รวมเรื่องเล่า+ประสบการณ์;กรรมฐานมัชฌิมาฯตามรอยพระราหุล(ตามแบบแผนของพระพุทธเจ้า)

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย mature_na, 25 มีนาคม 2012.

  1. mature_na

    mature_na เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    4,557
    ค่าพลัง:
    +6,760
    เชิญเข้าปฏิบัติธรรมวันเสาร์-อาทิตย์ ที่คณะ ๕ วัดราชสิทธาราม โทร. ๐๘๔-๖๕๑-๗๐๒๓ ไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น




    ที่คณะ 5 วัดราชสิทธาราม ซ.อิสรภาพ 23 แขวงวัดอรุณ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพฯ รถเมล์

    สาย 40 56 57 159 ผ่าน ซ. อิสรภาพ 23 วัดราชสิทธาราม





    ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่

    http://www.somdechsuk.org



    ติดต่อได้ที่ หลวงพ่อจิ๋ว โทร. 084-651-7023
    ;[พระครูสิทธิสังวร;วีระ ฐานวีโร ;ผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวง]


    รายละเอียดของสถานที่ฝึก
    ที่คณะ 5 วัดราชสิทธาราม(พลับ) ซ.อิสรภาพ 23 แขวงวัดอรุณ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพฯ โทร. 084-651-7023

    [​IMG]
    [​IMG]

    รถเมล์สาย 19 40 56 57 149 ผ่านหน้าวัด


    ============


    ความสำคัญโดยย่อ ของ
    พระกรรมฐานมัชฌิมาแบบลำดับสำหรับพระพุทธศาสนาในไทยนั้นสำคัญขนาดที่ว่า พระมหากษัตริย์ในแทบจะทุกยุคของไทยแลแถบสุวรรณภูมิตั้งแต่สมัย ทวารวดี สุโขทัย กรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี จนถึงรัตนโกสินทร์ตอนต้นได้ทรงให้ความใส่ใจและทรงศึกษาเพื่อรักษา พระกรรมฐานมัชฌิมาแบบลำดับให้คงอยู่ตลอดมา รัชกาลที่1-2-3-4นั้นก็ยังทรงศึกษาพระกรรมฐานมัชฌิมาแบบลำดับนี้กับสมเด็จพระสังฆราชสุก(ไก่เถื่อน)

    ***ข้อควรรู้ล้นเกล้ารัชกาลที่สองทรงสังคายนาพระกัมมัฏฐานแบบลำดับ(กรรมฐานมัชฌิมา)

    [​IMG]

    [​IMG]

    ใน ขณะนั้น พระกรรมฐานและเนื้อหาการเรียนรู้ในบวรพระุพุทธศาสนายังไม่้เรียบร้อยและไม่เป็นหมวดหมู่ดีนัก
    ล้นเกล้ารัชกาลที่สองทรงเล็งเห็นว่าจะเป็นภัยแก่พระศาสนาที่คนรุ่นต่อไปจะหา ของจริงที่ถูกต้องไว้เล่าเรียนไม่ได้จึงทรงมีพระบรมราชโองการ ให้ทำ สังคายนาพระกัมมัฏฐานแบบลำดับ ไว้เป็นหมวดหมู่ โดยมีสมเด็จพระสังฆราชสุก(ไก่เถื่อน)ทรงเป็นองค์ประธาน ในการชุมนุมพระสงฆ์สังคายนาพระกรรมฐานมัชฌิมาแบบลำดับเมื่อพุทธศักราช ๒๓๖๔

    อนึ่งมูลเหตุของการทำสังคายนาพระกรรมฐานมัชฌิมาแบบลำดับนั้นเกิดจากการพูดคุยสนทนากัน ในหมู่พระสงฆ์จากหัวเมืองและชานกรุงว่า ...... การปฎิบัติกรรมฐานอย่างนี้ถูกการปฎิบัติกรรมฐานอย่างนี้ผิด เสียงวิจารณ์เล่าลือขยายไปทั่วกรุงรัตนโกสินทร์ .......


    ความนั้นทราบไปถึงเจ้านายชั้นผู้ใหญ่และข้าราชการผู้ใหญ่ในราชสำนักผู้มีหน้าที่ควบคุมดูแลกิจการคณะสงฆ์ เจ้านายชั้นผู้ใหญ่และข้าราชการผู้ใหญ่สองท่านนั้น จึงนำความทั้งหลายเหล่านี้ขึ้นกราบบังคมทูลให้พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงทราบฝ่าพระบาท

    ต่อมาจึงมีการประสานงานระหว่างทางราชการและคณะสงฆ์ให้ชุมนุมสงฆ์ ทำการประชุมสังคายนาพระกรรมฐานขึ้น3วัน ....พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้า พระราชทานถวาย ภัตตาหาร น้ำปานะ แด่พระสงฆ์ ๓ เพลาทุกวัน


    ซึ่งพระกัมมัฎฐานแบบลำดับนั้นต่อมาก็ได้เผยแพร่สืบต่อกันเรื่อยๆมาอย่างไม่ขาดสายสมกับ พระราชประสงค์ จนถึง พระสังวรานุวงศ์เถระ(ชุ่ม) วัดราชสิทธาราม ปรากฏว่า พระกัมมัฎฐานแบบลำดับนั้นรุ่งเรืองมาก มีภิกษุ สามเณร ร่ำเรียนมากมาย

    ===============================================================

    กัมมัฏฐาน ๓ ยุค

    credit :nathaponson ;http://www.madchima.org




    [​IMG]


    ประณามพจน์ปฐมบทเรื่องของพระกรรมฐานมัชฌิมาแบบลำดับฯ
    (ประณาม ก. น้อมไหว้ เช่น ขอประณามบาทบงสุ์พระทรงศรี.)

    บทความนี้เป็นความภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้บันทึกเรื่องราวอันทรงคุณค่าที่สุด ในประวัติศาตร์ของชาติสยามในเรื่องพระกรรมฐานมัชฌิมาแบบลำดับฯที่ผ่านมาเพราะพระกรรมฐานมัชฌิมาแบบลำดับฯเป็นการดำรงรักษาวิธีการกล่อมเกลา จิตใจเพื่อยกระดับภูมิจิตภูมิธรรมที่พระเถรานุเถระแต่ครั้งอดีตได้บำเพ็ญ ฝึกฝน เป็นการฝึกจิตระดับเจโตวิมุติที่เพียบพร้อมทั้งสมาธิที่เป็นบาทฐานของอิทธิ ปาฏิหาริย์ที่เหนือปกติธรรมดาและหากน้อมปฏิบัติตามมรรคมีองค์- ๘ ก็จะเห็นแจ้งในสัจธรรมได้ไม่ยากเป็นทางประเสริฐที่อาจทำให้ผู้ก้าวไปบรรลุสู่ความสงบที่แท้จริง

    พระกรรมฐานมัชฌิมาแบบลำดับฯมีความสำเร็จได้ประโยชน์ในสองส่วน เป็นทั้งการบำเพ็ญเพื่อความหลุดพ้นและได้อิทธิฤทธิ์ ไปพร้อมกัน

    พระกรรมฐานมัชฌิมาแบบลำดับฯนั้นได้รวมพุทธธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ทรงกำหนดขั้นตอนทั้งการปฏิบัติสมถะกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐานรวมถึงพุทธธรรมอื่นๆที่หลอมรวมกันอย่างลงตัว


    พระกรรมฐานมัชฌิมาแบบลำดับฯนั้นเป็นการปฏิบัติจิต ปฏิบัติธรรมทางพุทธศาสนาที่ชาวสุวรรณภูมิยึดถือปฏิบัติมาตลอด

    นับแต่ครั้งกรุง สุโขทัย บรรดาพระอริยะเจ้าและพระเถระในอดีตต่างเคยฝึกฝนอบรมภูมิจิตภูมิธรรมในแนวพระกรรมฐานมัชฌิมาแบบลำดับฯแบบนี้มาแล้วทั้งสิ้น

    ไม่ว่าจะเป็นพระมหาเถระคันฉ่อง (สมเด็จพระพนรัตนวัดป่าแก้ว ในแผ่นดินสมเด็จพระนเรศวรมหาราช) สมเด็จสวามีรามคุณูปมาจารย์(ปู)ที่รู้จักกันในนามสมเด็จเจ้าพะโคะ(หลวงปู่ ทวดแห่งสทิงพระ) สมเด็จพระสังฆราชสุก(ไก่เถื่อน)ก็ล้วนแล้วแต่ปฎิบัติพระกรรมฐานมัชฌิมาแบบลำดับฯ

    แม้พระอมตเถระที่เป็นพระเกจิอาจารย์ที่ เลื่องลือด้านอิทธิฤทธิ์ที่แสดงปาฏิหาริย์เป็นที่ศรัทธาแก่มหาชนชาวพุทธ อย่างเจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์(โต) แห่งวัดระฆังโฆษิตาราม
    พระครูวิมลคุณากร(หลวงปู่ศุข)วัดปากคลองมะขามเฒ่า จ.ชัยนาท
    หลวงพ่อเงินวัดบางคลาน จ.พิจิตร
    หลวงพ่อพริ้ง วัดบางปะกอก กทม.
    ซึ่งที่กล่าวนามท่านมาก็เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่พุทธศาสนิกชนชาวไทยเราว่าท่านเหล่านั้นทรงภูมิจิตภูมิธรรมสูงส่งเพียงใดก็ล้วนแล้วแต่
    ปฎิบัติพระกรรมฐานมัชฌิมาแบบลำดับฯทั้งสิ้นท่านทราบหรือไม่ครับ



    [​IMG]


    บทความนี้ไม่อาจจะสำเร็จได้เลยหากไม่ได้รับความเมตตาข้อมูลจากท่านพระครู สังฆรักษ์ (วีระ)ฐานวีโร แห่งวัดราชสิทธาราม(พลับ) กทม. ที่ ให้คำแนะนำข้อมูลต่างๆอย่างมิรู้เบื่อหน่ายต่อคำซักไซ้ไล่เรียงของผู้เขียน

    แม้ท่านจะเหน็ดเหนื่อยจากกิจทางพระศาสนาเพียงใดก็ตาม ด้วยกำลังใจที่แน่วแน่ของพระคุณเจ้าท่านนี้ที่มุ่งมั่นในการดำรงรักษามรดก ล้ำค่าของพระพุทธศาสนาชิ้นเอกเป็นเอกลักษณ์หนึ่งเดียวของสุวรรณภูมิให้คง อยู่เพื่อลูกหลานอนุชนรุ่นต่อไป เป็นการช่วยการรักษาแก่นธรรมของพระพุทธศาสนาให้คงอยู่ตามรอยเท้าบูรพาจารย์ แต่ครั้งอดีตนับล่วงได้ ๑๘๐๐ ปี

    อานิสงส์ประการใดที่ได้จากการรักษา เผยแพร่ มรดกพุทธธรรมอันยอดยิ่งนี้ขอจงสัมฤทธิ์ ผลแก่บูรพาจารย์ บุพพการี ผู้มีบุพกรรมร่วมกันทั้งส่วนกุศลกรรมและอกุศลกรรม เทพยดานับถ้วนทั่วจากภูมิมนุษย์จนพรหมโลกจรดขอบจักรวาล ตลอดจนญาติกัลยาณมิตร
    สรรพสัตว์ทั้งหลายทุกภพภูมิจงโปรดสำรวมจิตตั้งมั่นในสัมมาทิฎฐิ น้อมใจรำลึกคุณพระบรมศาสดาศรีศากยมุนี สัมมาสัมพุทธเจ้า ในภัทรกัปนี้แล้ว

    อนุโมทนาในกุศลเจตนาครั้งนี้จะก่อเกิดเป็นมหากุศล ให้ทุกท่านถึง “ธรรม” ถ้วนทั่วทุกตัวตนเป็นผู้ถึงสุขที่แท้พ้นภัยภายนอกและภายในทุกกาลสมัยเทอญ



    [​IMG]


    ความเป็นมาของพระกรรมฐานมัชฌิมาแบบลำดับ

    แต่ครั้งพุทธกาลที่พระบรมศาสดาศรีศากยมุนีสมณโคดมยังทรงพระชนม์ชีพทรง อุตสาหะสั่งสอนให้กุลบุตรทั้งหลายฝึกสมาธิ ตั้งสมาธิ ยังสมาธิอบรมสมาธิ เพื่อให้เกิดปัญญา พิจารณาเพื่อความหลุดพ้น ได้มรรคได้ผล อันเป็นแก่นของพระพุทธศาสนา


    (ข้อด้านล่างนั้นคัดมาจากข้อมูลเท่าที่ปรากฎและเท่าที่ทราบครับซึ่งหากมีความผิดพลาดประการใดต้องกราบขอขมาพระรัตนตรัยมาณที่นี้ครับ)







    [​IMG]


    การสอนกัมมัฏฐานการบอกกัมมัฏฐานแบ่งออกเป็น ๓ ยุคได้คร่าวๆ

    ๑. ยุคที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อพระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่และทรงเริ่มประกาศศาสนา พระองค์ทรงประกอบด้วยทศพลญาณ คือ กำลังของพระพุทธเจ้า ๑๐ ประการ มีฐานาฐานญาน เป็นต้น มีอาสวักขยญาณเป็นปริโยสาน
    ฉะนั้น พระองค์จึงเป็นกัลยาณมิตรที่ถึงพร้อมด้วยประการทั้งปวง
    ดังนั้นการศึกษาพระกัมมัฏฐานตามแบบที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติและสั่งสอนสาวกไว้แล้วเท่านั้นจึงสมควร




