ประวัติและผลงานของพระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย Falkman, 27 พฤศจิกายน 2010.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,152
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,101
    ค่าพลัง:
    +70,428
    Crop Circle in Madisonville, TN. May 2011

    [​IMG]
    จาก crop circle อันนี้พระอาจารย์รัตน์ว่า เขามาบอกให้ใช้พลังพีระมิด ดึงพลังดีจากจักรวาลคู่ขนานมาใช้
    วงกลมตรงกลางที่ล้อมสามเหลี่ยมพีระมิด คือ กาแลคซี่อันโดรเมดา
    วงกลมกลางแถวบนคือ
    กาแลคซี่ไตรแองกุลัม และ
    วงกลมกลางแถวล่างคือ กาแลคซี่ทางช้างเผือก


    ขอบคุณคุณ malangpong
     
  2. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,152
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,101
    ค่าพลัง:
    +70,428
    [​IMG]
     
  3. บุญญสิกขา

    บุญญสิกขา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,863
    ค่าพลัง:
    +14,471
    [​IMG]



    เชิญชวนเร่งเพียร เจริญสติ สัมปชัญญะ "ภาวนา-ระลึกรู้สึกตัวทั่วพร้อม" และ ร่วมกัน แผ่เมตตาอัปมัญญา ไม่มีประมาณ ด้วยกันนะคะ




    [MUSIC]http://palungjit.org/attachments/a.1759116/[/MUSIC]


    ที่มาข้อมูลเสียง : Youtube บทสัมภาษณ์ เรื่อง ถอดรหัสภัยพิบัติ ชุด ภาวะโลกร้อน ของ NBT ( ศูนย์เทคโนโลยีทางการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 ธันวาคม 2011
  4. Falkman

    Falkman พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    19,726
    ค่าพลัง:
    +77,791
    องค์ความรู้ของพระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ
    แสงสว่างที่ปลายทางรอด : พลังพีระมิด
    เรียบเรียงโดย จีรพันธุ์ ประศาสน์วุฒิ
    9 พฤศจิกายน 2554


    องค์ความรู้ ของ พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ เกี่ยวกับเรื่องภัยพิบัติที่อาจจะเกิดขึ้นในปลายปี พ.ศ. 2555 นั้น มีรายละเอียดแทบทุกอย่างเหมือนกับความรู้ที่ปรากฏอยู่ในกระทู้ของคุณลุงคน เชียงใหม่ ในเว็บพลังจิต (http://palungjit.org/บันทึกของพระคุณลุงคนเชียงใหม่ถึงหลานๆ-เรื่องภัยพิบัติ-311084.html) ซึ่งให้ข้อมูลโดย “คุณวิกรม หลานของพระคุณลุง” และหลายท่านคงพร้อมที่จะเชื่อ เพื่อรักษาชีวิตของตนเองและครอบครัว ฉะนั้น หากมีความเชื่อแล้วควรเจาะลึกลงไปในหลายๆ รายละเอียด หาข้อมูล เหตุ และผล ของการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และสลาย ของแต่ละเหตุการณ์อย่างถี่ถ้วน รอบคอบ

    องค์ความรู้ของ พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ ได้กล่าวถึงมหันตภัยโลกครั้งใหญ่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ว่า เป็นปรากฏการณ์ของการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของโลก ที่เกิดขึ้นเป็นธรรมดา เมื่อเวียนมาครบรอบ 13,000 ปี นั่นหมายความว่าเมื่อกาลเวลาผ่านไปประมาณ 13,000 ปี โลกเราจะมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างกายภาพใหม่กันอีกครั้ง และเป็นเช่นนี้เสมอ ไม่ใช่เป็นเหตุการณ์ประหลาด และจำเพาะจะต้องเกิดขึ้นในยุคนี้เท่านั้น มหันตภัยที่จะเกิดขึ้นเปรียบเหมือนกับการรื้อบ้านหลังเก่าทิ้ง เพราะใช้อยู่อาศัยมานาน จนเสา พื้น ฝ้า เพดาน หลังคา ผุ รั่ว เกินความสามารถที่จะซ่อมแซมให้ดีได้ดังเดิม การรื้อและสร้างใหม่จึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด

    ผู้ที่จะก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในแต่ละครั้ง ต้องอาศัย “แสงสว่าง” ซึ่งมีอยู่ 2 ชนิด

    1. แสงแห่งธรรม หมายถึง การบรรลุธรรม บุคคลผู้สามารถเข้าถึงแสงสว่างของจิตได้แล้ว บุคคลผู้นั้นย่อมพ้นทุกข์ ก้าวผ่านมหันตภัยครั้งยิ่งใหญ่นี้ได้อย่างแน่นอน

    2. แสงสว่างที่ปลายทางรอด เป็นเทคนิคของการแสวงหาทางรอดของครู อาจารย์ ผู้รู้ แต่ละท่าน ที่จะช่วยเหลือลูกศิษย์ ด้วยการให้ปัญญา แนวทางเพื่อรักษาชีวิต และการอยู่รอด ด้วยวิธีการที่แตกต่างกันตามความชำนาญ ความเป็นเลิศ ของแต่ละองค์ แต่ละท่าน สำหรับพระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ ท่านได้แนะนำการใช้ “พลังพีระมิด” มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540 นับเป็นเวลาร่วม 15 ปีแล้วที่พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณได้บอกถึง “เหตุ” การเปลี่ยนแปลงของระบบสุริยจักรวาลมาโดยตลอด และ “เหตุ” สุดท้ายของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ เกิดจากการเรียงตัวของดาวทุกดวงในสุริยจักรวาล รวมทั้งดาวอาคันตุกะ จากนอกระบบสุริยจักรวาล ซึ่งเดินทางมาเยือนในทุกๆ รอบ 13,000 ปี

    [​IMG]

    ดาวอาคันตุกะดวงนี้มีมวลขนาดใหญ่มาก ใหญ่กว่าดาวพฤหัสหลายเท่าตัว เป็นดาวเคราะห์สีแดงลักษณะกลมรี คล้ายลูกรักบี้ และในอนาคตจะโคจรเข้ามาเรียงตัวอยู่ติดกับโลกของเราเลยทีเดียว

    ปรากฏการณ์เรียงตัวของดวงดาว 12 ดวงนี้ จะเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 21 ธ.ค. 55 – 14 ก.พ. 56 ซึ่งหมายความว่า ในช่วงเวลาดังกล่าว พลังงาน แรงดึงดูด จากดาวทุกดวง จะมีมากที่สุด
    จนถึงขั้นสามารถทำให้แกนขั้วโลกจากทิศเหนือ-ใต้ พลิกเปลี่ยนเป็นชี้ไปทางทิศตะวันออก-ตะวันตก และ ในอนาคตเราจะเห็นดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกแทนทิศตะวันออก

    ขอเรียนย้ำอีกครั้งว่า การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของโลกจนถึงขั้นเปลี่ยนขั้วโลกใหม่ได้นั้น ไม่ได้จำเพาะว่าจะต้องเกิดขึ้นในวันที่ 21 ธ.ค. 55 เพียงวันเดียว แต่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกวัน ระหว่างวันที่ 21ธ.ค.55 จนถึงวันที่ 14ก.พ.56 (56วัน) กำหนดวันเกิดเหตุที่แน่นอน พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ จะติดตามและสังเกตการเปลี่ยนแปลงของพลังงานอย่างต่อเนื่อง จึงจะสามารถระบุวันเกิดเหตุได้อย่างแม่นยำอีกครั้ง

