อาการแบบนี้คืออะไร อันตรายหรือเปล่าคะ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย nongnewinbkk, 21 พฤษภาคม 2014.

  1. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,047
    อืมมมมมมม.สุดแล้วแต่จะกล่าวและเข้าใจนะครับ
    .โดยรวมพอเข้าใจที่พยายามแก้ตัวและหาข้ออ้างครับ..
    เด่วช่วยอ้างอิงไว้ให้อีกรอบนะครับ..ตอนนี้พูดอะไรไป
    หรืออธิบายเหตุผลอะไรให้ฟังก็คงจะยังไม่มีประโยชน์.
    เพราะคงจะยังมองไม่เห็นระบบความคิดพื้นฐาน
    ที่มันฝั่งลึกๆในใจของตัวเองในมุมนี้.ที่มาจากภายในจิต
    แล้วถ่ายทอดออกมาเป็นข้อความ ถึงมุมมอง
    ที่ตนเองมองบุคคลอื่นๆ..ตรงนี้แสดงให้
    เห็นพื้นฐานความคิดที่่มาจากจิตของเราจริงๆ...
    .อ้างอิงไว้ให้เพื่ออนาคตเข้ามาอ่านข้อความ
    ของตัวเอง.เพื่อว่าอาจจะปรับเปลี่ยนระบบ
    ความคิดตรงนี้ใหม่ให้เป็นไปในทางกุศลนะครับ...

    ปล.ไม่มีอะไรจะต้องคุยกันอีกแล้วครับ ขอยุติการสนทนา
    กับคุณเพียงเท่านี้ ขอบคุณครับ..

     
  2. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,047
    ประเด็นนี้คุยกับน้อง นิวนะครับ.ให้เราหัดตั้งข้อ
    สังเกตุเอาไว้อย่างนี้นะครับ..แนวทางการ
    ปฏิบัติที่ควรจะเป็น.ถ้าเราปฏิบัติอะไรก็ตามนะครับ.
    .ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีเขียนไว้ตำรา..แนวทางปฏิบัตินั้นๆ .
    ควรเป็นไปเพื่อการ ลด ละ กิเลส ไม่ให้ยึดมั่นถือมั่น
    ไม่ว่าจะเรื่องของ โลภ โกรธ หลง.ไม่ว่าเรื่องใดเรื่องเรื่องหนึ่ง
    และทุกๆเรื่องที่ว่ามานี้ จะแสดงออกให้ผลของการปฏิบัติ
    ที่ออกมาจากจิตของตนเองปรากฏเป็น
    รูปแบบการดำเนินชีวิตปกติประจำวันของเรา

    เช่น เราปฏิบัติแล้วเรามีเมตตาเพิ่มขึ้นไหม
    เห็นอกเห็นใจผู้อื่นเพิ่มขึ้นไหม
    ความโลภโกรธหลงเรื่องต่างๆเราน้อยลงไหม
    ความอิจฉาริษยาในใจเราน้อยลงไหม
    ความอยากดีอยากเด่นอยากได้รับการยอมรับ
    จากบุคคลอื่นๆเราน้อยลงไหม.
    จิตใจเราเข้าสู่ความเป็นกลางได้ดีขึ้นไหม
    เรายังแยกแยะ ตัดสิน แบ่งพรรคแบ่งฝ่ายอยู่ไหม
    ว่าต้องแบบนั้น แบบนี้ ต้องอย่างนั้น อย่างนี้.

    และยิ่งเป็นนักปฏิบัติที่มีสัมผัสด้วยแล้ว.ให้สังเกตุ
    เพิ่มเติมด้วยว่า..เราปฏิบัติไปแล้วเรามีพันธมิตร
    ทางภพภูมิเพิ่มขึ้นไหม เราได้รับการสนับสนุน
    จากภพภูมิระดับสูงๆที่จะคอยมาสอน มาดลใจ
    เราบ้างไหมโดยที่เราไม่ต้องอ้างอิงท่านๆเหล่านั้น
    เพื่อมาเสริมความคิดเห็นส่วนตนของเรา..
    ที่กล่าวมาแล้วข้างต้นให้พิจารณาร่วมกับ

    การเข้ามาศึกษาเพื่อมาเอาดี.เพื่อให้เห็นสิ่ง
    ไม่ดีในใจตนแล้วพยายามหาทางคลายมันออก
    .ถ้าวันใดวันหนึ่งเรายังไม่รู้ว่าตัวเองไม่ดี
    และคิดว่าตัวเองดีแล้วและยังมาอวดดีเมื่อไร .
    ให้พึ่งระวังอย่างมากอย่าพลั้งเผลอให้กิเลส
    พวกนี้มันเข้ามาเกาะกินในใจเราได้..

