ซูกระแท้ว....แซวกระทู้....

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย raming2555, 14 เมษายน 2014.

  1. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    อย่าเรียกว่าสงครามโลกครั้งที่ 3 เลยนะครับ...เพราะมันไม่ใช่ประเทศทั่วโลกมาทำสงครามใส่กันเหมือนในอดีตหรอกครับ...

    ที่เห็นมามันเป็นสงครามใหญ่ ที่มีการใช้อาวุธทำลายล้างสูง...
    ต้นเหตุเกิดที่ตะวันออกกลาง...สาเหตุที่เกิดที่ตะวันออกกลาง เพราะปัจจัยเรื่องทรัพยากรและคนมุสลิมเอง ที่ ภาษาอารบิคเรียกว่า "คาราบาน" คือ ในหัวไม่มีสมอง หรือสมองกลวง คนพวกนี้จะไม่คิด แต่จะทำตามผู้นำ ผู้ที่ตัวเองเชื่อถือ ทำสืบๆกันมา โดยไม่คิด ยังชอบใช้อาวุธต่างๆ ชอบการทำลายล้าง....มันเป็นวัฒนธรรมครับ...
    เมื่อมีทรัพยากรที่มีค่า ก็ต้องถูกฆ่าเป็นธรรมดา เหมือนภาษิตจีนที่ว่า "คนไม่ผิด ผิดที่มีหยกครอบครอง" ตะวันออกกลางจึงเป็นจุดที่ใช้ในการประลองกำลังกัน และเป็นสงครามใหญ่อยู่ที่นี่...และสงครามนี้จะเป็นสงครามตัวแทน หลังสงคราม ไม่มีใครชนะ ทุกฝ่ายแพ้หมด...เศรษฐกิจอเมริกาจะล่มสลาย และจีนจะเป็นมหาอำนาจ ร่วมกับรัสเซียและอินเดีย...บทบาทของจีนในฐานะผู้นำโลก จะเอารัดเอาเปรียบประเทศอื่นๆ ดูดทรัพยากรของประเทศอื่นๆเอามาเป็นของตัว...มังกรผู้หิวโหย จะสร้างความอดอยากไปยังอีกหลายๆประเทศ...แล้ววันนั้นคนก็จะคิดถึงอเมริกาว่า ถ้าอเมริกายังแข็งแรงอยู่ จะช่วยคานอำนาจจีนได้ อย่างน้อย อเมริกาก็ยังมีวัฒนธรรมไม่เอารัดเอาเปรียบทำร้ายกันขนาดจีน...

    โลกตอนนั้นจะเปลี่ยน แล้วผู้คนจะหันมาศึกษาธรรมะ ปฎิบัติธรรมมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะคนในยุโรป และบางส่วนของอเมริกา พุทธศาสนาจะเจริญอยู่ทางแถบนั้นไปอีก 200 ปี โดยที่พุทธศาสนาในไทย จะเหลือเพียงสัญลักษณ์เท่านั้น คือสถาปัตยกรรมในการสร้าง วัด สถูป เจดีย์ และพระพุทธรูปองค์ใหญ่ๆ จำนวนมาก...แต่หามีธรรมปฏิบัติไม่ พระสงฆ์จะวิ่งหาเงิน แข่งกันหาเงิน หาตำแหน่ง ชื่อเสียง และการยอมรับ จะสะสมทรัพย์ต่างๆ จนชาวบ้านจะเอือมระอา...เมื่อนั้นผู้คนจากสยามประเทศ จะเดินทางไปศึกษา ธรรมปฏิบัติจากชาวยุโรป บางส่วนจากอเมริกา...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 พฤศจิกายน 2015
  2. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    สถานที่ ที่จะลงหลักปักฐาน ในระหว่างที่เกิดภัยพิบัติ ที่เที่ยวโฆษณากันว่าถ้ำโน้น ภูเขานี้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นๆ วัดโน่น วัดนี่....ไม่จริงสักที่เดียวครับ...

    เรื่องน้ำท่วมอย่าไปกลัวเลยครับ เทคโนโลยีเดี๋ยวนี้ต่อแพเอา ไม่ยากแล้ว...
    ปัญหาน้ำท่วมไม่น่ากล้วเท่าไม่มีน้ำกินน้ำใช้ครับ...
    ดังนั้นที่ดินที่จะไปหาเพื่อหลบภัย ต้องอยู่ใกล้กับแหล่งต้นน้ำ...
    เรื่องนี้ในหลวงทรงทราบดี จึงรับสั่งให้เอาที่ดินต้นน้ำทั้งหมด อยู่ในทรัพย์สินส่วนพระองค์...
    พื้นที่ลองลงมา ต้องไปดูแหล่งน้ำใต้ดินที่มีขนาดใหญ่ เพื่อให้น้ำมีไม่ขาด...
    เพราะต่อไปคนจะแย่งน้ำกัน...น้ำดีๆ จะหายาก...

    เพราะมีน้ำ การเกษตร ปศุสัตว์ ฯลฯ จึงจะอยู่รอดได้...
    ภูมิภาคที่ไม่ควรลงไปอยู่คือ ภาคใต้ คือนับเอาจากเพชรบุรีลงไป...อย่าลงไป...
    นอกนั้น ออก ตก อีสาน เหนือ...ไปหาข้อมูลแหล่งน้ำกันเอาเองครับ...
     
  3. กิ่งสน

    กิ่งสน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,068
    ค่าพลัง:
    +2,327
    ดีใจวันนี้ที่ได้มาอ่านกระทู้นี้ เจอคนเก่าคนแก่ของเว็ปนี้ซะที ช่วงหลังข้าพเจ้าเข้าเว็ปมาด้านบน คนเดิมๆของชาวเราหายหมด เขาแบ่งฝ่ายกันตอนไหน งง มาก โพสต์ถามบางคนท่านก็เลี่ยงไม่ตอบอ่านไปมาก็ปะติดปะต่อได้แปลกๆ ในเว็ปนี้พี่ระมิงค์ก็เป็นคนหนึ่งที่ข้าพเจ้าศรัทธาจนต้องขอร่วมบุญกับพี่แม้เพียงน้อยก็ถือว่าข้าพเจ้าร่วมบุญโดยไม่เกี่ยวกับวัตถุมงคล แต่พี่เป็นผู้ให้ที่ให้มากกว่าที่ข้าพเจ้าคิดไว้ซึ่งตอนนี้ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าเก็บทรายเสกไว้ที่ไหน แต่แหนบหลวงพ่อข้าพเจ้าก็ใส่ไว้ที่ตู้ที่ข้าพเจ้าเก็บพระบูชาไว้
     
  4. กิ่งสน

    กิ่งสน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,068
    ค่าพลัง:
    +2,327
    ข้าพเจ้าขอเคารพการตัดสินใจของพี่หากพี่จะไปอยู่ต่างประเทศจริงไม่ว่าจะเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ โลกเรานั้นมันเปลี่ยนแปลงเป็นอนิจจังตามกฎของไตรลักษณ์ ข้าพเจ้าเชื่อท่านเพราะว่าข้าพเจ้าเคยไปเขมรมาแล้วได้ประสบเหตุการณ์บางอย่างก่อนที่เจ้ากรรมนายเวรจะสามารถเอาคืนข้าพเจ้าได้ ตอนนั้นเป็นช่วงแรกๆของการเข้ามาเว็ปนี้ ปัจจุบันข้าพเจ้าทุกข์ใจน้อยลงแลเห็นหนทางของตนเองมากขึ้น ข้าพเจ้านับว่าเป็นผู้ที่อ่อนด้อยผู้หนึ่งแม้จะชอบในการปฏิบัติแต่ก็ไม่ได้ก้าวหน้าเท่าผู้อื่น สมัยก่อนตอนเป็นวัยรุ่นข้าพเจ้าก็ได้แสวงหาครูบาอาจารย์และวิชาต่างๆได้แค่จิตใจสงบ ต่อมาเมื่อเข้าสู่การทำงานก็ไม่ได้ปฏิบัติ(ภาวนา) ต่อมาเมื่อความทุกข์เข้ามาข้าพเจ้าก็หันมาพึ่งธรรมะ ภายนอกคนอาจมองว่าข้าพเจ้าเอาจริงในการปฏิบัติกว่าเขา แต่ในความเป็นจริงข้าพเจ้ายังอยู่ไกลกว่าใครๆอีกหลายคน พระอาจารย์ก็ให้กำลังใจว่าบางคนกำลังปรับพื้นฐานอยู่ใช้เวลานานก็จริงแต่เมื่อปฏิบัติได้ก็ไปโลด
     
