นิพพานไปเเล้ว ทำอะไรต่อ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย somkiatfem, 6 ตุลาคม 2016.

  1. GhostHead

    GhostHead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    1,010
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ให้ทาน ถือศีล ทำสมาธิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 ตุลาคม 2016
  2. Prasit5000

    Prasit5000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    301
    ค่าพลัง:
    +228
    ......ทำไม่ได้ครับ เพราะไม่มีจิต ไม่มีสังขาร จึงไม่มีจิตสังขาร

    .....มีแต่นิพพานธาตุ รับรู้ด้วย อายตนะนิพพาน รับรู้อย่างเดียว โดยไม่มีเวทนา รู้โดยไม่มี สัญญา ไม่มีสังขาร รับรู้โดยไม่มีอารมณ์ไดๆ

    ....ไม่ได้ว่างเปล่านะครับ รู้อยู่ครับ
     
  3. ไม่มีเพศ

    ไม่มีเพศ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มีนาคม 2016
    โพสต์:
    134
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +66
    5555 (ขออนุญาติขำนะครับ ดูเหมือนกิจจะเยอะเหลือเกิน)
     
  4. ไม่มีเพศ

    ไม่มีเพศ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มีนาคม 2016
    โพสต์:
    134
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +66
    ในความคิดผมท่านที่นิพพานแล้ว

    ก้อคงช่วยพระศาสดาเผยแพร่คำสั่งสอน ให้มีผู้สำเร็จตามรอยพระศาสดามั้งคับ

    น่าจะมีในพุทธประวัตินะคับ ที่เมื่อพระสาวกสำเร็จอรหันต์แล้ว พระศาสดาทรงให้แยกย้ายกันไปโปรดสัตว์ สั่งสอนชาวบ้าน

    ผิดถูกประการใด กระผมขอพระรัตนตรัยงดโทษด้วยคับ
     
  5. ชุนชิว

    ชุนชิว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    722
    ค่าพลัง:
    +780
    เคยฟังเขาเล่ามาว่า นิพพานมีภาวะเหมือนตอนหลับ หลับแบบไม่ฝันนะ คิดว่าน่าจะเป็นลักษณะการเปรียบเทียบให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น ประมาณว่าไม่มีอารมณ์ใดๆเข้าไปเสวย ว่างจากอารมณ์
     
  6. somkiatfem

    somkiatfem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2016
    โพสต์:
    324
    ค่าพลัง:
    +195
    เเล้วคนที่บอกว่าไป พบพระ พุทธเจ้าได้ ก็แปลว่าอย่างไรครับ
     
  7. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ลูกแหง่หรอ

    จะทำอะไรสำเร็จโดยปัญญาอันยิ่งเองอันหาอาสวะไม่ได้

    ยังต้อง. ให้สิ่งภายนอก มาเปนพยาน. หรอ

    ลูกแหง่


    ต้องแบบ ช่วยบัญัติสิ่งที่ทำได้ ให้เปน ภาษาเข้าใจง่าย ด้วยปะ.
    แบบ. อุปทานหมู่สองคนพยักหน้ากันไปอุ่นใจเปนหนึ่ง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 ตุลาคม 2016
  8. Prasit5000

    Prasit5000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    301
    ค่าพลัง:
    +228
    ....พระพุทธเจ้า เมื่อปรินิพพานไปแล้ว ก็เหลือแต่สิ่งที่เรียกว่า นิพพานธาตุ รับรู้สิ่งต่างๆ ด้วย อายตานะนิพพาน การรับรู้ของนิพพานธาตุ เป็นการรับรู้แบบไม่มีอารมณ์

    ....การรับรู้แบบไม่มีอารมณ์มันเป็นอย่างไร เราลองดูก็ได้ในตัวเราก็มีนิพพานธาตุอยู่ อยากรู้ว่า มีความรุ้สึกอย่างไร ก็คือรู้สึกแบบ สัมปชัญญะนั้นไงละครับ รู้สึกตัว ขณะโกรธ มีสติ รุ้สึกตัว ถอนหายใจเห้อ

    .....การรู้สึกตัว หรือที่เรียกว่าสัมปชัญญะ มันอธิบายยาก มันจะเกิดก็ต่อเมื่อ มีสติก่อน อันนี้อธิบายยากต้องไปคลำเอาเอง แยกเอาเอง รู้สึกตัว เป็นสภาพ อายตนะนิพพาน มันมีความสุข ไม่ใช่สุขแบบมีเวทนานะครับ

