การสอนดูจิตที่เข้าใจผิดไปจากความเป็นจริงว่าจิตเกิดดับ

คุณโปครับ

คุณนี่แอบเนียนได้ทุกสถานการณ์เลยนะครับ เดี๋ยวเป็นหางเครื่อง เดี๋ยวก็เลอะวาระจิตคนอื่น แต่ไม่เคยดูตัวเอง

คุณไม่รู้จริงๆหรือว่าแกล้งไม่รู้ครับ ที่คุณปฏิบัติอยู่นั้นหนะ คือแนวปฏิบัติแบบกดข่มอารมณ์ตนเองขนานแท้เลยครับ

มีที่ไหนกัน เมื่อรู้ว่าอารมณ์เกิดให้พยายามรู้เฉยๆ เป็นไปได้หรือครับว่าปุถุชนคนหนาด้วยกิเลสจะรู้เฉยๆ

ล้วนมีอารมณ์ทั้งนั้นแหละครับ จะมากหรือน้อยเท่านั้น แต่กลับไปหลอกตัวเองว่าให้รู้เฉยๆ

แบบนี้เรียกว่ากดข่มมั้ยครับ??? ตกลงใครกันแน่ที่พยายามยกหินไปทับหญ้าครับ ยังไม่รู้ตัวอีก

น่าเห็นใจจริงๆเพราะถูกหลอกให้เชื่อว่าเป็นแบบนั้น ก็เชื่อโดยที่ไม่มีเหตุผลเลยนะครับ

คุณรู้จักสัมมาสมาธิมั้ยครับ??? ผมคาดว่าคงไม่รู้จักแน่นอน ถ้ารู้จักคงไม่เที่ยวเลอะวาระจิตคนอื่นหรอกครับ

สัมมาสมาธินั้น เป็นสมาธิที่เกิดจากการปล่อยวางอารมณ์ต่างๆออกไปได้ จิตจึงจะเป็นสมาธิครับ

รู้ไว้ด้วยนะครับ จะได้ไม่งมงาย เชื่อแบบตามๆกันมาว่าสมาธิต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้อีกนะครับ จำเอาไว้นะ

;aa24

 

คุณเต้าเจี้ยวครับ

คุณเมายาอะไรอยู่หรือเปล่าครับ

ที่ผมยกมาผมก็ยกมาทั้งคคห.นะครับ

ในคคห.นี้มีตกตรงไหนครับที่ขาดไปครับ

ถ้าจะขาด ก็ขาดแค่ตัวการ์ตูนไปเท่านั้นครับ

ผมต้องถามคุณมากกว่านะครับว่า "เล่นไรเหรอ"

;aa24

 

คุณเต้าเจี้ยวครับ

คุณไม่เข้าใจคำถามหรือว่าต้องการตอบแบบเลี่ยงคำถามกันแน่ครับ???

ผมถามว่า "ในอนัตตลักขณะสูตร พระสูตรที่ว่าด้วยเรื่องอนัตตาล้วนๆ มีตรงไหนครับที่กล่าวว่า

นิพพาน เป็น นิจจัง สุขัง แต่เป็นอนัตตา ที่ไหนครับเอามายืนยันด้วยครับ???"

แต่คุณกลับไปยกพระสูตรที่คุณคิดเองเออเอง ปะติดปะต่อกันเอาเองมาตอบนะครับ มันคนละเรื่องใช่มั้ยครับ???

แล้วตรงไหนครับ ที่พูดถึงจิตในแง่พระนิพพานธาตุ??? ผมก็เชื่ออย่างนั้นครับ

แต่พวกคุณเวลาขอหลักฐานอะไรจากผม พวกคุณต้องการที่เขียนตรงตัวเป๊ะๆเลยใช่มั้ยครับ???

ส่วนที่ยกมา อรรถกถาจารย์ วินิฉัยไว้ว่า "พระนิพพานเป็นอนัตตา" คุณไม่เข้าใจคำว่าวินิฉัยหรือครับ???

คำว่าวินิฉัย คือ คิดว่าเป็นอย่างนั้น หรือคาดคะเนว่าเป็นอย่างนั้นฯลฯ อาจเปลี่ยนแปลงได้ครับ

เพียงแค่นี้ คุณก็จะให้ผมเชื่อแล้วหรือครับ ผมคงต้องใช้หลักกาลามสูตรครับ ไม่เชื่อเพราะได้ฟังตามๆกันมาครับ

ลักษณะของอนัตตา ไม่ใช่ตน อะไรที่ไม่ใช่ตนนั้น ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ครับ มีพระสูตรรับรองไว้ครับ

คุณยกมาเองนะครับว่าพระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง ขัดกันเองมั้ยครับ???

