไม่ตบมือมันก็ไม่ดัง ปัญหาก็ไม่เกิด ก็นึกว่าเออ...กูจะไปสร้างทำไมวะไปสร้างทุกข์ทำไม มันคิดเองไม่มีธรรมะธัมโม อะไรหรอกนะ คิดเองคิดตั้งแต่วันแรกเลย

    " วันที่จะบวชหรือไงครับ "

    วันที่บวชวันแรกก็คิดคือเจอประวัติหลวงปู่ปานนี่เล่มหนึ่ง พอเจอประวัติหลวงปู่ปานก็อ่าน อู๊ย...วางไม่ลง แหม..เปิดปุ๊บอ่านพอสบายใจก็ปิด

    โยมเหลี่ยมเป็นยังไงบ้างเดี๊ยวนี้ปฏิบัติธรรม คุยเรื่องปฏิบัติธรรมดีกว่า คุยกันถึงเรื่องปฏิบัติธรรม อะไรๆ ก็คิดเป็นธรรมะได้ มีอยู่คราวหนึ่งออกจากกุฏิกำลังจะไปฉันเพล มีกะละมัง เขาเรียกกะละมังอาหารหมา จะเอาน้ำให้หมากิน พอจะออกไปข้างนอก เราก็รินน้ำให้หมา ก็ปล่อยน้ำแรง มันก็ซ่าออกไปนอกกะละมังมั่งอะไรมั่ง เราก็มอง เอ๊ะ...เมื่อไรมันจะเต็มว๊ะนี่ เพราะเราจะรีบไปก็เอ๊ะ ปล่อยซ่ามันก็กระเซ็นออกไปนอกกะละมังมั่ง ลงกะมังมั่งอะไรมั่ง ก็คิดเออ...การปฏิบัติธรรมของคนนี่กว่าจะบรรลุมรรคผล กว่าจะสำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้นี่ มันก็ต้องมีออกนอกลู่นอกทางไปบ้าง แต่น้ำนี่ส่วนมากมันจะอยู่ในกะละมัง บางส่วนจะกระเซ็นออกไปนอกกะละมังบ้าง

    " ไอ้ที่เหลืออยู่มันจะมากกว่า "

    ใช่ ถ้าเราทำใจอดทนได้เดี๊ยวมันก็เต็มเอง ถ้าเราอดทนได้น้ำมันก็เต็มฉันใด นึกถึงการปฏิบัติธรรมของคนเรานี่อาจจะเขวไปบ้างแชไปบ้างอะไรบ้าง แต่ส่วนมากจะเกาะหลักไว้ มันก็สามารถจะทำกำลังใจเต็มได้ฉันนั้นเหมือนกัน

    " ไอ้คิดอย่างนี้มันก็ดีอย่าง เป็นกำลังใจของคนที่ปฏิบัติทุกวันนี้ มันมีขาดๆเกินๆเสียหายๆ หกตกหล่น "

    แต่ทีนี้ถ้าเราไม่แชเลย มุ่งอยู่จุดเดียวเหมือนปล่อยน้ำให้มันเต็มไม่มีกระเซ็นเลย ประเดี๊ยวมันก็จะเต็มไว

    " แหมนี่เวลานี้นี่เรียกว่าทรงธัมมานุสสติกรรมฐานแล้วนะ " (หัวเราะ)

    อันที่จริงธรรมะทุกอย่างนี่หลวงพ่อท่านเฉลยไว้หมดแล้วนะ คำตอบทุกอย่างนี่มันอยู่ที่เรากระทำเท่านั้นเอง ทั้งโจทย์ทั้งวิธีทำ บอกหมดทั้งคำตอบนี่ เรียนคณิตศาสตร์นี่เขาไม่ได้บอกคำตอบเราก่อนหรอกนะ เขาตั้งโจทย์มาเราก็ทำไปเลย คำตอบอะไรก็ไม่รู้ ทีนี้หลวงพ่อตั้งโจทย์วิธีทำคำตอบไว้ให้เสร็จเลย มีเสร็จทุกอย่างนี่อยู่ที่เราทำตามที่ท่านบอกเท่านั้นเอง ใช่ไหม

    สังเกตุดูสิท่านตั้งโจทย์แนะวิธีทำคำตอบให้เสร็จแล้ว อยู่ที่เรานี่กระทำตามที่ท่านว่าเท่านั้นเอง

    " วันนี้มาเล่าหลายคน บอกว่ามันมีปัญหาทางใจ ไปถามก็ไม่ถูกใจ ก็พอดีไปเปิดตอบปัญหา เดี๊ยวนี้ออกถึงเล่ม 9 นะ เปิดโดยไม่ได้ตั้งใจนะว่าจะหน้าไหน เปิดแพล๊บ..ตรงกับไอ้ที่ตัวเองกำลังข้องใจอยู่พอดีเลย คำตอบก็มีอยู่ในนั้นเสร็จเลย "

    หนังสือของท่านของหลวงพ่อนี่ เขียนด้วยสติและปัญญาสมบูรณ์ คือไม่มีคำที่โมเม ไม่พูดโมเม เพราะสติและปัญญานี่มันอยู่ในสมองสมบูรณ์อยู่ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง อย่างเรานี่มีสมาธิดีก็พูดธรรมะเข้าใจดี ถ้าฟุ้งซ่านก็พูดกันไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจ ของท่านนี่ทรงอยู่ตลอด 24 ชั่วโมง และพระพุทธเจ้าท่านก็คุม อย่างจะมาสายลมนี่พระพุทธเจ้าคุมสามองค์สี่องค์ แต่องค์ไหนจะเป็นหัวหน้าเท่านั้นเองสติก็สมบูรณ์อยู่แล้วพระพุทธเจ้าก็คุมอีกชั้นหนึ่ง ทีนี้การเป็นหนังสือท่านก็ดี เป็นคำถามคำตอบท่านก็ดี อาจจะมีตลกบ้างอะไรบ้าง เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น เป็นธรรมะบันเทิงแต่ว่าเป็นธรรมะที่ถูกต้องที่สุด ที่ว่าหายากนะ

    " หาไม่ได้แล้ว หาไม่ได้ "

    เราไปฟังที่อื่นทำไมถึงจืด บางทีอ้อมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรง ไม่รู้ว่าเอาตรงไหนวะ ไอ้สรุปบางทีเราต้องมาสรุปเองจะเอาตรงไหนอะไรอย่างนี้ หลวงพ่อนี่ท่านตั้งต้น เนื้อน้ำสรุปให้เอง ไปฟังคนอื่นเออกูจะสรุปตรงไหนวะ จะเอาตรงไหนวะ (หัวเราะ) เราต้องมาสรุปเองแทนพระ

    " อันนี้หลวงพ่อเคยบอกว่า เคยเตรียมตัวมาจะพูดเรื่องนั้นเรื่องนี้ พอเวลานั่งพูดจริงของเราไม่มีเลย นั้นก็แสดงว่าหลวงพ่อก็ไม่ได้พูดน่ะสิ "

    ท่านจะบอกว่าวันนี้พระองค์นั้นมา พระองค์นี้มา สมัยก่อนท่านจะเทศน์สอนกรรมฐานนะ เทศน์ด้วยตัวของท่านนะ เทศน์ปุ๊บก็อัดเลย เทศน์เสร็จก็มาเปิดฟังพูดอะไรบ้างก็มาทวนวันนี้เทศน์อะไรบ้าง

