หลวงปู่แหวนมาโปรดในนิมิตร(ฝัน)

ในห้อง 'หลวงปู่แหวน' ตั้งกระทู้โดย psombat, 18 มีนาคม 2010.

  1. nontayan

    nontayan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    832
    ค่าพลัง:
    +976
    ทุกคนขอให้กำลังใจท่านอ๊อดและผู้ประสบภัยน้ำท่วมทุกคน ขอให้ผ่านพ้นไปโดยไว และขอให้กำลังใจ กำลังกาย กำลังทรัพย์ จงหวนกลับมาโดยเร็วนะครับ
    ดร.นนต์
    25 ตุลาคม 2554
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 ตุลาคม 2011
  2. nontayan

    nontayan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    832
    ค่าพลัง:
    +976
    22 ตุลาคม 2554 เหล่านักรบธรรมพาพ่อแม่ครูอาจารย์ พ.สุรเตโช ไปพักผ่อนอริยาบท และศึกษาสภาวะธรรมชาติของสวนสัตว์เขาเขียว จ.ชลบุรี

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. nontayan

    nontayan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    832
    ค่าพลัง:
    +976
    23 ตุลาคม 2554 พ่อแม่ครูอาจารย์ พ.สุรเตโช และเหล่านักรบธรรมไปเยี่ยมคุณสาวกธรรม 1 (คุณประจักร์) หรือนาคน้อยอาบังที่เราเรียกกัน ณ อ.สูงเนิน โคราช ก่อนเดินทางไปนมัสการหลวงปู่โต ที่อำเภอสีคิ้ว นับเป็นมงคลยิ่งต่อครอบครัวของคุณประจักร์ ขออนุโมทนาด้วยนะครับ

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 ตุลาคม 2011
  4. manopk

    manopk Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +61
    สวัสดีครับ
    เมื่อวานก็ถึงบ้านโดยปลอดภัยขอบคุณพี่สันติกับพี่มลครับไปส่งถึงหน้าบ้านเลย
    ผมเลยได้โอกาสแนะนำให้รู้จักกับแม่บ้านผมด้วย
    ต้องบอกว่าขอบคุณพี่สันติกับท่านดร.นนต์มากครับสำหรับที่พักที่ดีอาหารที่เป็นประโยชน์และสถานที่ที่ได้ฟังธรรมอันประเสริฐขอให้บุญกุศลทั้งหลายที่พี่สันติพี่มลและดร.นนต์พร้อมครอบครัวได้ทำมาแล้วนั้นจงส่งผลให้พี่ๆทั้นหลายมีกำลังใจกล้าแข็งมีปัญญาอันเฉียบแหลมเพื่อไปให้ถึงที่สุดแห่งปรารถนาที่ได้ตั้งใจไว้ทุกประการครับ
    ต้องขอบคุณพี่ประจักร์ด้วยครับเมื่อตอนไปที่บ้านพี่ประจักร์ผมได้ลืมสร้อยประคำไว้บนโต๊ะคอมพิวเตอร์กะว่าจะให้พี่ประจักร์ส่งคืนให้ทางไปรษณีย์แต่ว่าพี่ประจักร์ได้นำมาส่งคืนให้ผมที่บ้านท่านดร.นนต์แล้ว
    ขอบคุณจริงๆครับ
    ขอให้พี่ๆทั้งหลายเจริญในธรรมครับ
    มานพ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 ตุลาคม 2011
  5. สาวกธรรม1

    สาวกธรรม1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    341
    ค่าพลัง:
    +173
    ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดีครับ เกินคำบรรยายครับ ตื่นเต้นจนทำอะไรไม่ถูกครับ (ผมภาวนาทุกวันครับขอให้พ่อแม่ครูอาจารย์มาโปรดที่บ้านสักครั้ง)
    นับว่าเป็นวาสนาต่อวงค์ตระกูลผมมากครับ กราบ กราบ กราบ
     
  6. สาวกธรรม1

    สาวกธรรม1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    341
    ค่าพลัง:
    +173
    ของของท่านก็ย่อมเป็นของท่าน:cool:
     
  7. nontayan

    nontayan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    832
    ค่าพลัง:
    +976
    23 ตุลาคม 2554 ประมาณหกโมงเย็นถึงหนึ่งทุ่มกว่าๆ พ่อแม่ครูอาจารย์ พ.สุรเตโช และเหล่านักรบธรรม ได้เดินทางไปนมัสการรูปหล่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ณ วิหารหลวงปู่โต ริมถนนมิตรภาพ อำเภอสีคิ้ว โคราช (สร้างโดยคุณสรพงศ์ ชาตรี และพุทธสานิกชน)
    ทุกสิ่งถูกกำหนดเวลาให้เข้าไปสักการะในช่วงเวลากลางคืน ซึ่งเป็นเวลาที่วิหารได้ปิดแล้วตั้งแต่ห้าโมงเย็น พอไปถึง พ่อแม่ครูอาจารย์ท่านได้ลงจากรถโดยเร็วและเดินเข้าไปในวิหารเสมือนกลับบ้านตัวเอง ยามเฝ้าวิหารได้เดินเข้ามาอำนวยความสะดวกโดยไม่ต้องพูดอะไรมาก เหล่านักรบธรรมก็ยังงงๆในเหตุการณ์นั้น แต่ต้องรีบเดินติดตามไปให้ทัน ทุกสิ่งดำเนินไปในสภาวะที่ไม่สามารถอธิบายให้ผู้ที่ไม่อยู่ในเหตุการณ์ได้เข้าใจทั้งหมด หลังจากพ่อแม่ครูอาจารย์ได้เดินขึ้นไปนมัสสการหลวงปู่โตแล้ว ได้เดินลงมาข้างล่างทำให้คุณแม่ชมถึงกับปีติสุดๆ น้ำตาหลั่งไหลออกมาอยู่นานสองนาน เหล่านักรบธรรมก็พลอยปีติไม่แพ้กัน ความลังเลสงสัยไม่มีอีกต่อไป นัยยะบางอย่างยิ่งตอกย้ำให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
    โอ้หนอ...จิตและกายของผู้ที่อยู่เหนือโลก แม้จะเกิดดับกี่ชาติภพ ก็ยังเปล่งรังสีออกมาไม่สิ้นสุด...พวกเราไม่มีใครพูดหรือซักถามพ่อแม่ครูอาจารย์ในความสงสัยใดๆ เพราะเข้าใจในสภาวะเหนือโลกด้วยจิตด้วยใจของแต่ละคนอยู่แล้ว
    ขอเจริญในธรรม
    ดร.นนต์
    25 ตุลาคม 2554

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  8. kongpak

    kongpak เลื่อมใสอย่างยิ่งในตถาคต ถึงที่สุดโดยส่วนเดียว

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2009
    โพสต์:
    802
    ค่าพลัง:
    +6,118
    กราบขอบพระคุณอ.นนต์สำหรับกำลังใจและคำอวยพรครับ
     
  9. มสจ

    มสจ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +10
    โมทนาทุกประการครับ

    โมทนาบุญกุศลกับทุกๆท่าน ทุกๆประการครับ
    ขอเป็นแรงใจกับ ทุกๆท่านที่ประสบกับภัยทางน้ำในขณะนี้ด้วยครับ
    ขอให้พ้นความทุกข์ลำบากโดยไว ให้ความสุขกาย สุขใจบังเกิดแก่ท่าน ทุกๆกาลเทอญ
     
  10. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    สมเด็จเจ้าพะโคะ หายไปไหน!?

    [​IMG]

    [​IMG]

    ...ครูบาอาจารย์ ท่านว่ามาอย่างนี้ หากผิดพลาดไป ขอท่านผู้รู้โปรดได้ชี้แนะนำสั่งสอนด้วย จะเป็นพระคุณยิ่ง...

    ...หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด เป็นผู้ทรงความศักดิ์สิทธิ์อยู่เหนือโลก จากหนังสือประวัติของท่าน ที่ทางวัดช้างให้ พิมพ์แจกศรัทธาสาธุชนจำนวนนับแสนเล่มนั้น มีข้อความสำคัญมาก อยู่หน้า 22 พิมพ์ครั้งที่ 6 ปี พ.ศ. 2535 บ่งบอกว่า หลวงปู่ทวดคือ "พระศรีอริยเมตไตรย" จุติลงมาเกิดในโลกเราเพื่อโปรดสัตว์ ตามปณิธาน ของพระมหาโพธิสัตว์ ผู้มากไปด้วยเมตตามหากรุณา...

