ทำอย่างไรดีเมื่อมีความคิดไม่อยากคุยกับเพื่อนที่ไม่คุยเรื่องธรรมะ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย บัวชมพูnaka, 11 มิถุนายน 2012.

  1. บัวชมพูnaka

    บัวชมพูnaka สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +24
    ดิฉันเพิ่งเข้าวัดปฏิบัติธรรมมาได้ประมาณ 5-6 เดือน แล้วมันมีอาการที่ไม่อยากคุยกับใครเลย แม้กระทั้งเพื่อนๆใน เฟสบุค ไม่อยากคุย ไม่อยากเห็นใครเลย
    มันรู้สึกหดหู่มากเวลาเห็นเพื่อนโพส แต่เรื่องที่เป็นทางโลก ไปเที่ยวบ้าง ซื้อของใหม่แพงๆบ้าง และอื่นๆอีกมากมายที่ทำให้เรารู้สึกว่า เราไม่อยากไปข้องเกี่ยวกับกับพวกเขา..
    หรือว่าเรามีอาการทางจิต..คิดเอาเองน่ะค่ะ..
    รู้สึกว่า ตัวเองเริ่มเบื่อหน่ายกับชีวิต ทำไมต้องเกิดมา เพื่อดิ้นร้น มันเบื่อกับชีวิตจริงๆ ทั้งๆที่ชีวิตดิฉันวันๆก็ไม่ได้ทำอะไร อยู่บ้านเชยๆ แต่มันรู้สึกว่า โลกนี้มีแต่ คำว่าอยาก อยากดี อยากเด่น อยากรวย อยากสวย อยากให้คนอื่นชม และอื่นๆอีกมากมาย...
    บางที่ก็แทบอยากไปเสียเร็วๆจากโลกนี้ แต่ในใจมันค้านว่า ถ้าไปตอนนี้ก็ต้องกลับมาเกิดอีก แบบว่าในสันดาน จิตใต้สำนึก มันไม่อยากเกิดมาบนโลกนี้อีกแล้วว...
    แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร เดินเส้นไหนดี การทำสมาธิก็ ไม่ค่อยได้เรื่อง สมาธิสั้น มากๆเลยค่ะ ไม่รู้ว่าจะไปสาย พุธ โท หรือ ยุบ-พอง
    เคยลองทำยุบ-พอง เดินจงกรม มันรู้สึก เวียนหัว ทั้งๆที่แต่ก่อนไม่เคยเป็น กำหนด ยุบ-พอง เวียนหัวมาก.. แต่ก่อน กำหนด พุท โธ ก็ไม่เป็นไรค่ะ
    หลังจาก ไปฝึก แบบ ยุบ-พอง มา ก็เริ่มมีอาการเวียนหัว มาตลอด ถึงม้ว่า กำหนด พุท โธ ก็ตาม...จะแก้อย่างไรดีค่ะ..ขอถามผู้ที่รู้ ช่วยตอบให้แสงสว่างด้วยค่ะ
    อยากปฏิบบัติธรรม ไม่ทราบว่า ควรไปที่ไหนดี ถึงจะถูกจริตกับเรา
    แล้วเรื่องของกสิน ก็สนใจค่ะ แต่ไม่ทราบว่า ที่ไหนมีฝึกบ้าง
    บ้านอยู่แถว เดอะมอล์ งามวงค์วานค่ะ ...

    ขอแสงสว่างให้ บัวใต้น้ำอย่างดิฉันด้วยค่ะ

    ขอบคุณค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มิถุนายน 2012
  2. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    ความจริงก็อยากให้พื่อนเขาว่ากันก่อนนะครับ
    ผมขอเสวนาก่อนนะครับ

    วิตก
    วิจารณ์
    ฟุ้งซ่านแล้วครับ

    เราต้องวิตกแล้ววิจารณ์แล้วปิติดีกว่าไหมครับ
    เพราะพระท่านสอนให้เราหาทางพ้นทุกข์
    มิใช่
    ปฎิบัติธรรมแล้วมีทุกข์ไหมครับ

    เริ่มที่ตั้งสติใหม่ครับ
    เพราะ
    สติ สมาธิ ปัญญา คือหนทางของการดับทุกข์

    หากเรามีสติแล้วนำข้อที่เราเบื่อโลกกับอยากมีธรรมมาพิจารณา
    เรายังต้องอาศัยโลกนี้พิจรณาธรรมอยู่หรือไม่ครับ