    มีอยู่เล่มที่ด๊อกเตอร์พิมพ์ เล่มไหนก็ไม่รู้คือสอนกลางวันสอนมหาสติปัฏฐานกับกรรมฐาน 40 กลางวัน ไปถึงก็สอนกันเลยไม่ได้เตรียม ไปถึงก็นั่งกันอย่างนี้ เราก็ไม่มีเทปไปอัดนอกสถานที่ ท่านบอก..นันต์ข้าไม่ได้เตรียมตัวเลยเป็นเรื่องของพระพุทธเจ้าท่าน สักประเดี๋ยวก็ให้ช่างมาติดลำโพงลงทุกห้อง บอกเราจะเปิดเสียงตามสายออกไปนี่แกผ่านหูบ้าง ฟังหูซ้ายทะลุหูขวาบ้าง ต่อไปนี่จะเป็นตำราพวกแกอยู่ต่อไปจะได้ไม่ทะเลาะกับคนอื่นเขา เขาสอนอย่างนั้นมาแกจะได้รู้ว่าเขาสอนกรรมฐานกองไหน ไม่ใช่ว่าของเราพุทโธ ใครสัมมาอรหังผิดหมด ใครนะมะพะธะผิดหมด ไม่ใช่อย่างนั้น การภาวนาเป็นการโยงจิตเท่านั้น การโยงจิตให้สงบเป็นอุบายในการโยงจิตให้สงบ ไม่ใช่ว่าเก่งอวดดีกันแค่องค์ภาวนา

    ท่านก็สอนกรรมฐาน 40 มาครบ มหาสติปัฏฐานอีก สอนกลางวันนี่หลวงพ่อสอน คิดดูบ่าย่โมงนี่ถ้าสอนไม่ดีจริงนี่ตาปรือตาลอย กลัวท่านบ้างก็ตาแป๋วแต่หลับในไปแล้ว ฉันเพลใหม่ๆ นี่กำลังดีแล้ว แต่ท่านก็สอนดีนะ สอนอสุภกรรมฐาน ก็..ถาม " อาจารย์วันนี้กินข้าวกับอะไร" ปลาครับ " อ้าว..แกกินศพไปนี่หว่า " ไม่ใช่ครับ ปลาครับ (หัวเราะ) " ก็ศพปลาไงเล่า " ท่านก็หยอกไปเรื่อย เวลาใครนั่งง่วงท่านก็หยอกซักที ตาก็สว่างขึ้นมา แต่ห้ามจดนะท่านไม่ให้จด จะมาจดนี่ไม่ได้ ต้องฟังก่อนเทปอัดไว้ แล้วให้มันได้เดี๋ยวนั้นสักรอบหนึ่งก่อน ท่านก็อุตส่าห์สอนกลางวันมาซักร่วมพรรษาหนึ่งมั้ง ตอนนั้นนะ

    " สอนเสาร์-อาทิตย์ เพราะว่าญาติโยมจากรุงเทพฯ ขึ้นไปฟังด้วย "

    " ในระยะต้นๆ นี่่ค่อนข้างเข้มหรือว่า "

    โอ้โฮ คนไปฟังนี่เอ๊ หลวงพ่อทำไมอยู่วัดถึงดุจังเลย ถ้ามาสายลมกรรมฐานสายลมง่ายจัง อู้หูที่วัดทำไมถึงยากจังเลยที่วััดนี่ (หัวเราะ) ที่วัดนี่อะไรก็ผิดไปหมด ไปนั่งกรรมฐานที่สายลมดีกว่าสบายใจจังเลย (หัวเราะ) เขามาพูดให้ฟังใช่ไหม ทำนิดก็เป็นบุญ ทำหน่อยก็เป็นบุญ เป็นบุญทั้งนั้น พอมาวัดนี่ ทำผิดนิดก็เป็นบาป ทำผิดหน่อยก็เป็นบาป ก้าวขาไม่ออกอะไรอย่างนี้ ตรงกันข้ามเลย

    เขายังมาลือบอก สายลมกรรมฐานง่าย สบายไม่ลำบากเหมือนที่วัดเลย ที่่่วัดนี่เดินมาเห็นแกว่งแขนก็ "แค่เห็นได้ยินชื่อก็รู้แล้วมันจะดีหรือมันจะเลว พอเห็นท่ามันเดินก็รู้แล้ว ยิ่งรู้มากเข้าไปอีกไม่ต้องเห็นหน้า"

    " เรียกว่าเข้าประตูนี้ออกประตูนู้น ใช่ไหม "

    " หลวงพี่ยังไม่ได้เฉลยเลยว่าทำไมมาสายลมถึงได้ใจดีมาวัดถึงได้ดุ เพราะอะไรครับ "

    ตอนนั้นพูดถึงตรงไปตรงมาเลยว่า กำลังใจคนเข้าถึงธรรมะกัน พอเริ่มเข้าถึงธรรมะ ต้องทำให้ง่ายๆเอาไว้ก่อนพูดให้ง่าย เหมือนดึงกำลังใจคน จะฟื้นศรัทธาไว้ก่อน กำลังใจคนยังอ่อนนี่ไปเล่นหนักๆ เข้าก็เผ่นหมดน่ะสิ พอแข็งแล้วก็สังเกตุดูสายลมนี่ปัจจุบันนี่ก็เหมือนกัน ท่านจะเทศน์วันที่หนึ่งนะเอาพวกทานพวกศีลพวกภาวนาไปก่อน วันสองก็วิปัสสนาญาณ วันสามถึงจะนิพพาน ใช่ไหม จะเข้มไปตามวัน คนที่มานี่อาจจะมาสามระดับของคน

    "และทีนี้ที่วัดนี่ล่ะครับว่าทำไมถึงได้เข้มข้นนัก เพราะว่าพระเป็นปูชนียบุคคล "

    ใช่

    "หรือท่านจะรักพระมากกว่ารักโยมมั้ง"

    (หัวเราะ) คือเดี๋ยวนี้ก็จางไปเยอะ จางไปเยอะเพราะว่าไม่ทัน สมัยก่อนนี่เปิดธรรมะ จะออกมาเดินเพ่นพ่านไม่ได้เชียวนะ พระมาเดินไขว่อย่างนี้ เดี๊ยวเอาตายเลยละ เวลาท่านคุยธรรมะอยู่จะไปถามจะไปพูดแทรกไม่ได้ ยิ่งเปิดเสียงตามสายออกไปนี่ พระออกไปเดินเพ่นพ่านไม่ได้หรอก

    " อู้ฮู..ถึงขนาดนั้นเชียวหรือเนี่ย"

    เพราะว่ามันมีพระวินัยอยู่ข้อหนึ่งปรับ เขาว่าไม่เอื้อเฟื้อในพระธรรมวินัย ท่านเอาตัวนี้มาปรับ ถ้าทำอย่างท่านว่าจะดีมากจะสวยงามมาก จะมีผลมาก ดีทุกอย่าง หยาบเกินไปมันก็ไม่เห็นตัวนี้ใช่ไหม

    "โอ้โห..ละเอียดถึงขนาดนี้เลยหรือ แค่เปิดเสียงตามสายออกไปเดินก็ไม่ได้"

    มีอีกองค์ท่านขยัน พอเปิดเสียงตามสาย ท่านก็ไปทำงาน ป๊อก ป๊อก ป๊อก พอท่านเห็นก็ "ไอ้ขยันก็รู้แล้วแต่ไม่รู้จักกาลเวลา ขยันอย่างนี้ขยันลงนรก" (หัวเราะ)

    "ยกย่องเลยเหรอ"

    ใครปฏิบัติสายสุกขวิปัสสโกนี่นะ ไม่มีทิพจักขุญาณนี่นะ ตอนประมาณซัก 3-4 เดือนก่อนที่หลวงพ่อจะมรณภาพ เคยคุยให้ฟังบอกว่า ถ้าใครสายสุกขวิปัสสโกก็ไม่มีทิพจักขุญาณ ไม่มีฤทธิ์ไม่มีเดชอะไร ให้พิจารณาไปเรื่อยๆจะมีปัญญาแก้ไปเอง พอบารมีมันเต็มมันจะคิดเองตัดเองไปหมดโดยจิตไม่ต้องเตือน ก็ค่อยๆทำไป ถึงรวมตัวมันจะไม่ต้องเตือนจิต