    แต่ในอนาคตเมื่อใกล้กับวันเกิดเหตุการณ์จะมีสิ่งบอกเหตุที่สำคัญคือ หากมองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้านทิศเหนือ มนุษย์จะเห็นว่าตำแหน่งของดาวเหนือเปลี่ยน ราวกับว่าอยู่ไกลออกไปมากกว่าแต่ก่อน จึงพลอยทำให้แสงสว่างของดาวเหนือลดลงด้วย ทั้งๆที่ในความเป็นจริงแล้วดาวเหนือยังคงอยู่ที่เดิม แต่แกนขั้วโลกต่างหากที่กำลังเปลี่ยนทิศ ซึ่งสื่อความหมายว่า ขั้วโลกพร้อมแล้วที่จะเปลี่ยนขั้วจากเหนือ-ใต้ เป็นขั้วตะวันออก-ตะวันตก

    สงสว่างที่ปลายทางรอด : พลังพีระมิด
    พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ ได้เผยแพร่ความรู้ของชาวแอตแลนตีสเกี่ยวกับการใช้พลังพีระมิด ด้วยจุดมุ่งหมายหลักที่สำคัญคือเป็นการเตรียมความพร้อม ให้มนุษย์รู้จักการปรับโครงสร้างเซลล์ เนื่องจากทั้งในภาวะก่อนจะเกิดมหันตภัยอย่างน้อย 5 ปี ซึ่งเป็นช่วงการเกิดวิกฤตพลังงานจากพายุสุริยะ และ ช่วงเวลารับผลกระทบสูงสุดจากพลังงานย้อนกลับซึ่งเป็นพลังงานลบจาก กาแลคซี่อันโดรเมดาในวันที่เปลี่ยนชะตาดาวเคราะห์โลก ที่เปลี่ยนขั้วโลกจากทิศเหนือภายใต้แรงดึงดูดของกาแลคซี่ทางช้างเผือก เข้าสู่ขั้วโลกตะวันออกภายใต้แรงดึงดูดของกาแลคซี่ไตรแองกุลัม เป็นเวลาประมาณ 13,000 ปี
    ในทั้งสองช่วงเวลาที่กล่าวมา มนุษย์จะได้รับพลังงานเสียเข้าสู่ร่างกายจากปริมาณน้อยไปหามากตามลำดับของ วิกฤตพลังงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงการย้อนกลับของพลังงานลบจากกาแลคซี่ อันโดรเมดาที่ส่งแรงปะทะอย่างมหาศาล พุ่งเข้าหาพลังงานบวกของดวงอาทิตย์ ทำให้จุดดับใน ดวงอาทิตย์เกิดการระเบิดอย่างรุนแรง และ ทวีความถี่มากยิ่งขึ้นตามลำดับ โลกเป็นแหล่งรับมวลสารพิษและพลังงานแม่เหล็กโลกที่มีค่าเป็นลบซึ่งเกิดจาก ปฏิกิริยาดวงอาทิตย์ และส่งไปถึงดวงจันทร์ ตามลักษณะของแรงดึงดูดระหว่างดวงดาวที่มีต่อกัน ในเส้นทางการย้อนกลับของแรงดึงดูดจากดวงจันทร์มายังโลกอีกครั้งเช่นนี้ โลกได้รับโมเลกุลสีแดงอมม่วงของน้ำจากดวงจันทร์ซึ่งมีมวลที่หนักกว่าน้ำใน โลก และโมเลกุลสีแดงอมม่วงเหล่านี้จะแทรกซึมลงในทุกส่วนของโลกที่มีน้ำเป็นองค์ ประกอบ เช่น ถ้ารวมตัวกับเมฆฝน จะทำให้มีฝนตกหนักอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะแถบชายทะเล จนทำให้ฤดูกาลเปลี่ยน คือมีแต่ฤดูฝน ไม่มีฤดูหนาว ถ้าฝังตัวลงในน้ำ จะสามารถ ยก ดัน น้ำให้สูงขึ้น จึงเป็นสาเหตุทำให้พื้นที่ริมชายทะเลมีน้ำท่วมสูง ซึ่งการท่วมสูงเช่นนี้มิได้เกิดจากการหนุนของน้ำทะเล หากโมเลกุลสีแดงอมม่วงเหล่านี้แทรกซึมเข้าสู่เซลล์ที่ประกอบด้วย น้ำ เลือด และน้ำเหลือง ทำให้มนุษย์มีปัญหาด้านสุขภาพ เป็นสาเหตุของความเจ็บป่วยที่รักษาได้ยากยิ่งขึ้น เริ่มจากอาการปวด เมื่อย ถ้าไปถึงสมองจะมีอาการมึนงง หากปริมาณโมเลกุลของน้ำเพิ่มมากขึ้น จะมีอาการท้องเสีย ท้องเดิน เรื้อรัง รักษาไม่หายขาด และในที่สุดเซลล์จะเน่า เป็นการเน่าจากภายในเนื้อเยื่อก่อนและเน่าลามออกมาที่ผิวหนังออกสีแดงอมม่วง (องค์ความรู้ของพระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ แนะนำการใช้หลอดแกนพีระมิด ชนิดเจาะ 4 รู เพื่อดึงพลังปราณช่วยดันและละลายโมเลกุลน้ำสีแดงอมม่วงจากดวงจันทร์ออกจากร่างกาย)
    ยิ่ง ไปกว่านั้น หากโครงสร้างเซลล์ มืด ดำ คล้ำ ร่างกาย จะดูดซับสารพิษจากพลังงานเสียได้มากและรวดเร็วกว่า ทำให้เสียชีวิตได้เร็วเกินคาด สำหรับบุคคลที่เคยฝึกจิตเรียนรู้หลักธรรมของศาสนา (ทาน ศีล สมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน) และรู้หลักการใช้พลังพีระมิดจะได้รับผลพลอยได้อย่างยิ่งยวด คือ ได้ทำความสะอาด ฟอก และซ่อมแซมเซลล์อยู่เป็นประจำ กระทั่งกลายเป็นเซลล์ใส จึงดูดซับสารพิษได้น้อย และยังสามารถพื้นฟูเซลล์ ดันสารพิษเหล่านั้น ออกจากร่างกายได้อย่างรวดเร็ว จึงยังคงรักษาชีวิตให้รอดอยู่ได้ และในครานี้มนุษย์บางคน บางกลุ่ม จะรู้ซึ้งถึงอานิสงส์ของแสงสว่างแห่งธรรม สำหรับผู้ที่ยังไม่เข้าถึง “ธรรม” คงต้องอาศัยแสงสว่างจากพลังมโนธาตุในพีระมิดของพระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ ช่วยให้พลังดุจดังเกราะกำบังประคองจิตให้เป็นปกติ ไม่เสียสติไปกับความโหดร้ายรุนแรงของภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน หลายอย่าง แต่ละอย่างล้วนแต่ไม่เคยเจอมาก่อน เช่น แผ่น ดินไหวอย่างรุนแรง เสียงแผดร้อง คำรามอย่างบ้าคลั่งของฟ้า ลมพายุ แผ่นน้ำแข็งที่เกิดจากคาร์บอนมอนนอกไซด์ หล่นจากฟากฟ้า และในท้ายที่สุดคือ การเกิดน้ำท่วมใหญ่กวาดล้างสรรพสิ่งโสโครก ปฏิกูล ผลพวงจากโลกใบเก่าทิ้งไปกับน้ำ ถึงจุดสิ้นสุดวิวัฒนาการที่เกิดจากน้ำมัน หรือฟอสซิลดำ

