ธรรมกาย คือนิพพานธาตุ ใช่หรือไม่

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Prasit5000, 13 เมษายน 2017.

  1. Prasit5000

    Prasit5000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    301
    ค่าพลัง:
    +228
    .....ขอตั้งกระทู้ และโพส เป็นครั้งสุดท้ายหายไปจากเวบบอร์ดนี้(โดยมีข้อแม้อยู่นิดเดียว คือคุณนิวรณ์ไม่ต้องมาตอบกระทู้ผม )

    .....เข้าเรื่อง
    ....ธรรมกาย คืออะไร เท่าที่ผมฟังจากยูทูป เรื่อง ธรรมกายคืออะไร โดย พระเทพญาณมงคล ท่านกล่าวว่า ธรรมกายก็คือ นิพพานธาตุนั้นเอง (ลิ้งค์
    )
    ......พระอาจารย์ท่านนี้กล่าวได้อย่างมีเหตุผลดี ตรงกับที่ผมเข้าใจ นิพพานธาตุ ก็คือนามธาตุ ที่เป็น อสังขตธาตุ มีลักษณ์ ที่เที่ยง อยู่ในแต่ละบุคคลนั้นเอง ท่านลองไปฟังดูจากยูทูปนี้ก็ได้ ละเอียดดีมาก
    .....ท่านไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับวัดพระธรรมกายแหละ

    .....สิ่งหนึ่งที่ท่านมิได้กล่าว ก็คือ นิพพานธาตุ มีคุณสมบัติเป็นตัวผู้รู้หรือไม่

    .....ผมเชื่อหมั้น ร้อยเปอร์เซนต์ ว่า มีนิพานธาตุ อยู่ในร่างกายเรานี้แหละ เป็นตัวผู้รู้อีกตัวหนึ่งแน่นอน นิพพานธาตุมิได้ เป็นธาตุที่ รับรู้สิ่งต่างๆได้ โดยผ่าน ทางจิตบ้าง หรือทางอื่น เรายังก้าวไม่ถึงตรงนั้น
    ....จิต รู้สิ่งต่างๆ ผ่าน ระบบสัมผัส ทั้งห้า ตา หู จมูก ลิ้น กาย
    ....ตัว นิพพานธาตุ รับรู้ สิ่งต่างๆ โดยผ่านระบบสัมผัสทางจิต
    ....แล้วเมื่อพระอรหันต์ ตาย สิ่งที่เหลือก็คือ นิพพานธาตุ เพราะจิตดวงสุดท้ายท่านดับแล้ว ไม่มีจิตดวงใหม่เกิดอีกต่อไป แล้ว นิพพานธาตุที่เหลือ จะมีการรับรู้ผ่านอะไร อันนี้ ทำไมพระพุทธองค์ไม่ตรัสให้ข้าพเจ้าฟังหน้อ

    .....ถ้าผมบอกว่า ผมนั่ง ทำอานาปานสติอยู่ รู้ลมเข้า รุ้ลมออก ตามด้วย สัมปชัญญะ คือรุ้สึกตัวอยู่ รู้สึกตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่ รู้ว่านี้ลมเข้า เข้ามา เข้าน้อย ความที่ผมรู้เช่นนี้ เรียกว่าสัมปชัญญะ
    ....ความรับรู้ที่ เป็นจิต ความรับรู้ที่ เป็นสัมปชัญญะ สองสิ่งนี้ ผมว่าตัวผมเองแยกได้ ผมเชื่อพระพุทธองค์ ว่า สัมปชัญญะมิใช่จิต มันเป็นการรับรู้ที่อีกแบบหนึ่ง ผมเชื่อว่าผมถึงแก่นพระพุทธศาสนาในระดับหนึ่ง เพราะถ้าถึงแก่นจริงๆต้องได้บรรลุธรรม เป็นปริญญาใบแรกเลยทีเดียว

    ......ศาสนาอื่นสอน เกี่ยวกับจิต เกี่ยวกับวิญญาณ เพียงระดับเท่านั้น แต่พุทธศาสนาสอน ว่า จิต เป็นเพียงสิ่งที่สัตว์โลกไปยึดเอาว่า เป็นตัวเอง การแยกความรุ้สึกว่านี้คือจิต นี้คือการรับรู้ของ นิพพานธาตุ ก็มิใช่ของยากเกินไป เพียงแต่ท่านยอมรับว่ามี สองสิ่งนี้หรือไม่เท่านั้น (จิต กับ นิพพานธาตุ )
    .....ถ้าท่านคิดว่า มีแต่จิตคือตัวผู้รู้ เท่านั้น ท่านเฝ้าแต่ว่า เมื่อใหร่ จิตท่านจะบริสุทธิ เมื่อใหร่จิตท่านจะกลายเป็นจิตเดิมแท้ มันก็อยู่แค่ระดับจิตเท่านั้นจะต่างจากศาสนาอื่นได้อย่างไร

