การสอนดูจิตที่เข้าใจผิดไปจากความเป็นจริงว่าจิตเกิดดับ

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 5 มิถุนายน 2010.

  1. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    คุณบุญฯครับ

    อ้าว คุณถามแบบนี้ แสดงว่าคุณไม่เชื่อสินะ ว่าท่านพระอรหันต์นั้นมีอยู่จริงใช่มั้ยครับ???

    ท่านพระอรหันต์ ท่านรู้อยู่ที่รู้ อารมณ์จะเกิดก็เกิดไป อารมณ์ปรุงแต่งท่านไม่ได้แล้วใช่มั้ยครับ???

    เพราะรู้อยู่ที่รู้ใช่มั้ยครับ??? จิตท่านไม่ได้ไปรู้อยู่ที่เรื่องราวต่างๆใช่มั้ยครับ???

    ส่วนปุถุชนนั้น เพราะรู้อย่างเดียวเช่นกันครับ ไม่ใช่รู้บ้างไม่รู้บ้างนะครับ แต่รู้ผิดไปจากความเป็นจริง

    ไม่ได้รู้อยู่ที่รู้ ดันชอบที่จะไปรู้อยู่ที่เรื่องราวอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดต่างๆที่เกิดขึ้น เพราะขาดสติใช่มั้ยครับ???

    ;aa24
     
  2. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    คุณบุญฯครับ

    คุณต้องตอบก่อนนะครับว่า ที่ร่างกายแสดงอาการออกมานั้น เพราะจิตสั่งการใช่มั้ยครับ???

    แล้วคนที่กำลังโกรธอยู่ แต่ไม่มีการแสดงออกมาทางร่างกายก็มีใช่มั้ยครับ??? เพราะอะไรครับ???

    ทำไมสภาพของจิตเป็นอย่างหนึ่ง แต่บังคับให้ร่างกายแสดงออกอีกอย่างหนึ่งได้หละครับ???

    ;aa24
     
  3. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    คุณบุญฯครับ

    อย่าเพิ่งรีบด่วนสรุปเอง เออเองก็ได้นะครับ เพราะคุณยังตอบไม่เคลียร์ครับ

    อารมณ์รัก ชอบ ชังมาจากไหนครับ??? เกิดขึ้นมาเองลอยๆก็ได้ด้วยหรือครับ???

    แล้วคนที่กำลังข่มเหงคนอื่นอยู่หละครับ โดยแสดงอาการกอด หอมแก้มนั้น ทำด้วยความรักหรือความใคร่ครับ???

    ถ้าไม่ใช่เพราะคุณไปเห็นสิ่งที่ถูกใจหรือไม่ถูกใจก่อนใช่มั้ยครับ???

    จึงได้เกิดอาการของจิต แสดงความรัก ชอบ ชัง ซ้อนขึ้นมาอีกทีใช่มั้ยครับ???

    อย่าเอาเพียงการแสดงออกทางร่างกายที่พบเห็นเป็นข้อมูลในการสรุปสิครับ

    ต้องดูที่จิตใจเป็นหลักใช่มั้ยครับ???

    ซึ่งการแสดงออกมานั้น อาจเป็นสิ่งจอมปลอม ที่จิตพยายามสร้างขึ้นมาหลอกลวงให้คนเห็นเป็นอย่างนั้นก็ได้ใช่มั้ยครับ???

    หรือว่าไม่จริง บางคนที่ถูกชังแทบตาย ก็ยังมีคนแสดงอาการลูบหน้าลูบหลังรักปานจะกลืนกินก็มีใช่มั้ยครับ???

    ;aa24
     
  4. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    คุณบุญฯครับ

    คุณพูดง่ายดีนะครับ คุณตอบตามทิฐิของคุณก็ถูกต้องแล้วนิครับ ย่อมต้องไม่ตรงกับทิฐิของผมแน่นอน

    แต่ประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่า คำตอบเหล่านั้นสมเหตุสมผลหรือไม่ต่างหากนะครับ

    ไม่ใช่ตอบเพื่อให้จบๆหรือพ้นตัวไปทีๆเท่านั้น

    ต้องรับผิดในคำพูดเหล่านั้นด้วย จึงจะเรียกถกธรรมเพื่อค้นหาสัจจธรรมความจริงครับ

    ;aa24
     
  5. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    คุณบุญฯครับ

    คุณต้องเข้าใจเรื่องปัจจุบันธรรมเสียใหม่นะครับ

    ปัจจุบันธรรมนั้น คือธรรมที่ไม่ใช่อดีต ไม่ใช่อนาคต ไม่มีข้างบน ไม่มีข้างล่าง
    ไม่มีข้างซ้าย ไม่มีข้างขาว ไม่มีข้างหน้า ไม่มีข้างหลังครับ