    (เมื่อพูดถึงจุดนี้ก็อยากทวนความจำถึงจุดเริ่มต้นของพระกรรมฐานมัชฌิมาแบบลำดับให้ท่านได้ทราบอีกครั้ง;ในยุคสมัยพุทธกาลนั้น พระราหุลมหาเถระเจ้า ได้บรรลุอรหันต์เป็นเอตทัคคะในทางผู้ใคร่ในการศึกษา

    พระองค์ ได้สอบถามกับพระพุทธองค์ว่าพุทธองค์มีการปฎิบัติกรรมฐานอย่างใด และท่านได้รวบรวมไว้เป็นหมวดหมู่อีกทั้งท่านยังได้ ไปเรียนรู้และสอบถามความรู้เพิ่มเติมกับพระอรหันต์สาวกองค์อื่นๆอีกเป็นจำนวนมาก และรวบรวมการปฎิบัติกรรมฐานของพระพุทธศาสนาไว้เป็นด้วยกันเป็นการฝึกฝนแบบตามลำดับขั้นตอน

    จากนั้นจึงกำเนิดการเรียนรู้กรรมฐานมัชฌิมาแบบลำดับ ในขอบเขตของบวรพระพุทธศาสนาขึ้น จากการเรียบเรียงของพระราหุลนั่นเอง)


    ๒. ยุคของพระอสีติมหาสาวก ๘๐ พระองค์ ;พระอรหันตสาวก;พระอริยะ และพระสาวกอื่นๆ

    พระภิกษุสงฆ์ทั่วไปและพระภิกษุสงฆ์ผู้เป็นเสขบุคคลคือยังไม่ได้บรรลุอรหัตตผลก็ล้วนแล้วแต่เรียนศึกษาและปฎิบัติตามพระกรรมฐานแบบลำดับทั้งสิ้นแล้วแต่ว่าจะศึกษากับพระอสีติมหาสาวกพระอรหันตสาวกหรือพระอริยะ องค์ใด พระอาจารย์ทุกท่านล้วนบอกพระกรรมฐานแบบลำดับให้ลูกศิษย์ทั้งสิ้นตามแต่ผู้ใดไปได้ช้าหรือเร็วประการใด

    ความสำคัญตรงนี้พระอาจารย์ได้บอกไว้ว่า

    ขั้นตอนการฝึกพระกรรมฐานแบบลำดับซึ่งฝึกกันเป็นมาตรฐานตั้งแต่พุทธกาลนั้นผู้ฝึกล้วนต้องผ่านการฝึกเป็นขั้นๆแต่สมัยพุทธกาลนั้น
    คนมีบุญบารมีมีมากมาย
    ทำให้จิตผ่านแต่ละลำดับได้อย่างรวดเร็วคือผ่านจาก
    รูปกรรมฐาน
    ๑.ห้องพระปีติห้า
    ๒.ห้องพระยุคลหก
    ๓.ห้องพระสุขสมาธิ

    อย่างรวดเร็วจนถึงห้องอานาปานสติกรรมฐานและจิตเข้าสู่มรรคผลอย่างรวดเร็วจนทำให้คนสมัยนี้ส่วนใหญ่เข้าใจคลาดเคลื่อนไป ว่าเริ่มที่อานาปานสติได้เลยแต่จริงๆหาได้เป็นเช่นนั้นไม่เพราะต้องเริ่มที่ ห้องพระปีติทั้ง5 ซึ่งตั้งต้นที่พระขุททะกาปีติ

    โดยเริ่มตั้งองค์ภาวนา ว่าพุท-โธ ให้ตั้งจิต คิด นึก รู้ ตั้งใต้นาภีคือสะดือ 2นิ้วมือ เป็นบาทฐาน

    (ส่วนขององค์พระราหุลมหาเถระเจ้าก็ได้ทรงสอนพระกรรมฐานแบบลำดับ(พระกรรมฐานมัชฌิมา)และมีศิษย์ของท่านสืบทอดพระกรรมฐานแบบลำดับมาเรื่อยๆ


    ๓. ยุคเมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระมหาอสีติสาวกปรินิพพานแล้ว พระภิกษุทั้งหลายจะบอกกัมมัฏฐานแบบลำดับ(พระกรรมฐานมัชฌิมาแบบลำดับฯซึ่งเป็นกรรมฐานแบบมาตรฐาน)เท่านั้น


    อีกทั้งภิกษุในสมัยพระพุทธเจ้าและพระอสีติมหาสาวกนิพพานแล้ว ท่านเคารพในพระพุทธพระธรรมและพระสงฆ์ และรู้ประมาณในวิสัยของท่านเอง



    [​IMG]


    ดังนั้น พระกรรมฐานแต่โบราณจึงบอกกัมมัฏฐานแก่ผู้อื่นด้วย"พระกัมมัฏฐานแบบลำดับ"เท่านั้น (พระกรรมฐานมัชฌิมาแบบลำดับฯ)
    ผู้เรียนแบบลำดับแล้วจะรู้ได้ด้วยตนเองว่า กัมมัฏฐานกองไหน
    จะต้องกับ "จริตหรือจริยาที่เป็นอาจิณกรรมในภพก่อนๆ" ของตนเองคือจะขึ้นมาเอง(แต่สำคัญที่ว่าต้องผ่านการเรียน"พระกัมมัฏฐานแบบลำดับ"แล้วจากพระอาจารย์ผู้ประกอบด้วยคุณวุฒิและวัยวุฒิคือผู้เป็นกัลยาณมิตรนั่นเอง )




    กัมมัฏฐานแบบลำดับ(พระกรรมฐานมัชฌิมาแบบลำดับฯ)นี้เข้ามาสู่สุวรรณภูมิเมื่อหลังตติยสังคายนาในสมัยพระ เจ้าอโศกมหาราช โดยส่งพระโสณกเถรและพระอุตรเถรมายังสุวรรณภูมิ โดยการเล่าเรียนสืบ ๆ กันมา ยังไม่มีการจดบันทึก

    การเรียนแบบพระกรรมฐานมัชฌิมาแบบลำดับฯนี้สืบทอดเรื่อยๆ มาจนถึงยุคกรุงสุโขทัย มากรุงศรีอยุธยา และครั้งกรุงสุโขทัยนั้น พระคัมภีร์วิสุทธิมรรค ก็ได้มีการนำมาเผยแพร่ด้วยโบราณาจารย์กล่าวว่า คัมภีร์วิสุทธิมรรคนี้เป็นคัมภีร์ปฏิบัติที่เน้นปริยัติ จึงทำให้พระสงฆ์ที่ปฏิบัติกัมมัฏฐานในสมัยนั้นมีความรู้ทั้งทางปฏิบัติและ ปริยัติ ภาคปฏิบัติดี จึงมีความรู้เชี่ยวชาญมาก

    เมื่อถึงกรุงรัตนโกสินทร์ สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชการที่ ๑ ได้อาราธนาพระอธิการสุก วัดท่าหอยแขวงกรุงเก่า มากรุงเทพ ฯ
    เมื่อท่านมานั้น ได้นำตำราสมุดข่อยไทยดำบันทึกกัมมัฏฐานแบบลำดับมากรุงเทพฯ ด้วย แล้วรัชกาลที่ ๑ ทรงตั้งท่านให้เป็นพระภิกษุสงฆ์ผู้ทรงไว้ซึ่งแบบแผนตามรักษาวงศ์ รักษาประเพณี เป็นพระภิกษุผู้ถือตามโบราณจารย์กัมมัฏฐานแบบลำดับ ด้วยความเคารพในพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์สาวกแต่ปางก่อน

    ต้นที่มา โดยรวมของเรื่อง

    หลวงพ่อจิ๋ว โทร. 084-651-7023
    ;[พระครูสิทธิสังวร;วีระ ฐานวีโร ;ผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวง]

    รายละเอียดของสถานที่ฝึก
    ที่คณะ 5 วัดราชสิทธาราม(พลับ) ซ.อิสรภาพ 23 แขวงวัดอรุณ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพฯ โทร. 084-651-7023

    ขอบคุณภาพจากhttp://www.ounamilit.com/,http://www.bloggang.com/,http://www.rmutphysics.com/,
    [/QUOTE]


    ==========================================

    ข่าวสารเกี่ยวกับพระกรรมฐานมัชฌิมาแบบลำดับที่คุณควรรู้



    oxfordทึ่งพบแหล่งเก็บคัมภีร์กรรมฐานแบบลำดับครบถ้วนที่สุดท้ายในโลกที่วัดพลับ



    http://www.prommapanyo.com/smf/index.php?topic=2798.msg22489#msg22489

    ==========================================




    ขั้นตอนการเริ่มนั่งกรรมฐานมัชฌิมาแบบลำดับโดยพื้นฐาน


    http://www.prommapanyo.com/smf/index.php?topic=2798.msg22518#msg22518
    [/QUOTE]
     
  2. mature_na

    mature_na เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    4,557
    ค่าพลัง:
    +6,760
    ๒๔.ใอ พระยาราชสีห์
    ใอ ไอ กล่าวเรื่องราว กล่าวกลอน ว่ากลัว ว่าอย่า
    ๒๕. โอ โหร อง บันลือ หัวทุกทีว่ามีอารมณ์ ควบคุมอารมณ์
    ๒๖. เอา อำ ให้งดไว้ก่อนพิจารณาให่แน่




    ที่มา เว็บสมเด็จสุกฯ
    Somdechsuk.org | เวทาสากุ
    somdechsuk.com - เรื่องกรรมฐาน
    และ
    http://www.somdechsuk.com/download/k...akammathan.doc<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->[/QUOTE]
     