    .....ตัวผู้รู ้สองตัว ทำไมมีแต่คนคัดค้าน ผมเชื่อว่ามี เพราะเราสามารถนำมาอธิบายคำสอนได้ เช่น

    ......อริยสัจ สี่
    ......ทุกข์ ก็คือความไม่เที่ยงของ ขันธ์ห้า สิ่งที่ไม่เที่ยงมันเป็นทุกข์ จิตก็อยู่ในขันธ์ห้า จิตไม่เที่ยงจิตจึงเป็นทุกข์
    ....สมุททัย สาเหตุก็มาจาก การยึดหมั้นในข้นธ์ห้าของสัตว์โลก นี้ก็หมายถึง ตัวผุ้รุ้ตัวที่สอง ไปยึดเอาว่า ตัวจิต เป็นตน เป็นสักยะทิฏฐิ ทำให้เป็นทุกข์
    ....นิโรธ ก็คือ การที่ตัวผุ้รู้ตัวที่สอง ตัด สังโยชน์ ที่ยึดกับตัวผุ้รู้ตัวทึ่หนึ่งได้
    .....มรรค ก็คือ วิธีการตัด กิเลสสังโยชน์ ที่ยึดเอา ตัวจิต กับ นิพพานธาตุ ออกจากกันนั้นเอง

    .....ในพระสูตร เรามักจะได้ยิน คำกล่าวว่า สัตว์โลกบ้าง ตนบ้าง เธอบ้าง เป็นสัพนาม แทน นิพพานธาตุนั้นเองแหละเช่น
    ....ถ้าเห็นสักแต่ว่าเห็น ในโลกนี้ก็จะไม่มีเธอ .
    ....เธอ ผู้ท่องไปในวัฏสงสาร อันหาที่สุดมิได้

    .....สัมปชัญญะ กับญาณ มิใช่จิต แต่เป็นกริยาของนิพพานธาตุ เรื่องนี้มีคนค้านอย่างมากมาย ช่างเถอะไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร

    .....ธรรมะคือธรรมชาติทางนามธรรม ที่เป็นจริงของมันอย่างนั้น เมื่อพระพุทธเจ้านำมาอธิบาย ก็นับว่าถูกต้อง เพราะสิ่งที่นำมาสอนล้วนมาจาก การตรัสรุ้ ด้วยพระพุทธญาณ จึงเป็นศาสนาพุทธ

    ......ถ้าควาามเห็นไม่ตรง ก็จะเป็นสัมมาทิฏฐิได้อย่างไร ถ้าความเห็นไม่ถูกต้อง ก็ยากที่จะบรรลุธรรม

    .....สมัยผมเป็นนักศึกษา ผมเห็นเขาจัดโต้เวที มิเห็นใครมาด่ากัน ฝ่านใหนมีเหตุมีผล ก็ยิ่งทำให้คนฟังปรบมือกันสนั้น มันสนุกสนานดี ไม่เหมือน เวทีธรรมะของเราเลยแปลกนะผมว่า

    .....ก่อนลาจาก การมาโพส มาเขียนในเวบนี้ ก็ขอขอบคุณทั้งคนอ่าน คนมา ตอบ สำหรับคนมาด่าก็ช่างเขาเเถอะ เพราะผมถือว่า มะโนกรรมสาม ผมละได้ (ไม่โลภอยากได้ของผู้อื่น,ไม่ผูกพยายาท,มีสัมมาทิฏฐิ)

    .....สวัสดีครับ
     
  2. รโชหรณัง

    รโชหรณัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    547
    ค่าพลัง:
    +732
    จะไปไหนหรือครับถึงต้องออกตัวแรงว่า เป็นครั้งสุดท้าย
    เผื่อเอาไว้บ้างก็ได้ครับ เผื่ออยากจะมาตั้งคำถาม


    คิดว่า จิตเดิมแท้ เป็นจิตที่มีอวิชชา คือ เรา
    เมื่อดับอวิชชาตัวนั้นไป ธาตุรู้นั้นย่อมกลับไปสู่สภาวะนิพพาน กลายเป็นนิพพานธาตุหรือธรรมธาตุไป
    นิพพานธาตุหรือธรรมธาตุนี้ เกินคาดเดา พระท่านกล่าวว่า น้ำไหลไปรวมในมหาสมุทร พระพุทธเจ้ากับเราเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันครับ
     