    ส่วนที่คุณพูดถึงนั้น ถ้าจะเรียกให้ถูกต้องแล้ว ควรเรียกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเฉพะหน้าเท่านั้นครับ

    เพราะคุณพูดกับผมเสร็จ ก็กลายเป็นอดีตไปแล้วนะครับ คุณยังกล้าเรียกว่าปัจจุบันอีกหรือครับ

    ที่คุณพูดมาข้างบนแสดงว่าคุณกำลังโกหกผมหรือเปล่าครับ???

    คุณบอกคุณไม่รู้ว่าอาการอยากมาเมื่อไหร่? เมื่อคุณบอกว่าไม่รู้ แล้วคุณเลิกบุหรี่ได้อย่างไรครับ???

    อย่าบอกนะครับว่ามันเลิกของมันเอง โดยไม่รู้เลยว่ามันเลิกได้อย่างไร???

    เพราะคุณเคยพูดไว้ว่า คนติดสุราคุณห้ามได้เฉพาะกายเท่านั้น ถ้าจิตใจยังอยากอยู่ เค้าก็หันกลับดื่มอีกเช่นเคย

    แสดงว่าคุณ ตอบเพียงเพื่อเอาชนะคะค้านเท่านั้นเองนะครับ

    คุณพูดได้อย่างไรครับว่ามารู้เอาตอนอยากดับไปแล้ว เป็นไปได้หรือครับ???

    ขนาดจิตมันอยาก คุณยังไม่รู้เลย แล้วคุณรู้ได้อย่างไรครับ ว่าอาการที่ดับไปนั้น เป็นความอยาก???

    แล้วที่คุณพูดว่าอยากเกิดและอยากดับนั้น ความอยากที่ว่านั้นมันเกิดขึ้นที่ไหน? กายหรือที่จิตครับ???

    ;aa24
     
  6. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    คุณบุญฯครับ

    คุณพูดมานั้น คุณเคยลองพิจารณาจริงๆจังๆมั้ยครับ???

    ของที่มันเกิดดับอยู่เป็นประจำของมันอยู่แล้ว คุณจะทำยังไงหรือครับเพื่อไม่ให้มันเกิดดับได้

    คุณพูดในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้อยู่นิครับ ก็ของมันเป็นของที่ต้องเกิดดับอยู่แล้วเป็นประจำของมัน

    ของที่จะไม่เกิดดับได้นั้น ต้องเป็นของที่มีเพียงอาการเกิดดับไปตามอารมณ์และผัสสะเท่านั้นใช่มั้ยครับ???

    ตัวมันเองต้องไม่เคยเกิดดับไปตามด้วยเลย
    รู้อยู่ว่าที่เกิดดับไปนั้นคือ อารมณ์เกิดขึ้นที่จิต ดับไปจากจิตตามผัสสะนั้นๆ

    ;aa24
     
  7. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    คุณบุญฯครับ

    แล้วคนที่ควบคุมไม่ให้กายแสดงออกหละครับ??? มีมั้ย???

    เมื่อมีอารมณ์โกรธ ใครครับที่มีอารมณ์โกรธ กายหรือจิตครับ???

    ;aa24
     
  8. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    คุณบุญฯครับ

    เราปฏิบัติทางไหนครับ ทางกายหรือทางจิตครับ

    มันก็ยังกลับมา กลับมาเกิดที่กายหรือที่จิตครับ

    ปุถุชนกับพระอริยเจ้า ต่างกันที่ไหนครับ ที่กายหรือที่จิตครับ

    ;aa24
     
  9. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    ก็ท่านเป็นซะแบบนี้ไงครับ ผมถึงต้องจั่วหัวไว้ก่อน
    ก็แค่ขอให้ท่านเข้าใจตัวผม ก่อนที่จะเริ่มสนทนา ท่านยังไม่ยอม
    ประเภทปะฉะดะ นี้มันไม่ใช่ประเด็นที่เราจะมาเถียงกันเลย แต่เอา
    เมื่อมันเป็นประเด็นแล้วก็ขอเล่าแจ้งแถลงไขเสียหน่อย