  3. mature_na

    mature_na เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    4,557
    ค่าพลัง:
    +6,760
    พระพิมพ์ตุ๊กตาใหญ่ รุ่นผงนิพพานสูตร คณะ ๕ วัดราชสิทธาราม (พระปั้นแบบโบราณ ของวัดพลับ ผงวัดพลับ)
    มวลสารวัตถุมงคล ๑,๐๐๐ ชนิด ทั่วประเทศไทยเขมร อินเดีย
    0. ผงวัดพลับแท้ ถือดอกบัว ตุ๊ตาใหญ่
    ๑.ผง ๑๐๘ ผสมว่าน ๑๐๘
    ๒.ผงวัดนางตรา นครศรี
    ๓ผงหลวงพ่ออ
    ้อด และพระอาจารย์อื่น ๆ
    ๔ผงว่าน ๑๐๘ ในประเทศไทย และประเทศเขมร และพม่า
    ๕กาฝาก ๑๐๘
    ๖ผง๑๐๘ ผสมว่านนานาชนิด
    ๗.ผงกระกระเบื้องหลังคาโบสถ ๑๐๘ และกระเบื้องโบรถหลวงพ่อโสธรเก่า
    ๘.ผงธูปวัดพระแก้ว
    ๙.ผงธูปพระสยามเทวาธิราช
    ๑๐.ผงหลักเมือง ๗๒ จังหวัด
    ๑๑.ของมงคลทั่วประเทศได้รับมาจากใน..................
    ๑๒.ผงวัดพระแก้ว กรุผงต่างๆทั่วประเทศ
    ๑๓พระผงสมเด็จวัดระฆังบางขุนพรหม พระอาจารย์ให้มา
    ๑๔.ผงเพชรหน้าทั่ง เขาอ้อ
    ๑๕.ผงพุทธคุณ ๑๘๕ วัด
    ๑๖.ผงพรายกุมารหลวงปุ่ทิม วัดระหารไร่
    ๑๗.ผงแร่กิมแซ้ วัดลำพระยา ยะรา
    ๑๘.ผงหินรัตนชาติ หยก พลอย ทับทิม นิล เพชร อ.ตี้วัดสารอดให้มา
    ๑๙.ผงดินประเทศอินเดีย ๔ ตำบล หลวงพ่อให้
    ๒๐.ผงหินพระธาตุ ถ้ำพระ พิษณุโลก
    ๒๑.ผงธูปเนื้อวัดพระแก้ว พระสยามเทวาธิราช
    ๒๒.ผงลึงช้าง
    ๒๓.ผงลูกแป้ง หลวงพ่อจัก พิจิต
    ๒๔.ผงทองพระพุทธชินราช เกสร ๑๐๘
    ๒๕.ผงหินพระธาตุวัดถ้ำพระ พิษณุโลก
    ๒๖.ผงทรายเงิน ผงทราย ทอง เจ้าคุณนอรัตน
    ๒๗.ผงรัตนชาติ พลอย เหลือง ม่วง
    ๒๘.ผงเถาวัลย์หลง
    ๒๙ผงเถาทอง เถาเงิน ประเทศพม่า และลาว
    ๓๐.สายสินธ์ รัชกาลที่ ๑-๙
    ๓๑.ผงทำพระโรงพยาบาลสงฆ์ ปี ๒๕๐๐
    ๓๒.อิฐวัดรัตนธาตุนครศรีธรรมราช
    ๓๓.กระเบื้องหลังคาโบสถ วัดโสธร
    ๓๔ผงเกสรดอกไม้ ผงใบไม้มงคล ๑๐๘ หลวงพ่อชาญ
    ๓๕.ดินป่าง ๗ โป่ง
    ๓๖. ดินธรณีโบสถ
    ๓๖ ผงนางพญาซุ้มกอ
    ๓๗ ผงหลวงพ่อปาน
    ๓๘ดินปฐวีกสิณ
    ๓๙ผงปลุกเสกวัดพระแก้ว ๑๐ ครั้ง
    ๔๐ ผงใบลาน
    ๔๑ ข้าวสารดำ
    ๔๒ ผงพระจิตลดา
    ๔๓ผงพระธาตุพนม
    ๔๔ ผงดินกากยายัด หลวงปู่ทวด
    ๔๕ผงมหาราช
    ๔๖ผงจินดามณี
    ๔๗ผงลำพูน
    ๔๘ ผงสิวลี
    ๔๙ ผงเขี้ยวหนุมาร
    ๕๐ผงเทพทาโร
    ๕๑ ผงวัดสระมรกต
    ๕๒ ผงอิทธิเจ
    ๕๓ ผงปถมัง
    ๕๔ ผงตระไคล้โบสถ
    ๕๕ ผงตระไคล้เสมา
    ๕๖ ผงคดปลวก
    ๕๗ผงกลาตาเดียว
    ๕๘ผง งาช้างดำ
    ๕๙ ผงงาช้างสลัดได
    ๖๐ผงวัดป่าเลลัย สุพรรณ
    ๖๑ ผงทองหลวงพ่อเพชร พิจิตร
    ๖๒ผงคตมะพร้าว
    ๖๓ ผงไม้ขนุนคต
    ๖๔. ผงจักรพรรดิหลวงปู่ดู่
    ๖๕.ผงธูปเจ้าคณะจังหวัด ๗๖ จังหวัด
    ๖๖.ผงไม้ช่อฟ้าเอกฟ้าผ่า วัดราชสิทธาราม ๒๒๐ ปี
    ๖๗.เพชรเจ็ดสีมณีเจ็ดแสง ประจบ ถ้ำ
    ๖๘.ผงยาจินดามณี และยาวาสนา
    ๖๙.เพชรหน้าทั้ง
    ๗๐.เทพทาโร
    ๗๑.ขี้เหล็กไหล
    ๗๒.น้ำมันหอม ขวดละหมื่น
    ๗๓.ไม้ไก่กุก
    ๗๔ข้าวสุกก้นบาตร
    ๗๕.ชานหมากปาฎิโมกข์
    ๗๖.โป่ง ๔ แพร่ง
    ๗๗เม็ดขนุนใต้ดินทองแดง อายุ ๕ ปี
    ๗๘.คตมะพร้าวหมากทุย
    ๗๙.ผงพระรอด
    ๘๐.ผงซุ้มกอ
    ๘๑ผงพระนางพญา สุพรรณ
    ๘๒.ผงนางพญา พิษณุโลก
    ๘๓.ผงยาวาสนา
    ๘๔.ตระกรุตเงิน หลวงพ่อจัก พิจิต
    ๘๕.ผงธูป ๗๒ จังหวัด
    1. ว่าน 108 ชนิด จำนวน 108 บาตร
    2. ดินพรายสมุทรท้องทะเลลึก 108 ปั้น
    3. ดินท้องแม่น้ำปากพนัง 108 ปั้น
    4. ดินกลางวัด 108 วัด 108 ปั้น
    5. ดินกลางนา 108 แปลง 108 ปั้น
    6. ดินหาดทรายแก้ว 108 หาด
    7. ดินกลางไร่ 108 ไร่
    8. ดินรูปูนา 108 รู
    9. ดินปราบหญ้าไม่งอก 108 ปราบ
    10. ดินจอมปลวกวัวเลีย 108จอม
    11. ดินกลางสระน้ำ 108 สระ
    12. เถ้าเชิงตะกอนเผาศพ ตายวันเสาร์เผาวันอังคาร 7 ป่าช้า บดเป็นผง 108 จอก
    13. เถ้าหนังสือใบลาน 108 จอก
    14. ดินป่าช้า 3 วัด ปั้นเป็นก้อน 108 ก้อน
    15. ดอกไม้บูชาพระบรมธาตุ วันมาฆบูชา เฉพาะที่ตรงกับวันเสาร์ขึ้น 15 ค่ำ บดเป็นผง 108 จอกชา
    16. น้ำจากหุบเขาชัยราช แนวต่อจังหวัดชุมพรกับจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นน้ำผสมผงปั้นพระ
    17. น้ำฝนตกชายคาพระอุโบสถ เฉพาะที่ตรงกับวันจันทร์ขึ้น 10 ค่ำเป็นน้ำผสมผงปั้นพระ
    18. ดินพอกหางหมู 108 ก้อน
    19. ผงพระท่าเรือ นครศรีธรรมราช
    (ผงสมิงเหล็ก)

    รวม ๘๒ ชนิด


    [​IMG]
     
  4. mature_na

    mature_na เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    4,557
    ค่าพลัง:
    +6,760
    ภาพการเข้าสะกด พระปีติ 5 เป็นอนุโลม - เป็นปฏิโลม เพื่อให้จิตอดทนต่อเสียง ทำให้องค์ฌานแกร่ง (เป็นกรรมฐานครั้งตติยสังคายนา)
    -ข้อมูลสำหรับการศึกษาเพิ่มเติม
    http://www.somdechsuk.org/
    http://www.facebook.com/phrakrusittisongvon

    http://www.themajjhima.com/


    [​IMG]
     
  5. mature_na

    mature_na เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    4,557
    ค่าพลัง:
    +6,760
    ประวัติของ เจ้าคุณสังวรา (ชุ่ม)(บูรพาจารย์กรรมฐานมัชฌิมาฯอีก ท่านครับ) ท่านเกิดที่บ้าน ต.เกาะท่าพระ อ.บาง กอกใหญ่ จ.ธนบุรี
    เมื่อวันพุธที่ 16 พ.ย. 2396 ตรงกับวันแรม 1 ค่ำ เดือน 12 ตรงกับปีฉลู จ.ศ.1215
    ซึ่งเป็นปีที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงประสูติ

    เป็นบุตรของนายอ่อนและนางขลิบ เยาว์วัยได้เรียนอักขรสมัยในสำนักพระอาจารย์ทอง วัดราชสิทธาราม
    ตั้งแต่อายุได้ 10 ขวบ จนอายุ 13 ปี จึงบรรพชาเป็นสามเณรในสำนักพระสังวรานุวงษ์เถร (เมฆ)
    และศึกษาเล่าเรียนในสำนักนี้ตลอดมา
    อายุ 21 ปี เข้าอุปสมบท มีพระสังวรานุวงษ์เถร (เมฆ) เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านปลัดโต
    และพระสมุห์กลัด เป็นคู่กรรมวาจาจารย์ ได้ศึกษาพระปริยัติธรรมอยู่หลายปี
    แต่ไม่เคยสมัครเข้าสอบไล่หรือบาลีในสนามหลวง
    เมื่อแตกฉานแล้วจึงหันมาเรียนและขึ้นกรรมฐานกับพระอุปัชฌาย์ เริ่มจากวิชาธรรมกายจนถึงถอดรูปได้
    เรียนอยู่นานจนพระอุปัชฌาย์เชื่อมือ และได้ชื่อว่าเชี่ยวชาญที่สุดในบรรดาศิษย์ทั้งหมด
    จนกระทั่งปีพ.ศ.2422 ได้เป็นพระใบฎีกาฐานานุกรมของพระสังวรานุวงษ์เถร (เมฆ)
    หลังพระอุปัชฌาย์มรณภาพ ท่านก็รับหน้าที่เป็นพระอาจารย์สอนและบอกกรรมฐานพระเณรและคฤหัสถ์ทั่วไป
    และมีโอกาสได้ออกไปรุกขมูลและถือธุดงค์บ่อยครั้ง สถานที่ที่ท่านชอบไปคือแถบพระพุทธบาทห้ารอย จ.เชียงราย
    ไปจน ถึงเมืองหงสาวดีและย่างกุ้ง ในประเทศพม่า
    ถึงปีพ.ศ.2431 เลื่อนเป็นพระสมุห์ฐานานุกรมในพระสังวราฯ (เอี่ยม) ต่อมาในปีพ.ศ.2451
    ได้รับพระราชทานเลื่อนเป็นพระราชาคณะที่ พระสังวรานุวงษ์เถร ได้เป็นเจ้าอาวาสต่อจาก
    พระมงคลเทพมุนี (เอี่ยม) รับพระราชทานนิตยภัตเพิ่มอีกเดือนละสามตำลึงเสมอด้วยชั้นราช
    รุ่งขึ้นอีกปีได้รับพระมหากรุณาธิคุณให้เพิ่มนิตยภัตขึ้นอีกเดือนละสองบาทรวมเป็นสามตำลึงครึ่ง
    เจ้าคุณสังวรา (ชุ่ม) เป็นพระมหาเถระที่มีพรหมวิหารสี่ครบถ้วน จึงเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาในหมู่ชนอย่างมาก
    เมื่อครั้งที่ท่านยังมีชีวิต มีอุบาสกอุบาสิกาและประชาชนทั่วไปมาฟังธรรมในวัดและเล่าเรียนทางวิปัสสนาธุระกันมาก
    ต่อมาก เพราะท่านมีความรู้ความสามารถจึงอบรมสั่งสอนถ่ายเทความรู้ให้จนหมดสิ้น
    ทั้งนี้ ท่านเป็นพระเถระรูปสุดท้ายที่ได้รับพระราชทานพัดหน้านางงาสานต่อจากเจ้าคุณเฒ่า
    หรือหลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง ซึ่งหลังจากท่านแล้วก็ไม่มีรูปใดได้รับพระราชทานอีกเลย
    อาจจะเป็นเพราะไม่มีพระราชาคณะรูปใดเหมาะสม หรือเพราะวัสดุและชิ้นส่วนงาสานนี้มีราคาแพงและหาได้โดยยาก
    จึงไม่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นอีก

    นอกจากนี้ ท่านเป็นพระอาจารย์ของ พระเกจิอาจารย์สำคัญทางฝั่งธนบุรีหลายรูป
    เช่น หลวงปู่นาค วัดระฆัง หลวงพ่อพริ้งวัดบางปะกอก และหลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี เป็นต้น

    เครื่องรางของขลังที่ถือกันว่ามีพุทธานุภาพ เข้มขลังในด้าน “ป้องกันอัคคีภัยตามเคหสถานบ้านเรือน”
    ก็คือเครื่องรางของขลังในรูปแบบของ “น้ำเต้า” และน้ำเต้าที่มีชื่อเสียงรู้จักกันแพร่หลายและมีประสบการณ์
    จนขึ้นชื่อลือชาที่สุดเห็นจะได้แก่ น้ำเต้ากันไฟของ พระสังวรานุวงษ์เถร (ชุ่ม) หรือ ท่านเจ้าคุณสังวรา (ชุ่ม)
    อดีตเจ้าอาวาสรูปที่ 16 ของวัดราชสิทธาราม (วัดพลับ) เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพฯ
    พระอารามหลวงเก่าแก่แห่งหนึ่งซึ่งมีพระกรุ พระเก่ายอดนิยมที่นักสะสมพระเครื่องต่างหมายปอง
    และมีราคาเช่าหาที่แพงมิใช่น้อย อดีตเจ้าอาวาสที่มีชื่อเสียงก็คือ สมเด็จพระสังฆราช (สุก ไก่เถื่อน) เจ้าอาวาสองค์แรก
    ท่านเจ้าคุณพระสังวรา (ชุ่ม) เป็นพระเถระที่เชี่ยวชาญทางวิปัสสนากรรมฐาน
    และสร้างพระเครื่องที่มีความศักดิ์สิทธิ์เข้มขลังอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเครื่องรางอย่าง “น้ำเต้ากันไฟ”
    ซึ่งท่านได้วิชานี้มาขณะออกเดินธุดงค์ โดยได้ไปพบศาลาพักร้อนกลางป่าหลังหนึ่ง
    ซึ่งโดยรอบศาลาถูกไฟไหม้เสียหายไปทั้งหมด แต่ตัวศาลากลับไม่ได้รับความเสียหาย
    เป็นที่น่าอัศจรรย์ จึงเดินดูรอบๆ พบบริเวณอกไก่ มีน้ำเต้าแขวนไว้ลูกหนึ่ง
    เมื่อเทออกดูพบคาถากันไฟบทหนึ่งบรรจุอยู่ภายใน ได้นำติดตัวกลับมาด้วย
    ภายหลังกลับไปพบว่าศาลาดังกล่าวถูกไฟป่าไหม้เสียหายแล้ว เมื่อประจักษ์ในอภินิหารดังกล่าว
    ท่านจึงได้สร้างน้ำเต้าบรรจุคาถาแจกจ่ายแก่ศิษยานุศิษย์ จนมีชื่อเสียงถึงทุกวันนี้
    น้ำเต้าของท่านจะเลือกเอาแต่น้ำเต้าตรงตามลักษณะที่ตำราบ่งบอกไว้และแก่จัดมากๆ
    มาควักเอาเนื้อในและเม็ดออกให้หมดแล้ว นำมาลงอักขระเลขยันต์ และปลุกเสกตามสูตรโบราณ
    ที่ท่านได้ศึกษาเล่าเรียนมาจากครูบาอาจารย์ ที่เคยพบบางลูกก็มีการถักเชือกและลงรักปิดทองไว้
    บางลูกก็ไม่มี ไม่เป็นที่แน่นอนเสมอไป แต่ชาววงการมักจะนิยมและเล่นหาแบบถักเชือกและลงรักมากกว่า
    ส่วนขนาดนั้นก็ไม่แน่นอนเนื่องจากการสร้างน้ำเต้ากันไฟนี้ถ้าจะสร้างให้ถูกต้องตามแบบโบราณนั้นสร้างยากมาก
    นับตั้งแต่หาวัสดุ จนถึงขั้นตอนการปลุกเสก เป็นผลให้น้ำเต้าของท่านเจ้าคุณสังฆ วรา (ชุ่ม)
    นี้มีจำนวนน้อยมาก นานๆ จะพบสักลูกหนึ่ง