  3. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,434
    ค่าพลัง:
    +35,014
    ไหนๆจะไปแล้วขอพูดตรงๆนะ
    อย่ามาย้อนคืน แล้วทำเป็นอวดรู้
    แบบที่ชอบทำกับทุกๆนะ


    สมถะคุณไม่พอคับจึงไม่เห็นผู้ดูคับ
    เห็นแต่ผู้รู้ ซึ่งมันมีทั้งสองตัวคับ
    ต้องไปเพิ่มสมถะก่อน
    ถ้าคุณเน้นเชิงวิปัสสนาจะไม่มีทางเห็นผู้ดูได้
    ประกันได้ว่าขาตินี้คุณจะไม่เห็นมัน
    และจะเข้าใจว่ามีแต่ผู้รู้และจะเข้าใจ
    กิริยามันคลาดเคลื่อนอย่างที่เข้าใจ
    อยู่ทุกวันนี้ แต่แปลกนะมีหลานคน
    พยายามบอกคุณนะ
    แต่ทิฐิคุณมันสูงมาก
    และยังคิดว่าตนรู้มากอีก
    และทั้งผู้ดูผู้รู้นี้แม้เห็นได้มันก็ยัง
    เป็นกระบวนการปรุงแต่งอยู่คับ
    ซึ่งต้องอาศัยปัญญาญานเข้า
    ไปรู้กระบวณการเกิดมันอีก
    ซึ่งคุณไม่มีฐานที่จะเห็นเลย
    เลยทำให้คุณยังไม่เข้ากิริยาผู้รู้เลยครับ
    ตรงนี้ไม่ว่ากันเพราะคุณใช้งานทางจิต
    ไม่ได้จึงไม่แปลกคับ คุณถึงไม่เข้าใจ
    กระบวณการรับรู้ของจิตครับ
    แต่คิดว่าเป็นการรู้คือคิดเอง
    และพยายามคิดเอาว่ามันเป็นอย่าง
    โน้นนี่นั่นซึ่งพูดยังไงก็ผิดครับ

    และการคิดว่าตนรู้. และสำคัญตัวเองผิด
    ต้องระวังมากๆนะครับ
    เพราะทางปฎิบัติ ด้านจิตถือว่าคุณ
    แทบยังไม่คลอดเลยนะครับ
    แต่สำคัญตัวเองเป็นเช่นนักปราชญ์
    แถมทิฐิสูงมาก ยึดมั่นสิ่งที่ตนรู้มาก
    ตรงนี้ถ้าคุณไม่แก้ คุณปฎิบัติไปจนแก่ตาย
    ก็ไม่พัฒนามากกว่านี้คับ
    พูดง่ายๆจะวกวนไปมาวนเวียน
    คิดไปเองแบบนี้ตลอดชาติครับ

    ไอ้ตัวผู้รู้มันถูกส่งออกจากตัวผู้ดูครับ
    ส่งไปกะทบ ในสิ่งนั้นๆ มันแค่ไปเห็นไปรู้
    ในสิ่งที่มันไปกระทบแค่นั้น
    แต่มันไม่ได้รู้ว่าสิ่งที่ผู้รู้ไปกระทบนั้นๆ
    คืออะไร เกิดจากอะไรนะคับ

    ถ้าตรงนี้คุณไม่เข้าใจ คุณไม่ต้องไป
    พยายามตีความเรื่องธรรมกาย
    หรือนิพพานธาตุอะไรหรอกครับ
    เพราะพูดทั้งชาติคุณก็ผิด
    เพราะไม่ได้เข้าถึงจากการปฏิบัติครับ

    อืมมมมมม ต่อให้คุณกลับมาไม่ว่าอีกกี่ปี
    คุณก็จะเหมือนเดิม
    นั่นหละครับ ถ้าไม่แก้อย่างที่
    ส่วนตัวแนะนำ
    และอย่าลืมขอขมากรรม
    ให้มากๆนะครับ โดยเฉพาะกับภาคส่วน
    ภพภูมิต่างๆนอกจากระดับพระพุทธฯนะคับ
    ไม่งั้นส่วนตัวประกันได้ว่า
    ชาตินี้ให้คุณนั่งสมาธิทั้งชาติ
    สมาธิคุณจะได้ไม่เกินระดับปฐมฌาน
    แน่นอนครับ.
    ปล โชคดีนะคับ อย่าลืมจำชื่อผมไว้ด้วยนะ
    เพราะ วันหนึ่งคุณจะรู้ว่าคุณจะต้องคุย
    กับผมอย่างไร (^_^)
    ยินดีที่ได้สนทนาส่งท้าย
    สงกรานต์ bye