    ไม่แน่เบื่อๆอยากๆ
    พอธรรมยากไปอยากโลกอีกแล้วครับ
    เอาเป็นว่าเอาตรงนี้ให้รอดก่อนไหมครับ

    ขอท่านเจริญในธรรมครับ
     
  3. ปุณบพิธ

    ปุณบพิธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,102
    ค่าพลัง:
    +2,134
    คุณถึงทางตัน ของสมถะภาวนาแล้วครับ
    ด้วยพื้นฐานบุญเก่า ตอนนี้คุณจะต้องหาผู้ที่แนะนำวิปัสสนาได้ หากทำต่อไป มันก็จะตันต่อไปแบบนี้ หาทางไปต่อไม่ได้ ไม่เกิดปัญญาต่อแล้ว
     
  4. บัวชมพูnaka

    บัวชมพูnaka สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +24
    คือว่าเวลาเราบอกเรื่องไปทำบุญหรือปฏิบัติธรรม เพื่อนๆก็มักบอกกันว่า เออ...ไปเถอะแม่ชี..แล้วก็มักจะมีคำพูดที่ ไม่ค่อยอยากฟัง เลย เลือกที่จะไม่พูด ไม่คบเลย..ค่ะ
     
  5. บัวชมพูnaka

    บัวชมพูnaka สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +24
    ใช่ค่ะ เวลานั่งสมาธิ จิตไม่ค่อยสงบค่ะ มัน ฟุ้งซ่าน ตลอดเวลา แต่ก็ยังอยากนั่งต่อไป หรือไม่ก็ออกมาเดิน แต่เมื่อเดินไปประมาณ 5 นาที มันก็เริ่มเวียนหัวค่ะ
    ขอคำแนะนำ หน่อยค่ะว่า ควรไปหาพระอาจารย์ที่ไหนบ้างค่ะ หรือไม่ก็ผู้ที่รู้เรื่องทางด้านนี้ค่ะ เพื่อที่จะช่วยแก้ไข้ ปัญญา ให้แสงสว่าง กับดิฉันได้..ขอบคุณค่ะ
     
  6. ปุณบพิธ

    ปุณบพิธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,102
    ค่าพลัง:
    +2,134
    เรื่องธรรมดาครับ ผู้ที่ยังหลงโลกอยู่ ก็เป็นเช่นนั้นแหละ
    อย่าไปคิดมากเลย เราปฏิบัติของเราให้ดีก่อนเถอะ
    แต่ละคน ก็จะมีวาระของเขา เพียงแค่ของพวกเขา ยังไม่ถึงเวลา เท่านั้นเอง จะชักชวนยังไงเขาก็ไม่ยินดีด้วยหรอก ยังยินดีที่จะอยู่แต่ใน รัก โลภ โกรธ หลง อย่างเต็มใจ
     
  7. ปุณบพิธ

    ปุณบพิธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,102
    ค่าพลัง:
    +2,134
    แนะนำพระอาจารย์ให้แล้วทาง PM นะครับ ลองเปิดเช็คดู
     
  8. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    มุ่งมั่นมากไปแล้วครับ
    พระท่านกล่าวว่าศรัทธามากไป

    ผ่อนได้แล้วครับโดย
    รดน้ำต้นไม่
    เลี้ยงสัตว์
    ฟังพลงที่เราชอบ
    ดูเด็กเล็กเล่นกัน(ผมว่าใช้ได้ผลด้านกำลังใจและผ่อนคลายมากๆ)ดูในคอมก็ได้