    แต่จริงๆธรรมะนี่ หลวงพ่อเคยพูดว่า ไม่ได้สอนอะไรสอนแค่ปลายผมยันปลายเท้าเท่านั้นเอง ทำอย่างไรให้จิตมันยอมรับ ใช่ไหม ไอ้ร่างกายหรือขันธ์ 5 นี่ปลายผมยันปลายเท้านี่ วิจัยไม่ต้องวิจัยข้างนอกวิจัยในตัวเรานี่ มโนมยิทธิที่หลวงพ่อสอนเรานี่มันง่ายที่สุดเรื่องการปฏิบัติธรรมนี่ มันแยกหรือมันเห็นจริงง่าย มันเป็นภาพที่มันเห็นจริงง่าย

    อย่างเวลาที่เราปวดจริงๆ นี่มันคิดไม่ออกหรอกนะ มันคิดอะไรก็คิดไม่ออก ไอ้เราก็ดิ้นรนให้หายปวด จิตของคนเรามันจะดิ้นรนให้หายปวด ไอ้ร่างกายไม่ใช่ของเรามันคิดไม่ออก มันก็ปวดอยู่นั่นแหละ

    " แล้วทำอย่างไรถึงจะเลิกละครับ "

    เวลาสมมุติเราทำได้มโนมยิทธินี่ก็ให้ถอดไปหน่อยหนึ่ง หลุดจากนี้สักหน่อยหนึ่ง ไม่ต้องขึ้นไปสูงถึงอะไร ให้้มันหลุดไปสักหน่อยหนึ่ง ไม่ใช่ว่ามันจะหายปวดแต่จิตมันจะเห็นเลยว่ามันปวดเองนี่หว่า กูไม่อยากให้มึงปวด มึงปวดของมึงเองนี่ มึงแก่เองอยู่เรื่อย จิตพอละวางสักกายทิฏฐิจะเห็นเองว่า อ้อ ไม่ใช่ของเรานี่

    คือมโนมยิทธิจะมาใช้ตรงนี้ มันจะไวกว่าถ้าเราพิจารณามันปวดอยู่ว่าไม่ใช่ของเรา มันก็ไม่ยอมรับมันปวดอยู่นั่นแหละ จิตมันมาเคล้าอยู่กับตัวมันนี่ พอขยับเคลื่อนมันจะเห็นชัด ทั้งๆที่ร่างกายมันปวดแต่จิตมันเห็นชัดจิตมันวาง จิตมันเป็นสุข ไอ้กายปวดมันก็ปวดของมันไป เพราะมันยอมรับความเป็นจริง

    "ทีนี้ถ้าสุกขวิปัสสโกจะทำยังไง มันปวด อยู่นี่จะทำยังไงครับ"

    เอ๊ เราก็ไม่เคยทำซะด้วยเรื่องนี้นี่ เคยปวดเหมือนกันแต่ไม่คิดแก้ไข (หัวเราะ) หลวงพ่อท่านบอกว่าเวลาปวดจริงๆ นี่มันภาวนาไม่อยู่หรอก ท่านยงยุทธ์นี่ไปป่วย ยงยุทธนี่ก็บอกว่า เอ๊ะไอ้ผมนี่บวชมาตั้งร่วม 20 พรรษายังไม่ได้อะไรเลย ปวดทนไม่ไหวเลย ไปเล่าให้หลวงพ่อฟัง หลวงพ่อบอก ไอ้ขี้หมา ใครเขาภาวนากัน มันภาวนาไม่อยู่หรอก มันปวดมากๆนี่ต้องพิจารณา ไอ้เรามันก็ไม่ถึงขั้นหนักแ่ต่เราก็ไม่ถึงขั้นหนัก แค่ปวดเล็กปวดน้อยนี่ฝึกไปเลย ปวดเมื่อยนิดๆหน่อยๆ นี่ขยับฝึกไว้เลย ฝึกจะตายไว้เลย ไม่ต้องรอให้มันถึงแขม็บๆถึงจะมาคิดกันอย่างนั้น ปวดเล็กปวดน้อยนี่ต้องคิดว่ามันจะตายเดี๋ยวนี้เสมอเลย
    พระพุทธเจ้าถึงบอกว่าคิดทุกลมหายใจเข้าออกใช่ไหม ซ้อมตายน่ะ(มรณานุสสติ) ไอ้เราแค่วันนึง 3-4 ครั้งก็ดีแล้ว หนักเข้าก็จะมากเอง จิตจะรวมตัวเอง

    แต่ไม่มีใครทำขยับอย่างนี้นะ ลองขยับเออ...มันดีนี่หว่า ปัญญามันวางง่าย ยังงั้นมันไม่ยอม มันรั้นมันอยากจะหายปวด ดิ้นอยู่นั่นน่ะจะให้หายปวดท่าเดียว ดิ้นเท่าไรก็ไม่หาย

    "ทีนี้ก็มีคนถามต่อว่าก็ในเมื่อพระเดชพระคุณหลวงพ่อเองเนี่ยท่านก็เป็น ทุกอย่างหมดแล้ว ทำไมท่านถึงไม่หนีซะบ้าง ทำไมถึงต้องทนทุกข์ทรมาน มันปวดนี่ มันเมื่อยนี่ มันเสียดนี่ มันยอกเสียทุกอย่างนี่ทำไมเพราะอะไรครับ"

    เอ๊..ต้องไปถามหลวงพ่อสิ มาถามฉันไม่ได้ ไปตอบแทนหลวงพ่อเอ๊ะ..เป็นหลวงพ่อหรือไงถึงตอบเหมือน ตอบไม่ได้หรอก ต้องถามหลวงพ่อสิอย่างนี้

    พูดถึงคุณโยมด๊อกเตอร์ปริญญาก็แล้วกัน คุณโยมเคยถามหลวงพ่อว่า หลวงพ่อครับ พระอรหันต์นี่ครับ ป่วยเขาหนีหรือเปล่าครับ ? พอป่วยปุ๊บหนีไปเลย ไม่ยอมลงมาแล้ว ร่างกายมันหายถึงค่อยลงมาอะไรอย่างนี้ ท่านบอกพระอรหัต์ไม่หนี ไม่หนี มันเป็นธรรมดา ธรรมดาร่างกายมันต้องปวด ที่เรามันต้องปวด ต้องป่วย ต้องเจ็บ ต้องแก่ ต้องตาย ถ้าได้มโนมยิทธิลองถอดไปเหอะ พอถอดไปนี่มันจะรู้ธรรมชาติของกาย มันป่วยเองหิวเองนี่ ปัสสาวะ อุจจาระเองนี่ ถ้าจิตเราไปฝืนมันเองจิตเราไปคานมันไม่อยากให้มันเป็นอย่างนั้น ไม่อยากให้มันเป็นอย่างนี้ ธรรมชาติของมันต้องเป็นของมันเองอย่างนั้น ถ้าจิตใจมันยอมรับมันก็ไม่ทุกข์ไม่ดิ้นรนนะสิ

    "นี่ญาติโยมเห็นไหม หลวงพี่ฝีมือท่านเป็นยังไงนี่"

    เปล่า..นี่อ่านหนังสือนะ

    "ยอมรับว่าตำราที่หลวงพ่อสอนถูกต้องตามความเป็นจริง"

    (หัวเราะ)

    "วัดเดียวกันน่า วัดเดียวกัน"

    พอยอมรับมันก็เป็นสุขใช่ไหม มันก็ไม่ดิ้นรน

    "อย่างคนที่่มีครอบครัว เมียจะด่าก็เป็นเรื่องธรรมอย่างนั้นเหรอ มีคำแนะนำอะไรไหมครับ แหม..บางทีมันซอยเช้า ซอยบ่าย ซอยเย็นเลย ด่าไม่เลิกเลยไม่ขาดม้วนเลย"