     
  4. Xtrem

    Xtrem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2016
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +275
    คุณ prasit จะบอกว่า ตัวจิต กับ นิพพานธาตุ เป็นผู้รู้สองตัวก็ไม่ผิดครับ แต่อยากให้เข้าใจอย่างนี้ว่า ตัวจิต ที่อยู่ฝั่งสมมุติ กับตัวนิพพานธาตุอยู่ฝั่งวิมุตติ เป็นตัวเดียวกัน พอเข้าใจหรือยังครับว่า มันก็คือผู้รู้ตัวเดียวกัน เพียงแต่เปลี่ยนสภาวะไปเท่านั้น อย่างคุณ prasit เคยเป็นเด็กมาก่อน
    ตอนนี้เป็นผู้ใหญ่แล้ว คุณ prasit ไม่ได้มีสองคน มีคนเดียวแค่เปลี่ยนสภาวะจากเด็กเป็นผู้ใหญ่
    ที่ท่องไปในวัฎสงสารก็จิตดวงนี้ ที่ยังมีอวิชชา เมื่อจิตพ้นสมมุติเป็นวิมุตติ ก็จิตดวงเดียวนี้ ผู้รู้ก็จิตอันนี้ สติ สัมปชัญญะ ก็ออกมาจากจิตดวงนี้ เจตสิกทั้งหลาย นามธรรมทั้งปวงก็มาจากจิตดวงนี้ จิตดวงเดียวเป็นไปได้หลายอย่าง แต่รับรู้ได้ทีละอย่าง เกิดดับอย่างรวดเร็ว ส่วนเรื่องการที่คุณถูกค้านก็เป็นเรื่องปกติที่ นักปฎิบัติจะต้องค้าน เพื่อให้เห็นธรรมไปในทางเดียวกัน การปฎิบัติเข้ามาเห็นจึงเป็นเรื่องสำคัญ ไม่ใช่แค่การอ่านตำราแล้ววิเคราห์ะเอา ถ้าอย่างนั้นคงมีคนบรรลุธรรมกันทั่วเมือง ถ้าเอาตำรามาเล่มหนึ่งให้ทุกคนอ่านและวิเคราห์ะ ผมกล้ารับประกันเลยว่ามันเถียงกันเป็นชาติก็ไม่จบ หาข้อสรุปไม่ได้เพราะอะไร เพราะต่างคนต่างมีความคิดของตน คิดว่าความคิดของตนถูกทั้งนั้น เพราะทุกคนล้วนคิดวิเคราห์ะจากประสบการณ์ที่ตนมี ยกตัวอย่าง แค่พระประธานในโบสถ์ บางคนก็ว่าสวย บางคนก็ว่าไม่สวย บางคนว่าท่านยิ้ม บางคนว่าหน้าบึ้ง เพราะว่าไม่ได้ดูจิตของตนว่าเป็นอย่างไร ไปดูแต่ของภายนอก มันจึงมีเรื่องเถียงกัน
    ทีนี้ถ้าคุณอยากจะเรียกว่ามันว่าเป็นผู้รู้ทั้งสองตัวก็ไม่ผิด อย่างที่กล่าวข้างต้น แต่อยากให้เข้าใจว่ามันออกมาจากจุดเดียวกัน แค่เปลี่ยนสถานะไปเท่านั้น เพื่อไม่ให้ผู้ปฎิบัติมาใหม่ไขว่เขว่ สบสนกับการบัญญัติผู้รู้เพิ่มเติม สุดท้ายขอให้คุณ prasit ละวางอคติลง ลองปฎิบัติเพื่อเข้ามาเห็น
    ให้สมภูมินักปฎิบัติเถอะครับ.
     
  5. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    ผมว่าไม่ใช่แค่ท่านกล่าวมีเหตุผลดีหรอกครับ แต่ท่านเห็นแจ้งจริงๆ ครับ ท่านถึงได้หนักแน่นมั่นคงถึงเพียงนี้ นี่แหละครับ จื่อ (จำ) ไว้เลย จะต้องแจ้งในส่วนที่เป็นอสังขตธรรมนี้ให้ได้ก่อน มันถึงจะปฏิบัติเพื่อน้อมไปสู่พระนิพพานนั้นได้จริง จิตรักพระนิพพานก็อันนี้แหละครับ เหมือนกัน
     