    ทั่วๆไปประมาณนี้ครับ...
     
  3. nongnewinbkk

    nongnewinbkk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2013
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +239
    ข้อความสำหรับเจ้าของกระทู้เท่านั้น เหมาะสำหรับเจ้าของกระทู้แต่ผู้เดียว

    สำหรับผู้อื่น อาจเป็นเพียงอุปาทาน ที่ไปยึด และ เกิด อาการลอคเข้า!!! ถ้าเกิดขึ้นละก็ อันตรายมหันต์ ต่อการเจริญธรรมต่อไป



    สภาวะ ที่เกิดขึ้นกับน้องนิวนั้น สะภาวะนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับบุคคลนักปฏิบัติทั่วๆไปหรอคะ หรือต่างจากคนอื่นอย่างไรคะ เหตุใดถึงเป็นเช่นนั้นคะ

    เพราะเห็นว่า เกรงบุคคลอื่นจะทำตาม ทำตามไม่ได้เด็ดขาดเลยใช่ใหมคะ

    ตกลง น้องนิวต่างจากคนอื่น หรือ คนอื่นต่างจากน้องนิว คำถามงง? ใหมคะ อิอิ..
     
  4. วงกลมจุด

    วงกลมจุด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    2,305
    ค่าพลัง:
    +2,253

    นี่คือรูปจริงของคุณไช่มั้ยครับ งั้นหลับตาลง ลืมตาที่มันอยากจะลืม มองดูแสงพุ่งเข้าไปหา รับพลังแห่งแสงนี้ลองดูนะครับ รู้สึกเป็นไงบ้างค่อย บอกมาครับ
     
  5. ตั้งฉาก

    ตั้งฉาก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2013
    โพสต์:
    495
    ค่าพลัง:
    +573
    ร่างกาย
    อวัยวะ
    ระบบประสาท
    ฮอร์โมน
    ความคิด
    ปรัชญา

    แต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนเกิดอาการแบบนั้น ก็เท่านั้น ไม่ได้เป็นอะไรเลยนอกจากอาการทางกาย บางคนเกิดอาการแบบนั้นแต่มันไปเชื่อมเข้ากับระบบประสาท ไปกระตุ้นระดับเส้นประสาท กระตุ้นโฮโมนบางตัว ออกอาการต่างๆนานา

    พระพุทธเจ้าไม่เคยสรุปแบบเหมารวม หรือ ให้คาดคะเนไปเอง มัน บาปมหันต์
    ผู้ที่บอกกล่าวต้องเคยประสบมาแล้ว และ ที่สำคัญสามารถเข้าถึงจิตของผู้จะรับฟังได้ด้วยหากมันเป็นธรรมที่จะกล่าว
    (หากเคยถือศีล จะรู้กฏเหล้กข้อนี้ดี)

    ไม่ต้องไปตกใจอะไร สภาวะเธอใกล้จบแล้ว ทิ้ง ข้อสงสัยทั้งหมด แล้วพิจารณาคุณ และ โทษ เข้าถึง อุบายในการออกจากตรงนี้

    เธอคือเธอ คนอื่นคือคนอื่น ไม่ต้องไปเปรียบเทียบ มัน อจินไตย สุดจะแยกแยะพรรณา
     
  6. nongnewinbkk

    nongnewinbkk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2013
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +239
    ขอบคุณเป็นอย่างสูงคะ ที่ให้คำแนะนำคะ

