การสลักชื่อที่ฐานพระประธานนั้นสมควรหรือไม่ครับ???

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย czbz, 20 พฤษภาคม 2011.

  1. czbz

    czbz สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    100
    ค่าพลัง:
    +7
    เอาแล้วซิ เริ่มกังวลอีกแล้วแม่ผมมาบอกว่าสลักชื่อแม่กับชื่อผมลงในฐานพระประธาน เพราะว่าแม่ผมได้ร่วมสร้างพระประธาน ทีนี้ผมกลัวว่าจะเป็นบาปไหมเพราะว่า พระสงฆ์ท่านกราบไหว้ทุกวันจะเป็นการกราบชื่อเราหรือเปล่าเห้อ -*- กลัวจะบาป (แต่ถ้าไม่บาป ก็ ร่วมอนุโมทนาได้นะครับ )
     
  2. Darkever

    Darkever เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 เมษายน 2011
    โพสต์:
    450
    ค่าพลัง:
    +333
    แน่นอนคับ พระสงฆ์กราบไหว้ชื่อของพวกเราทุกวันๆ
    บาปไม่ปบาป ก็พิจารณาดู
    ถ้าทำบุญแล้ว จะแปะชื่อไว้หรือไม่ก็ตาม
    บุญก็คือบุญ ถ้าทำบุญ แล้วต่อให้ไม่แปะชื่อไว้ ก็ต้องได้บุญ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 พฤษภาคม 2011
  3. czbz

    czbz สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    100
    ค่าพลัง:
    +7
    นำลิ้งมาให้ไปอ่านเพิ่มได้ไหมครับ ช่วงนี้จะทำบุญต้องรอบคอบมากขึ้นแล้วล่ะครับ
     
  4. czbz

    czbz สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    100
    ค่าพลัง:
    +7
    ครับขอบคุณครับ ถ้าเจอ จะนำมาลงให้ครับ ^^
     
  5. อภิราม

    อภิราม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +9,005
    พญามารได้รับทุกขเวทนาอยู่ที่นั่นเป็นเวลานานถึง 7 ปี 7 เดือน 7 วัน จนเมื่อครบกำหนด พระเถระได้กลับมาเพื่อจะปลดปล่อยพญามาร แต่ได้เดินมาแอบดูก่อน พญามารเป็นอย่างไรบ้าง พญามารเอง ก่อนเคยมีวิมาน มีสุข เมื่อมารับทุกขเวทนาเช่นนี้จึงละพยศในสันดาน และนึกถึงพระพุทธโคดมและกล่าวออกมาว่า

    "เมื่อพระองค์สถิตย์ใต้ต้นมหาโพธิ์ ข้าพระองค์ขว้างจักราวุธอันคมกล้าไป หมายจะปลิดชีพพระองค์ แต่จักรนั้นกลับกลายเป็นดอกไม้บูชาพระองค์ และไม่ว่าจะขว้างอาวุธอะไรไป ก็กลายเป็นดอกไม้ไปเสียหมด คราวนั้นข้าพ่ายแก่พระองค์ แต่พระองค์ก็ไม่ได้โต้ตอบอันใด บัดนี้สาวกของพระองค์มีจิตใจเหี้ยมโหดทำร้ายข้า ทำให้ข้าพระองค์ได้รับทุกข์สาหัสเหลือเกิน"

    คิดแล้วก็เศร้าโศกและโมโห เอาบาทกระทืบพื้นดังลั่น แต่แล้วก็หวนคิดถึงพุทธภูมิที่เคยตั้งใจไว้ที่แทบพระบาทพระกัสสปะพุทธเจ้า ในที่สุดพญามารก็สำนึกได้ จึงลดละความริษยา ตั้งใจอยู่ในคุณธรรม เพื่อที่จะเป็นพระพุทธเจ้า เป็นที่พึ่งแก่สัตว์ทั้งหลายในอนาคต

    ครั้นกล่าวจบ พระเถระได้แสดงตนออกมา และแก้มัดให้กับพญามาร
    "ดูก่อนพญามาร ขอท่านยกโทษให้ข้าด้วย แม้การกระทำของข้าครั้งนี้จะทำร้ายท่าน แต่ก็ทำให้ท่านระลึกถึงพุทธภูมิที่ท่านเคยตั้งใจปรารถนาไว้"
    ต่อจากนั้น พระเถระได้ขอให้พญามารได้แปลงกายเป็นพุทธองค์ เพื่อจะได้เห็นพุทธานุสติบ้าง พญามารรับคำ แต่บอกว่า ห้ามลืมตัวกราบไหว้เด็ดขาด มิฉะนั้นตนจะบาปหนัก