  5. กิ่งสน

    กิ่งสน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,068
    ค่าพลัง:
    +2,327
    ขอเขียนเป็นตอนๆขี้เกียจพิมพ์ยาวอ่านยาก ตอนที่ข้าพเจ้าไปปฏบัติธรรมครั้งล่าสุด ข้าพเจ้าอ่อนสุด พี่ๆเขาเก่งๆกันทุกคน เพื่อนข้าพเจ้าก็มีประสบการณ์ทั้งอยู่ที่อเมริกา(8 ปี) ไปอยู่วัดที่ไต้หวันเป็นเดือน ส่วนตัวข้าพเจ้าที่มีมากกว่าทุกคนคือ อยู่มาเกือบครบทุกภาค บ้านเกิดของข้าพเจ้านั้นก็คือภาคใต้เปลี่ยนแปลงไปมาก ชายทะเล มันไม่เหมือนเดิม ตีนเขาก็มีคนไปอยู่อาศัยทั้งๆที่เขาน่าจะกลัวน้ำป่าหรือหินถล่มข้าพเจ้ากลับไปตอนหน้าร้อนซึ่งไม่มีน้ำใช้เทศบาลต้องปล่อยน้ำเป็นเวลา และขณะที่ข้าพเจ้านั่งพิมพ์อยู่นี้ภาคเหนือควรหนาวกว่านี้ แต่ปีนี้แล้ง โชคดีที่ข้าพเจ้ามีน้ำให้ใช้ ปีก่อนตอนแผ่นดินไหวก็จะมีแมงโบ้งขน(หนอนสีดำ)เยอะมากเพราะมันรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนของผืนดินมันเลยมาไต่บ้านคน เวลาจะมีสิ่งผิดปกติให้สังเกตสัตว์ต่างๆที่มันอยู่กับธรรมชาตินะท่าน
     
  6. กิ่งสน

    กิ่งสน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,068
    ค่าพลัง:
    +2,327
    ขอเขียนต่อพระพุทธรูปตามที่ท่านกล่าวมาองค์ใหญ่ยังไม่เคยเห็น เคยเห็นแต่ที่เขาจัดสร้างทางโทรทัศน์ เป็นศิลปะขอมตอนนั้นนึกๆอยู่ว่าทำไมเขาทำรูปแบบนี้ปางนี้(ผิดปกติจากที่เคยเห็น)เพราะเคยได้ทราบจากผู้รู้บางท่านในเว็ปนี้(ไม่ใช่ท่านระมิงค์) ว่า เป็นอสูร ถ้าเป็นท่านนั้นจริง ท่านระมิงค์ท่านต้องหนีนะ ท่านรู้จริง ส่วนข้าพเจ้ามโน อาจจะตรงกับท่านหรือไม่ก็ได้ สมัยก่อนตอนข้าพเจ้าเข้ากระทู้ทหารพระองค์ดำ ก็จะมีผู้ที่เชื่อถือเข้ามาถามข้าพเจ้าเหมือนกัน ตอบไปจะเชื่อหรือไม่ก็ได้ ปัจจุบันเพื่อนคนนั้นก็หายไปแล้ว คงไม่มีใครถามข้าพเจ้าละนะ ถามท่านระมิงค์เลย ขอบอกแทนว่าหลังไมค์ดีกว่า เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ ผู้รู้หลายๆท่านก็คงจะช่วยกัน พม่ายังเคยย้ายเมืองหลวงจากย่างกุ้งไปอยู่เนปิดอร์เลย ก่อนนากีสถล่มน่ะ
     
  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,376
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    ตอนนี้ก็สวดมนต์ทุกคืน ขอให้ประเทศไทยและพ่อของเราปลอดภัยค่ะ ส่วนตัวเองก็คิดว่าคงอยู่ไม่ถึง"วันนั้น" เจริญธรรมทุกๆท่านค่ะ สาธุๆๆท่านอ ระมิงค์ที่แจกจ่าย"แสงแห่งธรรม"ค่ะ
     
  8. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,301
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +70,452

    หลวงพ่อฤาษีฯ ท่านเล่าไว้ว่า ...


    "พระพุทธเจ้าของเราบอกว่า พระพุทธศาสนา จะทรงอยู่ได้ ตลอด ๕,๐๐๐ ปี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทรงพยากรณ์ ไว้ที่ พระธาตุดอยกิตติ ครั้งหนึ่งทรงตรัสว่า

    "ชี้ว่าเขตประเทศนี้ ต่อไปจะเป็นประเทศที่มีความเจริญรุ่งเรืองมาก จะสามารถทรงพระพุทธศาสนาครบ ๕,๐๐๐ ปี" นี่หมาย ถึงประเทศไทย "
     
  9. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,301
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +70,452
    [​IMG]


    [​IMG]



    พระสยามเทวาธิราช

    และ ผู้ทรงวิชชาที่ช่วยในที่ลับยังมีอีกมาก

    การแก้ไข ทำได้ทั้งจากการทำกรรมดีด้วยกายกรรม วจีกรรมหรือ รวมมวลชนทำสารพัดกรรมดี เป็นเสบียงนำมาเคลียรสถานะการณ์ ( รวมพลังงานดี มาแก้เรื่องส่วนรวม )

    และ การเข้าไปแก้เหตุละเอียด สาวจากต้นในต้น ๆๆๆๆ ไม่ใช่ปล่อยตามกรรมในอดีตอย่างเดียวเป็นมิจฉาทิฐิ และไม่ใช่ให้ความสำคัญกับคนแค่คนเดียว




    การสร้างภาพนำไว้ล่วงหน้า ให้หมู่ชนปักใจว่าต้องเป็นแบบนั้น เป็นการเปิดทางให้อกุศลธรรม (ธรรมดำ)
    ได้ช่อง ทำงานได้สะดวกขึ้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 29 พฤศจิกายน 2015
  10. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,301
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +70,452
    [​IMG]



    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  11. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,301
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +70,452
    "กรรม" เจ้าชายวิฑูฑภะชำระแค้นฆ่าล้างศากยตระกูล






    ---------------------------------------------

    พระพุทธภาษิต

    ปุปผานิเหว ปจินนฺตํ
    พฺยาสตฺตมนสํ นรํ

    สุตฺตํ คามํ มโหโฆว
    มจฺจุ อาทาย คจฺฉติ

    คำแปล

    มัจจุคือความตาย ย่อมพัดพาเอาบุคคลผู้มีใจข้องในอารมณ์ต่าง ๆ
    ผู้เลือกเก็บดอกไม้คือกามคุณ 5 อยู่เหมือนห้วงน้ำใหญ่ไหลหลาก
    พัดพาเอาชาวบ้านผู้หลับอยู่ ฉะนั้น

    อธิบายความ

    ดอกไม้ในพระคาถานี้ ทรงหมายเอากามคุณ 5 มีรูป เป็นต้น เพราะยั่วยวนให้ภมรกล่าวคือ มนุษย์หลงใหลวนเวียนอยู่ คนที่รู้โทษของกามคุณแล้วอยากออก แต่มีเครื่องจองจำบางอย่าง เช่น บุตรคอยมัดมือ และเท้าไว้มิให้ออกไปได้

    ส่วนคนใหม่ยังไม่รู้รส ถูกแรงกระตุ้นทั้งภายใน และภายนอกคอยกระตุ้นเร่งเร้าให้อยากเข้าไป ในที่สุดก็ตกอยู่ในภาวะอย่างเดียวกัน คือ ถูกจองจำ และมีความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า เป็นต้น