    ก็เคยสงสัยอยู่เหมือนกันคะ ว่า มีการไปกระตุ้นฮอร์โมนบางตัวเป็นแน่เลย

    ก็พอรู้บ้างเกี่ยวกับพลังกุณฑาลิณี เมื่อมีการปลุกให้พลังนี้ตื่นขึ้นคะ
     
  7. ตั้งฉาก

    ตั้งฉาก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2013
    โพสต์:
    495
    ค่าพลัง:
    +573

    ระหว่างทาง ขณะที่มันยังไม่สงบ (ยังมีการเต้น หรือเคลื่อนไหวอยู่)
    มันจะก่อให้เกิด คำถามต่างๆนาน ขึ้น ว่าฉันต้องทำอะไรกับมัน ฉันจะเลอเลิศไม๊ทำอย่างไร ฉันต้องทำอะไรต่อ .... หลอกล่อ ให้อยู่กับมัน ไม่ให้เราสงบได้ ต่อภพต่อชาติไปเรื่อยๆ

    สรุป ไม่ต้องทำอะไรเลย
    (เจ๋งสุดสุด)
     
  8. nongnewinbkk

    nongnewinbkk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2013
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +239
    สภาวะที่เกิดขึ้น ไม่สงสัย และ ไม่ถามแล้วคะ

    ปล่อยให้มันเกิดขึ้น แล้วดับไป หรือตามแต่จะเป็นไป

    ยังคงสวดมนต์ นั่งสมาธิ ตามปกติคะ
     
  9. ตั้งฉาก

    ตั้งฉาก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2013
    โพสต์:
    495
    ค่าพลัง:
    +573
    ที่แปลกคือ อาการนี้ ผุ้หญิงจะละ ได้ดีกว่าผู้ชายหลายเท่าตัว เพราะมีสภาพจิตที่ล้ำลึกและซับซ้อนกว่าผู้ชายเยอะ น่าจะสูญสลายไปได้ไม่ยาก
     
  10. nongnewinbkk

    nongnewinbkk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2013
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +239
    5555 จริงคะ คนรอบข้าง เริ่มมองว่า ฉันบ้าไปแล้ว555555
    ต่อไปคงจะบ้ากว่านี้ซินะ

    ขอบคุณค่ะ

     
  11. ธรรมมนุษย์

    ธรรมมนุษย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2010
    โพสต์:
    397
    ค่าพลัง:
    +1,908
    ถามคุณ nopphakan ของพวกนี้ถ้าเราไม่อยากได้ ไม่อยากให้จักระเปิด ขอแค่สงบในสมาธิและมีปัญญาตัดกิเลสก็พอต้องทำยังไงครับ
     