    ครั้นแล้ว พญามารก็เนรมิตตนเป็นพระพุทธเจ้า ประกอบด้วยมหาปุริสลักษณะ และฉัพพรรณรังสีอันวิจิตร มีพระอัครสาวกเบื้องซ้ายขวา แวดล้อมด้วยมหาสาวกทั้งหลายเป็นบริวารเสด็จเยื้องย่างด้วยพุทธลีลางดงามยิ่งนัก


    พระเถระและพุทธบริษัทเห็นเช่นนั้น ก็เกิดความปิติอย่างสูงยิ่ง เกิดปิติลืมตัวพร้อมกันนมัสการด้วยเบญจางคประดิษฐ์ทั้งสิ้น ทำให้พญามารตกใจกลับร่างเดิม

    "ทำไมท่านลืมสัญญามากราบไหว้ข้าเล่า"
    "พวกเรามิได้ไหว้ท่านหรอก เพียงแต่กราบไหว้บูชาพระพุทธเจ้าและพระสาวกต่างหาก"
    "แต่ข้าก็บาปนะท่าน"
    "ไม่บาปหรอก ท่านได้ทำกุศลแก่พวกเราต่างหาก"

    จากนั้น พญามารก็กลับคืนสู่สวรรค์ และตั้งแต่นั้นมา พญามารก็มีจิตเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามาตลอด และบำเพ็ญตนเพื่อจะได้มาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตต่อไป... พญามารจะมาบังเกิดเป็นพระพุทธเจ้ามีพระนามว่า "พระพุทธธรรมสามี" เป็นพระพุทธเจ้าองค์เดียวในกัลป์นั้น ต่อไปในอนาคตอันไกลโพ้น

    อ่านเต็มๆ ได้ที่นี่ครับ มี 2 ตอน


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 พฤษภาคม 2011
  6. czbz

    czbz สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    100
    ค่าพลัง:
    +7
    อ่า ขอบคุณมากครับ
     
  7. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,647
    ถูกหรือผิดไม่ทราบได้นะ..รู้แต่ว่าคนโบราณก็ทำ....จะยกตัวอย่างพระพุทธรูปองค์สำคัญแห่งประเทศไทย องค์หนึ่ง ประดิษฐานที่ พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ คือ หลวงพ่อนาค....แต่ท่านไม่ได้สลักชื่อเฉยๆ ถ้าจะทำจะลอกแบบวิธีการไว้ก็ได้...แล้วแต่...
     
  8. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,647
    หลวงพ่อนาก พระพุทธรูปศิลปะล้านนา

    คอลัมน์ เดินสายไหว้พระ



    [​IMG]


    พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เขตพระนคร กรุงเทพฯ ได้เก็บรักษาพระพุทธรูปสำคัญ 9 พระองค์ อยู่ในพิพิธภัณฑ สถานแห่งชาติ พระนคร

    หนึ่งในพระพุทธรูปสำคัญ คือ "หลวงพ่อนาก"

    หลวงพ่อนาก เลขทะเบียน ก.7 ศิลปะล้านนา พุทธศตวรรษที่ 21 สำริด ขนาดหน้าตักกว้าง 36.5 เซนติเมตร สูงพร้อมฐาน 85 เซนติเมตร

    หลวงพ่อนาก เป็นพระพุทธรูปมงคลด้วยวัตถุพิเศษ พระองค์สีนากสุกปลั่ง เนื่องจากเนื้อสำริด มีส่วนผสมของทองคำจำนวนมาก เหตุนั้นจึงได้รับการขนานนามว่า หลวงพ่อนาก

    ลักษณะพระพุทธรูปแสดงปางสมาธิ ประทับนั่งขัดสมาธิเพชรบนฐานบัวหงาย (องค์ถอดจากฐานได้) พระรัศมีรูปดอกบัวตูมทำด้วยไม้ ภายในพระเศียร มีช่องสำหรับบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ พระพักตร์อิ่ม พระเนตรเหลือบต่ำจนเกือบปิดสนิท แสดงลักษณะกำลัง เสวย วิมุติสุข ที่ฝ่าพระบาทสลักลายธรรมจักรและมงคล 108