    มีเรื่องที่ท่านเล่าให้ศิษย์ฟังเรื่องหนึ่งเมื่อท่านธุดงค์ไปสุพรรณบุรี เพื่อนมัสการหลวงพ่อโต วัดป่าเลไลยก์
    โดยท่านกะว่าเมื่อนมัสการแล้วจะออกไปแสวงหาวิเวกนอกเมือง ด้วยพระธุดงค์สมัยก่อน
    ไม่นิยมการอยู่ในเขตบ้านเรือนหรือในเมืองเพราะเป็นที่ไม่เหมาะแก่การเจริญภาวนา
    ครั้นไปถึงแล้วปรากฏว่าเป็นเวลาเย็น พระวิหารหลวงพ่อโตปิดลั่นดาลทั้งนอกและใน
    แล้วด้านหน้าใส่สลักดาล ด้านหลังใส่กุญแจ ท่านก็เที่ยวเดินหาคนที่คอยดูแลพระวิหาร
    แต่ไม่พบ จึงตั้งใจว่าจะกราบนมัสการข้างนอก โดยนึกในใจว่า วาสนาของเราไม่มีในคราวนี้จักต้องไปที่อื่น
    คราวหน้าจะหาโอกาสมานมัสการใหม่ แล้วทรุดตัวลงนั่งกราบ พลันหูก็ได้ยินเสียงดาลประตูลั่นดังแกร๊กจากทางด้านหน้า
    และประตูพระวิหารก็แง้มออกพอมีช่องให้เข้าไปได้
    ท่านจึงเดินเข้าไปผลักประตูออก แล้วเข้าไปนมัสการหลวงพ่อโตด้วยความอิ่มใจ
    และเดินดูจนทั่วพระอุโบสถว่าใครเปิดพระวิหารให้เข้าไป แต่ก็ไม่พบ เดินวนจนอ่อนใจ
    จึงกราบนมัสการลาหลวงพ่อโต แล้วผลักบานประตูให้สนิทกัน พลันก็ได้ยินเสียงลั่นดาล
    เมื่อเอามือผลักดูก็พบว่าดาลข้างในปิดตายแล้ว ท่านว่าเทพยดานิมิตให้ได้เข้าไปนมัสการ

    เจ้าคุณสังวรา(ชุ่ม) ครองวัดราชสิทธารามอยู่ 12 ปีจึงมรณภาพ เมื่อปีพ.ศ.2470 รวมอายุได้ 74 ปี
    ในงานพระราชทานเพลิงศพ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ (หม่อมเจ้าภุชงค์ สิริวัฑฒโน)
    วัดราชบพิธฯ เสด็จเป็นประธานพระราชทานเพลิงศพด้วย นับเป็นงานที่ใหญ่โต โดยสร้างเมรุลอยบนภูเขาจำลอง
    มีมหรสพสมโภชถึง 3 วัน 3 คืน
    ในงานมีเหรียญที่ระลึกแจก เป็นเหรียญเนื้อทองแดงรูปไข่ หูเชื่อม ซึ่งแม้จะเป็นเหรียญตาย
    แต่ปัจจุบันหายากมาก สนนราคาเหรียญที่สวยๆ ประมาณหมื่นบาท ที่สำคัญ
    ปลุกเสกโดยสุดยอดพระคณาจารย์ดังในยุคนั้น อาทิ พระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ เป็นต้น
    สำหรับวัตถุมงคลที่ท่านสร้างไว้มีด้วยกันหลายอย่าง เช่น ตะกรุดสามกษัตริย์,น้ำเต้ากันไฟ,
    พระพิมพ์เล็บมือ หรือพิมพ์ซุ้มกอ เนื้อชินตะกั่วถ้ำชา,พระพิมพ์ห้าเหลี่ยม เนื้อชินตะกั่วถ้ำชา และเนื้อสำริด,
    พระพิมพ์สองหน้า เนื้อชินตะกั่วถ้ำชา,พระพิมพ์เนื้อเงิน และเนื้อทองฝาบาตร,พระปิดตา เนื้อตะกั่วอาบปรอท


    [​IMG]
     
  6. mature_na

    mature_na เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    4,557
    ค่าพลัง:
    +6,760
    คำสอนของพระญาณสังวรเถร ( หลวงปู่สุก ไก่เถื่อน )

    พระภิกษุที่เรียนพระกรรมฐาน กับพระญาณสังวรเถร บางรูป บางองค์คนองปาก
    เวลาปฏิบัติธรรมรู้เห็นอะไรมักชอบเอามาพูดมาคุย หรือบางรูปได้ยินได้ฟังอะไร รู้เห็น
    อะไร แล้วนำมาพูดต่อ ซึ่งเป็นผิดจารีตพระกรรมฐาน พระองค์ท่าน ก็จะทรงสอนเพียง
    สั้นๆว่า ปิดหู ปิดตา ปิดปาก คือทรงสอนในเรื่องให้สังวรบางครั้งพระองค์ท่าน ก็ทรง
    ชี้ให้ไปดูที่พระปิดทวาร ซึ่งมีลักษณะ ปิดหู ปิดตา ปิดปาก หรือบางครั้งท่านาเขียนเป็น
    อักษรจีนไว้ สี่คำว่า ปิดหู ปิดตา ปิดปาก
    ครั้นเมื่อพบพระภิกษุ ประพฤติตัวเช่นว่านี้ ท่านก็จะชี้ให้ดู อักษรจีนที่พระองค์
    ท่านเขียนไว้สี่คำ พระบางรูปอ่านอักษรจีนไม่ได้ ถามพระองค์ท่าน ก็ไม่บอก ทรงนิ่ง
    เฉยเสีย ภิกษุรูปนั้นก็ ไปถามพระภิกษุที่รู้ภาษาจีน ภิกษุรูปนั้น ทราบความหมายแล้ว
    แต่นั้นมาก็ สงบ สำรวมขึ้น มากกว่าแต่ก่อน
    เนื่องจากพระญาณสังวร ทรงสามารถอ่าน เขียน ภาษาจีนได้ เพราะพระบิดาซึ่ง
    มีเชื้อจีน ทรงสอนให้เมื่อทรงพระเยาว์

    บางครั้งพระญาณสังวรเถร พระองค์ท่านจะมีคำสอนเพียงสั้นๆ สำหรับสอนพระศึกษา
    พระกรรมฐานอีกอย่าง คือ
    หูฟัง ใจสงบ ตาเป็นทิพย์
    หูฟัง คือ การได้ยินได้ฟังอะไร เป็นเสียงสรรเสริญก็ดี เสียงนินทาก็ดี ให้มีสติควบคุมจิตใจไว้ ไม่ยินดีเมื่อได้ฟังเสียงสรรเสริญ ไม่เสียใจเมื่อได้ยินเสียงนินทาว่าร้ายไม่แสดงอาการออกมา ให้สงบสำรวมระวัง เรียกว่า สังวร เพราะ สังวร เป็น ศีล

    ใจสงบ เมื่อได้ยินได้ฟังแล้วให้คุมสติ ทำใจให้สงบนิ่ง เป็นอุเบกขา ทำจิตให้ปราศจากจากนิวรณ์ และอกุศลธรรมต่างๆ มีจิตตั้งมั่น เรียกว่า สมาธิ

    ตาเป็นทิพย์ ได้แก่ ได้ยินได้ฟัง แล้วมีสติทำใจให้สงบเป็นอุเบกขาแล้วจะเกิดปัญญา แล้วใช้ปัญญาพิจารณาเรื่องราวต่างๆ ให้เห็นด้วยปัญญาของตนเองก่อนแล้ว จึงค่อยตอบปัญหา แก้ปัญหา หูฟัง หมายถึง การฟังด้วยความสำรวมสงบ ใจสงบ การมีสติ ตั้งมั่นเป็นสมาธิ ตาเป็นทิพย์ หมายถึง มีปัญญาพิจารณาให้รอบคอบ

    พระองค์ท่าน ทรงสอนในเรื่องของ การสังวร ตา หู และปาก และศีล สมาธิ
    ปัญญา อันเป็นลักษณะกิริยาอาการ ของพระกรรมฐาน คือให้ทำกิริยา เฉยๆไว้เท่านั้น
    เป็นบุคลิกของ พระกรรมฐาน

    พระประวัติสมเด็จพระสังฆราชญาณสังวร มหาเถรเจ้า (สุกไก่เถื่อน)
    Somdechsuk.org | เวทาสากุ
    หน้าที่ 300 - 301
    ขอบคุณเนื้อหา จาก ครูอาจารย์ที่ คณะ 5 วัดราชสิทธาราม ด้วยครับ
    สมเด็จพระสังฆราชสุก(ไก่เถื่อน)พระกรรมฐานมัชฌิมาแบบลำดับ
    =============================
    -ข้อมูลสำหรับการศึกษาเพิ่มเติม
    Somdechsuk.org | เวทาสากุ
    Weera Sukmetup | Facebook

    http://www.themajjhima.com/

    [​IMG]
     
  7. mature_na

    mature_na เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    4,557
    ค่าพลัง:
    +6,760
    เครื่องสักการะพระรัตนตรัย
    เมื่อขึ้นพระกรรมฐาน

    เมื่อจะเรียนพระกรรมฐานนั้น ต้องมอบตัวต่อพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และ อาจารย์ ผู้บอกพระกรรมฐาน โดยให้จัดเตรียม ดอกไม้ ๕ กระทง ข้าวตอก ๕ กระทง เทียน ๕ เล่ม ธูป ๕ ดอก ใส่เรียงกันในถาดสี่เหลี่ยมผืนผ้า มาขึ้นในวัน พฤหัสบดี ข้างขึ้น หรือ ข้างแรมก็ได้

    บททำวัตรพระ

    นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺส
    (ให้ว่า ๓ หน)

    พุทธํ ชีวิตํ ยาวนิพฺพานํ สรณํ คจฺฉามิ ฯ
    อิติปิโส ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทโธ วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน สุคโต โลกวิทู อนุตฺตโร ปุริสะทมฺมสารถิ สตฺถา เทวมนุสสานํ
    พุทโธ ภควาติ ฯ
    เย จ พุทธา อตีตา จ, เย จ พุทธา อนาคตา,
    ปจฺจุปฺปนฺนา จ เย พุทธา, อหํ วนฺทามิ สพฺพทา,
    พุทธานาหสฺมิ ทาโสว, พุทธา เม สามิกิสฺสรา,
    พุทธานญฺ จ สิเร ปาทา, มยฺหํ ติฏฐนฺตุ สพฺพทาฯ
    นตฺถิ เม สรณํ อญฺญํ, พุทโธ เม สรณํ วรํ,
    เอเตน สจฺจ วชฺเชน, โหตุ เม ชยฺมํ คลํ ฯ
    อุตฺตมํเคน วนฺเทหํ, ปาทปงฺสุง วรุตฺตมํ,
    พุทโธ โย ขลิโต โทโส, พุทโธ ขมตุ ตํ มมํ ฯ

    (กราบแล้วหมอบลงว่า)
    ข้าฯจะขอยึดหน่วงเอาซึ่งพระพุทธเจ้า และคุณพระพุทธเจ้า ในอดีต อนาคต ปัจจุบัน จงมาเป็นที่พึ่งแก่ข้าฯ ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน และข้าฯจะขอนมัสการกราบไหว้พระพุทธเจ้า อันเป็นอดีต อนาคต ปัจจุบัน สิ้นกาลนานทุกเมื่อ และข้าฯจะขอเป็นข้าแห่งพระพุทธเจ้า ขอพระพุทธเจ้าจงมาเป็นเจ้าเป็นใหญ่แก่ข้าฯ ขอพระบาทบาทาของพระพุทธเจ้า จงมาประดิษฐานอยู่เหนือเศียรเกล้าแห่งข้าฯสิ้นกาลนานทุกเมื่อ สิ่งอันอื่นจะได้เป็นที่พึ่งแก่ข้าฯหามิได้ ถ้าเว้นไว้แต่พระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งแก่ข้าฯเที่ยงแท้นักหนา ข้าฯไหว้ละอองธุลีพระบาท ทั้งพระลายลักษณ์สุริยะฉาย ชัยมงคลทั้งหลายจงมาบังเกิดมีแก่ข้าฯด้วยคำสัจนี้เถิด อนึ่ง โทษอันใดข้าฯได้ประมาทพลาดพลั้งไว้ในพระพุทธเจ้า อันเป็นอดีต อนาคต ปัจจุบัน ขอพระพุทธเจ้าจงมาอดโทษทั้งปวงนั้นให้แก่ข้าฯพระพุทธเจ้านี้เถิด ฯ (คำแปล พระเทพโมลีกลิ่น)
    (กราบ)