  12. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,047
    คืออย่างนี้ครับ คุณ ธรรมมนุษย์ จักระเป็นเรื่องของคลื่นพลังงาน เป็นเรื่องของการ
    เชื่อมต่อกับพลังงานภายนอกต่างๆ ที่สร้างให้จากตัวจิตเราก่อนแล้วออกไปเชื่อมภายนอก
    ในระดับที่สามารถสัมผัสได้..ให้เราลองนึกๆดูนะครับว่า ทุกวันนี้แม้เราอยู่เฉยๆเราก็เชื่อม
    กับพลังงานต่างๆภายนอกอยู่แล้วครับโดยมีอากาศเป็นสื่อกลาง พลังงานที่เราเชื่อม
    ก็คือพลังงานร้อน และพลังงานเย็นโดยที่เราไม่รู้ตัว และพลังงานพวกนี้ก็ส่งผลต่อ
    ร่างกายเราที่ประกอบมาจากธาตุทั้ง ๔ คือธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ เพราะฉนั้นมันจึงเป็นธรรมชาติ
    ปกติของมันอยู่แล้วครับที่จะเชื่อม แต่การเชื่อมนี้ก็จะส่งต่อร่างกายคือธาตุต่างๆนั้นเอง
    มนุษย์เราจึงมีการบกพร่องของธาตุต่างๆ เป็นเหตุของการเจ็บ ป่วยต่างๆนั่นหละครับ.
    บ้างก็เรียกว่า ธาตุร่างกายมันพร่อง ร่างกายไม่สบาย หรือเกิดจากเชื่อโรคต่างๆไม่ว่า
    ทั้งจากภายนอกหรือภายใน มันก็จะสัมพันธ์กับธาตุ กับพลังงานต่างๆด้วยกันทั้งหมด
    ทั้งสิ้นนั้งหละครับ...ถ้าเราจะปิดมันเลยนอกจากว่า ภายนอกจะไม่มีอากาศ ไม่มีพลังงาน
    ความร้อนความเย็น พูดง่ายๆก็คือไม่มีดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และเราเอาอะไรก็ได้มาทา
    ร่างกายเพื่อปิดผิวหนังเราให้หมด อย่างนี้ธาตุอาจจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงได้ครับ..
    การปิดจักระโดยทั่วๆไป เรามักจะกล่าวถึงการปิดตามจุดต่างๆที่มันเปิด..
    ผมถามคุณว่า คุณไปห้ามหูไม่ให้ได้ยินได้หรือไม่ครับ คุณไปห้ามตาให้มองเห็นได้
    หรือไม่ครับ เราห้ามได้ตลอดเวลาไม่ครับ...
    สิ่งที่เราทำได้ก็คือ การรู้จักการอยู่กับสิ่งที่มันเกิดอย่างเป็นธรรมชาติครับ.และอยู่
    ร่วมกับธรรมชาติได้อย่างแยบยลครับ..ถึงได้มีการเทคนิคการเปิดจักระ การรู้จัก
    การนำไปใช้ การจัดเรียงเส้นสายพลังต่างๆ ก็เพื่อทำให้ร่างกายของเราอยู่ร่วม
    และเป็นส่วนหนึ่งกับธรรมชาติได้นั่นหละครับ...
    และทั้งสายตาและหู เราสามารถผลักได้ครับ แม้ว่าตอนแรกจะฝืนๆครับ..
    จะตัดได้ เราก็ต้องไม่ไปให้ความสนใจมันก่อนครับ..เพื่อต่อไปในอนาคตจิตจะเค้า
    สู่สภาวะ รับรู้ แต่ไม่จิต ตัวจิตมันก็วางได้เองครับ
    แต่ที่นี้ตาที่ ๓ มันไม่ใช่การเห็นแบบที่เราใช้ลูกตาปกติทั่วๆไปในการมองครับ
    เป็นการที่จิตไปรับรู้แล้วแสดงภาพออกผ่านตำแหน่งระหว่างเหนือคิ้วเพื่อให้เรา
    รับทราบ มันจึงสามารถย้อนรู้ได้ โดยข้ามเรื่องมิติและเวลา ตลอดจนมองเห็น
    ได้ทุกทิศทุกทาง..และที่สำคัญ เรื่องกิเลส เรื่องอารมย์ เรื่องปัญญาทางธรรม
    เรื่องสติทางธรรม มันเป็นนามธรรมครับ..ถ้าเราไม่มีตาที่ ๓ ตรงนี้เพื่อไปเห็นมัน
    เราจะไปรู้ทันอารมย์ รู้ทันกิเลส และจะเอาอะไรไปประกันว่า
    เราจะลดละกิเลสได้ครับ
    เราจะเอาอะไรไปดูครับ ว่าใครเค้ากิเลสน้อย กิเลสละเอียด
    ใครจิตเค้าดี หรือไม่ดีอย่างไร เพราะถ้าเราใช้ตาปกติเรามอง
    ยังๆมันก็จะเข้าข้างตัวเอง เพราะมันยังมีภาพ มีการเห็นอยู่