    ที่ว่าเลือกเก็บดอกไม้คือกามคุณอยู่นั้น หมายความว่า เมื่อได้กาม มีรูปเป็นต้นแล้ว ก็หาพอใจในรูปนั้นไปนานสักเท่าไรไม่ ใจซัดส่ายไปในรูปใหม่ต่อไปอีก เห็นรูปนั้นก็น่าได้ นี่ก็น่าได้ น่าเป็นของเรา เหมือนคนเข้าสวนดอกไม้ เห็นดอกไม้สะพรั่ง ดอกนั่นก็น่าเก็บ ดอกนี้ก็น่าเก็บ น่าดอมดมชมเชยไปเสียหมด ชื่อว่าเป็นผู้หลงใหลอยู่ในสวนดอกไม้นั้น

    นอกจากนั้น ใจยังข้องในอารมณ์ต่าง ๆ อีก เช่น ความคิดข้องในสมบัติต่าง ๆ มี ช้าง ม้า วัว ควาย นา สวน บ้านเรือน เป็นต้น บรรพชิตก็ติดข้องในปริขารมีบาตร และจีวร หรือเสนาสนะอันสวยงาม เป็นต้น รวมทั้งติดข้องในอาวาส และความเป็นใหญ่ ชื่อเสียง ลาภ และบริวาร เป็นต้น อย่างนี้เรียกว่าผู้มีใจข้องในอารมณ์ต่างๆ

    มัจจุ คือ ความตายย่อมพัดพาบุคคลเช่นนี้ไปสู่ห้วงน้ำลึกคือ อบาย 4 เหมือนห้วงน้ำธรรมดาพัดพาเอาชาวบ้านผู้หลับอยู่ ให้จมลงในแม่น้ำพัดพาออกสู่ทะเลลึก ต้องเป็นเหยื่อของสัตว์น้ำมีปลา เป็นต้น

    พระศาสดาตรัสพระพุทธภาษิตนี้ที่เมืองสาวัตถี ทรงปรารภพระเจ้าวิฑูฑภะ พร้อมทั้งบริวารซึ่งถูกน้ำท่วมสวรรคต

    ------- เรื่องพระเจ้าวิฑูฑภะ --------

    พระเจ้าวิฑูฑภะเป็นพระโอรสในพระเจ้าปเสนทิโกศล กับพระนางวาสภขัตติยาราชธิดาของท้าวมหานามแห่งศากยวงศ์ แต่พระนางประสูติจากพระมารดาซึ่งเป็นทาสี รวมความว่าเป็นลูกของหญิงทาส แต่มีพ่อเป็นเจ้าในศากยวงศ์

    เรื่องพระเจ้าวิฑูฑภะ เป็นเรื่องเกี่ยวกับการล้างแค้นที่ศากยวงศ์ทำความเจ็บช้ำแก่พระองค์ เรื่องที่พระเจ้าปเสนทิโกศลได้พระนางวาสภขัตติยามาเป็นพระมเหสีก็เป็นเรื่องน่ารู้ ขอนำมากล่าวไว้ในที่นี้แต่โดยย่อ

    วันหนึ่งพระเจ้าปเสนทิโกศลแห่งสาวัตถีประทับยืนที่ปราสาทชั้นบนทอดพระเนตรไปที่ถนน เห็นภิกษุหลายพันรูปกำลังเดินไปเพื่อฉันอาหารที่บ้านของอนาถปิณทิกเศรษฐีบ้าง บ้านของจูฬอนาถปิณทิกเศรษฐีบ้าง บ้านของนางวิสาขาและนางสุปปวาสบ้าง เมื่อพระราชาทรงทราบก็มีพระประสงค์จะเลี้ยงพระบ้าง จึงเสด็จไปเฝ้าพระศาสดาทูลนิมนต์พระพุทธองค์ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์เสวยพระกระยาหารที่พระราชนิเวศน์ 7 วัน ในวันที่ 7 ทูลพระศาสดาว่า

    "ข้าแต่พระองค์! ขอพระองค์และพระสงฆ์สาวกจงรับภิกษา (อาหาร) ในวังเป็นนิตย์เถิด"

    พระศาสดาตรัสว่า "มหาบพิตร! ธรรมดาพระพุทธเจ้าย่อมไม่รับอาหารประจำในที่แห่งเดียวเพราะประชาชนเป็นอันมากหวังการมาของพระพุทธเจ้า (คือต้องการให้พระพุทธเจ้าไปเสวยที่บ้านของตนบ้าง)

    พระราชาขอให้ส่งภิกษุรูปหนึ่งเป็นหัวหน้ามาแทนพระพุทธองค์ พระศาสดาทรงมอบหมายให้เป็นหน้าที่ของพระอานนท์

    พระราชาทรงอังคาส (เลี้ยง) พระสงฆ์ด้วยพระองค์เอง มิได้ทรงมอบหมายให้ใครเป็นเจ้าหน้าที่แทนพระองค์ ทรงกระทำติดต่อมาอีก 7 วัน พอวันที่ 8 ทรงลืม เนื่องจากมิได้ทรงมอบหมายเจ้าหน้าที่ไว้ จึงไม่มีใครกล้าทำอะไร กว่าพระองค์จะทรงระลึกได้ก็เป็นเวลานาน ภิกษุกลับไปเสียหลายรูป

    ในวันต่อมาก็ทรงลืมอีก ภิกษุส่วนมากคอยไม่ไหวจึงกลับไปเสีย เหลืออยู่จำนวนน้อย ต่อมาอีกวันหนึ่งทรงลืมอีก ภิกษุกลับไปหมดเหลือแต่พระอานนท์รูปเดียว เมื่อพระราชาทรงระลึกได้ก็เสด็จมา ทอดพระเนตรเห็น แต่พระอานนท์เท่านั้นอยู่เพื่อรักษาความเลื่อมใสของตระกูล ทรงเห็นอาหารวางเรียงรายอยู่มากมาย แต่ไม่มีพระอยู่ฉัน วันนั้นได้ทรงอังคาสพระอานนท์เพียงรูปเดียว ทรงน้อยพระทัยว่า ภิกษุสาวกของพระพุทธเจ้ามิได้เอื้อเฟื้อ มิได้ทรงรักษาพระราชศรัทธาเลย เมื่ออังคาสพระอานนท์เสร็จแล้วเสด็จไปเฝ้าพระศาสดาทูลว่า

    "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ! ข้าพระองค์จัดแจงอาหารไว้สำหรับภิกษุ 500 รูป แต่มีพระอานนท์รูปเดียวเท่านั้น อยู่ฉัน นอกนั้นมิได้อยู่ทำให้ของเหลือมากมาย ภิกษุสงฆ์มิได้เอื้อเฟื้อ มิได้รักษาศรัทธาของข้าพระองค์เลย"

    พระศาสดามิได้ตรัสโทษภิกษุสงฆ์แต่ประการใด เพราะทรงรู้ ทรงเข้าพระทัย ทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ตรัสกับพระราชาว่า "มหาบพิตร! พระสงฆ์คงจักไม่คุ้นเคยกับราชสกุล จึงได้กระทำดังนั้น"

    พระราชามีพระประสงค์จะให้ภิกษุสงฆ์คุ้นเคยในราชสกุล ทรงหาอุบายว่าควรกระทำอย่างไรดีหนอ? ทรงดำริว่า หากพระองค์เป็นพระญาติของพระพุทธเจ้า ภิกษุคงจักคุ้นเคย ควรจักขอเจ้าหญิงแห่งศากยวงศ์มาเป็นพระมเหสีสักองค์หนึ่ง จึงทรงแต่งทูตถือพระราชสาส์นไปยังกรุงกบิลพัสดุ์ ขอเจ้าหญิงองค์ใดองค์หนึ่งมาเป็นพระมเหสี ฝ่ายทางศากยวงศ์ ถือตนว่าสกุลสูงกว่าพระเจ้าปเสนทิโกศล แต่เวลานั้น แคว้นโกศลเป็นรัฐมหาอำนาจอยู่ ดูเหมือนว่าแคว้นสักกะของศากยวงศ์จะขึ้นกับแคว้นโกศลด้วยซ้ำไป ดังนั้น เรื่องพระเจ้าปเสนทิทูลของเจ้าหญิง จึงทำความลำบากพระทัยให้แก่พวกศากยะไม่น้อย ครั้นจะไม่ถวายก็เกรงพระราชอำนาจแห่งพระเจ้าโกศล ครั้นจะถวายก็เกรงสกุลของพวกตนจะไปปะปน
    กับเลือดแห่งสกุลอื่น อันถือว่าต่ำกว่าพวกตน