  6. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,420
    ค่าพลัง:
    +3,204
    เชื่อค่ะ เป็นสภาวะแก่นแท้คืออนัตตาอยู่ในตัวเรานี่แหละค่ะ
    ถ้าเราเป็นพลังงานที่มีความรู้สึก สภาวะอสังขตธรรมที่เป็นธรรมภายในก็ถูกห่อหุ้มไว้อยู่ในสุด ที่เป็นสภาวะรู้ ที่ทุกข์เข้าไปไม่ได้ ไม่เกิดแก่ไม่เจ็บไม่ตาย เป็นสภาวะรู้ภายในที่เปรียบเสมือนไข่แดง ที่ถูกห่อหุ้มด้วยไข่ขาว และเปลือกไข่ที่เป็นจิตและวิญญาณอีกทีนึงค่ะ

    จะรีบไปไหนค่ะ ให้กำลังใจค่ะ ติดตามอ่านอยู่เหมือนกันก็ดีเหมือนกันนะ. เป็นบททดสอบให้ ถ้าถือสาก็เป็นเรื่องเป็นราว ถ้าไม่ถือสาก็เป็นลมเป็นแล้งค่ะ
     
  7. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014


    พระพุทธะ แบ่งพวกที่ข้ามโคตรแล้ว
    เป็น สี่ประเภท ซึ่งก็คือ

    พระโสดาบัน คือ พวกที่พิจารณาที่กาย
    หรือ กายในกาย พิจารณาถึงความไม่เที่ยงของมัน

    พระสกิทาคามี คือ พวกที่พิจารณาที่เวทนา
    หรือ เวทนาในเวทนา พิจารณาถึงความเป็นทุกข์ของมัน

    พระอนาคามี คือ พวกที่พิจารณาที่จิต
    หรือ จิตในจิต พิจารณาถึงความไม่เที่ยงของจิต

    พระอรหันต์ คือ พวกที่พิจารณาที่ธรรม
    หรือ ธรรมในธรรม พิจารณาถึงความไม่มีอยู่จริงของธรรม
    จนในที่สุด ก็ทิ้งธรรม หรือ ธรรมะทั้งปวง ไป
    จึงบรรลุ อรหันตผล ได้
    เหลือแต่ อารมณ์ปล่อยวาง อย่างเดียว
    อารมณ์ปล่อยวาง หรือ ความไม่อยากเกิด
    เรียกว่า การดับภพ หรือ นิโรธ


    ส่วนนิพพานธาตุ จะมีอยู่ใน พระอรหันต์
    ถ้าเป็น พระอรหันตมรรค คือ
    พวกที่ยังหาหนทางในการดับทุกข์โดยสิ้นเชิง
    จะมี นิพพานธาติ อยู่ในกาย เป็นบางส่วน
    แต่ถ้าเป็น พระอรหันตผล คือ
    หาทางดับทุกข์ได้หมดแล้ว
    จะมีนิพพานธาตุ อยู่เต็มกาย
    จิตจะมุ่งมั่น แต่เรื่อง ดับทุกข์
    เรื่องอื่น ไม่สำคัญสำหรับท่าน
    มุ่งจะไป นิพพาน อย่างเดียว

    สะอุ กับ อนุ จะแยกอย่างนี้
    พระอรหันตมรรค คือ สะอุปาทิเสสา
    พระอรหันตผล คือ อะนุปาทะเสสา
     
  8. Xtrem

    Xtrem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2016
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +275
    ตายห่า หลงปฎิบัติมาตั้งนาน หลงคิดว่านิพพานธาตุมีในทุกคน กลับมีเฉพาะในพระอรหันต์เท่านั้น ม้วนเสื้อ เก็บหมอน กลับบ้าน เลิกๆ
     
  9. Xtrem

    Xtrem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2016
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +275
    ถ้านิพพานเป็นของมีขึ้นได้ด้วยการ ทำให้มีขึ้น ทำให้เป็นขึ้นมา สร้างขึ้นมาได้ ก็เลิกคุย
    ปฎิบัติเท่ากองขี้ไก่เท่านั้นเอง
     
  10. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014

    นิพพาน เกิดได้กับทุกคนครับ เท่าเทียมกัน
    แต่ก็ไม่ใช่ว่า ทุกคนจะเข้าถึง ธาตุนิพพานได้
    ก็เพราะ พระโสดาบัน ยังต้องหลงเกิดอีกหลายชาติ
    เพราะตอนฝึก ไม่ได้ถูกฝึกให้นึกถึง พระนิพพาน โดยตรง
    จิต จึงยังอยากทำโน่นทำนี่ เพื่อ พระพุทธศาสนา อยู่