    ยังไงๆก็หนี้ไม่พ้นการปรุงแต่งครับ
    ก็เพราะตาปัญญาตรงนี้ไม่ใช่หรือครับ
    ที่ทำให้เราเห็นว่าเราจะต้องสร้างความดีอะไรบ้างไงครับ.
    ที่ทำให้เราเห็นว่าเราควรสนทนากับบุคคลใดบ้างนั่นหละครับ
    เพราะตาปกติมันก็จะชอบยกตนข่มคนอื่นๆเค้าไงครับ.
    มันเป็นตาที่เกิดมาก็เห็นแต่การปรุงแต่งๆจากภายนอก
    ไม่ว่ารูป การเขียน การวาด การสร้าง ต่างๆฯลฯ
    และถ้าเราไม่มีตาที่ ๓ เราจะข้ามตรงนี้ได้อย่างไรหละครับ
    เลยเป็นที่มาที่เราเรียกว่าตาปัญญา คือหน้าที่หลักการเห็นแล้วน้อมให้เข้าวัตถุ
    ประสงค์ที่เราเห็น เพื่อน้อมนำให้มาเกิดเป็นปัญญาทางธรรมต่างๆตรงนี้สำคัญ
    การได้เห็นนั่น เห็นนี้ แต่เห็นของเราเอง แต่คนอื่นๆไม่เห็นก็จะไม่มีประโยชน์
    แต่ตาที่ ๓ ตรงนี้ถ้ามันเป็นตาปัญญา ตัวเราเองที่จะเห็น จิตเราเองที่จะเห็น
    ซึ่งเราจะทราบได้ด้วยตัวเองว่า มันก่อเกิดผลอย่างไร ในการลดความตะหนี่
    ในใจเรา ลดความโกรธ หลง โลภ ของเรา ลดความอิจฉาริษยา
    และมีตาตรงนี้ในการมองเห็นภายนอก ทำให้เรารู้จักเอื้อเฝื้อเผื่อแผ่
    เพื่อโน้มดึงมาให้เรารู้จักสร้าง รู้จักเพิ่มเมตตาในจิตเรา.
    ด้วยการอุทิศส่วนกุศลไงครับ.ตลอดจนความเข้าใจต่างๆของเราในเรื่อง
    ของควาเห็นชอบต่างๆ..ซึ่งพวกนี้แม้ว่าใครก็ตามจะอ่านจะรู้มากแค่ไหน
    ก็ตามๆแต่มันก็เป็นตาสมมุติ ตาที่เห็นจากการอ่าน มันจะวนเวียนภายใต้
    ความคิด มันยังแก้ปัญญา ลดกิเลสจริงๆไม่ได้นั่นเอง...
    เพราะฉนั้นตาปัญญาตัวนี้จึงมีความสำคัญ ที่จะทำให้เราได้รู้ได้เข้าใจ
    เรื่องนามธรรมต่างๆได้ดีขึ้น การได้เห็นสิ่งต่างๆทางนามธรรมทั่วๆไปนั้น
    เป็นเพียงแค่เรื่องรอง เราตัดสัญญาความจำได้ มันก็ไม่เห็นแล้วครับ.
    เพราะถ้ายังเป็นภาพอย่างไรมันก็ยังมีการปรุงแต่งครับ..

    ปล.ประเด็นคือ เราต้องรู้ว่าสิ่งที่มันเกิดมันมีเป็นปกติ
    มันมีมาก่อน มันเป็นธรรมชาติอย่างนี้หรือเปล่า
    ไม่ว่าจะพลังงานต่างๆที่แปรเป็นภาพต่างๆ
    เพียงเราต้องเข้าใจในสิ่งที่เป็น เราควรจะต้องรู้แต่ว่าไม่ควรยึด
    และรู้วิธีการที่จะอยู่เพื่อที่จะปรับให้อยู่ร่วมกับธรรมชาติที่เป็นอยู่ได้อย่างแยบยล
    ตามเหตุและปัจจัยที่ทำให้เราเริ่มเข้าสู่การสัมผัสกับธรรมชาติได้นั่นเอง
    ประมาณนี้พอจะเข้าใจประเด็นนี้ไหมครับ
     
  13. ธรรมมนุษย์

    ธรรมมนุษย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2010
    โพสต์:
    397
    ค่าพลัง:
    +1,908
    สาธุๆๆ อนุโมทามิ ครับ เกรงใจจังคุณ nopphakan เขียนมายาวและแฝงคำสอนเน้นๆช่วยเตือนสติผม ขอบคุณมากครับ กด Like ให้เลยครับผม
     
  14. nongnewinbkk

    nongnewinbkk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2013
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +239
     
  15. nongnewinbkk

    nongnewinbkk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2013
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +239
    นี่คงเป็นที่มาของคำว่า มีดวงตาเห็นธรรม ที่เขาพูดๆกันหรือเปล่านะ[/QUOTE]