    .....คนที่บอกว่าไปพบพระพุทธเจ้าได้นั้น พวกขี้โม้ พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ เมื่อ ตับขันธ์ไปแล้ว จะไม่มีขันธ์รองรับอีก ก็จะไม่มีรูป ให้เห็นอีก แล้วจะพบอะไร การที่เราจะพบอะไรมันต้องมีรูปสิครับ 31 ภพภูมิ มีรูปทั้งนั้น ยกเว้น อรูปพรม รูปที่แสดงไม่ว่าจะเป็นรูป ที่ละเอียด หรือรูปที่ยาก รูปที่เนรมิตร ล้วนเป็นรูป

    .....พระพุทธเจ้า ปรินิพพานแล้วก็ไม่มีจิต จะเนรมิตรให้เกิดรูปก็ไม่ได้ การเนรมิตร ต้องมีจิตเป็นตัวเนรมิตร

    .....ในพระสูตร เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้ใหม่ๆ พระองค์ก็ย้อนอดีตไปดูว่าพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆสอนอะไร แล้วพระองค์ก็เอามาเป็นตัวอย่าง เคยอ่านเคยฟังในพระสูตรใหม ว่าพระองค์ไปพบพระอรหันต์ ที่ปรินิพพานไปแล้ว

    ....มีเรื่องเล่ากันว่า มีผู้วิเศษคนหนึ่งสามารถทายจากหัวกระโหลกคนตายได้ว่า คนนั้นคนนี้ตายแล้วไปเกิดเป็นอะไร พระพุทธเจ้าให้ทายจาก หัวกระโหลก พระอรหันต์ ผุ้วิเศษคนนี้ ก็ทายไม่ได้ พระองค์ก็เฉลยให้ฟังว่า นี้คือพระอรหันต์ ปรินิพพานแล้ว

    ....เคยฟังจาก พระอาจารย์โชดก เล่าให้ฟังทางซีดี ท่านว่า พระที่มาเดินกรรมฐานกับท่าน บางองค์เห็นพระพุทธเจ้า พระอาจารย์โชดกให้แก้ สร้างสติให้แรงขึ้น ไห้กลับมาที่สติ มีสัมปชัญญะ พระพุทธเจ้าที่เห็นก็หายไป


    .....พระพุทธเจ้าที่เห็น ก็คือจิตสังขารของผู้ที่เห็นนั้นเอง

    .....มีคนพูดว่า "คำว่าไม่เชื่ออย่าลบหลู่สร้างควายกันมานักต่อนักแล้ว..." ไม่ว่าใครนะครับ เชื่อกาลมาสุตรดีกว่าครับ
     
  9. Prasit5000

    Prasit5000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    301
    ค่าพลัง:
    +228
    ....พระพุทธเจ้า เมื่อปรินิพพานไปแล้ว ก็เหลือแต่สิ่งที่เรียกว่า นิพพานธาตุ รับรู้สิ่งต่างๆ ด้วย อายตานะนิพพาน การรับรู้ของนิพพานธาตุ เป็นการรับรู้แบบไม่มีอารมณ์

    ....การรับรู้แบบไม่มีอารมณ์มันเป็นอย่างไร เราลองดูก็ได้ในตัวเราก็มีนิพพานธาตุอยู่ อยากรู้ว่า มีความรุ้สึกอย่างไร ก็คือรู้สึกแบบ สัมปชัญญะนั้นไงละครับ รู้สึกตัว ขณะโกรธ มีสติ รุ้สึกตัว ถอนหายใจเห้อ

    .....การรู้สึกตัว หรือที่เรียกว่าสัมปชัญญะ มันอธิบายยาก มันจะเกิดก็ต่อเมื่อ มีสติก่อน อันนี้อธิบายยากต้องไปคลำเอาเอง แยกเอาเอง รู้สึกตัว เป็นสภาพ อายตนะนิพพาน มันมีความสุข ไม่ใช่สุขแบบมีเวทนานะครับ

    .....คนที่บอกว่าไปพบพระพุทธเจ้าได้นั้น พวกขี้โม้ พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ เมื่อ ตับขันธ์ไปแล้ว จะไม่มีขันธ์รองรับอีก ก็จะไม่มีรูป ให้เห็นอีก แล้วจะพบอะไร การที่เราจะพบอะไรมันต้องมีรูปสิครับ 31 ภพภูมิ มีรูปทั้งนั้น ยกเว้น อรูปพรม รูปที่แสดงไม่ว่าจะเป็นรูป ที่ละเอียด หรือรูปที่ยาก รูปที่เนรมิตร ล้วนเป็นรูป