    แต่ถ้าเป็นการฝึกให้นึกถึง พระนิพพาน โดยตรง
    แบบที่ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เคยสอนลูกศิษย์ไว้
    อันนี้ ทุกคนที่ฝึกก็สามารถ ไปถึง นิพพานธาตุได้
    เมื่อตายไป ก็จะเป็นพระอรหันต์ ทันที
    นี่เพราะ แบบฝึก บังคับไว้ว่า
    ต้องไปถึงนิพพานเท่านั้น
    อย่างอื่นฉันไม่เอาแล้ว มันน่าเบื่อ
    หากตายไป ขอไปนิพพานอย่างเดียว

    เมื่อทรงได้อย่างนั้นแล้ว ทีนี้ก็มาดูว่า
    พระอรหันต์ ทรงจิตอย่างไร
    แล้วก็ฝึกทรงจิตให้ได้อย่างนั้น
    วันละเล็กวันละน้อยค่อยๆสะสมไป เดี๋ยวก็เต็ม
    อย่างนี้เรียกว่า ทางลัด สำหรับ ผู้เทียบเท่าพุทธภูมิ

    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ท่านสอนให้ทุกคนทำเหมือนกัน
    แต่ก็ไม่ใช่ว่า จะทำได้กันทุกๆคน
    โดยเฉพาะ พวกที่ชอบลังเลสงสัย
    จะทำไม่ค่อยได้ เพราะเอาแต่สงสัย ไม่ค่อยทำจริงๆ
     
  11. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014

    หากนิพพานธาตุ เกิดขึ้นพร้อมกันได้
    พระพุทธเจ้า ก็คงไม่เปรียบเทียบ
    บุคคล เป็นดั่ง บัวสี่เหล่า
    บุคคลไหน นิพพานธาตุ เกิดได้ก่อน
    ก็สอนก่อน แล้วก็บรรลุได้ก่อน
    แต่ถ้าบุคคลไหน นิพพานธาตุ ยังอ่อน
    ก็ต้องค่อยๆ สะสมต่อไป

    ส่วนพระอรหันต์ คือ ผู้ที่นิพพาน เกิดขึ้นในใจแน่นอนแล้ว
    จึงสามารถ นำมากล่าว เป็นตัวอย่างได้
    ส่วน โพธิจิต ก็ยังเป็นพวกที่ไม่แน่นอน
    ยังมีอยากเกิดอีก ไม่สิ้นสุด

    เปรียบเหมือน เราเรียน ปริญญาตรี มาสี่ปี
    แต่ยังไม่ได้สอบปลายภาค ปลายเทอม
    เราจะเรียกตัวเอง จบปริญญาตรี ใหม
    ก็ยังไม่ใช่ ต้องรอให้เค้าประกาศผลเสียก่อน
    จึงจะเรียกว่า ผู้มีปริญญา หรือ ผู้จบการศึกษา
    ไอ้ที่เราเรียนมาสี่ปี หากมหาลัยฯ ไม่ประกาศให้เราผ่าน
    ก็เท่ากับเรา ไม่ได้วุฒิอะไรเลย
    ต้องกลับไปใช้ วุฒิมอหก เหมือนเดิม

    ก็เหมือนกับ การเป็นพระอนาคามี เป็นอย่างต่ำ
    จึงจะสามารถ เข้านิโรธ ได้
    แต่ พระโสดาบัน กับ สกิทาคามี
    ก็ทำได้เหมือนกัน เข้านิโรธ ได้
    แต่ก็อยู่ได้ไม่นาน เข้าใจได้ไม่ถึง
    เรียกว่า ธาตุอรหันต์ หรือ ธาตุนิพพาน ยังไม่พร้อม
    แล้วจะกล่าวไปใย ให้เมื่อยปากเล่า
     
  12. Xtrem

    Xtrem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2016
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +275
    คือ คุณ จะสะสมนิพพานธาตุ ส่งชิงโชครางวัลใหญ่หรือไงครับ รีบๆเข้านะครับ เดี๋ยวจะหมดเขตเสียก่อน ชวดรางวัลใหญ่ไปนิพพานด้วยการสั่งสมธาตุ นิพพานกลายเป็นของไว้สะสมเพื่อแลกรางวัลเสียแล้ว ไปกันใหญ่แล้วครับคุณ nirakarn อย่าพูดถึงสภาวะที่ตัวคุณเองไม่ถึงดีกว่าครับ ยิ่งพูดยิ่งผิด ยิ่งพูดยิ่งเลอะเทอะกันไปใหญ่
     