    มนุษย์จะมีวิถีชีวิตที่เรียบง่ายไม่มีการใช้อุปกรณ์ใดๆ ที่เกี่ยวเนื่องด้วย “ไฟฟ้า” อาศัยอยู่ในบ้านหลังใหม่ที่สร้างเสร็จสมบูรณ์ เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงานดี จิตใจโอบอ้อมอารี แบ่งปันกันใช้ เงินตราหมดค่า และเริ่มมีวิวัฒนาการใหม่ไปตามลำดับ โดยเน้นเรื่องของ “จิต” เป็นหลัก กล่าวได้ว่าเป็นอีกยุคสมัยหนึ่งที่การฝึกปฏิบัติธรรมจะกลับมาเฟื่องฟู มนุษย์จะได้ศึกษา ปฏิบัติตามแก่นธรรมที่แท้จริงของพระพุทธองค์ เนื่องจากมีความเหมาะสมหลายๆอย่างเป็นองค์ประกอบ เช่น พลังงานปราณ พลังมโนธาตุ สมบูรณ์ เหลือแต่ผู้มีศีลธรรม ไม่ต้องดิ้นรนแสวงหาทรัพย์ อากาศเย็นสบาย เพราะขั้วโลกเปลี่ยนทิศ ประเทศไทยจึงอยู่ในเขตอบอุ่นไม่ใช่เขตร้อน ดังแต่ก่อน ฯลฯ

    วิธีป้องกันและแก้ไข
    มนุษย์มีหลายทางเลือกเพื่อรักษาชีวิต องค์ความรู้ของ พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ เสนออีกหนึ่งทางเลือก เพื่อถนอมรักษาชีวิตที่มีค่าไว้ด้วยวิธีปฏิบัติตัว
    ตลอดช่วงเวลา 3 วัน 3 คืน วาระแห่งการปรับโครงสร้างของโลก และสุริยจักรวาล ซึ่งมีผลสืบเนื่องมาจากสาเหตุ 2 ประการ คือ การทำหน้าที่ของ ดาวถ่วงดุล และ การเรียงตัวของดาวทั้ง 12 ดวง ผนึกพลังงานบวกอัดแน่นเข้าด้วยกัน เมื่อพลังงานรวมตัวจนถึงอัตราสูงสุด จะเกิดการรีดตัวเป็นเส้นตรง พุ่งออกจากกาแลคซี่ทางช้างเผือก ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ตรงเข้าหาพลังงานลบของกาแลคซี่อันโดรเมดา ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่ากาแลคซี่ทางช้างเผือกหลายพันเท่า การ พุ่งปะทะของพลังงานบวกกับพลังงานลบ และการพลิกวงโคจรของดาวถ่วงดุลในครั้งนี้ ทำให้เกิดปรากฏการณ์ของ แสง เสียง การสั่นไหว และน้ำในโลก ดังรายละเอียดต่อไปนี้

    1. ในเวลาประมาณบ่ายสามโมง (15.00 น.) จะมีแสงสว่างวาบมาจากท้องฟ้า เป็นแสงมหัศจรรย์ มีประกายเจิดจ้าอย่างไม่มีประมาณ ไร้สิ่งเปรียบเทียบ เพราะเป็นแสงที่เกิดจากการปะทะ พุ่งชน เสียดสีของพลังงานบวกกับพลังงานลบจากสองกาแลคซี่ ทั้งดาวเคราะห์ ดาวฤกษ์ ต่างได้รับแสงสว่างนี้ถ้วนทั่วกัน รวมทั้งมนุษย์ในโลก เสียงโจษขานอึงคะนึงจากกลุ่มคนทั่วทิศทาง ถามไถ่กันขรมว่าเป็นแสงอะไร หากได้ยินเช่นนี้แล้วให้รีบหลับตาหลบอยู่ในที่พักอาศัย ไม่ต้องติดตามมวลชนออกไปเพื่อหาต้นกำเนิดของแสงบาดตาที่มีอานุภาพทำให้ตาบอด ได้ทันที

    2. ถัดมาในตอนกลางคืนเวลาประมาณสามทุ่ม ( 21.00น. ) ถึงวาระที่ดาวอาคันตุกะหรือดาว ถ่วงดุลจะได้ทำหน้าที่ถ่วงดุลโดยมิได้ตั้งใจ หากแต่เป็นเพราะ ถึงเวลาต้องโคจรออกจากระบบ สุริยจักรวาลแล้ว ดาวถ่วงดุลจึงโคจรเคลื่อนที่ออกจากแนวเรียงตัวทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เข้าสู่วงโคจรเดิม คือมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออก ด้วยมวลขนาดมหึมาและเข้ามาเรียงชิดติดกับโลกซึ่งเป็นดาวเคราะห์ที่มีขนาด เล็กกว่ามาก จึงส่งอิทธิพลแรงดึงดูดอย่างมหาศาลต่อโลก สามารถ ดึง เบียด และ พลิกแกนขั้วโลกที่ชี้ทิศเหนือ ให้หันไปทางทิศตะวันออกได้ทันที กระบวนการ ดีดตัว พลิกตัว ของดาวถ่วงดุล และการพลิกเปลี่ยนทิศของแกนขั้วโลก ทำให้เกิดเสียงดังกึกก้องกัมปนาท เป็นพลังงานเสียงที่มีอัตราความดังสูงเกินพิกัด เสียงคำราม แผดก้อง เขย่าขวัญ เกินประมาณดังมาจากทั่วสารทิศ ทำให้แก้วหูแตกได้ฉับพลัน จึงควรหาอุปกรณ์สำหรับอุดหูเพื่อป้องกันแก้วหูแตก หรือขวัญผวาไปกับการได้ยินสรรพสำเนียง แปลกประหลาดที่บาดหู บาดใจ เหล่านั้น

    3. การปะทะกันของพลังงานบวกกับพลังงานลบ ทำให้แสงมีคลื่นความถี่สูง การพลิกวงโคจรของดาวถ่วงดุลและแกนโลก ทำให้มีอัตราความดังของเสียงอย่างไม่มีประมาณพุ่งเข้ามาในโลกเต็มชั้น บรรยากาศ แผ่นดิน ผืนน้ำ แผ่นหินเปลือกโลก เป็นสาเหตุของการเกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง โลกตกอยู่ในความมืดสนิทอย่างไม่รู้วันรู้เวลา ถึงนาทีชีวิตที่ต้องพึ่งพลังพีระมิดจากหลอดแกนชนิดเจาะ 4 รู ซึ่งนอกจากช่วยขับโมเลกุลสีแดงอมม่วงของน้ำจากดวงจันทร์ออกจากร่างกายแล้ว ในวาระนี้ยังทำหน้าที่เป็นแกนพลังงานให้จิตเกาะเกี่ยว ไม่เสียสติไปในช่วงที่มีแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงเกินมาตรวัด

