พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    ห้องน้ำสาธารณะ "สกปรก-อันตราย" ขนาดไหน?
    -http://health.sanook.com/3181/-

    ที่มา หน้า26 หนังสือพิพม์มติชนรายวัน
    เผยแพร่ 5 เม.ย. 59

    แจ็ค กิลเบิร์ต นักจุลชีวินวิทยา จากห้องปฏิบัติการแห่งชาติอิลลินอยส์ สหรัฐอเมริกา ผู้ซึ่งเชี่ยวชาญและเคยทำงานวิจัยเกี่ยวกับปริมาณและชนิดของเชื้อแบคทีเรียในห้องน้ำสาธารณะ ซึ่งมีการใช้งานร่วมกันของคนจำนวนมาก อย่างเช่น ห้องน้ำในมหาวิทยาลัย หรือสถานที่สาธารณะต่างๆ ระบุว่า แม้ว่าผู้ใช้ห้องน้ำสาธารณะจะนำพาเชื้อจุลชีพต่างๆ เข้าสู่ห้องน้ำมากอย่างเหลือเชื่อ อย่างไรก็ตาม สภาวะแวดล้อมต่างๆ ก็ทำให้ห้องน้ำสาธารณะไม่ได้อันตรายมากเท่าที่คิดหรือหวาดกลัวกัน

    กิลเบิร์ตระบุว่า นักวิจัยพบว่าคนเรานำเอาแบคทีเรียเป็นจำนวนมากเข้าไปทิ้งไว้ในห้องน้ำ ทีมวิจัยของกิลเบิร์ตเคยใช้วิธีการตรวจสอบที่ห้องน้ำของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในสหรัฐด้วยการปิดทำความสะอาดและจัดการฆ่าเชื้อโรคทั้งหมดในห้องน้ำ จากนั้นเปิดให้ใช้งานกันตามปกติ หลังจากกลับมาตรวจสอบอีกครั้งหนึ่ง พบว่าภายใน 1 ชม. บนพื้นผิวของห้องน้ำดังกล่าวมีแบคทีเรียโดยเฉลี่ยจำนวนมากถึง 500,000 เซลล์ต่อเนื้อที่ 1 ตารางนิ้ว

    ทีมวิจัยพบว่า 92% เป็นแบคทีเรียที่มาจาก 4 ไฟลัมที่เป็นแบคทีเรียซึ่งอาศัยอยู่ในตัวคนเรา หรือไม่ก็เกี่ยวข้องกับคนเราคือ แบคทีเรียในไฟลัม แอติโนแบคทีเรีย (ส่วนใหญ่พบตามผิวหนัง) และแบคทีเรียในกลุ่มที่พบในลำไส้และระบบย่อยอาหาร ประกอบด้วย แบคเทอรอยดิทีส, เฟอร์ไมคิวทีส และโปรเทโอแบคทีเรีย

    แบคทีเรียที่พบบนผิวหนังนั้นมักพบในพื้นที่ของห้องน้ำซึ่งจำเป็นต้องใช้มือสัมผัส เช่น ประตู, ก๊อกน้ำ, ที่นั่ง และอุปกรณ์บรรจุสบู่ล้างมือเป็นอาทิ ในขณะที่แบคทีเรียที่พบในลำไส้ รวมถึงแบคทีโรดิทีส มักพบบริเวณมือจับหรือปุ่มชักโครก และที่นั่งชักโครก แลคโตบาซิลลัส แบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในช่องคลอดของสุภาพสตรี มักพบเห็นมากในห้องน้ำหญิงเป็นปกติ

    ข้อสังเกตที่ทีมวิจัยของแจ็ค กิลเบิร์ต ตรวจสอบพบก็คือ ถ้าหากปล่อยทิ้งให้ห้องน้ำสาธารณะที่ปนเปื้อนอยู่เฉยๆ แบคทีเรียเหล่านี้ส่วนใหญ่จะตายไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งแบคทีเรียจากระบบลำไส้ ที่ไม่คุ้นเคยกับออกซิเจน, ความเย็น, และการขาดอาหารได้นาน สภาพแวดล้อมของห้องน้ำสาธารณะที่เย็น แห้ง เกลี้ยงเกลา ไม่เหมาะกับการดำรงชีวิตของแบคทีเรียส่วนใหญ่ ในทางตรงกันข้ามถ้าหากอากาศอบอุ่น ชื้นและมีสารอาหารสกปรกอยู่ตามพื้น แบคทีเรียเหล่านี้ก็สามารถอยู่ได้นานกว่า


    ในส่วนของแบคทีเรียที่พบบริเวณผิวหนัง สามารถทนอยู่ในห้องน้ำสาธารณะได้นานกว่า กิลเบิร์ตระบุว่า บางกลุ่มของแบคทีเรียเหล่านี้สามารถก่อโรคได้ แต่ก็ไม่ได้เข้าสู่ร่างกายของคนเราได้ง่ายมากนัก ตัวอย่างเช่น สตาไฟโลคอคคัส ออเรอัส แบคทีเรียที่พบที่ผิวหนังนั้นสามารถอยู่ในห้องน้ำได้นานก็จริง แต่จะก่อให้เกิดปัญหาหรือก่อให้เกิดโรคก็ต่อเมื่อภูมิคุ้มกันของบุคคลอ่อนแอไม่สามารถป้องกันโรคได้ หรือไม่ก็มีบาดแผลเปิดแล้วไปสัมผัสกับเชื้อบริเวณปากแผลโดยตรง

    นอกจากนั้นการรักษาสุขอนามัยตามปกติ อย่างเช่นการล้างมือให้สะอาดก็สามารถทำลายเชื้อแบคทีเรียเหล่านี้ได้แทบทั้งหมด อาทิ แบคทีเรียที่ก่อให้เกิดโรคตับอักเสบชนิดเอ สามารถติดต่อผ่านสุขภัณฑ์อย่างเช่นมือจับชักโครก แล้วใช้มือเดียวกันส่งอาหารเข้าปากหรือสัมผัสภายในปากโดยไม่ล้างมือ

    แต่การล้างมือฟอกสบู่อย่างถูกวิธีก็สามารถทำลายเชื้อนี้ได้เช่นกัน

    เนื้อหาโดย : นสพ.มติชน
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    ลดหย่อนภาษี สงกรานต์ เงื่อนไขเป็นอย่างไร ได้ลดภาษีเท่าไรนะ
    -http://money.kapook.com/view145872.html-

    อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก กรมสรรพากร
    -http://www.rd.go.th/publish/-

    ลดหย่อนภาษี สงกรานต์ ดีเดย์ 9-17 เมษายนนี้ ใครกันที่ได้ประโยชน์ แล้วเราจะได้เงินคืนภาษีเท่าไร มาเปิดเงื่อนไขมาตรการลดภาษีให้เห็นกันชัด ๆ

    หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาอยู่แล้วและเตรียมจับจ่ายใช้สอยเพื่อการท่องเที่ยวและรับประทานอาหารในช่วงเทศกาลสงกรานต์ อย่าลืมขอใบกำกับภาษีในการใช้จ่ายระหว่างวันที่ 9-17 เมษายน 2559 มาด้วยนะคะ เพราะรัฐบาลเขาใจดีประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงสงกรานต์ให้นำค่าใช้จ่ายในการเที่ยว-กิน-นอนในช่วงเทศกาลนี้มาลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 15,000 บาท

    ฟังแล้วอย่าเพิ่งตาโต ! คิดว่าลดได้ถึง 15,000 บาทเลยหรือ เพราะจริง ๆ แล้วต้องนำไปคำนวณภาษีตามขั้นภาษีที่คุณเสียอยู่ก่อน เหมือนกับมาตรการช้อปปิ้งลดหย่อนภาษีที่จัดแคมเปญไปเมื่อปลายปี 2558 นั่นแหละค่ะ เอาเป็นว่าวันนี้กระปุกดอทคอมจะพาไปดูหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ของนโยบายนี้ รวมทั้งจำนวนภาษีที่จะได้ลดหย่อนหากเราใช้จ่ายไป

    ลดหย่อนภาษี สงกรานต์ ใครได้ประโยชน์บ้าง ?

    ก่อนอื่นต้องย้ำว่าไม่ใช่ทุกคนนะคะที่จะได้ลดหย่อนภาษีจากโครงการนี้ เพราะหากคุณเป็นคนที่ไม่มีรายได้ หรือไม่ต้องยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาทุกปีอยู่แล้ว ก็จะไม่สามารถลดหย่อนภาษีได้ แต่สำหรับคนที่มีรายได้ถึงเกณฑ์ที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาอยู่ทุกปี คนเหล่านี้นี่เองที่จะได้ประโยชน์จากการท่องเที่ยวหรือรับประทานอาหารในช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยผู้ที่ได้รับประโยชน์มากกว่าใครเพื่อนเห็นจะเป็นกลุ่มผู้มีรายได้สูงที่เสียภาษีในฐานที่สูง

    ลดหย่อนภาษี สงกรานต์ ได้เงินคืนเท่าไร ?

    สามารถนำค่าใช้จ่ายมาลดหย่อนภาษีได้ตามจริง สูงสุดไม่เกิน 15,000 บาท ซึ่งจะต้องคำนวณตามขั้นภาษีของคุณด้วยค่ะ เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น ดูได้จากตารางข้างล่างนี้ ซึ่งอัตราภาษีแบ่งเป็นขั้นตามรายได้สุทธิ

    ลดหย่อนภาษี สงกรานต์


    สรุปได้ว่าผู้มีเงินได้จะได้รับภาษีคืนเท่าไร ขึ้นอยู่กับฐานภาษีของตัวเอง เช่น ผู้ที่มีฐานภาษี 35% หากจ่ายเงินสำหรับการท่องเที่ยวและรับประทานอาหารไป 15,000 บาท จะได้ภาษีคืนถึง 5,250 บาทเลยทีเดียว ซึ่งเป็นอัตราคืนภาษีสูงสุดของนโยบายนี้ ขณะที่ผู้ที่มีฐานภาษี 5% หากจ่ายเงินค่าพักโรงแรมและการท่องเที่ยวไป 15,000 บาทเต็มจำนวน ก็จะได้ภาษีคืนเพียง 750 บาทเท่านั้น



    ลดหย่อนภาษีช่วงสงกรานต์ได้ ต้องเป็นค่าใช้จ่ายประเภทไหน ?

    อย่างที่บอกไปข้างต้นแล้วว่าเป็นมาตรการเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลสงกรานต์ เพราะฉะนั้นค่าใช้จ่ายที่จะนำมาลดหย่อนภาษีได้ต้องเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อการเที่ยว-กิน-นอน ระหว่างวันที่ 9-17 เมษายนนี้เท่านั้น ไม่เกี่ยวกับค่าช้อปปิ้งซื้อของเหมือนปลายปีที่แล้วนะคะ และค่าใช้จ่ายทั้งหมดรวมแล้วต้องไม่เกิน 15,000 บาท โดยมีเงื่อนไขคือ

    - ค่าใช้จ่ายสำหรับการท่องเที่ยว เช่น ค่าแพ็กเกจทัวร์ในประเทศ, ค่ามัคคุเทศก์นำเที่ยว

    - ค่าที่พัก ต้องเป็นโรงแรมในประเทศ แต่ไม่รวมการทำสปา หรือเล่นกีฬาทางน้ำ

    - ค่าอาหารและเครื่องดื่มจากร้านอาหารหรือโรงแรม แต่ไม่รวมการซื้อสุรา เบียร์ และไวน์

    * หมายเหตุ : ค่าใช้จ่ายสำหรับการท่องเที่ยว และที่พัก ยังสามารถนำมาหักลดหย่อนภาษีได้เพิ่มอีก 15,000 บาท รวมเป็นไม่เกิน 30,000 บาท

    ลดหย่อนภาษีช่วงสงกรานต์ ใช้เอกสารหลักฐานอะไรบ้าง ?

    สำหรับคนที่จะต้องการลดหย่อนภาษีต้องขอใบกำกับภาษีแบบเต็มรูปจากผู้ประกอบการด้วยค่ะ โดยหากเราไม่ได้เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ก็ไม่ต้องแจ้งเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรให้ผู้ขายสินค้าทราบก็ได้ แจ้งเพียงแค่ชื่อ-นามสกุล ก็สามารถออกใบกำกับภาษีได้แล้ว (อ้างอิงจากข่าวประชาสัมพันธ์กรมสรรพากร 14/2559 วันที่ 30 มีนาคม 2559) หรือถ้าจะให้สะดวกที่สุดก็พกบัตรประจำตัวประชาชนติดตัวไปด้วย เพื่อให้ผู้ประกอบการกรอกข้อมูลส่วนตัวของเราลงในใบกำกับภาษี

    ทั้งนี้ในใบกำกับภาษี นอกจากจะต้องระบุชื่อ-นามสกุล ผู้ชำระเงินในการใช้บริการแล้ว จะต้องระบุจำนวนเงิน รวมทั้งวัน เดือน ปีที่ใช้บริการไว้อย่างชัดเจน ซึ่งเมื่อเราได้ใบกำกับภาษีมาแล้วก็ต้องเก็บหลักฐานไว้สำหรับยื่นขอลดหย่อนภาษีปี 2559 ในช่วงต้นปี 2560 ค่ะ

    - ใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบ คืออะไร ต้องระบุข้อมูลอะไรไว้บ้าง

    ขอย้ำว่าการซื้อสินค้า รับบริการ รวมทั้งการชำระค่าบริการนั้น ๆ ต้องเกิดขึ้นภายในวันที่ 9-17 เมษายนเท่านั้น สรุปง่าย ๆ ก็คือ เราต้องไปเที่ยว ทานอาหาร หรือเข้าพักโรงแรมในช่วงวันที่ 9-17 เมษายน ไม่สามารถจองล่วงหน้าแล้วค่อยไปใช้บริการช่วงเวลาอื่นได้นั่นเอง

    สำหรับผู้ที่ต้องเสียภาษีในอัตราสูงและมีแผนท่องเที่ยว หรือพาครอบครัวไปทานอาหารในช่วงเทศกาลสงกรานต์อยู่แล้วก็คงจะได้รับประโยชน์จากมาตรการนี้พอสมควรเลย

    อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
    กรมสรรพากร
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • p01.png
      p01.png
      ขนาดไฟล์:
      322.6 KB
      เปิดดู:
      76
    • p02.png
      p02.png
      ขนาดไฟล์:
      125.3 KB
      เปิดดู:
      48
    • p03.png
      p03.png
      ขนาดไฟล์:
      387 KB
      เปิดดู:
      59
    • p04.png
      p04.png
      ขนาดไฟล์:
      192.4 KB
      เปิดดู:
      46
    • p05.png
      p05.png
      ขนาดไฟล์:
      58.9 KB
      เปิดดู:
      54
    • tab1.jpg
      tab1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      96.8 KB
      เปิดดู:
      56
    • taxsg.jpg
      taxsg.jpg
      ขนาดไฟล์:
      68.5 KB
      เปิดดู:
      51
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    เตือน!!! ไม่อยากติด เลี่ยง 47 จุด ตร.ทางหลวง คาดจราจร คับคั่ง อาจถึงขั้น วิกฤติ
    08 เม.ย. 2559 | 13:19:14


    วันที่ 8 เมษายน 2559 พล.ต.ต.สมชาย เกาสำราญ ผู้บังคับการตำรวจทางหลวง (ผบก.ทล.) กล่าวภายหลัง ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ "ฮ." กองบินตำรวจ ตรวจความพร้อมเส้นทาง เดินทางออกต่างจังหวัด เทศกาลสงกรานต์ 2559 ซึ่งจากการตรวจสอบ เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวง มีความพร้อมอำนวยความสะดวกด้านการจราจร พร้อมจัดตั้งจุดบริการประชาชน

    ทั้งนี้ ตำรวจทางหลวง ขอฝากถึงประชาชน ที่จะเดินทางออกต่างจังหวัดท่องเที่ยวสงกรานต์ หรือกลับภูมิลำเนา จุดที่เจ้าหน้าที่คาดการณ์ว่า อาจเกิดปัญหาจราจร คับคั่งถึงขั้้นวิกฤติ มี 47 จุด หากไม่จำเป็นควรหลีกเลี่ยงเส้นทาง

    สอบถามเส้นทาง ทางหลวง แอพพลิเคชั่นไลน์ id : @highway1193

    ผบก ทล สมชาย แนะเดินทาง สงกรานต์ 59
    https://www.youtube.com/watch?v=H2OMGi33pps
    -https://www.youtube.com/watch?v=H2OMGi33pps-

    -http://www.fm91bkk.com/%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99-%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%94-%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%87-47--
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    มหานรกภูมิ ๘ ขุมใหญ่ และโลกันตนรก
    17 พฤศจิกายน 2014 เวลา 22:15 น.


    นรก ๘ ขุมเหล่านี้ คือ สัญชีวนรก ๑ กาฬสุตตนรก ๑ สังฆาฏนรก ๑ โรรุวนรก ๑ มหาโรรุวนรก ๑ ตาปนนรก๑ ปตาปนนรก ๑
    ต่อมาก็ถึงมหาอเวจีนรก ๑ อันบัณฑิตทั้งหลายกล่าวไว้แล้วก้าวล่วงได้ยาก เกลื่อนกล่นไปด้วยเหล่าสัตว์ ผู้มีกรรมหยาบช้า
    ก็เฉพาะนรกขุมหนึ่งๆ มีอุสสทนรก๑๖ ขุม เป็นที่ทำบุคคลผู้กระด้างให้เร่าร้อนน่ากลัวมีเปลวเพลิงรุ่งโรจน์มีภัยใหญ่ ขนลุกขนพองน่า-สะพรึงกลัว
    มีภัยรอบข้าง เป็นทุกข์ มี ๔ มุม๔ ประตู จัดแบ่งไว้เป็นส่วนๆ มีกำแพงเหล็กกั้นโดยรอบ มีฝาเหล็กครอบ
    ภาคพื้นของนรกเหล่านั้นล้วนแต่เป็นเหล็กแดงลุกโพลงประกอบด้วยเปลวไฟลุกแผ่ไปตลอดที่ ๑๐๐ โยชน์โดยรอบ ตั้งอยู่ทุกเมื่อ.


    สัตว์ทั้งหลายมีเท้าในเบื้องบน มีศีรษะในเบื้องต่ำตกลงไปในนรกนั้นสัตว์เหล่าใดกล่าวล่วงเกินฤๅษีทั้งหลายผู้สำรวมแล้ว ผู้มีตบะ
    สัตว์เหล่านั้น ผู้มีความเจริญอันขจัดแล้วย่อมหมกไหม้อยู่ในนรก เหมือนปลาที่ถูกเฉือนให้เป็นส่วน ๆ
    ฉะนั้น สัตว์ทั้งหลายผู้มีปกติกระทำกรรมอันหยาบช้ามีตัวถูกไฟไหม้ทั้งข้างในข้างนอกเป็นนิตย์
    แสวงหาประตูออกจากนรกก็ไม่พบประตูที่จะออกตลอดปีนับไม่ถ้วน สัตว์เหล่านั้นวิ่งไปทางประตูด้านหน้า
    จากประตูด้านหน้าวิ่งกลับมาทางประตูด้านหลังวิ่งไปทางประตูด้านซ้ายจากประตูด้านซ้าย วิ่งกลับมาทางประตูด้านขวา วิ่งไปถึงประตูใดๆ
    ประตูนั้นก็ปิดเสีย สัตว์ทั้งหลายผู้ไปสู่นรก ย่อมประคองแขนคร่ำครวญเสวยทุกข์มิใช่น้อยนับเป็นหลาย ๆ พันปี
    เพราะเหตุนั้น บุคคลไม่ควรรุกรานท่านที่เป็นคนดี ผู้สำรวม มีตบธรรมซึ่งเป็นดุจอสรพิษมีเดชกำเริบร้ายล่วงได้ยาฉะนั้น.


    นรกมีทั้งหมด 457 ขุม มีขุมใหญ่ 8 ขุม ก็เฉพาะนรกขุมหนึ่งๆ มีอุสสทนรก16 ขุม ใน4ทิศ ทิศละ 4 ขุม เท่ากับ 8*16 คือ128

    และตรงประตูนรกมียมโลกอีกทิศละ10 ขุม 4 ทิศของมหานรกขุมใหญ่นึง มียมโลกนรก 40 ขุม เท่ากับ 8*40 คือ320

    320+128+8 เท่ากับ 456 และรวมโลกันตนรกอีกขุมเป็น 457 ขุม


    นรกขุมต่าง ๆ ที่สัตว์อุบัติเกิดในนรก มหานรก นรกขุมใหญ่ได้นามบัญญัติว่า มหานรก มีอยู่ทั้งหมด ๘ ขุมด้วยกัน
    โดยมีรายนามตามที่ท่านบัญญัติไว้ดังต่อไปนี้

    --------------------------------------------------------------------------------------------------


    สัญชีพนรก ๑.

    ปรากฏว่าสัญชีพมหานรกประดิษฐานอยู่ เหล่าสัตว์ผู้ไปเกิดเป็นถึงแม้ว่าจะได้รับทุกข์โทษอย่างแสนสาหัสจนขาดใจตายไปแล้ว
    ก็กลับเป็นขึ้นมาอีกได้ หมายความว่า บุคคลผู้มีใจบาปหยาบช้าลามกซึ่งตายไปตกนรกขุมนี้แล้ว เขาก็จะคล้าย ๆ กับว่ามีตัวตนเป็นกายสิทธิ์
    คือไม่มีวันที่จะตายกันเลย ถึงแม้จะได้รับโทษอย่างแสนสาหัสจนทนไม่ไหวขาดใจตายไปก็จริง ถึงกระนั้นก็ต้องมีชีวิตชีวา
    กลับเป็นขึ้นมารับทุกข์โทษต่อไปอีก


    สัตว์นรกทั้งหลาย อันนายนิรยบาลถืออาวุธต่าง ๆ อันลุกโพลงแล้ว ตัดให้เป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่ ย่อมมีชีวิตอยู่บ่อย ๆ
    (คือตายแล้วก็เกิดมารับกรรมอีก) ในนรกนี้เหตุนั้น นรกนั้นจึงชื่อว่า สัญชีวะ.


    ฉะนั้นมหานรกนี้จึงมีชื่อว่า สัญชีพมหานรก = นรกขุมใหญ่ซึ่งทำให้ไม่มีวันตาย


    ถ้าหากว่าสัตว์ที่ทำกรรมมาเข้านรกขุมนี้ทำบาปอะไร ก็ตอบว่า ผิดศีลข้อที่๑ ปาณาติปาตา เวระมะณี สิกขาปะทานิ สะมาทิยามิ
    ห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิตและใช้ผู้อื่นฆ่า

    ----------------------------------------------------------------------------------------------------


    กาฬสุตตะ ๒.

    กาฬสุตตะมหานรก นรกขุมนี้มีกรรมหนักกว่า แล้วก็มีอายุมากกว่า สัญชีพนรกอีก
    ปรากฏว่ามีกาฬสุตตะมหานรกประดิษฐานอยู่เหล่าสัตว์ผู้ไปเกิดเป็นสัตว์นรกขุมนี้
    ย่อมถูกลงโทษโดยนายนิรยบาลพากันเอาเส้นเหล็กเเดงลุกเป็นไฟมาตีให้เป็นเส้นดำเข้าตามร่างกาย แล้วก็เอาเลื่อยนรกมาเลื่อย
    หรือเอาขวานนรกมาผ่า หรือเอามีดนรกมาเฉือนกรีดไปตามรอยเส้นดำที่ตีไว้นั้น ไม่มีผิดรอยได้


    นิรยบาลทั้งหลาย พากันบันลือโห่ร้องติดกันไม่ขาดระยะ ถืออาวุธต่างชนิดที่ไฟลุกโพลง ติดตามไล่ฆ่าสัตว์นรกทั้งหลาย
    ผู้กำลังวิ่งหนีไป ๆ มา ๆ อยู่บนเหนือแผ่นดินโลหะอันลุกโพลงด้วยไฟ เมื่อสัตว์ล้มลงบนแผ่นดินที่ลุกเป็นไฟแล้ว
    จึงขึงสายบรรทัดอันลุกโชนด้วยไฟ แล้วถือขวานที่ไฟกำลังติด
    พากันโห่ร้องทำสัตว์นรกผู้คร่ำครวญอยู่ด้วยเสียงอันน่าเวทนาเป็นอย่างมากให้เป็น ๘ ส่วนบ้าง ๑๖ ส่วนบ้าง เป็นไปอยู่ในนรกนี้
    เหตุนั้น นรกนั้นจึงชื่อว่า กาฬสุตตะ.


    ฉะนั้นมหานรกขุมนี้จึงมีชื่อว่า กาฬสุตตะมหานรก = นรกขุมใหญ่ซึ่งมีการลงโทษตามเส้นบรรทัดดำ


    ถ้าหากว่าสัตว์ที่ทำกรรมมาเข้านรกขุมนี้ทำบาปอะไร ก็ตอบว่า ผิดศีลข้อที่๒ อะทินนาทานา เวระมะณี สิกขาปะทานิ สะมาทิยามิ
    ห้ามลักขโมยของผู้อื่นและใช้ผู้อื่นให้ลักขโมย

    -----------------------------------------------------------------------------------------------------------


    สังฆาฏ ๓.

    สังฆาฏมหานรก นรกขุมนี้ปรากฏว่าสังฆาฏมหานรกประดิษฐานอยู่เหล่าสัตว์นรกในมหานรกขุมนี้


    ย่อมถูกลงโทษโดยถูกภูเขาเหล็กแดงกลิ้งไปกลิ้งมา กลิ้งเข้าหากัน บดบรรดาสัตว์ทั้งหลายให้แหลกเหลวไป เมื่อภูเขาเหล็กเลยไปแล้ว
    สัตว์ทั้งหลายก็กลับฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่ คือร่างกายเต็มตามเดิม แล้วก็พากันวิ่งหนีภูเขาไฟแต่ก็มาเจอนายนิริยบาลตีด้วยค้อนบ้างแทงด้วยหอกบ้าง
    เลยต้องพากันวิ่งไปบนแผ่นเหล็กแดง ซึ่งมีไฟเผาลุกโชนอยู่ตลอดเวลาและข้างก็ภูเขาไฟกลิ้งมาทางพวกสัตว์นรกวิ่งต่างก็วิ่งย้อนมาทางเดิม
    ก็ต้องมาเจอกับนายนิริยบาลเคยทุบตีเข้าให้อีก ได้รับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสอยู่ตลอดเวลาไม่ว่างเว้น


    ภูเขาเหล็กลุกเป็นไฟทั้งหลายลูกใหญ่ ๆ หลายลูก กระทบสัตว์อยู่ในนรกนี้ เหตุนั้น นรกนั้น จึงชื่อว่า

    สังฆาฏะ ได้ยินว่า นายนิรยบาลทั้งหลาย ให้สัตว์นรกเข้าไปในแผ่นดินเหล็กที่ลุกโพลง ได้ ๙ โยชน์เพียงเอว
    แล้วกระทำไม่ให้หวั่นไหวในนรกนั้น ลำดับนั้นภูเขาเหล็กอันลุกโพลง ลูกใหญ่ ๆ เกิดขึ้นแต่ด้านทิศบูรพา
    ครางกระหึ่มอยู่เหมือนเสียงอสนีบาต กลิ้งมาบดสัตว์เหล่านั้น ราวกะว่าบดงากระทำให้เป็นผงแล้วไปตั้งอยู่ในทิศปัจฉิม
    แม้ภูเขาเหล็กที่ตั้งขึ้นแต่ทิศปัจฉิม ก็กลิ้งไปเหมือน

    อย่างนั้นนั่นแล แล้ว ตั้งอยู่ในทิศบูรพา อนึ่ง ภูเขาทั้ง ๒ ลูกนั้นได้กลิ้งมาปะทะกันแล้ว บดขยี้สัตว์นรก
    ดุจบีบลำอ้อยในเครื่องยนตร์สำหรับบีบอ้อยฉะนั้น สัตว์นรกทั้งหลาย ย่อมเสวยทุกข์ในสังฆาฏนรกนั้น ตลอดหลายแสนปีเป็นอันมาก
    ด้วยประการฉะนี้.