  13. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,420
    ค่าพลัง:
    +3,204
    มีอะไรให้ดูค่ะ เป็นรูปภาพวันที่ ร.๑๐. ยกอัฐิธาตุหลวงปู่มั่นเมื่อเร็วๆ นี้ค่ะ สังเกตุภาพในวงกลมบนสุดนะค่ะ ใจกลางจะมีแสงสว่างภายในค่ะ FB_IMG_1492339261305.jpg
     
  14. Prasit5000

    Prasit5000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    301
    ค่าพลัง:
    +228
    ....ขอบคุณทุกคน

    ....คนบางคนกลัวผม เกลียดผม คนอย่างผมมีน้ำหนัก ถึงขนาดนั้นเชียวหรือ

    ....ความจริงก็คือความจริง โกหกตัวเองไปทำไม ว่าสิ่งที่ผมนำเสนอ มันบาดใจคุณ

    ....ที่ผมว่าสุดท้าย เพราะ อยากอยู่เงียบๆ เพราะ เท่าที่เข้ามา มันไม่เป็นเอกภาพ แต่ละคน พูดไม่เหมือนที่เราเรียนในพระสูตร บางอย่างมันแย้งเหตุผลกัน ตามความเข้าใจนะ

    ....การเข้ามาโพส เหมือนกับสร้างศัตรู มันไม่มีประโยชน์เลย

    ....อย่างคุณ nopphakan เขาก็เหมือนเป็นเจ้าของเวบ ผมเห็น ที่เขาเขียน ผมไม่อ่านเลย เหมือน มันแผ่ รังสี ความผูกโกรธ อย่างเห็นได้ชัด

    .....มันเป็นอุทาหรณ์ คนที่จะเข้ามาโพส ต้องดูผมเป็นตัวอย่าง ว่า มิใช่ตลาดความคิดที่เปิดกว้างให้แนวคิดที่หลากหลาย เวบเขามีเจ้าอยู่ ถ้าจะนำเสนอ ที่ต่างไป ก็จะ ถูกว่า ต่างๆ นาๆ ไปดูตัวอย่าง สองสามกระทู้ที่ผมเคยตั้งใว้นั้นแหละ
     
  15. รโชหรณัง

    รโชหรณัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    547
    ค่าพลัง:
    +732
    สวนกลับไปบ้างเลยสิครับ :D:D:D
    มิตรคือพระธรรม คำสอนของพระพุทธเจ้าครับ
     
  16. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,258
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762
    ลองไปวิเวกซักพักก่อน สามสี่เดือนค่อยมาหาเที่ยวเล่นใหม่
    น่าจะดีนะครับ
     
  17. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014


    แล้วนิพพานธาตุ ที่คุณรู้จัก เป็นยังไงครับ
    ลองอธิบายมาให้ฟังหน่อย

    ผมไม่ได้บอกว่า ธรรมกาย คือ นิพพานธาตุ หรือเปล่า
    แต่ผมเคยบอก คนที่โพสต์เรื่อง ธรรมกาย ไปแล้วว่า
    ธรรมกาย ก็คือ สมถะอย่างหนึ่ง
    ซึ่งบางอันเป็น รูปญาน และมีบางอันเป็น อรูปญาน
    แต่ไม่มีอันไหน เป็นวิปัสสนาญาน เลย

    และในตอนหลัง หลวงพ่อสด จึงได้เพิ่มเติม
    เรื่อง วิปัสสนาญาน เข้าไปใหม่
    เพื่อที่จะกันไม่ให้ ศิษย์รุ่นหลัง
    หลงในอภิญญาทั้งปวง
    แต่ไม่เป็นพอใจของเหล่า ลูกศิษย์
    จึงเลือกสอน แต่เรื่อง ธรรมกาย อย่างเดียว
    เรื่องวิปัสสนาญาน กลับไม่เน้น
    เพราะไม่ได้มีเอี่ยว ในเรื่องผลประโยชน์ที่ได้รับ
    สู้สอนเรื่อง ธรรมกาย อย่างเดียวไม่ได้
    ลูกศิษย์ตรึม แล้วก็โลดโผนโจนทะยานกว่า
     
  18. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    ธรรมกายเป็นชื่อของตถาคต (พระพุทธเจ้า)