    เราก็ตั้งอัดเทปไว้เลยเวลานอนไม่หลับก็เปิดฟัง แต่เรื่องด่าอะไรนี่มันเป็นบุพกรรมนะ แม้แต่หลวงพ่อเองนี่นอนอยู่นี่ จะฉันยาก็เทมาใส่มือ หล่นเป๊ะไปซักเม็ดหนึ่งและ แหมกะไอ้แค่ฉันยามันก็ยังเอาเรื่อง ท่านบ่นอย่างนั้น ไอ้ยาที่มันหล่นลงไปนี่ท่านบ่นแล้ว หลวงพ่อครับเรื่องอะไรครับ เนี่ยบุพกรรม กระทั่งเราจะฉันยาให้ร่างกายมันหายนี่มันก็มาตัดรอน เอานิดหน่อยเอามากไม่ได้

    ฉะนั้นคนเราที่มีเรื่องกระทบกระทั่ง มันต้องมีเวรกรรมต่อกันทั้งนั้นแหละ แต่ถ้าเราไปยอมแพ้ไอ้บุพกรรมอย่างนี้นะ ไม่ต้องทำความดีต่อ คือแพ้มารไปเลย

    " อย่างนี้ก็ต้องยอมรับมันเป็นบุพกรรมที่เราทำไว้ แหม...น่าจะบอกซะตั้งนานแล้ว ไม่งั้นเราก็ฮึดสู้เรื่อย กูขนาดนี้มาว่ากูได้"

    บุพกรรมต่อเนื่องกัน แต่หากว่าผ่านบุพกรรมได้นี่บารมีเข้มดีนะ ผ่านอุปสรรคนี่ ว่าแล้วไม่หวั่นไหวเราต้องทำความดี

    "ถ้าด่าเราสามเวลาหลังอาหารนี่ เราไม่หวั่นไหวนี่ใช้ได้นะ "

    "เปิดเทปที่อัดไว้ให้ฟังก็ได้ เดี๊ยวก็หัวเราะไปเอง (หัวเราะ)"

    หลวงพ่อพระราชภาวนาโกศล(อนันต์ พทฺธญาโณ)


    (จากคำบอกเล่า ธัมมวิโมกข์ กรกฏาคม 2537)


     
  10. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    112
    ค่าพลัง:
    +225,709
    IMG_20171214_153416.jpg

    หลวงพ่อตายแล้วยิ่งเฮี้ยนมาก


    ก็มีเรื่องอยู่เรื่องหนึ่ง คือเมื่อตอนรับแขกอยู่เมื่อไม่กี่วันนี้มั้งที่วิหาร 100 เมตร ก็มีลูกศิษย์หลวงพ่อรุ่นเก่าเลย รุ่นสมัยที่หลวงพ่อมา พ.ศ. 2511-2512 นั้นน่ะก็มาหามาทำบุญด้วย เขาก็บอกว่า แนะนำให้คนที่อยู่ข้างๆ รู้จักกันบอกเนี่ยผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ ชื่อ สุวิมล พี่ชายเป็นเจ้าของสัมปทานป่าไม้ที่ จ.อุทัย จ.กาญจนบุรี สมัยก่อนหลวงพ่อจะไปไหนต้องไปจ้างรถสองแถวมารับท่านไป หรือมาสามล้ออะไรอย่างนี้ หลวงพ่อท่านไม่ค่อยมีเงิน ก็ได้โยมนี่อุปการะ ชื่อสุวิมลนี่เป็นภรรยาของ ส.ส. ศิลป์ชัย นุ้ยปรี จ.อุทัย ก็แนะนำให้คนอื่นรู้จักว่า นี่เป็นคนอุปการะหลวงพ่อ สมัยหลวงพ่อยังไม่มีอะไรน่ะ ไปไหนก็ต้องไปรถสองแถวจ้างเขาไป บางทีก็ไปรถสามล้อรถอะไรอย่างนี้

    " มาสายลมก็นั่งรถเมล์มา "

    ใช่.. ทีนี้คุยกันท่านก็บอกว่า สมัยหลวงพ่อที่มีชีวิตอยู่นี่ท่านให้หาไม้ คำว่าไม้แบบนี่ทำโบสถ์มา 3 รถเทรลเลอร์ เทรลเลอร์ที่มันต่อพ่วงมาถวายหลวงพ่อเอาไว้สร้างโบสถ์ เป็นไม้แบบ ไม้แปไม้ยางอะไรก็ตามมาถวายเยอะ

    แกก็เข้าไปหาหลวงพ่อตอนไหนก็ไม่รู้ช่วงนี้บอกหลวงพ่อสร้างวัดซะใหญ่เลย ต่อไปใครจะมาดูแลล่ะหลวงพ่อตายไปแล้วน่ะ หลวงพ่อบอกแกไม่ต้องห่วงข้าตายแล้วยิ่งเฮี้ยนใหญ่เลยข้านี่ (หัวเราะ) ข้าตายแล้วยิ่งเฮี้ยนใหญ่เลย

    เลยถามโยม หลวงพ่อพูดจริงหรือ ? จริงซิฉันเป็นห่วงวัดว่าต่อไปใครจะมาดูแล ท่านบอกแกไม่ต้องห่วง ข้าตายยิ่งเฮี้ยนใหญ่ บอกข้าตายแล้วนี่นะข้าจะช่วยพวกแกได้เยอะ มีความคล่องตัวนี่ร่างกายข้าป่วย

    มันก็ตรงกันผู้การสถาพรถือว่าคนรุ่นใหม่ก็แล้วกัน นี่ก็คนรุ่นเก่า 20-30 ปีเนี่ยพูดตรงกัน ผู้การสถาพรแกก็เป็นหมอนวดหลวงพ่อ หลวงพ่อบอกผู้การถ้าข้าตายไปแล้วนี่ข้าช่วยพวกแกได้เยอะ ร่างกายมันป่วยนี่ทำอะไรไม่ได้หรอก ไว้ข้าตายไปแล้วนี่ร่างกายก็ไม่ต้องห่วงนี่ขันธ์ 5 ช่วยพวกแกได้เยอะ

    มันก็ตรงกัน ตรงกันกับผู้การคุณสุวิมลหลวงพ่อดาบส หลวงพ่อดาบสนี่พวกที่ไปมา พวกนี้ไปมา ท่านก็บอกว่าหลวงพ่อไม่ได้หนีไปไหนนะหลวงพ่อไปรอเราอยู่ หลวงพ่อพระราชพรหมยานไม่ได้ตายหนีเราไป แต่ท่านไปรอเราอยู่ทำอะไรท่านไม่รู้ไม่มี จำไว้ท่านต้องรู้ ท่านรู้

    ท่านก็บอกว่าสมัยหลวงพ่อที่ยังมีชีวิตอยู่เนี่ย หลวงปู่สีอยู่ตาคลีอายุ 120 กว่าปี ตอนเช้าๆ มีอยู่วันหนึ่งหลวงปู่สีแต่งตัวแต่เช้าเลย สั่งให้คนเตรียมน้ำใช้น้ำฉันสั่งให้คนเตรียมสถานที่ พอตอนสายๆหน่อยหลวงพ่อฤาษีไปแล้วไปหา นี่แสดงว่ารู้กันตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ท่านไม่มีโทรศัพท์นี่สมัยก่อนเนี่ยไม่มีโทรศัพท์ ท่านก็เน้นบอกว่าขณะมีชีวิตอยู่ท่านยังรู้ใจกันนี่ ยิ่งตายยิ่งรู้มากใหญ่ไม่ต้องห่วงหรอก ขอให้มั่นใจในคำสอนของท่านก็แล้วกัน นิพพานนี่ไม่ใช่สูญ แต่ศูนย์ก็มีค่านะศูนย์ 1 ตัวมีเลขนำหน้าก็ศูนย์ 2 ตัวมีเลขนำหน้ามีค่ามากขึ้น ศูนย์ 3 ตัวยิ่งมีเลขยิ่งมีค่ามาก ศูนย์ 4 ตัว ศูนย์ 5 ตัว ศูนย์ 6 ตัว ยิ่งศูนย์ยิ่งมากยิ่งมีค่า ศูนย์มีค่าเลยได้มาแสนหนึ่ง (หัวเราะ) ได้มาแสนเพราะไอ้ศูนย์ 4 ตัว 5 ตัวนี่ แหม.. ไปมา 7 คันได้มาแสนแล้วนี่ ทุนคืนมาหมดแล้ว