    ขออนุญาตคัดข้อความมาให้อ่าน ดังนี้

    ...ในสมัยสมเด็จเจ้าพะโคะ พำนักอยู่วัดพะโคะครั้งนั้น ยังมีสามเณรน้อยรูปหนึ่ง เข้าใจว่า คงอาศัยอยู่วัดใดวัดหนึ่ง ในท้องที่อำเภอหาดใหญ่ เวลานี้สามเณรรูปนี้ ได้บวชมาตั้งแตอายุน้อยๆ ได้ปฏิบัติธรรมเจริญกรรมฐานอย่าง เคร่งครัด มีความขยันหมั่นเพียร ก่อแต่การกุศลในพระพุทธศาสนา ได้ตั้งจิตอธิษฐานว่า...

    "อยากจะขอพบพระศรีอริยะ อย่างแรงกล้า"

    ...อยู่มาคืนวันหนึ่ง มีคนแก่ถือดอกไม้เดินเข้ามาหา ประเคนดอกไม้ส่งให้แล้วบอกว่า นี่เป็นดอกไม้ทิพย์ ไม่รู้จักร่วงโรย พระศรีอริยะโพธิสัตว์นั้น ขณะนี้ได้จุติลงมาเกิดในเมืองมนุษย์เพื่อโปรดสัตว์ในพระพุทธศาสนา สามเณรเจ้าจงถือดอกไม้ทิพย์นี้ ออกค้นหาเถิด หากผู้ใดรู้จักกำเนิดของดอกไม้นี้แล้ว ผู้นั้นแหละเป็นพระศรีอริยที่จุติมา เจ้าจงพยายามเที่ยวค้นหาคงพบ กล่าวจบแล้วคนแก่นั้นก็อันตรธานไปทันที

    ...สามเณรน้อยมีความปีติยินดีเป็นยิ่งนัก วันรุ่งเช้าจึงกราบลาสมภารเจ้าอาวาส แล้วถือดอกไม้ทิพย์เดินออกจากวัดไป สามเณรเดินทางตรากตรำลำบากไปทั่วทุกหนทุกแห่ง ก็ไม่มีใครทักถามถึงดอกไม้ทิพย์ที่ตนถืออยู่ในมือนั้นเลย แต่สามเณรก็พยายามอดทนต่อความเหนื่อยยาก ต้องตากแดดกรำฝนไปเป็นเวลาช้านาน

    ...วันหนึ่งต่อมา สามเณรน้อยเดินทางเข้าเขตวัดพัทธสิงห์บรรพตพะโคะ ในเวลาใกล้จะมืดค่ำ เป็นวันขึ้น 15 ค่ำวันเพ็ญพระจันทร์เต็มดวง ส่องรัศมีจ้าไปทั่วท้องฟ้าและเป็นวันที่พระภิกษุลงทำสังฆกรรม ฟังสวดปาฏิโมกข์ในโบสถ์ สามเณรถือดอกไม้ทิพย์เดินเข้าไปอยู่ใกล้ๆริมประตูโบสถ์ รอคอยพระสงฆ์ที่จะมาลงอุโบสถ

    ...พอถึงเวลาพระภิกษุทั้งหลายก็เดินทยอยกันเข้าโบสถ์ผ่านหน้าสามเณรไปจนหมด ไม่มีพระภิกษุองค์ใดทักถามสามเณรเลย เมื่อพระสงฆ์เข้าไปนั่งในโบสถ์เรียบร้อยแล้ว สามเณรจึงเดินเข้าไปนมัสการถามพระสงฆ์เหล่านั้นว่าวันนี้พระมาลงอุโบสถทุกองค์แล้วหรือ?

    ...พระภิกษุตอบว่า ยังมีสมเด็จอยู่อีกองค์ วันนี้ไม่มาลงอุโบสถ สามเณรทราบดังนั้นก็กราบลาพระสงฆ์เหล่านั้นเดินออกจากโบสถ์ มุ่งตรงไปยังกุฏิของสมเด็จเจ้าทันที

    ...ครั้นถึง สามเณรก็คลานเข้าไปใกล้ ก้มกราบนมัสการอยู่ตรงหน้าสมเด็จเจ้าพะโคะ ท่านได้เห็นดอกไม้ทิพย์ในมือสามเณรถืออยู่ จึงถามว่า สามเณร! นั่นดอกมณฑาทิพย์ เป็นดอกไม้เมืองสวรรค์ ผู้ใดให้เจ้ามา?

    ...สามเณรได้ฟังดังนั้น พลันก็รู้แจ้งแก่ใจ ตามนิมิตที่คนแก่บอกว่า หากผู้ใดรู้จักกำเนิดของดอกไม้นี้แล้ว ผู้นั้นแหละเป็น "องค์พระศรีอริยะ" ที่จุติมาเกิดในเมืองมนุษย์ เพื่อโปรดสัตว์ในพระพุทธศาสนา!! สามเณรเกิดอาการ ขนพองสยองเกล้า มีโสมนัสปสันนาการปีติยิ่งนักหนา จึงคลานเข้าไปก้มลงกราบที่ฝ่าเท้า แล้วประเคนถวายดอกไม้ทิพย์นั้นแก่สมเด็จเจ้าพะโคะทันที

    ...เมื่อสมเด็จเจ้าพะโคะรับประเคนดอกไม้ทิพย์จากสามเณรน้อยแล้ว ท่านได้สงบอารมณ์อยู่ชั่วครู่ มิได้พูดจาประการใด แล้วลุกขึ้นเรียกสามเณรให้ตามท่านเข้าไปในกุฏิ ปิดประตูลงกลอน และได้เงียบหายไปอย่างลึกลับ

    ในคืนนั้น มิได้มีร่องรอยแต่อย่างใดเหลือไว้ให้พิสูจน์เลย จนเวลาล่วงเลยมาถึงบัดนี้ ประมาณสามร้อยปีแล้ว!...การหายตัวไปของสมเด็จเจ้าพะโคะครั้งนั้น ประชาชนเล่าลือว่า ท่านได้สำเร็จญาณไปสู่สรวงสวรรค์เสียแล้วด้วยอำนาจบุญญาบารมีอภินิหารท่านแรงกล้า

    ...ตามที่ได้กล่าวเล่าลือกันเช่นนี้ เพราะมีเหตุอัศจรรย์ ปรากฏขึ้นในคืนวันนั้นว่า บนอากาศบริเวณหน้าวัดพะโคะได้มีดวงไฟโตขนาดเท่าดวงไต้(คบไต้) ส่องรัศมีสีต่างๆเป็นปริมณฑลดังพระจันทร์ทรงกลด ลอยวนเวียนบริเวณรอบวัดพะโคะ ส่องรัศมีจ้าไปทั่วบริเวณวัด

    ...เมื่อดวงไฟนั้นลอยวนเวียนอยู่ครบสามรอบแล้ว จึงลอยเคลื่อนไปทางทิศอาคเนย์ เงียบหายมาจนกระทั่งบัดนี้

    วันรุ่งขึ้น ประชาชนมาประชุมกันที่วัด ต่างคนต่างก็เข้าใจว่า สมเด็จเจ้าพะโคะท่านสำเร็จญาณสู่สวรรค์ไป จึงได้พากันพนมมือขึ้นเหนือศรีษะ พร้อมกับเปล่งเสียงว่า สมเด็จเจ้าพะโคะโล่ หายไปเสียแล้วเจ้าข้าเอย

    ...เมื่อสมเด็จเจ้าพะโคะโล่หายไปจากวัดพระโคะครั้งนั้น ท่านได้ทิ้งของสำคัญไว้ให้เป็นที่สักการะบูชาของประชาชนตลอดมา คือ

    ...1 ดวงแก้วที่พญางูใหญ่ให้ครั้งสมเด็จเจ้าพะโคะเป็นทารกอยู่ในเปล 1 ดวง สมภารทุกๆ องค์ของวัดพะโคะได้เก็บรักษาไว้จนถึงบัดนี้ ปรากฏว่าดวงแก้วนี้ไม่มีใครกล้านำออกจากบริเวณวัดพะโคะ เพราะเกรงจะเกิดภัย

    ...2 ก่อนที่สมเด็จเจ้าพะโคะโล่ จะหายไป ปรากฏว่าท่านได้ขึ้นไปทำสมาธิอยู่บนชะง่อนผาบนภูเขาบาท ได้เอาเท้าซ้ายเหยียบลงบนลาดผาลึกเป็นรอยเท้าไว้เป็นที่สักการะ บูชาของประชาชนมาจนกระทั่งทุกวันนี้

    ...ข้อความที่คัดลอกมานี้ สรุปได้อย่างสำคัญมีความชัดเจนว่า...