    ฉะนั้นมหานรกขุมนี้จึงมีชื่อว่า สังฆาฏมหานรก = นรกขุมใหญ่ซึ่งมีการลงโทษโดยมีภูเขาไฟบดขยี้ร่างกาย



    ถ้าหากว่าสัตว์ที่ทำกรรมมาเข้านรกขุมนี้ทำบาปอะไร ก็ตอบว่า ผิดศีลข้อที่๓ กาเมสุมิจฉาจารา เวระมะณี สิกขาปะทานิ สะมาทิยามิ
    ห้ามประพฤติผิดในกาม เป็นชู้

    ------------------------------------------------------------------------------------------------------


    โรรุวนรก ๔.

    โรรุวมหานรก ปรากฏว่าโรรุวมหานรกประดิษฐานอยู่เหล่าสัตว์ ดอกบัวเหล็กใหญ่มาก กลีบก็เป็นเหล็ก
    ซึ่งมีไฟนรกลุกแดงโพลงอยู่ตลอดเวลา ผู้ไปอุบัติเกิดเป็นสัตว์นรกในมหานรกขุมนี้ จะถูกบังคับให้ขึ้นไปนั่งบนดอกบัว
    เมื่อขึ้นไปบนดอกบัวแล้วกลีบบัวก็บานขึ้น บานแล้วก็เป็นเหล็กแดงมีกระแสไฟพวยพุ่งออกมาจากกลีบ
    คราวนี้ดอกบัวก็จะถูกไฟเผาจนแดง ไฟกรดยังเผาอยู่ตลอดเวลา พลุ่งอยู่ตลอดเวลาเขาบังคับ


    คือกฏของกรรมบังคับให้สัตว์ค่อย ๆ ก้มหัวลง ขึ้นไปยืนบนดอกบัวแล้วแหย่ขาลงไปในระหว่างกลีบ
    กรรมมันบังคับให้ตัวค่อย ๆ ก้มลง ๆ ในที่สุดก็จุ่มลงไปในโคนของกลีบดอกบัวมือทั้งสองข้างก็ยันลงไปในโคนของกลีบดอกบัว
    เมื่อพร้อมแล้วกลีบบัวก็งับเข้ามาเป็นกลับเหล็ก ร้อนก็ร้อน คมก็คม หัวจรดลงไปถึงแค่คาง มือจมลงไปถึงแค่ข้อมือ
    เท้าทั้งสองจมลงไปถึงแค่ข้อเท้า เจ็บก็เจ็บร้อนก็ร้อน ถูกไฟเผาอยู่ตลอดเวลา ดอกบัวเหล็กก็รัดเข้าไป
    ความทุกข์ทรมานก็คงอยู่อย่างนั้นนานหนักหนาจนกว่าจะสิ้นอายุ ๔,๐๐๐ ปีนรก เมื่อเป็นเช่นนี้


    เหล่าสัตว์นรกทั้งหลายก็ย่อมจะส่งเสียงร้องไห้ครวญครางเป็นธรรมดา
    ทุกถ้วนหน้าสัตว์นรกซึ่งมีอยู่มากมายหลายเป็นขุมนรกที่เต็มไปด้วยเสียงร้องไห้ร้องครวญคราง


    ชาลโรรุวะเต็มไปด้วยเปลวไฟอันแสดงคล้ายเลือด ดำรงอยู่ตลอดกัป. ในโรรุวนรก นั้น
    เปลวไฟจะแทรกเข้าไปตามปากแผลทั้ง ๙ ของพวกสัตว์นรกผู้หมกไหม้อยู่ในชาลโรรุวะแล้ว จึงเผาสรีระ.


    ฉะนั้นมหานรกขุมนี้จึงมีชื่อว่า โรรุมหานรก นรกขุมใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยเสียงร้องไห้ สัตว์เหล่านี้ไม่เคารพ กรรมบถ ๑๐
    จึงต้องมาเสวยทุกข์ในนรกขุมนี้



    ถ้าหากว่าสัตว์ที่ทำกรรมมาเข้านรกขุมนี้ทำบาปอะไร ก็ตอบว่า ผิดศีลข้อที่๔ มุสาวาทา เวระมะณี สิกขาปะทานิ สะมาทิยามิ ห้ามพูดเท็จ พูดปด

    -------------------------------------------------------------------------------------------


    มหาโรรุวมหานรก ๕.

    มหาโรรุวมหานรก ปรากฏว่ามหาโรรุวมหานรกประดิษฐานอยู่เหล่าสัตว์ผู้ไปเกิดเป็นสัตว์นรกในมหานรกขุมนี้
    ย่อมถูกลงโทษโดยวิธีให้ยืนแข็งทื่ออยู่ในดอกบัวเหล็กตั้งบานสะพรั้งเหมือนกันเป็นดอกบัวที่น่าหวาดกลัว
    ไม่น่าชม ใกล้ ๆ ดอกบัวมีแหลนหลาวปักเอาปลายขึ้น มีไฟลุกโชนเหมือนกัน
    ดอกบัวนี้ไม่งับไม่กางงับไม่สนิทเหมือนดอกบัวขุมก่อน ขุมก่อนงับสนิทหนีไม่ได้


    ดอกบัวขุมนี้กลีบแต่ละกลีบคมเป็นกรดคมมากกว่าขุมก่อน มิหนำซ้ำยังร้อนแรงมากกว่าสัตว์นรกขึ้นไปบนนั้นแล้วถูกความร้อนเผา
    เพราะอำนาจความร้อนเต้นเร่า ๆ ๆ เต้นไปเต้นมากลีบดอกบัวมันก็บาดเข้าไปในเนื้อไฟก็เผาชะแลบแล่เนื้อหนังหล่นลงมา
    หมานรกก็คอยกินเนื้อหนังสัตว์เหล่านั้นอยู่ข้างล้าง บ้างก็หล่นลงมาถูกแหลนหลาวเสียบไฟก็เผาเนื้อหล่นลงมาหมาก็มารุมกิน
    รุมแทะเหลือแต่กระดูก ไม่ตายหรอก พอเหลือแต่กระดูกมันเจ็บแสบเหลือเกิน ร่างกายจับเข้าเป็นกายใหม่
    พอเป็นกายเต็มแล้ว นายนิริยบาลก็เอาหอกเที่ยวไล่แทง บังคับให้ขึ้นไปอยู่บนดอกบัวอีก


    ทำให้สัตว์นรกได้รับความทุกข์ทรมานเป็นอย่างยิ่ง ส่งเสียงร้องโอดโอยครวญครางเสียงดังมากกว่ามาก
    ฉะนั้นมหาโรรุมหานรกขุมนี้จึงมีชื่อว่า มหาโรรุวมหานรก นรกขุมใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยเสียงร้องครวญครางมากกว่ามาก
    ถ้าจะถามว่าสัตว์เหล่านี้ต้องโทษอะไร ก็คือ อกุศลกรรมบถ ๑๐ ยังไงล่ะ



    ธูมโรรุวะเต็มไปด้วยควันอันแสบ.จึง ควันแสบแทรกเข้าไปตามปากแผลทั้ง ๙ ของเหล่าสัตว์นรกผู้ไหม้อยู่ในธูมโรรุวะ
    แล้วจึงค่อยทำสรีระให้เป็นผงไหลออกมาคล้ายดังแป้ง ฉะนั้น. สัตว์นรกผู้หมกไหม้อยู่ในนรก



    ถ้าหากว่าสัตว์ที่ทำกรรมมาเข้านรกขุมนี้ทำบาปอะไร ก็ตอบว่า
    ผิดศีลข้อที่๕ สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา เวระมะณี สิกขาปะทานิ สะมาทิยามิ ห้ามดื่มสุราเมรัย สิ่งที่มึนเมา เป็นไปเพื่อให้เกิดความประมาท

    ---------------------------------------------------------------------------------------------


    ตาปนะมหานรก ๖.

    ตาปนะมหานรก ปรากฏว่ามีตาปนะมหานรกประดิษฐานอยู่เหล่าสัตว์ผู้อุบัติเกิดเป็นสัตว์นรกในมหานรกในขุมนี้
    ย่อมถูกลงโทษโดยวิธีถูกย่างให้ร้อนบนปลายหลาวเหล็กซึ่งโตเท่าลำตาล แหลมหลาวทั้งหลายเหล่านั้น
    มันเที่ยวไล่เสียบไล่แทงบรรดาสัตว์ทั้งหลาย สิ่งเหล่านี้ ความจริงไม่มีชีวิต มันเสียบแทงสัตว์ทั้งหลายแล้วก็ตั้งขึ้นไว้
    ไฟก็ไหม้ เนื้อหนังหล่นลงมาไหม้ เรียกว่าถูกไฟไหม้เนื้อหนังก็ทนไม่ไหว เนื้อก็ค่อย ๆ หล่น ขยายตัวลงมา


    ผลที่สุดบรรดาสัตว์นรกทั้งหลายก็ทนอยู่บนแหลนไม่ไหว หล่นลงมาข้างล่างถูกพื้นเหล็กแดงเป็นเพลิงข้างล่างร้อนจัด
    ไฟก็เผา สุนัขตัวใหญ่ ๆ พากันวิ่งมากัดกิน กัดกินเนื้อ มันทั้งเจ็บทั้งแสบทั้งร้อน พอเข้าไปถึงกระดูกมันก็แทะกระดูกอีก
    สัตว์ทั้งหลายเหลือแต่กระดูก ธรรมดาคนและสัตว์ในเมืองมนุษย์ ถ้ามันเหลือแต่กระดูกแล้วชีวิตมันก็ไม่เหลือ
    แต่ทว่าในเมืองนรกนี้หาความตายไม่ได้ เพราะว่าเขาเอามาเพื่อทรมาน ให้เข็ดหลาบจำกัน
    ฉะนั้นมหานรกขุมนี้จึงมีชื่อว่า ตาปะมหานรก นรกขุมใหญ่ซึ่งทำให้สัตว์นรกทั้งหลายเร่าร้อน


    นรกใดเผาสัตว์ทั้งหลายไม่ให้กระดิกได้ เพราะฉะนั้น นรกนั้นจึงชื่อว่าตาปนะ.



    อนึ่ง พระราชาพระองค์ใด ตั้งอยู่ในอธรรมกำจัดชาวแว่นแคว้น ทำชาวชนบทให้เดือดร้อนสิ้นพระชนม์ไปแล้ว
    จะต้องหมกไหม้อยู่ในตาปนนรกในโลกหน้า และพระราชาพระองค์นั้นจะต้องหมก-ไหม้อยู่ตลอดแสนปีทิพย์
    อันกองเพลิงห้อมล้อมเสวยทุกขเวทนาเปลวไฟมีรัศมีซ่านออกจากกายของสัตว์นั้น
    สรรพางค์กายพร้อมทั้งปลายขนและเล็บของสัตว์ผู้มีไฟเป็นภักษามีเปลวไฟเป็นอันเดียวกัน
    สัตว์นรกมีตัวถูกไฟไหม้ ทั้งข้างในและข้างนอกอยู่เป็นนิตย์เป็นผู้อันทุกข์เบียดเบียนร้องไห้คร่ำครวญ
    อยู่เหมือนช้างลูกนายหัตถาจารย์แทงด้วยขอ ฉะนั้น.


    อนึ่ง ภรรยาใดที่เขาช่วยมาด้วยทรัพย์ ย่อมดูหมิ่นสามี แม่ผัวพ่อผัวหรือพี่ผัวน้องผัว นายนิรย-บาล
    เอาเบ็ดมีสายเกี่ยวปลายลิ้นของหญิงนั้นฉุดคร่ามาสัตว์นรกนั้นเห็นลิ้นของตนซึ่งยาวประมาณ ๑ วาเต็มไปด้วยหมู่หนอน
    ไม่อาจอ้อนวอนนายนิรยบาลย่อมตายไปหมกไหม้ในตาปนนรก.


    ถ้าหากว่าสัตว์ที่ทำกรรมมาเข้านรกขุมนี้ทำบาปอะไร ก็ตอบว่า ไม่เคารพในกรรมบถ ๑๐

    -------------------------------------------------------------------------------------------


    มหาตาปนมหานรก ๗.

    มหาตาปนมหานรก ปรากฏว่ามีมหาตาปนมหานรกประดิษฐานอยู่เหล่าสัตว์ผู้ไปอุบัติเกิดเป็นสัตว์นรกในมหานรกขุมนี้


    ท่านบอกว่ามีกำแพงกั้นทุกด้านมีไฟพุ่งเข้ามาทุกด้าน อันนี้เหมือนกับนรกขุมอื่น แต่ทว่าไฟนี่ไม่มีเปลวจริง ๆ คล้ายกับแสงสว่างธรรมดา
    แต่มีความร้อนแรงมาก แล้วก็มีภูเขาเหล็ก ในนรกนี่เเปลกมีภูเขาเหล็ก ตั้งอยู่ระหว่างขุมนรกเยอะแยะไปหมด ความร้อนก็มาก
    ไฟพุ่งมาทุกทิศ จากข้างล่างถึงข้างบน จากข้างบนลงข้างล่าง จากทิศเหนือทิศใต้ ทิศซ้ายทิศขวา พุ่งเข้ามารวมกันในจุดกลาง
    เหล็กหรือก็แดงฉานสัตว์นรกเนื้อและกระดูกแดงเหมือนเหล็กถูกเผาสุก ไฟนี้มีความร้อนแรงมากกว่าเมืองมนุษย์หลายสิบล้านเท่า
    นายนิริยบาลบังคับให้สัตว์ขึ้นเขา ถ้าไม่ขึ้นก็เอาหอกเสียบ หอกแทง เอาค้อนทุบ
    ไล่ตีพวกสัตว์นรกทั้งหลายเหล่านี้มันก็เจ็บอยู่แล้วพอไฟเข้ามามันก็ร้อน พื้นก็ร้อน
    ถูกเขาบังคับแบบนั้นมันก็ต้องไป ต้องวิ่งขึ้นไป พากันวิ่งไปบนยอดเขา ภูเขาก็เป็นไฟทั้งลูก ร้อนแรงแล้วก็เป็นเหล็ก
    ไฟข้างนอกก็พุ่งเข้ามา พอหล่นลงมาก็เสียบกับแหลนหลาว ที่ปักเรียงรายอยู่รอบ ๆ เขา


    สัตว์ก็ดิ้นเร่า ๆ มีความร้อน มีความเจ็บ ทุกข์ทรมานมากที่สุดเมื่อโดนเสียบแบบนั้น ถูกไฟเผาหนักเข้า ในที่สุดก็หล่นลงมาจากแหลนหลาว
    ร่างกายก็เต็มบริบูรณ์ และก็ถูกไฟเผ่าตามเดิม นายนิริยบาลก็เข้าไปเอาค้อนทุบบ้างเอาหอกเสียบบ้าง บังคับให้ขึ้นเขาต่อไป
    สัตว์นรกเหล่านี้จึงได้รับความทุกข์ทรมานยิ่งกว่ามหานรกขุมที่ ๖ ที่กล่าวมาแล้วนั้นมากกว่า
    ฉะนั้นมหานรกขุมนี้จึงมีชื่อว่า มหาตาปะมหานรก นรกขุมใหญ่ซึ่งทำให้สัตว์นรกทั้งหลายเร่าร้อนมากกว่ามาก


    นรกใดย่อมยังสัตว์ทั้งหลายให้เร่าร้อนอย่างเหลือเกิน เพราะฉะนั้นนรกนั้นจึงชื่อว่า ปตาปนะ. นายนิรยบาลทั้งหลาย
    ย่อมให้สัตว์นั่งบนหลาวเหล็กที่ลุกโพลง มีประมาณเท่าลำตาล ในตาปนนรกนั้น แผ่นดินภายใต้แต่ที่นั้น ย่อมลุกโพลง
    ส่วนหลาวไม่ติดไฟ สัตว์ทั้งหลายย่อมลุกเป็นเปลวเพลิง

    นรกนั้น ย่อมเผาสัตว์ไม่ให้กระดิกได้ ด้วยประการฉะนี้. อนึ่ง นายนิรยบาลย่อมประหารสัตว์ผู้เกิดในนรกนอกนี้
    ด้วยอาวุธทั้งหลายที่กำลังลุกโชนแล้วให้ขึ้นสู่ภูเขาเหล็กมีไฟโพลง. ในเวลาที่สัตว์เหล่านั้น ยืนอยู่บนยอดภูเขา
    ลมอันมีกรรมเป็นปัจจัย ย่อมประหารสัตว์เหล่านั้น สัตว์เหล่านั้นไม่อาจจะทรงตัวอยู่ได้บนภูเขานั้น ก็มีเท้าในเบื้อง
    มีศีรษะในเบื้องต่ำตกลงมา. ลำดับนั้นหลาวเหล็กลุกเป็นไฟ ย่อมตั้งขึ้นแต่แผ่นดินเหล็กเบื้องต่ำ.
    สัตว์นรกเหล่านั้นก็เอาศีรษะกระแตกหลาวเหล็กเหล่านั้นทีเดียว มีร่างกายทะลุเข้าไปในหลาวเหล็กเหล่านั้นลุกโพลงไหม้อยู่.
    นรกนั้น ย่อมเผาสัตว์ให้เร่าร้อนเหลือเกิน ด้วยประการฉะนี้แล.


    ถ้าหากว่าสัตว์ที่ทำกรรมมาเข้านรกขุมนี้ทำบาปอะไร ก็ตอบว่า ไม่เคารพในกรรมบถ ๑๐ แต่หนักกว่า ตาปนะมหานรก คือใจทรามหนักขึ้น

    -------------------------------------------------------------------------------------------------


    อเวจีมหานรก ๘.

    อเวจีมหานรก การลงโทษของนรกขุมนี้มีเป็นพิเศษ นรกตั้งแต่ขุมที่ ๑ ถึงขุมที่ ๗ หรือว่าขุมอื่น บรรดาสัตว์ทั้งหลายมีการเคลื่อนไหวได้
    แต่ทว่าอเวจีมหานรกนี่ ไม่มีการเคลื่อนไหว นรกขุมนี้มีกำแพงพิเศษทั้งข้างล่างข้างบน และทั้ง ๔ ด้านหนา
    สัตว์นรกเหล่านั้นยืนแล้วมีกำแพงทั้ง ๖ ด้าน ด้านข้าง ๔ ด้าน ข้างบนข้างล่าง ไฟก็พุ่งมาทั้ง ๖ ทิศ หอกทั้งเบื้องล่างเบื้องบน
    ด้ามหอกฝังอยู่กำแพงด้านบน ปลายหอกเสียบตั้งแต่หัวทะลุก้นและปักลงไปปักอยู่กำแพงด้านล่าง ด้านหน้า ด้านติดอยู่กับกำแพงด้านหน้า


    ตรงกลางหอกติดอยู่ที่อกของสัตว์นรกเหล่านั้น ด้านปลาย เอาหอกไปปักอยู่กำแพงด้านหลัง ด้านข้างก็เหมือนกันทั้งมือเท้า ทั้งตัว
    ถูกเสียบด้วยหอกหลายสิบเล่ม ได้รับความทุกข์ทรมานที่สุดไม่สามารถขยับเขยื่อนได้ เพราะถูกหอกมันตรึงเข้าไปหมด
    หอกก็เสียบ หอกเป็นเหล็กไฟ แล้วไฟก็พุ่งเข้ามาทั้ง ๖ ด้าน กระดูกแดงฉานเหมือนเหล็กสุก ไม่มีทางที่จะดิ้นรนได้


    ความทุกข์ที่ทรมานที่ได้รับนั้นมันเป็นความทุกข์ทรมานที่เสมอราบเรียบหนักหนาอยู่อย่างนั้นตลอดกาลนาน อยู่อย่างนั้น
    สิ้นเวลา ๑ อันตรกัป ไม่มีการผ่อนปรนเป็นความเบาบางเป็นบางครั้งบางคราวเหมือนมหานรกขุมอื่น
    เพราะเหตุที่นรกขุมนี้มีเปลวไฟนรกและความทุกข์หนักปรากฏอยู่เสมอ ไม่มีขณะที่ว่าง หรือขณะที่ผ่อนปรนให้เป็นความเบาบางเลยแม้แต่สักนิดเดียว ฉ
    ะนั้นมหานรกขุมนี้ จึงมีชื่อว่า อเวจีมหานรก นรกขุมใหญ่ซึ่งปราศจากคลื่อนกล่าวคือ ความเบาบางแห่งความทุกข์


    ความว่างเปล่า คือระหว่างคั่นของเปลวไฟ สัตว์ผู้หมกไหม้อยู่ และทุกข์ของสัตว์เหล่านั้น ย่อมไม่มีในนรกนี้
    เหตุนั้น นรกนั้นจึงชื่อว่า อวิจิ. อวีจินรกเป็นสถานที่ใหญ่ จึงได้ชื่อว่า มหาอวีจิ. จริงอยู่ ในมหาอวิจินรกนั้น
    เปลวไฟทั้งหลาย ตั้งขึ้นแต่ฝาด้านทิศบูรพาเป็นต้นแล้ว กลับมากระทบในฝาด้านทิศปัจฉิมเป็นต้น
    ทะลุฝาก่อนแล้วจับข้างหน้าได้ ๑๐๐ โยชน์ เปลวไฟที่ตั้งขึ้นในเบื้องต่ำย่อมกระทบเบื้องบน
    เปลวไฟที่ตั้งขึ้นเบื้องบนย่อมกระทบในเบื้องต่ำขึ้นชื่อว่า เปลวไฟทั้งหลาย ในอวีจิมหานรกนี้
    ย่อมไม่มีระหว่างอย่างนี้นั่นแหละ ก็สถานที่มีประมาณ ๑๐๐ โยชน์ ภายในมหานรกนั้น เต็มไปด้วยสัตว์ทั้งหลายหาระหว่างคั่นไม่ได้เลย
    ประดุจดังทะนานเต็มไปด้วยน้ำนมและแป้ง ฉะนั้น ประมาณของเหล่าสัตว์ผู้หมกไหม้อยู่ ย่อมไม่มีด้วยอิริยาบถทั้ง ๔และสัตว์เหล่านั้น
    ย่อมไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน ย่อมไหม้อยู่ในที่เฉพาะของตนเท่านั้น. ขึ้นชื่อว่า ระหว่างแห่งสัตว์ทั้งหลาในมหานรกนี้
    ย่อมไม่มีด้วยประการฉะนี้. อุเบกขาอันเป็นอกุศลวิบาก ๖ อย่างที่เหลือ ย่อมเป็น

    อัพโภหาริก เพราะความที่ทุกข์ในมหานรกนั้นมีกำลัง เผาอยู่เนือง ๆ เปรียบเหมือนหยาดแห่งน้ำผึ้ง ๖ หยาดในปลายลิ้น
    ย่อมเป็นอัพโภหาริก เพราะความที่หยาดของทองแดงอันเป็นส่วนที่ ๗ เป็นของมีกำลังเผาอยู่เนืองๆ ฉะนั้น.ทุกข์เท่านั้น ย่อมปรากฏ
    คือ ย่อมปรากฏหาระหว่างมิได้. ขึ้นชื่อว่าระหว่างแห่งความทุกข์ในมหานรกนี้ ย่อมไม่มีด้วยประการฉะนี้.
    อวีจิมหานรกนี้นั้นรวมทั้งฝาทั้งหลาย วัดโดยผ่ากลางได้ ๓๑๘ โยชน์ วัดโดยรอบได้ ๙๕๔ โยชน์รวมทั้งอุสสทนรกด้วยเป็นหมื่นโยชน์.
    บัณฑิตพึงทราบความที่อวีจิมหานรกนั้นเป็นสถานที่ใหญ่ถึงเพียงนี้.


    นี่เป็นสภาวะของสัตว์นรกที่อยู่ในมหานรกทั้งหมด ดูว่านรกภูมินี้มีบริเวณกว้างใหญ่มากแล้วก็สัตว์นรกมีมากกว่าทุกขุม
    ถ้าจะโดยประมาณแล้วก็ถือว่าเอานรกทั้ง ๗ ขุมที่มีสัตว์นรกอยู่มารวมกัน แล้วจะมานับปริมาณดูแล้ว
    ดูเหมือนว่าอเวจีมหานรกนี่จะมีสัตว์นรกมากกว่านรก ๗ ขุมรวมกัน ที่เป็นยังงี้เพราะอะไร?
    เพราะว่าคนที่เกิดมาในโลกนี้ไม่เคารพในกรรมบถ ๑๐ น่ะ มากที่สุด คนที่เคารพมั่งไม่เคารพมั่งนี่มีประมาณน้อยกว่า

    -------------------------------------------------------------------------------------------


    โลกันตนรก นรกของผู้ที่มีความเห็นผิด

    ในโลกกันตนรกนั้นมืดที่สุด ไม่มีพระจันทร์และพระอาทิตย์ โลกันตรกมืดตื้ออยู่ทุกเมื่อน่ากลัว กลางคืนกลางวัน ไม่ปรากฏ

    ในโลกันตนรกนั้น มีสุนัขอยู่ ๒ เหล่า คือด่างเหล่า ๑ ดำเหล่า ๑ ล้วนมีร่างกายกำยำล่ำสันแข็งแรง

    ย่อมพากันมากัดกิน ผู้ที่จุติจากมนุษยโลกนี้ ไปตกอยู่ในโลกันตนรกด้วยเขี้ยวเหล็ก.

    ในโลกันตนรกนั้น มีห่าฝนต่าง ๆ ชนิด คือหอก ดาบ แหลน หลาวมีประกายวาวดังถ่านเพลิง

    ตกลงบนศีรษะ สายอัสนีศิลาอันแดงโชนตกต้องสัตว์นรกผู้มีกรรมหยาบช้า.