    รอบฐานเขียงมีจารึกอักษรธรรมล้านนา ภาษาบาลีสันสกฤต กล่าวถึงการสร้างโดยสังเขปว่า พระยายุธิษฐิระ เจ้าเมืองพะเยา สร้างเมื่อต้นพุทธศตวรรษที่ 21 เนื้อความว่า

    มหาศักราช 1398 (พ.ศ.2019) ปีวอก เดือน 3 ขึ้น 5 ค่ำ วันอาทิตย์

    พระยายุธิษฐิระได้สร้างพระพุทธรูปสำริดองค์นี้ขึ้น โดยใช้ทอง (สำริด) ประมาณ 14,000 (อ่านว่า สิบสี่พัน = 16.8 กิโลกรัม) เพื่อดำรงพระศาสนา

    พระพุทธรูปหลวงพ่อนาก โดยประวัติการได้มีปาฏิหาริย์รอดพ้นอันตรายจากคนร้ายซึ่งลักลอบขุดค้นพบในเจดีย์โบราณ ณ วัดป่าแดงหลวงดอนไชยบุนนาค ปัจจุบัน คือ วัดบุนนาค ต.ดงเจน อ.เมือง จ.พะเยา เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2460

    โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมผู้ลักลอบขุดพร้อมของกลางได้ที่จังหวัดลำปาง และเก็บรักษาหลวงพ่อนากพร้อมโบราณวัตถุอื่นๆ ไว้ที่จังหวัดเชียงราย เพราะขณะนั้นพะเยาขึ้นอยู่กับจังหวัดดังกล่าว

    ต่อมาหลวงอดุลยธารณ์ปรีชาไวย์ ผู้พิพากษาศาลจังหวัดเชียงราย ได้น้อมเกล้าฯ ถวายแด่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว คราวประพาสเลียบมณฑลฝ่ายเหนือ เมื่อ พ.ศ.2469

    ต่อมาได้พระราชทานแก่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร โดยประดิษฐาน ณ พระที่นั่ง พุทไธสวรรย์ตราบจนทุกวันนี้

    นอกจากนี้ ยังมีพระพุทธรูปสำคัญ คือ พระพุทธรัตนมหามุนี (พระแก้วน้อย) เลขทะเบียน 143/2534 ศิลปะล้านนา พุทธศตวรรษที่ 21 หน้าตักกว้าง 10 เซนติเมตร สูงพร้อมฐาน 37 เซนติเมตร

    พระพุทธรัตนมหามุนี หรือ พระแก้วน้อย เป็นพระพุทธรูปมงคลด้วยวัตถุพิเศษ องค์พระพุทธรูปจำหลักจากอัญมณี แก้วสีเขียวอ่อนน้ำแตงกวา ปางมารวิชัย ประทับขัดสมาธิราบ พุทธศิลป์ล้านนา สมัยหลัง ราวพุทธศตวรรษที่ 21 อันเป็นสมัยที่นิยมสร้างพระพุทธรูปด้วยหินสีต่างๆ เช่น หินสีขาวใส เรียกว่า แก้วน้ำค้าง หรือหินสีเหลือง เรียกว่าแก้วน้ำบุษย์

    ทรงเครื่องอาภรณ์ มงกุฎ กรองศอ พาหุรัดทองคำ และสังวาลประดับพลอยแดง สร้างถวายขึ้นใหม่ เดิมพระพุทธรูปชำรุดแตกเป็น 2 ส่วน เจ้าของเดิมได้มาคนละคราว แต่ก็สามารถต่อกันได้สนิทเป็นที่อัศจรรย์

    สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานแก่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร เมื่อปี พ.ศ.2534

    หลังจาก พ.ต.อ.อานนท์ อาขุบุตร และครอบครัว น้อมเกล้าฯ ถวาย

    หน้า 32


    ข่าวสดรายวัน วันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2554
     
  9. ศนิวาร

    ศนิวาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    7,337
    ค่าพลัง:
    +17,635
    ผมว่าเป็นความเชื่อที่ผิด ๆ ครับ ใครเป็นคนที่เอามาเผยแพร่หนอ

    ถึงจะกราบไหว้ทุกวัน ท่านก็กราบพระพุทธครับ ไม่ได้กราบเราสักหน่อย
    อย่ากังวลให้มากนัก ถ้าไม่อย่างนั้นพวกโบสถ์ ศาลา ต้นเสา ฯลฯ ที่เขาเขียนชื่อเอาไว้
    ก็เท่ากับว่า ท่านต้องกราบเขาเหล่านั้นทั้งหมดละซิ เพราะพระอยู่ในโบสถ์ ในศาลา