    หากเป็นไปได้ไปอุ้มเด็กเลยครับทำให้เรารู้ธรรมชาติหลายอย่าง

    แล้วหากมีกำลังกลับมาต่อทำใหม่
    ขอท่านเจริญในธรรมครับ
     
  9. chottana

    chottana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +337
    ผมคิดว่าคุณน่าจะเข้าใจภัยเวณในระบบสมมุติเเล้วละ ว่าไม่มีอะไรให้ยึดมั่น ได้เลย ไม่ว่าจะเป็นร่างกายของตนเอง หรือ ผู้ที่เป็นบุคคลสมมุติอย่างเช่นอาชีพ เป็นครู ตำรวจ เมื่อเค้าเเก่ใกล้จะตาย ความเป็นสมมุติของเค้า วิชาของเค้าในโลกนี้ยังอยู่ไม่ได้หายไป เเต่ร่างกายเท่านั่นละที่จะหายใจ ก็จะเห็นว่าสมมุติไหนๆก็ไม่เท่ากับความจริงของโลกคือเมื่อเกิดย่อมดับ
    ที่คุณเบื่อเเบบนี้เป็นสิ่งที่ผิดมั้ย? ผมคิดว่าไม่น่าผิดนะ เพราะเเท้จริงเเล้วในที่เเห่งนี้ ไม่น่าเรียกว่าที่อยู่เลยด้วยซ้ำเลย เพราะอะไร ก็เพราะเป็นสิ่งสมมุติ กันขึ้นมาเอง
    เมื่อ มีตัวตน เป็นปัจจัยเพราะอุปทานขันธ์5 บุคคนอื่นย่อมมี! กลายเป็นมีพ่อมีเเม่ มาสร้างหลักปักฐานในโลกสมมุตินี้ สร้างรกรากกันนต่อมา ครายๆว่าเหมือนละครนะ เเต่ผมไม่คิดอย่างนั่น เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย ทำให้ คนอื่นไม่เข้าใจเเบบเรา ที่เกิดมาได้ส่วน1ก็คือพ่อเเม่ เเต่ว่าจริงๆเเล้วเราเกิดมาเพราะกรรม เพราะความยึดในขันธ์ ที่พระองค์ตรัสเรามีกรรมเเต่กำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์
    เเต่คุณความดีของ พ่อ เเม่ ครูบาอาจาร นั่นมี เป็นจิตที่เมตตา เลี้ยงร่างกาย เเต่จริงๆเเล้วชื่อของร่างกายทุกอย่างนั่นสมมุติขึ้นมาอีกละ จริงๆเป็นก้อนธาตุทั่ง4 ไปสมมุติเป็น มือ เป็นเเขน เป็น ขา เพราะสิ่งสมมุติทุกอย่าง มีเกิดย่อมมีดับ
    เมื่อมีตัวจนเป็นปัจจัย เลยเกิดมี โลกธรรม8ขึ้นมา เกิดกิเลสกันอยากได้ อยากมี(ตัณหา) ในสิ่งสมมุตินั่นละ ความยึดเป็นของตน เมื่อได้เงินได้ทองมาก็หลงดีใจ ถูกหวยก็ดีใจ เเต่ไม่คิดว่าสิ่งนี้ก็สมมุติกันในโลกเท่านั่น เหมือน การเล่นเกมส์ เหมือนเด็กที่ชอบเล่น ติดเกมส์เเบบนั่นเลย

    ทำให้เห็นว่าผู้ที่จะรู้ในสมมุติจริงๆเเล้ว ต้องเข้าใจสมมุติเเบบระเอียด รอบคอบ รู้ทั่งหมด จนสามารถเขียนหลักในการออกจาก สิ่งสมมุติได้ เป็นอีกชั้น1 คือเรียนสมมุติ กลายเป็น สมมุติอีกชั้นในการออกจากสมมุติ เหมือนเอา หนามยอกเอาหนามบ่ง เป็นสิ่งที่สวนกระเเส โลกสมมติอย่างสิ้นเชิง เเต่จะทำให้สามารถออกจากสมมุติได้

    อย่างที่อาจารสอนวิชาท่านเเนะนำนักเรียนว่า การที่คนจะเข้าใจอะไรได้เเท้จริง ต้องรู้ความเป็นอย่างนั่นจริงๆ จึงจะสามารถจำได้ เเนะนำคนอื่นได้ นำมาอธิบายได้ถูก

    พระองค์ท่านรู้ทั่งหมดในสมมุติเลยเขียนออกมาได้เเบบเข้าใจง่ายที่สุดเเล้ว อธิบายมาได้ให้สั่นที่สุดเเล้ว
    เปรียบเหมือนใบไม้ในกำมือเท่านั่น เเท้สิ่งที่พระองค์รู้จริงๆเเบบระเอียด เท่ากับไม้ในป่า
     