    เมื่อประชุมปรึกษาเรื่องนี้กันนานพอควรนั้น ท้าวมหานามจึงเสนอที่ประชุมว่า
    "หม่อมฉันมีธิดาอยู่คนหนึ่ง ชื่อวาสภขัตติยาเป็นลูกของทาสี เธอมีความงามเป็นเลิศ พวกเราสมควรให้นางแก่พระเจ้าปเสนทิโกศล"

    ที่ประชุมเห็นชอบจึงจัดแจงส่งพระนางวาสก ขัตติยาไปถวายพระเจ้าปเสนทิไม่ทรงทราบจึงโปรดปรานมาก พระราชทานสตรี 500 ให้เป็นบริวาร ต่อมาพระนางประสูติพระโอรส พระนามว่า วิฑูฑภะ

    ความจริงก่อนให้ทูตรับพระนางมา พระเจ้าปเสนทิก็ทรงป้องกันการถูกหลอกเหมือนกัน แต่ไม่วายถูกหลอกคือทรงกำชับราชทูตไปว่า จะต้องเป็นพระราชธิดาที่เสวยร่วมกับกษัตริย์เช่น ท้าวมหานาม ท้าวมหานามไม่ขัดข้อง ทรงทำทีเป็นเสวยร่วมกับพระนางวาสภขัตติยาให้ราชทูตดู แต่มิได้เสวยจริง คงจะมีแผนให้เกิดเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งจนเสวยไม่ได้ ต้องเลิกในทันทีทันใด สมมติว่ามีแผนให้มหาดเล็กวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาทูลว่าไฟไหม้พระราชวัง ซึ่งจะต้องเลิกเสวยในทันที เพื่อไปดูแลดับไฟ

    แม้พระนามวิฑูฑภะนั้นก็ได้มาโดยฟังมาผิด คือ เมื่อพระกุมารประสูติแล้ว พระเจ้าปเสนทิทรงส่งราชทูตไปทูลขอพระนามแห่งพระกุมารใหม่จากพระอัยยิกา (ยาย) พระเจ้ายาย พระราชทานว่า "วัลลภ" แปลว่า "เป็นที่โปรดปราน" แต่ราชทูตหูตึง ฟังเป็นวิฑูฑภะ

    พระเจ้าปเสนทิก็ทรงพอพระทัยต่อพระนามนั้น ต่อมาเมื่อพระชนมายุได้ 16 วิฑูฑภกุมารเสด็จเยี่ยมกรุงกบิลพัสดุ์ ความจริงพระมารดาพยายามทัดทานหลายครั้ง เพราะทรงเกรงพระราชโอรสจะไปทรงทราบเรื่องราวเข้า แต่พระกุมารทรงยืนยันว่าจะเฝ้าอัยยิกาให้ได้ พระนางจึงรีบส่งสาส์นล่วงหน้าไปก่อน เพื่อให้พระญาติปฏิบัติต่อวิฑูฑภะอย่างเหมาะสม แต่พระนางก็ต้องผิดหวัง เพราะทิฏฐิมานะของพวกศากยะมากเหลือเกิน และเป็นเหตุให้เกิดเรื่องใหญ่ฆ่าฟันกันตายมากมาย

    เมื่อทราบข่าวว่า วิฑูฑภกุมารจะเสด็จเยี่ยมกรุงกบิลพัสดุ์ ทางศากยวงศ์ก็ประชุมกันว่าจะต้อนรับอย่างไร พวกเขาไม่ลืมว่าพระมารดาของวิฑูฑภะนั้นเป็นธิดาของนางทาสี ตัววิฑูฑภะเอง แม้จะเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าปเสนทิก็จริง แต่ฝ่ายมารดาวรรณะต่ำ วิฑูฑภะจึงมิได้เป็นอุภโตสุชาต พวกเขาไม่สามารถให้เกียรติอย่างลูกกษัตริย์ได้ จึงจัดแจงส่งพระราชกุมารศากยะ ที่พระชนมายุน้อยกว่าวิฑูฑภะ ออกไปชนบทหมดเป็นการชั่วคราว ทั้งนี้เพื่อมิให้ต้องทำความเคารพบุตรแห่งทาสี

    เมื่อวิฑูฑภะเสด็จถึงกรุงกบิลพัสดุ์ก็ต้อนรับดีพอสมควร พระราชกุมารเที่ยวไหว้คนนั้นคนนี้ ซึ่งได้รับการแนะนำว่าเป็น ตา ยาย ลุง ป้า น้า อา และพี่ เป็นต้น แต่ไม่มีใครสักคนเดียวที่ไหว้พระราชกุมารก่อน เมื่อวิฑูฑภะถามผู้ใหญ่ก็บอกว่าพระราชกุมารรุ่นน้อง ๆ ได้ไปตากอากาศในชนบทกันหมดไม่มีใครอยู่เลย วิฑูฑภะเก็บเอาความสงสัยไว้ในใจ พระองค์ประทับอยู่เพียง 2-3 วันก็เสด็จกลับ พกเอาความสงสัยติดพระทัยไปด้วยว่า เหตุไฉนพระองค์จึงได้รับการต้อนรับอย่างชาเย็นเหลือเกิน

    ขณะที่เสด็จออกจากวังแล้วนั้น บังเอิญนายทหารคนหนึ่งลืมอาวุธไว้จึงวิ่งกลับไปเอา ได้เห็นหญิงรับใช้คนหนึ่งกำลังเอาน้ำเจือน้ำนมล้างแผ่นกระดานที่วิฑูฑภะประทับ ปากก็พร่ำด่าว่า "นี่คือแผ่นกระดานที่วิฑูฑภะบุตรของนางทาสีนั่ง" นายทหารผู้นั้นเข้าไปถาม ทราบเรื่องโดยตลอด เมื่อกลับมาถึงกองทัพก็กระซิบบอกเพื่อน ๆ เสียงกระซิบกระซาบแผ่วงกว้างออกไปจนรู้กันหมดทั้งกองทัพ พระราชกุมารก็ทรงทราบด้วย เป็นครั้งแรกที่ทรงทราบกำเนิดอันแท้จริงของพระองค์ว่าสืบสายมาอย่างไร

    ทรงพิโรธมาก อาฆาตพวกศากยะไว้ว่า เวลานี้ขอให้พวกศากยะล้างแผ่นกระดานที่ประทับนั่ง ด้วยน้ำที่เจือด้วยน้ำนมก่อน แต่เมื่อใดทรงได้ราชสมบัติในแคว้นโกศล เมื่อนั้นจะเสด็จกลับไปล้างแค้น โดยเอาเลือดในลำคอของพวกศากยะล้างแผ่นกระดานนั้น พระเจ้าวิฑูฑภะทรงพิโรธ อาฆาตพวกศากยะ เพราะถูกดูหมิ่นว่าพระองค์เป็นบุตรของนางทาสี

    เมื่อถึงสาวัตถี พวกอำมาตย์ได้กราบทูลเรื่องทั้งปวงให้พระเจ้าปเสนทิทรงทราบ ทรงพิโรธมาก รับสั่งให้ถอดพระนางวาสภขัตติยา และวิฑูฑภะออกจากตำแหน่งพระมเหสีและราชกุมารตามลำดับ ทรงให้ริบเครื่องบริวาร และเครื่องเกียรติยศทั้งปวง พระราชทานให้เพียงสิ่งของที่ทาส และทาสีควรจะใช้เท่านั้น

    ต่อมาอีก 2-3 วัน พระศาสดาเสด็จมายังพระราชนิเวศน์ พระเจ้าปเสนทิทูลเรื่องนั้นให้ทรงทราบ พระศาสดาตรัสปลอบว่า

    "มหาบพิตร! พวกศากยะกระทำไม่สมควรเลย, เมื่อจะถวายก็ควรจะถวายพระราชธิดาที่มีชาติเสมอกันจึงจะควร"