    ผมก็ไม่รู้นะว่าท่านเข้าใจหลักการสนทนาหรือเปล่า
    การพิจารณาคดีในศาลหรือแม้กระทั้งการโต้วาที
    มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับคู่สนทนา เป็นผู้ชี้ผิดถูก มีเหตุผลไม่มีเหตุผล
    มันต้องให้ผู้อื่นตัดสินครับ

    ท่านกรุณาทำความเข้าใจเสียใหม่ ที่ผมบอกว่าให้ยอมรับคือ
    การยอมรับว่าอีกฝ่ายได้ตอบแล้ว จะผิดถูกหรือจะมีเหตุผลมั้ย
    มันคนละเรื่อง มันไม่ใช่หน้าที่ของคู่สนทนาจะมาตัดสินครับ

    ท่านไปดูหรือหาของเก่าที่เราสนทนากัน คหของผมส่วนใหญ่จะอธิบาย
    พร้อมทั้งยกตัวอย่างประกอบด้วย แล้วก็เป็นส่วนใหญ่อีกเหมือนกันที่ถูกท่าน
    อารมณ์เสียกลับมาแถบทุกครั้ง

    เหตุผลหรือความจริงที่ท่านว่า มันเป็นเหตุผลใครความจริงของใครกันครับ
    มันไม่ใช่เรานะครับที่จะมาตัดสิน มันต้องให้คนอื่นเขาดูเขาตัดสินกันเองว่า
    จะเชื่อใคร

    ที่ท่านว่าตอบแบบขอไปที่ ถ้าท่านเห็นว่าการอธิบายความแบบภาษาง่ายๆ
    พร้อมยกตัวอย่างประกอบ เป็นการตอบแบบขอไปที
    แล้วการที่ท่าน อธิบายความโดยการยกเอา ข้อความที่ชาวบ้านอ่านแล้ว
    ยังต้องตีความมาอ้าง แบบนี้ท่านเรียกอะไรกันครับ พุทธพจน์ที่ท่านชอบอ้าง
    บ่อยๆชาวบ้านอย่างผมต้องตีความนะครับ

    สรุปคำว่า เซ้าซี้คือการ ย้ำถามซ้ำซากจำเจ เพื่อที่จะให้อีกฝ่าย ยอมรับ
    ความเห็นหรือความคิดตัวเองครับ
     
  10. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    ตอบแบบไม่ต้องไปขยายความนะครับ
    ที่ผมตอบไปก่อนหน้า ความหมายมันคือ กรรมที่เราทำไม่ว่าจะใจเป็น
    ผู้สั่งให้ทำ เมื่อทำลงไปแล้ว จิตไม่ไปยึดเหตุการณ์นั้นไว้ การชดใช้
    กรรมที่ท่านว่า ก็คงไม่มี

    ที่ท่านบอกว่า "สัตว์โลก(จิตผู้ติดข้องในอารมณ์) ย่อมเป็นไปตามกรรม"ใช่มั้ยครับ???(พระพุทธพจน์) ก็ถูกแล้วไง
    มันก็เหมือนที่ผมบอกว่า ผมไม่เชี่อว่ากรรมชาตินี้ชาติหน้า ถ้าจิตไม่ไปยึดติด
    กับเหตุที่เกิด มันก็ไม่มีกรรมหรอกครับ ไม่เช่นนั้นองคุลีมาล จะสำเร็จได้ไง
    ครับ
    เอาแบบนี้นะครับ ท่านบอกว่ากายของท่านท่านเป็นเจ้าของถือ
    ครองอยู่
    ถามจริง เวลาท่านตาย จิตท่านแตกดับไปพร้อมกับกายด้วยหรือไม่ครับ
    ในทางพุทธศาสนา เมื่อกายเน่าเปลือยผุพังไป จิตก็ยังคงอยู่
    ถ้าท่านถือครองเป็นเจ้าของ ทำไมไม่รั้งกายเดิมนี้ไว้กับจิต

    ผมเห็นมีแต่ การครอบครองหรือความเป็นเจ้าของ ผู้ที่ครอบครองไปก่อน
    สิ่งที่ครอบครองยังอยู่
    ผมเห็นมีแต่ท่าน บอกเป็นเจ้าของ แต่ของนั้นไปไหนแล้วไม่รู้