  10. กาน้ำ

    กาน้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    89
    ค่าพลัง:
    +153
    ดิฉันเพิ่งเข้าวัดปฏิบัติธรรมมาได้ประมาณ 5-6 เดือน แล้วมันมีอาการที่ไม่อยากคุยกับใครเลย แม้กระทั้งเพื่อนๆใน เฟสบุค ไม่อยากคุย ไม่อยากเห็นใครเลย
    มันรู้สึกหดหู่มากเวลาเห็นเพื่อนโพส แต่เรื่องที่เป็นทางโลก ไปเที่ยวบ้าง ซื้อของใหม่แพงๆบ้าง และอื่นๆอีกมากมายที่ทำให้เรารู้สึกว่า เราไม่อยากไปข้องเกี่ยวกับกับพวกเขา..
    -ระวังเรื่องฮอร์โมนไม่สมดุล เป็นเหตุให้เกิดอาการซึมเศร้า
    -บังคับจิตมากจนเกินไป อาการเซ็ง เบื่อ หน่าย เป็นอาการของโทสะ

    หรือว่าเรามีอาการทางจิต..คิดเอาเองน่ะค่ะ..
    อย่าเปรียบเทียบเราเขา(มานะ) ใครจะล้นเรื่องทางโลก น้อยในเรื่องทางธรรม เป็นเรื่องของคนอื่น ไม่ใช่เรื่องของเราเลย

    รู้สึกว่า ตัวเองเริ่มเบื่อหน่ายกับชีวิต ทำไมต้องเกิดมา เพื่อดิ้นร้น มันเบื่อกับชีวิตจริงๆ ทั้งๆที่ชีวิตดิฉันวันๆก็ไม่ได้ทำอะไร อยู่บ้านเชยๆ แต่มันรู้สึกว่า โลกนี้มีแต่ คำว่าอยาก อยากดี อยากเด่น อยากรวย อยากสวย อยากให้คนอื่นชม และอื่นๆอีกมากมาย...
    -ไม่แนะนำให้อยู่กับตัวเองมากไป ปุถุชนจิตเป็นอกุศลเสมอน้อยมากที่จิตมหากุศลจะแวะเวียนมา
    -หาเพื่อนที่พอจะเข้าใจเรา คุยได้ทุกเรื่องเป็นที่รองรับอารมณ์ดีกว่า เขียนบล็อคก็ได้

    บางที่ก็แทบอยากไปเสียเร็วๆจากโลกนี้ แต่ในใจมันค้านว่า ถ้าไปตอนนี้ก็ต้องกลับมาเกิดอีก แบบว่าในสันดาน จิตใต้สำนึก มันไม่อยากเกิดมาบนโลกนี้อีกแล้วว...
    อกุศลจิต(โทสะ/ความหงุดหงิด/ งุ่นง่านใจ)มันฟูจนล้นออกมา

    แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร เดินเส้นไหนดี การทำสมาธิก็ ไม่ค่อยได้เรื่อง สมาธิสั้น มากๆเลยค่ะ ไม่รู้ว่าจะไปสาย พุธ โท หรือ ยุบ-พอง
    เคยลองทำยุบ-พอง เดินจงกรม มันรู้สึก เวียนหัว ทั้งๆที่แต่ก่อนไม่เคยเป็น กำหนด ยุบ-พอง เวียนหัวมาก.. แต่ก่อน กำหนด พุท โธ ก็ไม่เป็นไรค่ะ
    หลังจาก ไปฝึก แบบ ยุบ-พอง มา ก็เริ่มมีอาการเวียนหัว มาตลอด ถึงม้ว่า กำหนด พุท โธ ก็ตาม...จะแก้อย่างไรดีค่ะ..ขอถามผู้ที่รู้ ช่วยตอบให้แสงสว่างด้วยค่ะ
    -เพราะความอยาก(โลภะ)บังคับตัวเองมากเกินไป จนเกิดอาการตรงกันข้าม(โทสะ)

    อยากปฏิบัติธรรม ไม่ทราบว่า ควรไปที่ไหนดี ถึงจะถูกจริตกับเรา
    -ลองเริ่มต้นจากพระสูตรสักบท เลือกที่ตัวเองชอบได้เลย แล้วเอาพระสูตรบทนั้นมาเป็นอารมณ์แทนอารมณ์ปัจจุบันดูนะคะ
    พอเริ่มเทียบเราเขา เริ่มเซ็งหน่ายกับชีวิตก็ให้น้อมพระสูตรขึ้นมาเป็นอารมณ์
    -------------------------------------------------------------------------
    ธรรมมะเป็นเรื่องดี ถ้าทำให้สมดุล ยอมช้าลงสักหน่อย