    ธมฺมํ ชีวิตํ ยาว นิพฺพานํ สรณํ คจฺฉามิ ฯ
    สวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม สนฺทิฏฐิโก อกาลิโก เอหิปสฺสิโก โอปนยิโก ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิญญู***ติฯ
    เย จ ธมฺมา อตีตา จ, เย จ ธมฺมา อนาคตา,
    ปจฺจุปปนฺนา จ เย ธมฺมา, อหํ วนฺทามิ สพฺพทาฯ
    ธมฺมา นาหสฺสมิ ทาโสว, ธมฺมา เม สามิกิสฺสรา,
    สพฺเพ ธมฺมาปิ ติฏฐนฺตุ, มมํ สิเรว สพฺพทาฯ
    นตฺถิ เม สรณํ อญฺญํ, ธมฺโม เม สรณํ วรํ,
    เอเตน สจฺจ วชฺเชน, โหตุ เม ชยฺมํ คลํ ฯ
    อุตฺตมํ เคน วนฺเทหํ ธมฺมญฺ จ ทุวิธํ วรํ,
    ธมฺเม โย ขลิโต โทโส, ธมฺโม ขมตุ ตํ มมํฯ

    (กราบแล้วหมอบลงว่า)
    ข้าฯจะขอยึดหน่วงเอาซึ่งพระปริยัติธรรมเจ้า และพระนวโลกุตตระธรรมเจ้า และคุณพระธรรมเจ้าในอดีต อนาคต ปัจจุบัน จงมาเป็นที่พึ่งแก่ข้าฯ ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน และข้าฯจะขอนมัสการกราบไหว้พระธรรมเจ้าทั้งมวล อันเป็นอดีต อนาคต ปัจจุบันสิ้นกาลทุกเมื่อ แลข้าฯจะขอเป็นข้าฯแห่งพระธรรมเจ้า ขอพระธรรมเจ้าทั้งมวลนั้นจงมาเป็นเจ้าเป็นใหญ่แก่ข้าฯ ข้าฯขออาราธนาพระธรรมเจ้าทั้งมวลนั้น จงมาประดิษฐานอยู่เหนือเศียรเกล้าแห่งข้าฯสิ้นกาลทุกเมื่อ สิ่งอันอื่นจะได้เป็นที่พึ่งแก่ข้าฯหามิได้ ถ้าเว้นไว้แต่พระธรรมเจ้าทั้งมวลนั้นเป็นที่พึ่งแก่ข้าฯเที่ยงแท้นักหนา ชัยมงคลทั้งหลายจงมาบังเกิดมีแก่ข้าฯด้วยคำสัจนี้เถิด ข้าฯขอกราบไหว้พระธรรมเจ้าทั้งสองประการอันประเสริฐ โทษอันใดข้าฯได้ประมาทพลาดพลั้งไว้ในพระธรรมเจ้าทั้งสองประการ ขอพระธรรมเจ้าทั้งสองประการ จงมาอดโทษทั้งปวงนั้นให้แก่ข้าฯพระพุทธเจ้านี้เถิดฯ
    (กราบ)

    สงฺฆํ ชีวิตตํ ยาวนิพฺพานํ สรณํ คจิฉามิ ฯ
    สุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสํโฆ, อุชุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสํโฆ, ญายปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสํโฆ, สามีจิปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสํโฆ, ยทิทํ จตฺตาริ ปุริสะยุคฺคานิ อฏฺฐะ ปุริสปุคะลา, เอส ภควโต สาวกสํโฆ, อาหุเนยโย ปาหุเนยโย ทกฺขิเนยโย อญฺชลีกรณีโย อนุตฺตรํ ปุญญกฺเขตตํ โลกสฺสาติ
    เย จ สงฺฆา อตีตา จ เย จ สงฺฆา อนาคตา
    ปจฺจุปปนฺนา จ เย สงฺฆา อหํ วนฺทามิ สพฺพทา ฯ
    สงฺฆานาหสฺสมิ ทาโสว สงฺฆา เม สามิกิสฺสรา
    เตสํ คุณาปิ ติฏฐนฺตุ มมํ สิเรว สพฺพทา ฯ
    นตฺถิ เม สรณํ อญฺญํ สงฺโฆ เม สรณํ วรํ
    เอเตน สจฺจวชฺเชน, โหตุ เม ชยฺมงฺคลํฯ
    อุตฺตมํ เคน วนฺเทหํ, สงฺฆญฺ จ ทุวิธุตฺตมํ,
    สงฺเฆ โย ขลิโต โทโส สงฺโฆ ขมตุ ตํ มมํ ฯ

    (หมอบกราบ แล้วว่า)
    ข้าฯขอยึดหน่วงเอาซึ่งพระอริยสงฆ์เจ้า และคุณพระอริยสงฆ์เจ้า ในอดีต อนาคต ปัจจุบัน จงมาเป็นที่พึ่งแก่ข้าฯตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน และข้าฯจะขอนมัสการกราบไหว้พระอริยสงฆ์เจ้าอันเป็นอดีต อนาคต ปัจจุบัน สิ้นกาลทุกเมื่อ และข้าฯจะขอมอบตัวเป็นข้าฯแห่งพระอริยสงฆ์เจ้า ขอพระอริยสงฆ์เจ้าจงมาเป็นเจ้าเป็นใหญ่แก่ข้าฯ ข้าฯขออาราธนาคุณแห่งพระอริสงฆ์เจ้า จงมาประดิษฐานอยู่เหนือเศียรเกล้าแห่งข้าสิ้นกาลทุกเมื่อ สิ่งอันอื่นจะได้เป็นที่พึ่งแก่ข้าหามิได้ ถ้าเว้นไว้แต่พระอริยสงฆ์เจ้าป็นที่พึ่งแก่ข้าฯเที่ยงแท้นักหนา ชัยมงคลทั้งหลายจงมาบังเกิดมีแก่ข้าฯด้วยคำสัจนี้เถิด ข้าฯขอกราบไหว้พระอริยสงฆ์เจ้าทั้งสองประการอันประเสริฐ โทษอันใดข้าฯได้ประมาทพลาด พลั้งไว้ในพระอริยสงฆ์เจ้าทั้งสองประการ ขอพระอริยสงฆ์เจ้าทั้งสองประการ จงมาอดโทษทั้งปวงนั้นให้แก่ข้าฯพระพุทธเจ้านั้นเถิดฯ
    (กราบ)

    อธิบายบททำวัตรกรรมฐาน

    บททำวัตรสวดมนต์นี้มีมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา ใช้สวดทำวัตรเช้า เย็น และใช้สวดทำวัตรในการขึ้นพระกรรมฐาน สมเด็จพระสังฆราช ไก่เถื่อน ได้นำมาจากกรุงศรีอยุธยา และใช้สวดกันเป็นประจำ ที่วัดราชสิทธารามนี้ มาเลิกสวดเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๔ แต่พระภิกษุที่เรียนพระกรรมฐานยังใช้สวดกันมาจนถึงทุกวันนี้ ส่วนคำแปลท้ายสวดมนต์นี้ มาแปลในสมัยรัชกาลที่ ๒ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อคราวทำสังคายนาสวดมนต์ แปล พ.ศ. ๒๓๖๔


    ที่มา เว็บสมเด็จสุกฯ
    somdechsuk.com - เรื่องกรรมฐาน
    และ
    http://www.somdechsuk.com/download/kumausamatawipassanakammathan.doc
    =============================
    -ข้อมูลสำหรับการศึกษาเพิ่มเติม
    http://www.somdechsuk.org/
    Weera Sukmetup | Facebook

    http://www.themajjhima.com/

    [​IMG]
     
  8. mature_na

    mature_na เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    4,557
    ค่าพลัง:
    +6,760
    คาถาหัวใจไก่เถื่อน

    เวทาสากุ กุสาทาเว
    ทายะสาตะ ตะสายะทา
    สาสาทิกุ กุทิสาสา
    กุตะกุภู ภูกุตะกุ
    พระคาถาพญาไก่เถื่อน(ตำรับสมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราช สุก ไก่เถือน)

    พระคาถาพระยาไก่เถื่อน

    เป็น คาถานำพระคาถาทั้งปวง ใช้ในทางสำเร็จประโยชน์ แต่ผู้ใช้พระคาถานี้ต้องเป็นผู้มีสมาธิจิตเป็นเอกัคตาจิตขั้นสูง ถึงเมตตาเจโตวิมุตติ จึงจะใช้พระคาถานี้ได้ เพราะเป็นคาถามหาเมตตา เพื่อปลดปล่อยสัตว์และปลดปล่อยจิตของตัวเอง

    พระคาถาพระยาไก่เถื่อน นี้ ผู้ใดภาวนาได้สามเดือนทุกๆ วันโดยไม่ขาด ผู้นั้นจะมีปัญญาดั่งพระพุทธโฆษาฯ และไก่ป่านี้ขันขานไพเราะนัก ด้วยอำนาจแห่งพระคาถาพระยาไก่เถื่อน ให้สวดสามจบ จะไปเทศน์ ไปสวด ไปร้อง หรือไปเจรจาสิ่งใดๆ ดีนัก มีตบะเดชะนัก ถ้าแม้นสวดได้เจ็ดเดือน อาจสามารถรู้ใจคน เหมือนดังไก่ป่ารู้กลิ่นตัวคนฉะนั้น ถ้าสวดครบหนึ่งปีจะมีตบะเดชะเหนือกว่าคนทั้งหลายทั้งปวง

    แม้จะเดิน ทางไกล ให้สวดแปดจบเหมือนไก่ขันยาม เป็นสวัสดีกว่าคนทั้งหลาย ใช้เสกหิน เสกแร่ ไว้สี่มุมเรือน โจรผู้ร้ายไม่เข้าปล้นเหมือนไก่ป่าไม่ทิ้งรัง แม้ผีร้ายเข้ามาในเขตบ้าน ก็คร้ามกลัวยิ่งนัก เสกข้าวสารปรายหนทางก็ดี ประตูก็ดี ผีกลัวยิ่งนัก คนเดินไปถูกเข้าก็ล้มแล แพ้แก่อำนาจเรา

    พระ คาถานี้ได้เมื่อพระกกุสันโธเสวยพระชาติเป็นไก่ป่า เป็นอาการสามสิบสองของพระพุทธเจ้าทั้งห้าพระองค์ คือ พระกกุสันโธ พระโกนาคมโน พระกัสสโป พระโคตโม พระศรีอริยเมตไตย พระคาถาบทนี้ ถ้าจำเริญภาวนา จะมีอานุภาพมาก ผู้ใดภาวนาเป็นนิจสิน จะเกิดลาภยศมิรู้ขาด ทำมาค้าขึ้น ทำนา ทำสวน ทำไร่ เจริญงอกงามดี ทั้งทำให้บังเกิดสติปัญญาด้วย ถ้าเดินทางไปทางบกหรือเข้าป่า สวดภาวนาให้คลาดแคล้วจากภัยอันตรายดีนักแล ในบั้นปลายก็จะบรรลุพระนิพพานด้วยเมตตาบารมีนี้เอง
    =============================
    -ข้อมูลสำหรับการศึกษาเพิ่มเติม
    Somdechsuk.org | เวทาสากุ
    Weera Sukmetup | Facebook

    http://www.themajjhima.com/
     
  9. mature_na

    mature_na เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    4,557
    ค่าพลัง:
    +6,760
    เวทาสากุ กุสาทาเว-ทายะสาตะ ตะสายะทา-สาสาทิกุ กุทิสาสา-กุตะกุภู-ภูกุตะกุ
    พระเถราวุฒาจารย์ ครูบารุ่งเรือง ได้สอนพระคาถา แก่ สมเด็จพระสังฆราชสุก กล่าวว่าเป็นคาถานํา พระคาถาทั้งปวง ใช้ในทางสําเร็จประโยชน์ ผู้ใช้พระคาถานี้ ต้องมีสมาธิจิตเป็นเอกัคตาจิตชั้นสูง ถึงเมตตาเจโตวิมุตติ จึงจะใช้พระคาถานี้ได้
    เพราะเป็นพระคาถา ปลดปล่อยสัตว์ และปลดปล่อยจิตตัวเอง
    พระอริยเถราจารย์ครูบารุ่งเรือง ท่านเห็นธรรมอะไร ในพระคาถา พระยาไก่เถื่อนบ้าง พระอาจารย์สุกนั้นทรงใกล้ชิดกับไก่ป่า มาแต่ยังทรงพระเยาว์ และทรงเรียนรู้ พระคัมภีร์มิลินท์ปัญหา มาแล้ว พระองค์ท่านจึงทราบธรรม ที่เกียวกับไก่ป่าอย่างมากมาย
    ทรงกล่าวกับพระอริยเถราจารย์ว่า
    ไก่ป่านี้ปราศเปรียว คอยหนีคน หนีภัยอย่างเดียว เหมือนกับจิตของคน ไก่ป่าเชื่องคนยากเหมือนจิตของคนเรา ซึ่งเชื่องต่ออารมณ์ยากมากเหมือนกัน ไก่ป่าแม้เสกข้าวด้วยเมตตาให้กิน แรกๆมันก็ไม่กล้าเข้ามาหาคน นานๆเข้าจึงจะกล้าเข้ามาหาคน เหมือนจิตคนเราก็ชอบท่องเทียว ไปไก :040:ลตามธรรมารมณ์ต่าง ฝึกตั้งจิตเป็นสมาธิแรกๆนั้น จิตมักจะอยู่พักเดียวก็เตลิดไป ต่อๆนาน จิตชินกับอารมณ์ดีเเล้ว จึงจะเชื่องและ ตั้งมั่นเป็นสมาธิ
    พระอริยเถราจารย์ครูบารุ่งเรือง ถามพระอาจารย์สุกอีกว่า
    พระคาถาไก่เถื่อน สี่วรรค แต่ละวรรค กลับไป-กลับมา เป็น อนุโลม-ปฏิโลม หมายถึงอะไร
    พระอาจารย์สุกตอบว่า
    แต่ละวรรค หมายถึงโลกธรรมแปด วรรคหนึ่งหมายถึง มีลาภเสื่อมลาภ วรรคสองหมายถึง มียศเสื่อมยศ วรรคสามหมายถึง มีสรรเสริญก็มีนินทา วรรคสี่ หมายถึงมีสุขก็มีทุกข์ ทุกอย่างย่อมแปลปรวนมีดีและมีชั่ว
    ไม่แน่นอน ไม่ควรยึดติด มีหยาบ ก็มีละเอียด
    =============================
    -ข้อมูลสำหรับการศึกษาเพิ่มเติม
    Somdechsuk.org | เวทาสากุ
    Weera Sukmetup | Facebook

