ยืมเงินกองทุนสงฆ์อาพาธไปช่วยชีวิตคนผิดไหม ?

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย glassbuddha2009, 16 ตุลาคม 2013.

  1. WHITE_ROAD

    WHITE_ROAD เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2008
    โพสต์:
    36
    ค่าพลัง:
    +163
    พระอาจารย์ เล่าว่า "ที่ วัดท่าขนุน ตอนนี้บริษัทรับเหมากำลังเจาะเสาเข็มกันอยู่ อาตมาเองก็เพิ่งทำพิธีลงเสาเอกไปเมื่อวันที่ ๒๗ ที่ผ่านมา แต่เป็นที่น่าสงสารเป็นอย่างยิ่ง ก็คือพวกคนงาน ถึงเวลาก็ลงไปกวาดเหรียญเงิน เหรียญทอง เหรียญในหลวง แก้วแหวนอะไรต่างๆ ไปคนละหอบสองหอบ อาตมาก็ไม่รู้จะบอกเขาไปทำไม ว่าสิ่งที่ตัวเขาเองทำนั้นจะเดือดร้อนสาหัสทีหลัง

    ญาติโยมจำนวนมากยังไม่ทราบว่า การที่เข้าวัดเข้าวา แล้วนำเอาสิ่งต่าง ๆ ไปนั้นเป็นหนี้สงฆ์ คำว่า "หนี้สงฆ์" ถ้าเราไม่รู้โทษก็จะไม่รู้สึกว่าหนัก ขอบอกว่าหนี้สงฆ์จะมากจะน้อย เขาปรับโทษอเวจีอย่างเดียว เพียงแต่ว่าจะอยู่นาน อยู่เร็วกว่ากันเท่าไร ก็ขึ้นอยู่กับจำนวนหนี้สงฆ์ที่เราเป็นอยู่ การเป็นหนี้สงฆ์ถ้าไม่ได้ชำระหนี้ บุญทั้งหมดที่ทำมา...เป็นหมันหมด ...เพราะว่าเขาจะเอาลงไปปิ้งเล่นที่อเวจีก่อน..!

    อาตมาสงสารพวกคนงานชุดนั้น แต่รู้ว่าบอกไปก็ไร้ประโยชน์ ถ้าบอกไปจะเป็นโทษหนักกับเขาอีก เพราะกลายเป็นว่ารู้แล้วยังขืนทำ ถ้าไม่บอกก็ให้เขาทำๆ ของเขาไป โทษยังไม่หนักเท่านั้น เขาอาจจะได้ทอง ได้เงินไปขายเพื่อยังชีพ สร้างความสุขสบายให้แก่ตัวเองก็ได้แค่พักเดียว พอถึงเวลาความเดือดร้อนมาถึงจะแก้ตัวก็ไม่ทันแล้ว เพราะส่วนใหญ่ไปรู้เอาตอนตาย

    ในเมื่อเป็นอย่างนั้น พวกเราเองที่พอจะรู้ ก็พยายามแนะนำลูกหลานญาติโยมของตนเองให้เข้าใจในเรื่องของการเป็นหนี้สงฆ์ คนโบราณสมัยก่อนจิตใจละเอียดมาก บรรดารุ่นปู่ย่าตายาย เวลาจะไปวัด จะบอกลูกหลานให้หยิบดินที่บ้านก้อนหนึ่งใส่หาบไปด้วย พอไปถึงก็ไปโยนไว้ในวัด เพราะเขาถือว่าการเดินเข้าวัด ทำให้มีเศษดินจากวัดติดเท้าไป ในเมื่อเศษดินจากวัดติดเท้าไปเท่ากับว่าเป็นหนี้สงฆ์

    คนโบราณที่ใจละเอียดก็เลยใช้วิธี ชำระหนี้สงฆ์ โดยการเอาดินจากบ้านก้อนหนึ่ง จะก้อนเล็กก้อนใหญ่ก็อยู่ที่ลูกหลานจะหยิบให้ ใส่หาบที่เอาภัตตาหารไปถวายพระ ถึงเวลาก็เอาไปโยนไว้ในวัด ถือว่าใช้หนี้กันไป แล้วอีกส่วนหนึ่งที่โบราณท่านทำอยู่เป็นประจำ ก็คือการขนทรายเข้าวัด เขาก็ถือว่าการติดหนี้สงฆ์นั้น แต่ละปีจะทำการใช้หนี้ด้วยการขนทรายเข้าวัด สมัยก่อนทรายไม่ได้ซื้อหากันง่ายอย่างในสมัยนี้ อยากได้ทรายต้องไปงมเอาในแม่น้ำ ต้องดำน้ำลงไปตักขึ้นมาทีละถังครึ่งถัง แล้วแต่ว่าใครจะสามารถตักได้เท่าไร"

    "อย่างสมัย หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ทำการก่อสร้าง หลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านบอกว่า หลวงปู่ปานต้องดำงมทรายเอง ตัวดำเป็นเหนี่ยงเลย เด็กสมัยนี้ไม่รู้จักว่า "เหนี่ยง" หน้าตาเป็นอย่างไร แมลงเหนี่ยง เป็นแมลงชนิดหนึ่ง บางคนเรียกว่าแมลงตับเต่า เอามาคั่วเกลือกินอร่อยดี ดำจนขึ้นเงา เพราะฉะนั้น..สมัยก่อนอะไรที่ดำๆ เขาจะไม่บอกว่าดำเหมือนอีกา เขาจะบอกว่าดำเป็นเหนี่ยง ท่านบอกว่า “หลวงปู่ปานนี่ดำทรายทุกวัน ตัวดำเป็นเหนี่ยงเลย” ว่าอย่างนั้น

    แสดงว่าสมัยก่อนที่เราจะซื้อจะหาทรายกันเพราะมีเครื่องดูดนั้น คนโบราณเขาใช้วิธีดำไปตักทรายกัน แล้วก็เอาใส่หาบ หาบไปวัด ไปก่อเจดีย์ทรายถวายเป็นพุทธบูชา แล้วอีกประการหนึ่งที่สำคัญก็คือ ได้ชำระหนี้สงฆ์ที่ตนเองติดหนี้เอาไว้ เนื่องจากว่าเข้าวัดเข้าวาแล้ว ได้เหยียบย่ำเอาดินทรายติดเท้าไป มาระยะหลัง หลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านแนะนำว่า ถ้าอยากจะชำระหนี้สงฆ์ให้สร้างพระพุทธรูปหน้าตัก ๔ ศอก ถ้าสร้างพระพุทธรูปหน้าตัก ๔ ศอกแล้วไม่ปิดทอง ชำระหนี้ได้เฉพาะเจ้าภาพคนเดียว แต่ถ้าปิดทองด้วย ชำระได้ทั้งคณะ จะกี่ร้อยกี่พันคนก็ได้ถ้าร่วมกันทำ

    ญาติโยมส่วนใหญ่เข้าวัดแล้วไม่มีความรู้ เพราะว่ารุ่นพ่อรุ่นแม่ก็ไม่รู้ ไม่ได้อบรมมา รุ่นเราก็ไม่รู้ ถึงเวลาจึงไม่ได้อบรมต่อ ลูกหลานก็ยิ่งไม่รู้หนักเข้าไปอีก ฉะนั้น..ถึงเวลาเข้าวัดแล้ว ชอบใจอะไรก็หยิบไปเรื่อย เห็นดอกไม้สวยเด็ดดอกไม้ เห็นผลไม้สุกเก็บผลไม้ เป็นต้น สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นทำให้เราเป็นหนี้สงฆ์ทั้งนั้น และโดยเฉพาะบรรดาลูกหลานที่เป็นพระยิ่งไม่เข้าใจ ก็ยิ่งมีการแสดงออกที่ทำให้พ่อแม่เป็นหนี้สงฆ์หนักขึ้นไปอีก ก็คือญาติโยมเขาถวายอะไรมา ก็ขนกลับบ้านไปให้พ่อแม่"

    สนทนากับพระครูวิลาศกาญจนธรรม (พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ)
    ณ บ้านวิริยบารมี วันที่ ๓๑ เดือนมีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๖
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 ตุลาคม 2013
  2. WHITE_ROAD

    WHITE_ROAD เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2008
    โพสต์:
    36
    ค่าพลัง:
    +163
    ถาม : ผมพาลูกไปใส่บาตร พอใส่บาตรเสร็จ หลวงตาก็ให้ขนมลูกกลับมา จะแก้อย่างไรครับ ?
    ตอบ : ไม่ต้องแก้ ปล่อยให้หลวงตาติดหนี้สงฆ์ไป

    ถาม : ไม่เกี่ยวกับลูกผมใช่ไหมครับ ?
    ตอบ : ไม่เกี่ยว..หลวงตาท่านให้ ในเมื่อหลวงตาคิดว่าเป็นของหลวงตา หลวงตาก็ติดหนี้สงฆ์ไป

    ถาม : ลูกผมมากินไม่เป็นไรใช่ไหมครับ ?
    ตอบ : ไม่เป็นไรหรอก..ถ้าข้องใจ ราคาเท่าไร เราก็ซื้อของใส่บาตรไป ถ้าไม่คาใจก็แล้วไป

    ถาม : ใส่เงินก็ได้ใช่ไหมครับ ?
    ตอบ : ได้..แต่ที่สำคัญก็คือ ส่วนใหญ่แล้วพระท่านไม่รู้ว่า พระพุทธเจ้าท่านอนุญาตให้เลี้ยงพ่อกับแม่เท่านั้น เพราะถ้าเลี้ยงคนทั่วไป คนใส่บาตรจะขาดศรัทธา ต่อไปศาสนาจะอยู่ไม่ได้

    ถาม : เราบอกท่านจะน่าเกลียดไหมครับ ?
    ตอบ : น่าเกลียด

    ถาม : พอใส่เสร็จท่านก็เรียกลูกมาเอาแอปเปิ้ลไปกิน เอาขนมไข่ไปกิน ลูกผมก็วิ่งเลย เพราะได้ขนม
    ตอบ : ไม่เป็นไร หลวงตารับผิดชอบเองได้ เป็นความเฮงของหลวงตาที่ไม่คิดว่าจะเจอ ในเมื่อท่านคิดว่าเป็นส่วนตัวของท่านแล้วให้คนอื่น ท่านก็ติดหนี้สงฆ์เอง

    ถาม : ถ้าเราซื้อไปเหมือนเดิม ใส่คืนให้ท่านจะหายไหมครับ ?
    ตอบ : ถ้าติดใจเรา คือเรากลัวเป็นหนี้สงฆ์ ก็คืนไป แต่ท่านเป็นแล้วเป็นเลย ท่านต้องแก้ของท่านเอง ไม่ใช่เราไปแก้ให้ท่าน

    แม้กระทั่งพ่อแม่ พระพุทธเจ้าท่านก็ให้สงเคราะห์ด้วยปัจจัย ๔ ตามสมควร ก็คือพอดำรงชีพอยู่ได้ แต่มีหลายท่าน ประเภทปลูกบ้านให้แม่อยู่ ๒๐ ล้านบาท ซื้อรถเบนซ์ให้พ่อแม่ นั่นไม่ใช่สิ่งที่พระพุทธเจ้าอนุญาตแล้ว ถ้าเป็นเงินส่วนตัวของท่านก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเป็นเงินสงฆ์นี่เฮงไม่รู้จบเลย..!

    สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนตุลาคม ๒๕๕๕


    ถาม : สร้างพระแล้ว...(ไม่ได้ยิน)...แก้ไขอย่างไร ?
    ตอบ : คงแก้ไม่ได้แล้วเพราะสร้างเสร็จไปแล้วนี่ เหลืออย่างเดียวก็คือ หาทางชำระหนี้สงฆ์เอาก็แล้วกัน เพียงแต่ว่าโทษย้ายเจดีย์โดนไปเต็ม ๆ แล้ว

    ถาม : ถ้าสร้างพระหน้าตัก ๔ ศอกแทน จะแก้ได้ไหมครับ ?
    ตอบ : แก้ได้ไม่หมด ส่วนที่เป็นหนี้สงฆ์แก้ได้ แต่ส่วนที่เป็นโทษการย้ายเจดีย์ ที่เราเอาเงินเขาไปทำอย่างอื่นนั้นแก้ไม่ได้

    ถาม : โทษย้ายเจดีย์ปรับเฉพาะพระหรือฆราวาสด้วยครับ ?
    ตอบ : ใครทำก็โดนทั้งนั้น

    ถาม : สองคนก็เกี่ยงกันว่าหน้าที่ใคร
    ตอบ : ปล่อย..เดี๋ยวลงข้างล่างก็รู้เอง..!

    สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนสิงหาคม ๒๕๕๕
     
  3. glassbuddha2009

    glassbuddha2009 087-7459995 สมบูรณ์ ติยะวงศ์สกุล

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    36,935
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +53,840
    ขอบคุณมากครับคุณ WHITE_ROAD ตัวอย่างค่อนข้างชัดเจนครับ
     
  4. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    แต่ส่วนที่เป็นโทษการย้ายเจดีย์ ที่เราเอาเงินเขาไปทำอย่างอื่นนั้นแก้ไม่ได้



    ต้องทำการย้ายกลับมาตามเดิมนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 ตุลาคม 2013
  5. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ถาม : เงินที่คนทำบุญมาในช่วงบวช ผมได้แบ่งให้พ่อแม่ไปบางส่วน ?

    ตอบ : บอกท่านให้รีบไปสร้างพระชำระหนี้สงฆ์เสีย ถ้าตายก่อนก็ซวยจริงๆ ส่วนใหญ่สมัยนี้ลูกก็ไม่รู้
    ได้อะไรมาตอนเป็นพระก็ดันเอาไปให้พ่อให้แม่ ให้ญาติให้โยม พาเขาซวยชัดๆ..!


    ถาม : ถือว่าเป็นปาราชิกไหมครับ ?

    ตอบ : ไม่เป็น...แต่เป็นการเอาของสงฆ์เข้าบ้าน หาเรื่องเดือดร้อน
    ปาราชิกต้องขโมย นี่เป็นของเรา แต่ว่าเราได้จากการที่เป็นพระแล้ว เขาเรียกว่าของสงฆ์


    ถาม : ต้องไปร่วมสร้างพระชำระหนี้สงฆ์ใช่ไหมครับ ?

    ตอบ : ถ้าใครเขาสร้างก็ต้องร่วมกับเขาไป ถ้าไม่มีก็ต้องรีบสร้างเสียเอง
    เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงมากเพราะสมัยนี้ส่วนใหญ่บวชตามประเพณี
    แล้วครูบาอาจารย์หรือพระพี่เลี้ยงก็ไม่สั่งไม่สอน ก็เลยกลายเป็นบวชแล้วมีโทษมากกว่า

    อยู่วัดท่าขนุนนี่ ทิดกวางจะต้องปากเปียกปากแฉะอย่างน้อย ๗ วัน ย้ำแล้วย้ำอีก
    ถ้าคนไหนเคยบวชมาก่อน ต้องไล่ถามกันเลยว่าเคยโดนอาบัติสังฆาทิเสสข้อไหนมาบ้าง ไล่ไปทีละข้อ
    ถ้าใครเคยโดนมาก่อนให้ไปอยู่ชุดสุดท้าย บวชเสร็จก็ส่งไปอยู่ปริวาสเลย
    ให้อยู่กรรมให้ครบแล้วค่อยกลับมา เพราะว่าถ้าอยู่ชุดแรกนี่เท่ากับเป็นสังฆาทิเสสคาอยู่
    ถึงเวลาบวชเสร็จไปนั่งเข้าสังฆกรรมพระชุดต่อๆ ไปก็ไม่เป็นพระแล้ว
    เพราะกลายเป็นอนุปสัมบัน คนที่ศีลไม่เสมอกันไปอยู่ด้วยสังฆกรรมก็เสียหมด


    สนทนากับพระครูวิลาศกาญจนธรรม (พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ)
    ณ บ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๖
     
  6. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    เรื่องที่พระสงฆ์ นำของสงฆ์ไปให้ต่อแก่บุคคลอื่นนั้น ต้องดูให้ดีว่า เป็นของเฉพาะตน หรือส่วนกลาง
    หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านได้อธิบายไว้ ดังนี้


    ผู้ถาม : หลวงพ่อครับ คนที่กินข้าวที่พระอนุญาตแล้ว ทำไมถึงตกนรก และพระที่ให้ก็ต้องตกนรกด้วยครับ....?


    หลวงพ่อ : ถ้าอาหารที่พระให้ต้องเป็นของญาติโยมที่ถวายเฉพาะองค์นั้น ไม่มีโทษแน่
    แต่ที่เป็นอย่างนี้ต้องเป็นอาหารที่เขาถวายเป็นส่วนกลาง คือเป็นของสงฆ์
    ของสงฆ์นั้นพระองค์ใดองค์หนึ่งไม่มีสิทธิ์ให้ นอกจากสงฆ์จะประชุมตกลงให้พระองค์นั้นเป็นผู้จ่ายแทนสงฆ์

    ตัวอย่างของสงฆ์เช่น อาหารวันพระ ที่มีข้าวใส่บาตรเหลือมากๆ แล้วทายกใส่ถ้วยเอาไปกินบ้าน
    โดยที่คณะสงฆ์ไม่มีส่วนรู้เห็น อย่างนี้ แม้แต่เจ้าอาวาสเองยังไม่มีสิทธิ์ให้ตามลำพัง
    บางทีกินอาหารที่พระฉันเหลือ ถ้าพระอนุญาตแล้วไม่มีโทษ (สำหรับโยมที่ไปในงาน ทางวัดเขาตั้งใจเลี้ยงก็ไม่เป็นไร)

    แต่บางท่านก็หยิบของที่พระฉันแล้วเอามาเฉยๆ บางท่านก็ขอเอาดื้อๆ ให้หรือไม่ให้ก็ตาม ออกปากขอแล้วยกไปเลย
    พระยังไม่ทันอนุญาต ท่านทายกประเภทนี้ ท่านช่วยยกคนที่กินกับท่านลงอเวจีแบบสะดวก เมื่อจะขอต้องดูว่าอาหารมากไหม
    ถ้ามากจนเหลือเฟือ ก็ขอให้พระท่านให้ตามความพอใจของท่าน เพราะท่านอาจมีกังวลนำอาหารไปให้ใครก็ได้ที่ท่านมีภาระต้องเลี้ยง
    ถ้าถือเอาตามความพอใจก็ต้องถือว่าแย่งอาหารจากพระมีโทษ 100 เปอร์เซ็นต์

    และอาหารถวายพระพุทธรูป ก็เหมือนกัน อาหารประเภทนี้ดูเหมือนจะเป็นเหยื่อล่อให้ทายกลงอเวจีสะดวกสบายมาก
    อาหารที่เขานำมาวัด เขาตั้งใจถวายพระสงฆ์ การนำไปถวายพระพุทธรูปนั้นเป็นความดี เพราะเป็นพุทธานุสสติด้วย เป็นพุทธบูชาด้วย
    แต่อาหารประเภทนี้ไม่จำเป็นต้องใช้มาก เพราะพระพุทธรูปไม่ได้ฉัน ท่านจะฉันหรือไม่ฉันก็ตาม อาตมาคิดว่าทายกทายิกาไม่มีสิทธิ์จะกิน
    หลายวัดหรือส่วนใหญ่ ทายกมักจะเอาอาหารดีๆ และมากๆ ไปทุ่มเทถวายพระพุทธรูป

    เมื่อพระฉันเสร็จแล้ว ต่างก็ยกเอามากิน ตอนนี้ไม่ถูกด้วยประการทั้งปวง ต้องเอาไว้ถวายพระตอนเพลจึงจะถูก
    ทายกทายิกาจะกินได้เฉพาะอาหารที่เหลือเป็นแดนจากพระฉันเท่านั้น ไม่มีสิทธิ์สถาปนาตนเองเป็น ลูกศิษย์พระพุทธรูป แต่ประการใด

    รวมความว่า ของที่ถือว่าเป็นของสงฆ์นั้น คือของในวัดทุกประการที่เขาถวายเป็นของสงฆ์แล้ว
    แม้แต่ดอกไม้ ผลไม้ในวัดเศษไม้ที่คิดว่าทำอะไรไม่ได้แล้ว เอามาทำฟืนบ้าง ทำอย่างอื่นเล็กๆ น้อยๆ บ้าง
    จงอย่าคิดว่าไม่มีบาป แม้แต่เศษกระเบื้องที่ทิ้งแล้ว ก็เป็นของสงฆ์ มีผลเสมอกัน

    เว้นไว้แต่ดอกไม้ผลไม้ที่พระหรือท่านผู้ใดปลูกในวัด ถ้าท่านเจ้าของยังอยู่ในเขตวัดนั้นและท่านอนุญาต
    อย่างนี้เอามาได้ไม่บาป ด้วยท่านเจ้าของมีสิทธิ์สมบูรณ์ให้ได้ รับมาได้ไม่มีโทษ ถ้าท่านผู้ปลูกออกไปจากวัดนั้นหรือตายไปแล้ว
    ของนั้นเป็นของสงฆ์โดยตรง ไปเอามามีโทษตามกำลังบาป ขโมยของสงฆ์