    แสดงว่าพระท่านมีท่านจริงทีนี้ก็มีเคล็ดลับอยู่อย่าง ใครจะรู้น้อยเพราะว่าท่านเทศน์ตอนแรกบอก ดีท่านเจ้าคุณลาซะ ทำไมจะพาลูกศิษย์นี่อ้อม อ้อมต้องกลับมาเกิดอีก 7 ชาติ ดีเจ้าคุณตัดลามาเสียก่อน ดึงพาพวกเราตรงขึ้นอะไรอย่างนี้ นี่เราไม่ค่อยรู้ซิตรงนี้ว่าหลวงพ่อท่านไม่ค่อยคุยให้ฟังนี่


    ทีนี้โยมน้อยกานดาแกเป็นคนเก่าแกก็ถาม ไอ้น้อยหลวงพ่อเคยพูดไว้กับแกไว้ ไอ้น้อย ข้าไม่อยากให้พวกแกมีทุกข์น่ะทุกข์ต้องตามข้าไปอีก 7 ชาติ ข้าจึงตัดสินใจลาซะพวกเราจะได้ทุกข์น้อยลงไปย่นระยะลงไป

    ทีนี้หลวงพ่อกับหลวงปู่ดาบสยังไม่เคยเจอะกันเลย แล้วหลวงพ่อก็ไม่เขียนหนังสือไว้ที่ไหน เนี่ยความรู้สึกตรงนี้คนชักหลั่งน้ำตา ฮึกฮักๆๆ ออกมาบ้างแล้ว ชื่นใจว่าหลวงพ่อ หลวงปู่ดาบสทวนความอะไรให้เกิดศรัทธา พูดให้เราเกิดศรัทธานี่จะไม่เกิดศรัทธาจะให้เจ้าอาวาส (พระครูปลัดอนันต์)เทศน์นี่ศรัทธาจะหาย (หัวเราะ) แหม..จะให้เราเทศน์ หลวงปู่เรียกว่าโยนเผือกร้อนๆให้ขบซะแล้วเกือบเสียท่า

    " แล้วเอาตัวรอดได้ยังไงครับ วันนั้นน่ะ โยมเขาอยากจะถามน่ะ คือหลวงปู่ดาบสบอกว่าให้พระครูเทศน์ บอกแล้วก็โยนไมค์มาให้เลยใช่ไหมครับ "

    หลวงปู่ดาบสก็บอกว่า ที่นี่ก็เทศน์กันทุกวัน เจอหน้าก็เทศน์สอนธรรมะกันทุกวัน ท่านพระครูมาก็ดีแล้ว ช่วยเทศน์ใหญาติโยมฟังบ้าง ก็นึกในใจเวรกรรมล่ะกูเอ้ย...ทีนี้ (หัวเราะ) กูอยู่ไหนกูไม่เคยเทศน์ซะที เอากูเทศน์จะขายขี้หน้าญาติโยม (หัวเราะ) ทำไงดีวะเนี่ยจะเอาตัวรอดยังไงรับไมค์มาแล้วก็ต้องเอาแล้ว

    ก็บอกว่าที่มาที่นี่ก็เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อทั้งนั้นนี่ มากันตั้งหลายคันรถเนี่ย ก็เจอกันที่สายลมแทบทุกเดือนอยู่แล้ว คุยกันเรื่องกรรมฐานทุกเดือนกันอยู่แล้ว แต่พวกเราก็มาไกลกัน คือพระอย่างฉันนี่หาได้เยอะห่มผ้าเหลืองอย่างงี้ ไปที่ไหนก็ได้เยอะ ที่เราดั้นด้นมาก็มาหาพระที่หลวงพ่อบอกไว้ว่าพระอย่างหลวงปู่นี่ มีพระปลัดวิรัชมาหาก็ถ่ายรูปกลับไปแล้วไปเล่าให้หลวงพ่อฟัง หลวงพ่อบอกพระยังงี้เย็นมา 20 ปีแล้วหมดอยากมา 20 ปีแล้วนี่ เราก็ดั้นด้นมาตั้ง 700 กว่าก.ม. เพื่อจะมาหาพระดีฉะนั้นอยากให้หลวงปู่ช่วยเทศน์ เพราะว่าพวกนี้มาอยากจะฟังเทศน์หลวงปู่ครับ

    โยนไปยังงี้คล้ายๆ ยังงี้แหละ หลวงปู่ก็จำเป็นต้องเทศน์คืนกลับแล้วนี่ ท่านก็เริ่มคุยให้ฟัง

    " พวกเราก็ตบมือกันกราว ท่านพระครูเอาตัวรอดได้ "

    เออ..ไม่ได้นัดไม่รู้เรื่องมาก่อนซิว่าท่านจะโยนมาให้เรายังงี้ ใครๆก็รู้เราจะไปฟังเทศน์จากท่าน ใช่ไหม แต่ท่านโยนมาให้เราซะแน่ แต่ท่านก็คุยไปเรื่อยคุยไปคุยไปถูกใจนี่ ท่านก็ทวนความจำ หลวงปู่แหวนเหลือหลวงปู่หนูแล้วเดี๋ยวนี้คนไม่ค่อยไปอยู่กับท่าน พระองค์นั้นองค์นี้ แต่หลวงพ่อเราคนยังมีศรัทธาแสดงว่าคนเข้าใจในคำสอนของพระราชพรหมยาน ขอให้มั่นใจไว้ได้เลยไม่ต้องเชื่อใครอีกแล้วนะที่ว่านิพพานสูญน่ะ ขอให้เชื่อท่านเจ้าคุณพระราชพรหมยาน ให้มั่นใจได้เลยนิพพานเป็นเมืองแก้วเป็นเพชรเป็นอะไร ยืนยันเลยนะทีนี้ ก็พูดยืนยันเลยล่ะก็ให้เชื่อได้ไม่ต้องไปนั่นแล้ว อะไรต่ออะไรนี่ลงเรือลำเดียวกับเราแล้ว เราลงเรือลำเดียวกับท่านหรือไงก็ไม่รู้ คือคุยกันรู้เรื่องกันแล้วนี่

    "ยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่านิพพานไม่สูญตามที่คนอื่นเขาว่า"

    เจ้าหน้าที่ประทับใจ ปีหน้าจะไปเอาหวยอีกนี่ (หัวเราะ) ได้คราวนี้แสนคราวหน้าจะเสียไปแสนหรือเปล่า


    หลวงพ่อพระราชภาวนาโกศล(อนันต์ พทฺธญาโณ)

    (จากคำบอกเล่า ธัมมวิโมกข์ มีนาคม 2538)

    IMG_20180211_075418.jpg
    z.jpg
     
  11. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    112
    ค่าพลัง:
    +225,709


     
  12. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    112
    ค่าพลัง:
    +225,709
    4.jpg
    หลวงพ่อได้อภิญญา