;aa24

 

อ้างอิง:

<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ธรรมภูต
คุณเต้าเจี้ยวครับ

ถ้าคุณคิดจะมารวนเท่านั้น ไปสงบสติอารมณ์บ้างก็ดีนะครับ

ที่บอกว่าเนียน มันอันเดิมที่ไหนกันครับ คุณปรุงมันขึ้นมาเอง ใหม่ทั้งนั้นครับ

เมื่อจะให้ยกพระพุทธพจน์ จัดให้ครับ

"จิตของเราสิ้นการปรุงแต่ง บรรลุพระนิพพานเพราะสิ้นตัณหาแล้ว"

สะใจหรือยังครับ คงทำให้สงบสติอารมณ์ได้บ้างนะครับ


</TD></TR></TBODY></TABLE>

อ้างอิง:

<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ เต้าเจี้ยว
หากินแค่นี้เอง
แล้วตรงไหนบอกว่า นิพพานเป็นอย่างไรล่ะ
กรุณาอย่าหนีดีกว่า
เหอๆๆๆ


</TD></TR></TBODY></TABLE>

คุณเต้าเจี้ยวครับ

ใครจะยกพระพุทธพจน์มามากมายขนาดไหนก็ตาม พระนิพพานก็คือพระนิพพานครับ

คุณลักษณะหรือสภาพของพระนิพพานคือ ความสิ้นไปแห่ง ราคะ โทสะ โมหะ ชื่อว่าความสิ้นตัณหาครับ

หรือคุณจะให้พระนิพพานเป็นอะไรไปมากกว่านี้ครับ???

;aa24

 

คุณเต้าเจี้ยวครับ

คุณหัดพิจารณาตัวเองบ้างนะครับ

ใครกันแน่ครับ ที่แสดงคำว่าปัญญาอ่อนมาก่อนครับ???

คุณไม่รู้จักละอายผมก็ไม่ว่าอะไรนะครับ แต่ควรต้องมีสำนึกในการสนทนาครับ

พอคุณใช้มันก่อนผมก็ใช้ความพยายามในการคืนให้ครับ

;aa24

 

คุณเต้าเจี้ยวครับ

คุณจะกล่าวร้ายอะไรใครว่า ไม่ลืมตาดู หัดดูคำพูดตนเองบ้างนะครับ จะเข้าเนื้อตัวเอง

คุณพูดว่า "จะบอกให้ คนอื่นเวลาคิดเรื่องจิตเกิดดับ มันไม่ยากลำบากอะไรหรอก ทั้งเรียกให้ชัดเจนว่าจิตสังขาร"

จิตก็คือจิต จิตสังขารก็คืออาการของจิตที่แสดงออกเพราะถูกปรุงแต่งครับ

ตกลงคุณไม่เข้าใจคำว่าจิตสังขารนั่นเอง เมื่อไม่เข้าใจก็ไม่รู้จักอาการของจิต

จึงจินตนาการวกวนแบบจะให้คนอื่นผิดให้ได้ ทั้งที่ตัวเองผิดเองชัดๆ ยังจะดันให้ถูกไปให้ได้

จิตสังขาร เกิดจากคำสองคำมารวมกัน จิตธาตุรู้+สังขารสิ่งปรุงแต่งที่ถูกจิตรู้ครับ

เมื่อสิ่งปรุงแต่งที่ถูกจิตรู้ดับไป จิตจำเป็นต้องดับไปด้วยหรือครับ???

ถ้าดับไปจริง จะบอกได้อย่างไรว่า เมื่อครู่ที่ผ่านมาถูกอารมณ์เข้ามาปรุงแต่งครับ??? อบ่าบอกนะว่าเดาๆเอา

ถ้าอาการของจิตที่ถูกอารมณ์ปรุงแต่ง(สังขาร) ไม่เรียกว่าจิตสังขาร จะให้เรียกว่าอะไรครับ???

;aa24

 

คุณเต้าเจี้ยวครับ

ตกลงคุณไม่ตอบคำถาม แต่กลับปรุงแต่งคำพูดหยาบคาย ใส่ร้ายดูถูกดูหมิ่นผู้ร่วมเสวนาไล่หลังเสมอๆใช่มั้ยครับ???