    แต่ที่ใช้ๆกันอยู่ คำว่า มีดวงตาเห็นธรรม มักหมายถึง การเข้าใจ ใน ธรรม มากกว่า มีดวงตา ที่เป็น ตาปัญญาคะ
     
  16. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,047
    ประมานที่น้องนิว เข้าใจนั่นหละคับ.
    ถ้าพอจับทางได้ จะพยามยามบอกว่า.
    อย่าไปเน้นและให้ความสำคัญกับสิ่งที่เห็นมาก
    ว่ามันคืออะไรเพราะจะเสียเวลา
    แต่ให้เข้าใจให้ได้ว่า เมื่อเห็นแล้วเราเข้าใจ
    วัถตุประสงค์ได้ไหมว่าเห็นแล้วมันได้อะไร? เพื่ออะไร?
    ถ้าเราเริ่มชินได้ เริ่มเข้าใจวัถตุประสงค์ได้
    ต่อมามันก็จะกลายมาเป็นการย้อนรู้เหตุและผลไม่ว่าจากชาติใดๆ
    และกลายมาเป็นปัญญาทางธรรม ที่จะพรำ่สอนจิต
    ทำให้เรารู้และเข้าใจตลอดจนอยู่กับสภาวะปัจจุบัน
    กลายมาเป็นเครื่องรู้พิเศษตัวหนึ่งในการชีวิตเพื่อให้เรา
    อยู่ร่วมกับสังคมได้อย่างแยบยลไงคับ. การมีเครื่องรู้
    พิเศษในลักษณะนี้ถึงจะก่อเกิดประโยชน์ต่อตัวจิต
    และต่อตัวเราที่จะส่งผลต่อบุคคลอื่นๆได้ตามลำดับคับ
     
  17. ตั้งฉาก

    ตั้งฉาก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2013
    โพสต์:
    495
    ค่าพลัง:
    +573

    แต่ที่ใช้ๆกันอยู่ คำว่า มีดวงตาเห็นธรรม มักหมายถึง การเข้าใจ ใน ธรรม มากกว่า มีดวงตา ที่เป็น ตาปัญญาคะ[/QUOTE]

    เอ้ยยยย ... ตาที่สามไม่ใช่ ดวงตาธรรม

    ดวงตาธรรม อยู่ที่จิต เป็น โลกุตตระ ธรรม

    ตาที่สามเป็นโลกียะ เป็นความสามารถในการฉายภาพ ให้จิตเห็นที่สมอง
    และ ตาที่สาม ไม่ใช่ตา เป็นส่วนฉายภาพเฉยๆ

    ผัสสะ การมองเห็น มาได้จาก หู หรือ ลิ้น หรือ จมูก หรือ กาย(ผิวหนัง) หรือ ใจ เป็นต้น ... สามารถ มาสร้างภาพ ที่ตาที่สามได้ โดยไม่ต้อง อาศัย ลูกกะตา

    ความหยาบละเอียด ก็แล้วแต่ จะด้วยกายขันธ์ หรือ จิตขันธ์

    บางคน ใช้มือ ลากผ่านอากาศ จะเห็นภาพปรากฏได้
    บางคน ใช้ลิ้น เป็นสื่อ ก็จะเห็นภาพปรากฏได้เช่นกัน
    บางคน เพ่งอารมภ์ ก็จะปรากฏภาพที่ตาที่สาม
    (จริงๆ พวกนี้ ปรากฏที่จิตได้เหมือนกัน ซึ่งเป็น ธรรม มากกว่า เพราะจิตมีอารมภ์เดียว แต่ตาที่สามจะยังไม่เป็นธรรม เพราะสิ่งที่เห็นที่สัมผัสนั้น อาจเกิดจากกายปรุงแต่ง หรือจิตปรุงแต่งได้ เมื่อเข้ามาติดตรงนี้แล้ว ออกยากกกกก มากกกก เพราะสำคัญผิดในคุณวิเศษนี้)

    ก็ที่ไม่ใช้กัน เพราะ มันดูผิดมนุษย์มนา ไม่เลิศ ดูเหมือนสัตว์เดรัจฉาน ไปซะ
    แต่จริงๆ เป็นความสามารถ ที่มีมาอยู่แล้ว ขึ้นกับ จะพัฒนาใช้ตรงนั้น หรือไม่