    ...หลวงปู่ทวด หรือสมเด็จเจ้าพะโคะ หรือ ท่านลังกา ซึ่งเป็นองค์เดียวกัน เป็นพระศรีอริยเมตไตรย จุติจากสวรรค์ชั้นดุสิต ลงมากำเนิดในโลก!!

    Link ที่มา : สมเด็จเจ้าพะโคะ หายไปไหน
    Link ที่เกี่ยวข้อง : ประวัติ...หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ , เล่าเรื่องหลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่

    ธรรมะสัญจร # 1
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 สิงหาคม 2013
  11. nontayan

    nontayan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    832
    ค่าพลัง:
    +976
    23 ตุลาคม 2554 เวลาประมาณ 2 ทุ่มเศษ พ่อแม่ครูอาจารย์ พ.สุรเตโช และเหล่านักรบธรรมได้เดินทางมาถึงบ้านของผม หลังจากนั้นท่านได้แสดงธรรมโปรดญาติธรรมจนถึงเวลาเที่ยงคืนกว่าๆ แม้จะจบการแสดงธรรมแล้ว แต่ญาติธรรมหลายๆท่านยังไม่ค่อยอยากจะกลับเท่าใดนัก กว่าเหล่านักรบธรรมจะได้นอนก็ปาเข้าไปตีสองกว่าๆ นี้หละหนาการฟังธรรมอันประเสริฐ สามารถทำให้ลืมความง่วงนอนได้
    ปล. ญาติธรรมที่มาสมทบเพื่อกราบนมัสการและฟังธรรม มาจากกรุงเทพฯคือ ท่านนาวาอากาศโทสุทน พร้อมญาติธรรมที่เป็นครูมาจากจังหวัดยะลาสองท่าน ครอบครัวของคุณจ็อกกี้ คุณประจักร์และคุณปุ้ย คุณโกศลและคุณแม่ อ.นฤดม(ม.ราชมงคลอีสาน)พร้อมครอบครัว
    ขอเจริญในธรรม
    ดร.นนต์
    25 ตุลาคม 2554


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 ตุลาคม 2011
  12. nontayan

    nontayan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    832
    ค่าพลัง:
    +976
    นอกจากพ่อแม่ครูอาจารย์ท่านจะได้แสดงธรรมโปรดพุทธศาสนิกชนแล้ว ท่านยังได้แสดงธรรมแก่คุณครูท่านหนึ่งที่ต่างศาสนา ครูสตรีท่านนี้ได้เดินทางมากับเพื่อนครูอีกท่านหนึ่งจากจังหวัดยะลา โดยมาพร้อมกับท่านนาวาอากาศโทสุทน เพื่อแสวงหาที่พึ่งในการปลดทุกข์ของเธอที่ได้รับความทุกข์ทรมานมาเกือบสี่สิบปี(38 ปี) หลังจากได้กราบถามพ่อแม่ครูอาจารย์แล้ว เมื่อพ่อแม่ครูอาจารย์ได้แสดงธรรมโปรดเธอจบลง เธอมีอาการปีติจนต้องร้องไห้ออกมา ความทุกข์ทั้งหลายที่อัดอั้นมานับสี่สิบปี ได้คลายออกไปอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เหลือแต่ความปีติและโอกาสที่เธอจะได้นำไปปฏิบัติเพื่อให้สิ้นทุกข์ทั้งหลายในอนาคตต่อไป ทุกคนที่นั่งฟังอยู่นั้น ต่างอนุโมทนาและให้กำลังใจ และยังได้รับประโยชน์จากธรรมที่พ่อแม่ครูอาจารย์แสดงออกมาเช่นกัน ดังที่พ่อแม่ครูอาจารย์ท่านกล่าวว่า "ธรรมะเป็นของโลก" ไม่มีแบ่งเชื้อชาติศาสนา ทุกคนสามารถนำไปใช้ได้ พระพุทธองค์มิเคยปิดกั้นผู้ใด

    คำถามของเธอคือ ความทุกข์ทรมานจากบางอย่างทำให้เธอนอนไม่หลับมานานเกือบทั้งชีวิต เมื่อพ่อแม่ครูอาจารย์ได้แสดงธรรมโปรดเธอในตอนหนึ่งว่า ความทุกข์ทั้งหลายมันมีเหตุมาจากการยึดมั่นถือมั่นในสิ่งนั้น แล้วนำมาคิดซ้ำแล้วซ้ำอีกจึงทำให้เกิดทุกข์ ท่านชี้ให้เห็นโทษของสิ่งนั้นว่า มันเป็นสาเหตุของความทุกข์ หากสิ่งที่เรานำมาคิดมันเป็นคุณแล้วทำไมมันยังทำให้เกิดความทุกข์อยู่เล่า นั่นจึงแสดงว่าสิ่งที่เรานำมาคิดมาปรุงแต่งนั้น มันมีแต่โทษล้วนๆ

    คำพูดของเธอในตอนหนึ่งว่า เธอเป็นครูแนะแนวที่คอยให้คำปรึกษาแก่คนอื่นได้ดี แต่ทำไมเธอยังทุกข์อยู่ พ่อแม่ครูอาจารย์จึงกล่าวกับเธอว่า ให้เอาคำสอนที่เธอสอนผู้อื่นนั้นแหละกลับมาสอนตัวเองด้วย อย่าลืมสอนตัวเอง หลังจากนั้นท่านจึงได้แนะนำพื้นฐานแห่งการดับทุกข์แบบง่ายๆ ที่เธอพอจะเข้าใจได้คือ ให้เธอระลึกถึงแต่สิ่งที่ดีหรือสิ่งที่เธอนับถือสูงสุด เพราะศรัทธาในสิ่งที่ดี(สิ่งที่เป็นคุณ)จะทำให้เธอคลายกังวลไปสู่ความสงบ และให้มีสติรู้ลมหายใจเข้าออก เพราะสมาธิเป็นของกลางที่ทุกชนชาติศาสนาสามารถนำไปใช้ได้ การรู้ลมหายใจเข้าออกเป็นการเพ่งอยู่ที่จุดเดียว จึงทำให้ความคิดไม่ฟุ้งซ่านไปที่อื่น ดั่งที่นักปฏิบัติเข้าใจกันดี ท่านบอกว่านี้คือ วิธีที่สามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างง่ายๆ และไม่ขัดกับศาสนาของเธอ ความเมตตาและรังสีธรรมของพ่อแม่ครูอาจารย์ได้แผ่ไปถึงเธออย่างน่าอัศจรรย์ เช้าต่อมาผมทราบจากท่านสุทนว่า เธอจะขอไปกราบและฟังธรรมจากพ่อแม่ครูอาจารย์ที่ภูดานไหในโอกาสต่อๆไปอีกครั้ง

    อนึ่ง พ่อแม่ครูอาจารย์ได้มอบปฐวีธาตุที่ไม่มีรูปพระพุทธเจ้าแก่เธอ เพื่อเป็นที่ระลึกและจะได้ไม่ผิดศาสนาของเธออีกด้วย จึงขออนุโมทนาด้วยทุกประการครับ

    ขอเจริญในธรรม
    ดร.นนต์
    25 ตุลาคม 2554

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 ตุลาคม 2011
  13. หมวดซุบ

    หมวดซุบ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +20
    ขออนุโมทนา ในบุญกุศลที่เหล่านักรบธรรมได้ฟังธรรมจากพ่อแม่ครูอาจารย์ ทุกประการครับ
     
  14. manopk

    manopk Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +61
    [​IMG]
    สวัสดีครับ
    เอาภาพเก่าๆมาให้ดูครับ พระหรือเณรไม่รู้อยู่ข้างหลังเหมือนผมเลย(อันนี้คิดเอาเอง)555
    ขอให้เจริญในธรรมครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  15. สาวกธรรม1

    สาวกธรรม1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    341
    ค่าพลัง:
    +173
    เหมือนจริงๆครับคุณมานพ:cool:
     