    ครู่หนึ่งผ่านไป พระศาสดาจึงตรัสอีกว่า

    "แต่อาตมาภาพใคร่ถวายพระพรว่า พระนางวาสภขัตติยานั้นเป็นธิดาของขัตติยราช ได้รับการอภิเษกในพระราชมณเฑียรของขัตติยราช ฝ่ายวิฑูฑภะกุมารเล่าก็ได้อาศัยขัตติยราชนั้นแลประสูติแล้ว มหาบพิตร! ตระกูลฝ่ายมารดาไม่สู้จะสำคัญนัก สำคัญที่ฝ่ายบิดา แม้บัณฑิตแต่โบราณก็เคยพระราชทานตำแหน่งอัครมเหสีแก่หญิงยากจนหาบฟืนขาย และพระราชกุมารอันประสูติจากครรภ์ของสตรีนั้นก็ได้เป็นพระราชาผู้ยิ่งใหญ่ในนครพาราณสี พระนามว่า กัฏฐวาหนราช"

    พระราชาทรงสดับกถาของพระศาสดาแล้วทรงเชื่อ จึงรับสั่งให้พระราชทานเครื่องบริวาร เครื่องเกียรติยศแก่พระนางวาสภขัตติยา และวิฑูฑภกุมารดังเดิม

    ต่อมาวิฑูฑภกุมารได้ราชสมบัติ โดยการช่วยเหลือของทีฆการายนะเสนาบดี ฑีฆการายณะนั้น เป็นหลานของพันธุลเสนาบดี ซึ่งพระเจ้าปเสนทิวางอุบายให้คนของพระองค์ฆ่าเสีย โดยที่พันธุละมิได้มีความผิด แต่มีบางพวกยุยงว่าพันธุละต้องการแย่งราชสมบัติในนครสาวัตถี พระเจ้าปเสนทิทรงเชื่อ เมื่อพันธุละพร้อมด้วยบุตร 32 คนตายแล้ว พระราชาทรงทราบความจริงในภายหลัง ทรงโทมนัสมาก ไม่สบายพระทัย ไม่มีความสุขในรัชสมบัติ ทรงประทานตำแหน่งเสนาบดีให้แก่ฑีฆการายนะผู้เป็นหลานของพันธุละ เพื่อทดแทนความผิดที่พระองค์ทรงกระทำไป

    ฑีฆการายนะยังผูกใจเจ็บในพระราชาว่าเป็นผู้ฆ่าลุงของตน คอยหาโอกาสแก้แค้นอยู่เสมอ วันหนึ่ง พระเจ้าปเสนทิเสด็จไปเฝ้าพระศาสดาที่นิคมชื่อ เมทฬุปะของพวกศากยะ ทรงให้พักพลไว้ใกล้พระอาราม เสด็จเข้าไปเฝ้าพระศาสดา
    แต่พระองค์เดียว ฑีฆการายนะได้โอกาสจึงมอบเครื่องราช กกุธภัณฑ์อิสริยยศของกษัตริย์ ให้วิฑูฑภะแล้วนำพลกลับพระนครสาวัตถี มอบราชสมบัติให้วิฑูฑภะครอง รวมความว่าฑีฆการายนะกับวิฑูฑภะ ร่วมกันแย่งราชสมบัติ ฝ่ายวิฑูฑภะก็พอพระทัย เพราะต้องการมีอำนาจสมบูรณ์ เพื่อล้างแค้นศากยะได้เร็วขึ้น

    แต่ปีนั้นก็เป็นปีที่พระเจ้าปเสนทิมีพระชนมายุถึง 80 แล้วนับว่าอยู่ในวัยที่ชรามาก พระเจ้าปเสนทิเสด็จกลับจากการเฝ้าพระศาสดาไม่ทรงเห็นไพร่พล มีแต่ม้าตัวหนึ่งกับหญิงรับใช้คนหนึ่งอยู่ที่นั่น ทรงทราบความแล้วเสด็จไปยังเมืองราชคฤห์เพื่อขอกำลังของพระเจ้าอชาตศัตรูมาปราบวิฑูฑภะ และการายนะ แต่เสด็จไปถึงหน้าเมืองราชคฤห์ในค่ำวันหนึ่ง ประตูเมืองปิดเสียแล้ว ไม่อาจเสด็จเข้าเมืองได้ จึงทรงพักที่ศาลาหน้าเมือง และสิ้นพระชนม์ในคืนนั้น เพราะความหนาว 1 ทรงเหน็ดเหนื่อยในการเดินทาง 1 และเพราะทรงพระชรามาก 1 ตอนเช้า เมื่อประตูเปิดแล้ว ประชาชนชาวราชคฤห์ได้เห็นพระศพ และฟังเสียงหญิงรับใช้คร่ำครวญว่า ราชาผู้เป็นจอมแห่งชาวโกศล จึงนำความนั้นกราบทูลพระเจ้าอชาตศัตรู ๆ ให้รับพระศพเข้าไปถวายพระเพลิงอย่างสมพระเกียรติยศ

    ฝ่ายพระเจ้าวิฑูฑภะได้ราชสมบัติเป็นกษัตริย์แล้ว อันความแค้นกระตุ้นเตือนอยู่เสมอ มิอาจทรงยับยั้งได้ จึงเตรียมกรีธาทัพไปย่ำยีพวกศากยะ

    พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรวจดูสัตวโลกเวลาใกล้รุ่ง ทรงเห็นความพินาศ จะมาถึงหมู่พระญาติ มีพระพุทธประสงค์จะทรงบำเพ็ญญาตัตถจริยา คือการบำเพ็ญประโยชน์เพื่อพระญาติ จึงเสด็จไปประทับ ณ พรมแดนระหว่างโกศลกับศากยะ ประทับ ณใต้ต้นไม้มีใบ้น้อยต้นหนึ่งทางแดนศากยะ ถัดมาอีกเล็กน้อยเป็นเขตแดนแคว้นโกศลมีต้นไทรใหญ่ใบหนาร่มครึ้มขึ้นอยู่ พระเจ้าวิฑูฑภะยกกองทัพผ่านมาทางนั้น ทอดพระเนตรเห็นพระศาสดาจึงเสด็จเข้าไปเฝ้า ถวายบังคมแล้วทูลว่า

    "พระองค์ผู้เจริญ! เพราะเหตุไร จึงประทับใต้ต้นไม้อันมีใบน้อยในเวลาร้อนถึงปานนี้ ขอพระองค์โปรดประทับนั่ง ณ โคนต้นไทรอันมีร่มครึ้ม มีเงาเย็นสนิทดีทางแดนโกศลเถิด"

    "ขอถวายพระพร มหาบพิตร! ร่มเงาของพระญาติเย็นดี"

    พระเจ้าวิฑูฑภะ ทรงทราบทันทีว่า พระศาสดาเสด็จมาป้องกันพระญาติ อนึ่งพระเจ้าวิฑูฑภะทรงระลึกได้อยู่ว่า การได้รับตำแหน่งมเหสีของพระมารดา และตำแหน่งราชโอรสของพระองค์เองคืนมานั้น เพราะการช่วยเหลือของพระบรมศาสดา พระคุณนั้นยังฝังอยู่ในพระทัย คนที่มีความพยาบาทมาก มักเป็นคนมีความกตัญญูด้วยเหมือนกัน คือ จำได้ทั้งความร้ายและความดีที่ผู้อื่นกระทำแก่ตน ด้วยประการฉะนี้ พระเจ้าวิฑูฑภะจึงยกทัพกลับเมืองสาวัตถี แต่ความแค้นในพระทัยยังคงคุกรุ่นอยู่ พระองค์จึงทรงกรีธาทัพไปอีก 2 ครั้ง ได้พบพระศาสดาในที่เดียวกัน และเสด็จกลับเหมือนครั้งก่อน