    4. ถึงเวลาของคลื่นความถี่สูง ที่เกิดจากการปะทะของพลังงานบวกกับพลังงานลบ รวมทั้งการเกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง จะส่งผลกระทบต่อแผ่นน้ำแข็งที่เกิดจากคาร์บอนมอนนอกไซด์ ซึ่งสามารถแก้ไขและป้องกันโดยใช้พลังพีระมิดจัดเรียงเป็น เครื่องสลาย เมฆ หมอก ฝน หิมะ (A DEVICE TO MELT CLOUDS, DISINTEGRATE FOG AND THAW SNOW.) ใช้ประโยชน์ได้ไกลในรัศมีโดยรอบประมาณ 5 กม. เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดฝนตก ฟ้าผ่า และการหล่นจากท้องฟ้าของแผ่นน้ำแข็งที่เกิดจากคาร์บอนมอนนอกไซด์ กระแทกกระหน่ำซ้ำเติม ทำให้การเผชิญสถานการณ์ของมวลมนุษยชาติเลวร้ายยิ่งขึ้นอีก

    5. เตรียมอาหารเสริมพลังพีระมิด รัดเก็บติดไว้กับตัวเพื่อประทังชีวิตยามรู้สึกหิว ทานอย่างน้อยวันละ 3 เวลา ตลอดช่วงเวลา 3 วัน 3 คืน และดื่มน้ำให้มาก พลังมโนธาตุและพลังปราณในอาหารเสริมพลังพีระมิดเป็นพลังงานละเอียดที่จำเป็น ต่อการดำรงอยู่ของจิตและกาย ในภาวะคับขันเป็นอย่างยิ่ง
    หากเตรียมตัวพร้อมและปฏิบัติตนด้วยความไม่ประมาท จะสามารถรักษาชีวิตรอดไว้ได้ มีโอกาสเริ่มชีวิตใหม่กันอีกครั้งกับขั้วโลกตะวันออก

    ตลอดระยะเวลาประมาณ 13,000 ปี ในอนาคตข้างหน้า “พีระมิด” ซึ่งมีรากฐานมาจากอารยธรรมของชาวแอตแลนตีส จะถูกนำมาใช้เป็นวิชาหรือศาสตร์พื้นฐานที่สำคัญของวิวัฒนาการทางจิต หรือวิทยาศาสตร์ทางจิตอีกครั้ง และหากเมื่อถึงปลายยุคหน้า เมื่อวิทยาศาสตร์ทางจิตเริ่มก้าวสู่จุดอิ่มตัวและจุดเสื่อม เหตุการณ์การเรียงตัวของกลุ่มดาวในระบบสุริยจักรวาลจะเกิดขึ้นอีกครั้ง และแกนขั้วโลกตะวันออกจะหันหลับไปหาขั้วโลกทางทิศเหนือ เป็นการรื้อบ้านหลังเก่าที่ผุพังทิ้งและสร้างบ้านหลังใหม่กันอีก สลับไปมาเช่นนี้เป็นรอบๆ ดังความรู้ที่ปรากฏเป็นหลักฐานในปฏิทินมายัน ซึ่งเป็นปฏิทินทางดาราศาสตร์ ที่บอกเล่ารายละเอียดถึงเหตุการณ์ต่างๆที่จะเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ระบบสุริย จักรวาลโคจรเคลื่อนที่ผ่านทั้ง 3 กาแลคซี่ในรอบเวลา 1 วันจักรวาล หรือ 26,000 ปี ตามเวลาของโลก

    มนุษย์ในยุคพลังงานน้ำมันนี้ มีโอกาสดีที่ได้ร่วมรับรู้ และมีส่วนร่วมในประสบการณ์ที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าจะเรียบเรียงได้ทั้งหมด เป็นสิ่งที่ทรงคุณค่าแก่การจดจำ จารึก และจะกล่าวขานเป็นตำนานอีกครั้ง ตามกาลเวลาที่ผ่านไปเนิ่นนาน เฉกเช่นเดียวกับตำนานของมหาอาณาจักรแอตแลนตีส ที่ล่มสลายไปเมื่อ 13,000 ปีที่ผ่านมา และทุกท่านคงจะเห็นพ้องต้องกันแล้วว่า “สิ่งใดเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นย่อมดับไปเป็นธรรมดา ตามกาละของการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และ สลาย” วนไปมาเป็นรอบๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุดตลอดไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 พฤศจิกายน 2011
  5. Falkman

    Falkman พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    19,726
    ค่าพลัง:
    +77,791
    องค์ความรู้ของพระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ
    อิทธิพลของกระแสน้ำในดวงจันทร์ที่ส่งผลกระทบต่อ “น้ำ” ในโลก
    เรียบเรียงโดย จีรพันธุ์ ประศาสน์วุฒิ
    9 พฤศจิกายน 2554


    ความ สัมพันธ์ต่อเนื่องจากการเกิดวิกฤตพลังงานแรงดึงดูดในกาแลคซี่ทางช้างเผือก จนเป็นสาเหตุทำให้สุริยจักรวาลทั้งระบบ ถูกดันจนไปติดขอบกาแลคซี่ใหญ่ หรือกาแลคซี่อันโดรเมดาทางทิศตะวันออก จนแทบจะเรียกได้ว่า “หมดสภาพ” เหลือ แรงรับ และแรงเหวี่ยง อย่างเบาบาง มิหนำซ้ำ การย้อนกลับของพลังงานลบจากกาแลคซี่อันโดรเมดา ที่ส่งแรงปะทะอย่างรุนแรง เข้าหาพลังงานบวกของดวงอาทิตย์ ทำให้การระเบิดของดวงอาทิตย์ทวีความรุนแรงและเพิ่มความถี่มากยิ่งขึ้นตาม ลำดับ และมวลสารพิษจากการระเบิดของจุดดับเหล่านั้นได้ส่งต่อมายังโลก และดวงจันทร์ ตามลักษณะของแรงดึงดูดระหว่างดวงดาวที่มีต่อกัน

    ในเส้นทางการย้อนกลับของแรงดึงดูดจากดวงจันทร์มายังโลกอีกครั้งเช่นนี้ พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ ได้ให้ความรู้ไว้เมื่อประมาณต้นเดือนกันยายน พ.ศ. 2554 ว่า จะส่งผลกับการเพิ่มปริมาณ “น้ำ” ในโลกเราอย่างมหาศาล เนื่องจาก กระแสน้ำในอากาศของดวงจันทร์จะมีโมเลกุลของน้ำที่หนักกว่าน้ำในโลก เมื่อไหลย้อนกลับมายังโลก และแทรกซึมอยู่ทั่วทุกส่วนของโลกที่มีน้ำเป็นองค์ประกอบ เช่น แม่น้ำ ทะเล มหาสมุทร และแม้แต่น้ำในร่างกายมนุษย์

    หากมองขึ้นไปบนท้องฟ้าหรือจุดที่มีแสงสะท้อนของดวงอาทิตย์จะเห็นเป็นกลุ่มมวลสีแดงอมม่วง ปรากฏอยู่มากมาย กลุ่มมวลโมเลกุลเหล่านี้คือ โมเลกุลของน้ำจากดวงจันทร์ ซึ่งจะทำปฏิกิริยากับน้ำในโลกของเราได้หลายกรณี เช่น

    1. ถ้ารวมตัวกับเมฆฝน จะทำให้มีฝนตกหนัก และ ตกอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะแถบชายทะเล จนทำให้ฤดูกาลเปลี่ยนแปลง คือมีแต่ฤดูฝน ไม่มีฤดูหนาว

    2. ถ้าฝังตัวลงในน้ำ จะสามารถ ยก ดัน น้ำให้สูงขึ้นได้ จึงเป็นสาเหตุทำให้พื้นที่ริมชายทะเลมีน้ำท่วมสูง ซึ่งการท่วมสูงเช่นนี้มิได้เกิดจากการหนุนของน้ำทะเล