  16. Indhus

    Indhus เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +113
    ได้เข้ามาอ่านธรรมะดี ๆ และเรื่องเล่าอันน่าประทับใจจากท่าน ดร.นนต์ ตอนสายๆ แบบนี้ เลยมีอาการตื้นตันใจเล็ก ๆ เกิดขึ้น หวนให้นึกถึงวันที่ได้ไปฟังเทศนาของพระอาจารย์ครั้งแรกบนวัดภูดานไห ณ เวลานั้นความทุกข์ที่ถูกขังอยู่ในใจคล้ายกับประตูที่ปิดไว้ถูกเปิดออก แล้วพระอาจารย์ท่านก็ได้ชี้แนะให้เห็นว่าควรจะแก้ไข ดับทุกข์ได้อย่างไร แต่ปัญญาผมมีน้อยจึงทำได้เพียงค่อย ๆ เดินตามคำชี้แนะของท่านอย่างช้า ๆ ค่อยเป็นค่อยไป

    ขออนุโมทนาในบุญของ ดร.นนต์ ที่ได้เผยแพร่เรื่องราวดี ๆ แบบนี้ให้ญาติธรรมทั้งหลาย รวมถึงตัวผมด้วยให้ได้อ่านครับ
     
  17. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    [​IMG]

    [​IMG]<!-- google_ad_section_end -->

    [​IMG]

    คิดว่าเหมือนก็เหมือนครับ หุหุ
    ขอ...อัญเชิญภาพมาร่วมแจม...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ตุลาคม 2011
  18. nontayan

    nontayan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    832
    ค่าพลัง:
    +976
    ข้อความของท่าน.....เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2554 ต่อไปนี้ ผมขอนุญาตท่านนำมาลงเผยแพร่เพื่อเป็นวิทยาทานโดยมิได้บอกกล่าวท่านก่อน จึงขอผลบุญในการเผยแพร่ครั้งนี้ ได้ส่งผลบุญตอบแทนท่านไปเป็นทวีคูณนะครับ...ข้อความมีว่า

    เรียน ท่านอาจารย์ ดร.ณัฐนนต์ ที่เคารพ
    ผมได้รับทราบจากคุณอ๊อดว่า ท่านอาจารย์ยินดีที่จะให้ข้อชี้แนะเรื่องปฏิบัติธรรมแก่ผมและเพื่อน(พี.....) ผมจึงขอกราบขอบพระคุณอย่างสูงมา ณ ที่นี้ พร้อมนี้ หากไม่รบกวนเกินไป ผมขอรับคำสอนและชี้แนะการปฏิบัติธรรมของผมและสอบถามเรื่องอื่นๆ ดังนี้

    1. ผมเริ่มตั้งใจปฏิบัติสมาธิอย่างจริงจังเมื่อเมื่อวันที่ 4 เม.ย.2554 เมื่อครั้งไปประจำการที่ต่างประเทศ โดยได้รับแรงดลใจจากการอ่านหนังสือธรรมเล่มหนึ่ง จากหลายๆเล่มที่อ่านก่อนหน้านั้นมาโดยตลอด โดยปฏิบัติเองจากการอ่านหนังสือธรรมและจากบทความในอินเตอร์เน็ตของครูบาอาจารย์ต่างๆ ในสายกรรมฐานหลวงปูมั่น หลายองค์ เช่น หลวงปู่สิม วัดถ้ำผาปล่อง (เป็นศิษย์ท่านครับ) หลวงพ่อทูล หลวงตามหาบัว หลวงปู่ชา และหลวงพ่อพุธ (ศิษย์หลวงปู่เสาร์) ฯลฯ โดยเริ่มจากการสวดมนต์ประมาณ 15 - 20 นาทีก่อน แล้วนั่งสมาธิประมาณวันละ 2 ชั่วโมง(เช้าและก่อนเข้านอน) และพยายามเจริญสติทุกเวลาเท่าที่คิดได้

    ผมเริ่มภาวนาพุท-โธ ในช่วง 10 นาทีแรกและเริ่มดูลมหายใจเข้าและออก โดยกำหนดสติรู้ลมเข้าออกทุกครั้ง โดยผลของการปฏิบัติจนถึงปัจจุบันประมาณ 4 ปีกว่า คือ มีสติอยู่กับลมหายใจ แต่ลมหายใจบางครั้งก็ดูเหมือนละเอียดเบา แต่บางครั้งก็ดูเหมือนเป็นลมหายใจที่ธรรมดา ดังนั้น ในจุดนี้ผมขอรับคำสอนและคำชี้แนะจากท่านอาจารย์ด้วยครับว่า จะปฏิบัติอย่างไรให้มีความก้าวหน้าต่อไป

    2. ช่วงเด็กๆประมาณ 9 - 10 ปี ผมมีประสบการณ์จากพระเครื่องที่หลวงปู่โตท่านปลุกเสก ผมจึงมีความเคารพและศรัทธาในความศักดิ์สิทธิ์มาก และเริ่มท่องคาถาชินบัญชรเมื่อประมาณปี 2527 มาจนถึงปัจจุบัน ไม่ทราบว่า ผมมีความเกี่ยวโยงกับท่านหรือไม่ครับ นอกจากนี้ ผมก็มีความเคารพหลวงพ่อฤาษีฯ เช่นกัน เคยไปกราบท่านเมื่อประมาณปี 2525 หรือ 2526 ที่วัดท่าซุง

    3. ผมได้รับความกรุณาจากคุณอ๊อดช่วยเหลือบูชาหสร้อยประคำเหล็กไหลไพลดำ หากผมจะอาราธนาห้อยคอเพื่อทำสมาธิ ไม่ทราบว่า จะทำให้จิตเข้าสู่สมาธิเร็วขึ้นหรือเปล่าครับ

    ผมขอกราบขอบพระคุณล่วงหน้าครับ อนึ่ง นอกจากปฏิบัติสมาธิแล้ว ผมก็พยายามรักษาศีล 5 ไม่ให้ขาด และทำบุญ ทำทานมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2524 ครับ
    ด้วยความเคารพ
    ฤ.........
    ......................................................................................................................


    ข้อความตอบของ ดร.นนต์ มีข้อความว่า


    เรียนท่าน......
    ก่อนอื่นผมต้องขออภัยที่ตอบท่านช้า อันเนื่องจากการเดินทางธรรมสัญจรกับพ่อแม่ครูอาจารย์ ทั้งที่จริงผมได้อ่านอีเมลล์ของท่านหลายวันแล้ว แต่ผมก็ยังไม่ได้ตอบท่านสักที เพราะหากผมจะตอบท่านเลย ก็เกรงว่าจะตอบสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์แก่ท่าน อีกประการ ผมต้องตระหนักถึงภูมิธรรมของท่านด้วย เพราะท่านเป็นผู้มีปัญญาและได้ปฏิบัติมานานแล้ว ดังนั้น ข้อความต่อไปนี้ ผมพยายามตอบตามประสบการณ์ของผม มันอาจมีทั้งผิดและถูก ฉะนั้นให้ถือเสียว่า เป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันก็แล้วกันนะครับ (ผมกำลังปฏิบัติอยู่ในขั้นตอนเดียวกันกับท่าน กำลังไต่ระดับ และไม่มีภูมิธรรมสูงแต่อย่างใด)

    ข้อ 1 ท่านเป็นผู้มีจริตมาทางด้านพุทธะ เมื่อถึงเวลาอันควร จะมีสิ่งดลใจให้ท่านหันมาสนใจในการปฏิบัติธรรม ทุกสิ่งไม่มีบังเอิญ ผมเองก็เริ่มมาจากความสนใจในพระเครื่อง พระสมเด็จ และสนใจในการปฏิบัติเมื่อเริ่มเข้าศึกษา ป.เอก เมื่อห้าปีที่แล้ว และเรียนรู้เองจากหนังสือ อินเทอร์เน็ต ลองผิดลองถูก สภาวะภายในเขาจะพาเราไปเรียนรู้ทุกสิ่งทั้งทางโลกและทางธรรม เมื่อลองสิ่งหนึ่งจนธาตุภายในแตก ก็จะมีเบื้องบนสื่อผ่านมาทางผู้อื่นให้เปลี่ยนแนวปฏิบัติ ไม่มีครูอาจารย์เป็นตัวเป็นตน จนกระทั่งมาพบพ่อแม่ครูอาจรย์ พ.สุรเตโช เมื่อก่อนเข้าพรรษาที่ผ่านมา ซึ่งเป็นไปตามคำอธิษฐานและนิมิตของผมก่อนหน้านั้นว่า ผมจะเจอพ่อแม่ครูอาจารย์ที่แท้จริงแล้ว ต่อมาจึงทำให้เราเข้าใจในสภาวะธรรมมากขึ้น ครูอาจารย์สายหลวงปู่เสาร์และหลวงปู่มั่นทุกองค์ล้วนเป็นแบบอย่างที่ดี ท่านจึงมาถูกทางแล้ว ส่วนเรื่องปัญญานั้น ขอให้ท่านเรียนรู้จากหลวงพ่อทูล ซึ่งพ่อแม่ครูอาจรย์ พ.สุรเตโช ท่านได้รับรองและให้ลูกศิษย์เอาไปศึกษา เพราะหลวงพ่อทูลเป็นผู้มีปัญญามาก