    และอีกประการ หนึ่ง วัดร้างที่ไม่มีพระอยู่ แต่มีสภาพเป็นวัด กับที่ของสงฆ์ที่เป็นไร่นาไปแล้ว ไม่มีสภาพเป็นวัด
    ถ้าเราไปนำมานิดเดียวแม้แต่หญ้าต้นเดียว เขาถือว่า เป็นหนี้สงฆ์ อันนี้อันตรายมาก สมัยหลวงพ่อปาน
    ท่านก็แนะนำให้คน ชำระหนี้สงฆ์ บาทสองบาทสลึงสองสลึง บางคนไม่มีเงินเอามาทำงานแทน
    ทำอะไรก็ได้ไม่บังคับ คือ ดายหญ้าก็ตามไม่เอาค่าแรง

    อยากทราบความคิดเห็นของทุกๆคนว่าการที่พระเข้ามาบวชได้เงินระหว่างการบวช เมื่อสึกแล้ว เ
     
  7. glassbuddha2009

    glassbuddha2009 087-7459995 สมบูรณ์ ติยะวงศ์สกุล

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    36,935
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +53,840
    ตัวอย่างของคุณ Saber ก็ชัดเจนครับ คราวนี้ก็มาถึงคำถามที่ว่า ถ้าเช่นนั้น การสร้างพระพุทธรูปอย่างไร จึงจะถึงขั้นการใช้หนี้สงฆ์ บางครั้งการสร้างพระที่เป็นประธานในพระอุโบสถก็ไม่ได้ประกาศว่าเป็นการชำระหนี้สงฆ์ การสร้างพระพุทธรูปในศาลา หรือที่อื่น ๆ ที่ไม่ได้ประกาศว่าเป็นการชำระหนี้สงฆ์ ถ้าเช่นนั้นการที่สร้างพระพุทธรูปถึงแม้จะมีขนาดหน้าตัก 4 ศอกหรือ 2 เมตรขึ้นไป แต่เขาไม่ได้ประกาศว่าเป็นการชำระหนี้สงฆ์ จะมีอานิสงส์แห่งการชำระหนี้สงฆ์ด้วยเลยหรือไม่ ? และจำนวนจตุปัจจัยที่เข้าร่วม จะต้องเป็นจำนวนเท่าใด เพราะตั้งแต่อดีตชาติ เราอาจเคยติดหนี้่สงฆ์มาก่อนแล้ว และจำนวนคงจำไม่ได้แล้ว

    ขอความกระจ่างตรงนี้อีกหน่อยครับ
     
  8. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    บอกไว้ก่อนะครับผมก็ไม่ค่อยรู้อะไรมากนะครับ ตอบได้เท่าที่รู้นะครับ

    ต้องแยกให้ออกนะครับ ระหว่างโทษ หนี้สงฆ์ กับ โทษ ย้ายฐานเจดีย์

    ถ้าโทษหนี้สงฆ์ ชำระหนี้สงฆ์คืนได้ครับ

    แต่ถ้าโทษ ย้ายฐานเจดีย์ ชำระหนี้สงฆ์ ไม่ได้นะครับ

    โทษย้ายฐานเจดีย์ ยกตัวอย่างเช่น รับบริจาคเงิน คนบริจาคเงินมาเพื่ออย่างนึง แต่เรานำเงินไปใช้อีกอย่างนึง ไม่ตรงตามจุดมุ่งหมายของคนบริจาค มีโทษเท่าย้ายฐานเจดีย์ ครับ

    โทษย้ายฐานเจดีย์ ชำระหนี้สงฆ์ไม่ได้ครับ มีวิธีแก้แค่อย่างเดียว ก็คือ ย้ายกลับ หรือก็คือ นำเงินกลับไปใช้ให้ถูกต้องตามจุดมุ่งหมายของผู้บริจาคเท่านั้นครับ

    เรื่อง โทษของการย้ายฐานเจดีย์ ต้องรอท่านอื่นเข้ามาบอกนะครับ ผมไม่ทราบเรื่องตรงนี้ครับ พวกรายละเอียดต่างๆ รู้คร่าวๆแค่ว่า ถ้านำเงินไปใช้ผิดประเภท หนัก หนักเท่าย้ายฐานเจดีย์

    ส่วนเรื่อง อดีตชาติ เราอาจเคยติดหนี้่สงฆ์ หรือปัจจุบัน เดี่ยวว่างๆ จะไปหามาลงให้ครับ
     
  9. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    หลวงพ่อฤาษี(ลิงดำ) บอกไว้ในหนังสือ ถ้าเราไม่ได้นำปัจจัยเขาไปทำบุญตามที่เขาอธิษฐาน เช่นเขาตั้งใจไปทำบุญสร้างห้องสุขา แต่เราไม่ได้นำไป หรือไปทำบุญอย่างอื่น หลวงพ่อฤาษี(ลิงดำ) ท่านบอกไว้ว่า เป็นบาป เหมือนกับย้ายเจดีย์ ท่านปรับอเวจีไว้ก่อน

    เดินสายหล่อพระ หล่อพระปางเปิดโลก เนื่องในวันครบรอบ 231 ปี วันตั้งเสาหลักเมืองกรุงเทพฯ | แห
     
  10. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ...ลังอาหารเช้าโกไลมาปรึกษาท่านนาวินว่า ทางญาติจะให้ทำบุญให้พ่อพร้อมกันในวันทำบุญให้แม่ ทางครูบาน้อยจะมีความเห็นว่าอย่างไร..?
    “ผมขอยืมเงินส่วนตัวของอาจารย์สักแสนจะได้ไหมครับ ? งานทานหา(ทำบุญ) พ่อแม่ครั้งนี้ ทางญาติเขาให้ผมเป็นเจ้าต้น (ประธาน)” ครูบาน้อยเอ่ย...อาตมาควักใบละพันจั๊ตส่งไปให้ทั้งปึก ญาติโยมทางนี้ยังไม่มีความเข้าใจเรื่องเงินสงฆ์ของสงฆ์เลยแม้แต่น้อย...
    โทษของการนำเงินสงฆ์ของสงฆ์ไปใช้ ไปอเวจีที่เดียวเท่านั้น..! แต่โยมทางนี้เห็นว่า เงินที่พระหามาได้ก็สามารถใช้ได้ทุกเรื่อง น่าสงสารมาก ค่ใช้เงินผิดเจตนาที่ผู้ทำบุญระบุมา เขาก็ปรับโทษเท่าย้ายเจดีย์แล้วโยมเอ๋ย..!

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม (พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ)

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 ตุลาคม 2013
  11. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ต่อไป จะยกเรื่อง หนี้สงฆ์ มาลงให้ดูนะครับ

    เรื่องหนี้สงฆ์ การชำระหนี้สงฆ์
     
  12. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    การชำระหนี้สงฆ์

    ถาม : ..............................
    ตอบ : อันดับแรก เราตั้งใจว่าทรัพย์สิน หรือสิ่งของอะไรที่เราเอาไปมีราคาเท่าไรในอดีตเราไม่นับราต้องนับราคาปัจจุบัน อย่างเช่นว่า ถ้าเป็นรถยนต์คันหนึ่ง สมัยก่อนราคาหนึ่งแสนบาท แต่สมัยนี้ ๘ แสนบาท ก็ต้องคืนเขา ๘ แสนบาท เขาคิดราคาปัจจุบันหมด ของสงฆ์ไม่มีการเก่า ไม่มีการเสื่อมสภาพ

    มีอยู่อย่างหนึ่งคือว่าให้เทียบกับราคาทองคำ เพราะราคาทองคำเป็นของมาตฐาน สมัยนั้นราคาของชิ้นนั้นซื้อทองได้เท่าไร ปัจจุบันนี้เขาก็เอาน้ำหนักของทองนั้นมาคิดราคาในปัจจุบัน

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม (พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ)

     
  13. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    การชำระหนี้สงฆ์

    ถาม : ..........................
    ตอบ : ถ้าหากว่ายุ่งยากมาก ส่วนใหญ่แล้วที่พลาดในอดีตชาตินั่นเราจะใช้หนี้เขามาแล้ว ตกนรกมาแล้ว ถ้าหากกลัวว่ายุ่งยากมาก หรือบางทีกำลังบุญของเราสูงกว่า แล้วเรารอดพ้นมาได้ จะต้องไปใช้เขา ก็ให้ทำการชำระหนี้สงฆ์ หรือไม่ก็สร้างพระชำระหนี้สงฆ์ไปเลย

    การสร้างพระชำระหนี้สงฆ์นั้น หนี้ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันเป็นอันว่าเลิกกันไป

    แต่พระชำระหนี้สงฆ์นั้นสร้างยาก เพราะว่าต้องสร้างพระพุทธรูปหน้าตักถึง ๔ ศอก คือ ๒ เมตรเต็ม ๆ ถึงจะชำระหนี้อันนั้นได้

    ถาม : ...(ไม่ชัด)...
    ตอบ : คุณเอาไปกี่ล้านก็ตาม ถ้าพระนั้นราคาแสนเดียวก็แปลว่าชำระได้ เพราะ พุทโธ อัปปมาโณ คุณของพระพุทธเจ้านั้นประมาณไม่ได้

    อานิสงส์การสร้างพระนั้น ถ้าหากว่าเป็นพระไม่ปิดทองก็ได้ตัวเจ้าภาพคนเดียวคนอื่นไม่ได้ แต่ถ้าพระนั้นปิดทองจะร่วมกันกี่ร้อยกี่พันคน มีอานิสงส์ชำระหนี้เหมือนกันหมด

    สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนกันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๔