    3. หากอุณหภูมิของน้ำข้างล่างและผิวน้ำต่างกันมาก จะเป็นปัจจัยเสริม ทำให้เกิดปรากฏการณ์ ยก ดัน และเหวี่ยงน้ำเข้าหาแผ่นดินในลักษณะพายุหมุน เช่น พายุงวงช้าง ทอร์นาโด ฯลฯ


    4. เมื่อแทรกซึมเข้าสู่เซลล์ในร่างกายที่ประกอบด้วย น้ำ เลือด และน้ำเหลือง จะเป็นสาเหตุของความเจ็บป่วยที่รักษาได้ยากยิ่งขึ้น เริ่มจากอาการปวด เมื่อย ถ้าไปถึงสมองจะมีอาการมึนงง หากปริมาณโมเลกุลของน้ำเพิ่มมากขึ้น จะมีอาการท้องเสีย ท้องเดิน เรื้อรัง รักษาไม่หายขาด และในที่สุด ผิวหนังจะเปื่อย เน่า ออกสีแดงอมม่วง กลายเป็นโรคผิวหนังที่แพร่ระบาดและอาการเจ็บป่วยเหล่านี้ ไม่ได้เกิดจากการถูกน้ำท่วมขังแต่อย่างใด


    [​IMG]

    วิธีแก้ไข
    พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ ได้เตือนผ่านทางกระทู้ในเว็บพลังจิตตั้งแต่วันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2554 แล้วว่า จะเกิดน้ำท่วมกรุงเทพฯ อย่างหนักและนาน ตามกฎแห่งกรรม เกินการต้านทานหรือแก้ไขได้ แต่ยังพอมีแนวทางป้องกันและผ่อนปรน การเกิดฝนตกและน้ำทะเลยกตัวสูง ได้บ้าง

    เมื่อประมาณปลายเดือนธันวาคม พ.ศ.2553 พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณได้มอบพลังพีระมิด ชนิดเจาะ 4 รู แก่ ดร. ก้องภพ อยู่เย็น เพื่อนำไปทดลองใช้ละลายหิมะ เมฆ หมอก ที่รัฐเวอร์จิเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา มีการทดลองใช้ได้ผลดีมากทั้งสองครั้ง ในช่วงฤดูหนาว สามารถช่วยละลายหิมะได้อย่างรวดเร็ว และช่วยป้องกันการเกิดหิมะตามการคาดการณ์ของการพยากรณ์อากาศ แต่การทดลองต้องหยุดไปชั่วคราว เพราะหมดฤดูหนาว

    [​IMG]

    เครื่องสลาย เมฆ หมอก ฝน หิมะ (A DEVICE TO MELT CLOUDS, DISINTEGRATE FOG AND THAW SNOW.) ชนิดนี้ ประกอบด้วย ก้อนพีระมิด ขนาด 7 นิ้ว เจาะ 4 รู จำนวน 7 ก้อน จัดวางเรียงตัวต่อกันในแนวตั้งเป็นแท่งสูง มีสายยางพันโอบล้อมแท่งพีระมิดตามเข็มนาฬิกา ใช้มอเตอร์หรือพลังน้ำ เป็นอุปกรณ์เสริม เพื่อดึงน้ำจากตัวถังให้ไหลผ่านแท่งพีระมิดตลอดเวลาการใช้งาน ซึ่งมีรัศมีแผ่กว้างออกไปโดยรอบถึง 5 ก.ม. (นอกจากเครื่องสลาย เมฆ หมอก ฝน หิมะ แล้ว ยังสามารถจัดวางแท่งพีระมิดเพื่อทำให้เกิดฝน หรือเปลี่ยนทิศทางลม หรือประโยชน์อื่นๆ ตามความจำเป็นได้อีกด้วย)

    หากมีการจัดตั้ง เครื่องสลาย เมฆ หมอก ฝน หิมะ (A DEVICE TO MELT CLOUDS, DISINTEGRATE FOG AND THAW SNOW.)

    ในเขตน้ำท่วม หรือ กรุงเทพมหานคร ซึ่งมีพื้นที่ส่วนใหญ่โอบล้อมไปด้วยน้ำ และทะเล เมื่อพลังพีระมิดทำงาน จะสามารถสร้างพลังงานความร้อนที่เกิดจากพลังปราณ ซึ่งเป็นพลังงานที่ละเอียด แพร่กระจายออกไปและสลายโมเลกุลสีแดงอมม่วงของน้ำจากดวงจันทร์ที่ปกคลุมอยู่ เต็มชั้นบรรยากาศ จะช่วยให้เกิดประโยชน์ 2 อย่างคือ
    1. ลดปริมาณการมีฝน
    2. ลดการยกตัวสูงของน้ำทะเล


    สำหรับความเจ็บป่วยและการเน่าเปื่อยของผิวหนัง ที่มีสาเหตุมาจากการฝังตัวของโมเลกุลน้ำสีแดงอมม่วงจากดวงจันทร์นั้น สามารถป้องกันและแก้ไขได้ ด้วยการมีหลอดแกนพีระมิดขนาดจิ๋ว จำนวน 9 ก้อน ชนิด เจาะ 4 รู แนบติดกับเนื้อ เพราะต้องใช้ น้ำ เลือด และน้ำเหลืองในร่างกาย ช่วยให้หลอดพีระมิดทำงาน เพื่อดึงพลังปราณกระจายแทรกสู่เซลล์ ช่วยดันโมเลกุลสีแดงอมม่วงออกจากร่างกาย
    ถึงแม้เราไม่สามารถแก้ไขการเกิดน้ำท่วมหนักได้ แต่ยังสามารถใช้ปัญญา ช่วยลดทอนการซ้ำเติมของ “น้ำ” ลงได้ ทำให้ถึงพร้อมทั้งประโยชน์ส่วนรวม และส่วนตนอย่างมี “ธรรม”
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,152
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,101
    ค่าพลัง:
    +70,428
    เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา 19พย.2554

    ที่สวนบูรณรักษ์ธรรม อ.แม่ริม ท่านได้สอนวิธีเพิ่มเติมอีกวิธีที่จะมองเห็นอนาคต


    ต่อไปนี้เป็นใจความโดยสรุปครับ


    " การมองเห็นอดีต เห็นได้ชัด เพราะ สิ่งต่างๆนั้นเกิดแล้ว และ พลังงานภาพ แสง สี เสียง ยังอยู่ครบ

    การมองเห็นอนาคต ยังมีปัจจัยหลายอย่าง ที่ทำให้เกิด

    การจะเห็นอนาคตได้ชัด ต้อง

    สลายตัวตนให้ได้มากที่สุดเท่านที่จะทำได้

    เพราะ ตัวตน ( ขันธ์ห้า -รูปกาย เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ / ทัศนะของ ข้าพเจ้า TRISHULA) เป็นเครื่องบัง เครื่องปรุงแต่ง ให้รู้ผิดพลาดได้มากอยุ่



    ตอ่ไปนี้ เป็นวิธีใช้สมาธิ อีกวิธีหนึ่ง เพื่อผลของการเห็นอดีต อนาคต




    ------นั่งหันหน้าไปทางทิศตะวันออก

    ให้คลายอารมณ์และทุกอย่างเป็นความว่าง


    แล้วเอาเส้นแรงจากแถบปิระมิดที่วางไว้ด้านหน้า-ด้านหลัง มาถูเข้าที่ฐานกาย
    ( สูงสองนิ้วมือจากสะดือ ) จากหน้าทะลุหลัง และหลังทะลุหน้า กลับไปมา