    การมีสติรู้ลมหายใจเข้าออกตามที่ท่านได้ปฏิบัตินั้น ถูกต้องแล้ว การที่บางครั้งสภาวะของลมหายใจละเอียดก็แสดงถึงสมาธิเข้าสู่ความละเอียด ความสงบ จึงเบาสบาย แต่บางครั้งลมหายเข้าออกเป็นธรรมดา ก็จงปล่อยให้มันเป็นไปตามนั้น เพราะทุกสิ่งนั้นมันไม่เที่ยง(อนิจจัง) ถ้ามันละเอียดก็ให้มีสติรู้ว่าละเอียด เมื่อใดมันธรรมดาก็ให้มีสติรู้ว่ามันธรรมดา ไม่ต้องบังคับ ไม่ต้องฝืน เพราะทุกสรรพสิ่งล้วนไม่มีสิ่งใดเลยที่เราสามารถบังคับมันได้(อนัตตา) ฝึกไปเรื่อยๆ สภาวะของจิตมันจะดำเนินไปเองโดยอัตโนมัติ การเข้าออกสมาธิก็จะเป็นอัตโนมัติ การวิปัสสนาก็จะเป็นโดยอัตโนมัติ คือ เมื่อจิตเข้าสู่วิถี(ทาง)ของสมาธิแล้ว จะมีสิ่งเข้ามาให้เราเรียนรู้หรือทดสอบเป็นขั้นเป็นตอนไปเรื่อยๆ เมื่อติดขัดเรื่องใด เราจึงจำเป็นต้องถามผู้ที่ล่วงหน้าไปแล้ว และจำเป็นจักต้องมีครูอาจารย์คอยชี้แนะทางให้ถูกต้องนั่นเอง มิเช่นนั้นเราจะพายเรืออยู่ในอ่างและไม่สามารถเดินทางไปสู่เป้าหมายได้เลย ผู้ปรารถนาเป็นพระอรหันต์หรือสาวกภูมิจึงต้องมีครูอาจารย์ ท่านจึงจะสามารถบรรลุธรรมได้ ส่วนผู้ปรารถนาพุทธภูมินั้น ท่านจักต้องเรียนรู้และปฏิบัติและตรัสรู้ด้วยตัวของท่านเอง


    ข้อ 2 ทุกสิ่งไม่มีบังเอิญสำหรับเหล่าพุทธวงศ์ ท่านก็เป็นหนึ่งในจำนวนนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย ทั้งความผูกพันกับหลวงปู่โต พ่อแม่ครูอาจารย์ พ.สุรเตโช หลวงพ่อฤาษีลิงดำ หรือแม้กระทั่งกับผม กับเหล่านักรบธรรมท่านอื่นๆ ก็ล้วนผูกพันสร้างสมบารมีมาด้วยกันหลายภพหลายชาติ (ในขั้นปรมัตถบารมี) และในภพนี้ก็ล้วนลงมาทำหน้าที่ด้วยกันทั้งนั้น อยู่ที่ท่านว่า จะขอลาเข้าสู่พระนิพพานได้หรือไม่ในภพนี้ เพราะเหล่าอัครสาวก และอสีติสาวกผู้เป็นเลิศทางด้านใดด้านหนึ่ง ก็ล้วนได้รับคำพยากรณ์จากพระพุทธเจ้ามาแล้ว มิอาจลาได้ดั่งเช่นองค์พุทธะที่จะเสด็จลงมาตรัสรู้ในกาลข้างหน้า เมื่อถึงเวลาท่านจะรู้ตัวเอง อย่างไรก็ตาม แม้มิอาจลาเข้าสู่พระนิพพานได้ แต่การปฏิบัติก็สามารถไปถึงความเป็นอรหันต์ได้คือไม่น้อยกว่าภพที่ผ่านมา แต่ไม่สามารถตัดเข้าพระนิพพานได้นั่นเอง องค์พุทธะบำเพ็ญมาสิบหกอสงไขย เหล่าอัครสาวกและสาวกที่ได้รับการพยากรณ์แล้ว ก็ล้วนบำเพ็ญมาแล้วสิบหกอสงไขยเช่นเดียวกัน ไม่ธรรมดานะครับ


    ข้อ 3 วัตถุใดๆในโลกนี้ มิสามารถทำให้ผู้ใดบรรลุนิพพานได้ เพราะล้วนเป็นสิ่งสมมุติ แต่เราสามารถใช้สิ่งสมมุติเหล่านั้น(สร้อยประคำเหล็กไหลไพลดำ)เป็นพาหนะในการทำสมาธิได้ เพราะวัตถุนี้ถูกสร้างมาเพื่อการทำสมาธิ จะช่วยให้จิตสงบและดิ่งเร็ว เพราะมีพรหม ฤาษี ผู้นิยมสมาธิเป็นผู้ปกปักรักษา รวมทั้งเทวดาและพญานาคตามจำนวนลูกประคำแต่ละลูกสถิตย์อยู่ เมื่อท่านเข้าสู่ความสงบและเกิดองค์ฌานแล้ว การจะบรรลุธรรมนั้นจักต้องใช้ปัญญาญาณเท่านั้น จึงจะสามารถตัดอาสวะกิเลสได้ อย่างไรก็ตาม สมถะสมาธิ(องค์ฌาน)ก็จำเป็นพอๆกันกับวิปัสสนา(ปัญญาญาณ) ดังนั้น สร้อยประคำเหล็กไหลไพลดำจะช่วยให้ท่านเข้าสู่สมถะสมาธิได้เร็ว(เป็นทางลัด)ให้กับท่านได้ แต่ปัญญาญาณนั้นไม่มีสิ่งใดจะช่วยท่านได้นอกจากตัวท่านเองครับ


    อนึ่ง การทำทาน และรักษาศีล จะช่วยให้การทำสมาธิและปัญญาเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ โดยเฉพาะการรักษาศีลนั้น ถือเป็นรากแก้วให้กับนักภาวนาผู้ปรารถนาการหลุดพ้น เพราะศีลจะทำให้นักภาวนามีสัมมาทิฏฐิ ส่วนผู้ไม่มีศีลแม้จะมีฤทธิ์เดชมากสักปานใดดั่งเช่นพระเทวทัต ก็มิสามารถเข้าสู่ความเป็นอริยบุคคลได้(พระโสดาบันถึงพระพุทธเจ้า) เพราะการไม่มีศีลจะทำให้ผู้นั้นเข้าสู่ความเป็นมิจฉาทิฏฐินั่นเอง


    สิ่งทั้งหลายที่ผมได้กล่าวออกมาดังข้างต้นนั้น เป็นความคิดเห็นส่วนตนตามสติปัญญาอันน้อยนิด จึงมิใช่ข้อสรุปให้กับท่านได้ แต่อาจเป็นประโยชน์ให้ท่านพิจารณาว่า ประสบการณ์ของท่านและประสบการณ์ของผู้อื่นมันมีข้อเหมือนหรือข้อแตกต่างกันอย่างไร ปฏิบัติตามแล้วได้อะไร หรือเกิดอะไรขึ้น ถ้าถูกจริตก็นำไปปฏิบัติต่อไปได้ แต่หากฝืนจริตก็จงทิ้งมันเสีย แล้วพิจารณาแนวทางใหม่ต่อไป ผมจึงทำหน้าที่ให้กำลังใจในการปฏิบัติของท่านและเพื่อนธรรมของท่าน อย่างเต็มใจ และขออนุโมทนาด้วยทุกประการครับ


    ขอเจริญในธรรม
    ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณัฐนนต์ สิปปภากุล
    26 ตุลาคม 2554
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ตุลาคม 2011
  19. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388

    ความหมายของคำว่า
    "พระโพธิสัตว์"