    พอถึงครั้งที่ 4 พระศาสดาทรงพิจารณาเห็นบุพกรรมของพวกศากยะ ที่เคยเอายาพิษโปรยลงในแม่น้ำ ทำให้สัตว์น้ำตายหมู่เป็นอันมาก กรรมนั้นกำลังจะมาให้ผล พระองค์ไม่สามารถต้านทานขัดขวางได้ จึงมิได้เสด็จไปในครั้งที่ 4พระเจ้าวิฑูฑภะเสด็จมาถึงพรมแดนนั้น ไม่ทอดพระเนตรเห็นพระศาสดาจึงเสด็จเข้ากบิลพัสดุ์ จับพวกศากยะฆ่าเสียมากมายไม่เว้นแม้แต่เด็กที่กำลังดื่มนม ยังธารโลหิตให้หลั่งไหลแล้ว รับสั่งให้เอาโลหิตในลำคอของพวกศากยะล้างแผ่นกระดานที่เคยประทับนั่ง แล้วเสด็จกลับสาวัตถี เสด็จมาถึงฝั่งแม่น้ำอจิรวดีในเวลาค่ำ จึงให้ตั้งค่ายพัก ณ ที่นั้น

    ไพร่พลของพระองค์เลือกนอนได้ตามใจชอบ บางพวกนอนที่หาดทรายในแม่น้ำ (น้ำลง หาดทรายในแม่น้ำนอนได้สบาย แม่น้ำคงคาก็เหมือนกัน) บางพวกก็นอนบนบกเหนือริมฝั่งขึ้นไป พอตกดึก น้ำจะท่วมหลาก พวกที่นอนบนบกแต่ได้ทำกรรมไว้ร่วมกันมาก็ถูกมดแดงกัดลงไปนอนที่ชายหาด ส่วนพวกนอนที่ชายหาดก็ถูกมดแดงกัด จึงเปลี่ยนที่นอนขึ้นไปนอนข้างบน มหาเมฆตั้งเค้าทางเหนือน้ำ ฝนตกใหญ่ น้ำหลากอย่างรวดเร็วพัดพาเอาพระเจ้าวิฑูฑภะและบริวารบางพวก ลงสู่มหาสมุทรตายกันหมด

    ในวันรุ่งขึ้น ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในธรรมสภาเรื่องพระเจ้าวิฑูฑภะว่า เมื่อความปรารถนาของพระองค์ไม่ถึงที่สุด ก็สิ้นพระชนม์พร้อมด้วยบริวารเป็นอันมาก คือสิ้นพระชนม์ในขณะที่ยังมีความปรารถนาอื่น ๆ อยู่อีกมาก

    พระศาสดาเสด็จมาสู่ธรรมสภา ตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย เมื่อมโนรถของสัตว์ทั้งหลาย ยังไม่ถึงที่สุดนั่นเองมัจจุราชก็เข้ามาตัดชีวิตอินทรีย์แล้วให้จมลงในสมุทรคืออบาย 4 ดุจห้วงน้ำใหญ่หลากมาท่วมชาวบ้านผู้หลับอยู่ฉะนั้น" ดังนี้แล้วตรัสพระคาถาว่า

    "ปุปฺผานิเหว ปจินนฺตํ" เป็นอาทิ มีนัยดังได้พรรณนามาแล้วแต่ต้น



    ***********************************************************************



    ผม ยกเรื่องนี้ มากล่าว


    ...เพื่อสกิดให้บัณฑิต ทั้งหลาย ได้ตระหนัก ถึงเหตุ และปัจจัย บางประการ

    ที่มีช่องผันแปร



    .เมื่อ เข้าใจ ในตัวอย่างนี้



    อัน ...เจตนานั้นแลคือตัวกรรม

    ดังนั้น หากใครกระทำด้วยบริสุทธิ์ใจ ด้วยเมตตา แต่ผิดพลาดด้วยเหตุปัจจัยหลายอย่าง ถ้าเราทั้งหลาย มีเมตตา มีพรหมวิหาร มีปัญญาพอ คงไม่ก่อกรรมเลวซ้อนเข้าไป ให้เป็นภัยต่อตนและคนอื่นที่เห็นพ้องร่วมกระทำกรรมดำ โดยเจตนาไม่ดีนั้น ...อนาคตังสญาณ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นั้น ย่อมเหนือกว่าพระอรหันตสาวกทุกองค์


    ...แต่ทำไม พระองค์จะไม่ทราบว่า การห้ามทัพที่จะไปฆาล้างตระกูลศากยนั้น ไม่สำเร็จ แล้ว ไม่ต้องไปถึงสามครั้ง


    ...แต่ก็ทรงพยายามเปลี่ยนแปลง ถึงสามครั้ง...


    ............นี่คือ ประเด็นหลักที่ต้องการให้ทุกคนพิจารณาว่า วิบากกกรรมบางอย่าง แม้เริ่มเห็นเค้าลางว่าจะเกิด แต่ ยังคงมีช่องว่างที่พอจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ......ขึ้นอยู่กับว่า มีแรงพอที่จะเปลี่ยนแปลงหรือไม่ มีปัจจัยที่มองไม่เห็นจะทำให้เปลี่ยนได้หรือไม่



    ..............ตามหลักปัจจัยยการ สิ่งนี้เกิด สิ่งนี้จึงเกิด ถ้า ในช่วงที่ผลยังไม่เกิดเต็มที่

    แสดงว่า ถ้ามีเหตุใหม่ที่มากพอ แรงพอ ย่อมอาจก่อผลใหม่ที่อาจเปลี่ยนแปลงบางสิ่งได้

    การที่ทรงพยายามห้ามทัพถึง 3 วาระ เป็นไปได้หรือไม่ว่า เป็นการให้โอกาสทัพของพระเจ้าวิฑูฑภะ ได้กลับใจไม่ทำกรรมเลวครั้งนี้ และให้โอกาสฝ่ายศากยะที่จะแก้ไข ป้องกันตน


    แต่เนื่องจากทั้งสองฝ่ายไม่ทำกรรมใหม่ที่มีแรงพอที่จะเปลี่ยนอะไรได้ เมื่อวิบากอกุศลกรรมมาถึงครั้งที่สี่แล้ว

    จึงทรงปล่อยไปตามวาระ





    .....หวังว่า คงมีคนมองเห็นอะไรที่จะเปลี่ยนแปลงโลกให้ดีขึ้น...
     
  12. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    พระพุทธศาสนา จะสถิตย์อยู่บนแผ่นดินสุวรรณภูมินี้ จนครบ 5000 ปี
    แต่ในระหว่างนั้น มีความเสื่อมลง และเจริญขึ้น ด้วยพุทธบริษัทฯ
    ที่ผ่านมาก็มีให้เห็นว่า พุทธศาสนาที่ลังกาเคยเจริญรุ่งเรือง และเผยแพร่มายังไทย ต่อมาที่ลังกาเสื่อม ก็มีพระสงฆ์ไทยไปเผยแพร่ ให้สถิย์สถาพร รุ่งเรืองขึ้น

    สรรพสิ่งในโลกนี้ ไม่มีอะไรเที่ยงแท้ แน่นอน ตั้งมั่นคงอยู่ได้ ตลอดกาลตลอดสมัย
    พุทธศาสนาในไทย ก็เช่นกัน เสื่อมลงในยุคสมัยนี้ แล้วจะไปเจริญรุ่งเรืองทางฝรั่งยุโรป อเมริกา บางส่วนในจีน และไต้หวัน ต่อจากนั้น อีก 200 ปี จึงจะย้อนกลับมา เจริญรุ่งเรืองที่แผ่นดินพุทธภูมินี้ ต่อไปจนสิ้น 5000 ปี การเจริญรุ่งเรืองขึ้นนี้ มีฮิตเลอร์ที่จะบวชแล้วมาบูรณะซ่อมแซมวัดท่าซุงขึ้นมาใหม่ และพวกผมจะกลับลงมาเกิดพร้อมหมู่คณะอีกครั้ง การเจริญขึ้นในครั้งนี้ จะไม่สามารถเจริญได้เท่าครั้งกึ่งพุทธกาล และจะค่อยๆเสื่อมลง ตามลำดับ อย่างช้าๆ....

    เวลาฟังครูบาอาจารย์สอน ต้องฟังเอามาให้หมดนะครับ อย่าไปตัดเอาเฉพาะบางบทบางตอนมา เอาแต่ที่ตรงกับใจ กับที่เราชอบใจ อันไหนไม่ชอบใจไม่เอา แบบนี้ไม่ถูกครับ นี่มันจะเป็นอาการของความหลง ความหลอก ....