     
  11. chottana

    chottana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +337
    จริงๆนั่น ถ้าเข้าใจคำว่าสมมุติจริงๆนะ ไม่ใช่รู้ว่าเป็น สมมุติ อย่างเดียว
    จะเข้าใจว่าที่จริงเเล้ว เราไม่ได้อยู่ที่นี้มาก่อน เพราะฉะนั้น ถ้ายังเข้าใจไม่ลึก จะมีอาการรู้สึกว่า
    มีความ อยาก เป็นตัณหา เหตุเกิด ยังอยู่ เมื่อ เจอสรรเสริญ ก็ดีใจอีก เป็นความต่อเนื่องเมื่อยังมีตัวตน คิดว่าเป็นสุข ยังติดในสมมุติอยู่ยังชอบใจอยู่
    เเต่ถ้าจะบอกว่า ไม่อยาก นี้ก็ผิดอีกเเละ เหมือนกับมีอุปทานอยู่ ว่าไม่อยาก เจอนินทา ก็อารมเสียอีก
    ต้องระวัง 2อย่างนี้นะ จัดเป็นตัณหา3 คือความอยากมีภพ กับ ไม่อยากมีภพ
    เพราะเเท้ๆเราไม่ได้อยู่มีในภพอยู่ก่อน เหมือนกับว่า เรานั่งเครื่องบินอยู่ เเต่พอรู้ตัวอีกที่ว่านี้เป็นเครื่องบินสายมรณะ เลยสั่งขอจอดลงเลย ทั่งที่ข้างล่างมันเป็นน้ำ ถ้าโดดลงไปก็ตายอยู่ดี เหมือนกับว่า เราผิดตั้งเเต่ขึ้นเครื่องมาเเล้วจะร้องลงก็ไม่ได้เเล้ว
    ธรรมของพระองค์เป็นธรรมสายกลาง ต้องคิดว่า เป็นสิ่งที่เกิดย่อมดับไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มิถุนายน 2012
  12. jintanakarn

    jintanakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    128
    ค่าพลัง:
    +236
    ความฟุ้งซ่านย่อมเกิดขึ้นได้เมื่อมีการปฏิบัติ อาการที่เกิดขึ้นดูคล้ายกับว่าเบื่อหน่ายการใช้ชีวิตทางโลกแต่แท้จริงแล้วคืออาการฟุ้งซ่านซึ่งมาจากการปฏิบัติ จะปฏิบัติแบบไหนก็เวียนหัวไปหมด ทำความสงบไม่ได้ จนเกิดอาการขัดใจ น้อยใจ ไม่ได้ดั่งใจ เมื่อเป็นเช่นนี้ควรหยุดปฏิบัติแบบเดิมเสีย แล้วหันมาทำความรู้สึกตัวเสียใหม่ หาวิธีการปฏิบัติที่เหมาะกับจริตของตัวเอง ผลของการปฏิบัติต้องมีความสุข ผ่อนคลาย โล่ง โปร่ง เบากาย เบาใจ มองโลกในแง่ดี มีสติรู้ตัวรู้ตน จนมองเห็นความจริงของทางโลก ค่อยๆปฏิบัติไม่ควรเร่งรีบได้แค่ไหนเอาแค่นั้น หมั่นสำรวจการกระทำทางกาย วาจา ใจ ในชีวิตประจำวันให้ดี เพราะผลของการกระทำทางกาย วาจา ใจ ในชีวิตประจำวันนี่แหระเป็นต้นเหตุของผลในการปฏิบัติ
     
  13. somchai_eee

    somchai_eee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    332
    ค่าพลัง:
    +413
    กำลังบ้าดี ยังไม่เข้าใจสภาพธรรม แต่ไม่ต้องกลัวจะลดลงตามลำดับ หากปฏิบัติถูกทาง ครับ

    เป็นทุกข์ ขอให้เห็นทุกข์นี้ไปก่อน มันจะเป็นแรงพลักดันให้ ปฏิบัติธรรม

    เดินสมาธิไม่ได้ ไม่เป็นไร เดินปัญญาก่อน(ใช้สมาธิแบบพื้นๆไปก่อน) หาธรรมมานั่งพิจารณา เรื่อยๆตามแต่ ข้องใจ พร้อมหาคำสอนพระอาจารย์ต่างๆ และพุทธพจน์มาเพิ่มเติมพร้อมพิจารณา
    พร้อม ตามดูลมหายใจ และพุทโธ หรือ...ไปที่ละน้อย ไม่ต้องนาน ไม่เคร่งเครียด แล้ว สมาธิ จะดีขึ้นเรื่อยๆ ครับ
     