    หลวงพ่อท่านเก็บเยอะนี่ท่านเก็บ ไม่ออกมาเยอะใช้นิดๆ หน่อยๆเท่านั้น ท่านบอกถ้าเขาไล่เราเมื่อไหร่ละก็ไปกินข้าวกลางแม่น้ำสะแกกรังนะ เอาเราไปด้วยรึเปล่าไม่รู้ (หัวเราะ) ท่านก็บอกไปกินข้าวกลางแม่น้ำสะแกกรังสัก 2 วันละไอ้นันต์เอ๊ยวัดนี่แตกวัดท่าซุงนี่แตก มันจะลือกันไปใช่ไหม ทีนี้ละท่านห่มผ้าสีตองอ่อนสียังไงไม่รู้ตองอ่อนจะเปลี่ยนสี



    อภิญญานี่ทำได้ ไม่ใช่ท่านพูดแล้วทำไม่ได้นะ ของท่านทำได้จริงพูดแล้วไม่ใช่ว่าให้ลูกศิษย์ลูกหาบอกว่าท่านนี่เก่งนะ อย่าให้อาจารย์ทำนะอย่างสมัยโบราณใช่ไหม อย่างพราหมณ์หรือไงพวกเดียรถีย์นะ กูจะเหาะมึงอย่าให้กูเหาะเชียวนะมึงรั้งไว้นะ อย่านะ อาจารย์อย่า แต่ของท่านทำได้ท่านลองของ ลองแล้วก็ไม่ได้ใช้หลวงพ่อส่วนมากจะใช้เจโตฯ ใช้มากเจโตฯ

    ท่านบอกก็ไม่ได้ใช้อะไรบอกพระมาบอกใช่ไหม พระมาบอกวันนี้มีใครมาบ้างคนมีมาระดับไหน มาแล้วจะได้มรรคได้ผลไหม ต้องพูดอย่างไรถึงจะรู้เรื่อง สังเกตที่เราลากท่านมา(ลากรถเข็นที่หลวงพ่อท่านนั่ง)ท่านจะมองหาคนแล้ว เอ้อไอ้คนที่ท่านรู้มา มันมารึยัง ท่านจะบอกการแต่งตัวมาเลย คนกำลังใจขนาดไหน คนนี้พูดยังไงถึงจะรู้เรื่อง ทักยังไงถึงจะรู้อะไรอย่างนี้


    “ก็แสดงว่าที่หลวงพ่อพูดแล้วมันถูกจุดคนโน้น ถูกใจคนนี้ ก็แสดงว่ารู้ล่วงหน้ามาแล้วใช่ไหมครับ”


    ไอ้คนที่ประตูน้ำมันกินเหล้าเมาจัด มันนั่งอยู่ข้างนอก แล้วหลวงพ่อก็เทศน์ออกทีวีเสียงมันก็ออกมาข้างนอกนะ ท่านพูดฉลาดท่านไม่ได้ว่าคนโน้นคนนี้ บอกบางคนบางทีกินเหล้าเมาเสียจนเป๋ไปเป๋มาแล้วก็บอกค้าขายไม่ดี มันจะดีได้อย่างไรก็ไปมัวเมาซะ แค่นั้นแหละ ไอ้คนนั้นกลับบ้าน พอกลับบ้านไปถึงปุ๊บมันอธิษฐานเลยนะไอ้ดอกไม้พวงมาลัยที่วางอยู่นะ ถ้าหากหลวงพ่อแน่จริงนะพรุ่งนี้ให้ขายให้ได้ ภายในเวลาเท่านั้นๆๆแล้วมันจะมาทำบุญ ก็ปรากฏว่าขายได้จริงๆน่ะ

    พอเข้ามาจะทำบุญปุ๊บท่านเทศน์ต่อไปเลยว่า ไอ้บางคนน่ะพอขายไม่ดีมันก็ท้ากับพระ บอกว่าถ้าพระแน่จริงต้องช่วยให้ขายไอ้โน้นไอ้นี่ แล้วมันจะมาทำบุญบางทีวันนี้ก็มีมาเหมือนกันนะ ไอ้นั่นตั้งแต่วันนั้นนับถือชั่วชีวิตเลย แล้วมันขายของดีด้วยเลิกกินเหล้าไปเลย

    เอ้าจริงๆ ลูกหลวงพ่อมักเป็นโจรกลับใจเสียเยอะ พวกเขี้ยวลากดินมาทั้งนั้น (หัวเราะ) เมื่อสมัย 10 ปีก่อนโน้นน่ะ นี่เขาเล่ามาเราไม่รู้หลวงพ่อยังนั่งสอนอยู่ตรงนี้ใช่ไหม ไอ้คนนั้นน่ะมันเตรียมปืนผาหน้าไม้แล้ว คือจะไปฆ่าเขานะแล้วเพื่อนอีกคนบอก เฮ้ย..ก่อนจะไปฆ่าเขานะไปที่ซอยสายลมหลวงพ่อฤๅษีท่านดังนะ เหรียญท่านเหนียวเผื่อเขาจะยิงเรามันจะได้ยิงเราไม่ออก

    ก็มาซอยสายลม พอนั่งปุ๊บ หลวงพ่อฉลาดอยู่แล้วนี่ เวลาท่านเทศน์ท่านเทศน์รวมไปเลย แต่ว่าเทศน์เรื่องนั้นน่ะไปจี้ไอ้คนนั้นคนเดียว บางคนอาฆาตพยาบาทเตรียมปืนผาหน้าไม้จะไปฆ่าเขา แล้วเขาลืมนึกไปว่าคนที่เป็นญาติของเขาจะต้องล้างแค้นล้างกันไปล้างกันมา เทศน์ไปเทศน์มาปุ๊บ ก็สะกิดเพื่อนบอก เฮ้ย..สงสัยไม่ต้องไปก็ได้ว่ะ(หัวเราะ)เหรียญเหริญกูไม่เอาแล้ว แล้วก็เลยไม่ต้องฆ่าเขา ทุกวันนี้ก็อยู่รอดปลอดภัยสบายดี



    หลวงพ่อพระราชภาวนาโกศล(อนันต์ พทฺธญาโณ)

    (จากหนังสือประวัติหลวงพ่อพระราชพรหมยาน หน้า 52-53)

    22136989_862324183926375_7550479143865416248_o.jpg
     
  13. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    112
    ค่าพลัง:
    +225,709
    IMG_20180211_074636.jpg
    หลวงพ่อก่อนออกรับแขก

    ก่อนออกรับแขกนี่หลวงพ่อจะดูคนมาก่อน บางทีท่านก็เล่าให้อาตมาฟังวันนี้จะมีคนมาหา เป็นคนระดับไหน หมายความว่ามีความดีระดับไหนแล้วจะพูดยังไงจะทักมันยังไง พูดทุกคำมีเหตุมีผลหมด บางทีแม้แต่จะฉันอาหารวันนี้จะทักกับใครทักยังไง บางทีทัก “เออ ลูกสาวเอ้ย” เพราะว่าเป็นลูกสาวแม่เขาให้มาบอกอย่างงี้ บางทีออกรับแขกท่านกวาดตามองหาคนที่แม่เขาบอกมารึเปล่า

    อย่างท่านแม่ศรีมาบอกว่า ลูกคนนี้มาให้ทักมันเสียหน่อย มีอยู่คราวหนึ่งแขกมารอข้างล่าง ก็เข้าไปกราบเรียนท่าน “หลวงพ่อครับแขกมา” ท่านบอกยังไงรู้มั้ย “ปล่อยมันก่อนไอ้นี่มันแอ๊ค แอ๊คว่ามันรวย มันใหญ่โตมาก” ขนาดยังไม่ลงนะท่านรู้แล้ว ปล่อยให้รอไปก่อน ท่านก็ไม่ยอมลงหลวงพ่อท่านรู้จริงๆ