    และ เอามาถูที่ฐานใจ ( ระดับราวนมสองข้าง หรือ ที่ก้อนเนื้อหัวใจ )

    เมื่อทำถูก จะเกิดแสงสว่างขึ้น


    ให้น้อมนำมาเก็บไว้ที่ฐานอารมณ์ตรงในโพรงจมูก

    ( ตรงที่เป็นหวัดคัดจมูก ต่ำกว่าระดับตาที่สาม ระหว่างหัวคิ้ว มาประมาณสองนิ้วมือ )



    ถ้าตัวตนเราเบาบางมาก

    ไม่ว่าจะลืมตา หรือ หลับตา

    แสงสว่างจากภายในและ-ภายนอก จะสว่างเท่ากัน



    เมื่อแสงสว่างนอก-ในเท่ากันแล้ว

    และใจวางเฉยเป็นกลางได้จริง

    ให้ฝึกนึกเห็นอดีต หรือ อนาคต

    ดูอดีตให้คิดตรึกเล็กน้อยที่สมองก็จะเห็น

    ดูอนาคต ก็นึกที่ฐานใจ ก็จะเห็น


    (อดีตจะเห็นได้ง่ายกว่า เพราะ เป็นสิ่งเกิดแล้วดังกล่าวข้างต้น)

    อนาคตนั้น เมื่อเห็นภาพแล้ว ถ้าใจไม่อุเบกขา ภาพจะจางหรือกระด้างไป
    ไม่เห็นต่อเนื่องเป็นเรื่องราว


    -----------------


    รอสักระยะ ทีมงามเว็บอิงธรรมคงนำมาอัพเดทไว้ในเว็บ

    ตอนนี้ เอามาลงล่วงหน้าก่อนครับ<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->



    ปล. สอนเพื่อ ให้แต่ละท่านที่อยากพิสูจน์ ได้เห็นด้วยตนเอง

    ใช้เป็นเครื่องมือให้ตนเอง

    ให้สลายตัวตนได้มาก ก็ชัดเท่านั้น

    แต่สรรพสิ่งในวัฏฏะล้วนอยุ่ในไตรลักษณ์ ทำจิตให้ได้ดวงตาเห็นธรรมคือสิ่งสำคัญที่สุด<!-- / message --><!-- sig -->
     
  7. เดินดง

    เดินดง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    455
    ค่าพลัง:
    +1,614
    คุณ ฟลอกแมนคะ ปิรามิดของพระอาจารย์ ทำงานคล้าย ไบโอเซ็นโทนี่ biosyntonie หรือเปล่าคะ แต่แหม่มคิดว่า ของพระอาจารย์ ศักดิ์สิทธิ์กว่าแน่นอน แต่แหม่ม อยู่ไกลคงออร์เดอร์ไม่ได้
     
  8. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,152
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,101
    ค่าพลัง:
    +70,428
    ใจศักดิ์สิทธิ์ วัตถุก็ศักดิ์สิทธิ์



    -----------------------------


    ถ้ายังไม่มีวัตถุ ที่มีพลังงานสูง หรือ วัตถุสื่อพลังงานที่เป็นคุณ
    ซึ่งเป็นอุปกรณ์ช่วย จากภายนอก


    ก็ต้องพึ่งความศักดิ์สิทธิ์ของใจ ที่ได้สัมผัสกระแสธรรม


    --------------------------


    มีอุบายวิธีมากมาย
    ที่จะทำให้จิต พ้นจากการปรุงแต่งของใจ( เห็น+จำ+คิด+รู้)

    -----------------------------







     
  9. เดินดง

    เดินดง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    455
    ค่าพลัง:
    +1,614
    ขอบคุณค่ะ คุณดาบหัก
     
  10. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,152
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,101
    ค่าพลัง:
    +70,428
    ในบางช่วงที่ฉุกเฉิน ร่างกายเจ็บปวดมาก มีทุกขเวทนามาก

    ในสิ่งแวดล้อมทีี่ไม่มีอุปกรณ์


    ผมนึกถึงลมหายใจ ( ด้วยเทคนิคที่พระอาจารย์รัตน์ท่านสอนไว้เป็นพื้นฐานการคลายอารมณ์)


    ผมให้จิตใจผูกแต่ลมหายใจออก อย่างเดียว

    ( หายใจตามปกติ ไม่ต้องไปปรุงแต่งลมหายใจ )


    คลายทุกอย่างออกมากับลม


    สักพัก กายจะเบา เวทนาจะคลาย

    ถ้าทำไปเรื่อยๆ นานไปๆ ก็จะเหนือเวทนาทางกายได้



    -------------------


    แต่ถ้าสนใจอุปกรณ์ จะศึกษาหาความรู้ประกอบ เพื่อเอาประโยชน์มาใช้


    ก็ลองสอบถามมิตรสหายที่จะจัดส่งไปให้ดู
     
  11. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,152
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,101
    ค่าพลัง:
    +70,428
    อีกอุบายวิธี ที่พระอาจารย์ท่านสอน

    เมื่อทำได้แล้ว ไม่ว่าจะเกิดภัยพิบัติหรือไม่ จะส่งผลให้มั่นคงในธรรม


    ------------------------------------------



    มรณานุสสติ




    การพิจารณาความตาย การมีสติรู้เท่าทันความตาย เป็นอุบายที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสรรเสริญ ไว้มากยิ่งนัก หากผู้ฝึก ผู้ป่วยได้ฝึกปฏิบัติทดลองตายก่อนตายจริง จะเป็นการช่วยให้ผู้นั้นไม่กลัวตาย กล้าเผชิญหน้ากับความตายที่มาถึงได้อย่างกล้าหาญ


    -------------------------------------------------------------------------------


    อุบายวิธีนี้เป็นการทดลองฝึก “ตาย” ก่อนตายจริง ไม่ใช่การฆ่าตัวตาย เนื่องจากสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับร่างกายของผู้ฝึก คือการตายหลอกที่จะให้ความรู้สึกเหมือนกับการตายจริง

    ---------------------------------------------------





    ..1 . คลายอารมณ์ปล่อยความรู้สึกนึกและคิดที่เป็นอนาคต อดีต ปัจจุบัน รวมทั้งความดี ความชั่ว ฯลฯ ให้ออกไปพร้อมกับลมหายใจออก จนเป็นความว่าง สักระยะหนึ่ง

    ..2 ลำดับต่อมา นึกมาที่ฐานอารมณ์ในโพรงจมูก จะอยู่ประมาณกึ่งกลางในโพรงจมูก หรืออยู่ระหว่างหรือจุดที่ผู้ฝึกเคยรู้สึกคัดจมูกในเวลาที่เป็นหวัด

    3 . วางหรือจี้ความรู้สึก ลงที่ฐานอารมณ์ซึ่งหาไว้ได้แล้ว กำหนดจี้ลงไปที่ฐานเดียว ไม่เคลื่อนความรู้สึก แส่ส่ายออกไปที่อื่นๆ พร้อมทั้งกำหนดว่า ตาย ตาย ตาย ๆๆๆๆ ฯลฯ




    และสร้างความรู้สึกว่าพร้อมแล้วที่ตาย ไม่เสียหายชีวิตเพราะทุกคนหนี “ความตาย” ไม่พ้น