    .....พระพุทธเจ้า ปรินิพพานแล้วก็ไม่มีจิต จะเนรมิตรให้เกิดรูปก็ไม่ได้ การเนรมิตร ต้องมีจิตเป็นตัวเนรมิตร

    .....ในพระสูตร เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้ใหม่ๆ พระองค์ก็ย้อนอดีตไปดูว่าพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆสอนอะไร แล้วพระองค์ก็เอามาเป็นตัวอย่าง เคยอ่านเคยฟังในพระสูตรใหม ว่าพระองค์ไปพบพระอรหันต์ ที่ปรินิพพานไปแล้ว

    ....มีเรื่องเล่ากันว่า มีผู้วิเศษคนหนึ่งสามารถทายจากหัวกระโหลกคนตายได้ว่า คนนั้นคนนี้ตายแล้วไปเกิดเป็นอะไร พระพุทธเจ้าให้ทายจาก หัวกระโหลก พระอรหันต์ ผุ้วิเศษคนนี้ ก็ทายไม่ได้ พระองค์ก็เฉลยให้ฟังว่า นี้คือพระอรหันต์ ปรินิพพานแล้ว

    ....เคยฟังจาก พระอาจารย์โชดก เล่าให้ฟังทางซีดี ท่านว่า พระที่มาเดินกรรมฐานกับท่าน บางองค์เห็นพระพุทธเจ้า พระอาจารย์โชดกให้แก้ สร้างสติให้แรงขึ้น ไห้กลับมาที่สติ มีสัมปชัญญะ พระพุทธเจ้าที่เห็นก็หายไป


    .....พระพุทธเจ้าที่เห็น ก็คือจิตสังขารของผู้ที่เห็นนั้นเอง

    .....มีคนพูดว่า "คำว่าไม่เชื่ออย่าลบหลู่สร้างควายกันมานักต่อนักแล้ว..." ไม่ว่าใครนะครับ เชื่อตามเหตุตามผล แบบกาลมาสุตรดีกว่าครับ
     
  10. somkiatfem

    somkiatfem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2016
    โพสต์:
    324
    ค่าพลัง:
    +195
    แปลว่า นิพพานเเล้ว 0 ไหมครับถ้าเช่นนั้น
     
  11. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    ใช่ เป็น 0 คือศูนยตา หรือสูญญตา หรือว่าง
    ไม่ใช่เรื่องลึกลับ
    ด้วยเหตุผล 3 ประการ คือ
    1. เพราะลุด้วยปัญญาที่กำหนดพิจารณาความเป็นอนัตตา มองเห็นสภาวะที่สังขารเป็นสภาพว่าง จากความเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน

    2.เพราะว่างจากกิเลสมีราคะเป็นต้น และ

    3.เพราะมีสุญตา คือ นิพพาน เป็นอารมณ์
     
  12. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    ธุระไม่ใช่ ไม่ใช่หน้าที่ ฐานะไม่ใช่
    ไม่เหมาะด้วยกิริยาวาจาใจ อย่าหาโทษใส่ตัวดีกว่า
     
  13. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    633
    ค่าพลัง:
    +790
    ท่านน่าจะยึดตำราแบบเข้าใจนิพพานโดยที่ยังไม่ต้องบรรลุแม้โสดาบัน

    ผมไม่บรรลุ ก็ว่าไม่บรรลุ และไม่ยืนยันสภาพที่ตัวเองไม่เข้าถึง

    และเพราะผมมี องค์ธรรม เป็นรูปจิตสังขาร เป็นรูปพระพุทธเจ้า ผมโม้เลย มันโม้ว่า สั่งสมบารมีมากว่า 7 อสงไขย แม้จะลงนรกก็ไม่กลัว

    ผมรู้แค่นี้ แต่บางท่านบอกเราสามารถพูดคุยหรือเรียกบารมีธรรมมาทำงานได้

    ผมก็เคยนึกถึงพระพุทธองค์ บารมีธรรมก็ลงมาโปรดญาติโยมได้ ญาติโยมเค้าก็รับทราบโดยนั่งสมาธิหลับตาอย่างนั้นได้