    โพธิสัตว์ หรืออาจจะเขียนได้ว่า โพธิสัตต์ มาจากคำว่า โพธิ + สัตต
    "โพธิ" แปลว่า ความตรัสรู้หรือความรู้แจ้ง
    "สัตต" ตามบาลีไม่ได้หมายถึงสิ่งมีชีวิต (สัตวะ) หรือมนุษย์เพียงอย่างเดียว แต่เป็นการใช้ความหมายคล้ายคลึงกับ "สัตวัน" (Sattavan) ในคัมภีร์พระเวทของพราหมณ์ ซึ่งหมายถึง ผู้ทรงพลัง ผู้นำ นักรบ "สัตต" ในคำว่า "โพธิสัตต์" จึงหมายถึง ผู้นำ หรือผู้มีใจเด็ดเดี่ยว กล้าหาญ องอาจ เยี่ยงนักรบ ซึ่งให้ความหมายเดียวกับคำว่า โพธิสัตต์ ในภาษาทิเบต คือ byan chub sems-dpah โดยคำว่า byan chub หมายถึง โพธิ (bodhi), sems หมายถึง จิต (mind) และ dpah หมายถึง วีรบุรุษ ผู้กล้า หรือผู้เข้มแข็ง

    "โพธิสัตต์" จึงแปลว่า ผู้มีใจยึดมั่นในสัมมาสัมโพธิญาณอย่างเด็ดเดี่ยว

    [​IMG][​IMG]
    พระศรีอริยะเมตไตรย มหาโพธิสัตว์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ตุลาคม 2011
  20. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388

    "พระโพธิสัตว์" คือ ผู้ซึ่งจะได้มาตรัสรู้เป็นพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคต ท่านอธิษฐานจิตถึงพระพุทธภูมิ ทุ่มเทปฏิบัติธรรม ช่วยผู้อื่นทั้งทางโลกและทางธรรม สะสมบารมี ๑๐ ทัศ ทุกๆคนเป็นพระโพธิสัตว์ได้ทั้งนั้น ถ้าหากว่าเขาผู้นั้นเป็นผู้มีจิตเมตตาประจำใจ ทำแต่คุณประโยชน์ช่วยเหลือคนทุกข์ยาก ไม่ประพฤติเบียดเบียนสนับสนุนผู้อื่นในทางผิดศีลธรรม

    • คุณธรรมหลักของผู้ตั้งความปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ คือ "มหาเมตตา" แปลว่า ปรารถนาให้ผู้อื่นมีความสุข พระโพธิสัตว์จึงมีคุณธรรมอื่นๆต่อเนื่องกันคือ
    • มหากรุณา คือความปราณีต่อสรรพสัตว์(หมายรวมมนุษย์) ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง สงสารผู้ยากลำบากทั้งหลาย เฝ้าตามช่วยแนะเพื่อความสุขของเขา เป็นความยินดีกรุณาของพระโพธิสัตว์ทั้งลาย
    • มหาปัญญา คือเป็นผู้มีความรู้หรือศึกษาหาวิชาใส่ตัว ได้เป็นประโยชน์ส่วนตนเอง ส่วนผู้อื่นช่วยเหลือผู้อื่นต่อไปให้รู้ว่าอะไรดีอะไรชั่ว
    • มหาอุบาย คือรู้ในวิธีนำตนและผู้อื่นให้พ้นภัยและสัมฤทธิผลเข้าถึงในคุณธรรมต่างๆที่มีประโยชน์
    [​IMG]
    พระอวโลกิเตศวร มหาโพธิสัตว์

    มหาปณิธานของพระโพธิสัตว์
    ๑. เราจะละกิเลสทั้งหลายให้หมด
    ๒. เราจะต้องตั้งใจศึกษาพระะรรมทั้งหลายให้เจนจบ
    ๓. เราจะไปโปรดสรรพสัตว์ทั้งหลายให้สิ้น
    ๔. เราจะบำเพ็ญตนให้บรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ


    ทศภูมิของพระโพธิสัตว์
    ทศภูมิของพระโพธิสัตว์ คือภูมิจิตของพระโพธิสัตว์ มี ๑๐ ภูมิดังนี้
    ๑. มุทิตาภูมิ พระโพธิสัตว์มีความยินดีในความไร้ทุกข์ของสัตว์ (ภูมินี้บำเพ็ญหนักในทานบารมี)
    ๒. วิมลาภูมิ (ปราศจากมลทิน) พระโพธิสัตว์ละมิจฉาจริยาได้เด็ดขาด ปฏิบัติแต่ในสัมมาจริยา (ภูมินี้มีศีลบารมีเป็นใหญ่)
    ๓. ประภาการีภูมิ (มีความสว่าง) พระโพธิสัตว์ทำลายอวิชาได้เด็ดขาด มีความอดทนทุกประการ (ภูมินี้มีขันติบารมีเป็นใหญ่)
    ๔. อรรถจีสมดีภูมิ (รุ่งเรือง) พระโพธิสัตว์มีความเพียรในการบำเพ็ญธรรม (ภูมินี้มีวิริยะบารมีเป็นใหญ่)
    ๕. ทุรชยาภูมิ (ผู้อื่นชนะยาก) พระโพธิสัตว์ละสภาวะสาวกญาณ กับปัจเจกโพธิญาณ ซึ่งเป็นธรรมเครื่องกั้นพุทธภูมิ (ภูมินี้มีญาณบารมีเป็นใหญ่)
    ๖. อภิมุขีภูมิ (มุ่งหน้าต่อทางนิพพาน) พระโพธิสัตว์บำเพ็ญยิ่งในปัญญาบารมี เพื่อรู้แจ้งเห็นชัดในปฏิจจสมุปบาท (ภูมินี้มีปัญญาบารมีเป็นใหญ่)
    ๗. ทูรังคมาภูมิ (ไปไกล) พระโพธิสัตว์มีอุบายอันฉลาดแม้บำเพ็ญกุศลน้อย แต่ได้ผลแก่สรรพสัตว์มาก (ภูมินี้มีอุบายบารมีเป็นใหญ่)
    ๘. อจลาภูมิ (ไม่คลอนแคลน มั่นคง) พระโพธิสัตว์บำเพ็ญหนักในปณิธานบารมี
    ๙. สาธุบดีภูมิ พระโพธิสัตว์แตกฉานในอภิญญา และปฏิสัมภิทาญาณ (ภูมินี้บำเพ็ญหนักในพลบารมี)
    ๑๐. ธรรมเมฆภูมิ พระโพธิสัตว์บำเพ็ญหนักในญาณบารมีมีจิตอิสระ ไม่ติดในรูปธรรม นามธรรม (บำเพ็ญหนักญาณบารมี)


    เมื่อพระโพธิสัตว์บำเพ็ญทศภูมิเต็มบริบูรณ์แล้ว ย่อมมีพระคุณเทียบเท่าพระพุทธเจ้า เหลืออีกชาติเดียวก็จักตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เช่นเดียวกับพระศรีอริยเมตตไตรยโพธิสัตว์

    จริยธรรมของพระโพธิสัตว์ ๑๐ ประการ
    ๑. พระโพธิสัตว์ ไม่ปรารถนาเลยว่า ร่างกายจะไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ
    ๒. พระโพธิสัตว์ ครองชีวิตโดยไม่ปรารถนาเลยว่า จะไม่มีภยันตราย
    ๓. พระโพธิสัตว์ ไม่ปรารถนาเลยว่า จะไม่มีอุปสรรคในการชำระจิตให้บริสุทธิ์
    ๔. พระโพธิสัตว์ ไม่ปรารถนาเลยว่า จะไม่มีมารมาขัดขวางการปฏิบัติภารกิจ
    ๕. พระโพธิสัตว์ คิดว่าจะทำงานให้นานที่สุด โดยไม่ปรารถนาจะให้สำเร็จผลเร็ว
    ๖. พระโพธิสัตว์ จะคบเพื่อน โดยไม่ปรารถนาจะได้รับผล
    ๗. พระโพธิสัตว์ จะไม่ปรารถนาว่า จะให้คนอื่นต้องตามใจตนเองเสมอทุกอย่าง
    ๘. พระโพธิสัตว์ จะทำความดีกับคนอื่น โดยไม่ปรารถนาสิ่งตอบแทน
    ๙. พระโพธิสัตว์ เห็นลาภแล้ว ไม่ปรารถนาจะมีหุ้นส่วนด้วย
    ๑๐ พระโพธิสัตว์ เมื่อถูกใส่ร้ายป้ายสี ติเตียน นินทาแล้ว ไม่ปรารถนาจะโต้ตอบ หรือฟ้องร้อง