คุณเพี้ยนไปหรือเปล่าครับ ผมชื่นชมตนเองตอนไหนครับ???

ที่ผมบอกก็เพื่อให้รู้ว่า การสนทนากันนั้นควรให้เกียรติคู่สนทนาครับ ไม่ควรเลือกใช้คำพูดที่ไม่สุภาพเท่านั้น

เมื่อใครใช้มาให้ผมก่อน เมื่อผมไม่ชอบ ผมก็ไม่รับ ผมก็ควรวางคืนให้เจ้าของพร้อมหีบห่อให้เรียบร้อยใช่มั้ยครับ???

คุณเคยสำนึกตัวเองบ้างมั้ยครับ??? ว่าเคยใช้คำพูดอะไรออกมาก่อนบ้างครับ

เมื่อโดนให้คืนบ้าง คุณกลับร้องโวยวายกล่าวหาคนอื่น โดยที่ไม่เคยดูตัวเองเลย แบบนี้เป็นคนใช้ไม่ได้ครับ

คุณไม่รู้ตัวจริงๆหรือครับว่า คุณเองที่เป็นคนเริ่มมันเอง ทั้งหยาบคายกลับกลอกไปมาก่อน

คุณอย่าอาศัยความเป็นผู้หญิงแล้วจะต้องถูกเสมอไปสิครับ

คุณไม่คิดจะให้เกียรติคู่สนทนาของคุณเลย แต่กลับต้องการรับเกียรตินั้น ฝันยังไม่เป็นจริงเลยครับ

คุณไม่ต้องเอาศีลข้อ๔ มาขู่เลยครับ หัดดูตัวเองบ้างว่ายังรักษาอยู่ครบหรือเปล่าครับ???

;aa24

 

เอาอย่างนี้คุณใช้อานาปานสติเป็นยังไง
ลองเล่าให้ผมฟังดู แลกเปลี่ยนกันครับ

 

ไม่มีช่องให้ฟ้อง แล้วนายจะมาพร่ามหาพระแสงอะไร
นายยก กม.รัฐธรรมนูญขึ้นมาทำไม อ้างว่าจะตรวจสอบ
การตรวจสอบมันต้องมีกรรมการ แล้วอะไรจะดีไปกว่าศาลสถิตย์ยุติธรรม

ก็คนไม่ได้ทำผิดอะไร กฎหมายที่ไหนจะมาเอาผิด
แต่คนที่อ้างกฎหมาย มาว่ากล่าวคนอื่น มันผิดเต็มประตู
ข้อหาหมิ่นประมาทด้วยวิธีการพิมพ์โฆษณา

คนปากดีมันไม่ใช่คนเก่งหรอกนะไอ้น้อง คนจริงเวลามีเรื่อง
ต้องอยู่แถวหน้า ไม่พอมีเรื่องก็อ้างโน้นอ้างนี้ น้ำเสียงอ่อน
แต่ก็ยังไม่คลายความอวดดี

เรอะ! ไม่รู้เรื่องกฎหมาย เราทำอาชีพอะไร
เราเรียนจบอะไรมา นายรู้หรือเปล่า
ที่ว่าขู่นะ นายลองเอาชื่อกับที่อยู่มาสิ แล้วก็จะรู้ว่าขู่มั้ย
เว็บนี้เล่นได้ อ่านได้ทั่วโลก จะให้เพื่อนๆสมาชิก ช่วยกันฟ้องให้
ทั่วทุกจังหวัด ดูซิจะอวดเก่งมั้ย

คนที่มีสิทธิ ก็คือคนที่ตอบโต้นายว่าลามปาม เพราะเขามีสิทธิแก้
ข้อกล่าวหาของนาย

แต่สำหรับนาย ที่อ้างสิทธิกมรัฐธรรมนูญ มาว่ากล่าวคนอื่น
นายจะต้องรับเอาความรับผิดชอบไปด้วย ไม่ใช่นึกจะว่าใครก็ว่า
แบบนี้มันไปละเมิดสิทธิผู้อื่น

ผู้แทนที่มีหน้าที่ อภิปรายในสภา ยังต้องรับผิดชอบต่อคำพูดที่ไป
ล่วงละเมิดบุคคลที่สามเลย

คนที่กลัวก็เป็นนายนั้นแหล่ะ ถ้านายแน่จริงนายต้องกล้า
ไปพิสูจน์กันที่ศาล จะได้รู้ว่ากล้าหรือไม่กล้า
แล้วมันเป็นความเห็นของนายเอง ที่ให้มีการพิสูจน์