    ถ้าพระพุทธองค์ไม่มีจิตแล้วไงครับ ผมไปพูดถึงเรื่องธรรมชาตินั่นเป็นอัตตาหรือครับ ผมพูดถึง พุทธ หรือพระพุทธองค์ทุกพระองค์ หรือ ธรรม

    ที่โปรดสรรพสัตว์ได้จริง

    มีมารยกทัพมามากมายทำลายความเพียรของหมู่ชน พระอาจารย์ท่านอัญเชิญบารมีธรรมแห่งพระพุทธองค์ เป็นรูปพุทธองค์มีรัศมีเรืองรองขับไล่หมู่มาร

    ไม่มีใครว่า จิตของพระพุทธองค์มา เพราะจิตมันแค่ธรรมชาติหนึ่งแค่นั่น ไปยึดจิตว่าเป็นตัวตนของพระพุทธองค์ทำไมครับ

    ผมพูดแบบชาวบ้านที่อยู่ในโลกสังขารว่า บารมีธรรมของพระพุทธองค์มาโปรด แต่พูดสั้นแบบเข้าใจว่า คือ พระพุทธองค์ ไม่เคยเข้าใจว่า คือ ท่านที่มีร่างกายและจิตใจเมื่อสองพันห้าร้อยกว่าปีมา ไม่ใช่เข้าใจว่าท่านเดินออกจากแดนนิพพานออกมา ไม่ได้ไปยึดว่าเป็นตัวตน

    และสิ่งที่มาโปรด ก็ไม่ใช่ จิตสังขาร ของเรา เพราะเรารู้ว่า เราไม่มีพลังขนาดขับไล่หมู่มารได้

    อะไรที่เป็น บารมีธรรมของเรา เราย่อมรู้ อะไรที่เป็นบารมีธรรมของคนอื่นเราก็รู้

    ผมและคนอื่น ไม่รับสมอ้างต่อหน้าญาติโยมหรอกว่า คือ จิต เราปรุงแต่งจนเนรมิตร่างรูปพระพุทธองค์จนขับไล่มารไปได้

    ถ้าท่านพบเทวบุตรมาร ท่านจะทราบว่า เราจะต้องเจออะไร เราต้องฝึกฝนแค่ไหน

    ถ้าท่านยังไม่พบเทวบุตรมาร ท่านอาจไม่ทราบว่า บารมีธรรมของพระพุทธองค์คุ้มครองอยู่ มีอยู่ ไม่ได้มาจากจิตสังขารเราสร้าง จิตสังขารเราเพียงรับรู้เท่านั้น ไม่ได้สร้าง

    ขอเชิญท่านเข้าสู่โลกของการปฏิบัติอย่างแท้จริง
     
  14. Prasit5000

    Prasit5000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    301
    ค่าพลัง:
    +228
    ....จิต เจตสิค รูป นั้นไม่มี คงเหลือแต่ นิพพานธาตุ ครับ
     
  15. Prasit5000

    Prasit5000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    301
    ค่าพลัง:
    +228


    ....ผมไม่เข้าใจที่ท่านกล่าว

    ....ถ้าผมจะสรูปที่ท่านกล่าว ท่านกล่าวว่า พระพุทธเจ้า ปรินิพพานไปแล้วยังมีจิตอยู่ใช่ใหมครับ

    ....ศาสนาพุทธไม่สอน ในสิ่งที่ขัดแย้งกัน ถ้าว่ามีก็ว่ามี ถ้าไม่มีก็ว่าไม่มี นับตั้งแต่พระพุทธองค์ตรัสรู้ จน ปรินิพพาน พระองค์ไม่เคยเทศนาขัดแย้งกัน


    ....ถ้ามีคนเชื่อว่า พระพุทธเจ้าที่ปรินิพพานไปแล้วยังมีจิต ก็เชื่อเถอะครับ ผมไม่เชื่อ เท่านั้นเอง

    ...."เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร
    เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ
    เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป
    เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ......