    และในนรกนั้นมีลมร้อนยากที่จะทนได้ สัตว์ในนรกนั้น ย่อมไม่ได้รับความสุขแม้แต่น้อย



    ความที่รูปย่อยยับไปปรากฏในโลกันตริกนรก. จริงอยู่ นรกหนึ่ง ๆ ในระหว่างทุก ๆ สามจักรวาล มีประมาณ๘,๐๐๐ โยชน์
    ซึ่งภายใต้ไม่มีแผ่นดิน เบื้องบนไม่มีพระจันทร์ พระอาทิตย์ไม่มี

    ดวงประทีป ไม่มีแสงสว่างแห่งแก้วมณี มืดมิดเป็นนิตย์ ชื่อว่า โลกันตริกนรก

    อัตภาพของสัตว์ผู้เกิดในโลกันตริกนรกนั้น มีประมาณ ๓ คาวุต สัตว์เหล่านั้นจะมีเล็บทั้งหลายที่ยาวหนาเกาะที่เชิงเขา
    ห้อยหัวลงดุจค้างคาว เมื่อใดมันเขยิบตัวไปถึงหัตถบาสของกันและกัน เมื่อนั้น พวกมันก็จะสำคัญว่า
    พวกเราได้อาหารแล้วต่างก็พากันขวนขวายในสิ่งที่ตนว่าเป็นอาหารนั้น จึงไล่ตามกันไปรอบ ๆ แล้ว พลัดตกลงไปในน้ำที่รองแผ่นดิน
    เมื่อถูกลมเย็นพัดกระหน่ำอยู่มันก็จะขาดตกลงในน้ำ เหมือนผลมะซางสุก
    ฉะนั้น. พอตกลงเท่านั้น มันก็มีหนังเอ็นเนื้อ กระดูก ถูกน้ำกรดเย็นกัดทำลายเป็นชิ้น ๆ เหมือนก้อนแป้งที่เขาใส่ในน้ำมันเดือด
    ความย่อยยับไปแห่งรูปปรากฏในโลกันตริกนรก ด้วยความเย็นอย่างนี้. ความย่อยยับแห่งรูปนี้ปรากฏ
    ในประเทศทั้งหลายที่มีความเย็นเกิดแต่หิมะตก แม้มีแคว้น ชื่อว่า มหิสกะเป็นต้นก็เหมือนกัน
    เพราะสัตว์ทั้งหลายในประเทศนั้น มีร่างกายถูกความเย็นทำลายตัดขาดแล้วย่อมถึงแม้ความสิ้นชีวิต ดังนี้.



    แม้สัตว์เหล่าใดเกิดแล้วในโลกันตรมหานรกนั้น.ถามว่าก็สัตว์เหล่านั้นกระทำกรรมอะไรไว้จึงเกิดในโลกันตรมหานรกนั้น.
    ตอบว่าทำกรรมหนักคือหยาบช้า.
    สัตว์เหล่านั้นกระทำความผิดต่อมารดาบิดาและสมณพราหมณ์ผู้ตั้งอยู่ในธรรม
    และกรรมร้ายกาจมีฆ่าสัตว์เป็นต้นทุกวัน ๆย่อมเกิดในโลกันตรนรกนั้น มีมิจฉาทิฏฐิ เห็นผิดจากคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า


    99 เปอร์เซ็นต์ของมนุษย์ทั้งหมดจะต้องลงนรกและอบายภูมิ นี่เป็นกฏธรรมชาติ

    หมายเหตุ : ๑ โยชน์ เท่ากับ ๑๖ กิโลเมตร /๑ คาวุต เท่ากับ ๔ กิโลเมตร

    https://www.facebook.com/notes/%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B9%81%E0%B8%97%E0%B9%89%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%8E%E0%B8%81/%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%A0%E0%B8%B9%E0%B8%A1%E0%B8%B4-%E0%B9%98-%E0%B8%82%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B9%88-%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%81/721385477958101
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 เมษายน 2016
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    ขับรถทางไกลไม่ให้ปวดหลัง รู้ยังต้องนั่งยังไง
    -http://health.kapook.com/view145732.html-

    ภาพจาก The Chartered Society of Physiotherapy โดย Lee Sullivan
    ขอขอบคุณข้อมูลจาก หมอชาวบ้าน
    -https://www.doctor.or.th/article/detail/1723-

    The Chartered Society of Physiotherapy
    Daily Mail

    ขับรถทางไกลนาน ๆ ต้องแก้เมื่อย เพื่อเลี่ยงอาการปวดหลัง แต่นอกจากวิธีคลายเมื่อยแล้วยังมีวิธีนั่งขับรถที่ถูกท่า พาห่างไกลจากทุกอาการปวดด้วยนะ

    แค่ขับรถไปทำงานหลายคนก็บ่นอุบแล้วว่าปวดหลังบ้าง เมื่อยตรงนั้นตรงนี้บ้าง แล้วลองคิดดูว่าหากต้องนั่งขับรถทางไกลยาว ๆ สุขภาพหลังและร่างกายจะโดนผลกระทบมากน้อยแค่ไหน แต่ไม่ต้องกังวลไปค่ะ เพราะวันนี้เรามีท่านั่งช่วยลดอาการปวดหลังเมื่อต้องขับรถทางไกลมาบอกต่อ

    ขับรถทางไกลอย่างไรให้ปลอดภัยและไม่ปวดหลัง ?

    เบื้องต้นต้องปรับเบาะนั่งให้พอเหมาะกับตัวของผู้ขับขี่ โดยต้องคำนึงถึงการมองเห็นของผู้ขับขี่ในขณะขับรถด้วย โดยควรจัดที่นั่งดังนี้

    * ปรับพวงมาลัย ยกขึ้นให้สุด และดันไปด้านหน้าให้สุด

    * ปรับที่นั่งให้ต่ำที่สุด

    * ปรับที่นั่งให้ด้านหน้าเทลงไปให้สุด

    * ปรับพนักพิงให้เอียงไปทางด้านหลังประมาณ 30 องศาจากแนวดิ่ง

    * ปรับส่วนรองรับหลัง (Lumbar Support) ไปทางด้านหลังให้มากที่สุด

    * ดันที่นั่งให้ไปด้านหลังให้สุด

    เมื่อจัดที่นั่งและพวงมาลัยรถแล้ว ให้มาปรับที่นั่งให้เข้ากับตัวผู้ขับขี่ดังต่อไปนี้

    1. ยกที่นั่งขึ้นจนมองเห็นได้รอบ โดยที่นั่งไม่ควรสูงเกินไปจนศีรษะชิดกับหลังคารถด้านใน และต้องแน่ใจว่ามองเห็นได้อย่างเต็มที่

    2. เลื่อนเก้าอี้มาทางด้านหน้าจนเท้าสามารถควบคุมคันเร่ง เบรก และคลัทช์ ได้สะดวก อาจปรับความสูงที่นั่งได้อีกเล็กน้อยเพื่อให้ใช้เท้าบังคับ คันเร่ง เบรก และคลัทช์ ได้ดีขึ้น

    3. ปรับความลาดเอียงของที่นั่งจนต้นขาสัมผัสกับที่นั่งทั้งหมด โดยต้องระวังไม่ให้มีแรงกดที่ด้านหลังของเข่ามากไป

    4. ปรับพนักพิงให้พิงได้จนถึงระดับไหล่ ไม่ควรเอนเก้าอี้ไปทางด้านหลังมากเกินไป เพราะทำให้ไม่ได้พิงหลังเพราะการมองเห็นจะมีปัญหาถ้าเอนหลังไปพิงพนัก ผู้ขับขี่มักจะอยู่ในท่าก้มคอเพื่อให้มองเห็นได้ดีขึ้น

    5. ปรับส่วนรองรับโค้งของหลังให้รู้สึกว่ามีแรงกดเท่ากันตลอดของหลังส่วนล่าง แต่ถ้าไม่มีส่วนนี้อาจใช้หมอนเล็กหนุนหลังส่วนล่างแทนได้

    6. ปรับพวงมาลัยให้เข้ามาใกล้ตัวและดันลงให้อยู่ในระยะที่จับได้สะดวก โดยต้องมีช่องว่างให้ยกขาท่อนบนได้บ้างขณะใช้เท้าบังคับรถ และขณะลุกออกจากที่นั่ง พร้อมทั้งควรตรวจดูว่าพวงมาลัยไม่บังหน้าปัดด้วยนะคะ

    7. ปรับพนักพิงศีรษะให้สูงเท่าระดับศีรษะ ในส่วนของพนักพิงศีรษะมีจุดประสงค์หลักเพื่อไม่ให้คอสะบัดอย่างรุนแรง (Whiplash Injury) ขณะเกิดอุบัติเหตุ ดังนั้นตำแหน่งของพนักพิงศีรษะจึงควรอยู่ในจุดที่รองรับศีรษะได้พอดี

    นอกจากนี้ Sammy Margo นักกายภาพบำบัดจากลอนดอน ได้แนะนำท่านั่งขับรถที่จะช่วยลดอาการปวดหลังเมื่อต้องขับรถระยะไกลมาให้ดูง่าย ๆ ตามภาพอินโฟกราฟิกจาก The Chartered Society of Physiotherapy

    รูปที่ 1 (รูปแรก)

    [​IMG]

    [​IMG]
    ภาพจาก The Chartered Society of Physiotherapy โดย Lee Sullivan

    - นั่งให้เต็มสะโพก เอนหลังให้พิงเบาะนั่งเต็มที่ ให้ลักษณะการนั่งเหมือนนั่งทับกระเป๋าหลังกางเกงยีนส์เต็มใบ

    - ศีรษะอยู่ห่างจากพนักพิงศีรษะประมาณ 1-2 นิ้ว

    - ปรับเบาะเอนไปด้านหลังโดยกะระยะให้ข้อศอกขณะจับพวงมาลัยทำมุมประมาณ 30-40 องศาจากแนวดิ่ง

    - เข่าทั้งสองข้างอยู่ในลักษณะเอียงเล็กน้อย แต่สำหรับรถเกียร์กระปุก ขาซ้ายอาจเอียงมากกว่าเข่าขวาเพื่อให้เหยียบคลัชท์ได้สะดวกขึ้น

    - หลังและไหล่พิงเบาะนั่งอย่างเต็มที่

    และในขณะที่ติดไฟแดง พักรถ หรือจอดรถ ให้บริหารร่างกายส่วนต่าง ๆ ตามท่าดังต่อไปนี้

    * ไหล่

    ยกไหล่ขึ้นและลง จากนั้นหมุนไหล่วนจากข้างหน้าไปข้างหลัง คล้ายท่าบริหารหัวไหล่ปกติเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่ตึงเครียด

    * ต้นแขนและหน้าอก

    ประสานมือเข้าด้วยกัน จากนั้นหมุนให้ฝ่ามือหันออกด้านหน้า เหยียดแขนให้สุด ค้างไว้สักพัก แล้วค่อย ๆ เคลื่อนมือที่ประสานกันไว้เหยียดไปด้านบน ค้างท่าไว้สักระยะ พอให้หายเมื่อยแล้วจึงค่อยคลายมือออก

    * ขาและเท้า

    เมื่อไม่ได้ขับรถอยู่ ให้นั่งเอาเท้าวางราบไปกับพื้นรถ จากนั้นค่อย ๆ ยกส้นเท้าขึ้น (เขย่งเท้า) ค้างท่าไว้สักพัก

    * คอ

    ค่อย ๆ เอียงคอไปทางไหล่ขวา ค้างไว้สักพัก จากนั้นเปลี่ยนไปเอียงคอเข้าหาไหล่ซ้าย ค้างท่าไว้สักพัก คราวนี้ลองก้มหน้าให้คางเกือบแตะหน้าอก ค้างท่าไว้สักพักแล้วจึงเงยหน้าขึ้นมามองตรง ๆ จากนั้นหันศีรษะไปทางขวาและทางซ้าย บริหารคอให้ครบทุกด้าน

    อย่างไรก็ตาม ณ ขณะขับรถก็ไม่ควรเกร็งอยู่ในท่านั่งที่ถูกต้องไปตลอด โดยเฉพาะหากรู้สึกเมื่อยก็ควรปรับเปลี่ยนท่านั่งขับรถให้รู้สึกสะดวกสบาย สลับกันได้ไม่มีปัญหา ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยในการเดินทางนะคะ

    และโดยปกติแล้ว นักกายภาพบำบัดจะแนะนำผู้ขับขี่ทางไกลให้หยุดพักรถและพักคนทุก ๆ 20-30 นาที ซึ่งแม้จะดูเป็นไปได้ยาก แต่อย่างน้อยก็ควรจอดพักทั้งรถและคนทุก ๆ 2 ชั่วโมงก็ยังดี ที่สำคัญเมื่อพักรถแล้วลองยืดเหยียดร่างกายด้วยท่าบริหารด้านล่างนี้ดู

    รูปที่ 2

    [​IMG]

    [​IMG]
    ภาพจาก The Chartered Society of Physiotherapy โดย Lee Sullivan

    * บริหารไหล่

    หมุนแขนวนไปด้านหน้าและด้านหลังพร้อม ๆ กันทั้งสองแขน เมื่อแขนหมุนไปอยู่ด้านหลัง ให้เกร็งไหล่ให้อยู่ในแนวราบกับลำตัวให้มากที่สุด พร้อมกับยืดอกขึ้น

    * บริหารข้างลำตัว

    ยกแขนขวาขึ้นไปเหนือศีรษะ จากนั้นค่อย ๆ โค้งแขนขวาไปทางด้านซ้าย ส่วนแขนซ้ายให้ปล่อยแนบลำตัวไว้ ค้างท่าไว้สักพัก แล้วสลับทำบริหารมือซ้ายต่อไป

    * บริหารเอ็นร้อยหวาย

    ยืนตรง เหยียดขาข้างหนึ่งไปด้านหน้า ส้นเท้าแตะพื้น ปลายเท้าหงายขึ้นเล็กน้อย ค่อย ๆ ขยับเหยียดขาไปข้างหน้าอีกนิด ให้พอรู้สึกตึงบริเวณต้นขาด้านหลัง จากนั้นสลับทำอีกข้าง

    * บริหารหลังส่วนล่าง

    ยืนตรง มือทั้งสองข้างยกขึ้นมาแตะด้านหลังสะโพกไว้ จากนั้นใช้มือดันสะโพกไปด้านหน้า ไหล่และหลังเอนมาด้านหลัง (ยืนแอ่นหลัง) เป็นการยืดเหยียดความเมื่อยล้าบริเวณหลังส่วนล่างได้เป็นอย่างดี

    นอกจากเคล็ดลับเหล่านี้ก็ควรนั่งแอ่นหลังเป็นระยะ หรือเมื่อรู้สึกเมื่อยขณะขับรถด้วยนะคะ ที่สำคัญหากรู้สึกง่วงควรจอดพักรถทันที และพยายามงดโทรศัพท์ขณะขับขี่ รวมทั้งขับรถก็ต้องไม่ดื่มแอลกอฮอล์ด้วยนะจ๊ะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    สีทาผนังบ้าน รวมเรื่องราวน่ารู้ก่อนตัดสินใจเลือกใช้
    -http://home.kapook.com/view143110.html-

    สีทาบ้าน สารพัดเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับสีทาผนังบ้านภายในและสีทาผนังบ้านภายนอก พร้อมด้วยวิธีทาสีผนังบ้าน และสีทาผนังบ้านยอดนิยม เก็บไว้เป็นข้อมูลก่อนตัดสินใจเลือกค่ะ

    สีทาบ้านถือเป็นปัจจัยหลักที่มีผลต่อความสวยงามของบ้าน ซึ่งสไตล์และบรรยากาศของบ้านจะออกมาอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับสีทาบ้านที่เราเลือกนี่แหละ ไม่ว่าจะเป็นสีทาภายในหรือสีทาภายนอก วันนี้กระปุกดอทคอมเลยขอนำเรื่องราวของสีทาบ้านภายในและสีทาบ้านภายนอกมาฝากกัน ถ้าอยากรู้ว่าสีทั้ง 2 ชนิดนี้มีความแตกต่างกันอย่างไร มีวิธีเลือกสีอย่างไร ทาสีบ้านด้วยตัวเองอย่างไร และสีทาบ้านสีใดที่เป็นที่นิยมบ้าง ก็ตามไปชมกันเลยค่ะ

    ชนิดของสีทาบ้าน

    1. สีน้ำมันหรือสีเคลือบเงา เป็นสีที่ใช้ตัวทำละลายเป็นส่วนผสมหรือทำให้เจือจาง เช่น ทินเนอร์ นิยมใช้ทาเคลือบงานไม้ งานโลหะ เพื่อทำให้พื้นผิวมีความสวยงาม มีความเงางาม และรักษาสภาพพื้นผิวให้คงทน

    2. สีพลาสติกหรือสีอะคริลิก สีชนิดนี้มักใช้น้ำเป็นตัวทำละลายหรือส่วนผสมเพื่อใช้เกิดการเจือจางก่อนใช้งาน ใช้สำหรับทาเคลือบพื้นปูน พื้นคอนกรีต รวมถึงกระเบื้อง เพื่อให้เกิดสีสวยงาม และรักษาสภาพพื้นผิว

    สีทาบ้านภายในและสีทาบ้านภายนอกแตกต่างกันอย่างไร ?

    สีทั้ง 2 ชนิดนี้แตกต่างกันที่คุณสมบัติ โดยสีภายนอกนั้นจะเน้นคุณสมบัติด้านความทนทาน เพราะต้องเผชิญกับทั้งแดด ลม และฝน ส่วนสีภายในนั้นก็มีความคงทนเช่นกัน แต่จะน้อยกว่าสีภายนอก เพราะไม่ต้องเจอกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงเหมือนผนังนอกบ้าน แต่จะเน้นไปที่การทำความสะอาดง่าย ปลอดกลิ่น และสารเคมีมากกว่า ทั้งนี้ไม่ต้องเป็นกังวลว่าจะเลือกสีผิด อีกทั้งตอนนี้ก็มีสีทาบ้านที่สามารถทาได้ทั้งภายในและสีภายนอกให้เลือกใช้แล้วด้วย

    เกรดสีคืออะไร ?

    เกรดสี คือ ตัวบ่งบอกปริมาณส่วนผสมและคุณภาพของสี ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 4 เกรดดังนี้

    สีทาบ้านเกรด A : สีอะคริลิก 100% ส่วนใหญ่จะนำเข้าจากทางยุโรป มักใช้ทาภายนอก โดยเฉพาะอาคารสูงหรือบ้านที่มีราคาแพง

    สีทาบ้านเกรด B : สีอะคริลิค 100% ส่วนใหญ่จะนำเข้าจากทางแถบเอเชีย มักใช้ทาภายนอกหรือภายใน

    สีทาบ้านเกรด C : สีที่มีการผสมสารปรุงแต่ง 30% และมีอะคริลิค 70% มักใช้ทั้งทาภายนอกและภายใน

    สีทาบ้านเกรด D : สีที่มีการผสมสารปรุงแต่งมากกว่า 30%

    การดูแลสีทาบ้านให้สีติดยาวนาน

    การที่จะรักษาสีทาบ้านให้คงอยู่ยาวนานนั้นจะต้องดูแลตั้งแต่ขั้นตอนเริ่มทา โดยก่อนทานั้นให้ทำความสะอาดพื้นผิวให้สะอาดก่อน ทาสีรองพื้นก่อนการลงสีจริง ส่วนการลงสีนั้นให้ลงตามคำแนะนำของสีชนิดนั้น ๆ ซึ่งบางชนิดอาจจะต้องทาซ้ำหลายรอบ บางชนิดอาจจะไม่ต้องทาซ้ำก็ได้ และถ้าเกิดคราบสกปรกให้รีบทำความสะอาดทันที นอกจากนั้นก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยนอกอย่างสภาพภูมิอากาศด้วย



    วิธีเลือกสีทาภายนอก

    1. ทนต่อสภาพอากาศ ความร้อนแสงแดด แรงลม ความชื้น และภาวะสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ได้ดี ด้วยโมเลกุลสีที่มีขนาดเล็ก สามารถยึดเกาะพื้นผิวผนังได้ดี

    2. ปกปิดรอยแตกร้าว รอยแตกลายงา ด้วยโมเลกุลสีที่มีความยืดหยุ่น สามารถหดกลับตามสภาพโครงสร้าง และจากความร้อนได้ดี

    3. ป้องกันน้ำซึมผ่าน ป้องกันพื้นผิวซีเมนต์ เหล็กจากน้ำฝน และความชื้นได้ดี เนื้อสีลื่น เป็นเงา ไม่จับฝุ่นง่าย

    4. ขัดหรือทำความสะอาดรอยเลอะหรือความสกปรกออกได้ง่ายโดยไม่ทำลายเนื้อสีให้เสียหาย

    5. ป้องกันเชื้อรา ตะไคร่น้ำได้ดีด้วยสารเติมแต่งหากสัมผัสกับน้ำฝนหรือความชื้น

    6. ทนต่อสภาพความร้อน รังสี เนื้อสีไม่ลุดลอกหรือซีดจางง่าย

    วิธีเลือกสีทาภายใน

    1. เนื้อสีต้องมีความละเอียดเป็นเงางาม

    2. สามารถเช็ดทำความสะอาดสิ่งปนเปื้อน รอยด่างดำได้ง่าย และทนต่อแรงถูขัด

    3. ป้องกันเชื้อรา แบคทีเรีย และคราบหมองคล้ำที่เกิดจากเชื้อรา

    4. ปราศจากกลิ่นฉุน กลิ่นสารระเหยที่อาจเป็นอันตรายต่อผู้อาศัยหรือทำให้เกิดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์



    วิธีทาสีผนังบ้าน

    1. ทำความสะอาด

    ขั้นตอนแรกที่ต้องทำก่อนการทาสีก็คือ ทำความสะอาด ไม่ว่าจะเป็นฝุ่น หยากไย่ หรือแม้กระทั่งผิวขรุขระบนผนังก็ควรจัดการให้เรียบร้อย โดยกวาดสิ่งสกปรกออกให้หมดก่อน จากนั้นใช้ฟองน้ำชุบน้ำยาล้างจานผสมกับน้ำเช็ด แล้วจึงใช้น้ำสะอาดล้างฟองสบู่ออกตามอีกครั้ง

    2. ทาสีตัดขอบระหว่างเพดานและผนัง

    สำหรับในกรณีที่ใช้สีเพดานและผนังต่างกัน ใช้แปรง 2 นิ้วหรือ 2.5 นิ้วเริ่มทาสีที่มุมใดมุมหนึ่งของห้องก่อน แล้วค่อย ๆ ทาสีเพดานส่วนที่ชนผนังทั้ง 4 ด้าน พยายามอย่าให้สีเกินไปโดนผนังเด็ดขาด หากมีสีเปื้อนควรรีบเช็ดออกทันที

    3. ทาสีเพดาน

    หลังจากตัดขอบแล้ว พื้นที่ส่วนที่เหลือให้ใช้ลูกกลิ้งทาสีได้เลย ก่อนการทาควรจะล้างสีที่ตกค้างออกจากแปรงหรือลูกกลิ้งทาสีออกให้หมดเสีก่อน แล้วเริ่มลงแปรงสีตามแนวขวางของเพดาน ทิศทางการทานั้นควรจะเป็นจากซ้ายไปขวาหรือขวาไปซ้าย เพราะถ้าทาจากด้านหน้ –หลังจะทำให้เกิดอาการปวดคอและหลังได้

    4.ทาสีผนัง

    การทาสีผนังก็เช่นเดียวกันกับการทาสีหน้าต่าง เริ่มจากใช้แปรงทาขอบผนังก่อน จากนั้นส่วนที่เหลือตรงกลางใช้ลูกกลิ้งทาได้เลย โดยใช้เทปติดที่ขอบหน้าต่างและประตูก่อนเพื่อป้องกันไม่ให้สีเปรอะเปื้อนบริเวณดังกล่าว

    5. ติดเทปก่อนการทาสีประตูและหน้าต่าง

    เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้สีที่ทาประตูและหน้าต่างเลอะผนังที่ทาไว้แล้ว ให้ติดเทปบริเวณผนังรอบ ๆ กรอบหน้าต่างและประตูก่อนทา พยายามเลี่ยงการทาทับเทป เพราะมิเช่นนั้นอาจมีสีซึมลงไปและที่สำคัญไม่ควรทาเกินขอบเทปด้วย

    สีทาบ้านยอดนิยม


    1. โทนสีคลาสสิก

    สำหรับคนที่อยากเนรมิตบรรยากาศให้ดูดีมีสไตล์และเน้นความหรูหรา โทนสีที่เหมาะสม ได้แก่ เฉดสีพิงค์โรส ส้มแคนตาลูป เหลือง ดอกแดฟโฟดิล เขียวนิวเบิร์ก น้ำตาลมอคค่า หรือเทาอมฟ้า นอกจากจากจะเป็นโทนสีเบา ๆ ที่เหมาะกับการพักผ่อนแล้ว ยังช่วยอัพลุคบ้านให้ดูดีมีระดับอย่างที่ต้องการ โดยไม่ต้องพึ่งของตกแต่งบ้านที่ดูตระการตาอีกด้วย


    2. โทนสีธรรมชาติ

    ถ้ายังนึกไม่ออกว่าโทนสีธรรมชาติเป็นอย่างไร ขอให้ลองนึกถึงบ้านไม้สไตล์คันทรีที่มักจะตกแต่งด้วยวัสดุธรรมชาติหรือสีเอิร์ธโทนเป็นหลัก เช่น สีส้มหินทราย น้ำตาลแดง น้ำตาลเข้ม เขียวเซจ และสีขี้เถ้า ซึ่งเป็นโทนสีที่ช่วยเปลี่ยนบรรยากาศให้มีความอบอุ่น เป็นกันเอง และดูเรียบง่ายแต่มีเอกลักษณ์ไปในตัว


    3. โทนสีจัดจ้าน

    เรียกได้ว่าเป็นโทนสีที่ดึงดูดใจและสะกดสายตาอย่างมาก โดนใจคนที่ชอบการแต่งบ้านแนวโมเดิร์นสมัยใหม่ที่ได้กลิ่นอายของงานปาร์ตี้สังสรรค์ เฉดสีไนท์ไลฟ์ที่น่าสนใจมีดังนี้ ทอง เรดวอร์ม ชมพูบับเบิลกัม ส้มแทงเจอรีน น้ำเงินอมม่วง เขียวเอ็มเพอเรอร์ ทั้งหมดนี้จะสะท้อนความสนุกสนานยามค่ำคืนให้บรรยากาศในบ้านแลดูไม่น่าเบื่อและจำเจเหมือนอย่างเคย


    4. โทนสีพาสเทล

    สำหรับคนที่ชอบโทนสีกลาง ๆ ไม่จัดจ้านเกินไปแต่ก็ไม่ขาดสีสันซะทีเดียว สีพาสเทลเหมาะกับการตกแต่งบ้านของคุณมาก ๆ เลย ได้แก่ สีฟ้าพาสเทล ชมพูพาสเทล ฟ้าคอปเปอร์ เทาก้อนกรวด โทนสีที่นอกจากจะให้ความสบายตาแล้ว ยังดูอบอุ่น โรแมนติก และมีกลิ่นอายของวินเทจในตัวอีกด้วย

    ขอขอบคุณข้อมูลจาก Benjamin Moore , dunnedwards, behr, homeenrich, nucifer, oxbridge
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    เตือนภัย! ระวังโรคที่มาพร้อมกับน้ำที่ไม่สะอาด ช่วงสงกรานต์
    -http://health.sanook.com/3133/-


    อหิวาตกโรคช่วงสงกรานต์นี้หลายคนอาจวางแผนไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ หรืออาจกลับบ้านที่ต่างจังหวัด แต่กิจกรรมที่บางครั้งเรามักจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าเราจะอยากด้วยหรือไม่ก็ตาม คือการเล่นสาดน้ำกันนั่นเอง ถ้าน้ำที่ใช้เล่นกันมาจากก๊อกที่บ้านก็ดีไป แต่ถ้ามาจากแม่น้ำลำคลอง หรือแหล่งอื่นๆ ที่ไม่น่าไว้ใจ อาจทำให้เราเป็นโรคต่างๆ ได้ ดังนี้



    1. โรคตาแดง

    สาเหตุ : เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อไวรัสที่มาจากมือ ผ้าเช็ด ผ้าเช็ดตัวที่ใช้ร่วมกับผู้ป่วย หรือความไม่สะอาดของการดูแลรักษาตาจากน้ำไม่สะอาด หรือน้ำยาล้างคอนแทคเลนส์ไม่ได้มาตรฐาน