    ครูบาอาจารย์ท่านทำนายเอาไว้ ก็ต้องอาศัยทิพยจักขุญาณก็ดี อนาคตังสญาณก็ดี ขออำนาจคุณพระรัตนตรัย ครูบาอาจารย์ ท่านแสดงให้เห็นได้ สงสัยตรงไหนก็ถามตรงนั้น รู้แล้ว จะพูดไม่พูดอีกเรื่องนึง....

    ประชาชนคนไทย ที่ประพฤติปฏิบัติธรรม มีน้อยนัก แม้ฝึกฝนตนไว้แล้ว จะกล่าวแนะนำสอนผู้ใดก็ไม่ได้ เปิดเผยตัวตนก็ไม่ได้ เมื่อเปิดเผยตัวตนเมื่อไร ย่อมถูกถ่มน้ำลายรด ย่อมถูกทำร้ายลงด้วยโมหะของชนหมู่มาก ที่ไม่ได้ประพฤติประบัติธรรม แต่เที่ยวเอาคำ เอาวลี ต่างๆมากล่าวอ้าง...ศาสนาจึงเสื่อมเพราะพุทธบริษัทฯ ผู้ไม่รักษาศีล ไม่ปฏิบัติธรรม ไม่ใช่เสื่อมลงเพราะคำทำนาย คำพยากรณ์ใดๆ....

    ในต่างประเทศ ชาวต่างชาติที่สนใจจะพิสูจน์พระธรรมคำสั่งสอน ยังมีอยู่มาก คนเหล่านี้ปฏิบัติก็ปฏิบัติจริง ไม่มีพิธีรีตอง ไม่ติดยึดกับเรื่องราวต่างๆ เมื่อลงมือทำจริง ผลย่อมพิสูจน์ได้ แนวทางปฏิบัติที่ครูบาอาจารย์เก่าๆท่านสอนไว้ยังมีอยู่ หากบอกเล่าอย่างตรงไปตรงมา ไม่ต่อเติมเสริมแต่ง หรือตัดเอาเฉพาะที่ตนพึงพอใจแล้ว ย่อมยังประโยชน์แต่เหล่าชนอื่น และในอนาคตกาล ชนเหล่านี้จะเป็นผู้รักษาพุทธศาสนาไว้ได้ จนถ่ายทอดแนวทางปฏิบัติ กลับมายังแผ่นดินสุวรรณภูมิอีกครั้ง....ผมต้องไปก็ด้วยเหตุนี้...
     
  13. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    พระสยามเทวธิราช ท่านเป็นเทวดาที่มีฤทธิ์มาก แต่ก็ไม่พ้นกฎของกรรมนะครับ
    ที่ท่านต้องมาเป็นพระสยามเทวาธิราช ก็ด้วยกฎของกรรม คือกรรมดีที่ท่านทำเอาไว้

    เมื่อบ้านเมืองเกิดทุกขภิกภัย หากไม่ใช่ด้วยกฎของกรรม ท่านช่วยได้...
    หากเป็นกฎของกรรม ท่านก็นิ่งดูอยู่ พ้นวาระเมื่อไรท่านจึงจะช่วย...
    การกล่าวถึงกฎของกรรมที่จะเกิดขึ้น ไม่ใช่กล่าวเพื่อให้จิตใจเศร้าหมอง

    สำหรับผู้มีปัญญาแล้ว ย่อมมองเห็นว่า เหตุร้ายที่จะเกิดขึ้นในอนาคตนี้ จะทำให้เราเป็นผู้ไม่ประมาท เร่งรัดในการสร้างความดี...
    และเมื่อเกิดขึ้นจริงในอนาคต จิตใจก็ไม่เศร้าหมอง เพราะเห็นแล้วว่านี่เป็นกฎของกรรม ไม่ได้หวั่นไหว งมงาย คิดแต่จะหาทางหนี แต่กลับกัน ผู้มีปัญญาจะมีสติตั้งมั่น รักษาตัว รักษาตน รักษาจิตใจของตน ไม่ให้เสียหายไปด้วยกับเคราะห์กรรมและวิบากเหล่านั้น...

    คนโง่เขลา จะหาทางวิ่งหนี สิ่งที่หนีไม่พ้น เที่ยววิ่งวนวุ่นวายอยู่ เพื่อจะหาทางเบี่ยงเบนด้วยอุบายต่างๆ หลอกลวงแม้แต่ตัวเอง โดยไม่ตั้งมั่นใจสติ ในสมาธิ ไม่ฝึกฝนตนของตนให้เป็นผู้พร้อมในเหตุอันจะเกิดขึ้นภายหน้า เป็นแต่ผู้หวั่นไหวหวาดกลัว ...

    คนมีปัญญาเมื่อเห็นภัยในวัฎสงสารเช่นนี้แล้ว ย่อมหาทางดับทุกข์ คือเข้าถึงทางแห่งการดับทุกข์ ด้วยมรรควิถี ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสไว้ดีแล้ว เป็นผู้ห้าวหาญ มีสติ มีความเพียรในการขจัดเสียซึ่งอุปกิเลสทั้งหลาย เป็นผู้ไม่ประมาท ดังนี้
     
  14. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    นัตถิ ปัญญา สมาอาภา...
    แสงสว่างเสมอด้วยปัญญานั้นไม่มี...


    หลวงปู่ดู่ ท่านสว่างแล้ว...
    แต่คนไทย ยังมืดบอด....

    เร่งทำเข้าดีกว่า...พุทธัง ธัมมัง สังฆัง สรณังคัจฉามิ...
    อย่าเอาแต่สวดอ้อนวอนขอแต่เพียงอย่างเดียว...
     
  15. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    ตระกูลศากยะ ไม่ได้จับอาวุธขึ้นสู้ กับวิฑูฑภะ ...
    ยอมให้เป็นฝ่ายถูกฆ่า โดยไม่ฆ่าตอบ เพื่อยุติ การจองเวรจองกรรมต่อกัน...
    ส่วนวิฑูฑภะ ก็ได้รับผลกรรมที่ตนเองก่อ...

    พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ไม่ได้ทรงอาศัยพุทธบารมี ปาฎิหาริย์ ใดๆไปกอบกู้แก้ไข ทรงยอมรับกฎของกรรม และเป็นสิ่งที่ทำให้เห็นว่า ใครทำกรรมใดไว้ ดีหรือชั่วก็ตาม ตนจะต้องเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น...

    พระองค์สอนให้อยู่กับปัจจุบัน คือระงับกรรมดำเสีย แล้วเจริญซึ่งกรรมขาว

    .............................
    แล้วก็อย่าไปคิดเลยนะครับว่า คนในสมัยนี้ จะมีจิตใจดีงามกว่าคนในสมัยพุทธกาล ที่จะทำดีจนเปลี่ยนแปลง กฎของกรรมต่างๆใหม่ได้...

    แล้วก็อย่าไปคิดนะครับว่า ในสมัยพุทธกาลที่พระพุทธเจ้าทรงดำรงพระชนม์อยู่ ผู้คนจะไม่มีโอกาสทำความดี ทำบุญใหญ่ เหมือนคนในยุคสมัยปัจจุบัน ในยุคที่มีพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณเป็นอันมากนั้น ผู้คนพากันปฏิบัติธรรม บรรลุธรรมกันมาก

    ท่านเหล่านั้นไม่ได้หลง มัวเมา หูหนวกตาบอด อย่างพวกเราในยุคสมัยปัจจุบันนี้ และไม่กะล่อน เจ้าเล่ห์ หาทางจะเลี่ยงบาลี หนีกรรมเก่า...
    ท่านเหล่านี้ มีจิตใจห้าวหาญ ชาญฉลาด กว่าที่สติปัญญาเราจะคาดเดาไปถึงครับ...

    เอาแบบนี้ก็ได้ครับ...ท่านดาบหัก...พระโมคคัลลานะ...ท่านเป็นพระอรหันต์ที่มีฤทธิ์มาก...ถ้าเอาตามตรรกะที่ท่านดาบหักยึดถือนั้น...ควรจะแนะนำพระโมคคัลลานะ ให้ทำบุญใหญ่มากๆ เพื่อสร้างให้แรงบุญมีกำลังมากกว่าแรงบาป จะได้ช่วยให้พ้นจากการถูกเหล่าโจรทุบตีจน มรณะภาพ...เอาแบบนั้นเลยดีไหมครับ...