    แต่สิ่งที่เรามาอาศัยอยู่ วันดีคืนดี เราก็ต้องจากมันไป ก็เหมือนกับกายเรา
    จิตกับกายต้องจากกันซักวันหนึ่ง
    ผมไม่ได้บอกว่าผมถือครองหรือเป็นเจ้าของ ผมบอกว่าผมเป็นผู้อาศัย
    ที่ท่านว่า ไม่ได้เป็นเจ้าของคนอื่นก็มาไล่ได้ใช่ครับ ก็เหมือนกับการอาศัยบ้าน
    เขาอยู่ เขาจะไล่เราเมื่อไรก็ได้
    แต่ถ้าเปรียบตัวเรา กายเป็นบ้าน จิตเป็นผู้อาศัย มันมีผู้ที่จะมาไล่จิตก็คือ..
    วัฏฏะสงสาร หรือเอาทางโลกหน่อยก็คือโรคภัยไข้เจ็บครับ
     
  11. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    อันนี้ปัญหามันอยู่ที่ว่า ท่านว่าจิตเป็นผู้รู้ รู้อย่างเดียว
    แล้วตอนที่เกิดอารมณ์ เกิดการปรุงแต่ง ไอ้จิตผู้รู้นี้
    มันหายไปหรือไปอยู่เสียที่ไหนครับ???
     
  12. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    ผมเห็นด้วยเป็นอย่างมากเลยครับ ที่ท่านจะเอาหลักฐานหรือของเก่า
    มาพิสูจน์ มันเป็นหลักการของผมเลยที่เดียว แล้วมันเป็นเหตุที่ผมเคย
    กล่าวชวนท่านมาสนทนาที่กระทู้อื่น และยังให้เหตุผลว่า คหเยอะหา
    หลักฐานยาก
     
  13. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    ปัญหามันอยู่ที่ท่านบอกจิตเป็นผู้รู้ ธาตุรู้ รู้อย่างเดียว
    แล้วที่ท่านพูดมามากมายกายกอง จิตไปอยู่ที่ไหนครับ
     
  14. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    อันนี้ก็เป็นอีกอันครับ ที่แสดงให้รู้ว่าทิฐิเราไม่เหมือนกันอย่างสิ้นเชิง
    ทิฐิของท่านมันก็ส่วนท่าน แต่ของผม การแสดงคำตอบเพื่อให้จบเร็วๆ
    คือการ อ้างคำพูดครูบาอาจารย์และอ้างพุทธพจน์ครับ
     
  15. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    ในคหนี้ท่านอย่าว่าผมเลือกตอบเลยนะครับ เพราะผมเกิดการสับสนกับคหท่าน
    เอาเป็นว่าท่านไป แยกประเด็นมาแล้วเรามาคุยกันให้เคลียร์ในแต่ละคำถาม
    เลย ท่านพิมพ์หรือเขียนมาในลักษณะนี้ผมงงครับ

    ที่ท่านบอกว่า"คุณพูดได้อย่างไรครับว่ามารู้เอาตอนอยากดับไปแล้ว เป็นไปได้หรือครับ???
    ขนาดจิตมันอยาก คุณยังไม่รู้เลย แล้วคุณรู้ได้อย่างไรครับ ว่าอาการที่ดับไปนั้น เป็นความอยาก???

    ก็เพราะ ตัวรู้มาแทนที่ ความอยากไงครับ

    แล้วที่คุณพูดว่าอยากเกิดอยากดับนั้น ความอยากที่ว่าเกิดที่ไหน
    กายหรือจิต???

    ก่อนอื่นท่านตรงรู้นะครับว่า ทิฐิของผม จิตไม่เที่ยงเกิดดับนะครับ
    จิตเป็นสถาวะแปลเปลี่ยนได้ ฉะนั้นความอยากเป็นสภาวะหนึ่งที่เรียกว่าจิตครับ
     
  16. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    คำถามนี้เห็นจะต้องตอบซ้ำว่า ทิฐิของผมคือ จิตไม่เที่ยงเกิดดับครับ
    ถ้าท่านลองยึดหลักตามผมแล้ว คำถามของท่านคงไม่ต้องถาม

    ที่สำคัญท่านจะพิจารณาอะไร ท่านจะเอากายมาเป็นองค์ประกอบด้วยทุกครั้ง
    ความรู้สึกที่ได้ มันเลยดูเหมือนจิตกำลังดูที่ท่านเรียกว่าอาการ ที่แท้มันเป็น
    ความรู้สึกที่มีต่อกายเท่านั้น

    แล้ววิธีไม่ให้เกิดดับ อันนี้กำลังพยายามอยู่ครับ แต่ก็มีคนทำได้นะครับ
    ที่เขาเรียก อรหันต์ ไงครับ
     