    อาการ : คันตา มีขี้ตามากผิดปกติ ร่วมกับมีสะเก็ดปิดตาในตอนเช้า ตาขาวเป็นสีชมพู/แดง ปวดตา ตามัว เป็นต้น



    2. โรคติดเชื้อที่ผิวหนัง

    สาเหตุ : หากผิวหนังเปื่อยจากการสัมผัสน้ำนานจนลอกเปื่อย จะเป็นจุดที่เชื้อแบคทีเรียเข้าสู่ผิวหนังได้ง่ายขึ้น

    อาการ : ผิวหนังแห้ง ลอก เป็นสะเก็ด หรือเปื่อยยุ่ย เป็นหลุมเล็กๆ หรือเป็นปื้นๆ แห้งๆ และมีกลิ่นเหม็น



    3. โรคฉี่หนู (อ่านข้อมูลเพิ่มเติมของโรคฉี่หนู ที่นี่)

    สาเหตุ : ติดเชื้อแบคทีเรีย leptospira จากมูลของสัตว์ต่างๆ เช่น หนู สุนัข โค กระบือ หมู แพะ แกะ ที่ไหลปนกับน้ำตามพื้น ตามท่อ แล้วเชื้อแบคทีเรียเข้าสู่ร่างกายผ่านบาดแผลในร่างกายของเราระหว่างสัมผัสน้ำ

    อาการ : เป็นไข้ ปวดศีรษะ ปวดเกร็งตามขา เบื่ออาหาร คลื่นไส้ ท้องเสีย ตาแดง และอาจไปถึงเยื่อบุสมองอักเสบ เยื่อบุตาอักเสบ



    4. โรคอหิวาตกโรค

    สาเหตุ : หากน้ำที่ใช้ไม่สะอาด มาจากแหล่งน้ำที่มีเชื้ออหิวาตกโรคที่ปนเปื้อนมาจากอุจจาระของผู้ป่วย และเข้าสู่ร่างกายจากการปนเปื้อนในน้ำดื่ม อาหาร หรือหากเผลอเข้าปาก หรือดื่ม อาจทำให้ติดโรคได้

    อาการ : ปวดท้องบิด ท้องเสีย อุจจาระสีขาวเหมือนน้ำซาวข้าว กลิ่นเหม็นเหมือนคาวปลา กระหายน้ำ คอแห้ง ชีพจรเต้นเร็ว ความดันโลหิตต่ำ และอาจถึงขั้นเสียชีวิต



    5. โรคไข้หวัด

    สาเหตุ : ติดเชื้อไวรัสจากคนสู่คน หากร่างกายมีภูมิคุ้มกันไม่เพียงพอ บวกกับสัมผัสน้ำเย็น และอากาศร้อนๆ เป็นเวลานาน อาจเป็นไข้หวัดได้

    อาการ : เป็นไข้ ปวดศีรษะ น้ำมูกไหล ไอ เจ็บคอ ฯลฯ



    ดังนั้น ช่วงสงกรานต์นี้ หากเล่นสาดน้ำ ควรใช้น้ำที่สะอาดเพียงพอ ไม่ใช้น้ำจากคลองที่ไม่น่าไว้ใจ ไม่ควรเล่นสาดน้ำนานเกินไป และหลังจากเล่นแล้วควรรีบอาบน้ำ สระผม เปลี่ยนเสื้อผ้าให้เร็วที่สุด เพื่อป้องกันเชื้อโรคต่างๆ เข้าสู่ร่างกายค่ะ


    ภาพประกอบจาก istockphoto

    เนื้อหาโดย : Sanook!
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    จะลงทุนอะไรก็ตาม ต้องศึกษาในเรื่องนั้นๆ ให้ละเอียด ต้องรู้จริง รู้ลึก
    เพราะการลงทุนทุกประเภท มีความเสี่ยงในการลงทุนแต่ละประเภท ไม่เหมือนกัน

    ต้องระมัดระวังให้มาก สำหรับการลงทุนครับ


    ---------------------------------------------------

    เงินเดือน 2 หมื่น ก็เก็บเงินถึง 10 ล้านได้ !
    -http://money.sanook.com/374791/-


    -http://www.moneyguru.co.th/-
    สนับสนุนเนื้อหา

    “เงินเดือน 2 หมื่น ทำเงินเป็น 10 ล้าน ด้วยวิธีที่เราทำได้ และใคร ๆ ก็ทำได้” อาจฟังดูเป็นเรื่องที่ไกลตัว และเป็นไปไม่ได้ใช่ไหมคะ โดยเฉพาะถ้าคุณเพิ่งเริ่มชีวิตการทำงานมาไม่กี่ปี ครั้นพอจะหาหนังสือสอนวางแผนการเงินมาอ่านก็ช่างเข้าใจยากเสียเหลือเกิน

    บางเล่มก็บอกแต่เพียงว่าได้ผลตอบแทนปีละเท่านั้นเท่านี้ เปอร์เซ็นต์จะมีเงินเท่าไร แต่ไม่บอกว่าจะไปหาผลตอบแทนแบบนั้นที่ไหน หรือบอกว่าต้องลงทุนแต่กลับไม่บอกวิธีการลงทุนเลย หากใครเจอแบบนี้อย่าเพิ่งท้อใจไปค่ะ เพราะวันนี้ MoneyGuru.co.th จะมาบอกทั้งวิธีการลงทุน และการหาการลงทุนที่เหมาะกับคนทั่วไปมาฝากคุณผู้อ่านกันค่ะ

    มันคือคำถามที่อยู่ในใจของมนุษย์เงินเดือนหลาย ๆ คน ที่ว่า “ใคร ๆ ก็มีเงินเก็บ 10 ล้านได้ แล้วมันจะเก็บอย่างไรล่ะ??” เรามาลองสมมติกันค่ะ ว่าถ้าคุณ 25 ปี มี เงินเดือน 2 หมื่น จะทำอย่างไรให้ได้ 10 ล้าน โดยสมมติฐานมีดังนี้…

    1. ตอนนี้คุณอายุ 25 ปี และมี เงินเดือน 2 หมื่น บาท

    2. เงินเดือนคุณขึ้นปีละ 5% ทุกปี จนพอคุณอายุ 55 ปี คุณจะมีเงินเดือน 86,439 บาท

    3. คุณแบ่งรายได้ 15% (3,000 บาท) ของเงินเดือนไปลงทุนใน LTF

    4. LTF ที่คุณเลือกให้ผลตอบแทนทบต้น 10% (LTF = Long Term Fund = กองทุนรวมที่สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ โดยซื้อได้ไม่เกิน 15% ของรายได้ และต้องถือไว้อย่างน้อย 7 ปีปฏิทิน (ตามกฎหมายใหม่)

    ข้อหนึ่งน่าจะเป็นไปได้ไม่ยาก โดยเฉพาะถ้าคุณเป็นเด็กรุ่นใหม่ที่จบปริญญาตรีมาก็ได้เงินดือน 15,000 บาทเป็นอย่างน้อยแล้ว

    ข้อสองอาจจะยากนิดหน่อย เพราะนั่นแสดงว่าเราต้องตั้งใจทำงานให้ดี และต้องอยู่กับบริษัทที่รู้คุณค่าของคนที่มีผลงานดีด้วย แต่ตัวเลขเงินเดือน 86,439 บาทภายในอายุ 55 ถือว่าเป็นเรื่องที่ทำได้ เพราะเดี๋ยวนี้บางคนอายุไม่ถึง 40 ปีก็ได้เงินเดือนประมาณนี้กันแล้ว

    ข้อสามอาจจะยากที่สุด เพราะเป็นเรื่องของความมีวินัย ยิ่งพอเราโตขึ้น เงินเดือนมากขึ้น แต่งงาน ซื้อบ้าน มีลูก ก็จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นมาอย่างนึกไม่ถึง ถ้าเราสามารถบังคับตัวเองด้วยการซื้อ LTF ผ่านการหักบัญชีทุกเดือนไปเลย ก็น่าจะช่วยได้ไม่น้อย

    ส่วนข้อสุดท้าย ผลตอบแทน 10% ถือเป็นเรื่องของฟ้าดิน เพราะอนาคตอีก 30 ปีเราไม่รู้หรอกว่าเศรษฐกิจโลกจะเป็นอย่างไร แต่ถ้าอ้างอิงจากผลตอบแทนตลาดหุ้นไทยในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ผลตอบแทนทบต้น 10% เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ และถือเป็นการลงทุนผลตอบแทนสูงมากเมื่อคำนึงว่าแทบไม่ต้องใช้แรงกาย แรงสมอง หรือเวลาเลย

    วิธีการคำนวณ LTF

    ถ้าปี 2559 เราซื้อ LTF 100 บาท และ LTF ให้ผลตอบแทน 10%

    ปี 2560 LTF ที่เราซื้อไว้จะมีมูลค่าเท่ากับ (1+0.1)* 100 = 110 บาท

    ซึ่ง 0.1 ก็คีอผลตอบแทน 10% นั่นเอง

    ปี 2561 LTF จะเพิ่มมูลค่าเป็น 1.1*110 = 122 บาท

    ปี 2562 LTF จะเพิ่มมูลค่าเป็น 1.1*122 = 134.2 บาท

    หรือเขียนในอีกรูปแบบหนึ่งก็คือ (1.1)^3 * 100 = 134.2 บาท (^3 แปลว่ายกกำลังสาม)

    หรือคิดเป็นสูตรง่าย ๆ ก็คือเอา 1.1 ยกกำลังจำนวนปีคูณด้วยเงินต้น

    ดังนั้นมูลค่า 3000 บาทที่เราซื้อ LTF ในปีนี้ จะเท่ากับ (1.1)^30*3,000*12 = 628,178 บาท ในอีก 30 ปีข้างหน้า ที่คูณ 12 เพราะเราซื้อทุกเดือน ปีหนึ่งเราจึงซื้อ 12 ครั้งค่ะ ส่วนใครที่อายุ 30 กว่าแล้ว ยังไม่ได้ซื้อ LTF ไว้เลยก็ไม่ต้องเสียใจไป เพราะถ้าคุณอายุ 35 แต่หน้าที่การงานดี มีเงินเดือน 60,000 ซื้อ LTF ปีละ 15% ก็จะมีเงินเก็บเกือบ 10 ล้านบาทตอนอายุ 55 เช่นกัน

    พอมีเงินเก็บ 10 ล้านบาท ถ้าเราเอาไปซื้อพันธบัตรรัฐบาลที่ผลตอบแทนปีละ 5% ก็จะมีเงินใช้ปีละ 500,000 หรือประมาณเดือนละ 40,000 บาท* ไปตลอดชีวิต พอเราไม่อยู่แล้ว เงิน 10 ล้านก็จะเป็นมรดกสำหรับลูกหลานค่ะ

    อ่านแล้วฮึกเหิมขึ้นมาบ้างรึยังคะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นอย่าลืมคำนวณเรื่องเงินเฟ้อด้วยนะคะ เพราะเงินเฟ้อมันขึ้นทุกปีปีละ 3% เงิน 40,000 บาทในอีก 30 ปีข้างหน้า จะมีมูลค่าเท่ากับ 16,500 บาทในปัจจุบัน ซึ่งถือว่าไม่มาก แต่ถ้าไม่มีหนี้สินก็อยู่ได้สบาย ๆ ค่ะ
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    เรื่องนี้ ต้องถอดยศ (ถ้ามีตำแหน่งทางราชการ) ต้องไล่ออกจากทีมชาติไทย
    เพราะถ้าพฤติกรรมแบบนี้ ไม่ไล่ออกจากทีมชาติไทย

    ถ้ามียศ หากมีคำพิพากษา ต้องถอดยศออก
    ถ้าไม่ถอดยศ เป็นการสร้างความเสื่อมเสียให้กับราชการ

    -----------------------------------------------------


    แม่น้อง ม.6 แจ้งความ แบ็ก อาทิตย์ เล่าละเอียดวินาทีลูกสาวถูกล่อลวง
    -http://football.kapook.com/news-24229-

    แม่น้อง ม.6 แจ้งความ แบ็ก อาทิตย์ เล่าละเอียดวินาทีลูกสาวถูกล่อลวง เผยรับปากอย่างดีว่าจะมาส่งที่บ้าน แต่ออกอุบายขอแวะอาบน้ำเพราะร้อน ก่อนจะชวนขึ้นข้างบนเพราะเปิดแอร์เอาไว้ แต่ฝ่ายหญิงไม่ยอม จนถูกฉุด แต่ดิ้นหลุดและแชร์โลเคชั่นให้เพื่อนมารับ

    วันที่ 12 เมษายน 2559 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ สภ.คลองข่อย อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี นางเอ (นามสมมติ) ได้พาน้องบี (นามสมมติ) หญิงสาวอายุ 17 ปี ที่เรียนอยู่ชั้น ม.6 เข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยอ้างว่าถูกแบ็ก อาทิตย์ นักฟุตบอลล่อลวงไปทำมิดีมิร้าย ที่หมู่บ้านพฤกษ์ลดา อ.ปากเกร็ด แต่ฝ่ายหญิงไม่ยินยอมเเละหนีรอดมาได้

    ทั้งนี้ นางเอ กล่าวว่า ลูกสาวรู้จักกับนักฟุตบอลทางอินสตาแกรมได้ไม่นาน จนกระทั่งเมื่อวันที่ 10 เมษายนที่ผ่านมา ลูกสาวได้นำเคสโทรศัพท์ไปส่งลูกค้าที่เซ็นทรัล แจ้งวัฒนะ เพื่อเป็นการหารายได้พิเศษ แต่นักฟุตบอลรายนี้ก็ได้โทรศัพท์มาพร้อมชวนกันไปกินข้าวที่ห้างดังกล่าว โดยลูกสาวได้โทรศัพท์มาขออนุญาตตนเรียบร้อย และหลังกินข้าวก็จะอาสาไปส่งที่บ้าน แต่ลูกสาวปฏิเสธ ทางนักบอลพยายามเซ้าซี้ ด้านลูกสาวจึงโรหาแล้วเล่าเรื่องให้ฟัง และขณะนั้นนักบอลก็รับปากว่า จะเป็นธุระมาส่งน้องเองขอให้สบายใจได้

    นาง เอ กล่าวต่อว่า หลังจากที่ลูกสาวขึ้นรถแล้วก็ได้ออกอุบายว่าอากาศร้อนมาก ขอแวะไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่บ้านก่อน ส่วนลูกสาวก็เข้าไปรอที่ชั้นล่าง ฝากนักบอลก็เปิดพัดลมให้ก่อนที่จะขึ้นไปอาบน้ำชั้นบน เมื่ออาบเสร็จก็ชวนลูกสาวขึ้นไปข้างบนเพราะเปิดแอร์ไว้จะได้เย็น ๆ เมื่อลูกสาวได้ยินแบบนั้นก็ปฏิเสธ แต่นักบอลใช้กำลังฉุดดึงแขนขึ้นไป ด้านลูกสาวก็ต่อว่าต่าง ๆ นานา ส่วนนักบอลก็เกิดความไม่พอใจ และเมื่อได้จังหวะลูกสาวดิ้นหลุดและวิ่งหนีออกมาหน้าหมู่บ้าน พร้อมส่งโลเคชั่นบอกตำแหน่งให้เพื่อน เพื่อให้เพื่อนเดินทางมารับกลับ

    นาง เอ เล่าต่อว่า หลังจากนั้น วันรุ่งขึ้น ตนเองพยายามติดต่อกับนักฟุตบอลให้มาขอโทษที่ทำกับลูกสาวตนแบบนั้น แต่ไม่ยอมรับสาย เลยให้หลานชายเดินทางไปทที่บ้านคู่กรณีเมื่อช่วงบ่าย แต่เจ้าตัวก็ไม่ยอมออกมาพบ ตนเห็นว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นเหมือนดูหมิ่นลูกสาวตนจึงเข้าแจ้งความกับ เจ้าหน้าที่ตำรวจและดำเนินคดีกับนักฟุตบอลรายนี้ต่อไป

    ภาพและข้อมูลจาก workpointtv.com
    -http://workpointtv.com/?p=43895-
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    มาชมกันอีกครั้งสำหรับ "เก๊สนิท ศิษย์ส่ายหน้า"

    ตอน พระสมเด็จลั่นล้า หลังตัวอักษรจีน

    ยืนยัน นั่งยัน นอนยันว่า พระสมเด็จชุดนี้ (ที่มีอักษรจีนดัานหลัง) ไม่เคยมีการสร้างที่วังหน้า

    รูปเป็นรูปพระที่ผมได้ซื้อไว้เอง เพื่อให้หลายๆท่านที่สนใจเรื่องพระวังหน้าที่เข้ามาศึกษาที่

    เฟส"หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร & พระวังหน้า"

    ได้ชม ได้ศึกษากันว่า นี่เป็นตัวอย่างของพระวังหน้าที่มีการสร้างขึ้นใหม่ในปัจจุบัน(ปี2558)

    รูปสงวนลิขสิทธิ์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 101.png
      101.png
      ขนาดไฟล์:
      342.5 KB
      เปิดดู:
      44
    • 102.png
      102.png
      ขนาดไฟล์:
      400.9 KB
      เปิดดู:
      38
    • 103.png
      103.png
      ขนาดไฟล์:
      344 KB
      เปิดดู:
      41
    • 104.png
      104.png
      ขนาดไฟล์:
      395.6 KB
      เปิดดู:
      42
    • 105.png
      105.png
      ขนาดไฟล์:
      523.1 KB
      เปิดดู:
      46
    • 106.png
      106.png
      ขนาดไฟล์:
      379.8 KB
      เปิดดู:
      40
    • 107.png
      107.png
      ขนาดไฟล์:
      581 KB
      เปิดดู:
      45
    • 108.png
      108.png
      ขนาดไฟล์:
      434 KB
      เปิดดู:
      33
    • 109.png
      109.png
      ขนาดไฟล์:
      285.2 KB
      เปิดดู:
      37
    • 110.png
      110.png
      ขนาดไฟล์:
      341.7 KB
      เปิดดู:
      45
    • 111.png
      111.png
      ขนาดไฟล์:
      301.6 KB
      เปิดดู:
      48
    • 112.png
      112.png
      ขนาดไฟล์:
      328 KB
      เปิดดู:
      37
    • 113.png
      113.png
      ขนาดไฟล์:
      463.4 KB
      เปิดดู:
      40
    • 114.png
      114.png
      ขนาดไฟล์:
      450.2 KB
      เปิดดู:
      37
    • 115.png
      115.png
      ขนาดไฟล์:
      430.3 KB
      เปิดดู:
      36
    • 116.png
      116.png
      ขนาดไฟล์:
      379.6 KB
      เปิดดู:
      43
    • 117.png
      117.png
      ขนาดไฟล์:
      359.8 KB
      เปิดดู:
      48
    • 118.png
      118.png
      ขนาดไฟล์:
      340 KB
      เปิดดู:
      80
    • 119.png
      119.png
      ขนาดไฟล์:
      429.1 KB
      เปิดดู:
      38
    • 120.png
      120.png
      ขนาดไฟล์:
      451.8 KB
      เปิดดู:
      37
    • 121.png
      121.png
      ขนาดไฟล์:
      335.2 KB
      เปิดดู:
      39
    • 122.png
      122.png
      ขนาดไฟล์:
      295.8 KB
      เปิดดู:
      36
    • 123.png
      123.png
      ขนาดไฟล์:
      344.6 KB
      เปิดดู:
      37
    • 124.png
      124.png
      ขนาดไฟล์:
      346.3 KB
      เปิดดู:
      40
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    ประวัติอักษรจีน (ตอนที่ 1 จาก 2 ตอน)
    -https://sites.google.com/site/pasajien/prawati-xaksr-cin-

    เขียนโดย วรศักดิ์ มหัทธโนบล
    อาจารย์ประจำภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

    -http://www.thaiworld.org/th/thailand_monitor-

    ศูนย์โลกสัมพันธ์ไทย สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
    ชั้น 7 อาคารประชาธิปก-รำไพพรรณี ถนนพญาไท ปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330
    โทรศัพท์ 0-2218-7464, 0-2218-7466 โทรสาร 0-2255-1124

    Thai World Affairs Center, Institute of Asian Studies, Chulalongkorn University
    7th Floor, Prajadhipok-Rambhai Barni Building, Phyathai Road, Bangkok 10330 Thailand
    Tel: +66 (0) 2218-7464, 2218-7466 Fax: +66 (0) 2255-1124


    ภาษาจีนในยุคสมัยของเรา

    กถาเปิด

    ยุคสมัยของเราเป็นยุคสมัยที่การเปลี่ยนแปลงเต็มไปด้วยแรงเหวี่ยงที่ทั้งแรงและเร็ว จนกระทั่งเชื่อกันว่า ใครที่ตามไม่ทันการเปลี่ยนแปลงนี้ก็อาจจะตกยุคตกสมัย หรืออาจแม้แต่ตกเป็นเหยื่อเอาเลยก็ว่าได้ ในบรรดาสิ่งที่เปลี่ยนแปลงที่แรงและเร็ว มักจะมีภาษาจีนอยู่เป็นส่วนหนึ่งเสมอ ทุกวันนี้เรื่องของภาษาจีน มักจะเป็นหัวข้อที่ขาดไม่ได้ สำหรับวงอภิปรายหรือสนทนาของหลายวงการ แต่ละวงก็มีตั้งแต่หน่วยสังคมที่เล็กที่ในระดับครอบครัว จนถึงหน่วยที่ใหญ่ที่สุดคือระดับชาติ

    ทำไมภาษาจีนจึงเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงในสังคมไทย? คำถามนี้แทบจะไม่ต้องตอบกันก็ว่าได้ เพราะลำพังปรากฏการณ์การดำรงอยู่ของชาวจีนโพ้นทะเลในสังคมไทย เพียงเรื่องเดียว ก็สามารถตอบคำถามที่ว่าได้อย่างยาวเหยียด แต่ถ้าถามใหม่ว่า ฐานะของภาษาจีนในสังคมไทยเป็นอย่างไร จากอดีตจนถึงยุคสมัยของเราแล้ว คำตอบอาจแตกประเด็นไปได้มากมาย ที่แน่ๆ คือ ไม่มีใครที่มองไม่เห็นความสำคัญของภาษาจีนอีกต่อไป

    ดังนั้น หากจะกล่าวถึงภาษาจีนในยุคสมัยของเราแล้ว ก็คงหนีไม่พ้นที่จะต้องชี้ให้เห็นถึงฐานะของภาษาจีนในสังคมไทยอย่างเป็นด้านหลัก เพราะนั่นคือวิธีหนึ่ง (จากหลายๆ วิธี) ที่จะเข้าใจสภาพการดำรงอยู่ของภาษาจีนในสังคมไทยได้ดีขึ้น หรือเป็นระบบขึ้น ความเข้าใจนี้บางทีอาจช่วยให้ได้ตระหนักถึงความสำคัญ และทิศทางที่พึงประสงค์ของภาษาจีนได้ชัดขึ้น โดยเฉพาะในยุคสมัยของเรา

    ภาษาจีนในยุคสมัยแรก
    ไทยกับจีนมีการติดต่อสัมพันธ์กันมาช้านานแล้ว มีหลักฐานที่ค้นพบใหม่ๆ ในหลายที่ซึ่งสามารถย้อนกลับไปได้นับพันปี แต่กระนั้น หากกล่าวในแง่ของความสัมพันธ์ทางการทูตแล้ว มีหลักฐานชัดเจนว่า มีมาตั้งแต่สมัยที่รัฐสุโขทัยเรืองอำนาจเรื่อยมา จนถึงสมัยรัฐอยุธยา และรัฐกรุงเทพฯ เรืองอำนาจ เมื่อเป็นเช่นนี้จึงเป็นธรรมดาอยู่เองที่ย่อมมีการติดต่อกันไปมาระหว่างจีนและไทย โดยเฉพาะการเข้ามายังไทยของชาวจีนที่มีตั้งแต่ตัวแทนทางการทูต เจ้าหน้าที่ประจำเรือสำเภา ที่มีตำแหน่งแตกต่างกันไปนับสิบตำแหน่ง รวมทั้งผู้ที่เป็นลูกเรือระดับล่าง ฯลฯ แม้เราจะไม่ทราบจำนวนที่แท้จริง แต่ก็มีหลักฐานว่า ชาวจีนเหล่านี้มีจำนวนมาก ขนาดที่สามารถตั้งชุมชนอยู่กันในหมู่ตนเอง โดยเฉพาะที่อยุธยา

    การเข้ามาของชาวจีนดังกล่าว ย่อมมีการนำภาษาจีนเข้ามาใช้ด้วยเป็นธรรมดา แต่ก็ไม่น่าไปไกลถึงขั้นมีการสอนภาษาจีนกันขึ้น (อย่างน้อยก็ไม่มีหลักฐานที่ชี้ให้เห็นเช่นนั้น) อิทธิพลของภาษา จีนในขณะนั้น จึงไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการที่ไทยเรา จำต้องทับศัพท์คำจีนบางคำ มาใช้ในชีวิตประจำ วันไปด้วย อย่างเช่นคำว่า “อับเฉา” (ของที่มีน้ำหนักมากสำหรับไว้ในท้องเรือสำเภา เพื่อถ่วงไม่ให้เรือโคลงเวลาแล่น ส่วนใหญ่มักเป็นตุ๊กตาหินจีน) หรือชื่อตำแหน่งต่างๆ ของเจ้าหน้าที่เรือสำเภาอย่างเช่น ไต้ก๋ง เป็นต้น คำจีนทำนองนี้มีอยู่หลายคำ จนบางคำชาวไทยเราเองอาจไม่รู้ว่ามีที่มาจากคำจีน เพราะฟังดูแล้วเหมือนเป็นภาษาไทย อย่างเช่นคำว่า “จันอับ” อันเป็นขนมประเภทหนึ่งของจีน ที่นิยมใส่กล่องให้เป็นของกำนัล เป็นต้น

    การปรากฏและดำรงอยู่ของภาษาจีนดังกล่าว คงไม่ได้เป็นไปอย่างเป็นทางการมากนัก ที่สำคัญก็คือว่า คำจีนเหล่านี้ไม่ได้ออกเสียงด้วยภาษาจีนกลาง แต่ออกเสียงโดยขึ้นอยู่กับชาวจีนที่นำภาษาจีนเข้ามาใช้ในไทย ว่าจะใช้ภาษาจีนสำเนียงไหน หรือท้องถิ่นไหน การที่ภาษาจีนไม่ได้ถูกใช้เป็นภาษาจีนกลางนี้ ต่อมาจะส่งผลต่อการใช้ภาษาจีนในไทยอยู่พอสมควร (ซึ่งจะได้กล่าวต่อไปข้างหน้า)

    อย่างไรก็ตาม ภาษาจีนได้ถูกนำมาสอนในสังคมไทยก็ในสมัยรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ หรือในสมัยกรุงเทพฯ โดยหลักฐานระบุแต่เพียงว่า มีการสอนกันที่ “เกาะเรียน” จังหวัดอยุธยา ซึ่งก็ไม่มีใครทราบว่าตั้งอยู่ที่ไหนในอยุธยา และสอนกันอย่างไร หรือสอนด้วยภาษาจีนกลางหรือภาษาจีนท้องถิ่น หรือใครคือผู้เรียน แต่การที่เกิดการเรียนการสอนภาษาจีนขึ้นมานี้ สามารถชี้ให้เห็นในระดับหนึ่งว่า ชาวจีน (ไม่น่าจะมีชาวไทยรวมอยู่ด้วย) เริ่มคิดแล้วว่า ภาษาจีนมีความจำเป็นไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เช่น เพื่อใช้ติดต่อสื่อสารในหมู่ชาวจีนด้วยกันเอง หรือไม่ก็ให้ลูกหลานจีน สามารถสืบทอดวัฒนธรรมจีนต่อไปได้ เพราะภาษาเป็นหัวใจในการสืบทอดที่สำคัญ ไม่ว่าจะในสังคมไหนก็ตาม