    http://www.themajjhima.com/
     
  10. mature_na

    mature_na เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    4,557
    ค่าพลัง:
    +6,760
    ต่อมาพระอาจารย์สุก ทรงยกคุณแห่งไก่ป่าใน มิลินท์ปัญหา มาให้พระอริยเถราจารย์ครูบารุ่งเรืองฟังว่า ผู้ที่จะบรรลุ มรรค ผล นิพพานต้องประกอบด้วย คุณสมบัติอันเปรียบเทียบได้กับไก่ หรือไก่ป่า มี 5 ประการดังนี้คือ
    1.เมื่อเวลายังมืดอยู่ ก็ไม่บินลงหากิน
    2.พอสว่างก็บินลงหากิน
    3.จะกินอาหารต้องใช้เท้าเขี่ยเสียก่อน แล้วจึงจิกกิน
    4.กลางวันมีตาใสสว่างเห็นอะไร ได้ถนัดแต่เวลากลางคืน ตาฟางคล้ายคนตาบอด
    5.เมื่อถูกเขาขว้างปา หรือถูกตะเพิดไม่ให้เข้ารัง ก็ไม่ทิ้งรังของตน นี้ เป็นองค์คุณ 5 ประการของไก่
    ผู้มุ่งมรรคผลต้องประกอบให้ได้กับคุณสมบัติ อันเปรียบเทียบได้กับ องค์คุณเหล่านี้
    1.เวลาเช้าปัดกวาดที่อยู่และจัดตั้งเครื่องใช้สอย ให้เรียบร้อย อาบนํ้าชําระกายให้สะอาด บูชากราบไหว้ปูชนียวัตถุ
    2.ครั้นสว่างแล้วจึงกระทําการ หาเลี้ยงชีพ ตามหน้าที่ของเพศตน
    3.พิจราณาก่อนแล้วจึงบริโภค ดังพุทธภาสิตว่า ผู้บริโภคอาหารพึงพิจราณา เห็นเหมือนคนบริโภคเนื้อบุตร ของตนในทางกันดาร และไม่มัวเมา มุ่งแต่ทรงชีวิตไว้ เพื่อทําประโยชน์สุขแก่ตน และผู้อื่น
    4.ตาไม่บอดก็พึงทําเหมือนคนตาบอด คือไม่ยินดียินร้าย ดุจภาษิต ที่พระมหากัจจายนะ กล่าวไว้ว่า มีตาดีก็พึงทําเหมือนคนตาบอด มีหูดีก็พึงเป็นเหมือนหูหนวก มีลิ้นเจรจาได้ก็พึงเหมือนเป็นใบ้ มีกําลัง ก็พึงเหมือนคนอ่อนเพลีย เรื่องร้ายเกิดขึ้น ก็พึงนอนนิ่งเสีย เหมือนคนนอนเฉยอยู่ฉะนั้น
    5.จะทํา จะพูด ไม่พึงละสติ สัมปชัญญะ ประหนึ่ง ไก่ป่า ไม่ทิ้งรังฉะนั้น

    ถ้าปฏิบัติได้ อย่างนี้ จะบรรลุมรรคผลนิพพาน

    จากหนังสือพระประวัติ สมเด็จพระสังฆราช สุก ไก่เถื่อน
    วัดราชสิทธาราม(พลับ)

    =============================
    -ข้อมูลสำหรับการศึกษาเพิ่มเติม
    Somdechsuk.org | เวทาสากุ
    Weera Sukmetup | Facebook

    http://www.themajjhima.com/
     
  11. mature_na

    mature_na เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    4,557
    ค่าพลัง:
    +6,760
    ต่อมาพระอาจารย์สุก ทรงยกคุณแห่งไก่ป่าใน มิลินท์ปัญหา มาให้พระอริยเถราจารย์ครูบารุ่งเรืองฟังว่า ผู้ที่จะบรรลุ มรรค ผล นิพพานต้องประกอบด้วย คุณสมบัติอันเปรียบเทียบได้กับไก่ หรือไก่ป่า มี 5 ประการดังนี้คือ
    1.เมื่อเวลายังมืดอยู่ ก็ไม่บินลงหากิน
    2.พอสว่างก็บินลงหากิน
    3.จะกินอาหารต้องใช้เท้าเขี่ยเสียก่อน แล้วจึงจิกกิน
    4.กลางวันมีตาใสสว่างเห็นอะไร ได้ถนัดแต่เวลากลางคืน ตาฟางคล้ายคนตาบอด
    5.เมื่อถูกเขาขว้างปา หรือถูกตะเพิดไม่ให้เข้ารัง ก็ไม่ทิ้งรังของตน นี้ เป็นองค์คุณ 5 ประการของไก่
    ผู้มุ่งมรรคผลต้องประกอบให้ได้กับคุณสมบัติ อันเปรียบเทียบได้กับ องค์คุณเหล่านี้
    1.เวลาเช้าปัดกวาดที่อยู่และจัดตั้งเครื่องใช้สอย ให้เรียบร้อย อาบนํ้าชําระกายให้สะอาด บูชากราบไหว้ปูชนียวัตถุ
    2.ครั้นสว่างแล้วจึงกระทําการ หาเลี้ยงชีพ ตามหน้าที่ของเพศตน
    3.พิจราณาก่อนแล้วจึงบริโภค ดังพุทธภาสิตว่า ผู้บริโภคอาหารพึงพิจราณา เห็นเหมือนคนบริโภคเนื้อบุตร ของตนในทางกันดาร และไม่มัวเมา มุ่งแต่ทรงชีวิตไว้ เพื่อทําประโยชน์สุขแก่ตน และผู้อื่น
    4.ตาไม่บอดก็พึงทําเหมือนคนตาบอด คือไม่ยินดียินร้าย ดุจภาษิต ที่พระมหากัจจายนะ กล่าวไว้ว่า มีตาดีก็พึงทําเหมือนคนตาบอด มีหูดีก็พึงเป็นเหมือนหูหนวก มีลิ้นเจรจาได้ก็พึงเหมือนเป็นใบ้ มีกําลัง ก็พึงเหมือนคนอ่อนเพลีย เรื่องร้ายเกิดขึ้น ก็พึงนอนนิ่งเสีย เหมือนคนนอนเฉยอยู่ฉะนั้น
    5.จะทํา จะพูด ไม่พึงละสติ สัมปชัญญะ ประหนึ่ง ไก่ป่า ไม่ทิ้งรังฉะนั้น

    ถ้าปฏิบัติได้ อย่างนี้ จะบรรลุมรรคผลนิพพาน

    จากหนังสือพระประวัติ สมเด็จพระสังฆราช สุก ไก่เถื่อน
    วัดราชสิทธาราม(พลับ)

    =============================
    -ข้อมูลสำหรับการศึกษาเพิ่มเติม
    Somdechsuk.org | เวทาสากุ
    Weera Sukmetup | Facebook

    http://www.themajjhima.com/
     
  12. mature_na

    mature_na เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    4,557
    ค่าพลัง:
    +6,760
    "ฉายาและราชทินนาม" ของหลวงปู่สุก ไก่เถื่อน เป็นมาอย่างไร

    ๑. ทรงมีพระฉายานามว่า ไก่เถื่อน

    นับแต่พระอาจารย์สุก เจริญภาวนาแผ่เมตตาจิต คุ้มครองไก่ป่า และสัตว์ทั้งหลายครั้งนั้น ก็เป็นที่เรื่องลือกันทั่วไปในหมู่คนไทยอิสลาม และหมู่คนไทยพุทธ ในหมู่บ้านใกล้เคียง ครั้นพระองค์ท่านมาสถิตวัดพลับแล้ว พระองค์ท่านทรงเดินไปมา ที่ไหนๆภายในวัดพลับนี้ ก็จะมีไก่ป่าทั้งหลาย เดินเยอะย่างตามพระองค์ท่านไปบ้าง บินตามพระองค์ท่านไปเป็นระยะๆบ้าง เหมือนลูกไก่ ตามแม่ไก่

    เมื่อพระองค์ท่าน ประทับนั่งอยู่ ณ.ที่ใดภายในวัด ไก่ป่าพันธุ์ต่างๆ ก็จะพากันมารุมล้อม พระองค์ท่านทุกครั้งเสมอไป บางตัวยืนอยู่บนพระเพลาทั้งสองของพระองค์ท่านบ้าง บางครั้งพระองค์ท่านอยู่ภายในกุฏิ ไก่ป่า ก็จะอยู่ใกล้ๆบริเวณกุฏิของพระองค์ท่าน

    แต่นั้นมาพระองค์ท่าน จึงทรงได้รับ พระฉายานามว่า
    พระอาจารย์สุก ไก่เถื่อนบ้าง หลวงพ่อไก่เถื่อนบ้าง หลวงปู่สุก ไก่เถื่อนบ้าง
    บางคนคนองปากหน่อย เรียกขานพระนามของพระองค์ท่านว่า ปู่เจ้าสมิงพราย พระนามนี้ไม่ค่อยจะมีผู้คนเรียกขานกัน เพราะกลัวบาป กลัวกรรม จึงมีคำพูดติดปากของผู้คนในสมัยนั้นว่า

    อย่าว่าแต่ไก่ป่าเลยที่มารุมล้อมพระองค์ท่าน แม้ไก่บ้านก็ยังมารุมล้อมพระองค์ท่าน เมื่อท่านสถิตอยู่ภายในวัด ทุกครั้งเสมอมา

    พระองค์ท่านไม่อยู่ ไก่ป่า นกกา ไม่ขัน ไม่ร้อง
    กล่าวว่า เมื่อพระองค์ท่านสถิตอยู่ภายในวัด พวกไก่ป่า พวกนก พวกกา จะพากันขัน ร้อง กันเซ็งแซ่ไปหมด เมื่อพระองค์ท่าน มีธุระเสด็จ ไปนอกวัด ไก่ป่า นก กา ก็จะพากันเงียบ หงอยเหงา ครั้นพระองค์ท่าน ทรงกลับมาวัดแล้ว พวกไก่ป่า นก กา มันก็จะพากันขัน พากันร้อง เซ่งแซ่อยู่สักพักใหญ่ครู่หนึ่ง นี้เป็นสัญญาณให้พระภิกษุภายในวัดได้รู้ว่า พระองค์ท่าน ทรงเสด็จกลับมาวัดแล้ว

    กล่าวว่าพระองค์ท่านจะทรงแผ่เมตตา ออกบัวบานพรหมวิหารทุกวัน จนกระทั้งพวกไก่ป่า นก กา ที่อยู่นอกเขตป่าวัดพลับ บินหลงเข้ามาในเขตป่าวัดพลับแล้ว ก็จะหลงติดอยู่ที่ป่าวัดพลับเลย ทั้งนี้เป็นเพราะพลังแห่งการแผ่เมตตาจิต ของพระอาจารย์สุก และเหล่าพระภิกษุสงฆ์สมถะในวัดพลับ
    =============================
    -ข้อมูลสำหรับการศึกษาเพิ่มเติม
    Somdechsuk.org | เวทาสากุ
    http://www.facebook.com/phrakrusittisongvon

    http://www.themajjhima.com/

    [​IMG]
     
  13. mature_na

    mature_na เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    4,557
    ค่าพลัง:
    +6,760
    ๒. ทรงแต่งตั้ง พระอาจารย์สุกเป็นพระราชาคณะที่ พระญาณสังวรเถร
    พระราชดำริเดิม ตั้งพระทัยจะทรงแต่งตั้งพระอาจารย์สุก เป็นพระราชาคณะที่ พระญาณไตรโลก
    ต่อมาภายหลัง ทรงเห็นว่าราชทินนามนี้ ไม่เหมาะสมกับพระองค์ท่าน จึงได้ทรงปรึกษากับเจ้ากรมอาลักษณ์ (แก้ว) ให้ขนานราชทินนาม พระอาจารย์สุกใหม่ให้เหมาะสมกับพระลักษณะนิสัย และคุณธรรม ความรู้ความสามารถของพระองค์

    ท่านเจ้ากรมอาลักษณ์ จึงขนานราชทินนามให้ใหม่ว่า พระญาณสังวรเถร
    ซึ่งมีความหมายว่า เป็นผู้มีความรู้ในเหตุในผล ทั้งทางดี ทางชั่ว ช่วยป้องกันความดีของผู้อื่น
    ญาณ คือ ความรู้ จึงเป็นเหตุสำรวม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงพอพระราชหฤทัยในราชทินนามนี้

    ครั้นพระยาโหราธิบดี คำนวณ หาฤกษ์ได้ฤกษ์มงคลดีแล้ว จึงให้เจ้ากรมสังการีไปอาราธนานิมนต์ พระอาจารย์สุก กับพระสังฆเถรอีกสามรูป ให้เข้ามารับ พระนาม ณ.พระราชมณเฑียรชั่วคราว ใพระบรมมหาราชวัง
    ครั้นถึง ณ. วันพฤหัสบดี ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ ปีเถาะ จุลศักราช ๑๑๔๕ เบญจศก ตรงกับพุทธศักราช ๒๓๒๖ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯแต่งตั้งให้
    พระอาจารย์สุก วัดพลับเป็น พระญาณสังวรเถร พระราชาคณะฝ่ายวิปัสสนาธุระ