    คราวหนึ่งประมาณ พ.ศ. 2524 หรือ 2525 เห็นจะได้ เป็นตอนที่พระสมุห์บัญชาและพระชัยศรี (ขณะนั้นยังบวชอยู่)เพิ่งเข้ารับหน้าที่เกี่ยวกับการจัดสถานที่รับแขกของหลวงพ่อที่ศาลานวราช มีอยู่วันหนึ่งหลวงพ่อท่านมีอาการป่วยค่อนข้างมาก ทั้งสององค์ก็ได้ปรึกษากันว่าวันนี้อยากให้หลวงพ่อได้พักผ่อนสักวัน ถ้ามีแขกน้อยก็จะพยายามบอกให้แขกกลับไปก่อน

    เผอิญวันนั้นมีแขกมาสองคนแกไม่ยอมกลับจะพบหลวงพ่อให้ได้ ตามปกติที่หลวงพ่อจะลงรับแขกท่านจะต้องโทรศัพท์มาถามก่อนเสมอว่ามีแขกมารอหรือยัง พระสมุห์บัญชากับพระชัยศรีก็ปรึกษากันไว้ว่าถ้าหลวงพ่อโทรศัพท์มา (โทรศัพท์มี 2 เครื่องที่อยู่ห้องโถงเป็นที่สำหรับแขกหนึ่งเครื่องและอยู่ห้องข้างหลังอีกหนึ่งเครื่อง) เราจะเข้าไปรับโทรศัพท์ข้างในให้แขกนั่งรออยู่ข้างนอกแล้วบอกหลวงพ่อว่าวันนี้ไม่มีแขกครับ เมื่อท่านโทรศัพท์มาถามก็บอกไปตามที่ตกลงกันไว้ ก็มีเสียงตวาดทางโทรศัพท์ว่า

    “แล้วไอ้ที่เขานั่งคอยข้างนอก 2 คนนั้นใครวะ” เท่านั้นทั้งสององค์หน้าซีดเป็นไก่ต้มเหมือนขโมยที่ถูกจับได้คาหนังคาเขา

    แสดงว่าหลวงพ่อท่านมีสายตาที่ยาวไกลมองได้ไกลมากเพราะศาลานวราชกับตึกอินทราพงษ์ที่ท่านพักไม่ได้อยู่ใกล้กันเลย อยู่คนละฟากถนนและท่านก็อยู่ในห้องที่มิดชิด ท่านยังรู้ว่าที่ศาลานวราชมีใครบ้าง

    หลวงพ่อเองนี่รู้อะไรแล้วไม่ใช่ว่าจะเชื่อง่ายๆ เคยไปอ่านหนังสือของท่านเรื่องท่านทองดี พ่อของรัชกาลที่ 1 มาบอกกับท่านว่าแถวนี้นะเป็นบ้านเก่า ริมฝั่งแม่น้ำสะแกกรังตรงข้ามวัด หลวงพ่อบอกว่ามันต้องมีหลักฐานที่พิสูจน์ได้ด้วยตาเห็น มือจับได้จะให้เชื่อเลยน่ะเชื่อไม่ได้หรอก

    ท่านทองดีก็บอกว่า พรุ่งนี้นะฝั่งข้างโน้น เขาจะรื้อบ้านกันตอนสายๆ ตอน 4 โมงเขาจะเอาเงินพดด้วงมาให้ท่าน ก็เป็นจริงตามนั้นนี่แสดงว่าเทวดาพูดก็เป็นจริงตามนั้น พูดเฉยๆ ไม่มีหลักฐานก็เชื่อยากเหมือนกัน แต่หลวงพ่อท่านไม่ได้เชื่องมงาย ต้องพิสูจน์ให้เห็นด้วยตาท่านจึงจะเชื่อ

    พวกเราอย่าให้ใครเขาหลอกลวงก็แล้วกัน เขาพูดอะไรก็เชื่อเสียเงินไปเรื่อยๆก็เสีย ครูบาอาจารย์สอนมาดีแล้วเราอย่าเชื่ออะไรง่ายๆ


    หลวงพ่อพระราชภาวนาโกศล(อนันต์ พทฺธญาโณ)

    (จากหนังสือประวัติหลวงพ่อพระราชพรหมยาน หน้า 45-46)

    IMG_20180211_074923.jpg
     
  14. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    112
    ค่าพลัง:
    +225,709
    DSC_0163.JPG

    หนังสือ "พระราชภาวนาโกศล" แจกแก่ผู้ไปร่วมงานฉลองสมณศักดิ์และแสดงมุทิตาจิตสักการะแด่หลวงพ่อท่านเจ้าคุณพระราชภาวนาโกศลในช่วงเช้าวันเสาร์ 11 มีนาคม พ.ศ.2560

    ขอนำบางส่วนจากในหนังสือเล่มนี้มาลงให้อ่านกันเพื่อให้เห็นถึงคุณธรรมวิเศษของหลวงพ่อท่านเจ้าคุณของเรากันครับ


    1.jpg 2.jpg

    (จากหนังสือ "พระราชภาวนาโกศล" หน้า 88-89)

    เปิดดูไฟล์ 4492983

    24131440_650809445309480_4917355552388588505_n.jpg
     
  15. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    112
    ค่าพลัง:
    +225,709
    IMG_20180211_074707.jpg

    ศิษย์ผู้มาใหม่
    3.jpg 4.JPG 5.JPG

    (จากหนังสือ "พระราชภาวนาโกศล" หน้า 174-176)

    อยากให้พระเห็นหน้า

    6.JPG 7.JPG

    (จากหนังสือ "พระราชภาวนาโกศล" หน้า 206-207)


    บันทึกความในใจของลูกศิษย์

    8.JPG
    (จากหนังสือ "พระราชภาวนาโกศล" หน้า 194)

    รู้ได้อย่างไร

    9.JPG 10.JPG
    (จากหนังสือ "พระราชภาวนาโกศล" หน้า 203-204)

    บารมีธรรม
    11.JPG
    (จากหนังสือ "พระราชภาวนาโกศล" หน้า 228)


     
  16. berbapor

    berbapor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,845
    ค่าพลัง:
    +21,862
    พี่วรรณครับ บ้านซอยสายลมจะ ถวายสังฆทานได้อีกทีตอนไหนครับพี่ วันนี้ไปแล้ว พี่วินมอเตอร์ไซด์เขาว่าให้รอถึงเดือน พ.ค หลวงพ่อถึงจะมาครับ
     
  17. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    112
    ค่าพลัง:
    +225,709
    ตามนี้ครับ

    pic-spp.jpg

    http://www.watthasung.com/wat/viewthread.php?tid=2499
     
  18. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,411
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    ธรรมะหรรษาร่าเริงในธรรมกับหลวงพ่อทุกๆท่านค่ะ
    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เรื่อง สนทนาธรรมวันมาฆบูชา

    Buddhism Channel
    Published on Mar 1, 2018
     
  19. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    112
    ค่าพลัง:
    +225,709
    IMG_20170901_120313.jpg
    DSC_0082_zpszyq5w7iu.jpg
    คนลองดีหลวงพ่อ


    ตอนฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลังนั่นมีเทปออกมาม้วนหนึ่ง คือโยมปู้ใช่ไหม ปู้ที่อยู่สุพรรณที่สุพรรณ ทีนี้พอฝึกกลับไปแล้วนี่โยมปู้ก็ไปบ้าน ไปบ้านก็ไปเล่าให้ลูกชายฟังก็บอกว่าฉันไปท่าซุงมานี่นะ ศาลานี่ตั้ง 12 ไร่ ศาลาจริงๆ นี่ตั้ง 12 ไร่ และห้องน้ำนี่เป็นพันๆ เป็นพันห้องนะ ไม่ใช่ห้องสองห้องร้อยสองร้อยเป็นพันห้อง ทีนี้ก็มีคนขัดคอคือลูกชาย

    “โอ้โฮ..เจอดีเข้าแล้วนะ”

    คนในบ้านขัดคอแม่เล่าให้ลูกชายฟังก็บอกกูอยากจะไปวัดท่าซุงศาลา 12 ไร่นี่ เฮ้ย..มึงเอาตลับเมตรให้กูที กูอยากจะไปวัดท่าซุงสักหน่อย แอ็คท่าขัดคอแม่ แม่ก็ห้ามอย่าไปพูดไปอย่าพูดไป