    4 .หลังจากกำหนด ตาย ตาย ตาย ไปสักระยะหนึ่ง จะรู้สึกว่าลมหายใจเข้า-ออก ได้ลดน้อยลงไปเรื่อยๆ จนรู้
    สึกอึดอัด หูอื้อ จมูกจะห่อ ตาถูกบีบเหมือนจะถลนออกมา รู้สึกชา และเจ็บปวดไปทั่วร่างกาย ผู้ฝึกจะรู้สึกกลัวตาย ครองสติให้มั่นคง และยอมตาย ลมหายใจจะค่อยๆ อ่อนลงๆ ความดำมืดจะแผ่คลุมไปทั่วไป จนผู้ฝึกหมดความรู้สึกไปในที่สุด เหมือนกับการตายจริง

    5 . บางท่านที่มีความเจ็บปวดมากเพราะโรคร้ายกำลังลุกลาม ให้ผู้ฝึกให้จุดเจ็บปวดเหล่านั้น เป็นฐานกำหนดมรณานุสสติ แทนฐานอารมณ์ โดยการจี้ความรู้สึก ลงไปที่ความเจ็บปวดนั้นๆ และกำหนด ตาย ตาย ตาย ความรู้สึก ตั้งมั่นอยู่ที่ฐานเดียว ไม่หนีไปที่อื่นๆ ความเจ็บปวดทรมานจะเพิ่มมากขึ้นๆ จนรู้สึกหูอื้อ ตาลาย หายใจอึดอัด ฯลฯ ความดำมืดแผ่ซ่านเข้าไปทั่วทุกส่วนของร่างกาย ให้ยอมตาย อย่าแอบสืบลมหายใจเข้า จนกระทั่งความรู้สึกจะดับวูบไป

    6 ผู้ผ่านการดับของเวทนา ซึ่งไม่ใช่การตายที่เกิดเพราะหมดลมหายใจ คือไม่มีก๊าซออกซิเจนไหลเข้าสู่ร่างกายอีกต่อไป และหัวใจหยุดทำงาน การดับในครั้งแรกๆ ผู้ฝึกจะรู้สึกว่าทรมานมากและแต่ละบุคคลให้เวลาของการดับมากน้อยแตกต่างหัน เมื่อผู้ฝึก ผู้ป่วย เริ่มรู้สึกตัว ฟื้นคืนกลับมา จะรู้สึกเย็น โล่ง สบาย แสงสว่างปรากฏอยู่ทั่วร่างกาย และในขณะนั้น ผู้ฝึก ผู้ป่วยจะยังคงไม่มีลมหายใจ เข้า-ออก เช่นเดียวกับก่อนจะเกิดการดับแต่ไม่ตายหลับมีแต่ความสดชื่น ความเจ็บปวดทรมานหมดสิ้นไป


    คุณประโยชน์

    มีโอกาสได้สัมผัส และเห็นขั้นตอนของการดับซึ่งเหมือนกับการตายได้อย่างละเอียดชัดเจน ในชีวิตประจำวันร่างกายของทุกคนจะมีการเกิดและดับอยู่ ทุกๆ ขณะ ที่เกิดขึ้นเร็วมาก จนจิตมนุษย์ทั่วๆ ไปตามไม่ทัน ถ้าผู้ฝึก ผู้ป่วยได้รู้ซึ้งถึงความไม่เที่ยงของร่างกาย ไม่ยึดติดในขันธ์ 5 ได้แก่ รูป คือร่างกาย, เวทนาคือความรู้สึกทุกข์ สุข เฉย, สัญญาคือความจำได้ และวิญญาณคือ ตัวรู้ สภาพรู้ เกิดการปล่อยวาง ผู้นั้นมีโอกาสที่จะเข้าถึงธรรมได้

    ผู้ที่มีความเจ็บปวดมาก หรือเป็นโรคที่รักษาให้หายได้ยาก ถ้าสามารถกำหนด ตาย ตาย ตาย ให้ผ่านจุดดับไปได้ โรคภัยหลายโรคจะหายได้ด้วยเช่นกัน

    ถ้าสามารถผ่านจุดดับไปได้ จะไม่กลัว “ความตาย” เพราะสามารถเอาชนะความตายมาได้

    ด้วยการทดลองตายก่อนตายจริง และเมื่อถึงคราวสิ้นอายุขัย ผู้นั้นจะสามารถเผชิญกับความตายอย่างกล้าหาญและมีสติ จะไม่มีพญามัจจุราชหรือยมทูตมาปรากฏให้เห็น




    ความเจ็บ ความปวด หรือภาวะที่รู้สึกอึดอัดเหมือนหายใจไม่เข้า เป็นการลวงหลอกของขันธ์ 5 ชักจูง ดึงจิตของผู้ฝึกให้ไขว้เขวไม่ตั้งมั่น เช่น จะถูกดึง ชักนำให้เลิกฝึกบ้าง ให้แอบสืบลมหายใจสักนิดเดียว ผู้ฝึกต้องตั้งสติให้มั่นคง สร้างความรู้สึกที่ถูกต้องก่อนว่า ขณะนี้ตนเองยังมีลมหายใจเข้า-ออกเป็นปกติ ไม่ได้เอามืออุดจมูก บีบจมูก หรือใช้วัสดุใดๆ มาปิดจมูกไม่ให้ก๊าซออกซิเจนไหลเข้าสู่ร่างกาย

    สิ่งที่ผู้ฝึกได้กระทำคือ เพียงแต่จี้ความรู้สึก ลงที่ฐานอารมณ์ ซึ่งเป็นทางผ่านของลมหายใจเข้าและหายใจออกเท่านั้น เมื่อจิตอยู่ในอารมณ์สมาธิ คือ ตั้งมั่น ตั้งใจทำ จะส่งผลให้ลมหายใจเข้า-ออกตามปกติ ค่อยๆ ช้าๆ ลงจนสัมผัสไม่ได้อีกต่อไป ซึ่งไม่ได้หมายความว่า ไม่มีลมหายใจเข้า-ออกอีกเลย สิ่งที่หมดไปหรือหยุดไปหรือดับไป คือความรู้สึก ทุกข์ สุข เฉย ที่อาศัยการเกิดขึ้นหรือปรุงแต่งจากการมีลมหายใจเข้า-ออกต่างหาก


    อุปสรรค

    1. ความกลัวตาย ที่จะเกิดขึ้นเป็นระยะๆ ตลอดเวลา

    2. ถ้ากดหรือจี้ความรู้สึก (จิต) ลงไปที่ฐานอารมณ์ เป็นจังหวะๆๆ จะเป็นการส่งความรู้สึก (จิต) เข้าไปชนที่ฐาน ไม่ใช่การจี้หรือการนิ่งที่ฐาน ซึ่งเป็นการส่งความรู้สึก (จิต) ไปชนที่ฐานเป็นจังหวะๆๆ นั้น จะทำให้เกิดพลังงาน คือแสงสว่างปรากฏขึ้นในโพรงจมูก หรือที่ฐานอารมณ์ หรือกล่าวได้ว่า ผู้ฝึกทำผิดวิธีนี้ จะไม่เห็นการดับ <!-- google_ad_section_end -->
     
  12. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,152
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,101
    ค่าพลัง:
    +70,428
    พึ่งอุปกรณ์ภายนอกอย่างเดียว แต่ไม่ฝีกฝนใจ
    ( จะเอาแต่อุปกรณ์ของท่าน ไม่ฝึกฝนธรรมที่ท่านสอน )