    หมายเหตุ ราชทินนามที่ ญาณสังวร ก็มีปรากกฏในยุคอยุธยา สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชคือ ราชทินนามที่ พระครูญาณสังวร สถิตวัดดงตาล หรือวัดอัมพวัน เมืองสิงห์บุรี


    คัดลอกมาจาก (บางส่วน)
    หนังสือ พระประวัติสมเด็จพระสังฆราชญาณสังวร มหาเถรเจ้า (สุกไก่เถื่อน)
    พระครูสังฆรักษ์วีระ ฐานวีโร รวบรวม เรียบเรียง
    somdechsuk.com - หน้าแรก
    ขอบคุณภาพจาก http://sphotos-e.ak.fbcdn.net/,http://i868.photobucket.com/
    =============================
    -ข้อมูลสำหรับการศึกษาเพิ่มเติม
    Somdechsuk.org | เวทาสากุ
    http://www.facebook.com/phrakrusittisongvon

    http://www.themajjhima.com/


    [​IMG]
     
  14. mature_na

    mature_na เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    4,557
    ค่าพลัง:
    +6,760
    สมเด็จพระสังฆราช (สุก ญาณสังวร)
    ภาพจาก พิพิธภัณฑ์สักทอง วัดเทวราชกุญชร วรวิหาร เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร

    ๓. สถาปนาพระญาณสังวรขึ้นเป็นสมเด็จราชาคณะที่ สมเด็จพระญาณสังวร
    ครั้งนั้น มีพระดำริ จะสถาปนาพระญาณสังวรเถร ขึ้นเป็นสมเด็จพระราชาคณะ พระองค์แรกของกรุงรัตนโกสินทร์ ปีพระพุทธศักราช ๒๓๕๙ พระสังฆราช (ศุก ) วัดมหาธาตุ สิ้นพระชนม์ลง ณ. วันพุธ แรม ๑๓ ค่ำ เดือน๖ ปีขาล

    มูลเหตุตั้ง
    พระญาณสังวรเถร เป็นสมเด็จพระราชาคณะ พระสังฆราช(ศุข) วัดมหาธาตุ สิ้นพระชนม์ลงนั้น ครั้นทำพระเมรุผ้าขาวถวายพระเพลิง ณ. ท้องสนามหลวงแล้ว พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงพระราชดำริว่าจะสถาปนา พระสังฆราชพระองค์ต่อไป

    ทรงพระราชดำริต่อไปอีกว่า พระราชาคณะที่จะทรงสถาปนา ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชมี ๒ พระองค์ คือ
    พระพนรัต (มี)วัดราชบูรณะ และ พระญาณสังวรเถร วัดพลับ
    ครั้งนั้นจะทรงตั้ง พระพนรัต (มี)เป็นพระสังฆราช แต่ก็มีพระพรรษายุกาลน้อยกว่า พระญาณสังวร ถึง ๑๗ พรรษา จึงยังเป็นการไม่สมควรก่อน

    จึงทรงมีพระบรมราชโองการสั่งให้ เจ้ากรมสังการีไปอาราธนานิมนต์ พระญาณสังวร รับหน้าที่พระสังฆราช แต่พระญาณสังวร ไม่ทรงยอมรับตำแหน่งนี้ พระองค์ท่านทรงกล่าวว่าให้สถาปนา พระพนรัต (มี) เป็นพระสังฆราช
    ความทราบถึงพระพนรัต (มี)พระองค์ท่านทรงกล่าวว่า อาตมาภาพมีพระพรรษายุกาลน้อยกว่า พระญาณสังวรถึง ๑๗ พรรษา ถ้ารับพระเมตตาไว้ ก็เท่ากับว่าไม่เคารพพระวินัย ไม่เคารพธรรม ไม่เคารพพระอาจารย์

    พระอาจารย์นั้น หมายถึงพระญาณสังวร (สุก) พระองค์ท่าน ทรงเป็นพระอาจารย์บอกวิปัสสนา ของพระพนรัต (มี) อีกทั้งพระองค์ท่านยังมีพระพรรษากาลแก่กว่ามากนักถึง ๑๗ พรรษา
    ต่อมาพระญาณสังวร ได้บอกให้ พระพนรัต (มี) รับเป็นพระสังฆราชเพราะเป็นธรรมเนียมว่า ตำแหน่พระสังฆราช ต้องมาจากฝ่ายคันถธุระ จึงสมควรหลังจากนั้นก็ค่อยทำการแก้ไขกันใหม่ พระพนรัต (มี) พระองค์ท่านจึงยอมรับตำแหน่ง พระสังฆราช
    =============================
    -ข้อมูลสำหรับการศึกษาเพิ่มเติม
    Somdechsuk.org | เวทาสากุ
    http://www.facebook.com/phrakrusittisongvon

    http://www.themajjhima.com/


    [​IMG]
     
  15. mature_na

    mature_na เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    4,557
    ค่าพลัง:
    +6,760
    เมื่อทรงรับตำแหน่งแล้ว ทางราชสำนักต้องประชุมหาทางออก แก้ไขระเบียบต่างๆว่าจะทำอย่างไร พระญาณสังวร ผู้มีพรรษยุกาลมาก จะนั่งหน้าพระสังฆราช ได้ อย่างไม่ทำลายบทบัญญัติแห่งพระวินัย และสมพระเกียรติด้วย อีกทั้งไม่เสียพระเกียรติยศ ของพระสังฆราชพระองค์ใหม่ด้วย

    ครั้งนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๒ จึงทรงมีพระราชดำริว่า จะสถาปนาพระญาณสังวร ขึ้นเป็นสมเด็จพระราชาคณะ พระองค์แรกของกรุงรัตนโกสินทร์ จึงจะสมพระเกียรติยศของทั้งสองพระองค์ต้นกรุงรัตนโกสินทร์นั้น
    ตำแหน่งพระสังฆราช ไม่มีคำว่า สมเด็จ นำหน้าพระนามเช่น พระสังฆราช (สี) วัดระฆัง พระสังฆราช (ศุก) วัดมหาธาตุฯ เพิ่งมีคำว่า สมเด็จนำหน้าพระนามพระสังฆราช (มี) วัดราชบูรณะ และนำหน้าพระนามพระญาณสังวร(สุก) วัดพลับในรัชสมัยรัชกาลที่ ๒ นี้เอง เช่น สมเด็จพระสังฆราช (มี) วัดราชบูรณะ สมเด็จพระญาณสังวร (สุก) วัดราชสิทธาราม
    และสมเด็จพระราชาคณะอีกสององค์ต่อมาในปลายรัชสมัย รัชกาลที่ ๒ เมื่อคราวสถาปนา สมเด็จพระญาณสังวร ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช คือ สมเด็จพระพนรัต (ด่อน) วัดสระเกศ สมเด็จพระพุฒาจารย์(เป้า) วัดธรรมาวาส อยุธยา

    ถึง ณ. วันพฤหัสบดี แรม ๗ ค่ำ เดือน ๙ ปีชวด พุทธศักราช ๒๓๕๙ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้
    พระญาณสังวรขึ้นเป็น สมเด็จพระญาณสังวร พุทธศักราช สไมยะสหัสสสังวัจฉรไตรยสตาธฤกษ์เอกุนสัฎฐิเตสมปัจจุบันกาล มุกสิก สังวัจฉรมาส กาลปักษย์คุรุวาร สัตตคฤษถี ปริเฉทกาลอุกฤษฐ์ สมเด็จพระบรมธรรม มฤกมหาราชารามาธิราชเจ้า ผู้ทรงทศพิธราชธรรมอนันตคุณวิบุลย์มหาประเสริฐ ทรงพระราชศรัทธา มีพระราชโองการมาณพระบัณฑูร สุรสิงหนาทดำรัสสั่งพระราชูทิศสถาปนาให้
    พระญาณสังวรขึ้นเป็น สมเด็จพระญาณสังวร อดิศรสังฆเถรา สัตตวิสุทธิจริยาปริณายก สปิฏกธรามหาอุดมศีลอนันต์ อรัญวาสี สถิตในราชสิทธาวาสวรวิหาร พระอารามหลวง


    ภาพจาก พิพิธภัณฑ์สักทอง วัดเทวราชกุญชร วรวิหาร เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร
    =============================
    -ข้อมูลสำหรับการศึกษาเพิ่มเติม
    Somdechsuk.org | เวทาสากุ
    http://www.facebook.com/phrakrusittisongvon

    http://www.themajjhima.com/



    [​IMG]
     
  16. mature_na

    mature_na เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    4,557
    ค่าพลัง:
    +6,760
    ๔. สถาปนาสมเด็จพระญาณสังวร ขึ้นเป็น สมเด็จพระสังฆราช
    ณ. วันพฤหัสบดี เดือนอ้าย ขึ้น ๒ ค่ำ ปี มะ โรง โทศก จุลศักราช ๑๑๘๒ (พ.ศ.๒๓๖๓) สถาปนา สมเด็จพระญาณสังวรเถร ขึ้นเป็น สมเด็จพระสังฆราช มีสำเนาประกาศ ดังนี้

    สำเนาสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช ไก่เถื่อน
    ศริศยุภอดีตกาล พุทธศักราช ชไมยสหัสสสังวัจฉรไตรสตาธฤกไตรสัตฐีสัตมาศ ปัตยุบันกาล นาคสังวัจฉรมฤคศฤระมาศ ศุกขปักขคุรุวาระนวมีดิถี ปริจเฉทกาลอุกฤษฐ สมเด็จพระบรมธรรมมฤกะมหาราชารามาธิราชเจ้า ผู้ทรงพระทศพิธราชธรรม์ อนันตคุณวิบูลยปรีชาอันมหาประเสริฐ มีพระบรมราชโองการมาณพระบัณฑูรสุรสิงหานาทดำรัสสั่งพระราชูทิศถาปนาให้

    สมเด็จพระญาณสังวร เป็น สมเด็จพระอริยวงษญาณ ปริยัติวราสังฆราชาธิบดี ศรีสมณุตมาปรินายก ติปิฏกธราจารย์ สฤทธิขัติยสารสุนทร มหาคณฤศร วรทักษิณา สฤทธิสังฆารามคามวาสี อรัญวาสี เป็นประธานถานาทุกคณาธิกร จัตุพิธบรรพสัช สถิตในวัดพระศรีรัตนมหาธาตุบวรวิหาร พระอารามหลวง

    แต่สมเด็จพระสังฆราช ไม่ได้เสด็จไปสถิตวัดมหาธาตุฯ ตามใบประกาศพระนาม เพราะพระองค์ท่านเป็นพระป่า ทรงคุ้นเคยกับการอยู่ป่าอันเงียบสงบ พระองค์ท่านทรงสถิตอยู่ ณ. วัดราชสิทธารามอันเป็นผาสุขวิหาร ของพระองค์ท่าน จนสิ้นพระชนม์พระองค์ท่าน ได้รับพระราชทานสถาปนาเป็น สมเด็จพระสังฆราชแล้ว ผู้คนทั้งหลายยังเรียกขานพระนามของพระองค์ท่านว่า สมเด็จพระสังฆราช ไก่เถื่อน มาจนทุกวันนี้


    คัดลอกมาจาก (บางส่วน)
    หนังสือ พระประวัติสมเด็จพระสังฆราชญาณสังวร มหาเถรเจ้า (สุกไก่เถื่อน)
    พระครูสังฆรักษ์วีระ ฐานวีโร รวบรวม เรียบเรียง somdechsuk.com - หน้าแรก
    ขอบคุณภาพจาก สมเด็จพระสังฆราช (สุก ญาณสังวร) พิพิธภัณฑ์สักทอง : GoldenTeakMuseum.com

    =============================
    -ข้อมูลสำหรับการศึกษาเพิ่มเติม
    Somdechsuk.org | เวทาสากุ
    http://www.facebook.com/phrakrusittisongvon

    http://www.themajjhima.com/



    [​IMG]
     
  17. mature_na

    mature_na เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    4,557
    ค่าพลัง:
    +6,760
    พระประวัติ "พระสังฆราชสุก ไก่เถื่อน" ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการสร้างพระเครื่อง

    พระสมเด็จ อรหัง วัดมหาธาตุ กรุงเทพมหานคร
    ก่อนกำเนิดพระเครื่อง พิมพ์สมเด็จวัดระฆังฯ นั้น พระสมเด็จอรหัง นับว่าเป็นยอดพระเครื่อง ต้นสกุลพระ ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า หรือ แบบชิ้นฟัก มาก่อนนานแล้วผู้ริเริ่มพระเครื่องที่เรียกเราเรียกกันจนติดปากมาจนทุกวันนี้ว่า พระสมเด็จฯ และเป็นผู้สร้างพระสมเด็จ อรหัง ด้วยนั้นก็คือ สมเด็จพระสังฆราช สุก ไก่เถื่อน

    พระสมเด็จพระสังฆราช หรือเรียกกันสั้น ๆ ว่า พระสังฆราชไก่เถื่อน นี้นับเป็นพระอาจารย์ผู้ยิ่งยงในวิทยาคมด้านเมตตามหานิยมผู้เป็นพระอาจารย์ของสมเด็จพระพุฒาจารย์ โต พรหมรังสี และยังเป็นพระบรมราชาจารย์ของล้นเกล้าฯ ในรัชกาลที่ 2, ที่ 3 และที่ 4 อีกด้วย