แล้วที่บอกว่า เผยแพร่ธรรมะปลอมๆน่ะ ว่าใครว่าตัวเองหรือเปล่า
ที่ว่าจอมปลอม เอาอะไรเป็นหลัก เห็นนายโม้ว่า ทำได้ เป็นได้สาระพัด
แล้วหลักฐานอยู่ไหน

นายเที่ยวได้ว่าชาวบ้านเขา เป็นหนอนแทะตำรา อ้างตำรา
ก็แสดงว่า เขาเอามาจากตำรา
ที่พวกพระเณรสอบเอาเปรียญกัน ไม่ใช่เอามาจากตำราหรอกหรือ
ฉะนั้นนายเอากลับไปคิดใหม่ว่า อันไหนของจริงของปลอม

 

พะโล้เรามีปัญหาจะถามนาย เป็นเรื่องเกี่ยวกับกฎหมายเรื่องหมิ่นนี้แหล่ะ
เหตุการณ์มันก็เรื่องที่เกิดในเว็บนี้ และมันเกิดกับนายเอง
คืออยากรู้ว่าจะสามารถฟ้องร้องว่าหมิ่นประมาทได้หรือไม่

พวกเรารู้เรื่องนี้กันดีว่า นายถูกสมาชิกหลายคนในนี้
วิจารณ์เกี่ยวกับตัวนายหลายเรื่อง อาทิเช่น
๑. ชอบโกหก พูดอะไรแล้วก็ไม่ทำตามคำพูด(ผิดศีลข้อ๔)
๒. ชอบไปยุ่งกับหญิงที่มีครอบครัวแล้ว(ผิดศีลข้อ๓)

สมมุติว่าเรารู้จักตัวตนกันจริงๆ
เราอยากให้นาย ช่วยพินิจวิเคราะห์ดูว่า สามารถเอาความ
ในข้อหาหมิ่นประมาทกับผู้ที่วิจารณ์นายได้หรือไม่
เอางี้เป็นเราก็ได้ เพราะเราชอบวิจารณ์นายในเรื่องนี้อยู่แล้ว
นายเอาผิดเราในข้อหาหมิ่นได้หรือไม่

 

อ้อ ตกลงเป็นเราที่โวยวายนะ ใครๆ อ่านดูก็รู้เนอะ เหอๆๆ

ส่วนเม้นท์อื่นเราว่าซ้ำแล้ว จึงไม่กล่าวซ้ำ
ขอบคุณที่มาตอบเพื่อย้ำความเป็นคุณอีก
ใครจะเชื่อคุณเราก็ไม่ได้ห้าม
แต่เรามาแสดงทัศนะเพื่อมุมมองที่กว้างขึ้น
และคิดว่ามากมายเพียงพอที่คนอ่านจะตัดสินใจได้

น่าสนใจนะ
แล้วคุณคิดว่าจิตนิพพาน เป็นตัวรู้อาการของจิต
หรือว่าจิตสังขารเองที่เป็นตัวรู้อาการของจิต
ถ้าจิตนิพพานรู้อาการของจิต จะต่างอะไรกับจิตสังขาร
ผู้รู้(สติ) อยู่ที่ใด

ไม่มีใครว่าจิตนิพพานดับ (นิพพานธาตุ ในอภิธรรมไม่เรียกจิต)
เพราะไม่มีการเกิดและการดับ ไม่มีการมาและการไป ฯลฯ
ในพระสูตรที่ยกมาก็พูดค่อนข้างมากอยู่แล้ว

สำหรับเรื่องนี้ไม่มีเดา
ส่วนเรื่องอื่นอะไรที่ไม่ทราบจะบอกเลยว่าไม่ทราบ

เราไม่ได้ถามและคงไม่ตอบ
ที่ไม่ตอบ เพราะยกคำสอนของหลวงปู่หล้ามาหลายรอบมากแล้ว
และนั่นเป็นสิ่งที่พระโฆษาจารย์กล่าว ซึ่งก็เคยยกมาแล้วเช่นกัน
ยกมาอีก ก็คงโต้กันซ้ำซากเดิมๆ

คงสมควรแก่เวลาเท่านี้


:boo:

 

จะหาเวลาไปตั้งกระทู้
ถ้าสนใจก็ไปคุยที่กระทู้นั้นได้

:boo:

 

เออ..เราไปหมิ่นประมาทใครที่ไหนวะ
รำคาญว่ะ....