     
  14. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    การชำระหนี้สงฆ์

    ---พวก เราบางคน เคยหยิบฉวยสิ่งของที่เป็นสมบัติของวัดหรือของสงฆ์ เช่น ก้อนหิน ก้อนดิน ผลไม้ ดอกไม้ ใบไม้ หรือบางทีทรายติดรองเท้าเรากลับออกมาจากวัด ฯลฯ แล้วเราเองก็ไม่ได้ทำบุญ บางทีเหตุการณ์เช่นนี้ อาจจะเกิดขึ้นตอนเราเป็นเด็ก ๆ ชอบซุกซนบ้าง เป็นต้น ฉะนั้น ในบางครั้ง เราเข้าวัดและบางทีไปใช้ธูป เทียน วัดบ้าง เพื่อจุดธูปไหว้พระ อาจจะดื่มน้ำมนต์และอาศัยไฟฟ้าของทางวัด เช่น พัดลม เป็นต้น แล้วลืมทำบุญ ฉะนั้น จะทำให้เราเป็นหนี้สงฆ์ทันทีโดยไม่รู้ตัว ดังนั้น เพื่อไม่ให้ต้องติดหนี้สงฆ์ไปถึงภพหน้าชาติหน้า ซึ่งเราเองก็ไม่ทราบว่า เราจะไปเกิดที่ใดภพใด จะมีโอกาสได้พบพระพุทธศาสนาหรือไม่ ฉะนั้น เพื่อเป็นการไม่ประมาท จึงควรถือโอกาสชำระหนี้สงฆ์ตั้งแต่วันนี้ทันทีที่มีโอกาสไปวัด เมื่อได้ไปทำบุญที่วัดใด คอยสังเกตตู้ ที่ทางวัดเขาตั้งใจให้เราใส่เงินทำบุญเพื่อชำระหนี้สงฆ์ จะได้ไม่ติดค้างไปภพหน้าต่อไป
    [​IMG]
    *การชำระหนี้สงฆ์
    (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
    ---หลวง พ่อสอนให้ลูกศิษย์และญาติโยมรู้จักชำระหนี้สงฆ์ และแนะนำให้สร้างพระชำระหนี้สงฆ์ พร้อมทั้งนำเกร็ดความรู้ที่ได้ประสบมาเล่าให้ฟัง เพื่อจะเป็นประโยชน์ต่อท่านทั้งหลาย จะได้นำไปประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้อง อีกทั้งจะได้เป็นเครื่องป้องกันตัวเองและผู้อื่นไม่ให้กระทำความชั่วต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับของสงฆ์อีก ท่านเล่าในหนังสือประวัติหลวงพ่อปานว่า
    ---ของ ทุกอย่างที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสมบัติของสงฆ์แล้ว จะเป็นสิ่งของหรือวัตถุเครื่องใช้อะไรก็ตาม จะมีราคามากหรือน้อยก็ตาม ผู้ที่นำไปใช้โดยพละการ หรือทำสิ่งของเหล่านั้นเสียหาย จะต้องนำสิ่งของเหล่านั้น มาทดแทนให้เหมือนเดิม ไม่เช่นนั้น จะทำให้ผู้ล่วงละเมิดลงสู่อเวจีมหานรกได้โดยง่าย
    ---อย่าง วัดร้าง ที่ปรากฎว่าเป็นดินเปล่า ไม่มีฐานะแสดงว่าเป็นวัด หรือบางแห่งแสดงฐานะว่าเป็นวัด แต่อยู่ในป่าในดง หรือวัดที่มีพระอยู่ก็ตาม เราจะนำสิ่งของอะไรมาก็ตามในเขตนั้น จะเป็นต้นหญ้าสักต้น ไม้หักสักอัน เขาก็ถือว่า ของเหล่านั้นเป็นของสงฆ์ หรือว่าถ้าใครยึดแผ่นดินของสงฆ์ไว้เป็นสมบัติส่วนตัวละก็ ถือว่าซวยขนาดหนัก แบบนี้มีผู้เรืองอำนาจรุกรานสงฆ์เคยตกนรกขั้นขุมที่ 7 มาแล้ว ขุมนี้หนักมาก รองจากอเวจีมหานรก เพราะอะไร เพราะบุกรุกที่ดินของวัด ถึงแม้จะไม่มีเจตนาโกง วัดก็เป็นวัดร้าง แต่ไม่รู้ว่าเป็นวัดร้าง แค่นี้ก็ตกนรกขุมที่ 7 จะมาอ้างว่าไม่รู้ ไม่เจตนาไม่ได้ มีความผิดหมด
    ---หรือ ว่ามีไม้ลอยมาหน้าบ้าน เราเห็นว่าไม่มีเจ้าของ เอาเข้ามาทำฟืน แต่ถ้าไม้นั้นมาจากวัด ก็เป็นไม้ของสงฆ์ ไปเอาเข้ามันก็บาป ต้นหญ้าต้นฟางที่มันอยู่กลางทุ่ง สถานที่นั้นอาจจะเคยเป็นวัดมาก่อนก็ได้ เขาเคยถวายเป็นของสงฆ์ แต่ว่าสภาพของวัดมันสูญไป ของที่อยู่ในนั้นทั้งหมด แม้แต่แผ่นดินก็ยังเป็นของสงฆ์ เราไปเอาต้นหญ้ามาต้นเดียวก็บาป แล้วโทษของสงฆ์หนักมาก เรียกว่า ขั้นอเวจีขั้นเดียว มีระดับเดียว ระดับอื่นไม่มี
    ---หลวง พ่อปานท่านก็ชวนชาวบ้านชำระหนี้สงฆ์ ว่าใครจะชำระหนี้สงฆ์บ้าง ด้วยจำนวนเท่าไหร่ก็ตาม เอามารวมกันแล้วประกาศต่อหน้าสงฆ์ ขอชำระหนี้สงฆ์ คือว่า วัดร้างที่ปรากฎมีเป็นวัดก็ตาม หรือไม่ปรากฎเป็นวัดก็ตาม วัดที่มีพระก็ตาม วัดไหนก็ได้ ทำไปโดยเจตนาว่ารู้ว่าเป็นของสงฆ์ก็ตาม ไม่รู้ก็ตาม แต่สิ่งเหล่านั้น ย่อมไม่ทราบค่าราคาของ ถือว่าเป็นของเล็กน้อย ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอชำระหนี้สงฆ์ด้วยจำนวนเงินเท่านี้ ถ้าพระสงฆ์ทั้งหลาย เห็นสมควร ก็ขอให้สาธุขึ้นให้พร้อมกัน ถ้าพระสงฆ์ทั้งหลายไม่เห็นสมควรก็ขอให้นิ่งอยู่ ถ้าพระทั้งหมดสาธุพร้อมกัน เป็นอันว่าใช้ได้ ชำระกันแบบนี้ทุกปี ท่านบอกว่าค่อย ๆ ทำไป เรื่องนี้มันเป็นเรื่องหนัก
    ---ใน เมื่อพระสงฆ์สาธุ ท่านจะมอบเงินจำนวนนั้น เป็นสมบัติของสงฆ์ เป็นสิทธิของสงฆ์ที่พึงใช้ จะใช้ได้ก็ต้องเอาเงินจำนวนนั้น ไปใช้ในการก่อสร้างหรือบำรุงสงฆ์ ท่านทั้งหลายอาจสงสัย ว่า ของต่าง ๆ ที่เป็นสิ่งก่อสร้างก็ดี วัสดุเครื่องใช้ต่าง ๆ ก็ดี หรือต้นไม้ใบหญ้าก็ดี ของที่อยู่ในวัดทั้งหมด ถ้าหากเรารื้อแทนของเดิม ทั้งนี้ เพราะทรัพย์สินต่าง ๆ ที่เขาสร้างไว้ในวัด เขาไม่สร้างให้พระองค์ใดองค์หนึ่ง เขาสร้างเพื่อถวายบูชาพระพุทธเจ้า คำว่าของสงฆ์นี่น่ะ ต้องหมายถึง พระพุทธเจ้าเป็นประธาน เป็นของส่วนกลาง ไม่มีใครหรอกที่จะถือสิทธิ์ว่าเป็นของฉัน จะมาชี้ว่า สมบัตินี้เป็นของฉัน เป็นของส่วนตัว ถ้าทำอย่างนั้น จะต้องลงนรกหมด เรื่องนรกนี้เขาไม่เว้นใครหรอก [​IMG] ---ของ ในวัดก็เหมือนกัน ถ้าพระองค์ใดปลูกไว้ ถ้าเขาสึกแล้วก็ตาม เขาตายแล้วก็ตาม ของเหล่านั้นเป็นของสงฆ์ ถ้าว่าเขาตายหรือสึกไปแล้ว พระองค์ใดองค์หนึ่ง จะถือเป็นทายาทกันเองก็ดี ใช้เองก็ดี ทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะเป็นของสงฆ์เสียแล้ว เวลาจะกินจะใช้ก็ต้องประชุมสงฆ์ต้องลงมติอนุมัติ จึงจะถือว่าไม่เป็นโทษ
    ---ก็ มีตัวอย่างเรื่องหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ มีพระองค์หนึ่ง ชื่อ อาจารย์ทิม สำหรับอาจารย์ทิมนี่ รุ่นเดียวกัน อยู่ที่สุพรรณบุรี เป็นนักก่อสร้าง พระองค์นี้เป็นพระดีมาก ระเบียบวินัยก็ดี เจริญสมถภาวนาก็ดี แต่ว่าโทษมันมีอยู่อย่างหนึ่ง แกป่วยครั้งหลังสุด กำลังก่อสร้างโบสถ์ สตางค์ส่วนตัวแกไม่มี ได้มาก็จ่ายไป ทีนี้แกป่วย สตางค์ส่วนตัวแกไม่มี หมอเขาบอกว่า ต้องต้มยาหม้อในราคาหกสิบบาท ท่านก็เลยขอยืมเงินที่เขาสร้างโบสถ์ก่อน ฉันหายแล้ว เวลาใครเขาเอาเงินมาถวายก็จะใช้คืน
    ---พอ ปี 2508 ดันตายเสียได้ “ไอ้เงินหกสิบบาทดันเป็นพิษ พระทิมไปนั่งจ๋องที่สำนักพระยายม” เวลาทุ่มเศษ ๆ กำลังนอนสบาย ๆ เห็นเทวดาองค์หนึ่งเป็นพวกวชิระ มายืนปลายเท้า กราบ กราบ ถามว่า “มาทำไม” เขาบอกว่า “ท่านใหญ่ให้นิมนต์ไปพบครับ” เลยบอกว่า “แกไปข้างหน้า ฉันตามไป” ตามไปหน่อยเดียวแกบอกว่า "เดี๋ยวผมไปตามอีกสององค์” แกไปตามอีกสององค์ เราก็ตรงไป พอถึงก็พบท่านทิมอยู่ที่สำนักพระยายม จึงถามว่า “ไง.....มานั่งอยู่ที่นี่เล่า” แกก็บอกว่า "เป็นหนี้สงฆ์อยู่หกสิบบาท” ถามว่า "คนอย่างแกเป็นหนี้สงฆ์ด้วยเรอะ” แกบอก “เป็นหนี้ตอนใกล้ตาย เพราะหมอที่สั่งยามาให้ แต่ไม่มีเงิน ทุ่มเทเอาไปสร้างโบสถ์หมด ไอ้เงินส่วนตัวจริง ๆ ที่เรียกว่าตามอัธยาศัยมันไม่เหลือ ก็เอาเงินส่วนนี้เอาไปซื้อยา”
    ---จึง เข้าไปตามลุง (พระยายม) ถามลุงว่า “ยังไงนี่.....” ลุงบอกว่า “ยังไม่ว่าไง เดี๋ยวค่อยว่า คอยอีกสององค์ก่อน ยังไม่สอบสวน” ถ้าสอบสวนไม่ได้ ของสงฆ์นี่หนักมาก ปิดปากเลย ถ้ากรรมดีละก็หนัก ปิดปาก กระเบื้องอันเดียวปิดปากเลย เรื่องบุญนี่พูดไม่ได้เลย
    ---พอ อีกสององค์ไปถึงเรียบร้อยแล้ว ท่านก็เรียกอาจารย์ทิมเข้าไปถามว่า “ท่านเอาเงินสงฆ์ไปใช้หกสิบบาทใช่ไหม” ท่านตอบว่า “ใช่” “ไปใช้เพื่ออะไร” บอกว่า “มันป่วย หมอเขาสั่งยามา” “จิตคิดอย่างไร” “จิตคิดว่า ถ้าใครเขาเอาเงินมาถวายก็จะชำระหนี้สงฆ์” แต่นี่ยังไม่ทันชำระใช่ไหม” แกตอบว่า “ใช่” แล้วท่านถามว่า “จะว่าอย่างไร” ท่านบอกว่า “ไม่มีเรื่องจะว่า”
    ---ลุง พุฒท่านก็หันมาถามพวกเราว่า “ท่านสามองค์จะว่าอย่างไร" บอกว่า “ยังมีเรื่องว่าอยู่” “ว่ายังไงล่ะ” “ทำอย่างไรพระองค์นี้จะต้องไปเป็นพรหม เขาได้ฌานสมาบัติ ควรจะไปเป็นพรหม” ท่านก็เลยบอกว่า “เวลาตายก่อนจะดับจิต อารมณ์อยู่ในฌาน ฌานยังตั้งไม่ได้” เลยถามว่า “ไอ้เรื่องนี้พอจะอภัยกันได้ไหม” ท่านก็เลยบอกว่า “ของสงฆ์อภัยให้กันไม่ได้ มันต้องชำระหนี้สงฆ์” ก็บอกว่า “ตกลง ฉันช่วยชำระหกสิบบาท เรื่องเล็ก” ท่านบอกว่า “ไม่ได้ ชำระด้วยเงินไม่ได้” ถามว่า “แล้วจะเอาอะไร” ท่านบอกว่า “ต้องสร้างพระพุทธรูปหนึ่งองค์ หน้าตักสิบสองนิ้ว” เราเลยบอกว่า “เรื่องเล็ก เอาสักสิบองค์ก็ยังได้” ท่านบอกว่า “องค์เดียวพอ”
    ---แล้ว พระอีกสององค์ท่านก็รับไปคนละองค์ รวมเป็นสามองค์ เราบอกว่า “อย่างนี้ ฮ้อ...ตกลง” ท่านก็เลยบอกว่า “ถ้าอย่างนั้นไปได้ตามผลของความดี”
    ---ตอน นั้นเลยบอกกับท่านทิมว่า “อย่าเพิ่งไป อยู่ที่นี่ก่อน” ถามลุงว่า “การสอบสวนขอพักเดี๋ยวได้ไหม” ท่านบอกว่า “ได้” เราก็เลยบอกท่านทิมว่า “จำอารมณ์หนึ่งได้ไหม” เขาถามว่า “อะไรล่ะ” ก็เลยบอกว่า “เอกัคคตารมณ์กับอุเบกขาน่ะ” บอกว่า “จำได้” “จำได้ก็ขอไปตามนั้น” นั่นมันฌานสี่ ท่านทิมเลยไปเป็นพรหมชั้นที่สิบเอ็ด ถ้าไปตอนนั้นก็ไปด๊อกแด๊กอยู่แค่กามาวจร ต้องช่วยกระตุกตรงนี้ มันพ้นตอนที่เรารับปากจะให้ อารมณ์ที่ปิดปากอยู่ก็หมด ลุงพุฒแกตั้งใจช่วยเลยให้คนมาตาม ไม่ได้ตั้งใจคอยใคร ขนาดมาตามเลยนะ ที่ตามก็มีพระอยู่สององค์ อีกองค์หนึ่งเป็นพระอยุธยา หนุ่มเลยละองค์นั้น ตอนนั้นฉันก็อายุสักสี่สิบกว่า ๆ องค์ที่อยู่อยุธยาก็อยู่ในเกณฑ์สามสิบเศษ ๆ แต่ไม่รู้ว่าวัดไหน รูปร่างสูง ๆ ดำ ๆ อีกองค์หนึ่งรูปร่างหน้าตาดี ไม่รู้อยู่วัดไหน เวลาไปตามก็มีสามองค์เลยเล่นกำไรเสียเลย พระพุทธรูปสิบสองนิ้ว กับคนที่จะไปพรหม ราคามันไม่เท่ากันใช่ไหม เราสร้างพระสิบสองนิ้วเดี๋ยวเดียว ไอ้คนที่บำเพ็ญบารมีเป็นพรหมมันง่ายเสียเมื่อไหร่ล่ะ
     