    พระสังฆราชญาณสังวร สุก ไก่เถื่อน ผู้ให้กำเนิดต้นสกุล พระพิมพ์สมเด็จ องค์นี้ ประสูติเมื่อวันศุกร์ เดือน 2 ขึ้น 10 ค่ำ ปีฉลู จุลศักราช 1095 หรือ พ.ศ. 2276 ซึ่งตรงกับสมัยอยุธยา ในรัชกาลของพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ์ ท่านเป็นชาวกรุงเก่าชื่อ สุก และเข้าใจว่าก่อนถึงอายุ 34 ปี คือ พ.ศ. 2310 ซึ่งเป็นระยะที่กรุงศรีอยุธยาแตกครั้งสุดท้ายนั้น ท่านได้บวชมาก่อนแล้วหลายพรรษา จนปรากฏชัดจากพงศาวดารว่า ท่านได้เป็นเจ้าอาวาสอยู่ที่ วัดท่าหอย เมื่อสมัยกรุงธนบุรี นี่เอง

    พระอาจารย์สุก หรือ พระญาณสังวรเถระ หรือ สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 4 ของราชวงศ์จักรีนี้ นับว่าเป็นผู้หนึ่งที่ยืนดูการกระทำอันโหดร้ายของพม่าเมื่อคราวกรุงแตกมาแล้ว เหตุผลที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก โปรดให้อาราธนาลงมาอยู่ที่วัดราชสิทธารามนั้น ก็เห็นจะเป็นด้วย พระองค์ประสูติ เมื่อ พ.ศ. 2279 ในรัชกาลพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ์เช่นกัน

    นับแต่พระองค์ได้รับราชการเมื่อปลายสมัยอยุธยาจนกรุงแตกแล้วนั้น ก็ได้ทราบถึงเกียรติคุณของ พระอาจารย์สุก มาบ้างแล้ว จึงได้อาราธนาท่านลงมาอยู่ที่วัดพลับเมื่อประมาณ พ.ศ. 2325

    สมเด็จพระสังฆราช ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 4 ของกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อ พ.ศ. 2363 ตรงกับวันพฤหัสบดี เดือนอ้าย ขึ้น 2 ค่ำปีมะโรง และได้ย้ายจากวัดพลับมาอยู่ที่วัดมหาธาตุได้เพียงปีเศษก็สิ้นพระชนม์ ณ วัดมหาธาตุ พระนคร เมื่อวันศุกร์เดือน 10 แรม 4 ค่ำ ปีมะเมีย ในรัชกาลของพระพุทธเลิศหล้านภาลัย จึงนับว่าเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์เดียว ที่ได้เห็นเหตุการณ์พม่าเผากรุงศรีอยุธยาและผนวชอยู่ในพระบวรพุทธศาสนาตั้งแต่สมัยอยุธยา, สมัยกรุงธนบุรี, จนถึงสมัยรัตนโกสินทร์, รวมพระชนมายุได้ถึง 90 ปี

    พระญาณสังวร สุก ไก่เถื่อน ระหว่างอยู่ที่วัดราชสิทธารามนั้น ปรากฏว่าได้เป็นที่นับถือของชาวบ้านตลอดขึ้นไปจนถึงเจ้านายเชื้อพระวงศ์ ต่างก็พากันไปฝากตัวเป็นลูกศิษย์ท่านเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ก็เห็นจะเป็นเพราะบรรดาสานุศิษย์เหล่านั้นต่างก็ได้เห็นกฤตยาคมอันขลังด้านเมตตาพรหมวิหารของท่าน ซึ่งสามารถเรียก ไก่เถื่อน จากป่าเป็นฝูง ๆ มากรับการโปรยทานจากท่านเต็มลานวัดทุก ๆ วันนั้นเอง

    เหตุนี้ชาวบ้านสมัยนั้นจึงพากันเรียกท่านว่า พระสังฆราชไก่เถื่อน เพราะท่านสามารถเรียกไก่เถื่อนออกมาจากป่าด้วยแรงอาคม และยิ่งได้ลิ้มรสอาหารเสกจากท่านด้วยแล้ว ไก่เถื่อนที่ว่าถึงกับไม่ยอมกลับเข้าป่า และเชื่องเป็นไก่บ้านไปเลย
    ======================
    ภาพพระสมเด็จอรหัง พิมพ์ 3ชั้น วัดสร้อยทอง
    =============================
    -ข้อมูลสำหรับการศึกษาเพิ่มเติม
    Somdechsuk.org | เวทาสากุ
    http://www.facebook.com/phrakrusittisongvon

    http://www.themajjhima.com/



    [​IMG]
     
  18. mature_na

    mature_na เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    4,557
    ค่าพลัง:
    +6,760
    การกำเนิดพระสมเด็จ อรหัง
    นับตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ได้ทรงโปรดให้พระอาจารย์สุกหรือพระญาณสังวรเถระ มาอยู่ที่วัดราชสิทธารามหรือวัดพลับ ที่ อ. บางกอกใหญ่ นครหลวงฝั่งธนบุรี แล้ว ต่อมาวัดนี้ก็เจริญรุ่งเรืองขึ้นเป็นลำดับ การทรงผนวชของพระราชวงศ์แต่ละพระองค์นั้น
    ภายหลังมักจะเสด็จไปศึกษาวิปัสสนา ที่สำนักพระญาณสังวร ณ วัดราชสิทธารามอยู่เสมอ เช่นพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย, พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว, และพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว นั้น พระญาณสังวร สุก ไก่เถื่อน ก็ได้เป็นพระบรมราชาจารย์ของพระมหากษัตริย์ทั้ง 3 พระองค์นี้ด้วย

    จากการที่สมเด็จฯ ท่านยิ่งใหญ่ด้านอาคมขลังจนเป็นที่เลื่องลือกันไปทั่วนั้นจะเป็นด้วยทนการวิงวอนจากบรรดาสานุศิษย์หรือผู้คนที่นับถือท่านมากราย อยากจะได้พระเครื่องของท่านไว้คุ้มครองบ้างก็ได้ ด้วยเหตุนี้เอง, พระเครื่องพิมพ์สี่เหลี่ยมผืนผ้าแบบชิ้นฟัก ซึ่งสร้างด้วยผงวิเศษสีขาวนั้น สมเด็จพระสังฆราชองค์นี้ จึงได้ให้กำเนิดพระสมเด็จดังกล่าวนี้ขึ้นมาเป็นครั้งแรก เมื่อประมาณ พ.ศ. 2360

    เล่ากันว่า พระสมเด็จอรหัง ที่สมเด็จพระสังฆราชไก่เถื่อนได้เริ่มสร้างเป็นครั้งแรกนั้น ท่านยังดำรงตำแหน่งเป็นพระราชาคณะอยู่ที่วัดพลับ พระเครื่องพิมพ์สมเด็จฯส่วนหนึ่งเมื่อได้รับการปลุกเสกแล้ว ท่านก็แจกจ่ายให้ไปบูชากันโดยถ้วนทั่วและเป็นที่เข้าใจกันว่า พระสมเด็จอรหัง พิมพ์ปฐมฤกษ์นั้นก็คือ พิมพ์ เกศเปลวเพลิง ซึ่งด้านหลังจะไม่ปรากฏมีอักขระคำว่า อรหัง จารึกลงไว้เลย

    สมเด็จพระสังฆราชไก่เถื่อน ท่านได้ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์โดยการสร้างพระพิมพ์สมเด็จอรหังต่อมาอีก มีหลายพิมพ์ที่เสร็จแล้วท่านก็แจกสานุศิษย์ต่อไปโดยมิได้ลงกรุ แต่พระอีกจำนวนหนึ่งนั้น เมื่อท่านได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช และได้ย้ายมาอยู่ที่วัดมหาธาตุแล้ว ก็เข้าใจว่าพระสมเด็จอรหังส่วนหลังนั้น ท่านคงได้นำมาบรรจุไว้ในเจดีย์ที่วัดมหาธาตุแห่งนี้ไว้เป็นจำนวนมากทีเดียว
    =============================
    -ข้อมูลสำหรับการศึกษาเพิ่มเติม
    Somdechsuk.org | เวทาสากุ
    http://www.facebook.com/phrakrusittisongvon

    http://www.themajjhima.com/
    [​IMG]


    [​IMG]
     
  19. mature_na

    mature_na เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    4,557
    ค่าพลัง:
    +6,760
    สมเด็จอรหัง ปี 19 หลังลายเซ็น สมเด็จพระญาณสังวร วัดบวรนิเวศวิหาร (ด้านหลังมีเส้นพระเกสา) องค์นี้พิมพ์ โต๊ะกัง


    พุทธลักษณะ, เนื้อ,และพิมพ์
    พระสมเด็จอรหัง ของสมเด็จพระสังฆราชไก่เถื่อนนี้ เท่านี้ปรากฏอยู่ในวงการพระเมื่อ 10 กว่าปีมาแล้ว จะแยกแบบออกได้ถึง 5 พิมพ์ ด้วยกันดังนี้

    1.สมเด็จอรหัง พิมพ์สังฆาฏิ เป็นพระเนื้อผงสีขาวที่นิยมกันมากมีขนาดกว้าง 2 ซ.ม. สูง 3 ซ.ม. ครึ่ง พุทธลักษณะเป็นพระปางสมาธิประทับนั่งบนฐาน 3 ชั้น เห็นชายสังฆาฏิห้อยชัดเจนทุกองค์ ด้านขอบข้างองค์พระจะถูกอัดออกมาตามแบบแม่พิมพ์โดยไม่มีการตัดด้วยเส้นตอกเลย และโปรดสังเกตการประทับนั่ง เข่าจะแคบและตรง ส่วนด้านหลังจะปรากฏอักขระคำว่า อรหัง จารึกไว้ด้วย พระสมเด็จพิมพ์นี้แยกออกเป็น 2 แบบ คือ
    1.1 แบบเศียรโต และ
    1.2 แบบเศียรเล็ก

    2. พระสมเด็จอรหัง พิมพ์ฐานคู่ เป็นพระเนื้อผงสีขาว เข่ากว้างและโค้งกว่าพระพิมพ์สังฆาฏิ โดยเฉพาะฐานสร้างเป็นเส้นเล็กคู่ นอกจากนั้นทั้งขนาด, ขอบด้านข้าง, และหลัง คงเหมือนกับ พิมพ์สังฆาฏิ ทุกอย่าง

    3. พระสมเด็จอรหัง พิมพ์เกศเปลวเพลิง นี่เป็นอีกพิมพ์หนึ่งซึ่งนอกจากจะมีน้อยแล้ว แม้จะหาชมก็ยากนัก พระพิมพ์นี้ทั้งความงามและขนาดจะเหมือนกับ พิมพ์สังฆาฏิ มีเพี้ยนอยู่บ้างก็ตรงที่มีเกศขมวดม้วนเป็นตัว อุ และรูปทรงค่อนข้างชะลูด ส่วนฐานประทับถึงแม้จะเป็นแบบ 3 ชั้น แต่ก็หนาวกว่ากันมาก พระพิมพ์นี้เป็นพระเนื้อผงสีขาว ด้านหลังเป็นแบบราบโดยไม่มีอักขระขอมปรากฏให้เห็นเลย ส่วนขนาดจะเท่ากับพิมพ์แรก ๆ

    4. พระสมเด็จอรหัง พิมพ์โต๊ะกัง ขนาดพระพิมพ์นี้จะเท่ากับ 3 พิมพ์แรกสัญลักษณ์ที่ควรจดจำกับพระสมเด็จพิมพ์โต๊ะกัง นี้ได้ง่าย ๆ ก็คือ เป็นพระผงผสมว่านเนื้อออกสีแดงคล้าย ปูนแห้ง แม้ค่อนข้างหย่อนงามไปบ้าง แต่ก็เป็นอีกพิมพ์หนึ่งที่หาชมได้ยาก ด้านหลังของพระพิมพ์นี้จะถูกปั๊มลึก ปรากฏเป็นอักขระคำว่า อรหัง นูนขึ้นมา ผิดกับ 3 พิมพ์แรกซึ่งถูกจารึกบุ๋มลงไปด้วยการจารึกเส้นเล็ก ๆ ด้วยมือตอนเนื้อพระยังไม่แห้ง

    5. พระสมเด็จอรหัง พิมพ์เล็ก พระพิมพ์นี้จะมีขนาดสูงเพียง 2.3 ซ.ม. เท่านั้น เป็นพระเนื้อผงสีขาว ซึ่งมีพุทธลักษณะเหมือนเช่นกับทุก ๆ พิมพ์ที่กล่าวไปแล้ว หากแต่ได้เพิ่มประภามณฑลล้อมรอบเศียรขึ้นมาอีกแบบเท่านั้นเอง นับว่าเป็นพระอีกพิมพ์หนึ่งที่หาชมได้ยากพอ ๆ กับพิมพ์เกศเปลวเพลิงทีเดียวสำหรับด้านหลังจะลงจารึกคำว่า อะระหัง ไว้ด้วยเช่นกัน
    =============================
    -ข้อมูลสำหรับการศึกษาเพิ่มเติม
    Somdechsuk.org | เวทาสากุ
    http://www.facebook.com/phrakrusittisongvon

    http://www.themajjhima.com/



    [​IMG]
     
  20. mature_na

    mature_na เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    4,557
    ค่าพลัง:
    +6,760

แชร์หน้านี้

Loading...