  17. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    มีครับควบคุมไม่ให้กายแสดงออก ถ้ายังอยู่ภายในก็ยังเรียกว่าอารมณ์
    แต่ถ้าแสดงออกมาทางกายเมื่อไร เรียกอาการครับ

    จิตเป็นผู้มีอารมณ์โกรธ กายแสดงอาการอะไรออกมานั้นเป็นการปรุงแต่ง
    ของจิตครับ
     
  18. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    การปฏิบัติปฏิบัติที่กาย หรือที่เรียกว่าอายตนภายใน ปฏิบัติเพื่อโน้มนำจิต
    การปฏิบัติที่กาย ผลที่ได้อยู่ที่จิตครับ

    ที่ว่า"ยังกลับมาเกิด" มันได้ทั้งจิตมาเกิดที่จิตและจิตมาเกิดโดยอาศัยกายครับ

    ปุถุชนกับอริยเจ้า ต่างกันที่จิตแน่นอนครับ ส่วนกายไม่ต่างกันเลย
    มันต้องมีสภาพพุพัง เจ็บป่วยเหมือนกันครับ
     
  19. apichai53

    apichai53 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    630
    ค่าพลัง:
    +2,261
    เป็นมิจฉาทิฏฐิ ที่ติดตัวข้ามภพข้ามชาติ มานานแล้ว
    ทั้งๆ ที่พระอภิธรรม และการเรียนการสอนปริยัติธรรม
    ก็ได้ระบุเรื่องของจิตไว้อย่างชัดเจนแล้ว ละเอียดแล้ว
    แต่ก็ยังตีความ และเข้าใจเป็นอย่างอื่นอีก.....
    คงต้องเป็นมิจฉาทิฎฐิไปอีกนาน....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กรกฎาคม 2010
  20. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    ท่านธรรมภูติครับ ผมว่าไม่ท่านก็ผมกำลังสับสน กับประเด็นนี้อยู่แน่
    ที่ผมแสดงคหไป ผมกำลังแสดงให้รู้ว่า อารมณ์เกิดที่จิต อาการเกิดที่กาย

    สิ่งที่ผมอธิบาย ผมจะชี้ให้เห็นถึงบุคคลคนหนึ่ง ถ้ามีอารมณ์รักหรือเกลียด
    จะแสดงอาการทางกาย นี้เป็นการอธิบายให้เข้าใจในประเด็นการใช้คำ
    แล้วก็เป็นการยกตัวอย่างแบบง่ายๆเพื่อเข้าใจ

    ผมไม่เข้าใจเหมือนกันว่าท่านไปยก เรื่องอะไรมา ที่มันไม่เกี่ยวหรือถ้าเกี่ยว
    มันก็ยังไม่ถึง

    เรื่องนี้คนๆเดียว ยังไม่เกี่ยวกับคนอื่น
    ตัวเราเองมีอารมณ์อะไร เราย่อมรู้ตัวเองดี
    แล้วเราย่อมรู้ดีไปใหญ่ ว่าเราจะแสดง
    อาการทางกายอย่างไรเพื่อสื่อให้อีกฝ่ายหนึ่งรู้
    อันนี้ผมอธิบายในส่วนของผมแล้ว

    แต่ในส่วนของท่าน ที่คิดเลยเถิดไปไกลผมก็จะอธิบายนะครับ

    อันนี้ท่านเลยเถิด ไปเอาคนอื่นมาแจมด้วย ผมว่าคนขนาดท่านก็น่าจะรู้
    ว่าการปฏิบัติ มันเป็นเรื่องเพราะตัว เราศึกษาจิตเรากายเราไม่เกี่ยวกับคนอื่น
    เราจะไปรู้ใจคนอื่นหรือคนอื่น จะมารู้ใจเราได้อย่างไรครับ

    ท่านทราบไหมครับว่า การแสดงออกทางกาย มันจอมปลอมสำหรับคนอื่น
    แต่ในส่วนของ ตัวเจ้าของจิตและกายเอง มันเป็นสิ่งที่จริงแท้และสอดคล้องกัน
    เพราะอารมณ์ที่เกิดขณะนั้นไม่ใช่รักหรือชอบพอ แต่เป็นอารมณ์ชัง จนจิตเกิด
    การปรุงแต่งไป ให้กายแสดงอาการเสแสร้ง
     

แชร์หน้านี้

Loading...