    คนโบราณท่านก็จารึกชื่อเอาไว้ที่ฐานพระเยอะแยะไป ท่านเขียนไว้เพื่อเตือนใจ เตือนลูกหลาน
    ในตระกูลว่า นี่คือสิ่งที่เราทำบุญทำกุศล เมื่อเห็นก็จะระลึกได้ว่าเราทำบุญทำกุศลใหญ่ ได้สร้างพระพุทธรูปถวายไว้ในพระศาสนา สร้างศาสนสถาน คนอื่นมาเห็นก็จะว่าเออ ท่านผู้นี้มีจิตเป็นกุศลได้บริจาคสร้างไว้ให้สาธุชนกราบไหว้ ก็จะอนุโมทนาสาธุ เกิดผลบุญนับเนื่องไปอีก




     
  10. guaregod

    guaregod เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    962
    ค่าพลัง:
    +1,009
    ในความคิดผม "ผมไม่คิดว่ามันไม่สมควร"

    "ก้อนหินที่ถือไว้มันหนักมั้ย ถ้าหนักทำไมไม่วางลง"
    บางอย่างถือไปไม่เกิดประโยชน์ ก็ปล่อยๆซะบ้าง
     
  11. Sir-Pai

    Sir-Pai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,157
    ค่าพลัง:
    +3,358
    อยู่ที่เจตนามากกว่าสำหรับผม ถ้ามิได้เจตนาให้พระสงฆ์ท่านมากราบก็ไม่มีทางบาปแน่นอนครับ

    และผมขอร่วมอนุโมทนาบุญนะครับที่ได้ร่วมสร้างพระพุทธรูป(พระประธาน) สาธุ ครับ
     
  12. ไมยราพ

    ไมยราพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2009
    โพสต์:
    495
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +201
    ไม่บาปหรอก เพียงแต่เจ้าของกระทู้ เกิดความกังวลใจ

    ตรงนี้ล่ะ ที่ทำให้บุญกุศลนั้นได้เศร้าหมอง เพราะจิตใจไม่ผ่องแผ้วต่อสิ่งที่ได้กระทำไป

    นั่นคือ เจตนาในการให้ทาน ไม่บริสุทธิ์หลังจากที่ได้ทำไปแล้ว แทนที่เมื่อระลึกถึงแล้วทำให้จิตใจโสมนัส ร่าเริง ยินดี กลับเป็นการกังวลไปเสีย

    นี้ล่ะคือ ลักษณะของจิตใจ หลังจากที่ได้กระทำกรรม

    สำหรับเจ้าของกระทู้ เพียงแต่มีจิตใจกังวลสงสัย หลังจากที่ได้กระทำกรรมดี
    ตรงนี้ก็เท่ากับเป็นการตัดทอนกำลังบุญกุศลของตนเอง

    หากเมื่อใดจิตใจนั้น ได้คลายความกังวลสงสัยลงได้ อาการสะดุดชะงักนั้น ก็จะคงเช่นเดิม
    เหมือนอย่างตอนที่ตั้งเจตนาไว้ก่อนจะทำ หรือในระหว่างที่ได้ทำแล้วนั้น<!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 พฤษภาคม 2011
  13. Sir-Pai

    Sir-Pai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,157
    ค่าพลัง:
    +3,358
    ขอให้เจ้าของกระทู้สบายใจได้นะครับ ไม่บาป แล้วก็เชิญอิ่มบุญได้เต็มที่ครับ

    ส่วนผมก็ขออนุโมทนานะขอรับ
     
  14. ศรีสุทโธ

    ศรีสุทโธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    201
    ค่าพลัง:
    +461
    ถูกต้อง และเหมาะสมแล้วครับ คำตอบนี้
    เพราะเป็นกุศโลบายของคนโบร่ำโบราณ ที่เค้าให้สลักชื่อไม่ใช่โปรโมท
    แต่เป็นการแสดงเชิงสัญลักษณ์ ให้คนมากราบไหว้ที่มีปัญญาหยั่งเห็นแล้ว
    ได้ร่วมอนุโมทนาบุญได้ไม่สิ้นสุด..ขออนุโมทนาบุญครับ