    ทีนี้เกิดยายปู้เขาจะมาวัด ลูกชายก็บอกผมไปด้วย เฮ้ย..มึงหยิบตลับเมตรให้กูทีว่ะ กูจะไปวัดท่าซุงกับแม่ว่ะ ก็พูดหยอกอย่างนี้ทีนี้ก็เกิดมาวัดจริงๆ พอมาวัดพอเข้าเขตวัดเท่านั้นเองลูกชายชักในรถ ดิ้นในรถนั่นแหละจะตายให้ได้เลย ยายปู้แกเคยมาวัดแล้วบอกเดี๋ยวพาเข้าโรงพยาบาลหลวงพ่อเลยๆก็ชักอยู่ในรถแบบนั้น

    ยายปู้ก็นึกถึงได้ว่าไอ้คนนี้มันพูดปรามาสหลวงพ่อไว้ปรามาสวัดท่าซุง ชักในรถใช่ไหม พอแกคิดอย่างนั้นแกก็บอกให้นี่มึงขอขมาหลวงพ่อซะ ขอขมาหลวงพ่อซะ ไอ้ลูกชายก็ขอขมานอนชักมือสั่น พอขอขมาเสร็จไม่ต้องไปโรงพยาบาลหายเดี๋ยวนั้นเลยนี่ หายไปเลย บอก โอ้โฮ..หลวงพ่อเล่นปราบ ทีนี้ลูกชายคนนี้กลับไปบอกกูเชื่อแล้ววัดท่าซุงวัดนี้ นี่ยายปู้มาเล่าแกเล่าตลกกว่านี้นะ แกสุพรรณนี่พ่อมันแล้ว ทีนี้ลูกมันอีกลูกมันเป็นแบบวัยรุ่นนี่

    “ลูกของลูกชายนะหรือ”

    ใช่ลูกชายมาเรียนหนังสือที่กรุงเทพกลับไปก็ได้ข่าวว่าวัดท่าซุง มันวัดใหญ่ใช่ไหม 200 กว่าไร่ ก็มาก็มากราบหลวงพ่อ ไอ้เด็กวัยรุ่นคนนี้ก็เข้าไปในวิหาร 100 เมตร พอเข้าไปพอไหว้หลวงพ่อ กลับมาลักรองเท้าเลยคู่ละ 1,600 รองเท้าอะไรก็ไม่รู้ลักไปเลย อะไรสกอร์ อะไรของจริงพันกว่าบาทนี่ลักไปเลย ยายปู้ไปเห็นหลานชายลักรองเท้ามาก็บอก อุ๊ย...มึงเอ๊ยวันนี้เขาต้องจับถ่ายรูปขึงไว้หน้าวัดแน่เลย มึงหนีไม่รอดแน่แล้วกูจะอายขายขี้หน้า เขารู้จักกูเสียด้วยซิ (หัวเราะ) เขาต้องถ่ายรูปไว้แน่ละแกก็ใจคนไม่ดีสั่นไปหมด กลัวตำรวจเขาจะจับได้

    พอขึ้นรถก็ไปเที่ยวรอบวัดไปถึงที่สมเด็จองค์ปฐม มีคนเดินไปเฉยๆไปถึงหยิบรองเท้าที่มันถอดไว้จะขึ้นมณฑปองค์ปฐมเนี่ย ไปหยิบไปเฉยๆเลยหยิบแล้วก็เดินกลับทันที ไม่ได้ถามว่ารองเท้านี่เอาไปยังไง เดินไปเอารองเท้าคู่นั้นน่ะ เดินเอารองเท้ามาเฉยๆ

    “มีอะไรดลใจให้ไปเอายังงั้น”

    เออแล้วก็ไม่รู้ใครจะถามคนไปเอารองเท้า จะถามซะอย่างว่า นี่แกเอารองเท้าฉันมาหรือ นี่รองเท้าของฉันนะไม่พูด ไปถึงก็หยิบแล้วก็เดินกลับเลย ยายปู้บอกเขาต้องไปแจ้งตำราจวัดแล้ว เขาต้องปิดประตูแล้วล่ะเขาต้องจับอะไรยังงี้

    นี่หลานชายแกก็ขึ้นไปไหว้พระข้างบนแล้วก็ลงมา พอลงมาก็บอกกับย่าคือยายปู้ ผมเชื่อแล้วครับว่าหลวงพ่อวัดท่าซุงศักดิ์สิทธิ์ เพราะว่าผมเข้าไปกราบพระศพท่าน ผมอธิษฐานไว้ถ้าหลวงพ่อวัดท่าซุงเก่งจริง อย่าให้มันลักรองเท้าออกจากวัดได้ มันจะนับถือตลอดชีวิตเลย

    แล้วเขาก็ไปเสี่ยงเซียมซีบนมณฑปองค์ปฐม เซียมซีก็บอกว่าพ่ออยากเจอนัก ไอ้คนจริงนี่ เซียมซีบอกเสียด้วยนะ พ่ออยากเจอนักคนจริงนี่ เออ..ขอให้มึงตั้งใจเรียนหนังสือให้ดีนะ ต่อไปจะเป็นเจ้าคนนายคน เป็นใหญ่เป็นโต อะไรยังงี้นะ เอ๊ะ..เซียมซียังงี้ไม่เคยพิมพ์ แล้วคนที่ไปเอารองเท้านี่นี่เข้าใจว่าไม่ใช่คนธรรมดาหรอก คงจะโปรดไอ้คนนี้แหละไอ้คนธรรมดาถ้าเป็นเจ้าของรองเท้าก็ต้องถามไอ้นี่มึงลักของกูมานี่ แล้วตำรวจมีต้องให้มันจับ อะไรยังงี้ นี่มันเอารองเท้ามาเฉยๆ ไม่ถามสักคำว่าไปเอารองเท้ามาหรือรองเท้าใครยังงี้น่ะ ไปหยิบรองเท้ามาก็มาเฉยเลย บอกเออ ก็แปลก ทีนี้บ้านยายปู้สุพรรณนี่เขาลือกันหมดซิ ก็ปราบเซียนแล้วนี่ ปราบไอ้คนบ๊องๆ

    "ไอ้รายแรกนั่นตลับเมตรจะไปวัดวัดหรือ”

    ชักในรถเลยนะยังไม่ทันเข้าวัดเข้าเขตวัดนั่นแหละ เข้าเขตก็ชักเลย ทีนี้มันก็เชื่อซิโพทนากันไปหมด

    หลวงพ่อพระราชภาวนาโกศล(อนันต์ พทฺธญาโณ)

    (จากหนังสือประวัติหลวงพ่อพระราชพรหมยาน หน้า 55-56)

    68258_4802993875582_1423564527_n.jpg

    14469669_10154610278504329_2776779117707648872_n.jpg 12109022_10153715443279329_7296510920200524345_n.jpg
    IMG_20180211_074825.jpg
     
  20. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    112
    ค่าพลัง:
    +225,709


    21 ก.พ. 2561 พระพรหมสิทธิ เจ้าอาวาสวัดสระเกศ กล่าวสัมโมทนียกถา ณ วัดท่าซุง



    21 ก.พ. 2561 พระครูปลัดสมนึก สุธมฺมธิรสทฺโธ เจ้าอาวาสวัดจันทาราม(ท่าซุง) อุทัยธานี กล่าวสัมโมทนียคาถา



    21 ก.พ. 2561 พระครูภาวนาธรรมนิเทศก์ พระอาจารย์ชัยวัฒน์ อชิโต ให้โอวาทแก่พระภิกษุสงฆ์วัดท่าซุง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มีนาคม 2018

แชร์หน้านี้

Loading...