    .....พระอรหันต์ไม่มีอวิชชา ก็เลยไม่มีสังขาร เมื่อไม่มีสังขาร จะมีวิญญาณได้อย่างไร (เมื่อปรินิพพานไปแล้ว) แน่นอนเมื่อปรินิพพานไปแล้วจะไม่มี วิญญาณอีกต่อไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ตุลาคม 2016
  16. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    633
    ค่าพลัง:
    +790
    เมื่อไม่เข้าใจ แล้วจะสรุปทำไมครับ

    คุณไม่เข้าใจผมหรือใคร ก็ควรทำความเข้าใจ ไม่ใช่ไปสรุปว่า เค้าพูดอย่างนั้น อย่างนี้ มันทำให้คุณยิ่งเข้าใจผิด

    แล้วที่คุณสรุปมา มันขัดแย้งกับที่
    พระสารีบุตรกล่าวว่า ก็เมื่อเธอได้ตอบว่า รูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ มิใช่เป็นพระอรหันต์ ทำไมจึงกล่าวว่าพระอรหันต์ตายสูญ หรือเปล่าท่านควรพิจารณา

    ท่านใช้คำว่า ไม่มี แทนคำว่า ตายสูญ หรือเปล่าครับ โปรดระวังด้วย

    ที่ผมเล่าทางปฏิบัติ เพื่อให้ทราบว่า แม้เราจะเพ่งจิตหาพระอรหันต์ไม่พบเลยในที่ใดๆ แต่กรณีของพระพุทธองค์ แม้เราจะหาไม่พบก็ตาม แต่เรายังสัมผัสพระองค์ได้ แต่คำว่า พระองค์นั้นไม่ใช่ จิตวิญญาณ แต่เป็นบารมีธรรม ซึ่งบารมีธรรมไม่ใช่ตัวตนมาแต่ไหนแต่ไร ที่การบำเพ็ญตั้งแต่เป็นพระโพธิสัตว์จนเกิดบารมีธรรม ซึ่งธรรมนี้ผู้ปฏิบัติจะรับการคุ้มครอง แต่ความพิเศษคือบารมีธรรมของพระพุทธองค์ นั่นผู้ปฏิบัติธรรมจะได้รับพระเมตตาเป็นพิเศษ อุปมาภาษาชาวบ้านคือ ผ้าเหลืองคุ้มครอง เป็นสิ่งที่ควรทราบว่า ลำพังบารมีธรรมของแต่ละคน อาจไม่พอคุ้มครองตนเอง เพราะสิ่งที่คนนั้นๆ อบรมบารมีมันยังไม่ถึงขนาด แต่การเข้ามาอยู่ในการปฏิบัติตามพระพุทธองค์ ถือว่า เป็นสัตว์ที่อยู่ในข่ายพระบารมีของพระพุทธองค์จนกว่าจะสิ้นอายุพระศาสนา โดยใครที่ไม่บรรลุอรหันต์ย่อมมีโอกาสฝึกฝนเพื่อบำเพ็ญในพระพุทธเจ้าพระองค์ถัดไป

    ที่ผมกล่าวว่า เห็นบารมีธรรมของตนเป็นรูปพระพุทธเจ้า คือ การที่จิตในฐานะที่ยังอยู่ในโลกสมมุตินี้เห็นว่า การบำเพ็ญ ไม่สูญเปล่า การที่โพธิสัตว์สละชีวิต เป็นทาน การออกบวชเสมอในแต่ละชาติ มันไม่ได้สูญเปล่า ผลของการบำเพ็ญยังอยู่ แต่เราเห็นในลักษณะที่เรายังมีสมมุติอยู่ คือเห็นเป็นรูปร่าง ซึ่งไม่ใช่ตัวตนของเรา ไม่ใช่จิต ไม่ใช่วิญญาณ เป็นบารมีธรรม การจะเข้าใจบารมีธรรมอยู่ตรงไหน ในเหตุปัจจัยทั้งปวงมันอธิบายเป็นความเข้าใจแบบโลกไม่ได้ จิตมันจึงปรุงแต่งให้เราเข้าใจแบบที่เราเข้าใจโลกภายนอก

    ทำนองเดียวกัน บารมีธรรม คือ ธรรม ย่อมคุ้มครองผู้ประพฤติธรรม โดยปกติคนใดมีธรรม ธรรมก็ย่อมคุ้มครอง แต่ในทางปฏิบัติคนที่ไปปฏิบัติธรรม ที่บารมียังไม่อาจชนะกิเลสมาร ย่อมมีช่องให้เทวบุตรมารมาขัดขวางได้ ซึ่งทำให้การทำความเพียรหล่น พระอาจารย์ต่างๆ มักจักน้อมอัญเชิญคุณพระพุทธองค์มาเสมอ ซึ่งบารมีธรรมของพระพุทธองค์ก็มาเสมอนี้ก็จะมาเสมอ