    ***ขออนุโมทนาบุญที่บิวและคุณแม่ได้ร่วมสร้างพระประธาน
    และกุศลน้อยใหญ่ที่ตั้งใจทำแล้วด้วยดีทุกประการคับ...
     
  15. Red people

    Red people เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +153
    ผมเคยร่วมบริจาคสร้างเจดีย์วัดธรรมมงคล และบริจาคมากจนเข้ากฎเกณฑ์ได้จารึกชื่อที่ฐานพระเจดีย์
    เคยร่วมทำบุญผ้าห่มองค์เจดีย์วัดต่าง ๆ แต่จะไม่เขียนชื่อลงบนผ้าเหลืองที่จะใช้ห่มองค์พระเจดีย์ เพราะต้องการให้เป็นสีเหลืองบริสุทธิ์เท่านั้น ไม่ต้องการให้เป็นหลากสีลวดลายต่าง ๆ จึงไม่เขียนชื่อด้วยปากกาที่กรรมการเขาจัดให้เขียน คือมีจิตศรัทธาร่วมบริจาคด้วยจิตใจบริสุทธิ์ครับ
     
  16. thongchat

    thongchat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    482
    ค่าพลัง:
    +2,195
    ไม่เห็นว่าจะบาปตรงไหน เจตนาของเราคือการสร้างพระประธาน ซึ่งเสร็จสมบูรณ์แล้ว เราก็ได้รับอานิสงค์เต็มแล้ว ไม่ต้องไปกังวลว่าจารึกชื่อหรือไม่ ผู้ที่มากราบไหว้เขาก็กราบไหว้พระ ซึ่งจะว่าไปแล้วจิตจำนงค์ของผู้ที่กราบไหว้ ก็มุ่งกราบไหว้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มิใช่องค์พระที่เป็นพระโลหะ ดังคำที่ว่า "กราบพระพุทธอย่าไปหยุดติดพระอิฐพระปูน กราบพระสงฆ์อย่าไปติดลูกชาวบ้าน" และแม้ว่าจะมีใครมาพบมาอ่านเจอเข้า เขาผู้เป็นสุจริตชนและมีสัมมาทิฏฐิมีแต่จะอนุโมทนากับผู้สร้างพระที่ได้จารึกนามไว้นั้นแล เอวัง.
     
  17. nopnaja

    nopnaja สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +16
    ไม่น่าจะบาปนะเรากราบองค์พระพุทธเจ้าต่างหากทุกคนที่กราบย่อมรู้อยู่แก่ใจ...ส่วนผู้ที่สร้างไว้ได้จารึกชื่อก็เพื่อมีผู้มาไหว้จะได้ร่วมโมทนาบุญกับผู้สร้างและอีกอย่างจะได้เป็นเกียติเป็นศรีแก่ตระกูลที่สืบทอดพระศาสนา อย่าคิดมากให้จิตพร่องเลยค่ะ...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  18. phrasantamano

    phrasantamano Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +53
    บาปนะไม่บาปหรอก แต่ว่ามันเป็นการทำบุญที่แฝงไปด้วยกิเลส (อวด) ก็ไม่ได้หนักหนาอะไรนะ มันเป็นธรรมดาของปุถุชนนะ ปุถุชนคนหนาชอบอวดเป็นปกติอยู่แล้ว ในสมัยพุทธกาลมหาอุบาสิกาวิสาขา หรือท่านอนาถ หรือท่านอื่น ๆ ท่านทำบุญก็ไม่ได้สลักชื่อลงไป มีแต่เจ้าเชต ที่ขอมีส่วนร่วมบริจาคที่นิดเดียว แต่ว่ามีข้อแม้ ต้องตั้งชื่อสวนเชตวันเป็นชื่อตัวเอง ในสมัยพุทธกาลใครทำบุญก็จะรู้กันเอาเอง และร่วมอนุโมทนากันเอง
    สรุปก็คือ ไม่บาป บุญทำเมื่อไหร่ได้บุญเมื่อนั้น นึกถึงบุญเมื่อไหร่ ใจอิ่มบุญเมื่อนั้น
    เป็นการทำบุญที่แฝงไปด้วยกิเลสนะ (กิเลสคือ ความอยาก..อยากให้คนอื่นรู้ว่าเป็นเรา เป็นของเราถวาย) เจริญพร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 7 มิถุนายน 2011
  19. Pim_Li

    Pim_Li ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    65
    ค่าพลัง:
    +20

    แบบนี้พระพุทธรูปบูชาหรือพระเครื่องทั้งหลายต่อให้ไม่ได้ปลุกเสก เพียงแค่เีรามีจิตที่รำลึกถึงพระพุทธเจ้าก็สามารถกราบไว้ได้เลยใช่มั๊ยคะ?
     