  15. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ---คราว นี้มันก็มีปัญหาอยู่ว่า ทำไมท่านจึงมาเจาะจงเอาฉันไปช่วย ถ้าลงได้เป็นแบบนี้ละก้อจะต้องเป็นเครือเดียวกัน เป็นพวกเดียวกัน เดินทางแนวเดียวกัน อาจารย์ทิมกับฉันรู้จักกันมานาน ตั้งแต่ตอนบวชอยู่ใหม่ ๆ ส่วนอีกสององค์ไม่รู้ว่าเขารู้จักกันมาเมื่อไหร่ แต่ทั้งสององค์นั่นบ้า ๆ บวม ๆ เหมือนกัน เงินส่วนตัวไม่มี ฉันถามอีกองค์หนึ่งที่รูปร่างหน้าตาดี ๆ บอกว่าอยู่สิงห์บุรี จากนั้นฉันก็ไม่ได้สนใจ ถามถึงปฏิปทาเขาก็บอกว่า ผมกับท่านบ้า ๆ บวม ๆ เหมือนกัน สตางค์ไม่เหลือ อาจารย์ทิมก็บ้าเหมือนกัน แต่ดันบ้าตายก่อน มันจะลงนรกเราให้ลงไม่ได้ ทีนี้วิธีกระตุ้นนิดเดียว ถ้าบอกว่าอาจารย์ทิมเริ่มนั่งเข้าฌานละก็ซวยเลย ใครจะไปเข้าฌานได้ยังไง เขาต้องถามถึงอารมณ์เดิมนิดเดียว ถามว่าจำอารมณ์หนึ่งได้ไหน เอกัคคตากับอุเบกขา
    ---บอก จำได้เท่านี้ก็พอแล้ว จำได้เป็นฌานสี่ จิตก็ตั้งอยู่พอดี พอพูดปั๊บจิตก็ตั้งอยู่ฌานสี่ พอตั้งอยู่ฌานสี่ สภาพก็เป็นพรหม ตัวแกก็เป็นพรหม แจ๋ว เลยบอกไปตามอัธยาศัย ข้าจะกลับวัด เดี๋ยวลูกศิษย์ข้าคอย
    ---ที่ เล่าให้ฟังนี่ มันเป็นเรื่องของผู้ที่ไม่มีเจตนาโกงเงินสงฆ์ ไอ้พวกที่มีเจตนาโกงไม่มีทางช่วย เรี่ยไรมาสิบบาท เอาของเขาใช้ไปเก้าบาทเก้าสิบสตางค์ อีกสิบสตางค์ก็เอาเข้ากระเป๋า อย่างนี้ลงอเวจีมหานรก
    ---ของ สงฆ์นี่แม้แต่กระเบื้องแตก ๆ ก็เก็บไม่ได้ ของที่สงฆ์เขาไม่ใช้แล้ว เห็นว่ามันดีนี่ เอาไปบ้านหน่อย อย่างนี้ เอวัง ตกดังตูม.......อเวจี และก็มีอีกเรื่องหนึ่ง
    ---ใน สมัยของพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระวิปัสสีทศพล สมัยพระวิปัสสีนั้น มีพระอยู่สี่องค์ เวลานั้นข้าวยากหมากแพง ฝนแล้งไม่ตกตามฤดูกาล ข้าวที่บ้านเขาอาจจะมีมาก แต่ว่าข้าวที่วัดมีน้อย พระพวกนั้นมีเพื่อนมาหา ข้าวที่จะกินเข้าไปมันไม่พอ ข้าวส่วนตัวไม่มีก็มีข้าวสารของสงฆ์ ไปนำข้าวสารของสงฆ์มา เมื่อได้ข้าวสารของสงฆ์มาคนละทะนานแล้ว ก็มาหุงเลี้ยงเพื่อน คิดในใจว่า ถ้าเราได้ข้าวสารมาใหม่ เราก็จะชำระหนี้สงฆ์ คือว่าเราจะใช้หนี้ให้ แต่ในเมื่อยังไม่ทันจะใช้หนี้ พระสี่องค์นั่นก็ตาย ตายทั้ง ๆ ที่ยังมีเจตนาว่าจะชำระหนี้ แต่ก็ยังไม่ได้ชำระ ตายแล้วไปไหน ปรากฎว่าไปไหม้อยู่ในอเวจีมหานรกสิ้นพันปีนรก เมื่อพ้นจากอเวจีมหานรกแล้วก็ตกนรกบริวาร ผ่านมาสี่ขุม แล้วก็ยมโลกียนรกอีกสิบขุม มาเป็นเปรต
    ---เปรต นี้จัดเป็นสิบสองระดับ ระดับที่หนึ่ง ถึงระดับที่ สิบเอ็ด ไม่มีโอกาสจะได้โมทนาบุญของชาวบ้านที่ทำให้ ระดับที่สิบสองที่เรียกว่าปรทัตตูปชีวิเปรต ตอนนั้นมีโอกาส ในระหว่างที่เป็นเปรตระดับที่หนึ่งถึงที่สิบเอ็ด ก็พบพระพุทธเจ้าหลายองค์ ถามท่านว่า เมื่อไรข้าพระพุทธเจ้าจะได้กินข้าวกินน้ำเสียที เห็นน้ำเข้าวิ่งไป น้ำก็หายกลายเป็นทะเลเพลิง เห็นข้าวอยากจะกิน วิ่งเข้าไปก็ปรากฎว่าเป็นทรายแล้วก็เป็นไฟลุก กินไม่ได้ พระพุทธเจ้าแต่ละองค์ก็ทรงพยากรณ์ว่า เมื่อไรพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าพระสมณโคดมอุบัติขึ้นในโลก ในตอนนี้แหละ ญาติของเจ้าชื่อว่าพระเจ้าพิมพิสารจะบำเพ็ญกุศล แล้วเธอหมดทุกคนได้รับโมทนาก็จะพ้นทุกขเวทนาเสียที เปรตทั้งหลายเหล่านั้นคอยกันมานาน จนกระทั่งเมื่อพระพุทธเจ้าทรงอุบัติ พระเจ้าพิมพิสารถวายพระเวฬุวันมหาวิหาร แล้วก็ถวายทานแก่พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสงฆ์ทั้งหมด เมื่อถวายทานแล้ว ก็ไม่ได้กรวดน้ำ ไม่ได้กรวดซีเพราะไม่รู้
    ---ตอน นั้นมันเป็นการทำบุญ ครั้งแรกยังไม่รู้ว่าทำบุญแล้วกรวดน้ำกันได้ผล เปรตทุกคนที่คอยอยู่ก็นั่งตั้งท่าจะโมทนา เห็นพระเจ้าพิมพิสารก็ตกใจ แปลกใจว่าเสียงอะไรไม่ทราบ มาร้องกึกก้อง ในเมื่อพระเจ้าพิมพิสารตกใจ ในตอนเช้าก็ไปหาพระพุทธเจ้า ไปถามว่าเมื่อคืนนี้ไม่รู้เสียงอะไร มันร้องกรี๊ดกร๊าด ๆ ในพระราชฐาน ไม่เคยได้ยิน พระพุทธเจ้าก็เล่าความนั้นให้ทราบ พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า เปรตเป็นญาติของพระองค์ ต้องการโมทนาบุญ เมื่อวานนี้พระองค์ทรงทำบุญแล้วไม่ได้กรวดน้ำอุทิศให้ คำว่าอุทิศแปลว่าเจาะจงนะ อุทิศนี่นะเขาแปลว่าเจาะจงให้เฉพาะ พระเจ้าพิมพิสารจึงได้นิมนต์พระพุทธเจ้า พร้อมด้วยพระสงฆ์ทั้งหมด ไปฉันอาหารในพระราชนิเวศน์
    ---ตอน นี้เมื่อพระพุทธเจ้าฉันเสร็จ ก่อนจะโมทนา พระเจ้าพิมพิสารก็กรวดน้ำ ใช้คำว่า อิทังโนญาตีนังโหตุ แปลเป็นใจความว่า ขอผลทานนี้จงสำเร็จแก่ญาติของข้าพเจ้า เท่านี้ละนะ การกรวดน้ำครั้งแรก เปรตทั้งหลายเหล่านั้นตั้งท่าคอยอยู่แล้ว ได้รับโมทนา เมื่อโมทนาแล้ว ร่างกายเป็นทิพย์หมดมีความอิ่มเอิบ มีความสวยสดงดงาม ร่างกายเทวดา แต่ว่าเป็นเทวดาชีเปลือยไม่มีเครื่องประดับ ไม่มีผ้านุ่ง เพราะอะไร เพราะว่าในสมัยก่อนที่จะตาย ไม่ได้เคยทำบุญถวายผ้าผ่อนท่อนสไบไว้ในพุทธศาสนา เมื่อร่างกายสวยแต่ไม่มีเครื่องประดับ ไม่มีเสื้อผ้า ไม่มีกางเกงนี่มันก็แย่เหมือนกัน ก็เดือดร้อน ตอนกลางคืนจึงเข้ามาหาพระเจ้าพิมพิสาร แสดงตัวให้ปรากฎ แต่ว่าตอนยืนน่ะสงสัยนะ ว่าจะยืนหันหลังให้ คงไม่ยืนหันหน้าหรอก คงจะอายเหมือนกัน
    ---พระ เจ้าพิมพิสารแปลกใจว่า คนอะไรสวยก็สวย แต่แก้ผ้าไม่มีเสื้อไม่มีผ้า ตอนเช้าไปหาพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านก็บอกว่า พวกเปรตพวกนั้นแหละเป็นเทวดา แต่ไม่เคยถวายผ้าไตรจีวรไว้ในพุทธศาสนา เพราะอาศัยบารมีที่พระองค์ให้อาหารเป็นทาน เขาก็มีแต่ร่างกายสวยงาม ผ้าจึงไม่มี พระเจ้าพิมพิสารถามว่าทำไมเขาจึงจะได้ผ้า ท่านก็บอกว่าต้องถวายไตรจีวรแก่พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา แล้วก็อุทิศส่วนกุศลให้เขา จะได้เครื่องประดับอันเป็นทิพย์ พระเจ้าพิมพิสารก็ทำอย่างนั้น แต่พอได้เครื่องประดับแล้ว เทวดาก็มาแสดงตัวให้ปรากฎ แล้วนับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ก็เลยไม่รบกวนอีก นี่เล่าถึงเรื่องของสงฆ์ให้ฟังนะว่า มีเจตนาขอยืมยังมีโทษขนาดนี้ แต่ถ้าหากว่าเราไปเอามาโดยไม่ขอยืม มันจะมีโทษขนาดไหน
    [​IMG]