ไปฟ้องเถอะ
เดี๋ยวโดนแจ้งความเท็จกลับแน่ล่ะ...

 

ความเป็นบุคคลของเตชพโลในทางกฎหมายยังไม่มีเลย
นายจะถามทำไมให้มันเรื่องมากวะ

เราก็อธิบายไปหมดแล้วเรื่องพวกนี้
เราก็ไม่ได้โกหกอะไร ผู้หญิงเค้าก็ยังโสด
รำคาญ...ว่ะ

 

ฮ่า ฮ่า ฮ่า ยกเรื่องจริงเป็นอุทาหรณ์ ถึงกับเป็นฟืนเป็นไฟเลยหรือ
คนที่เรื่องมากก็คือนาย มีอย่างที่ไหน เล่นถึงรัฐธรรมนูญเลยว่อย
อินมากไปหรือเปล่าพะโล้

พยายามระงับอารมณ์ไว้บ้างก็ดีนะ เดี๋ยวจะพล่ามมาอีกว่า
"จะไม่เห็นผมในเว็บนี้อีกแล้ว"พะโล้จะบอกให้นะ
นายนี้ไร้ราคาจริงๆ

เรื่องผู้หญิงก็เหมือนกัน ที่แรกเห็นเถียงกับชาวบ้านว่า
เป็นเรื่องไม่จริง พอโดนขุดคุ้ยเข้า ก็โยนความผิด
ให้ผู้หญิงว่า มาชอบนายเอง ตอนนี้มาบอกว่า ผู้หญิงยังเป็นโสด
นายนี้มันแมนจริงๆ ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ


พะโล้มีคำพูดไหนของนายที่พอเชื่อถือได้บางหา
อันที่จริงไม่ใครเขาอยากยุ่งเรื่องไม่ดีของนายหรอก
ถ้านายไม่ไปแกล้งเหยียบหัวแม่เท้าชาวบ้านเค้า

 

" ดูจิตอย่างเดียวพอไหม "

[MUSIC]http://palungjit.org/attachments/a.1042249/[/MUSIC]

พระอาจารย์อนันต์ วัดมาบจันทร์ จ.ระยอง
เทศนาเมื่อ 31/10/50 จากซีดีชุด " ศรัทธานำพาสุข "









นามเดิม : อนันต์ จันทร์อินทร์
บิดา : ฟุ้ง จันทร์อินทร์
มารดา : เสงี่ยม จันทร์อินทร์
เกิด : วันที่ ๓๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๙๗ ปีมะเมีย ที่ ต. บ้านครัว อ. บ้านหมอ จ. สระบุรี
เป็นบุตรคนที่ ๓ จำนวน ๕ คน

อุปสมบท : ได้ศึกษาถึงระดับ ปวช. สาขาวิชาพาณิชยกรรมทำงานอยู่บริษัทปูนซิเมนต์ไทย จนอายุย่างเข้า ๒๒ ปี ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา ณ พระอุโบสถวัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี โดยมีพระโพธิญาณเถร ( ชา สุภทฺโท ) เป็นพระอุปัชฌาย์ เมื่อวันที่ ๓ กรกฏาคม ๒๕๑๙
การศึกษาปฏิบัติธรรม : เมื่ออุปสมทบเป็นพระภิกษุแล้ว ได้อยู่ศึกษาปฏิบัติธรรม ตลอดจนข้อวัตรปฏิบัติ กับหลวงปู่ชาอย่างใกล้ชิดเป็นเวลาหลายปี ในระหว่างนี้ หากมีเวลาว่างก็ออกจาริกธุดงค์ ไปตามจังหวัดต่างๆ จนได้รับความสงบเยือกเย็น และสัมผัสรสของธรรมะ อันเป็นสภาวะแห่งธรรมชาติ เมื่อปี ๒๕๒๔ ท่านได้มาช่วยสร้างสำนักสงฆ์ที่ อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี และต่อมาเมื่อ วันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๒๗ ก็ได้มาบุกเบิกสร้างสำนักสงฆ์สุภัททะบรรพต หรือวัดมาบจันทร์ จนถึงปัจจุบันและได้รับการแต่งตั้งเป็น เจ้าอาวาส เมื่อปี ๒๕๓๙

ปัจจุบัน : เมื่อวัดมาบจันทร์ มีความเจริญมั่นคงขึ้นเรื่อยๆ ได้มีผู้มีจิตศรัทธาถวายที่ดินในจังหวัดต่างๆ เพื่อสร้างเป็นสำนักสาขา โดยอยู่ในความดูแลของท่านพระอาจารย์อนันต์ มีทั้งที่จังหวัดชลบุรี ระยอง นครราชสีมา ตราด เพื่อให้พระเณรได้มีโอกาส เปลี่ยนสถานที่ภาวนาตามจริตนิสัยของตนเอง