    คนปฏิบัติธรรมที่พบบารมีธรรมของพระพุทธองค์ สามารถได้รับคำสอนได้ เพราะบารมีธรรม ก็คือธรรม ซึ่งย่อมแสดงแก่คนในโลกสังขาร (ตามอภิธรรม ธรรมก็เป็นปัจจัยประกอบจิต)
    บารมีธรรมของพระพุทธองค์ ก็คือ ธรรม ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่จิตวิญญาณ แต่จิตวิญญาณกลับสามารถพูดคุยกับธรรมได้ เห็นธรรมได้

    ลองอ่านเรื่องเล่าของพระอรหันต์ ท่านพูดคุยกับเสียงซึ่งคล้ายกับบุคคลอื่น คล้ายจิตวิญญาณอื่น แต่พอถามไปกลับได้คำตอบว่า เราคือสติของท่าน

    สติ เป็นธรรม ไม่ใช่จิต ไม่ใช่วิญญาณแต่สติเตือนจิต

    จิตไม่มีตัวตน สติก็ไม่มีตัวตน

    แต่จิตมักคิดว่านี่คือตน แต่สติไม่ได้มีความคิดอย่างนั้น แต่รู้เท่าทันความจริง เมื่อสติเต็มบริบูรณ์แล้วจิตจะเข้าใจได้ว่า จิตไม่ใช่ตัวตน

    ดังนั้น จิตท่านควรสัมผัสบารมีธรรมของตนเสียก่อน ท่านจะได้สัมผัสบารมีธรรมคนอื่นได้ ท่านจึงจะสัมผัสบารมีธรรมของพระพุทธองค์ได้ ท่านย่อมพิจารณาว่า มาร คืออะไร ธรรม หรือบารมีธรรมของพระพุทธองค์มีอยู่จริง

    เพียงแต่ท่านคิดไม่ถึงว่า จิตรับรู้ธรรมได้วิจิตรเฉกเช่นกับที่จิตมันมีความวิจิตร แต่จิตไม่ได้เห็นมารเสมอไปที่แปลงร่างเป็นรูปพระพุทธองค์

    จิตสามารถเห็นพระพุทธคุณได้ในรูปแบบที่จิตสังขารจะเห็นได้ แต่สาระ อยู่ที่พิจารณาธรรมอย่างไร แต่จะไม่เกิดยึดมั่นว่า คือ ตัวตนของใคร

    ทั้งนี้ เพราะท่านเห็นว่า มีรูปมีร่างก็เป็นจิตปรุงแต่ง แต่ธรรมก็จัดว่าปรุงแต่งจิตอยู่ ไว้ท่านนิพพาน ท่านค่อยวางธรรมลง แต่ตอนนี้ ท่านไม่ได้นิพพานสักหน่อย แต่ท่านจะรีบวางแพไว้แล้วหรือครับ
     
  17. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    หลวงปู่มั่นเปรียบเทียบเหมือน เลข 0

    หาอ่านได้ในมุติโตทัย
    หลวงปู่มั่น

    ท่านอธิบายชัดเจน..
     
  18. ผ่านมาเฉยๆ

    ผ่านมาเฉยๆ ไรเซ็นมันพูดว่าอะไรหว่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    947
    ค่าพลัง:
    +1,210
    ประโยชน์ตนหากสำเร็จแล้ว
    ต่อไปก็
    ประโยชน์ท่านสิฮับ
     
  19. ผ่านมาเฉยๆ

    ผ่านมาเฉยๆ ไรเซ็นมันพูดว่าอะไรหว่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    947
    ค่าพลัง:
    +1,210
    0นั้นมีอยู่คือ0
    แต่มันบอกค่าในตัวมันเองว่า0ก็คือ0
     
  20. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    คืออะไร

    จะมาบอกให้คนอื่นทราบหรือครับว่า. คุณสำเร็จแล้ว

    ถึงได้ออกมาโพส ประโยชน์ท่าน

    สัจจวาจาเล็กๆ น้อย

    ความดีเล็กๆน้อย. แต่ เปนเดรัจฉานกถา. ขวางสัจจตัวเอง

    ต้องสังเกตุด้วยนะครับ

    ไม่ใช่ไปกอปปั้ลีลา ครู มาปฏิภาณตน สุ่มสี่สุ่มห้า


    ปล.จะไม่ถูกย้อนแย้งหากมีวลี เราสดับมา........ว่า.....
     

แชร์หน้านี้

Loading...