    แม้รอดภัย(ชั่วคราว) แต่บั้นปลายชีวิต ก็ต้องพบกับชรา
    และ มรณะ อยู่ดี


    ผมคิดว่า ไม่คุ้มค่ากับการได้เเกิดมาเป็นคนในชาตินี้




    ........ท่านผู้มีโอกาส อย่าทิ้งโอกาสเลย.............
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 22 พฤศจิกายน 2011
  13. Falkman

    Falkman พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    19,726
    ค่าพลัง:
    +77,791
    ไม่ทราบนะ เดี๋ยวต้องลองรอคุณ Malangpong มาตอบ หรือใครที่พอทราบ :cool:
     
  14. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,152
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,101
    ค่าพลัง:
    +70,428
    อุปกรณ์ต่างๆที่ท่านสร้างไว้

    ไม่ว่าสมัยอดีตที่มีหลงเหลือให้เห็นในปัจจุบัน

    หรือ สร้างใหม่ในชาตินี้ เพื่อสงเคราะห์โลก

    ....ความสำคัญ คือ โปรแกรมละเอียด(ทางจิต) ที่ผู้สร้างได้ตั้งไว้ให้อุปกรณ์เหล่านั้น ทำงานในรูปแบบต่างๆ

    เมื่อผู้สร้างพ้นทุกข์อย่างสิ้นเชิง หมดหน้าที่ในภพสามแล้ว สิ่งที่ท่านสร้างไว้
    โปรแกรมไว้ ก็เป็นเพียงวัตถุ หรือ อาจใช้งานได้บ้างตามหลักพลังงานวัตถุทั่วไป

    -------------------

    ผู้ไม่สนใจเลยในการปฏิบัติ เห็นเพียงรูปวัตถุ จะแสวงหาด้วยทรัพย์ประการเดียว
    ก็อาจใช้ได้ระดับหนึ่ง

    ผู้มีศรัทธาในธรรมปฏิบัติก็จะใช้ได้ในระดับหนึ่ง

    ผู้มีผลการปฏิบัติถึงศีล ถึงสมาธิระดับต่างๆ ก็จะใช้ได้อีกระดับ

    ผู้มีจิตในธรรม ผู้มีดวงตาฯ ก็ใช้ได้อีกระดับ


    เมื่อถึงเวลาบั้นปลาย ที่ต้องไปจากโลกนี้ มีเพียงธรรมที่ฝึกฝนจะติดจิต-ใจ นี้ไปจนกว่าจะพ้นการเกิด


    ...จึงขอเชิญชวนให้มิตรธรรมทั้งหลาย ได้รับประโยชน์ทั้งทางรูปวัตถุภายนอก กับ
    อริยทรัพย์ภายใน...
     
  15. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,152
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,101
    ค่าพลัง:
    +70,428
    ผมเห็นเบอร์โทรที่ติดต่อ ผู้ที่สามารถหาจัดส่งได้ ในโพสต้นๆ ลองย้อนไปดูนะครับ

    คุณเดินดง
     
  16. malangpong

    malangpong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2010
    โพสต์:
    233
    ค่าพลัง:
    +813
    ขอบคุณ คุณดาบหักนะคะ ที่มาช่วยเพิ่มเติมข้อมูล

    คุณเดินดงคะ ลองอ่าน "ทางรอด" กับ "แสงสว่างที่ปลายทางรอด" ดูนะคะ
    องค์ความรู้ของพระอาจารย์รัตน์ ท่านสอนให้ใช้พลังจิตของตัวเอง มาใช้
    ไม่ได้เน้นความศักดิ์สิทธิใดๆ
     
  17. malangpong

    malangpong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2010
    โพสต์:
    233
    ค่าพลัง:
    +813

    องค์ความรู้ของพระอาจารย์รัตน์ จะไม่หยุดนิ่งนะคะ
    ท่านจะพัฒนาและปรับให้ทันกับสภาวะโลกที่แปรเปลี่ยน
    แต่ไม่ได้หมายถึงว่าวิชาก่อนหน้าใช้ไม่ได้
    ส่วนใหญ่จะมาอัพเดทเป็นการเฉพาะกิจค่ะ
    วิชาที่
    พระอาจารย์สอนในช่วงการอบรม ติดตามกับเพื่อนที่อบรมนะคะ

     
  18. เดินดง

    เดินดง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    455
    ค่าพลัง:
    +1,614
    ขอบคุณค่ะ พอจะเข้าใจที่พระอาจารย์สอน แต่สงสัยตรง ตัวปิรามิด เพราะว่า ได้เรียนตัวเหรียญหิน ของฝรั่งเศส ไบโอเซ็นโทนี่ Biosyntonie ใช้วางตามร่างกายผู้ป่วย เป็นการรักษาโดยไม่ต้องใช้ยา และทางครอบครัวทาง สามี เขาเป็นพวกรักษาคนป่วย ด้วยพลังจิต Reiki เรอิกิ และ fractale แฟลคตัล ได้ผลดี ตัวไบโอเซ็นโทนี่ ในหนังสือวิธีใช้ จะเข้าไปทำงานในร่างกาย กระดูก น้ำ เลือด เคยช่วยคนแก่ป่วยมาก กินไม่ได้ เหมีอนใกล้สิ้นชีวิต ผ่านไปสองวันแกก็กลับมากิน ลุกขึ้นเดินเหินได้เป็นปรกติ มีหลายคนค่ะที่ป่วยมากๆ แล้วรักษาให้เขาหายกัน บางครั้งตัวเองก็ป่วยมากก็รักษา ด้วยวิธีนี้ หายโดยไม่กินยา เลยสงสัยว่า ปิรามิดของพระอาจารย์กับ เหรียญหิน ไบโอเซ็นโทนี่ ใช้รักษาไปในทางเดียวกันหรือเปล่าคะ
     
  19. ลุงไชย

    ลุงไชย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    645
    ค่าพลัง:
    +2,436
    ขอบคุณคุณfalkman ที่นำองค์ความรู้ของพระอาจารย์รัตน์ (ซึ่งเรียบเรียงโดยคุณจีระพันธ์) มาเผยแพร่ หลังจากอ่านบทความนี้ เข้าใจในหลายๆเรื่อง อย่างเรื่องปรากฏการณ์เกี่ยวกับน้ำ ซึ่งผมสงสัยมานานแล้ว ว่าทำไมมันผิดเพี้ยนไปจากเดิมอย่างมากๆ เช่นฝนตกหนักอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ตกแต่ละครั้งปริมาณมาก และแม่น้ำเจ้าพระยาสูงสุดเป็นประวัติการณ์อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

    ...และที่สำคัญขบวนการคัดเลือกผู้รอดชีวิต จากผู้มีศีลธรรมและจิตใสสะอาด ทำให้เข้าใจในภาพรวมพอสมควร ซึ่งองค์ความรู้ภายในของพระอาจารย์รัตน์ สามารถอธิบายปรากฏการณ์ต่างๆ ได้อย่างเชื่อมโยงและสอดคล้องกัน...อนุโมทนากับทีมงานทุกๆท่าน ...สาธุครับ
     
  20. malangpong

    malangpong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2010
    โพสต์:
    233
    ค่าพลัง:
    +813
    ไม่ทราบค่ะ ขออภัย ไม่ไมีความรู้เกี่ยวกับเหรียญหินไบโอเซ็นโทนี่เลย
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...