    อุดมการณ์โพธิสัตว์ มีหน้าที่หลัก ๒ ประการ
    ๑. โพธิสัตว์นอกจากจะมุ่งช่วยเหลือสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์แล้ว ยังมุ่งในความสุขและความเป็นอยู่ที่ดีในโลกนี้
    ๒. โพธิสัตว์ปรารถนาให้สรรพสัตว์ได้บรรลุนิพพาน โดยตนเองปฏิเสธการเข้าถึงนิพพานของตน เพื่อที่จะได้ยังมีโอกาสรับใช้ช่วยเหลือผู้อื่น แม้ว่าจะต้องยังอยู่ในที่แห่งความทุกข์ยาก เพื่อสร้างคุณความดีช่วยเหลือสรรพสัตว์ ซึ่งนับว่าเป็นการเสียสละที่ยิ่งใหญ่โดยตั้งปณิธานสำคัญว่า

    "ข้าฯจะไม่เข้าสู่ปรินิพพานจนกว่าสรรพสัตว์ทั้งหลายจะพ้นทุกข์
    ข้าฯจะยังคงอยู่ที่นี่ตราบจนวัฏสงสารจะสิ้นสุดลง
    แม้ว่าข้าฯยังจะต้องอยู่ที่นี่อีก แม้เพียงชีวิตใดชีวิตเดียว"


    ยาน (yanas) หรือเส้นทางซึ่งนำไปสู่การบรรลุโพธิ แบ่งเป็น ๓ ประเภท
    ๑. สาวกยาน คือ ยานของพระสาวกที่มุ่งเพียงอรหันตภูมิ ซึ่งรู้แจ้งในอริยสัจ ๔ ด้วยการสดับจากพระพุทธเจ้า
    ๒. ปัจเจกยาน คือ ยานของพระปัจเจกพุทธเจ้า ได้แก่ ผู้รู้แจ้งในปฏิจจสมุปบาทด้วยตนเอง แต่ไม่สามารถแสดงธรรมสั่งสอนสัตว์ให้บรรลุมรรคผลได้
    ๓. โพธิสัตวยาน คือ ยานของพระโพธิสัตว์ ซึ่งได้แก่ผู้มีจิตใจเมตตา ใจคอกว้างขวาง ประกอบด้วยมหากรุณาในสรรพสัตว์ ไม่ต้องการอรหันตภูมิ ปัจเจกภูมิ แต่ปรารถนาพุทธภูมิ เพื่อโปรดสัตว์ได้กว้างขวาง และเป็นรู้แจ้งในสุญญตธรรม

    โพธิสัตว์จะต้องมีจรรยา ๔ คือ
    ๑. โพธิปักขิยจรรยา คือ ปฏิบัติเพื่อความรู้แจ้ง อันประกอบด้วยคุณธรรม ๓๗ ประการ คือ
    ๑.๑ สติปัฏฐาน ๔ ได้แก่ กาย เวทนา จิต ธรรม
    ๑.๒ สัมมัปปธาน ๔ คือ ความเพียรอันบุคคลตั้งไว้ชอบ ได้แก่ สังวรปธาน(เพียรระวังไม่ให้บาปเกิดขึ้นในสันดาน), ปหาปธาน(เพียรละบาปที่เกิดขึ้นแล้ว), ภาวนาปธาน(เพียรให้กุศลเกิดขึ้นในสันดาน) และอนุรักขนาปธาน(เพียรรักษากุศลที่เกิดขึ้นแล้วไม่ให้เสื่อม)
    ๑.๓ อิทธิบาท ๔ ได้แก่ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา
    ๑.๔ อินทรีย์ ๕
    ๑.๕ พละ ๕ ได้แก่ สัทธา, วิริยะ, สติ, สมาธิ และปัญญา
    ๑.๖ โพชฌงค์ ๗ ได้แก่ สติ(ความระลึกได้), ธัมมวิจยะ(ความเฟ้นหาธรรม), วิริยะ(ความเพียร), ปีติ(ความอิ่มใจ), ปัสสัทธิ(ความสงบใจ), สมาธิ(ความมีใจตั้งมั่น), อุเบกขา(ความมีใจเป็นกลางเพราะเห็นตามความเป็นจริง)
    ๑.๗ มรรค ๘ ได้แก่ สัมมาทิฏฐิ, สัมมาสังกัปปะ, สัมมาวาจา, สัมมากัมมันตะ, สัมมาอาชีวะ, สัมมาวายามะ, สัมมาสติ, สัมมาสมาธิ


    ๒. อภิญญาจรรยา คือ การปฏิบัติความรู้ทั้งมวล

    ๓. ปารมิจาจรรยา คือ ปฏิบัติเพื่อการสร้างสมบารมี ซึ่งในทางเถรวาทจะกล่าวถึงทศบารมี ๑๐ ประการ แต่ฝ่ายมหายานจะกล่าวถึงบารมีหรือปารมิตาที่สำคัญ ๖ ประการ ได้แก่ ทาน ศีล ขันติ วิริยะ ฌาน ปัญญา โดยสาระที่แท้จริงแล้วก็คือการพัฒนาหลัก ศีล สมาธิ ปัญญา นั่นเอง ส่วนเนกขัมบารมี ซึ่งแม้จะไม่ได้ระบุไว้ในบารมีของฝ่ายมหายาน แต่เมื่อพิจารณาในรายละเอียด จะพบว่า ในการบำเพ็ญฌานบารมีนั้น เมื่อปฏิบัติในขั้นสูง ผู้ปฏิบัติจะรักษาพรหมจรรย์ ซึ่งใกล้เคียงกับการออกบวชในประเด็นที่เป็นผู้ออกจากกามเช่นกัน

    ๔. สัตตวปริปาจรรยา คือ การอบรมสั่งสอนสรรพสัตว์

    ประเภทของพระโพธิสัตว์
    ในทางพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน แบ่งพระโพธิสัตว์ออกเป็น ๒ ประเภท คือ
    ๑. พระฌานิโพธิสัตว์ เป็นพระโพธิสัตว์ซึ่งกำหนดไม่ได้ว่ามาเกิดในโลกมนุษย์เมื่อใด แต่เกิดขึ้นก่อนกาลแห่งพระศากยมุนีพุทธเจ้า ซึ่งพระโพธิสัตว์เหล่านี้ ท่านได้บรรลุพุทธภูมิแล้ว แต่ทรงมีความกรุณาในหมู่สัตว์ ทรงตั้งพระทัยไม่เข้าสู่พุทธภูมิ ประทับอยู่เพื่อโปรดสัตว์ในโลกนี้ต่อไป ดังเช่น
    - พระมัญชุศรีโพธิสัตว์ เป็นพระโพธิสัตว์แห่งปัญญา ในหัตถ์ขวาทรงถือพระขันธ์เป็นสัญลักษณ์ในการทำลายล้างกิเลสตัณหาและอวิชาทั้งปวง และในหัตถ์ซ้ายถือคัมภีร์บนดอกบัว
    - พระสมันตภัทรโพธิสัตว์ เป็นพระโพธิสัตว์ที่ทรงไว้ด้วยความกรุณา และได้ทรงตั้งปณิธานว่าจะช่วยสรรพสัตว์ให้พ้นจากกิเลสความผูกพันทั้งปวง หน้าที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือการรื้อสัตว์ ขนสัตว์จากนรก
    - พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ เป็นพระโพธิสัตว์แห่งความเมตตา จะลงมาจุติในโลกมนุษย์เป็นครั้งคราว เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ให้พ้นภัย ความเมตตาของพระองค์แผ่ไปไกลและลึกแม้กระทั่งในดินแดนนรก ในประเทศจีนพระอวโลกิเตศวรเป็นที่รู้จักกันในปางสตรีคือ "เจ้าแม่กวนอิม" และชาวธิเบตเชื่อว่าองค์ประมุขทไลลามะ เป็นอวตารของพระโพธิสัตว์พระองค์นี้
    - พระมหาสถามปราปต์โพธิสัตว์ ทรงปัญญาเป็นเยี่ยม และทรงใช้ปัญญานี้เป็นเครื่อง บั่นทอนอวิชา
    - พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ ทรงตั้งปณิธานที่จะช่วยเหลือสรรพสัตว์ให้พ้นจากทุกข์ยาก และเจาะจงช่วยโดยเฉพาะแก่เด็กและมิจฉาชน
    - พระเมตไตรยโพธิสัตว์ (พระศรีอริยเมตไตรย มหาโพธิสัตว์) เชื่อว่าเป็นองค์อนาคตพุทธเจ้า และจะลงมาตรัสรู้ในกาลข้างหน้า เป็นผู้เปี่ยมด้วยความเมตตา