    การที่เกิดการเรียนการสอนภาษาจีนขึ้นในสังคมไทยดังกล่าว น่าเชื่อว่า เป้าหมายหลักคงอยู่ที่คนที่เป็นลูกหลานจีนเสียมากกว่า ด้วยว่าในสมัยต่อๆ มา คือ สมัยรัชกาลที่ 3 เรื่อยมาจนถึงรัชกาลที่ 5 นั้น ชาวจีนเริ่มที่จะลงหลักปักฐานอยู่ในไทยแล้ว และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเป็นเช่นนี้ลูกหลานจีนจึงเกิดตามมา ถึงตอนนี้หากชาวจีนต้องการที่จะให้ลูกหลานของตน สืบทอดวัฒนธรรมจีนต่อไป ชาวจีนก็มีทางเลือกให้แก่ตนอยู่ 2-3 ทางต่อไปนี้

    หนึ่ง ส่งลูกหลานของตนกลับไปเรียนภาษาจีนที่เมืองจีน ในกรณีนี้ชาวจีนผู้นั้นคงต้องมีฐานะดีพอสมควร หรือไม่ก็ต้องเก็บหอมรอมริบนานไม่น้อย จึงจะทำได้ สอง ส่งเสียให้ลูกหลานของตนเรียนภาษาจีนในเมืองไทย ในกรณีนี้หมายความว่า จะต้องมีการเปิดสถานศึกษาขึ้นมาในเมืองไทย รูปแบบของสถานศึกษาจะเป็นอย่างไรเป็นอีกเรื่องหนึ่ง และสาม ปล่อยลูกหลานของตนไปตามบุญตามกรรม หรือตามฐานะที่เป็นจริง ในกรณีนี้ปรากฏว่า มีลูกหลานจีนจำนวนไม่น้อยที่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ แน่นอนว่า ประเด็นของเราอยู่ตรงทางเลือกที่สอง นั่นคือ ในที่สุดสถานศึกษาที่สอนภาษาจีนก็มีขึ้นมาในเมืองไทย

    กล่าวกันว่า แรกเริ่มที่มีสถานศึกษาสอนภาษาจีนนั้น รูปแบบโดยมากมักเป็นไปอย่างไม่เป็นทางการ คือชาวจีนร่วมกันจ้างครูจีนมาสอน และที่ว่าร่วมกันนั้นคือ ร่วมกันโดยกระจายออกไปตามกลุ่มสำเนียงพูดของภาษาถิ่นเสียมากกว่า สำเนียงพูดที่ว่าคือ สำเนียงจีนแต้จิ๋ว (เฉาโจว) จีนกวางตุ้ง (กว่างตง) จีนฮกเกี้ยน (ฝูเจี้ยน) จีนฮากกาหรือจีนแคะ (เค่อเจีย) และจีนไหหลำ (ไห่หนาน) ทั้งนี้จีนแต้จิ๋วเป็นสำเนียงพูดที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ส่วนที่จะมีการสอนด้วยสำเนียงจีนกลางนั้นหาน้อยมาก

    สถานศึกษาในรูปแบบที่เป็นทางการนี้ ต่อมาได้ขยายตัวเติบใหญ่ขึ้น จนสามารถตั้งเป็นโรงเรียนที่รับนักเรียนได้เป็นจำนวนมากๆ ที่น่าสนใจก็คือว่า โรงเรียนเหล่านี้ต่างก็สอนวิชาต่างๆ ด้วยภาษาจีนทั้งสิ้น เมื่อเป็นเช่นนี้หากกล่าวเฉพาะคุณภาพของภาษาแล้ว ก็ย่อมจัดอยู่ในระดับที่น่าพอใจไม่น้อย ด้วยเหตุนี้ หากเราเข้าใจว่าโรงเรียนนานาชาติในปัจจุบัน คือโรงเรียนที่สอนด้วยภาษาต่างชาติ (โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ) แล้ว โรงเรียนจีนเหล่านี้ ก็น่าจะถูกจัดเป็นโรงเรียนนานาชาติกลุ่มแรกในไทยก็ว่าได้

    โรงเรียนจีนเหล่านี้คงเปิดสอนเป็นปกติเรื่อยมา ตราบจนสมัยรัชกาลที่ 6 สัญญาณการเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้น โดยในรัชสมัยนี้รัฐบาลไทย ได้ให้โรงเรียนจีนไปจดทะเบียนให้ถูกต้องตามกฎหมาย ทั้งนี้เพื่อให้ง่ายแก่การควบคุม แน่นอนว่า แม้โดยข้อเท็จจริงแล้วสิ่งที่รัฐบาลไทยทำนั้น เป็นการจัดระเบียบ ซึ่งที่ไหนๆ ก็ทำกันโดยทั่วไป แต่ในกรณีโรงเรียนจีนนี้ มีเหตุผลเกี่ยวกับความมั่นคงเข้ามาพัวพันอยู่ด้วย เพราะเวลานั้นชาวจีนในไทยกลุ่มหนึ่งได้เข้าไปมีบทบาททางการเมือง ด้วยการสนับสนุนการปฏิวัติสาธารณรัฐในจีน ซึ่งจะเห็นได้ว่า การเมืองในลักษณะที่ว่านี้มีอุดมการณ์ต่างกับอุดมการณ์ของรัฐไทย ที่ในขณะนั้น ยังเป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์อยู่ ดังนั้น จึงย่อมเป็นธรรมดาอยู่เองที่ผู้นำรัฐบาล (ไม่ว่าชาติไหน) ย่อมหาทางควบคุมหรือไม่ก็ปราบปราม

    ควรกล่าวด้วยว่า การเคลื่อนไหวทางการเมืองก็ดี หรือการขยายตัวของชาวจีนก็ดี รัฐบาลในขณะนั้นพยายามหาหนทางในการจัดการหลายทางด้วยกัน มีทางหนึ่งที่เสนอโดยกรมหลวง เทววงศ์วโรปการ (พระยศในขณะนั้น) ขุนนางชั้นผู้ใหญ่พระองค์หนึ่งว่า หากจะจัดการกับชาวจีนให้ได้ผลแล้ว หนทางที่ดีที่สุดก็คือ การทำให้ชาวจีนถูกตัดขาดจากภาษาจีน จะเห็นได้ว่า หนทางนี้เป็นหนทางที่มองว่า ภาษาคือพลังสำคัญที่จะทำให้วัฒนธรรมจีน (หรือวัฒนธรรมอื่นใดก็ตาม) สามารถสืบทอดต่อไปได้ แต่กระนั้น หนทางนี้ก็ไม่ได้ถูกนำมาใช้อยู่ดี และกว่าจะมีการนำมาใช้เวลาก็ล่วงเลยอีกนับสิบปีต่อมา

    ด้วยเหตุนี้ แม้จะถูกจัดระเบียบแล้วก็ตาม โรงเรียนจีนเหล่านี้ก็ไม่ได้รับผลกระทบในด้านหลักสูตรที่ใช้สอนอยู่แต่อย่างใด ที่เคยสอนกันมาอย่างไร ก็ยังคงเป็นไปตามนั้น ตราบจนเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองขึ้นใน ค.ศ.1932 (พ.ศ.2475) ฐานะของภาษาจีน จึงถูกสั่นคลอนอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

    ภาษาจีนในยุคสมัยแห่งความยุ่งยาก
    ยุคสมัยแห่งความยุ่งยากนี้ เป็นผลจากวิกฤตการเปลี่ยนแปลงของการเมืองโลกโดยแท้ กล่าวคือ เป็นผลจากการที่ได้เกิดอุดมการณ์ทางการเมืองใหม่ๆ ขึ้นมา อุดมการณ์เหล่านี้ในด้านหนึ่งเกิดขึ้น เพราะต้องการจะตอบโจทย์การพัฒนาของแต่ละประเทศ อุดมการณ์ที่เด่นๆ เหล่านี้ก็เช่น อุดมการณ์เผด็จการหรือฟาสซิสต์ อุดมการณ์ประชาธิปไตย และอุดมการณ์สังคมนิยมหรือคอมมิวนิสต์ อุดมการณ์เหล่านี้มีผลในการท้าทายอุดมการณ์สมบูรณาญาสิทธิราชย์ หรือราชาธิปไตยโดยตรง

    ไทยเราเองก็หนีไม่พ้นการท้าทายดังกล่าว และผลก็เป็นดังที่เรารู้กัน นั่นคือ สังคมไทยถูกเลือกให้ใช้อุดมการณ์ประชาธิปไตย ผ่านการปฏิวัติในปี ค.ศ.1932 แต่ก็เช่นเดียวกับการปฏิวัติในที่อื่นๆ ที่ไม่ได้เป็นไปอย่างราบรื่น การแก่งแย่งช่วงชิงอำนาจ ระหว่างผู้นำในระบอบเก่ากับระบอบใหม่ หรือระหว่างผู้นำในระบอบใหม่ด้วยกันเอง เป็นสิ่งที่ยังคงปรากฏให้เห็นอย่างต่อเนื่อง แต่ที่ดูจะพิเศษไปกว่าในที่อื่นๆ ก็ตรงที่ว่า กรณีของไทยนั้นยังได้พ่วงเอาบทบาทของชาวจีนเข้ามาด้วย

    เพื่อให้ง่ายต่อการทำความเข้าใจ ในที่นี้จะขอแบ่งอธิบายความยุ่งยากในยุคสมัยนี้ ผ่านสถานการณ์แวดล้อมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงนั้น ดังนี้

    - หนึ่ง สังคมไทยต้องเผชิญกับการเคลื่อนไหวของขบวนการคอมมิวนิสต์จีนในไทย ซึ่งไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม โดยเนื้อหาทางอุดมการณ์แล้วย่อมไปด้วยกันไม่ได้กับสังคมไทยโดยพื้นฐาน การเคลื่อนไหวนี้มีขึ้นนับแต่ที่จีน ได้มีการก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีนขึ้นใน ค.ศ.1921 (พ.ศ.2464) ดังนั้น รัฐบาลไทยทั้งก่อนและหลัง การปฏิวัติ ค.ศ.1932 จึงย่อมถือเป็นปฏิปักษ์ไปโดยอัตโนมัติ

    - สอง โดยเฉพาะช่วงกลางทศวรรษ 1920 เรื่อยมา ญี่ปุ่นได้กระทำการคุกคามจีนรุนแรงขึ้น ในกรณีนี้ได้ส่งผลให้ชาวจีนในไทย เกิดความรู้สึกต่อต้านญี่ปุ่นขึ้นมาด้วย และผลก็คือ ชาวจีนในไทยได้รวมตัวกันจัดตั้งขบวนการต่อต้านญี่ปุ่นขึ้นมา การต่อต้านนี้ แสดงออกหลายด้านด้วยกัน เช่น ให้พ่อค้าจีนในไทยยุติการทำการค้ากับญี่ปุ่น ต่อต้านหรือทำร้ายชาวญี่ปุ่นในไทย ทำร้ายหรือเข่นฆ่าพ่อค้าที่เป็นชาวจีนด้วยกันเอง ที่ยังคงทำการค้ากับญี่ปุ่นโดยไม่ฟังคำเตือนของขบวนการ ฯลฯ การต่อต้านญี่ปุ่นยังคงเป็นไปตามนี้ แม้หลังการปฏิวัติ ค.ศ.1932 ไปแล้ว เพราะก่อนหน้านั้น 1 ปีคือ ค.ศ.1931 ญี่ปุ่นได้บุกยึดแมนจูเรีย ทำให้ชาวจีนทั้งในและนอกประเทศต่างไม่พอใจ และเมื่อสงครามจีนกับญี่ปุ่นปะทุขึ้นใน ค.ศ.1937 การต่อต้านญี่ปุ่นในไทยก็ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น

    จากความยุ่งยาก (ทางการเมือง) ดังกล่าว นับว่าได้ส่งผลกระทบต่อชาวจีนในไทยอย่างมาก แต่กล่าวเฉพาะการปราบปรามเพื่อยุติการเคลื่อนไหวแล้ว โรงเรียนจีนในขณะนั้นนับเป็น “จำเลย” ที่เป็นรูปธรรมซึ่งชัดเจนที่สุด กล่าวคือ โรงเรียนจีนได้กลายเป็น 1 ในแหล่งซ่องสุมทางการเมือง ของขบวนการทางการเมืองของชาวจีนในไทย การซ่องสุมนี้มีทั้งของขบวนการคอมมิวนิสต์จีนในไทย (เพื่อเผยแพร่ลัทธิคอมมิวนิสต์) มีทั้งของขบวนการต่อต้านญี่ปุ่น หรือไม่ก็ของทั้งสองขบวนการรวมๆ กันไป

    ผลก็คือ มีครูจีนจำนวนมากที่ถูกจับกุมและลงโทษ (ส่วนใหญ่คือเนรเทศ) ทั้งก่อนและหลังการปฏิวัติ ค.ศ.1932 ครูเหล่านี้โดยมากแล้ว อยู่ในขบวนการคอมมิวนิสต์จีนแทบทั้งสิ้น

    แต่ที่กระทบต่อการเรียนการสอนภาษาจีนมากที่สุดนั้น เห็นจะไม่มีเหตุการณ์ใดจะหนักเท่าที่เกิดหลังสงครามจีน-ญี่ปุ่นอีกแล้ว นั่นคือ ด้วยการเคลื่อนไหวต่อต้านญี่ปุ่น โดยขบวนการชาตินิยมจีนในไทย ซึ่งมีทั้งที่มาจากฝ่ายขบวนการคอมมิวนิสต์จีน และฝ่ายกว๋อหมินตั่ง (ก๊กมินตั๋ง) รัฐบาลไทยได้ทำการกวาดล้างครั้งใหญ่ใน ค.ศ.1938 (หลังสงครามจีน-ญี่ปุ่นเกิดแล้วประมาณ 1 ปี) ผลของการ กวาดล้างไม่เพียงทำให้ครูจำนวนมาก ถูกจับกุมเท่านั้น หากที่สำคัญโรงเรียนจีนที่มีอยู่กว่า 200 แห่งทั่วประเทศ ต่างก็ถูกสั่งปิดไปด้วย

    ครั้นพอเวลาผ่านไประยะหนึ่ง แกนนำชาวจีนที่เกี่ยวข้องกับโรงเรียนจีน ก็ได้ร้องขอต่อรัฐบาล ให้อนุญาตให้เปิดโรงเรียนจีนอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งรัฐบาลก็ตอบสนองอย่างมีเงื่อนไข กล่าวคือ แม้จะอนุญาตให้เปิดก็จริง แต่ก็บังคับไม่ให้มีการใช้ภาษาจีนในการเรียนการสอน เกินไปกว่าร้อยละ 20 และที่ไม่เกินตามสัดส่วนที่ว่านี้ ในเวลาต่อมา ยังหมายถึงการจำกัดให้เรียนได้ไม่เกินชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 หรือชั้นประถมศึกษาตอนต้นเท่านั้นอีกด้วย

    ไม่เป็นที่สงสัยเลยว่า เงื่อนไขดังกล่าวได้ทำให้ข้อเสนอของ กรมหลวงเทววงศ์วโรปการ เมื่อครั้งสมัยรัชกาลที่ 6 ถูกทำให้เป็นจริงขึ้นมาเป็นครั้งแรก และกลายเป็นปฐมบทของการทำให้การเรียนการสอนภาษาจีนในไทย เกิดข้อจำกัดทางด้านคุณภาพในเวลาต่อมา แต่หากกล่าวในมิติที่ลึกซึ้งลงไปแล้วเราก็จะพบว่า เงื่อนไขที่ว่านี้ นับว่ามีส่วนอย่างมากในการแยกการเรียนการสอนภาษาจีน ให้ออกจากความเป็นจีน (Chineseness) ที่สำคัญคือ เป็นการแยกที่ติดข้างจะได้ผลอยู่ไม่น้อยเสียด้วย

    กล่าวคือว่า ภายหลังจากสงครามจีน-ญี่ปุ่นสิ้นสุดลง และตามติดมาด้วยการที่ขบวนการคอมมิวนิสต์ในจีน ได้รับชัยชนะเหนือกว๋อหมินตั่งในปี ค.ศ.1949 (พ.ศ.2492) แล้ว ก็ตรงกับช่วงที่รัฐไทย ได้เข้าสู่ยุคสมัยของการต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ อย่างจริงจังและรุนแรง การใช้ภาษาจีนไม่ว่าในกาละเทศะไหน หรือดีหรือเลวมากน้อยเพียงใด ได้กลายเป็นเรื่องที่ค่อยๆ ห่างไกลลูกหลานจีนออกไป จะมียกเว้นก็แต่ครอบครัวจีน ที่มีฐานะดีหรือช่องทางดีเท่านั้น ที่อาจหาวิธีส่งเสียลูกหลานของตน ให้ได้เรียนภาษาจีนในต่างประเทศ เช่นที่ฮ่องกง มาเลเซียหรือปีนัง ไต้หวัน หรือสิงคโปร์ เป็นต้น แต่มีบ้างเหมือนกันที่เสี่ยงส่งลูกหลานเข้าไปในจีนแผ่นดินใหญ่ (โดยผ่านทางฮ่องกง) ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่า กำลังปกครองด้วยระบอบเผด็จการคอมมิวนิสต์ 1 ซึ่งถือเป็นเรื่องที่เสี่ยงไม่น้อย

    ส่วนครอบครัวจีนที่ไม่อาจทำเช่นนั้นได้ แต่ยังคงต้องการให้ลูกหลานของตนมีความรู้ภาษาจีนดีกว่าชั้นประถมสี่นั้น หนทางที่เหลือก็คือ การให้ลูกหลานไปเรียนพิเศษภาษาจีนหลังเลิกเรียนจากโรงเรียน (ไทย) ซึ่งโดยทั่วไปมักเรียนกันวันละ 1 ชั่วโมง ซ้ำยังเป็นการเรียนที่ถือเป็นภาระของผู้เรียนโดยแท้ เพราะถ้าหากใจรักที่จะเรียนก็ไม่สู้ลำบากมากนัก แต่ถ้าใจไม่รักแล้ว การเรียนนั้น ก็เท่ากับเป็นการฝืนใจตนเอง ซึ่งไม่เกิดผลดีแต่อย่างไร

    สถานการณ์เช่นนี้ดำรงอยู่นานหลายสิบปี ดำรงอยู่แม้ภายหลังจากที่จีนกับไทยได้เปิดความสัมพันธ์ทางการทูตขึ้นใน ค.ศ.1975 เรื่อยมา และกว่าที่ภาษาจีนจะถูกปลดปล่อยให้มีอิสระในการเรียนการสอนมากขึ้น เวลาก็ล่วงเข้าสู่ทศวรรษ 1990 ไปแล้ว จนถึงเวลานั้นสังคมไทยก็ตระหนักว่า ยุคสมัยแห่งความยุ่งยากได้ทำให้ภาษาจีน ตกอยู่ภายใต้สถานการณ์ใหม่เสียแล้ว กล่าวคือ ตกอยู่ในสถานการณ์ที่พบว่า มีลูกหลานจีน หรือที่เรียกกันใหม่ว่า “ชาวไทยเชื้อสายจีน” ที่รู้ภาษาจีนนั้นมีน้อยมาก และที่รู้ดีก็มักคุ้นชินกับภาษาจีนท้องถิ่น และอักษรจีนแบบเก่า ในขณะที่การใช้ภาษาจีนในจีนแผ่นดินใหญ่ ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างขนานใหญ่ มานานนับสิบปีก่อนหน้านั้นแล้ว

    โดยสรุปก็คือว่า พอภาษาจีนในไทยหลุดออกจากยุคสมัยแห่งความยุ่งยากมาได้เท่านั้น ก็ต้องมาตกอยู่ในยุคสมัยของการเปลี่ยนแปลง ที่ทั้งเร็วและแรงในแทบทุกด้าน ซึ่งก็คือ ภาษาจีนในยุคสมัยของเรานี้เอง
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    ประวัติอักษรจีน (ตอนที่ 2 จาก 2 ตอน)
    -https://sites.google.com/site/pasajien/prawati-xaksr-cin-

    เขียนโดย วรศักดิ์ มหัทธโนบล
    อาจารย์ประจำภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

    -http://www.thaiworld.org/th/thailand_monitor-

    ศูนย์โลกสัมพันธ์ไทย สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
    ชั้น 7 อาคารประชาธิปก-รำไพพรรณี ถนนพญาไท ปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330
    โทรศัพท์ 0-2218-7464, 0-2218-7466 โทรสาร 0-2255-1124

    Thai World Affairs Center, Institute of Asian Studies, Chulalongkorn University
    7th Floor, Prajadhipok-Rambhai Barni Building, Phyathai Road, Bangkok 10330 Thailand
    Tel: +66 (0) 2218-7464, 2218-7466 Fax: +66 (0) 2255-1124



    ภาษาจีนในยุคสมัยของเรา
    จะว่าไปแล้ว ภาษาจีนในยุคสมัยของเรา เป็นภาษาจีนที่เกิดขึ้นภายใต้การเปลี่ยนแปลงภายในจีนโดยแท้ โดยเฉพาะตั้งแต่ที่เริ่มใช้นโยบายปฏิรูป และเปิดประเทศใน ค.ศ.1979 เป็นต้นมา นโยบายนี้ทำให้จีนต้องเป็นมิตรกับทุกประเทศ โดยไม่ถือเอาความแตกต่างทางอุดมการณ์ มาเป็นอุปสรรคอีกต่อไป และต่อนโยบายพัฒนาภายใน จีนก็เปิดที่ทางให้กับกลไกแบบทุนนิยม (ที่จีนเคยต่อต้านอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู) ให้ได้เข้ามามีบทบาทในการบริหารจัดการอีกด้วย สถานการณ์เช่นนี้ย่อมทำให้ประเทศต่างๆ ที่เคยเป็นปฏิปักษ์หรือระแวงสงสัยจีน คลายความกังวลไปได้ไม่น้อย โดยหลังจากนั้นไม่นาน ความกังวลที่หายไป ก็ถูกแทนที่ด้วยการเปิดต้อนรับจีนในฐานะมิตรประเทศ และเลิกต่อต้านสิ่งที่เรียกว่า “จีนคอมมิวนิสต์” ไปในที่สุด

    แต่ก็ด้วยนโยบายที่ว่า ซึ่งทำให้จีนเติบโตอย่างเต็มกำลังไม่ว่าจะในด้านเศรษฐกิจ การเมืองและความมั่นคง สังคมและวัฒนธรรม ผลเช่นนี้เองที่ทำให้ภาษาจีนได้กลายเป็นประเด็นที่ถูกกระตุ้นเตือน ให้เห็นถึงความสำคัญขึ้นมาอย่างมีนัยสำคัญ จนกล่าวได้ว่า ทุกวันนี้แทบไม่มีหน่วยงานใด ไม่ว่าจะในภาครัฐหรือเอกชน ที่มองไม่เห็นความสำคัญของภาษาจีนอีกต่อไป

    ด้วยเหตุนี้ การเรียนการสอนภาษาจีนที่ถูกกักขังอยู่ในห้องเรียนชั้นประถมศึกษาตอนต้น (ป.4) มานานหลายสิบปี ก็ถูกปลดปล่อยออกมาในทศวรรษ 1990 เมื่อภาครัฐอนุญาตให้เปิดการเรียนการสอนกว้างไกลกว่านั้น และในระดับที่สูงกว่านั้น คือเปิดได้ทั้งในโรงเรียนภาครัฐและเอกชน และเปิดได้ถึงระดับอุดมศึกษากันเลยทีเดียว

    ไม่เพียงเท่านั้น ในส่วนที่เคยทำการเรียนการสอน “พิเศษ” แบบลักปิดลักเปิดตามบ้านยามสนธยาราตรี มาบัดนี้ก็ไม่ต้องทำเช่นนั้นอีกต่อไป ตรงกันข้าม รัฐกลับอนุญาตให้เปิดอย่างเป็นกิจลักษณะและอย่างเปิดเผย ไม่ว่าจะมีกี่หลักสูตร กี่ชั้นเรียน หรือจำนวนผู้เรียนกี่มากน้อย ขอเพียงทำให้ถูกต้องตามระเบียบหรือกฎหมาย และมีกระทรวงศึกษาธิการ รับรองวิทยฐานะเท่านั้น ก็สามารถทำได้ในฐานะโรงเรียนนอกระบบ อันเป็นภาคที่เคยมีบทบาทสำคัญในการอบรมบ่มเพาะภาษาจีน แก่ผู้เรียนที่จบแค่ชั้น ป.4 ให้มีคุณภาพที่สูงขึ้น และโดยไม่มีการประสาทวุฒิบัตรให้แก่ใครได้แม้แต่ใบเดียว ถึงแม้ผู้เรียนคนนั้นจะสามารถใช้ความรู้ภาษาจีนของตนจากการเรียน “พิเศษ” จนมีฐานะดีและมั่นคงไปตามๆ กันก็ตาม

    การปลดปล่อยในทศวรรษที่ว่าน่าจะดูดีอยู่ไม่น้อย แต่การณ์หาเป็นเช่นนั้นไม่ ทั้งนี้เพราะด้วยวิบากกรรม ความยุ่งยากในหลายสิบปีที่ผ่านมานั้น ได้ส่งผลให้ภาษาจีนภายหลังถูกปลดปล่อย ต้องตกอยู่ในอาการงงงวย และง่อนแง่นอยู่ไม่น้อย และด้วยอาการที่ว่านี้ จึงทำให้การเรียนการสอนภาษาจีนโดยภาพรวมเป็นไปใน 2 ลักษณะด้วยกัน ลักษณะหนึ่ง เป็นการเรียนการสอนที่ยังคงสืบทอดแนวทางที่เป็นมาแต่อดีต อีกลักษณะหนึ่ง เป็นการเรียนการสอนที่มุ่งแสวงหาแนวทางใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลง

    ในลักษณะแรกนั้น เราอาจเห็นได้จากการที่สถานศึกษาบางแห่ง ยังคงสอนการออกเสียงภาษาจีนผ่านระบบจู้อินฝูเฮ่า สอนผ่านตำราเรียนที่ไม่ได้ผลิตจากจีนแผ่นดินใหญ่ ส่วนหลักสูตรที่ใช้ก็แตกต่างกันไปในแต่ละแห่ง สุดแท้แต่ว่าสถานศึกษาแห่งไหนจะเห็นว่าเหมาะสมแก่ผู้เรียน ฯลฯ ในลักษณะนี้สะท้อนให้ว่า ต่างคนต่างดำเนินการไปด้วยตนเองอย่างอิสระ