    ---และอีกเรื่องหนึ่ง กากะเปรต สมัยที่เกิดเป็นกา แย่งข้าวใน
    ขัน ที่เขาจะนำไปถวายพระ ข้าวสุกนั้นเขานำไปยังไม่ถึงพระ ยังไม่ใช่ของสงฆ์ จะถือว่าเป็นของชาวบ้านก็ไม่ได้ เพราะเขาตั้งใจถวายสงฆ์แล้ว กรรมเล็กน้อยเพียงเท่านี้ ตายแล้วไปลงอเวจี แล้วแถมเกิดมาเป็นเปรต ---ผู้ถาม “หลวงพ่อครับ คนที่กินข้าวที่พระอนุญาตแล้ว ทำไมถึงตกนรก และพระที่ให้ก็ต้องตกนรกด้วยครับ”
    ---หลวง พ่อ “ถ้าอาหารที่พระให้ ต้องเป็นของที่ญาติโยมถวายเฉพาะองค์นั้น ไม่มีโทษแน่ แต่ที่เป็นอย่างนี้ต้องเป็นอาหารที่เขาถวายเป็นส่วนกลาง คือเป็นของสงฆ์ ของสงฆ์นั้น พระองค์ใดองค์หนึ่งไม่มีสิทธิ์ให้ นอกจากสงฆ์จะประชุมตกลงให้พระองค์นั้นเป็นผู้จ่ายแทนสงฆ์ ตัวอย่างของสงฆ์ เช่น อาหารวันพระที่มีข้าวใส่บาตรเหลือมาก ๆ แล้วทายกใส่ถ้วยเอาไปบ้าน โดยที่คณะสงฆ์ไม่มีส่วนรู้เห็น อย่างนี้แม้แต่เจ้าอาวาสเองยังไม่มีสิทธิ์ให้ตามลำพัง
    ---บาง ทีกินอาหารที่พระฉันเหลือ ถ้าพระอนุญาตแล้วไม่มีโทษ (สำหรับญาติโยมที่ไปในงาน ทางวัดเขาตั้งใจเลี้ยงก็ไม่เป็นไร แต่บางท่านก็หยิบของที่พระฉันแล้วเอามาเฉย ๆ บางท่านก็ขอเอาดื้อ ๆ ให้หรือไม่ให้ก็ตาม ออกปากขอแล้วยกไปเลย พระยังไม่ทันอนุญาต ท่านทายกประเภทนี้ ท่านช่วยยกคนที่กินกับท่านลงอเวจีแบบสะดวก เมื่อจะขอต้องดูว่าอาหารมากไหม ถ้ามากจนเหลือเฟือ ก็ขอให้พระท่านให้ตามความพอใจของท่าน เพราะท่านอาจจะมีกังวลนำอาหารไปให้ใครก็ได้ที่ท่านมีภาระต้องเลี้ยง ถ้าถือเอาตามความพอใจก็ต้องถือว่าแย่งอาหารจากพระ มีโทษ 100 เปอร์เซนต์
    ---และ อาหารถวายพระพุทธรูปก็เหมือนกัน อาหารประเภทนี้ดูเหมือนจะเป็นเหยื่อล่อให้ทายกลงอเวจีสะดวกสบายมาก อาหารที่เขานำมาวัด เขาตั้งใจถวายพระสงฆ์ การนำไปถวายพระพุทธรูปนั้นเป็นความดี เพราะเป็นพุทธานุสสติด้วย เป็นพุทธบูชาด้วย แต่อาหารประเภทนี้ไม่จำเป็นต้องใช้มาก เพราะพระพุทธรูปไม่ได้ฉัน ท่านจะฉันหรือไม่ฉันก็ตาม อาตมาคิดว่าทายกทายิกาไม่มีสิทธิ์จะกิน หลายวัดหรือส่วนใหญ่ทายกมักจะเอาอาหารดี ๆ และมาก ๆ ไปทุ่มเทถวายพระพุทธรูป
    ---เมื่อ พระฉันเสร็จแล้ว ต่างก็ยกเอามากิน ตอนนี้ไม่ถูกด้วยประการทั้งปวง ต้องเอาไว้ถวายพระตอนเพลจึงจะถูก ทายกทายิกาจะกินได้เฉพาะอาหารที่เหลือเป็นเดนจากพระฉันเท่านั้น ไม่มีสิทธิ์สถาปนาตนเองเป็น “ลูกศิษย์พระพุทธรูป” แต่ประการใด
    ---รวม ความว่า ของที่ถือว่าเป็นของสงฆ์นั้น คือของในวัดทุกประเภทที่เขาถวายเป็นของสงฆ์แล้ว แม้แต่ดอกไม้ผลไม้ในวัด เศษไม้ที่คิดว่าทำอะไรไม่ได้แล้ว เอามาทำฟืนบ้าง ทำอย่างอื่นเล็ก ๆ น้อย ๆ บ้าง จงอย่าคิดว่าไม่บาป แม้แต่เศษกระเบื้องที่ทิ้งแล้ว ก็เป็นของสงฆ์ มีผลเสมอกัน เว้นไว้แต่ดอกไม้ผลไม้ที่พระหรือท่านผู้ใดปลูกในวัด ถ้าท่านเจ้าของยังอยู่ในเขตวัดนั้นและท่านอนุญาต อย่างนี้เอามาได้ไม่บาป ด้วยท่านเจ้าของมีสิทธิ์สมบูรณ์ให้ได้รับมาได้ไม่มีโทษ ถ้าท่านผู้ปลูกออกไปจากวัดนั้นหรือตายไปแล้ว ของนั้นเป็นของสงฆ์โดยตรง ไปเอามามีโทษตามกำลังบาป ขโมยของสงฆ์
    ---ผู้ถาม “แล้วเรื่องพระชำระหนี้สงฆ์มีความเป็นมาอย่างไรครับ”
    ---หลวง พ่อ “เรื่องมันเป็นอย่างนี้ ฉันไปที่ศรีราชา ญาติโยมเขาถามเรื่องชำระหนี้สงฆ์ ถ้าหลาย ๆ ชาติมาเราไม่รู้อะไรมาบ้าง ถามว่าจะทำอย่างไร ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน พอตอบไม่รู้ ก็เห็นพระท่านลอยมา ท่านบอก “ถ้าจะชำระให้ครบถ้วน เป็นเงินเท่าไรก็ไม่พอ ให้สร้างพระพุทธรูปหน้าตัก 4 ศอก”
    ---พระ หน้าตัก 4 ศอก ถือ่วาเป็นพระประธานมาตรฐาน ท่านบอกว่า “พระพุทธรูปนี่ไม่มีใครตีราคาได้ ใช้ในการชำระหนี้สงฆ์ หนี้สงฆ์ที่แล้ว ๆ มาถือเป็นการหมดไป”
    ---ฉัน พูดแล้วก็กลับมาวัด ต่อมาพวกนั้นก็ถามใหม่ว่า “สร้างพระองค์เดียวได้คนเดียวหรือกี่คน” ฉันก็ไม่รู้อีกซิ ก็นึกถึงท่าน ท่านก็มาใหม่ ท่านก็บอกว่า
    ---“ถ้า ไม่ปิดทองได้คนเดียว ถ้าปิดทองครบถ้วนได้ทั้งคณะ” คำว่า “คณะ” หมายความว่าบุคคลหลายคนก็ได้ ตัดบาปเก่า ถ้าสร้างใหม่เอาอีกนะ สร้างนี้ใหม่ต่อเป็นหนี้ใหม่เหมือนกันนะ
    ---ผู้ถาม “ถ้าหากว่าเรามีสตางค์น้อย แล้วถวายพระจะได้ไหมครับ”
    ---หลวง พ่อ “ถ้าเรามีสตางค์น้อย ๆ ก็ใส่ซองเขียนหน้าซองว่า “ชำระหนี้สงฆ์” คือว่า ไม่ได้จำกัด ทำไปเรื่อย ๆ ให้สบายใจ บาทสองบาทตามกำลังที่จะพึงทำได้ เขาไม่ได้เกณฑ์ว่าจะสร้างพระ หลวงพ่อปานท่านทำอย่างนี้มาก่อน เรื่องสร้างพระนี่เขาถามก็บอก ท่านมาบอกอัตรานี้โละกันเลยนะ คือไม่ใช่จะเกณฑ์ให้สร้างพระ เพราะทุนไม่พอใช่ไหม เราก็ทำไปเรื่อย ใจสบาย
    ---มี สตางค์รับเงินเดือนมาทีทำ 5 บาท ใส่ซองถวายพระ บอกขอชำระหนี้สงฆ์ ท่านไม่รู้ท่านใช้ผิด ท่านลงนรกเองไม่ต้องห่วง ถ้าไปกินเป็นส่วนตัวละเรียบร้อย เงินชำระหนี้สงฆ์มันมีค่ากว่าเงินสังฆทานและวิหารทาน ถ้าไปใช้เป็นส่วนตัวไม่ได้ ต้องใช้เป็นส่วนกลาง อันตรายกับพระ แต่ช่างท่านเถอะ ถ้าบวชแล้วอยากโง่ให้ลงนรกไป ใช่ไหม” [​IMG] ---ผู้ ถาม “ถ้ามีญาติโยมเอาเงินไปถวายพระ แต่พระก็เอาเงินไปปลูกบ้านบ้าง ให้ญาติโยมไปออกดอกออกช่อบ้าง อยากทราบว่าผลบุญที่ลูกได้ทำแล้ว จะมีอานิสงส์สมบูรณ์แบบหรือไม่เจ้าคะ”
    ---หลวงพ่อ “เขาถวายเป็นของสงฆ์ใช่ไหม เขาถวายเข้าไปในวัดใช่ไหม แล้ววัดไม่ได้ทำอะไร แต่คนในวัดเอาไปปลูกบ้าน เงินนั้นไปที่อื่นใช่ไหม เขาถวายอานิสงส์ มันได้ตั้งแต่ถวาย มีอานิสงส์ครบถ้วน นั่นเขาครบ 100 เปอร์เซนต์เลยนะ คนอื่นเอาไปใช่ไหม อย่าไปยุ่งกับเขาเลยนะ อานิสงส์ได้ตั้งแต่เริ่มให้ ยิ่งให้ก็ยิ่งอานิสงส์หนักขึ้น เวลาให้ต้องให้ด้วยตนเองใช่ไหม ขณะที่พระรับก็เกิดธรรมปีติอิ่มใจ อานิสงส์มันเพิ่ม แต่ว่าคนที่นำเอาไปใช้พิเศษคนนั้นลงอเวจีแน่” ---คัด มาจากหนังสือธัมมวิโมกข์ (ฉบับพิเศษ) และหนังสือสมบัติพ่อให้ ของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง อุทัยธานี /รวมคำสอบพระสุปฏิปันโน เล่ม 2.