    อย่าเอาจิตของปุถุชน ไปจับไปวิจารณ์ จิตของพระอริยะบุคคล...
    พระอริยะเจ้าท่านไม่ได้สนใจ กฎของกรรมที่จะมาสนองทำร้ายลงที่ร่างกายอันเน่าอยู่เป็นนิจนี้แล้ว...ท่านไม่ได้หวาดหวั่นกลัวตาย กลัวภัยพิบัติทั้งหลายอย่างปุถุชนครับ...ท่านไม่กลัวอะไรเลย...ท่านกลัวแต่บาปอย่างเดียว....

    ท่านดาบหัก ภาวนาให้มาก บุญก็ต้องทำ แต่ภาวนาต้องทำให้มาก แนวทางการปฏิบัติของครูบาอาจารย์ หลวงพ่อสดมีอยู่ หลวงพ่อฤษีมีอยู่ หลวงปู่ดู่ หลวงพ่อพุธ ฯลฯ เอามาทำให้มาก ภัยแห่งวัฎฎะสงสารนี้ ถึงอย่างไรก็ยังคงอยู่...มีแต่จิตที่ฝึกฝนดีแล้ว จึงจะไปพ้นเสียได้...ผมโพสต์วันนี้ เป็นวันสุดท้ายแล้ว ....อะไรที่ควรกล่าว ก็จะกล่าว อะไรไม่ควรจะกล่าว ก็จะกล่าวเอาไว้ทั้งหมด....จะได้หมดกันไปในวันนี้นี่เองครับ...
     
  16. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    อ้างอิง#633
    ช่วงเวลานี้กำลังเป็นขาลงของ
    โลกมนุษย์จริงๆ ทุกด้านยังเสื่อม
    ลงไม่ถึงที่สุด ตามที่กล้วยแมวเข้าใจ
    ผิด คิดว่ากำลังจะพุ่งขึ้นแล้ว.....
    คงอีกนานเป็น ร้อยสองร้อยปีถึงจะขาขึ้นจริง
    ตามที่พี่ระมิงค์สาธยาย
    อย่างนี้ก็ยิ่งต้องใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหว
    เพราะหลายส่วนเคลื่อนไหวไปเข้าทางมาร.....
    ยิ่งร่วมเคลื่อนยิ่งเสื่อมแรง แต่น้ำน้อยย่อมแพ่ไฟ
    ผมหมายถึงคนที่มีสติปัญญาจริงๆ มันมีน้อยลงๆ
    มันจึงยับยั้งความเลวร้ายไม่ได้

    ดูจากมุมมองของชาวโลกสวยที่กล่าวว่าสังคมนี้ที่ยังอยู่ได้

    "เพราะคนดีมีมากกว่าคนเลว"แค่นี้ก็ผิดและผิดมาตั้ง
    นานแล้วด้วย
    เราเป็นคนมีปัญญาก็จริงแต่สถานะเป็นเหมือน"มดงาน"
    คงไม่มีกำลังไปก้าวก่ายนโยบายของ"พญามด"
    ต้องขึ้นอยู่กับว่าพญามดจะบงการให้ไปทางไหนต่างหาก
    สิ่งที่ทำได้ในตอนนี้คือ ตั้งสติใช้สติคุมจิตให้คุมจิตอีกชั้น
    เพื่อพิจารณาให้เห็นความจริงของขันธ์ ๕ ให้ได้เพื่อละ
    การยึดเกาะในที่สุด ส่วนในเรื่องของโลกก็ Wait and See!! เพราะมีเจ้ากรรม เป็นผู้กำกับละครโรงใหญ่นี้
     
  17. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,301
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +70,452


    ที่ผมถามคุณ แต่คุณไม่ตอบตรงๆกับคำถาม แต่เอาตอบอย่างอื่นมากมาย


    ที่ผมถามว่า คุณทราบหรือไม่ว่าใึครคือต้นทาง( หรือแหล่งพลังงานของพระคาถามหาจักรพรรดิหรนือคาถาบูชาพระ) ถ้าคุณตอบตรงนี้ตรงๆ ก็จะสาวไปตามหตุผลได้ ไม่ต้องยกอะไรมาร่ายจนยาว ตามที่คุณเล่ามา ไม่ว่าสิื่งที่คุณเห็นจะเห็นจริง แต่จะจริงหรือไม่ก็ตาม

    กลายเป็นการพูดว่า ผมไม่เคยเรียนไสยศาสตร์ไม่รู้อะไรบ้าง หลวงตาม้าและหลวงพี่เล็กสอนนอกคำสอนครูเดิมๆบ้าง หลวงตาสอนผิดให้ยึดเอาแต่จักรพรรดิบ้าง หาว่าผมหรือใครหลงยึดว่าจะต้องทำเพื่อมาเกิดเป็นจักรพรรดิ เมาบุญ หลงบุญ ฯลฯ กล่าวถึงบุคคลที่สามโดยที่เค้าไม่มีโอกาสมาชี้แจงอะไร
    แล้วพากันโมทนา นี่เป็นการก่อมโนกรรม วจีกรรม กายกรรม ต่อพระผู้ปฏิบัติดีหรือไม่

    เพียงแค่นี้ ยังไม่ทราบถึงจิตใจ ที่ต้องการถาม ต้องการสื่อสาร ต้องการคุยถึงเนื้อหา แล้วประสาอะไร ที่คุณบอกว่า ต้องเรียนเจโตฯ เพื่อรู้ความคิดของจีน ของ...กี้ ของ.....ฯลฯ แล้วอนาคตต้องเป็น ฯลฯ




     
  18. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,301
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +70,452

    ความจริงบางอย่างจากที่คุณโพส ก็คือ พอเปิดเผยตนก็โดนการกระทำที่นำโดยคุณ ( อย่างเช่นกระทู้แซวฯ) นี่ไม่ใช่หรือ ที่ถมน้ำลายรดอยู่
     
  19. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,301
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +70,452


    ต้องมองเห็นอีกชั้น ว่าที่จริงไม่ควรยึดติดตัดสินใครดี ใครเลว

    เป็นเพราะ ธรรมสามฝ่ายที่บงการจิตใจสัตว์โลกต่างหาก

    เพราะถ้าสัตว์โลกรู้จริง ก็จะไม่ทำกรรมดำกัน




    แล้วพญามด ไม่ได้บงการ

    แต่ มดงานหลายๆตัว มีกำลัง

    และธรรมชาติกำหนดให้มดงานทำตามกลไกธรรมชาติ


    ที่มีลักษณะทางกายภาพเช่นฮอร์โมน ฯลฯ
    กระตุ้นให้มดงานทำ


    มนุษย์ดีกว่าสัตว์คือ รู้เลือกที่จะทำกรรมดี

    ไม่ใช่ต้องถูกคำทำนาย หรือ พญามด บงการ

    ( แม้แต่พญามด ก็ถูกธรรมชาติกำหนด
    การใช้ชีวิต ตามผลกรรมในอดีตบางส่วน)

    กำลังของมนุษย์ที่รวมกันทำจำนวนมาก

    จึงสามารถกำหนดอนาคตได้


    แม้ไม่ใช่ตามหวัง100%
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 29 พฤศจิกายน 2015
  20. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,301
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +70,452


    ที่ผมพยายามพูด คุณกลับตีเจตนาตีความหมายผมไปอย่างอื่น


    ผมไม่ได้หมายความว่า ต้องเปลี่ยนหมดตามคำนายของคุณ


    แต่ คนจำนวนมาก เมื่อรวมกำลังกันทำความดี ย่อมเปลี่ยนอะไรได้บ้าง




    พระท่านจึงสอนเรื่องกฎแห่งกรรม



    ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว


    ไม่ใช่หมายถึง เอากรรมใหม่ไปลบล้าง กรรมเก่า ตามที่คุณกล่าวหาผมและ
    ครูบาอาจารย์บางท่านมา


    แต่ เราสามารถเบี่ยง ลดการปะทะ


    แก้ไขบางจุดได้






     

แชร์หน้านี้

Loading...