    ส่วนในลักษณะหลังนั้น อาจเห็นได้จากการที่สถานศึกษาหลายแห่ง เลือกที่จะสอนการออกเสียงผ่านระบบพินอิน (pin-in) มีน้อยแห่งที่สอนทั้งสองระบบหรือมากกว่านั้น โดยเฉพาะในระดับอุดมศึกษาบางแห่ง รวมเอาระบบจู้อินฝูเฮ่า เยล และเวดใจล์ส เข้าไปด้วย ถึงแม้ในชั้นปลายจะเน้นที่ระบบพินอินก็ตาม ส่วนตำราที่ใช้ก็เป็นตำราที่ผลิตจากจีนแผ่นดินใหญ่ เกี่ยวกับตำรานี้ยังพบอีกว่า สถานศึกษาหลายแห่งใช้ตำราที่ไม่เหมือนกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าสถานศึกษาแห่งนั้นๆ เลือกที่จะใช้ตำราจาก “มณฑล” ไหนของจีน ฉะนั้น เมื่อมองในแง่ของหลักสูตรแล้ว หลักสูตรจึงย่อมขึ้นอยู่กับตัวตำราไปด้วย ซึ่งโดยสรุปแล้วก็คือ หลักสูตรก็แตกต่างกันไป ฯลฯ

    นอกจากสองลักษณะดังกล่าวที่เป็นเรื่องของการเรียนการสอนโดยตรงแล้ว การใช้ภาษาจีนในหมู่ผู้รู้ภาษาจีน (ไม่ว่าจะมากหรือน้อย) หรือผู้ที่จะต้องสัมผัสกับภาษาจีน (โดยที่ไม่รู้ภาษาจีน) ในชีวิตประจำวัน ก็ยังเป็นอีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจ เพราะเป็นที่รู้กันมานานแล้วว่า การใช้ภาษาจีนในไทยนั้นเป็นการใช้ภาษาท้องถิ่นเป็นส่วนใหญ่ และใช้ภาษาจีนกลางเป็นส่วนน้อย ฉะนั้น ภายหลังจากที่ภาษาจีนถูกปลดปล่อยในทศวรรษ 1990 ไปแล้ว ภาษาจีนกลางที่เข้ามามีบทบาทในการใช้มากขึ้น จึงไม่อาจเปลี่ยนแปลงการใช้แบบเดิมไปได้ง่ายๆ

    ทั้งนี้ยังไม่นับการใช้อักษรจีนตัวเต็ม (ฝานถี่จื้อ) ที่ยังคงปรากฏว่ามีการใช้มากกว่าอักษรตัวย่อ (เจี๋ยนถี่จื้อ) ที่ทางจีนแผ่นดินใหญ่ได้ทำการ “ปฏิรูป” ไปแล้วมากกว่า 2,000 ตัวอักษร โดยเฉพาะในสื่อสิ่งพิมพ์ภาษาจีนนั้นจะเห็นได้ชัด นัยสำคัญของประเด็นนี้ก็คือว่า อักษรตัวย่อที่จีนปฏิรูปนั้น จีนเลือกเอาตัวอักษรที่มักใช้กันในชีวิตประจำวันเป็นลำดับแรก ด้วยเหตุนั้น การไม่รู้จักอักษรตัวย่อ จึงไม่น่าจะเป็นผลดีแก่ผู้ใช้ภาษาจีนมากนัก (อย่างน้อยก็ในระยะยาว) ในทางตรงข้าม หากผู้ใช้คนใดที่รู้ทั้งตัวย่อและตัวเต็ม ก็ต้องนับว่าได้เปรียบผู้ใช้ที่รู้แต่เพียงแบบใดแบบหนึ่ง 3

    ผลที่เกิดจากอาการงงงวยและง่อนแง่นจากที่กล่าวมานี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของปัญหาเท่านั้น ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ยังมีรายละเอียดที่สลับซับซ้อนมากกว่าที่กล่าวมาอีกไม่น้อย แต่ก็ด้วยผลที่ว่านี้เอง ที่นำมาซึ่งเสียงบ่นของผู้ที่ต้องการใช้ประโยชน์จากภาษาจีนโดยตรง ว่าคุณภาพการเรียนการสอนภาษาจีนในไทย ยังไม่อาจสนองตอบได้อย่างที่ต้องการ เสียงบ่นเหล่านี้มีให้ได้ยินเป็นรูปธรรมอยู่เสมอ เช่น บ้างก็บ่นว่าความรู้ภาษาจีนของผู้เรียน ยังไม่สูงพอที่จะนำมาใช้งาน บ้างก็บ่นว่าผู้เรียนสู้อุตส่าห์เรียนจบระดับปริญญาจนสามารถ “อ่าน” ภาษาจีนได้ดีนั้น แต่กลับไม่รู้เรื่องราวความเป็นไปในจีน บ้างก็บ่นว่าผู้เรียนแม้จะเรียนสูง แต่ความรู้นั้น กลับไม่สามารถสนองตอบต่องานของตน ที่จำเป็นต้องมีความรู้เฉพาะด้าน ฯลฯ

    ในที่สุด ผลที่ว่าก็นำมาซึ่งความวิตกกังวลของผู้ที่จำเป็นต้องใช้ประโยชน์จากภาษาจีน ว่ายังคงสู้ประเทศเพื่อนบ้านไม่ได้ และหากเป็นเช่นนี้ต่อไปก็อาจกระทบต่อการแข่งขัน ในการพัฒนาทั้งในภาครัฐและเอกชน ซึ่งก็คือผลกระทบที่มีต่อส่วนรวมของสังคมไทยเราเอง

    เกี่ยวกับประเด็นคุณภาพภาษาจีนระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้านนั้น มีเรื่องที่พึงทำความเข้าใจด้วยว่า แม้จะเป็นความจริงที่ภาษาจีนในไทย มีคุณภาพสู้ประเทศเพื่อนบ้านไม่ได้ก็ตาม แต่ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะ ผลจากพัฒนาการทางเศรษฐกิจและการเมือง ที่แตกต่างกันระหว่างไทยกับเพื่อนบ้านโดยแท้ พัฒนาการของไทยก็คือ ประเด็นปัญหาต่างๆ ดังที่ได้กล่าวไปแล้ว ในขณะที่พัฒนาการของประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งส่วนใหญ่ตกเป็นอาณานิคมของต่างชาติ จนดูว่าไร้อิสรภาพนั้น เอาเข้าจริงแล้วชาติอาณานิคม ก็หาได้ห้ามหรือจำกัดการเรียนการสอนภาษาจีน ของประเทศเพื่อนบ้านเหล่านี้ไปด้วยไม่ ด้วยเหตุนี้ ผลทางคุณภาพจึงเป็นดังที่เราเห็น

    จะอย่างไรก็ตาม หากเราพิจารณาให้รอบคอบแล้วก็จะพบว่า ปัญหาภาษาจีนในไทยหลังจากที่ถูกปลดปล่อยในทศวรรษ 1990 นั้น แท้ที่จริงแล้วก็ไม่ใช่อะไรอื่นเลย หากคือ การที่เราพึงยอมรับร่วมกันว่าภาษาจีน จำเป็นต้องกลับไปสู่จุดเริ่มต้นใหม่อีกครั้งหนึ่ง และจะเริ่มต้นใหม่ได้ดี เราก็ต้องสลัดอาการงงงวยและง่อนแง่นที่เกิดขึ้นให้ได้เสียก่อน และการที่จะสลัดได้นั้น ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจให้ได้ก่อนว่า อาการงงงวยได้บอกอะไรแก่เรา?

    จะว่าไปแล้วอาการงงงวยและง่อนแง่นดังกล่าวได้บอกให้เรารู้ว่า ภาษาจีนในยุคสมัยของเรานั้น ได้ห่างออกจากความเป็นจีน จากที่เคยมีเคยเป็นมาแต่เดิมแล้วนั่นเอง

    กล่าวคือ ภาษาจีนนับแต่ยุคสมัยแรกเริ่มจนถึงยุคสมัยแห่งความยุ่งยากนั้น เป็นภาษาจีนที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานความคิดที่จะให้ลูกหลานจีน (ในสมัยนั้น) สามารถสืบทอดและดำรงความเป็นจีนเอาไว้ แต่ภายหลังจากที่ผ่านวิบากกรรมมามากมาย จนได้รับการปลดปล่อยในทศวรรษ 1990 แล้ว เราก็พบว่า หลายสิบปีของวิบากกรรมนั้น ลูกหลานจีนได้ถูกกลืนกลายจนเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมแล้วไม่น้อย คือหากไม่เปลี่ยนจากการเป็นลูกหลานจีนมาเป็น “ชาวไทยเชื้อสายจีน” ก็เป็น “ชาวไทย” ไปจนกู่ไม่กลับ

    สิ่งที่ต่างกันระหว่างชาวไทยเชื้อสายจีนกับชาวไทยก็คือว่า กลุ่มแรกอาจมีความเป็นจีนหลงเหลืออยู่บ้าง แต่ก็น้อยเต็มที โดยเฉพาะความรู้ภาษาจีน (ถึงจะใช้ภาษาจีนท้องถิ่นก็ตาม) ในขณะที่กลุ่มหลังนั้นอาจจะมีเชื้อจีนหรือไม่มีก็ได้ แต่แทบไม่หลงเหลือความเป็นจีนอยู่เลย ส่วนที่คล้ายกันก็คือ ต่างก็ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมอื่นๆ โดยเฉพาะวัฒนธรรมตะวันตกมาพอๆ กัน

    ผลก็คือ เมื่อ “ชาวไทย” กลุ่มนี้ต้องมาเป็นผู้เรียนภาษาจีน (หรือผู้สอนในบางกรณี) การเรียนของคนกลุ่มนี้จึงไม่มีโจทย์เกี่ยวกับความเป็นจีนเป็นตัวตั้ง หากแต่เรียนไปภายใต้โจทย์ใหม่ๆ มากมายหลายประการ ซึ่งโดยรวมแล้วก็คือ เพื่อสนองตอบต่อผลประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งอาจเป็นทั้งเพื่อตัวเองหรือเพื่อหน่วยงานที่ค่อนข้างแน่นอน

    ดังจะเห็นได้จากผลการศึกษาเล็กๆ ชิ้นหนึ่ง ที่เลือกศึกษาเฉพาะกลุ่มผู้เรียนภาษาจีนในสถานศึกษานอกระบบที่พบว่า ผู้เรียนต่างมาเรียนด้วยวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายที่กระจายกันออกไปอย่างหลากหลายมากมาย เช่นมาเรียนเพื่ออยากจะดูหนังหรือละครจีนด้วยภาษาจีน เพื่ออ่านวรรณกรรมจีนได้โดยตรง เพื่อร้องเพลงจีน เพื่อสนทนากับเพื่อนร่วมงานที่เป็นคนจีน เพื่อติดต่องานกับคนจีนทั้งในเมืองไทยและในเมืองจีน เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางวิชาชีพให้แก่ตนเอง เพื่อสนองตอบต่อนโยบายใหม่ๆ ของหน่วยงาน ที่เริ่มมีธุรกิจหรืองานราชการที่ต้องติดต่อกับจีน เพื่อให้เป็นไปตามความต้องการของพ่อแม่หรือบุพการี ตลอดจนเพื่อใช้สนทนากับคนรักที่เป็นชาวจีน หรือ “จีบ” ชาวจีนที่ตนหมายปอง ฯลฯ ส่วนที่เรียนเพื่อรักษาหรือสืบทอดความเป็นจีนนั้นมีเช่นกัน แต่เป็นตัวเลขที่ไม่สูงมากนัก

    ผลการศึกษานี้แม้จะเป็นเฉพาะกลุ่มโรงเรียนนอกระบบก็ตาม แต่ก็น่าเชื่อว่า กลุ่มที่อยู่ในระบบก็คงไม่ต่างกัน ในแง่วัตถุประสงค์มากนัก ซึ่งนับว่าต่างก็ชี้ให้เห็นถึงความเป็นจีนที่ห่างไกลออกไปในหมู่ผู้เรียนได้เป็นอย่างดี

    แต่อย่างไรก็ตาม การที่ภาษาจีนในยุคสมัยของเราเริ่มห่างจากความเป็นจีนออกไปนั้น มิได้หมายความว่า ความเป็นจีนที่เคยมีอยู่แต่เดิมจะสลายหายตามไปด้วยไม่ ตรงกันข้าม ความเป็นจีนเท่าที่ยังคงปรากฏให้เห็นในปัจจุบัน กลับเป็นต้นทุนที่มีค่าไม่น้อย หากผู้เรียนและผู้สอนภาษาจีนรู้จักที่จะใช้ให้เป็นประโยชน์ ดังการรู้อักษรจีนทั้งแบบตัวเต็มและแบบตัวย่อ ย่อมมีประโยชน์มากกว่าการรู้แบบเดียวดังที่ได้กล่าวไปแล้วก่อนหน้านี้

    การห่างไกลจากความเป็นจีนจากที่กล่าวมานี้เอง เมื่อภาษาจีนถูกปลดปล่อยอีกครั้งหนึ่ง ภาษาจีนในยุคสมัยของเราจึงส่งผลดังที่ได้กล่าวมาในที่สุด และทำให้ปฏิเสธไม่ได้ว่า การเรียนการสอนภาษาจีน จะต้องเริ่มต้นกันใหม่อีกครั้งหนึ่ง เพื่อสนองตอบต่อสถานการณ์ใหม่ๆ ที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างมากมาย และการเริ่มต้นที่ดีทางหนึ่งก็คือ การศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการเรียนการสอนภาษาจีนในไทยอย่างจริงจัง

    ประเด็นสำคัญที่ขอย้ำในที่นี้ก็คือว่า ผลจากอาการงงงวยและง่อนแง่นที่เกิดขึ้นนั้น ถือเป็นเรื่องปกติธรรมดาอย่างยิ่ง สำหรับสังคมไทย โดยเฉพาะหากเราเข้าใจถึงวิบากกรรมของภาษาจีนจากที่กล่าวมา เหตุฉะนั้น อาการที่เกิดขึ้นแก่ภาษาจีนในยุคสมัยของเรา จึงเป็นเรื่องที่ดีมากกว่าไม่ดี อย่างน้อยอาการที่ว่าก็ทำให้เราต้องมาฉุกคิดได้ว่า เราจะแก้อาการนี้อย่างไร และเมื่อเราพบว่า การแก้ที่ดีประการหนึ่งก็คือ การเริ่มจากการวิจัย การวิจัยนี้เองที่จะโน้มนำให้ปัญหาต่างๆ ของการเรียนการสอนภาษาจีน ถูกร้อยเรียงให้เห็นภาพอย่างเป็นระบบ เมื่อเป็นเช่นนี้ เราก็จะพบได้เองว่า ปัญหาที่เป็นจริง (หรืออย่างน้อยก็ใกล้เคียงกับความเป็นจริง) นั้นคืออะไร จากนั้นข้อแก้ไขก็จะทยอยออกมา

    อย่างไรก็ตาม ข้อดีดังกล่าวจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากเราไม่เหลียวไปมองข้อดีที่สำคัญอีกประการหนึ่งนั่นก็คือ การที่ภาษาจีนในยุคสมัยของเราได้เริ่มต้นใหม่ด้วยความอิสระ และโดยไม่จำเป็นต้องติดยึดกับความเป็นจีนดังเช่นอดีตอีกต่อไป เพราะข้อดีจากความอิสระนี้จะทำให้เราสามารถเลือกที่จะเริ่มต้นอย่างไรก็ได้ บนความอิสระดังกล่าว ในที่นี้มีประเด็นที่ขอเสนอเพื่อพิจารณา ดังนี้

    1. ความร่วมมือกับฝ่ายต่างๆ
    ปัจจุบันนี้การเรียนการสอนภาษาจีนในไทยได้มีความร่วมมือกับหลายๆ ฝ่าย บางแห่งก็ร่วมมือกับหน่วยงานของทางการจีน บางแห่งก็ร่วมมือกับไต้หวันหรือประเทศเพื่อนบ้าน ในขณะที่บางแห่งก็ร่วมมือมากกว่าหนึ่งฝ่าย หรือไม่ก็ร่วมมือกับประเทศตะวันตก แต่โดยมากแล้ว จีนมีแนวโน้มที่จะร่วมมือกับไทยมากกว่าทุกๆ ฝ่าย ความร่วมมือเป็นสิ่งที่ดีและจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะแต่ละประเทศย่อมมีประสบการณ์ในการเรียนการสอนไม่เหมือนกัน ประโยชน์ที่เกิดจากการแลกเปลี่ยนกันย่อมมีอยู่ในตัว

    ประเด็นก็คือ แม้ความร่วมมือจะเป็นสิ่งที่ดีก็จริง แต่เราก็จะควรตระหนักอยู่เสมอว่า แต่ละประเทศแม้จะมีประสบการณ์หรือหลักสูตรการเรียนการสอนที่ดีเลิศอย่างไร ข้อดีนั้นอาจชัดเจนในเรื่องทางเทคนิค และเป็นข้อดีที่เกิดบนประสบการณ์ที่มีพื้นฐานทางสังคมที่แตกต่างกันไป ที่จะให้ประเทศเพื่อนบ้านเข้าใจพื้นฐานความเป็นไปของสังคมไทยโดยสมบูรณ์นั้น คงเป็นไปได้ยาก และคงไม่ดีไปกว่าคนไทย

    เหตุดังนั้น ภายใต้ประโยชน์ที่เกิดจากความร่วมมือดังกล่าว ถึงที่สุดแล้วเราต่างหากที่พึงพิจารณาได้เองว่า การเรียนการสอนในแนวทางใดที่เหมาะสมกับสังคมไทยมากที่สุด การที่จะเป็นเช่นนี้ได้ก็มีแต่หนทางเดียวคือ ไทยเราควรที่จะเป็นตัวของตัวเองให้มากที่สุด กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เมื่อถึงเวลาหนึ่งของความร่วมมือ เราก็ควรที่จะมีหลักสูตรการเรียนการสอน ตลอดจนตำราที่เป็นของเราเอง หากทำเช่นนี้ได้ไม่เพียงประโยชน์จะตกแก่ผู้เรียน ผู้สอน และผู้ใช้ภาษาจีนโดยตรงเท่านั้น แต่ที่สำคัญยังหมายถึงความอิสระในการกำหนดการใช้ภาษาจีน โดยปราศจากการครอบงำจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ไม่ว่าจะโดยเจตนาหรือไม่ก็ตาม

    2.การใช้ประโยชน์จากความเป็นจีน
    แม้ชาวไทยส่วนใหญ่ในทุกวันนี้จะห่างเหินจากความเป็นจีนไกลออกไปทุกที ความห่างเหินนั้น ก็เป็นไปแต่โดยการสืบทอดในเชิงสายเลือดและวัฒนธรรมเท่านั้น ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว ความเป็นจีนยังคงหลงเหลือให้เห็นอยู่ไม่น้อยในชีวิตประจำวัน ความเป็นจีนในหลายๆ ส่วน นับว่าเป็นต้นทุนที่มีประโยชน์อยู่ไม่น้อย ขึ้นอยู่กับว่าเราจะใช้ต้นทุนนั้นให้เกิดประโยชน์หรือไม่ อย่างไร

    ต้นทุนจากความเป็นจีนที่ว่าก็เช่น การที่ไทยเราได้มีงานแปลวรรณกรรมหรือพงศาวดารจีน ไม่ว่าจะเป็นสามก๊ก เลียดก๊ก ไซฮั่น ตงฮั่น ซ้องกั๋ง ไซอิ๋ว ฯลฯ หรือการที่ชาวไทยเรายังมีโอกาสได้สัมผัสกับประเพณีจีน ผ่านเทศกาลต่างๆ ได้โดยตรง (ซึ่งในบางประเทศที่เล็งเห็นความสำคัญของภาษาจีน ไม่ต่างกับไทยจะไม่มีปรากฏการณ์นี้ดำรงอยู่ หรือไม่ก็มีแต่น้อย) ต่างก็มีประโยชน์ในแง่ที่เป็นความรู้พื้นฐานเกี่ยวเรื่องจีน ได้เป็นอย่างดี และเมื่อไปอ่านฉบับภาษาจีน หรือไปสัมผัสกับประเพณีจีนในปัจจุบันก็จะเข้าใจมากขึ้น หรือไม่ก็พบความแตกต่างมากขึ้น

    ประโยชน์โดยตรงในแง่นี้มีอยู่อย่างน้อย 2 ประการ คือ หนึ่ง การทำความเข้าใจความคิดความเชื่อของสังคมจีนได้ง่ายขึ้น และสอง การเพิ่มทักษะในการใช้ภาษาจีนให้แก่ผู้เรียนและผู้สอน ถึงแม้ความเป็นจีนที่ยกตัวอย่างมา จะมีปัญหาตรงที่เป็นภาษาจีนท้องถิ่นก็ตาม ในประเด็นนี้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอนโดยตรง อาจพิจารณาได้เองในแง่ของความเหมาะสม

    3.ภาษาจีนกับภาษาไทย
    แม้ทุกวันนี้การเรียนการสอนภาษาจีนจะสอนการออกเสียงผ่านระบบพินอินหรือระบบอื่นก็ตาม แต่ถึงที่สุดแล้ว ในเวลาที่ใช้จริงก็คงหลีกเลี่ยงการออกเสียงผ่านอักขระไทยไปไม่ได้ เกี่ยวกับเรื่องนี้ภาษาไทยมีข้อดีอยู่เรื่องหนึ่งคือ ภาษาไทยมีเสียงวรรณยุกต์พอที่จะใช้กับภาษาจีนได้ โดยไม่ขัดกัน (ไทยมี 5 เสียง จีนมี 4 เสียง) ตรงนี้นับเป็นประโยชน์ของภาษาไทยโดยแท้

    ปัญหาที่ปรากฏอยู่ก็คือ การออกเสียงผ่านสระบางเสียงที่สัมพันธ์กับการออกเสียงควบกล้ำ เช่น การออกเสียงผ่านสระในตัวโรมันว่า uan ที่ยังมีความลักลั่นระหว่างการเป็นเสียงในตัวไทยว่า อวน กับ เอวียน (อว ควบกล้ำ) ดังจะเห็นได้จากคำว่า หยวน หากใช้เรียกชื่อสกุลเงินจีนแผ่นดินใหญ่แล้ว ก็มักจะใช้เช่นนั้น แต่ในหลายกรณีก็พบว่า หากเป็นชื่อบุคคลหรืออื่นๆ ที่ชาวไทยไม่คุ้นเคยแล้ว ผู้ใช้จะเขียนให้ออกเป็นว่า เยวี๋ยน ซึ่งเป็นเสียงที่ใกล้เคียงกับเสียงจีนกลางมากกว่าเสียงแรก แต่ปัญหาคือ วิธีการเขียนอาจผิดหลักภาษาไทย

    อย่างไรก็ตาม ในชั้นหลังมานี้ได้มีการนำเครื่องหมาย “ยมการ” กลับมาใช้ใหม่ โดยเครื่องหมายนี้ จะถูกกำกับไว้หลังคำที่ออกเสียงกึ่งหนึ่ง ดังนั้น เวลาเขียนจึงไม่ผิดหลักภาษาไทย อย่างเช่น ชื่อของอดีตจักรพรรดิจีนพระองค์หนึ่งคือ กวางซี่ว์ นั้น ตัว ซี่ว์ หากมีเครื่องหมาย “ยมการ” กำกับ ก็จะเขียนได้โดยไม่ผิดหลักภาษา ปัญหาก็คือ ขณะนี้ซึ่งเป็นปี 2007 เครื่องหมายนี้ยังมีในโปรแกรมคอมพิวเตอร์น้อยมาก (ในที่นี้จึงขอแทนด้วยเครื่องหมายการันต์) เชื่อว่า ในอนาคตหากเครื่องหมายนี้ถูกใช้แพร่หลายแล้ว ความลักลั่นในการออกเสียงดังกล่าวน่าจะแก้ได้

    แต่กระนั้น ปัญหาการทับศัพท์ไม่ได้มีเพียงที่ยกมา ในความเป็นจริงแล้วยังมีรายละเอียดมากกว่านั้นอีกมาก และด้วยเหตุที่ปัญหานี้เป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอน และการใช้ภาษาจีนอยู่ไม่น้อย การอภิปรายถกเถียงหรือศึกษาวิจัย จึงจำเป็นที่ทุกฝ่ายจะต้องร่วมมือกัน ที่ผ่านมายังเห็นได้ว่า ต่างฝ่ายต่างทำไปอย่างอิสระ ฉะนั้น ถ้าทำได้อย่างเป็นเอกภาพโดยละมายาคติลงได้แล้ว อิสระที่ว่าก็จะเพิ่มพลังให้แก่คุณภาพภาษาจีนในไทยได้ไม่น้อย

    4. ภาษาจีนกับความรู้เรื่องจีน
    ปัญหาข้อหนึ่งของการเรียนการสอนภาษาจีนในทุกวันนี้คือ การที่ความรู้ภาษาจีนเป็นอย่างดี ไม่ได้หมายรวมว่าจะต้องมีความรู้เรื่องจีนไปด้วย ซึ่งผิดไปจากความคาดหวังของผู้ที่ต้องการใช้ผู้รู้ภาษาจีน มาช่วยในกิจการงานของตน ปัญหานี้มาจากการเรียนการสอนภาษาจีน ที่ยังขาดเอกภาพระหว่างความรู้ในทางภาษาศาสตร์ กับความรู้ในทางจีนศึกษา (Chinese Studies) หรือจีนวิทยา (Sinology)

    ความรู้ในเชิงภาษาศาสตร์ยังไม่ใช่ปัญหาหลัก เพราะแทบทุกสถานศึกษามักจะต้องให้ความรู้ด้านนี้เป็นปกติอยู่แล้ว เหตุฉะนั้น ปัญหาที่เกิดขึ้น จึงอยู่ตรงคำถามที่ว่า ปัญหานี้มีสาเหตุมาจากอะไร เช่น เป็นเพราะตัวผู้เรียน ไม่ใส่ใจต่อความรู้ทางด้านจีนศึกษา หรือจีนวิทยา หรือเป็นเพราะตัวหลักสูตรไม่เอื้อ หรือไม่เปิดพื้นที่ให้กับความรู้ทางด้านที่ว่า การพบสาเหตุของปัญหา น่าจะช่วยแก้ปัญหานี้ได้ไม่น้อย

    อนึ่ง ความคาดหวังเกี่ยวกับความรู้ในทางจีนศึกษาหรือจีนวิทยาที่เกิดขึ้นและเป็นปัญหานั้น มิใช่ความคาดหวังที่เล็งผลเลิศแต่อย่างใด แต่เป็นความคาดหวังในระดับพื้นๆ ที่ต่างก็เชื่อว่า ผู้ที่มีความรู้ภาษาจีนดี น่าที่จะมีความรู้พื้นฐานทั่วไปเกี่ยวกับเรื่องจีนพอสมควร เช่น รู้ว่าผู้นำจีนคนปัจจุบันชื่ออะไร หรือคนชื่อ ซุนยัตเซ็น เหมาเจ๋อตง หรือ เติ้งเสี่ยวผิง คือใคร มีความสำคัญต่อจีนอย่างไร หรือนโยบายปฏิรูปและเปิดประเทศเป็นอย่างไร และส่งผลเช่นใด เป็นต้น แต่ความจริงก็คือว่า ความคาดหวังในระดับพื้นๆ เช่นนั้นกลับไม่ปรากฏ