  14. ณํฐ

    ณํฐ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +8
    ผมไม่ได้เก่งอะไรแต่อยากแนะนำและลองให้คุณคิดดูเอง

    เราอยู่บนโลกก็ต้องข้องแวะพบปะผู้คนเป็นธรรมดาเพราะเรายังอยู่ในโลก

    และเราอยู่ในฐานะอุบาสก-อุบาสิกา ไม่ใช่พระ เพราะพระเป็นทางที่กว้างขวาง

    ปฏิบัติได้ 24 ชม. ฆราวาสเป็นหนทางที่คับแคบเพราะต้องทำมาหากินพบปะผู้คน

    เพราะฉะนั้นคุณปฏิเสธไม่ได้เพราะคุณยังมีชีวิตและอยู่บนโลกแต่สิ่งที่คุณทำได้คือ

    การรักษาจิตใจของตนเองไม่ให้ไหลตามกิเลสไปมากจนเกินไป โดยการทำความสงบของใจ

    วิธีนั้นมีหลายวิธี คุณลองเลือกดูสักอย่าง แต่ผมภาวนาพุทโธ คุณจะลองพุทโธก็ได้ อย่าจับเอาอันโน้นทีอันนี้ทีจะทำให้เรากลายเป็นคนจับจด

    ส่วนที่คุณอยากได้สมาธินั้นผมถามหน่อยอะไรเป็นเหตุให้ได้สมาธิเพราะการมีสติอยู่กับคำบริกรรมใช่หรือไม่

    ฉะนั้นคุณต้องพยายามรักษาสติอยู่กับคำภาวนาจะพุทโธหรืออะไรก็ได้

    ถึงคุณไม่อยากได้สมาธิยังไงคุณก็ต้องได้เพราะมันเป็นผล มีเหตุมีผลกัน

    เมื่อคุณทำได้อย่างนี้ความฟุ้งซ่านภายในใจก็จะลดลง

    ไม่ต้องแปลกใจเราไม่ได้เก่งมาตั้งแต่เกิดทำแรกๆย่อมจะรักษาสติกับคำภาวนาไปได้ไม่นาน

    ฉะนั้นต้องฝึกบ่อยๆอย่าท้อ ส่วนมากคนปฏิบัติแล้วจะท้อกันเพราะมันไม่เห็นผลเป็นรูปธรรมจับต้องไม่ได้มองไม่เห็นเพราะมันเป็นนามธรรม

    ไม่เหมือนเวลาเราขายของก็จะได้เงินได้ทองเป็นรูปธรรมจับต้องได้

    แต่อย่าลืมว่าถ้าเราทำบ่อยเราก็จะมีความชำนาญมากขึ้นจากเด็กฝึกงานก็กลายเป็นพนักงานเพิ่งบรรจุ

    ฉะนั้นเมื่อมีความสงบของจิตใจคุณจะดีขึ้นไม่ฟุ้งซ่านจนเกินไป

    จิตใจคนเราหลวงตาท่านเปรียบให้ดูเหมือนเก้าอี้ดนตรี คุณเคยเล่นเก้าอี้ดนตรีใช่ไหม

    ก็เหมือนกันธรรมกับกิเลสมันคอยผลัดกันนั่งเก้าอี้ตัวนี้ เวลาไหนกิเลสกำลังมากมันก็จะนั่งและขี้รดจิตใจของเราไว้พอมันไปเราก็มาทุกข์ร้อนกับสิ่งที่ทำลงไป

    แต่เวลาไหนธรรมะมานั่งตอนนั้นก็จะรู้สึกดีอยากทำบุญอยากนั่งสมาธิจิตใจเข้มแข็ง

    การทำความสงบของใจนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญเป็นบาทฐานที่จะทำให้เราต่อยอดขึ้นไปอีกได้ และคอยกั้นกิเลสไม่ให้มาครองจิตใจของเรามากจนเกินไป

    ดังนั้นคุณก็อยู่เหมือนคนปกตินั้นแหละแต่คอยรักษาใจตัวเองไม่ให้หลงไปกับกิเลสมากจนเกินไป หมั่นทำบุญ ทำความสงบของใจ