    ตัวอย่างมีให้เห็น เยอะ คิดว่าตัวเอง วิเศษวิโส คิดว่าตัวเองเป็นเทพซีอัส คิดว่าตัวเองบรรลุธรรมสูงสุดแล้ว กู่กันไม่ค่อยกลับ
    ไม่เชื่อลองมองดูรอบๆ ตัวเอง สิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 พฤศจิกายน 2014
  18. yellowdog01

    yellowdog01 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2014
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +25
    ขออนุโมทนาด้วยครับที่ปฏิบัติธรรม ส่วนกรณีที่สงสัยถ้าจำไม่ผิด หลวงพ่อ พุธ ท่านสอนบอกไม่ให้สนใจสิ่งเหล่านี้ สนใจสิ่งที่กำลังทำอยู่ก็พอ อย่างบริกรรม พุทโธๆ อยู่ก็สนใจแต่คำบริกรรมนั้น ไม่ต้องสนใจอาการอย่างอื่น ถ้าเวทนาเกิดขึ้นถ้าทนไหวก็ทน ไม่ไหวค่อยเปลี่ยนท่า (ให้คิดว่าถ้าจะตายเพราะนั่งสมาธิก็ให้มันตายไปเถอะครับ ดีกว่ากว่าตายแบบอื่นเยอะ คิดแบบนี้จะไม่กลัวตาย และได้ขันติบารมีด้วย)
    คือหลักการสำคัญเขาจะเน้น มีสตินะครับ ถ้าคุณรู้สึกตัวเมื่อไหร่ไม่ว่าปากจะสวดมนตร์ไปเองก็ตาม ให้คุณก็บริกรรมต่อไปเลย จะได้ยินเสียงโน่นเสียงนี่ก็ไม่ต้องสนใจหรอก เคยฟังเทศน์ ท่านบอกให้พุธโทๆไป ไม่ต้องคิดแม้กระทั่งจะสงบเมื่อไรด้วย หน้าที่ของเราคือมีสติอยู่กับพุธโทนั้นเท่านั้น
    คิดว่าคุณน่าจะหาเทศน์ครูอาจารย์มาฟังนะครับ จะได้เป็นแนวทางและหายสงสัยและมีกำลังใจ แนะนำ หลวงตามหาบัว หลวงปู่เจี๊ยะ หลวงพ่อพุธ ฐานิโย พลวงปู่ชา สุภัทโท หาได้ตามเน็ตนี้แหละ ฟรีด้วย สำคัญนะครับการฟังธรรมเนี่ย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 พฤศจิกายน 2014
  19. nongnewinbkk

    nongnewinbkk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2013
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +239
    ขอบพระคุณคุณตั้งฉาก ที่มาอธิบายไว้ให้เข้าใจขึ้นคะ

    แรงตึงบริเวณหน้าผากไปรวมกับบริเวณกลางกระหม่อมแล้ว เกิดความรู้สึกเบากาย สบายสมองยังไงไม่รู้ เหมือนจะวูบๆไปเลย เหมือนความรู้สึกหายไปเลย ดื้อๆในระหว่างวัน เป็นอยู่เกือบทั้งวัน

    เวลาสวดมนต์ก็ตัวเบาหวิวๆ เกิดอาการตึง ขนลุกทั้วตัว เบาหวิวๆๆ เหมือนเราไม่มีกาย ผ่อนคลายกายเบามากคะ ก็เลยนั่งสมาธิต่อ ก็รู้สึกมือกระตุก และนิ่งได้ไวดีคะ
     
  20. Rei123

    Rei123 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2013
    โพสต์:
    332
    ค่าพลัง:
    +266
    สาธุครับ อยากฝึกด้วยครับ
    *** เริ่มแรก ผมควรฝึกอะไรให้ได้ก่อนครับ ***
    ตอนนี้ผมก็สวดจักรพรรดิ์ ทุกวัน มา ได้ 2 ปีกว่าละครับ
    และหลังๆมานี้ ฝันทุกคืน จนรู้สึกว่าร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...