>เว็บไซต์ วัดมาบจันทร์ คลิ๊กที่นี่<

 

คุณเต้าเจี้ยวครับ

เพิ่งรู้ตัวหรือครับว่าเป็นคนชอบโวยวายคนอื่นก่อนนะครับ เหอๆๆ

ส่วนเรื่องเมนท์นั้น พอคุณเลี่ยงที่จะไม่ตอบ จะกลายเป็นเรื่องซ้ำซากไปทันทีใช่มั้ยครับ???

แน่นอนครับ ความเชื่อความศรัทธาห้ามกันไม่ได้หรอกครับ เป็นสิทธิส่วนบุคคลครับ

ตกลงคุณแสดงทัศนะ หรือท่านอรรถกถาจารย์ครับที่เป็นคนแสดงทัศนะครับ???

;aa24

 

คุณเต้าเจี้ยวครับ

แบบนี้เข้าข่ายซ้ำซากมั้ยครับ??? ไม่เป็นไรครับ เมื่อกล้าถามมาก็จะตอบครับ

อ้อ!!! ใช่ลืมไป เมื่อคุณอยากถามอยากตอบแล้วละก้อ ไม่มีเรื่องอะไรที่ซ้ำซากใช่มั้ยครับ???

มีอะไรที่ไม่ใช่เรื่องซ้ำซากบ้างครับในบอร์ดนี้??? ผมเห็นแต่เรื่องซ้ำซากทั้งนั้นแหละครับ

อย่าลืมนะครับว่า ถ้ายังมีคำถามใหม่ๆที่ยังไม่หายสงสัยเกิดขึ้น จะมาอ้างว่าซ้ำซากไม่ได้นะครับ

คุณบอกว่า "จิตนิพพานดับ" ผมถามว่าอะไรหละครับที่ดับไป???

จิตดับไป หรือ อุปกิเลสทั้งหลายดับไปจากจิตครับ???

พระนิพพาน คือ สภาวะที่จิตมีความสิ้นไป ความดับไป แห่งราคะ โทสะ โมหะใช่มั้ยครับ???

ควรเข้าใจเสียใหม่นะครับ จิตที่บรรลุพระนิพพานนั้น

ย่อมรู้จักอาการของจิตนะครับ ไม่ใช่รู้อยู่ที่อาการของจิตครับ

ถ้ายังรู้อยู่ที่อาการของจิตก็ยังเป็นจิตสังขาร(ขาดสติ)

ไม่ใช่วิสังขาระ คะตัง จิตตัง(มีสติอย่างต่อเนื่อง)ใช่มั้ยครับ???

จิตปุถุชน
ปรุงแต่งไปตามอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดทั้งหลาย
เกิดอาการของจิตที่เนื่องด้วยอารมณ์เหล่านั้นเกิดขึ้นเรียกว่า จิตสังขาร (จิตปรุงแต่ง)

จิตพระอรหันต์
ไม่ปรุงแต่งไปตามอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดทั้งหลาย
ไม่เกิดอาการของจิตที่เนื่องด้วยอารมณ์เหล่านั้นเกิดขึ้นเรียกว่า จิตเป็นวิสังขาร (จิตสิ้นการปรุงแต่ง)
จิตสิ้นการปรุงแต่งอย่างสิ้นเชิง คือ จิตสิ้นตัณหา คือจิตสิ้นไป ดับไปแห่งราคะ โทสะ โมหะ
ความสิ้น ความดับไปแห่งราคะ โมหะ โมหะ คือ อมตะ คือ สภาวะพระนิพพาน นั่นเอง

ที่คุณบอกว่า ยกของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ และท่านพุทธโฆษาจารย์มานั้น

ถ้าผมมีข้อสงสัยในคำสอนเหล่านั้น ผมก็มีสิทธิ์ถามใช่มั้ยครับ???

เมื่อคุณยกมา เพื่อนำเสนอ คุณก็ต้องมีหน้าที่รับผิดชอบ ที่จะต้องตอบใช่มั้ยครับ???

จะมาอ้างว่าเป็นการโต้เถียงซ้ำซาก ก็ไม่ถูกต้องนักใช่มั้ยครับ???

;aa24