    ๒. มนุษิโพธิสัตว์ คือ ผู้ปฏิบัติตนเพื่อบรรลุเป็นพระโพธิสัตว์ ปฏิบัติตนอยู่ในความบริสุทธิ์ ประกอบการบุญ เจริญศีล ทาน ภาวนา ทำประโยชน์แก่มวลมนุษย์ ช่วยชีวิตคนและสัตว์โลกให้พ้นจากกองทุกข์ กระทำกัลยาณวัตร และบำเพ็ญกุศลเพื่อบารมีแต่ละชาติไป โดยมุ่งหวังบรรลุพระโพธิญาณในขั้นสุดท้าย เช่น อดีตชาติของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดังนั้นโพธิสัตว์ จึงเป็นอุดมการณ์ของชาวพุทธมหายาน ที่พยายามดำเนินรอยตามแนวทางพระยุคลบาทสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อครั้งทรงเป็นมนุษิโพธิสัตว์ เพื่อให้ได้ถึงพุทธภูมิในที่สุด

    และอุดมการณ์โพธิสัตว์นี้ยังมีสมบัติเป็นตัวเชื่อมทำให้ไม่มีช่องว่างมากนักระหว่างบรรพชิตกับฆราวาส เนื่องจากผู้ที่จะเป็นโพธิสัตว์ ไม่จำกัดว่าจะต้องเป็นบรรพชิต แม้ฆราวาสเองก็เป็นโพธิสัตว์ได้ (ไม่ใช่ด้วยความอยากจะเป็น) เช่นกัน โดยหัวใจของการเป็นโพธิสัตว์นั้นขั้นแรกต้องมี โพธิจิต คือจิตตั้งมั่น ยึดพุทธภูมิเป็นจุดมุ่งหมายของชีวิต มีศรัทธาในโพธิ หรือความรู้แจ้งว่าเป็นอุดมการณ์สูงสุด และมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าในการที่จะช่วยเหลือสรรพสัตว์

    ความกรุณาของพระโพธิสัตว์
    มีเรื่องเล่าไว้ว่าครั้งหนึ่งพระพุทธองค์ได้ตรัสเล่าชาดกอันเป็นเรื่องราวสมัยทรงเป็นพระโพธิสัตว์ ก่อนจะตรัสรู้เป็นพุทธเจ้า เรื่องมีอยู่ว่า จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่พระองค์หนึ่ง มีโอรสสามองค์ พระองค์เป็นพระโอรสองค์สุดท้อง มีพระนามว่าพระมหาสัตว์ พระมหาสัตว์เป็นเด็กน้อยที่มีนิสัยเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และมีใจกรุณา ทั้งปฏิบัติต่อสรรพชีวิตเหมือนบุตรของพระองค์


    วันหนึ่งพระจักรพรรดิและข้าราชบริพารได้เสด็จประพาสอุทยาน ส่วนพระโอรสทั้งสามไปเล่นในป่า ไม่นานก็พบเสือแม่ลูกอ่อน เสือตัวนั้นไม่มีเรี่ยวแรงเพราะหิวโซ จนกระทั่งคิดจะกินลูกของตน พระมหาสัตว์จึงตรัสถามพระเชษฐาว่า


    "เสด็จพี่ เสือต้องกินอะไรถึงจะมีแรง"

    "เนื้อสด หรือไม่ก็เลือด" พระเชษฐาทั้งสองตรัสตอบ
    "ใครจะให้เนื้อและเลือดของตนแก่แม่เสือ เพื่อให้แม่เสือและลูกๆมีชีวิตรอดบ้าง?" พระมหาสัตว์ตรัสถาม

    "ก็ใครล่ะ?" พระเชษฐาตรัสตอบ

    พระมหาสัตว์สงสารแม่เสือและลูกน้อยมาก จึงคิดขึ้นว่า "เป็นเวลาช้านานแล้วที่เราท่องเที่ยวอยู่ในสังสารวัฏอย่างไร้ประโยชน์ ความโกรธ โลภ หลง ของเราชาติแล้วชาติเล่า ช่วยเหลือสรรพสัตว์อื่นได้น้อยมาก ในที่สุดโอกาสสำคัญก็มาถึงแล้ว"

    ขณะที่พระโอรสองค์อื่นกำลังจะกลับไปหาพระบิดา พระมหาสัตว์ตรัสขึ้นว่า "เสด็จพี่ทั้งสองจงเสด็จกลับก่อน หม่อมฉันจะตามไปทีหลัง" แล้วพระองค์ก็คลานกลับไปหาแม่เสืออย่างเงียบเชียบ จากนั้นจึงนอนกับพื้นต่อหน้าแม่เสือเพื่อเป็นอาหารให้มัน แม่เสือมองมาที่พระมหาสัตว์ แต่อ่อนระโหยจนไม่สามารถเปิดปากได้ ดังนั้นพระองค์จึงหาไม้แหลมมาแทงร่างกายให้เลือดไหล แม่เสือจึงได้เลียกิน และมีเรี่ยวแรงพอที่จะเปิดปากและกินพระมหาสัตว์

    พระมหาสัตว์ได้มอบร่างให้แม่เสือเพื่อช่วยลูกน้อย ด้วยอานิสงส์แห่งเมตตาอันยิ่งใหญ่นี้เอง พระองค์จึงได้เกิดใหม่ในภพที่สูงขึ้น และเข้าใกล้การตรัสรู้มากขึ้นเป็นลำดับ จนได้เสวยพระชาติเป็นพระพุทธเจ้าในที่สุด พระกรุณาของพระองค์แรงกล้ากระทั่งได้ทำให้ทั้งหมดนี้มีกรรมผูกพันต่อเนื่องไปอีกหลายชาติ ซึ่งแม่เสือและลูกน้อยที่ได้กินร่างของพระมหาสัตว์เป็นอาหาร ได้เกิดใหม่เป็นพระปัญจวัคคีย์ อันเป็นสาวก กลุ่มแรกที่ได้ฟังธรรมจากพระองค์หลังจากตรัสรู้ เรื่องนี้ชี้ให้เห็นว่าอานิสงส์ของกรุณานั้นช่างยิ่งใหญ่และลึกล้ำยิ่งนัก

    ในพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทนั้นพระโพธิสัตว์ คือ บุคคลผู้บำเพ็ญบารมีธรรมอุทิศตนช่วยเหลือสัตว์ผู้มีความทุกข์ยากและจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต พุทธศาสนาฝ่ายมหายานเรียกบุคคลเช่นนี้ว่าเป็นผู้มีพลังหรืออำนาจมุ่งสู่โพธิญาณ (Dayal, 1987: 7) เป็นผู้บำเพ็ญความดีหรือที่เรียกว่าบารมีธรรมอย่างยิ่งยวดเพื่อการบรรลุถึงพระโพธิญาณ การดำเนินชีวิตของพระโพธิสัตว์เป็นไปเพื่อบำเพ็ญบารมีเพื่อตนและเป็นการเสียสละช่วยเหลือผู้อื่นไปพร้อม ๆ กัน การกระทำทุกอย่างนี้ดำเนินไปได้ด้วยความรักความปรารถนาในพระพุทธภาวะอันเป็นความหมายของพระโพธิสัตว์ ด้วยความรักในพระโพธิญาณพระโพธิสัตว์จึงสามารถกระทำได้ทุกอย่าง เบื้องต้นแต่สละได้ซึ่งสิ่งของภายนอกจนถึงชีวิตและสิ่งเสมอด้วยชีวิตคือบุตรและภรรยาของตน ดังตัวอย่างพุทธดำรัสที่ตรัสในขณะเสวยพระ ชาติเป็นพระโพธิสัตว์ความว่า

    เมื่อเราจะให้ทานก็ดี กำลังให้ทานก็ดี ให้ทานแล้วก็ดี
    จิตของเราไม่เป็นอย่างอื่น เพราะเหตุแห่งพระโพธิญาณเท่านั้น
    (ขุ.จริยา. ๓๓ / ๖๖ / ๗๓๖)

    จักษุทั้งสอง เป็นที่น่าเกลียดชังสำหรับเราก็หาไม่
    แม้ตัวเราเองจะเป็นที่เกลียดชังก็หาไม่ แต่พระสัพพัญญุตญาณเป็นที่รักของเรา
    เพราะฉะนั้น เราจึงได้ให้จักษุ ฉะนี้แล
    (๓๓ / ๖๖ / ๗๓๖)

    เราตามรักษาศีลของเรา มิใช่รักษาชีวิตของเรา
    เพราะในกาลนั้นเราเป็นผู้รักษาศีล เพราะเหตุแห่งพระโพธิญาณเท่านั้น
    (๓๓ / ๖๕ / ๗๕๔)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ตุลาคม 2011

แชร์หน้านี้

Loading...