    "ดูกรวาเสฏฐะ และภารัทวาช เธอทั้งหลาย มีชาติ-ชื่อ-โคตร-ตระกูล ต่างๆกัน ออกจากเรือนบวชเป็นอนาคาริก ...เป็นสมณศากยบุตรเสมอกัน ผู้ใดมีศรัทธาที่ปลูกฝังลงแล้วในตถาคต...ก็สามารถกล่าวได้ว่า เราเป็นบุตร เป็นโอรส เกิดจากพระโอษฐ์ของพระผู้มีพระภาค เป็นผู้เกิดจากธรรม เป็นธรรมนิรมิต (ผู้ที่ธรรมสร้าง) เป็นธรรมทายาท (ทายาทแห่งธรรม) ข้อนั้น เพราะเหตุไร ? ก็เพราะว่า คำว่า ธรรมกาย ก็ดี พรหมกาย ก็ดี ธรรมภูต ก็ดี พรหมภูต ก็ดี นี้เป็นชื่อของตถาคต" (ที.ปา.11/55)

    http://group.wunjun.com/whatisnippana/topic/628819-27025
     
  19. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    ระวังหน่อยก็ดีนะครับ อะไรมันก็ไม่แน่ อย่างผมเนี่ย เมื่อก่อนก็คิดแบบนั้นเหมือนกันว่า เป็นแค่สมถะธรรมดาๆ แต่พอเอาเข้าจริงๆ มันไม่ใช่แบบนั้นซะแล้วนะสิครับ กลายเป็นว่า สิ่งที่หลวงพ่อท่านกล่าวมา มันอาจจะมีกุศโลบายอะไรซ่อนอยู่ก็ได้

    คำที่พระท่านกล่าวว่าเป็นอสังขตธรรมนั้น คุณรู้อะไรไหม มันไม่ใช่นึกอยากจะเห็นก็เห็นกันได้ง่ายๆ เลยนะครับ มันต้องยอม ต้องเอาชนะใจตนเอง ต้องเลิกเอาความคิดเห็น ความเชื่อของตัวเองมาตัดสินก่อน เพราะพวกนี้มันจะเป็นมลทินที่คอยไปขวางการเห็นตามความเป็นจริงจริงๆ เสียหมดนั่นเอง มันทำให้เราขาดความเป็นกลางต่อการดูการรู้ตามความเป็นจริง ธรรมที่ควรรู้ควรเห็นจึงไม่อาจประจักษ์แก่ใจได้

    ลองคิดถึงบทธัมมจักกัปปวัตนสูตรดูนะครับ เพราะไม่มัชฌิมาปฏิปทาพอนั่นแหละจึงก้าวไปสู่การเห็นธรรมตามความเป็นจริงตามที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ไม่ได้ ดังนั้นพระพุทธองค์จึงทรงแสดงธรรมในส่วนนี้ก่อนธรรมอื่นเลยคือ ที่สุดอันบุคคลไม่ควรเสพสองอย่าง ได้แก่ กามสุขัลลิกานุโยค กับ อัตตกิลมถานุโยค

    และทรงให้เดินสายกลางคือมัชฌิมาปฏิปทา นี่ทรงสอนปรับเปลี่ยนเลิกละทิฏฐิความเชื่อเดิมๆ ออกไปก่อนเลย เห็นไหมครับ ถ้าจะเห็นแจ้งในธรรมของพระพุทธองค์จะต้องเลิกระบบความเชื่อเดิมๆของตัวเองออกไปให้หมดเสียก่อน เป็นกลางก่อน จะพอทำกันได้ไหมเท่านั้นเองครับ

    แล้วจะเห็นว่าแม้แต่ความเชื่อในคำสอนของพระองค์ ก็ไม่ทรงให้เชื่อเลยในทันที แต่ให้วางใจเป็นกลาง แล้วลองทำตาม ลองพิสูจน์ดูก่อน เห็นผลประจักษ์ชัดจริงเมื่อไหร่ นั่นแหละจะเชื่อเองโดยไม่ต้องมีใครมาบังคับเลย มีหลักฐานอยู่ในหลักกาลามสูตรนั้นแหละครับ

    พอเอาเข้าจริงๆ ปฏิบัติถูกทางแล้ว มันไปลงที่เดียวกันหมดครับ ลองเปิดใจดูก่อน ไม่ได้บังคับให้เชื่อเหมือนกันครับ แค่แชร์ประสบการณ์กับความคิดเห็นที่มีให้กันเท่านั้นเองครับ
     
  20. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    633
    ค่าพลัง:
    +790
    ผมไปบวชปฏิบัติที่วัดของท่านมาช่วงหนึ่ง

    ผมถามย้ำพระที่ท่านสอน ท่านพูดง่ายๆ แค่ว่า เป็นกุศโลบาย ยังไม่จริงหรอก แต่ก็อย่างที่หลายคนว่า จะจริงก็ต่อเมื่อเป็นพระอรหันต์น่ะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...