    อย่างไรก็ตาม หัวใจสำคัญของประเด็นนี้กลับไม่ได้อยู่ตรงความคาดหวังว่าพึงมีสูงหรือต่ำ มากหรือน้อยแค่ไหน หากอยู่ตรงที่ทำอย่างไร จึงจะให้ผู้รู้ภาษาจีน มีความรู้เรื่องจีนในลักษณะที่เป็นองค์รวม (holistic) อย่างแท้จริง คือไม่จำเป็นต้องรู้ไปหมดทุกเรื่อง แต่ในขณะเดียวกันก็สามารถตอบหรือเข้าใจโจทย์เรื่องจีนอย่างเชื่อมโยงกัน ไม่ใช่รู้เรื่องจีนแต่เฉพาะที่จะทำให้ตนมั่งคั่งร่ำรวยเท่านั้น

    แท้ที่จริงแล้ว ความรู้ในเรื่องจีนหรือเรื่องของเพื่อนบ้านประเทศอื่นใดก็ตาม เรารู้เพื่อที่จะอยู่ร่วมกันด้วยความเข้าใจที่ดีต่อกัน ด้วยผลประโยชน์ที่พึงได้ร่วมกัน และด้วยสันติสุขร่วมกัน

    กถาปิด
    ภาษาจีนในยุคสมัยของเรา เป็นภาษาจีนที่มีพัฒนาการที่แตกต่างไปจากในที่อื่นๆ ภายใต้เงื่อนปัจจัยภายในที่ไม่เหมือนกันในแต่ละที่แต่ละแห่ง แต่พัฒนาการเฉพาะของไทยนั้น มีส่วนไม่มากก็น้อยในการทำให้ภาษาจีนในยุคสมัยของเราเป็นอย่างที่เห็น ซึ่งหากกล่าวสำหรับการเรียนการสอนแล้วก็คือ ยังไม่อาจเล็งผลเลิศได้อย่างที่หวังที่ต้องการ

    ประเด็นที่นำเสนอในที่นี้ก็คือว่า การที่ภาษาจีนในยุคสมัยของเราตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะจุดเริ่มแรกของภาษาจีนเมื่ออดีตนั้น มีเหตุผลมาจากความต้องการสืบทอดความเป็นจีนเอาไว้ และเมื่อความเป็นจีนกลายเป็นอุปสรรคในสายตาของผู้นำไทยในยุคหนึ่ง ภาษาจีนจึงถูกจำกัดขอบเขตลง ตราบจนเวลาผ่านไปอีกหลายสิบปี เมื่อภาษาจีนถูกปลดปล่อยอีกครั้งหนึ่ง ภาษาจีนก็ตกอยู่ในสภาพที่จำต้องเริ่มต้นกันใหม่

    หากเราเชื่อว่า ไม่มีการเริ่มต้นในเรื่องใดที่ไม่มีปัญหาแล้ว เราก็ควรเชื่อด้วยว่า การเริ่มต้นอย่างมีอิสระที่แท้จริงนั้น ย่อมนำไปสู่การค้นพบสิ่งที่ดีๆ ได้ด้วยเช่นกัน

    กล่าวสำหรับยุคสมัยของเราแล้ว ภาษาจีนได้พ้นห้วงแห่งวิบากกรรมมาอย่างแสนสาหัส (อย่างน้อยก็ทำให ้ผู้ที่จำเป็นต้องใช้ภาษาจีนในการดำเนินชีวิต เกิดปัญหาในระดับหนึ่ง) ไปแล้วก็จริง แต่เราก็มาพบว่า จุดเริ่มแรกในอดีตเกี่ยวกับความเป็นจีน ไม่ใช่โจทย์สำคัญอีกต่อไป และโจทย์สำคัญในปัจจุบันก็คือ ทำอย่างไรภาษาจีนที่ต้องเริ่มต้นใหม่นี้ สามารถดำเนินไปได้โดยอิสระอย่างแท้จริง

    กล่าวให้ถึงที่สุดแล้ว ภาษาจีนในยุคสมัยของเราก็คือ ภาษาจีนที่ก้าวจากความเป็นจีนสู่ความเป็นไทนั่นเอง มีแต่การใช้ประโยชน์จากความเป็นไทที่ว่านี้อย่างเหมาะสม และเป็นธรรมเท่านั้น ภาษาจีนในยุคสมัยของเรา จึงจะมีคุณภาพและสง่างามอย่างแท้จริง
    เขียนโดย วรศักดิ์ มหัทธโนบล
    อาจารย์ประจำภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

    Thai World Affairs Center (Thai World)

    ศูนย์โลกสัมพันธ์ไทย สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
    ชั้น 7 อาคารประชาธิปก-รำไพพรรณี ถนนพญาไท ปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330
    โทรศัพท์ 0-2218-7464, 0-2218-7466 โทรสาร 0-2255-1124

    Thai World Affairs Center, Institute of Asian Studies, Chulalongkorn University
    7th Floor, Prajadhipok-Rambhai Barni Building, Phyathai Road, Bangkok 10330 Thailand
    Tel: +66 (0) 2218-7464, 2218-7466 Fax: +66 (0) 2255-1124
    เอกสารที่ใช้ประกอบการเขียน

    จี. วิลเลียม สกินเนอร์. สังคมจีนในประเทศไทย. กรุงเทพมหานคร: มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, 2548.

    เซี่ยกวง. กิจกรรมทางการเมืองของชาวจีนโพ้นทะเลในประเทศไทย (ค.ศ.1906-1939). กรุงเทพมหานคร: ศูนย์จีนศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2546.

    ถาวร สิกขโกศล. ภาษาจีน: เส้นทางสร้างชาติและวัฒนธรรม. ศิลปวัฒนธรรม ปีที่ 27 ฉบับที่ 4 (กุมภาพันธ์ 2549): 81-107.
    เพ็ญพิสุทธิ์ อินทรภิรมย์. การควบคุมโรงเรียนจีนของรัฐไทยตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองถึงสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม (พ.ศ.2475 ถึง 2487). วารสารประวัติศาสตร์ 2550. หน้า 100-118.

    สุจิตต์ วงษ์เทศ. อยุธยายศยิ่งฟ้า. กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์ศิลปวัฒนธรรม, 2544.

    เออิจิ มูราซิมา. การเมืองจีนสยาม. แปลโดย วรศักดิ์ มหัทธโนบล และ เออิจิ มูราซิมา. กรุงเทพมหานคร: ศูนย์จีนศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2539.
    เชิงอรรถ
    1 ทั้งนี้จากการบอกเล่าของนักธุรกิจเชื้อสายจีนท่านหนึ่ง ที่ให้ข้อมูลว่า ตัวท่านได้เข้าเรียนในจีนแผ่นดินใหญ่ในสมัยที่มีการปฏิวัติวัฒนธรรม (ค.ศ.1966-1976) ด้วยซ้ำไป อันเป็นช่วงที่จีนกำลังดำเนินนโยบายสังคมนิยมอย่างสุดโต่ง ซึ่งถือว่าเสี่ยงไม่น้อยสำหรับคนที่มาจากสังคมที่ติดข้างจะเสรีอย่างท่าน (หมายถึงไปจากประเทศไทย) ท่านยังเล่าอีกว่า นอกจากท่านแล้ว ก่อนหน้าท่านก็ยังมีอีกจำนวนหนึ่งอีกด้วย.

    2 จนถึง ค.ศ.1986 จีนได้ปฏิรูปอักษรตัวเขียนจากตัวเต็มมาเป็นตัวย่อไปแล้วรวม 2,235 ตัว แต่หลังจากนั้นก็ยังมีการปฏิรูปเรื่อยมา โดยมีการเพิ่มจำนวนออกมาเป็นระยะๆ จนทุกวันนี้จึงน่ามีมากกว่าจำนวนที่ระบุเอาไว้.

    3 เป็นที่รู้กันว่า ชาวจีนแผ่นดินใหญ่รุ่นใหม่ที่เรียนภาษาจีน (ซึ่งเป็นภาษาแม่ของตน) แบบตัวย่อนั้น ไม่ค่อยรู้จักตัวเต็มกันแล้ว หรือถ้ารู้ก็รู้เพียงไม่มากเท่าที่ทางการได้ปฏิรูปไป ปัญหานี้นับว่าน่าคิดและน่าศึกษามาก.
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    รัชกาลที่ 4
    ประกาศพระราชบัญญัติเรื่องพระสงฆ์สามเณรลักเพศ พ.ศ.2404

    -https://www.facebook.com/SilpaWattanatham/photos/a.140180076111393.26379.140168069445927/864496897013037/?type=3&theater-

    -https://www.facebook.com/SilpaWattanatham/-

    รัชกาลที่ 4
    ประกาศพระราชบัญญัติเรื่องพระสงฆ์สามเณรลักเพศ พ.ศ.2404

    ...พระสงฆ์สามเณรทุกวันนี้มักประพฤติการนักเลง แปลงเพศเป็นคฤหัสถ์ไปเล่นเบี้ย เล่นโป แลสูบฝิ่น กินสุรา ถือศาสตราวุธเที่ยวกลางคืนชุกชุมมากขึ้น จับได้มาเนืองๆ

    ครั้นแปลงเพศมาถึงกุฎีแล้วก็สำคัญใจว่าตัวไม่ได้ปลงสิกขาบท กลับเอาผ้าเหลืองนุ่งห่มเข้าตามเพศเดิม

    การที่ถือใจว่าไม่ได้ปลงสิกขาบท กลับนุ่งห่มผ้าเหลืองนั้น เป็นความในใจ จะเชื่อถือเอาไม่ได้

    ฝ่ายคฤหัสถ์ที่แปลงเพศเป็นภิกษุเข้าร่วมสังฆกรรมในคณะสงฆ์นั้น ตามพระวินัยบัญญัติก็มีโทษห้ามอุปสมบท

    เพราะฉะนั้นตั้งแต่นี้สืบไป พระสงฆ์สามเณรรูปใดๆ แปลงเพศเป็นคฤหัสถ์ปลอมไปเล่นเบี้ย เล่นโป แลสูบฝิ่น กินสุรา ถืออาวุธเที่ยวกลางคืน อย่างใดอย่างหนึ่งที่กล่าวห้ามไว้นั้น มีผู้จับตัวมาได้ หรือสึกแล้วยังไม่พ้นสามเดือน มีโจทก์ฟ้องกล่าวโทษพิจารณาเป็นสัจแล้ว จะให้สักหน้าว่าลักเพศภิกษุ ลงพระราชอาญาเฆี่ยน 2 ยก 60 ที ส่งตัวไปเป็นไพร่หลวงโรงสี..

    พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
    ประกาศพระราชบัญญัติเรื่องพระสงฆ์สามเณรลักเพศ พ.ศ.2404.

    --------------------------------------------------

    ไพร่หลวงโรงสี คือ คนของหลวงที่ทำหน้าที่แบกข้าวสาร
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    ฮือฮา นักธุรกิจทุ่ม 200 ล้าน เนรมิตที่ดินเป็นเมืองโบราณ ยุครัชกาลที่ 5 หวังดึงนักเที่ยวปีละ 2 ล้านคน(คลิป)
    -http://www.matichon.co.th/news/87419-

    ทุ่ม 200 ล้าน เนรมิตที่ดินเป็นเมืองโบราณ ยุครัชกาลที่ 5 หวังดึงนักเที่ยวปีละ 2 ล้านคน
    -https://www.youtube.com/watch?v=PXrKOYOB_3g-

    เมื่อวันที่ 29 มีนาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่าได้รับแจ้งว่า มีนักธุรกิจชาวกาญจนบุรี ทุ่มเงินเกือบ 200 ล้านบาท สร้างเมืองโบราณยุค ร.ศ.124 หลังพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ประกาศเลิกทาสสำเร็จ จึงเดินทางไปตรวจสอบ

    เมื่อไปถึงพบสถานที่ก่อสร้างติดกับสถานีบริการน้ำมันบางจาก ตั้งอยู่ริมถนนสาย 323 ระหว่างหลักกิโลเมตรที่ 32-33 หมู่ 5 ต.สิงห์ อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี ห่างจากตัวเมือง ประมาณ 33 กม. จากการตรวจสอบโดยรอบพบว่าอยู่ระหว่างการก่อสร้างกำแพงแบบโบราณขนาดใหญ่ สูงประมาณ 10 เมตร ส่วนภายในพื้นที่มีการก่อสร้างบ้านเรือนแบบทรงไทยอยู่หลายหลัง บางหลังสร้างอยู่กลางสระน้ำขนาดใหญ่ โดยมีแปลงไร่นา สวนดอกมะลิ และองค์ประกอบอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก

    ภายในโครงการมีการจำลองวิถีชีวิตแบบไทย โดยทีมงานทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ ชายแก่ และหญิงชรา ต่างแต่งกายแบบไทยๆ ในยุคโบราณกันทุกคน โดยแต่ละคนได้ทำกิจกรรมเหมือนใช้ชีวิตในยุคสมัยโบราณเป็นอย่างมาก ทำให้บรรยากาศภายในเหมือนสมัยโบราณ ยุค ร.ศ.124 โดยแท้จริง และที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งคือ นายพลศักดิ์ ประกอบ อายุ 51 ปี นักธุรกิจจังหวัดกาญจนบุรี เจ้าของโครงการเมืองโบราณก็ได้แต่งชุดโบราณให้เข้ากับบรรยากาศอีกด้วย การแต่งกายแบบไทย การแสดงศิลปวัฒนธรรมไทยในรูปแบบย้อนอดีต

    โดย นายพลศักดิ์ ประกอบ อายุ 51 ปี เปิดเผยว่า เดิมทีตนมีนิสัยเป็นคนชอบวิถีชีวิตของชาวไทยสมัยโบราณและเป็นคนชอบอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ชาติไทย จากการอ่านก็พบว่าวิถีชีวิตชาวไทยในสมัยโบราณนั้นมีภูมิปัญญาแทรกอยู่ จากที่เป็นคนที่ชอบวิถีชีวิตชาวไทยโบราณ จึงมีความคิดขึ้นมาว่าน่าจะสร้างเมืองโบราณขึ้นมาใหม่ เพื่อสานฝันของตนเองขึ้นมาให้เป็นจริง และที่สำคัญต้องการให้เด็กรุ่นหลังได้เข้ามาศึกษาเรียนรู้ให้ทุกคนรู้และเข้าใจว่ารากเหง้าของคนไทยนั้นมีที่มาที่ไปอย่างไร รวมทั้งให้รู้ว่าชีวิตความเป็นอยู่ กายแต่งกาย การกิน การหุงหาอาหาร การประกอบอาชีพของคนสมัยนั้นเป็นอย่างไร

    ดังนั้น เพื่อต่อยอดความฝันของตน จึงตัดสินใจทุ่มงบประมาณเกือบ 200 ล้านบาท เพื่อเนรมิตที่ดินที่มีอยู่ 60 ไร่ ให้กลายเป็นเมืองโบราณในยุคสมัย ร.ศ.124 ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงประกาศเลิกทาสได้สำเร็จ หลังประกาศเลิกทาส ทำให้วิถีชีวิตคนไทยในสมัยนั้นเริ่มมีความสุข และเริ่มมีวัฒนธรรมของชาวต่างชาติหลั่งไหลเข้ามา จึงเชื่อว่าช่วงนั้นคนไทยเริ่มมีความสุขที่สุด เพราะว่าการสู้รบและศึกสงครามก็ไม่เกิดขึ้นอีก สำหรับโครงการที่ตัดสินใจสร้างขึ้นมาใช้ชื่อโครงการว่า “โครงการเมืองมัลลิกา”

    โดยโครงการมัลลิกา ยุค ร.ศ.124 เริ่มลงมือก่อสร้างเมื่อประมาณเดือนมิถุนายน 2558 ที่ผ่านมา บ้านเรือนไทยทุกหลังออกแบบโดยอาจารย์จากมหาวิทยาลัยศิลปากร สำหรับบ้านมัลลิกา จะมีทีมงานทั้งหมดประมาณ 400 คน เข้ามาอยู่ในบ้านมัลลิกา ทุกคนจะแต่งกายแบบโบราณ และดำรงชีวิตในแต่ละวันเสมือนจริงในยุคสมัยนั้น โดยไม่ใช่การแสดง เมื่อนักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมชม ก็จะได้เห็นภาพวัฒนธรรมเป็น โดยไม่ต้องจินตนาการอีกต่อไป โดยปัจจุบันพบว่านักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรีมีมากถึงปีละ 9 ล้านคน และมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นจึงเชื่อว่าบ้านมัลลิกา เมืองโบราณที่เราสร้างขึ้นมา จะมีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมประมาณ 25 เปอร์เซ็นต์ หรือประมาณปีละ 2 ล้านคน และคาดว่า “เมืองมัลลิกา ร.ศ.124” จะเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ที่มีศักยภาพดึงดูดใจนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย และชาวต่างประเทศ ให้เดินทางมาท่องเที่ยวจังหวัดกาญจนบุรีเพิ่มมากขึ้นในอนาคตอย่างแน่นอน
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    พุทธประวัติพระพุทธเจ้า
    เรื่องสัมพหุลภิกษุ (ช้างปาลิไลยกะจับไม้จะตีพระอานนท์)
    -https://www.facebook.com/dhamma.true/posts/993173647445948:0-

    พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หน้าที่ 254

    ๓. เรื่องสัมพหุลภิกษุ [๒๓๘]

    ข้อความเบื้องต้น
    พระศาสดา เมื่อทรงอาศัยป่าชื่อปาลิไลยกะ ประทับอยู่ในไพรสณฑ์
    ชื่อรักขิตะ ทรงปรารภภิกษุเป็นอันมาก ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " สเจ
    ลเภถ " เป็นต้น.

    ภิกษุ ๕๐๐ รูปอยากเข้าเฝ้าพระศาสดา
    เรื่องมาในอรรถกถาแห่งพระคาถาว่า "ปเร จ น วิชานนฺติ"
    เป็นต้น ในยมกวรรคแล้วแล. อันที่จริง ข้าพเจ้ากล่าวเรื่องนี้แล้วว่า
    " การประทับอยู่ของพระตถาคตเจ้า ผู้ซึ่งพระยาช้างในไพรสณฑ์ ชื่อรักขิตะ
    นั้นบำรุงอยู่ ได้ปรากฏไปในสกลชมพูทวีปแล้ว. ตระกูลใหญ่มีอาทิอย่างนี้
    คือ " ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี นางวิสาขามหาอุบาสิกา" ส่งข่าวไปจาก
    พระนครสาวัตถีแก่พระอานนทเถระว่า " ท่านผู้เจริญ ขอท่านจงแสดง
    พระศาสดาแก่ข้าพเจ้าทั้งหลายเถิด." ภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูป แม้ผู้มีปกติ
    อยู่ในทิศ ออกพรรษาแล้ว เข้าไปหาพระอานนทเถระ วิงวอนว่า " อานนท์
    ผู้มีอายุ เราทั้งหลายฟังธรรมกถาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้า ต่อ
    กาลนานแล้ว, ดีละ อานนท์ผู้มีอายุ เราทั้งหลายพึงได้เพื่อฟังธรรมกถา
    ณ ที่เฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้า."

    ช้างปาลิไลยกะจับไม้จะตีพระอานนท์
    พระเถระ พาภิกษุเหล่านั้นไป ณ ไพรสณฑ์ชื่อรักขิตะนั้นแล้ว ดำริ
    ว่า " การเข้าไปสู่สำนักพระตถาคตเจ้า ผู้มีปกติประทับอยู่พระองค์เดียว
    ตลอดไตรมาส พร้อมกับภิกษุมีประมาณเท่านี้ ไม่สมควร" ดังนี้แล้ว
    องค์เดียวเท่านั้นเข้าไปเฝ้าพระศาสดา. ช้างชื่อปาลิไลยกะเห็นท่านแล้ว
    จับไม้แล่นแปร๋ไป. พระศาสดาทอดพระเนตรเห็นแล้วตรัสว่า " เจ้าจง
    หลีกไป ปาลิไลยกะ, อย่าห้าม, นั่นเป็นพุทธปัฏฐาก." มันทิ้งท่อนไม้
    ลงในที่นั้นนั่นเอง ถามโดยเอื้อเฟื้อถึงการรับบาตรและจีวร. พระเถระ
    มิได้ให้. ช้างคิดว่า " ถ้าภิกษุนี้จักเป็นผู้มีวัตรอันเรียนแล้วไซร้, ท่านจัก
    ไม่วางบริขารของตนลงบนแผ่นหินที่ประทับนั่งของพระศาสดา." พระ-
    เถระวางบาตรและจีวรลงบนพื้น. แท้จริง ภิกษุผู้สมบูรณ์ด้วยวัตรทั้งหลาย
    ย่อมไม่วางบริขารของตนลงบนที่นั่งหรือที่นอนของครู. พระเถระถวาย
    บังคมพระศาสดาแล้วนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง. พระศาสดาตรัสถามว่า " เธอ
    มารูปเดียวเท่านั้นหรือ ?" ทรงสดับความที่พระเถระมากับภิกษุประมาณ
    ๕๐๐ รูป ตรัสว่า " ภิกษุพวกนั้นอยู่ที่ไหนเล่า ?" เมื่อพระเถระกราบทูล
    ว่า "ข้าพระองค์ เมื่อไม่ทราบจิตของพระองค์ จึงพักไว้ข้างนอก (ก่อน)
    แล้วมาเฝ้า," ตรัสว่า " จงเรียกภิกษุเหล่านั้นเข้ามาเถิด." พระเถระได้
    กระทำอย่างนั้น.

    เที่ยวไปคนเดียวดีกว่าไปกับเพื่อนชั่ว
    พระศาสดาทรงทำปฏิสันถารกับภิกษุเหล่านั้นแล้ว, เมื่อภิกษุเหล่า-
    นั้นกราบทูลว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นพระพุทธ-
    เจ้าผู้สุขุมาล และเป็นกษัตริย์ผู้สุขุมาล, พระองค์ผู้เดียวประทับยืนและ
    ประทับนั่งอยู่ตลอดไตรมาส ทรงทำกรรมที่ทำได้โดยยากแล้ว, ผู้กระทำ
    วัตรและปฏิวัตรก็ดี ผู้ถวายวัตถุมีน้ำบ้วนพระโอษฐ์เป็นต้นก็ดี ชะรอยจะ
    มิได้มี," จึงตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย กิจทุกอย่าง ช้างปาลิไลยกะทำแล้ว
    แก่เรา, อันที่จริง การที่บุคคลเมื่อได้สหายผู้มีรูปเช่นนี้ อยู่ร่วมกัน สมควร
    แล้ว, เมื่อบุคคลไม่ได้ การเที่ยวไปคนเดียวเท่านั้นเป็นการประเสริฐ"
    แล้วได้ทรงภาษิตพระคาถาเหล่านี้ไว้ในนาควรรคว่า :-

    ๗. สเจ ลเภถ นิปกํ สหายํ
    สทฺธึจรํ สาธุวิหาริธีรํ
    อภิภุยฺย สพฺพานิ ปริสฺสยานิ
    จเรยฺย เตนตฺตมโน สตีมา.
    โน เจ ลเภถ นิปกํ สหายํ
    สทฺธึจรํ สาธุวิหาริธีรํ
    ราชาว รฏฺฐํ วิชิตํ ปหาย
    เอโก จเร มาตงฺครญฺเญว นาโค.
    เอกสฺส จริตํ เสยฺโย นตฺถิ พาเล สหายตา
    เอโก จเร น จ ปาปานิ กยิรา
    อปฺโปสฺสุกฺโก มาตงฺครญฺเญว นาโค.

    " ถ้าว่า บุคคลพึงได้สหายผู้มีปัญญาเครื่องรักษา
    ตัว มีธรรมเครื่องอยู่อันดี เป็นนักปราชญ์ ไว้เป็น
    ผู้เที่ยวไปด้วยกันไซร้, เขาพึงครอบงำอันตรายทั้งสิ้น
    เสียแล้ว พึงเป็นผู้มีใจยินดี มีสติ เที่ยวไปกับ
    สหายนั้น. หากว่า บุคคลไม่พึงได้สหายผู้มีปัญญา
    เครื่องรักษาตัว มีธรรมเครื่องอยู่เป็นอันดี เป็นนัก
    ปราชญ์ ไว้เป็นผู้เที่ยวไปด้วยกันไซร้, เขาพึงเที่ยว
    ไปคนเดียว เหมือนพระราชาทรงละแว่นแคว้น ที่
    ทรงชนะเด็ดขาดแล้ว (หรือ) เหมือนช้างชื่อว่า
    มาตังคะ ละโขลงแล้ว เที่ยวไปในป่าตัวเดียวฉะนั้น.
    ความเที่ยวไปแห่งบุคคลคนเดียวประเสริฐกว่า, เพราะ
    คุณเครื่องเป็นสหาย ไม่มีอยู่ในชนพาล; บุคคลนั้น
    พึงเป็นผู้ผู้เดียวเที่ยวไป เหมือนช้างชื่อมาตังคะ ตัว
    มีความขวนขวายน้อยเที่ยวไปอยู่ในป่าฉะนั้น และ
    ไม่พึงทำบาปทั้งหลาย."

    แก้อรรถ
    บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นิปกํ คือผู้ประกอบปัญญาเครื่องรักษา
    ตน.
    บทว่า สาธุวิหาริธีรํ คือผู้มีธรรมเครื่องอยู่อันเจริญ เป็นบัณฑิต.
    บทว่า ปริสฺสยานิ เป็นต้น ความว่า เขาเมื่อได้สหายผู้มีเมตตาเป็น
    วิหารธรรมเช่นนั้น พึงครอบงำอันตรายทั้งหลาย คือ " อันตรายที่ปรากฏ
    มีสีหะและพยัคฆ์เป็นต้น และอันตรายที่ปกปิด มีราคะและโทสะเป็นต้น "
    ทั้งหมดทีเดียวแล้ว พึงเป็นผู้มีใจยินดี มีสติมั่นคง เที่ยวไป คืออยู่กับ
    สหายนั้น.

    สองบทว่า ราชาว รฏฺฐํ ความว่า เหมือนพระราชาผู้ฤาษี ทรงละ
    แว่นแคว้นผนวชอยู่ฉะนั้น. ท่านกล่าวคำอธิบายนี้ไว้ว่า " พระราชาผู้มี
    ภูมิประเทศอันพระองค์ทรงชนะเด็ดขาดแล้ว ทรงละแว่นแคว้นที่ทรงชนะ
    เด็ดขาดแล้วเสีย ด้วยทรงดำริว่า ชื่อว่าความเป็นพระราชานี้ เป็นที่ตั้ง
    แห่งความประมาทอันใหญ่, ประโยชน์อะไรของเราด้วยราชสมบัติที่เรา
    ครอบครองแล้ว ' ลำดับนั้นแหละเสด็จเข้าไปยังป่าใหญ่ ผนวชเป็นดาบส
    แล้วเสด็จเที่ยวไปเฉพาะพระองค์เดียวในอิริยาบถทั้ง ๔ ฉันใด; บุคคล
    พึงเที่ยวไปเฉพาะผู้เดียวฉันนั้น."

    สองบทว่า มาตงฺครญฺเญว นาโค ความว่า เหมือนอย่างว่า พระยา
    ช้างตัวนี้ได้นามว่า " มาตังคะ " เพราะพิจารณาเห็นอย่างนี้ว่า " เราแล
    ย่อมอยู่นัวเนียด้วยพวกช้างพลาย ช้างพัง ช้างสะเทิ้น และลูกช้างทั้งหลาย,
    เราย่อมเคี้ยวกินหญ้าที่เขาเด็ดปลายแล้ว, และเขาย่อมเคี้ยวกินกิ่งไม้อันพอ๑
    หักได้ที่เขาหักลงแล้วๆ. และเราย่อมดื่มน้ำที่ขุ่น, เมื่อเราหยั่งลง (สู่ท่า
    น้ำ) และก้าวขึ้น (จากท่าน้ำ) เหล่าช้างพังย่อมเดินเสียดสีกายไป, ถ้า
    อย่างไร เราตัวเดียวเท่านั้น พึงหลีกออกไปจากโขลงอยู่ " ดังนี้แล้ว
    ดำเนินไปด้วยความรู้ ละโขลงแล้ว ย่อมเที่ยวไปในป่านี้ตามสบายตัวเดียว
    เท่านั้น ในอิริยาบถทั้งปวง ฉันใด;. บุคคลพึงเที่ยวไปคนเดียวเท่านั้น
    แม้ฉันนั้น.