  20. เฮียปอ ตำมะลัง

    เฮียปอ ตำมะลัง ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย วุ่นวายทำไม ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    24,969
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +91,130
    [​IMG]
    ครั้งหนึ่ง สมเด็จฯ โต ได้ไปสวดมนต์ที่บ้านชาวเหนือ หรือ ปัจจุบันคือ “บ้านช่างหล่อ” เหตุที่ได้ชื่อว่าบ้านช่างหล่อ เพราะว่า เป็นชุมชนที่สร้างพระพุทธรูป นั่นเอง ที่บ้านนั้นเขาได้เอาหุ่นพระพุทธรูปมาตั้งผึ่งแดดไว้ ห่างจากทางเดินประมาณ ๒ ศอก…เมื่อสมเด็จฯ โต เดินผ่านมาเห็น เห็นพระพุทธรูป ท่านได้ก้มกายลง ยกมือประนมขึ้นเหนือศีรษะ พระและลูกศิษย์ที่มาด้วยเมื่อเห็นท่านไหว้ก็ไหว้ตาม ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่าไหว้ทำไม

    ครั้นเมื่อขึ้นนั่งบนบ้านเรียบร้อยแล้ว ผู้ช่วยเจ้าภาพซึ่งได้เห็นการกระทำของสมเด็จฯโต จึงเข้าไปกราบเรียนถามด้วยความสงสัย เพราะไม่เคยเห็นสมเด็จฯ ท่านทำมาก่อน สมเด็จฯท่านได้ตอบว่า “ที่ท่านยังไม่เคยทำมาก่อนนั้น เพราะท่านยังไม่เห็น เมื่อท่านเห็นจึงต้องทำ” แม้ท่านตอบอย่างนี้ก็ยังไม่สามารถคลายความสงสัยให้แก่ผู้ถามได้ ผู้ถามจึงถามอีกว่า

    พระพุทธรูปยังไม่ยกขึ้นตั้ง และยังไม่เบิกเนตร จะเป็นพระได้หรือขอรับ

    สมเด็จฯ ท่านจึงตอบว่า
    ความเป็นพระหรือไม่เป็นพระนั้ มันเริ่มตั้งแต่ผู้ที่ทำหุ่นยกดินก้อนแรกลงบนกระดานแล้ว เพราะผู้ทำตั้งใจจะทำให้เป็นองค์พระ ย่อมเป็นพระอยู่วันยังค่ำ แม้จะยังไม่ได้ผ่านการปลุกเสกก็ตามที

    การที่ท่านสอนเช่นนี้ ก็เพื่อให้เราอย่าได้ไปยึดติดกับการปลุกเสก พิธีกรรมต่าง ๆ การจะเป็นพระพุทธรูป หรือไม่นั้น ไม่ได้อยู่ที่การปั้นเสริมเติมแต่งขึ้นให้เป็นรูปร่าง แต่ขึ้นอยู่กับใจของเรา ว่า มีความเป็นพระอยู่ในใจด้วยหรือไม่ ถ้าเรามีใจเป็นพระทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเห็น ก็จะเป็นพระหมด ความเป็นพระนั้นมี ๒ อย่าง คือ

    ๑.พระโดยสมมติ คือ รูปสมมุติที่มนุษย์ได้สร้างขึ้น เพื่อเป็นที่สักการะบูชาให้ใจเราได้น้อมระลึกถึงพระพุทธองค์เพื่อเป็นพุทธานุสสติ

    ๒.พระโดยธรรม คือ ธรรมอันเกิดจากการประพฤติปฏิบัติน้อมเข้ามาในจิตในใจของเรา เป็นพระที่เกิดในใจ คือ การเข้าถึงความไม่เที่ยงแท้แน่นอนของสังขารทั้งหลายทั้งปวง ทำให้เรารู้จัก พอ รู้จัก ละ รู้จักปล่อย รู้จักวาง มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งอันประเสริฐ

    จึงขอฝากให้ท่านทั้งหลายพิจารณา ตามเหตุตามปัจจัยที่พึ่งจะมี เพื่อความเข้าใจ เพื่อความนอบน้อมในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อความเจริญในธรรมของสาธุชนทั้งหลาย…สาธุ

    ผู้เขียน: พระอาจารย์สายัณห์ ติกขปัญโญ

    http://palungjit.org/threads/~-ไหว้พระพุทธรูป-~.141281/




     

แชร์หน้านี้

Loading...