    http://www.watkaokrailas.com/articles/41929592/หมั่นชำระหนี้สงฆ์ จะเฮงเฮง.html
     
  16. WHITE_ROAD

    WHITE_ROAD เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2008
    โพสต์:
    36
    ค่าพลัง:
    +163
    เท่าที่ผมเข้าใจการชำระหนี้สงฆ์อย่างง่าย หากเรามีกำลังทรัพย์ไม่เพียงพอที่จะสร้างพระชำระหนี้สงฆ์หน้าตัก ๔ ศอก แบบปิดทอง สามารถทำได้โดยร่วมบุญกับผู้อื่นที่ประสงค์จะสร้าง และได้บอกบุญให้คนทั่วไปได้ร่วม ซึ่งเราสามารถร่วมบุญได้ตามกำลังทรัพย์จะกี่บาทกี่สตางค์ก็ได้ หรือหากเราไม่สะดวกในเรื่องเงินทอง เราสามารถช่วยงานในด้านอื่น ๆ เพื่อให้องค์พระสำเร็จออกมาได้ก็ถือว่าได้ "ร่วมสร้างพระชำระหนี้สงฆ์"

    หมายเหตุ: สำหรับผมเองไม่เคยคิดจะเป็นเจ้าภาพทำบุญใหญ่ ๆ ใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะมีความรู้สึกเสมอว่าหากไม่สามารถรวบรวมปัจจัยได้สำเร็จแล้วตายเสียก่อน จิตที่ยังห่วงกังวลกับภาระสำคัญที่ไม่สำเร็จนั้นอาจทำให้ไปเสวยภพในอบายภูมิได้ ซึ่งยังไม่นับรวมถึงญาติที่อยู่เบื้องหลัง และไม่ทราบว่าเงินบุญดังกล่าวต้องเอาไปทำอะไรบ้าง (เพราะเราตายเสียก่อน) อาจเอาไปใช้ผิดทาง กลายเป็นเพิ่มโทษย้ายเจดีย์และติดหนี้สงฆ์ให้คนที่เรารักอีกโดยไม่รุ้ตัว ทั้งที่งานบุญดังกล่าวเกิดจากความตั้งใจดีของเราตั้งแต่แรก ผมจึงใช้วิธีร่วมบุญกับผู้อื่นเสมอ

    ปล. เคยมีประสบการณ์ "ช็อคค้าง" อยู่สองครั้ง ตอนไปไหว้พระในโบสถ์ของวัดชื่อดังแถว จ. นครปฐม กับวัดที่ จ. ฉะเชิงเทรา พอดีช่วงนั้นคนมาทำบุญเยอะ เจ้าหน้าที่วัดจึงนำกระสอบมาเก็บเงินทำบุญตามตู้ต่าง ๆ แต่สิ่งที่ทำให้ตาค้างคือ เจ้าหน้าที่เอากระสอบมาแค่กระสอบเดียว แล้วเปิดตู้ทำบุญต่าง ๆ เทผสมรวมกันลงไปหมด ทั้งบุญซ่อมแซมโบสถ์ บุญค่าน้ำค่าไฟ อุปสมบทพระ บรพพชาเณร สร้างพระไตรปิฎก สร้างพระพุทธรูป อาหารกลางวันเด็ก เลี้ยงสุนัข-ปลา ทุนการศึกษา ฯลฯ ตอนนั้นรุ้สึกตกใจมาก...ทำไมเจ้าหน้าที่วัดแข็งแรงกันขนาดนี้ มีกำลังย้ายเจดีย์ได้ทุกวัน เก่งจััง... และรู้สึกโชคดีมาก ๆ ผสมกัน คือเราไม่มีวิบากที่ต้องเกิดมาทำงานในวัด และในขณะเดียวกันคือโชคดีที่ได้พบครูบาอาจารย์ที่สั่งสอนเราในสิ่งที่ถูกต้อง ไม่ต้องอยู่ในไฟนรกแบบไม่รู้ตัว ....และยิ่งมารู้ทีหลังว่ามีวัดดัง ๆ หลายวัดในประเทศไทยที่กรรมการ/เจ้าหน้าที่วัดทำกันเป็นปกติคือ แบ่งสันปันส่วนเงินทำบุญที่ได้มาตามแต่ที่ตัวเองคิด...ก่อนที่จะนำไปถวายเจ้าอาวาส เพราะถือว่าตนเองเป็นผู้ดูแลค่าใช้จ่ายต่าง ๆ แทนสงฆ์ (เหมือนที่ทายกมักเอาอาหารดีๆ ไปถวายพระพุทธรูป แล้วรอเลยเพลจึงลาพระเอามากินกัน แทนที่จะนำไปถวายพระก่อนแล้วรอพระจัดสรร หรือเอาของสังฆทานไปจัดสรรปันส่วนให้ผู้ช่วยงานในวัด แทนที่จะมอบให้สงฆ์พิจารณานำไปใช้ เพราะผู้ถวายได้ถวายเจาะจงเป็นสังฆทานไม่ใช่ถวายเพื่อเป็นฆราวาสทาน) ทำให้ยิ่งรุ้สึกหดหู่และโชคดีปน ๆ กัน และกลัวการเกิดมากยิ่งขึ้น คือ ถ้าเกิดมาแล้วไม่ได้พบครูบาอาจารย์ที่รู้จริง หรือพบแล้วแต่ไม่ศรัทธาดันไปศรัทธาท่านอื่นที่สอนผิด/เข้าใจผิดก็คงต้องอยู่ในอบายภูมิอีกชั่วกัปป์ชั่วกัลป์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 ตุลาคม 2013
  17. WHITE_ROAD