    ส่วนเรื่องที่ว่าเวียนหัวเวลาคุณนั่งภาวนาไม่ต้องไปสนใจกับอาการเหล่านั้นให้มีสติอยู่กับคำบริกรรมภาวนาก็พอ หลวงตาท่านว่าให้ภาวนาพุทโธเหมือนว่าบนโลกนี้ไม่มีอะไรมีแค่เรากับคำภาวนาพุทโธเท่านั้น

    เพราะการที่คุณไปสนใจอาการเวียนหัวก็เท่ากับคุณไม่มีสติอยู่กับคำบริกรรมแล้วและเมื่อคุณให้ค่าบ่อยๆอาจทำให้เป็นนิสัยของจิตได้

    พอเวลานั่งภาวนาแล้วจะเวียนหัวทุกทีเหมือนคนที่ภาวนาแล้วหลับหรือตกภวังก็เหมือนกันพอนั่งไปสักแปปอาการก็มาแระ

    ดังนั้นอย่าไปสนใจให้สนใจตั้งสติภาวนาอยู่กับคำบริกรรมก็พอ

    ส่วนเรื่องสถานปฏิบัติธรรมนั้นที่ผมจะแนะนำอาจไกลไปแต่ถ้าคุณอยากรู้ก็PMมาแล้วกันครับ ส่วนที่ใกล้ กทม ก็น่าจะมีเยอะครับ

    แต่ผมแนะนำถ้าคุณไม่มีเวลาไป ก็ลองฟังเทศน์ของหลวงตามหาบัว ก็ได้ครับ

    หรือพระอาจารย์ที่ผมฟังอยู่ก็ได้ครับ อย่าท้อนะครับหลวงตาท่านกล่าวบ่อยๆ

    ใครจะทำดีทำชั่วก็ทำไปแต่เราจะทำดีหวะ ขอให้เจริญในธรรมครับ
     
  15. pepsodent

    pepsodent Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    65
    ค่าพลัง:
    +40
    แยกให้ออกระหว่างกฎของโลกกับกฎของธรรม
     
  16. ปุณบพิธ

    ปุณบพิธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,102
    ค่าพลัง:
    +2,134
    หากรู้หลักในการกำหนดวิปัสสนา ทุกวินาทีในชีวิตคือการปฏิบัติธรรม ครับ
     
  17. โมกขทรัพย์

    โมกขทรัพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    474
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,851
    โลกธรรม๘ครับ อย่าไปยึดติดกับสมมุติมาก เราอยู่กับสมมุติทุกวันนี้ ไม่มีอะไรเป็นแก่นสารอย่างแท้จริง สิ่งที่กระทบอายตนะทั้ง๖นั้นรู้ก็สักแต่ว่ารู้ เห็นก็สักแต่ว่าเห็น หากไม่ปรุงแต่งมัน ก็จะไม่ทุกข์มากครับ ยึดหลักพรหมวิหาร๔ ให้มากๆครับ ลองแสวงหาอาจารย์ทางวิปัสสนาเพื่อชี้แนะบ้างก็จะดีนะครับ

    โมทนาด้วยครับ
     
  18. Mon Treal

    Mon Treal เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    182
    ค่าพลัง:
    +536
    ขอให้เข้าไปดู ที่อจ สุภาวรรณ กรีน เขียนและสอนค่ะ พาตัวใจกลับบ้านYoutube
     
  19. ประเสริฐ2522

    ประเสริฐ2522 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    658
    ค่าพลัง:
    +409
    ผมว่าคุณกำลังเห็นทุกข์ครับ...ผมก็เป็น.มันเป็นอาการของสมถะภาวนา ครับ..ถ้าได้วิปัสนาควบคู่กันจะดีมากครับ.....
     
  20. ประเสริฐ2522

    ประเสริฐ2522 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    658
    ค่าพลัง:
    +409
    ถ้าเราตั้งมั่นเกินไป มันจะเกิดอาการเครียด..ซึ่งผมยอมรับว่าผมก็เป็น.....ต้องปล่อยวางครับ..ยิ่งบังคับมันมากมันยิ่งเกิดอาการเครียด.. ได้แค่ไหน ก็เอาแค่นั้น...คอ่ยๆๆปฏิบัติครับ..เอาใจช่วยครับ..
     

แชร์หน้านี้

Loading...