    บทว่า เอกสฺส ความว่า ความเที่ยวไปแห่งบรรพชิตผู้ยินดียิ่งแล้ว
    ในเอกีภาพ ตั้งแต่กาลที่ตนบวช ชื่อว่า ผู้ผู้เดียวเท่านั้นประเสริฐ.
    บาทพระคาถาว่า นตฺถิ พาเล สหายตา ความว่า เพราะคุณธรรม
    นี้ คือ " จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล กถาวัตถุ ๑๐ ธุดงคคุณ ๑๓
    วิปัสสนาญาณ มรรค ผล ๔ วิชชา ๓ อภิญญา ๖ อมตมหานิพพาน"
    ชื่อว่าคุณเครื่องเป็นสหาย. บุคคลไม่อาจบรรลุคุณเครื่องเป็นสหายนั้น
    เพราะอาศัยเหล่าพาลชน เพราะฉะนั้น คุณเครื่องเป็นสหาย จึงชื่อว่า
    ไม่มีในพาลชน.
    (๑. สาขาภงฺคํ ซึ่งรุกขาวัยวะอันบุคคลพึงหักคือกิ่งไม้.)

    บทว่า เอโก เป็นต้น ความว่า เพราะเหตุนี้ บุคคลพึงเป็นผู้
    ผู้เดียวเท่านั้นเที่ยวไปในอิริยาบถทั้งปวง, และไม่พึงทำบาปทั้งหลาย แม้มี
    ประมาณน้อย. อธิบายว่า " บุคคลนั้น พึงเป็นผู้ผู้เดียวเท่านั้นเที่ยวไป
    เหมือนช้างชื่อมาตังคะ ตัวมีความขวนขวายน้อย คือไม่มีอาลัย เที่ยวไป
    ตามสบายในสถานที่ที่ตนปรารถนาแล้ว ๆ ในป่านี้ฉะนั้น, และไม่พึงทำ
    บาปทั้งหลายแม้มีประมาณน้อย.

    เพราะฉะนั้น พระศาสดาเมื่อจะทรงแสดงเนื้อความนี้ว่า " แม้ท่าน
    ทั้งหลาย เมื่อไม่ได้สหายมีรูปเช่นนี้ พึงเป็นผู้เที่ยวไปคนเดียวเท่านั้น"
    จึงทรงแสดงพระธรรมเทศนานี้แก่ภิกษุเหล่านั้น.

    ในกาลจบเทศนา ภิกษุเหล่านั้นแม้ทั้ง ๕๐๐ รูป ดำรงอยู่ในพระ-
    อรหัตแล้ว ดังนี้แล.

    เรื่องสัมพหุลภิกษุ จบ.
    พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หน้าที่ 259
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    ศูนย์ทดสอบฉลาดซื้อ ประเภทการเงิน ฉบับที่ 169 เอทีเอ็มแบบธรรมดา ธนาคารยังมีบริการไหม
    -http://www.chaladsue.com/new/index.php/2015-03-12-09-57-19/2067-test2169-

    เปิดหัวเรื่องมาแบบนี้ เพราะมีคำถามจากผู้บริโภคจำนวนหนึ่ง ที่จำเป็นต้องเปิดบัญชีธนาคารพร้อมกับทำบัตรเอทีเอ็ม เพื่อไว้อำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรมต่างๆ แต่ปัญหาที่เป็นประสบการณ์ร่วมกันคือ ธนาคารมักเสนอบัตรเอทีเอ็มแบบที่มีลักษณะเป็นบัตรเดบิตไปด้วย(สามารถใช้บัตรรูดแทนเงินสดได้ตามจำนวนเงินที่มีในบัญชี) หรือไม่ก็เสนอบัตรที่มีการทำประกันภัยไปด้วย ทำให้ค่าธรรมเนียมในการทำบัตรพุ่งพรวดไปหลายร้อยบาท

    เรื่องนี้มิใช่เพิ่งมามีปัญหา แต่เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นมานานแล้ว เวลามีการโวยวายผ่านสื่อขึ้นมาสักครั้ง ทุกธนาคารก็ให้คำตอบประมาณว่า ธนาคารไม่มีการบังคับ(แบบตรงๆ) ว่าทุกคนต้องทำบัตรเอทีเอ็มชนิดพิเศษ ผู้บริโภคสามารถทำบัตรเอทีเอ็มแบบธรรมดาๆ ได้ ซึ่งก็จริง แต่ในสถานการณ์จริง ผู้บริโภคมักถูกบังคับกลายๆ ให้ต้องเลือกทำบัตรเอทีเอ็มแบบพิเศษด้วยข้ออ้างประเภท “บัตรเอทีเอ็มธรรมดาหมด ต้องรอหลายอาทิตย์กว่าบัตรจะมา” หรือ “บัตรแบบนี้ดีกว่าเยอะ สามารถเบิกถอนได้คราวละมากๆ” เป็นต้น ผู้บริโภคหลายคนจึงเลือกเอาความสะดวก ไหนๆ ก็มาแล้ว ทำไปให้เสร็จๆ เพื่อไม่ต้องเสียเวลามาอีก จึงจำยอมทำไป ทั้งที่ไม่เต็มใจเท่าไหร่ เสียงบ่นเสียงครวญจึงเกิดขึ้นมากมาย เพราะค่าธรรมเนียมบัตรประเภทพิเศษนี้ จะวนเวียนมาอีกทุกๆ ปี ซึ่งเป็นเรื่องเกินความจำเป็น

    ปัญหาการเปิดใช้บริการเอทีเอ็ม

    ปัญหาการเงินการธนาคารเป็นประเด็นหนึ่งที่ คณะกรรมการองค์การอิสระภาคประชาชน ให้ความสำคัญและในปี2557 ซึ่งเป็นปีแรกที่เริ่มทดลองทำหน้าที่ ได้มีการจัดทำข้อเสนอเพื่อการแก้ไขปัญหาที่ทางคณะกรรมการฯ มองว่าเป็นเรื่องเร่งด่วน คือ

    1.ยกเลิกการขายพ่วง บัตรเครดิต บัตรเอทีเอ็ม ร่วมกับการขายประกัน ข้อเสนอนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยทำหนังสือตอบว่า “ธนาคารแห่งประเทศไทย จะขอความร่วมมือกับผู้ประกอบการ และออกประกาศ หรือกำหนดมาตรการบังคับ ห้ามการขายพ่วงบัตรเครดิต บัตรเอทีเอ็ม และประกันภัย ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทย จะให้แยกแบบฟอร์มการสมัคร (แยกโต๊ะสำหรับการขายประกันโดยเฉพาะ)

    2.ยกเลิกการบังคับ ทำบัตรเดบิตแทนบัตรเอทีเอ็มธรรมดา ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยแจ้งว่า ได้ทำหนังสือถึงธนาคารต่างๆ เพื่อจัดการปัญหาการบังคับทำบัตรเดบิตแทนบัตรเอทีเอ็มแล้ว

    3.ลดราคาค่าธรรมเนียมการโอนเงินข้ามเขต ข้อเสนอนี้ ในขั้นต้น ธนาคารแห่งประเทศไทยยกเว้นค่าธรรมเนียมการโอนเงินทางอินเตอร์เน็ตแล้ว(มีเงื่อนไขของแต่ละธนาคาร)

    อย่างไรก็ตาม แม้มีการตอบรับเรื่องการจัดการแก้ไขปัญหา การบังคับทำบัตรเดบิตแทนเอทีเอ็มธรรมดา โดยธนาคารแห่งประเทศไทยแล้ว ก็ยังมีเสียงร้องเรียนมาจากฟากผู้บริโภคว่า ปัญหายังไม่หมดไป ธนาคารหลายแห่งยังมามุขเดิมๆ คือพยายามบ่ายเบี่ยงการทำบัตรเอทีเอ็มแบบธรรมดาๆ ของผู้บริโภค ดังนั้นในการประชุมคณะอนุกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ภาคประชาชนด้านการเงินและการธนาคาร ครั้งที่ 5/2557 จึงมีมติให้ทดลองติดตามมาตรการการคุ้มครองผู้บริโภคของธนาคารแห่งประเทศไทยว่า มีผลในทางปฏิบัติจริงหรือไม่ ในประเด็น 1) บัตรเอทีเอ็มธรรมดายังทำได้อยู่หรือไม่ 2) ค่าธรรมเนียมการทำบัตรเอทีเอ็มและบัตรเดบิต ตรงกับที่ทางธนาคารแจ้งไปยังธนาคารแห่งประเทศไทยหรือไม่ ซึ่งมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค โดยฉลาดซื้อขออาสาทดสอบเรื่องดังกล่าว



    ขั้นตอนการทดสอบ

    1.เราเลือกธนาคารเป้าหมาย 5 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารกรุงศรีอยุธยา โดยเลือกจาก 3 สาขาของแต่ละธนาคาร ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล

    2.จัดหาอาสาสมัครเพื่อไปทดลองเปิดบัญชีและทำบัตรเอทีเอ็ม โดยในการทดสอบอาสาสมัครจะบอกเพียงขอทำบัตรเอทีเอ็มเท่านั้นเพื่อดูการเสนอบริการของพนักงานว่ามีการให้ข้อมูลแบบใด เมื่อได้ข้อมูลแล้วจึงค่อยยืนยันว่าต้องการทำบัตรเอทีเอ็มแบบธรรมดาเท่านั้น เพื่อดูว่าพนักงานจะมีปฏิกิริยาอย่างไร และอาสาสมัครยังสามารถทำเฉพาะบัตรเอทีเอ็มธรรมดาได้หรือไม่

    3.ก่อนจะส่งอาสาสมัครไปเปิดบัญชี เราได้ตรวจสอบข้อมูลจากหน้าเว็บไซต์ของธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อดูข้อมูลเรื่องค่าธรรมเนียมการทำบัตรเอทีเอ็ม บัตรเดบิต ที่แต่ละธนาคารได้แจ้งไว้กับธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งพบว่า ธนาคารกรุงเทพ ได้ยกเลิกการให้บริการบัตรเอทีเอ็มแบบธรรมดาแล้ว มีเพียงบัตรเดบิต “บีเฟิร์ส” เท่านั้น

    [​IMG]
    รูปที่ 1


    จากตารางจะเห็นว่า การทำบัตรเอทีเอ็ม 1 ใบ แบบธรรมดาจะเสียค่าธรรมเนียมแรกเข้า+รายปี ไม่เกิน 300 บาท เว้นธนาคารไทยพาณิชย์ ซึ่งมีค่ารายปี 250 บาท+แรกเข้า 100 บาท รวมเป็นเงิน 350 บาท ข้อสังเกตคือ บัตรเอทีเอ็มธรรมดา ของธนาคารกสิกรไทย กรุงศรีฯ และไทยพาณิชย์จะมีค่าธรรมเนียมแรกเข้า+รายปี ไม่แตกต่างจากการทำบัตรเดบิตแบบธรรมดา เว้นของธนาคารกรุงไทยที่ค่าธรรมเนียมบัตรธรรมดาจะถูกกว่าบัตรเดบิต คือ บัตรเอทีเอ็มธรรมดา 230 บาท บัตรเดบิตธรรมดา 300 บาท

    [​IMG]
    รูปที่ 2
    KTB
    บมจ.ธนาคารกรุงไทย

    [​IMG]
    รูปที่ 3
    SCB
    บมจ.ไทยพาณิชย์

    [​IMG]
    รูปที่ 4
    Kbank
    บมจ.กสิกรไทย

    [​IMG]
    รูปที่ 5
    Bay
    บมจ.ธนาคารกรุงศรีอยุธยา


    จากการทดลองสรุปว่า 12 สาขาของธนาคารเป้าหมาย ที่อาสาสมัครได้ทดลองเปิดบัญชีใหม่พร้อมทำบัตรเอทีเอ็ม พบว่า ไม่สามารถทำบัตรเอทีเอ็มแบบธรรมดาๆ ได้ ถึง 6 สาขา (50%) โดยธนาคารกสิกรไทยทำไม่ได้เลยทั้ง 3 สาขาที่อาสาสมัครได้ทดลองขอใช้บริการ รองลงมาคือ ธนาคารกรุงไทย ทำไม่ได้ 2 สาขา ไทยพาณิชย์ ทำไม่ได้ 1 สาขา(อ้างบัตรหมดเช่นกัน) ส่วนที่ต้องปรบมือให้ คือธนาคารกรุงศรีฯ อาสาสมัครของเราสามารถเปิดบัตรเอทีเอ็มแบบธรรมดาๆ ได้ทั้งสามสาขา



    ฉลาดซื้อแนะ

    1.ถ้าต้องการทำบัตรเอทีเอ็มแบบธรรมดาจริงๆ ขอให้ยืนยันกับทางพนักงานว่าต้องการทำบัตรเอทีเอ็มธรรมดาเท่านั้น ซึ่งค่าธรรมเนียมจะไม่เกิน 300 บาท เว้นธนาคารไทยพาณิชย์ 350 บาท

    2.ระวังพนักงานเล่นกลกับท่าน กรณีที่บัตรเอทีเอ็มธรรมดาของธนาคารอาจมีหลายประเภท ท่านอาจได้ประเภทที่ค่าธรรมเนียมสูงแทนบัตรธรรมดาที่ค่าธรรมเนียมต่ำ หรือได้เป็นบัตรเดบิตมาแบบงงๆ เพราะค่าธรรมเนียมเท่ากัน

    3.โปรดเลือกบริการโดยคำนึงถึงความเสี่ยง ด้วยค่าธรรมเนียมบัตรเอทีเอ็มกับบัตรเดบิต อาจไม่ได้มีราคาต่างกัน ท่านจึงอาจเลือกบัตรเดบิตเพื่อความสะดวก แต่การเลือกใช้บัตรเดบิตต้องคำนึงเรื่องความปลอดภัย เพราะบัตรเดบิตสามารถนำไปรูดซื้อสินค้าได้เช่นเดียวกับบัตรเครดิต เพียงแต่ไม่เกินยอดเงินในบัญชี ซึ่งทำให้มีความเสี่ยงสูงในการสุญเงิน หากท่านทำบัตรสูญหายหรือถูกขโมยไปใช้ เพราะผู้ไม่หวังดีต่อท่านจะสามารถรูดซื้อสินค้าได้ง่ายๆ เพียงแค่ปลอมลายมือชื่อของท่านเวลาซื้อของเท่านั้น(ร้านค้าส่วนใหญ่จะไม่ค่อยได้พิจารณาเรื่องลายมือชื่อสักเท่าไร) ดังนั้นท่านอาจสูญเงินทั้งหมดในบัญชีไปได้ง่ายๆ

    4.ถ้าพบปัญหาว่าไม่สามารถทำบัตรเอทีเอ็มแบบธรรมดาๆ ได้ เพราะการอ้างเรื่องบัตรหมด ท่านควรทำหนังสือร้องเรียนต่อธนาคารดังกล่าว โดยการส่งจดหมายถึงธนาคารแห่งประเทศไทยและสำนักงานใหญ่ของธนาคารนั้น เพื่อให้เกิดการปรับปรุงการให้บริการ ถ้าจะไม่มีบัตรแบบธรรมดาแล้ว ก็ควรประกาศยกเลิกไปอย่างเป็นทางการ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1one.jpg
      1one.jpg
      ขนาดไฟล์:
      161 KB
      เปิดดู:
      826
    • 2two.jpg
      2two.jpg
      ขนาดไฟล์:
      148.5 KB
      เปิดดู:
      518
    • 3three.jpg
      3three.jpg
      ขนาดไฟล์:
      144.1 KB
      เปิดดู:
      411
    • 4four.jpg
      4four.jpg
      ขนาดไฟล์:
      172.8 KB
      เปิดดู:
      663
    • 5five.jpg
      5five.jpg
      ขนาดไฟล์:
      138.2 KB
      เปิดดู:
      370
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
  18. pangjoo

    pangjoo Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +62
    พอมีพระวังหน้า หลวงปู่เทพโลกอุดรอยู่ไหมครับ พระปิดตา
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    ไว้ผมไปดูให้

    พระปิดตา ของวังหน้า ที่หลวงปู่ฯท่านอธิษฐานจิต มีหลายรุ่นครับ

    คงต้องทำบุญ ส่วนจะเป็นงานบุญอะไรไว้ผมแจ้งให้ทราบครับ
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    ครม.ไฟเขียวปรับภาษีเงินได้บุคคลฯ เริ่มหัก ณ ที่จ่ายปี′60-ขุนคลังยันไม่ขึ้น VAT
    -http://money.sanook.com/375947/-


    ประชาชาติธุรกิจ สนับสนุนเนื้อหา


    ครม.ไฟเขียวปรับภาษีเงินได้บุคคลฯ เริ่มหัก ณ ที่จ่ายปี′60 แลกรัฐสูญรายได้ 3.2 หมื่นล้านบาท/ปี หวังเพิ่มจับจ่ายดันเก็บ VAT ได้เพิ่มขึ้นทดแทน "อภิศักดิ์" ยันยังไม่ปรับขึ้น VAT ช่วงปี 2559 นี้ ชี้รอเศรษฐกิจโลกฟื้น-รัฐต้องการงบฯเพิ่ม

    นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง เปิดเผยว่า วันนี้ (19 เม.ย.) คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบการปรับโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาใหม่ หลังจากเมื่อ 2-3 เดือนก่อนได้เห็นชอบคงอัตราจัดเก็บภาษีนิติบุคคลไว้ที่ 20% ไปแล้ว ทั้งนี้ เพื่อให้อัตราภาษีที่แท้จริง (effective rate) ออกมาใกล้เคียงกัน โดยหลักใหญ่ ๆ จะปรับอยู่ 3 เรื่อง คือ 1) การหักค่าใช้จ่าย 2) ค่าลดหย่อนสำหรับผู้มีเงินได้ และ 3) ปรับปรุงขั้นเงินได้ และบัญชีอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยให้มีผลในการหักภาษี ณ ที่จ่ายตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นไป (เริ่มยื่นแบบฯ ต้นปี 2561)

    สำหรับรายละเอียดการปรับปรุงทั้ง 3 เรื่อง ประกอบด้วย

    1) ปรับปรุงการหักค่าใช้จ่ายของเงินเดือน ค่าจ้าง ค่านายหน้า ฯลฯ อันเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (1) และ(2) แห่งประมวลรัษฎากร จากเดิมให้หักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาได้ร้อยละ 40 ของเงินได้แต่ไม่เกิน 60,000 บาท เป็นร้อยละ 50 ของเงินได้แต่ไม่เกิน 100,000 บาท และปรับปรุงการหักค่าใช้จ่ายของเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (3) แห่งประมวลรัษฎากร จากเดิมให้หักได้เฉพาะค่าแห่งลิขสิทธิ์โดยให้หักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาได้ร้อยละ 40 ของค่าแห่งลิขสิทธิ์แต่ไม่เกิน 60,000 บาท ขยายเพิ่มให้ ค่าแห่งกู๊ดวิลล์ ค่าแห่งลิขสิทธิ์ หรือสิทธิอย่างอื่น สามารถหักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาได้ร้อยละ 50 ของเงินได้ดังกล่าวแต่ไม่เกิน 100,000 บาท หรือหักค่าใช้จ่ายตามความจำเป็นและสมควรได้

    2) ปรับปรุงการหักค่าลดหย่อน ดังนี้

    (1) ค่าลดหย่อนสำหรับผู้มีเงินได้ จากเดิม 30,000 บาท เป็น 60,000 บาท

    (2) ค่าลดหย่อนสำหรับคู่สมรสของผู้มีเงินได้ จากเดิม 30,000 บาท เป็น 60,000 บาท

    (3) ค่าลดหย่อนบุตรจากเดิมคนละ 15,000 บาท และจำกัดจำนวนไม่เกิน 3 คน เป็นคนละ 30,000 บาท โดยไม่จำกัดจำนวนบุตร และยกเลิกค่าลดหย่อนการศึกษาบุตร (จากเดิมที่ให้หักลดหย่อน 2,000 บาท/คน)

    (4) ในกรณีที่คู่สมรสต่างฝ่ายต่างมีเงินได้ ให้หักลดหย่อนรวมกันได้ไม่เกิน 120,000 บาท

    (5) กองมรดกเดิมให้หักลดหย่อนได้ 30,000 บาท เป็น 60,000 บาท และ

    (6) ห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล เดิมให้หักลดหย่อนแก่หุ้นส่วนคนละ 30,000 บาท แต่รวมกันต้องไม่เกิน 60,000 บาท เป็นคนละ 60,000 บาท แต่รวมกันต้องไม่เกิน 120,000 บาท

    และ 3) ปรับปรุงขั้นเงินได้ และบัญชีอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ดูตาราง)

    ดูรูป

    "การปรับปรุงขั้นเงินได้ และอัตราภาษีเที่ยวนี้ยังเหมือนกับในพระราชกฤษฎีกาครั้งที่แล้ว คือมี 7 ขั้นอัตรา แต่เฉพาะเรตที่เก็บ 35% เดิมจะเก็บจากที่มีเงินได้สุทธิตั้งแต่ 4,000,001 บาทขึ้นไป จะเปลี่ยนเป็นต้องเสียเมื่อรายได้ 5,000,001 บาทขึ้นไป ดังนั้นคนมีเงินได้ 4,000,001-5,000,000 บาท จะเสียที่ 30% คือได้ลดลงมา ซึ่งคนกลุ่มนี้มีแค่ราว 20,000 คน จากผู้เสียภาษีทั้งสิ้น 10.3 ล้านคน" นายอภิศักดิ์กล่าว

    นอกจากนี้ ยังมีการปรับปรุงเกณฑ์เงินได้พึงประเมินขั้นต่ำที่ผู้มีเงินได้ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษี ดังนี้

    (1) กรณีมีเงินได้จากการจ้างแรงงาน (เงินเดือน ค่าจ้าง) เพียงประเภทเดียว

    - หากผู้มีเงินได้เป็นโสด จากเดิมต้องยื่นแบบฯ เมื่อมีเงินได้เกิน 50,000 บาท เป็นต้องมีเงินได้เกิน 100,000 บาท

    - หากผู้มีเงินได้มีคู่สมรส จากเดิมต้องยื่นแบบฯ เมื่อมีเงินได้รวมกันเกิน 100,000 บาท เป็นต้องมีเงินได้รวมกันเกิน 200,000 บาท

    (2) กรณีมีเงินได้จากการจ้างแรงงาน (เงินเดือน ค่าจ้าง) และมีเงินได้ประเภทอื่นด้วย หรือกรณีมีเฉพาะเงินได้ประเภทอื่นที่ไม่ใช่เงินได้จากการจ้างแรงงาน

    - หากผู้มีเงินได้เป็นโสด จากเดิมต้องยื่นแบบฯ เมื่อมีเงินได้เกิน 30,000 บาท เป็นต้องมีเงินได้เกิน 60,000 บาท

    - หากผู้มีเงินได้มีคู่สมรส จากเดิมต้องยื่นแบบฯ เมื่อมีเงินได้รวมกันเกิน 60,000 บาทเป็นต้องมีเงินได้รวมกันเกิน 120,000 บาท

    (3) กรณีกองมรดกของผู้ตายที่ยังมิได้แบ่ง จากเดิมต้องยื่นแบบฯ เมื่อมีเงินได้เกิน 30,000 บาทเป็นต้องมีเงินได้เกิน 60,000 บาท

    และ (4) กรณีห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่ไม่ใช่นิติบุคคล จากเดิมต้องยื่นแบบฯ เมื่อมีเงินได้เกิน 30,000 บาท เป็นต้องมีเงินได้เกิน 60,000 บาท

    "ถามว่าทำไมเราปรับสูตรนี้ ก็เพราะว่า ถ้าเราดูภาษีนิติบุคคล 20% เมื่อรวมกับเงินปันผลอีก 10% จะมีเอฟเฟ็กต์ทีฟเรตที่ 28% ฉะนั้นการปรับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามสูตรที่ว่านี้ เมื่อคำนวณเฉลี่ยออกมา เอฟเฟ็กต์ทีฟเรตจะอยู่ที่ 29% ซึ่งใกล้เคียงกัน จากของเดิมที่อัตราต่างกันมาก คนรายได้สูงจะไปตั้งบริษัท เพื่อจะได้เสียภาษีน้อย แต่อันนี้การเสียภาษีน้อยก็จะไม่เกิด" นายอภิศักดิ์กล่าว

    รมว.คลัง กล่าวว่า การปรับปรุงโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จะทำให้การจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดามีความเหมาะสมเป็นธรรม สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจและค่าครองชีพในปัจจุบัน อีกทั้งเป็นการช่วยบรรเทาภาระภาษีแก่ผู้มีเงินได้โดยผู้เสียภาษีที่มีเฉพาะเงินได้ประเภทเงินเดือนและหักลดหย่อนส่วนตัวโดยไม่ใช้สิทธิลดหย่อนรายการอื่น จะเริ่มเสียภาษีเมื่อมีเงินได้ 26,000 บาทต่อเดือน

    ขณะที่คาดว่าการปรับโครงสร้างภาษีดังกล่าวจะทำให้รัฐสูญเสียรายได้ไปราว 32,000 ล้านบาทต่อปี แต่หวังว่าจะทำให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น และสามารถจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ได้มากขึ้นจากปัจจุบันมีสัดส่วน 41% ของรายได้ภาษีทุกประเภท

    "สิ่งที่เราหวัง คือเงินรายได้ภาษีที่หายไปนี้ จะกลับไปสู่ประชาชน แล้วกลับไปหมุน ทำให้เกิดรายจ่ายที่มากขึ้น พอเขาใช้จ่ายเราก็จะได้ VAT ซึ่งปกติภาษีบุคคลฯ มีสัดส่วนประมาณ 17% ภาษีนิติบุคคล 32% VAT 41% ภาษีธุรกิจเฉพาะประมาณ 3% ภาษีปิโตรเลียมประมาณ 5% และอื่น ๆ ที่เหลือ ก็หวังว่าเมื่อลดในส่วน 17% ก็จะไปเพิ่ม VAT ให้มากขึ้นกว่า 41%" รมว.คลังกล่าว

    นอกจากนี้ รมว.คลัง ยืนยันว่า รัฐบาลจะยังไม่มีการปรับขึ้นภาษี VAT ในช่วงปี 2559 นี้ เพราะยังจำเป็นต้องกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายภาครัฐ และจะกลับมาพิจารณาว่าจะปรับขึ้น VAT หรือไม่อีกครั้ง เมื่อเศรษฐกิจโลกกลับมาขยายตัวได้ดี และเมื่อรัฐไม่มีงบประมาณเพียงพอต่อความต้องการลงทุนเพิ่ม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • tax 2560.jpg
      tax 2560.jpg
      ขนาดไฟล์:
      81.7 KB
      เปิดดู:
      79

แชร์หน้านี้

Loading...