    WHITE_ROAD เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2008
    โพสต์:
    36
    ค่าพลัง:
    +163
    [​IMG]

    ส่วนเรื่องโทษย้ายเจดีย์... ถ้าช่วงที่ผ่านมาพี่ไม่มั่นใจ พี่อาจใช้วิธี "ร่วมบุญใหญ่" ไปเรื่อย ๆ เช่น สร้างพระพุทธรูป สร้างโบสถ์วิหาร สร้างพระไตรปิฎก ร่วมบวชพระ ฯลฯ และค่าใช้จ่ายประจำวันต่าง ๆ ที่เราอาจนำไปจัดสรรใช้ในเรื่องอื่น ๆ โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เช่น ค่าน้ำ-ค่าไฟ ค่าภัตตาหาร ค่าทุนการศึกษา เป็นต้น โดยพี่อาจทำไม่มากแต่ทุกครั้งขอให้ตั้งใจว่าหากเคยมีโทษย้ายเจดีย์ในเรื่องที่ทำบุญนี้โดยตั้งใจก็ดีไม่ตั้งใจก็ดี ก็ขอชำระคืนเท่านี้...บาท แล้วอธิษฐานขอให้พญายมราชและเทพเทวดาทุกท่านจงเป็นพยาน และจงโมทนาผลบุญของเรา และขอความเมตตาทุกท่านโปรดสงเคราะห์ให้ข้าพเจ้าได้ร่วมบุญที่ช่วยลดโทษย้ายเจดีย์ไปเรื่อย ๆ ตลอดไป... ค่อย ๆ ทำไปเรื่อยๆ วันละเล็กละน้อย ให้ใจมันเคยชินฝังอยู่ใต้จิตสำนึก...จนเรามั่นใจว่าแม้วินาที่สุดท้ายของชีวิต เราได้ทำชดเชยคืนไปเต็มที่แล้ว

    สำหรับผมเอง ผมเชื่อมั่นในตัวพี่นะว่า...ไม่น่าจะเคยต้องโทษย้ายเจดีย์ เพราะพี่จัดทำบัญชีบุญแต่ละรายการแยกกันชัดเจน และอัพเดทยอดบุญตลอดเวลา เพื่อ ปชส.ให้ผู้ร่วมบุญได้สบายใจว่ายอดบุญต่าง ๆ ที่ได้ร่วมทำมานั้น ได้นำไปมอบ/ไปใช้ตามวัตถุประสงค์/ตามใบเสร็จเรียบร้อยแล้ว
     
  18. glassbuddha2009

    glassbuddha2009 087-7459995 สมบูรณ์ ติยะวงศ์สกุล

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    36,935
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +53,840
    ขอบคุณมากในคำตอบของทุก ๆ ท่านครับ มีตัวอย่างด้วย ชัดเจนดีครับ

    ในการยืมเอาเงินกองทุนที่พักสงฆ์อาพาธนวมินทร์ 88 ออกไปช่วยชีวิตเด็กน้อย 10 เดือนครั้งนี้ นำออกไปจ่ายค่าโรงพยาบาล ค่าอื่น ๆ รวมแล้วประมาณ 2 หมื่นบาทเศษ ตั้งแต่ประมาณวันที่ 14 ต.ค. 2556 วันนี้วันที่ 22 ต.ค. 56 ผมหาคืนด้วยการบอกบุญและให้เช่าบูชาวัตถุมงคลโดยบอกเจตนารมย์ไว้ในกระทู้นั้นด้วยแล้ว ขณะนี้หาเงินคืนมาได้ขาดอีกเพียงประมาณ 1,300.- บาทก็จะครบถ้วน และตามที่ได้นัดกับพระ อ. สมสุขว่า ถ้าหากหลวงพ่อวิชัย เขมิโยลงมากรุงเทพฯ ซึ่งขณะนี้ทราบข่าวจากแม่ชีรักษ์แล้วว่า ท่านจะลงมาวันที่ 24 ต.ค. 56 และหลวงพ่อวิชัยต้องการบอกอะไรผมบางอย่าง ผมจะได้ไปกราบท่านเพื่อทำตามที่ท่านจะสั่งสอนอบรมครับ

    การที่ผมถอนเงินไปช่วยเด็กวันที่ 14 แล้วนำคืนมาครบในวันที่ 24 ประมาณ 10 วันนี้ ถือว่าติดหนี้สงฆ์หรือไม่ ? เพราะผมและพระ อ. สมสุขมีเจตนารมย์เดียวกันว่าจะช่วยชีวิตเด็ก ถึงแม้มีพระภิกษุอื่นบอกให้ทำเป็นการเปลี่ยนสถานะด้วยการแก้เป็น " ขอ " ผมและพระ อ. สมสุขก็ไม่ทำตามนั้น เพราะความบริสุทธิ์ใจ แต่หากการนำออกมาช่วยชีวิตคน 10 วันทำให้ติดหนี้สงฆ์แล้ว ก็ต้องถือเป็นบรรทัดฐานเช่นนั้น
     
  19. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ใช้ครบ เท่าที่นำออกไป ในเรื่องตรงนี้ไม่ติดครับ เหตุการณ์นี้ ไม่ติดหนี้สงฆ์ส่วนตรงนี้ครับ หรือไม่ติดโทษย้ายเจดีย์ เพราะท่านหาเงินมาคืนครบจำนวนแล้วนั้นเองครับ

    ส่วนเรื่องถามว่า ติดหนี้สงฆ์หรือไม่ในเรื่องอื่นๆที่ผ่านมา ต้องถามตัวเองว่า ในอดีตที่ผ่านๆมา เคยเป็นหนี้สงฆ์ แล้วใช้คืนครบหรือยัง นั้นเองครับ



    ส่วนโทษย้ายเจดีย์นั้น คือการที่ ใช้เงินผิดเจตนาที่ผู้ทำบุญระบุมา เขาก็ปรับโทษเท่าย้ายเจดีย์




    ทางแก้โทษย้ายเจดีย์ มีวิธีเดียวเท่านั้น ก็คือ เปรียบเหมือน ถ้าย้ายเจดีย์ไปแล้ว แก้โดยการ ย้ายเจดีย์กลับมา เท่านั้นครับ

    ถ้าคิดว่า จะแก้โทษย้ายเจดีย์ โดยการหาเงินไปชำระหนี้สงฆ์แทน โทษย้ายเจดีย์ไม่หลุด ครับ ระวังตรงนี้ด้วยนะครับ


    ยกตัวอย่างเช่น รับบริจาคเงินปล่อยปลา แต่เรานำเงินปล่อยปลา ไปใช้ส่วนอื่นต่างๆนาๆ โดยที่ไม่เกี่ยวข้องกับการปล่อยปลา โดนโทษย้ายเจดีย์ ครับ
    แก้โดยการ ไปปล่อยปลาตามวัตถุประสงค์ของผู้บริจาคเงิน เท่านั้นครับ ถึงจะหลุดโทษย้ายเจดีย์ ถ้าได้เงินมา แต่นำไปชำระหนี้สงฆ์แทน ไม่หลุดโทษย้ายเจดีย์ ครับ





    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 ตุลาคม 2013
  20. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ส่วนเรื่องบัญชีนั้น ผมแนะนำเหมือนท่านข้างบนที่ว่า

    สร้างพระพุทธรูป สร้างโบสถ์วิหาร สร้างพระไตรปิฎก ร่วมบวชพระ ฯลฯ และค่าใช้จ่ายประจำวันต่าง ๆ ที่เราอาจนำไปจัดสรรใช้ในเรื่องอื่น ๆ โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เช่น ค่าน้ำ-ค่าไฟ ค่าภัตตาหาร ค่าทุนการศึกษา เป็นต้น

    นั้น ควรแยกให้ชัดเจนไปเลยครับ ถ้าท่านเคยเข้าไปบ้านสายลม หรือวัดท่าซุง หรือวัดที่ดีๆนะครับ

    จะสังเกตได้เลยว่า ตู้รับบริจาคต่างๆ นั้น เขียนแปะป้ายเอาไว้ชัดเจนเลย ว่าทำบุญอะไร ตรงไหน เพื่ออะไร แยกชัดเจนแต่ละตู้บริจาคกันเลยครับ ไม่ได้รวมกันใดๆ ทั้งสิ้นครับ

    เรื่อง เงิน ของสงฆ์ เราเข้ามาช่วยเหลือส่วนนี้แล้ว

    เราต้องดูแลตัวเองดีๆ ครับ เพราะถ้าพลาด กำลังใจไม่แข็งพอ หรือด้วยความไม่รู้ เดี่ยวจะพาไปอบายง่ายๆครับ
    .

    อันนี้ผมตีความตามความเข้าใจของผมให้ จขกท ดูนะครับ ถ้าผิดพลาดขอภัยด้วย

    อ่านดูเรื่องประมานว่า

    นาย ก. ถามเรื่องสร้างพระเสร็จแล้ว เงินเหลือจากการสร้างพระ หรือมีคนบริจาคเกินมา จึงได้นำเงินส่วนนี้ นำเงินไปทำบุญอย่างอื่นบลาๆๆแทน ซึ่งก็คือ ผิดวัตถุประสงค์ของผู้บริจาคที่บริจาคสร้างพระ โดนโทษย้ายเจดีย์ แล้วมาเรียนถามพระอาจารย์ ว่าจะแก้ไข โทษเรื่อง หนี้สงฆ์ ละโทษย้ายเจดีย์ อย่างไร

    ในเรื่องนี้ โทษย้ายเจดีย์ แก้ไม่ได้แล้ว เพราะ

    1.พระที่สร้างตรงนั้น ที่รับบริจาคเงินมานั้น พระสร้างเสร็จไปแล้ว นั้นเองครับ

    แล้วถึงจะนำเงินส่วนนั้นไปสร้างพระองค์ใหม่ ก็ไม่สามารถ ที่จะแก้โทษย้ายฐานเจดีย์ ได้ครับ


    ดังนั้น เรื่องเงินๆ ทองๆ ของสงฆ์ ต้องดูแลดีๆครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 ตุลาคม 2013

แชร์หน้านี้

Loading...