การสอนดูจิตที่เข้าใจผิดไปจากความเป็นจริงว่าจิตเกิดดับ

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 5 มิถุนายน 2010.

  1. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ปัจจุบันนี้ยังมีความเข้าใจเรื่องจิตผิดไปจากความเป็นจริงกันมาก ดังได้เคยกล่าวมาแล้ว ในเมื่อเริ่มต้นด้วยความเข้าใจจิตผิดไปจากความเป็นจริงแล้ว ย่อมศึกษาพระพุทธศาสนาผิดไปจากความเป็นจริงเช่นกัน

    สืบเนื่องมาจากการศึกษาธรรมจากตำรับตำราที่มีเขียนไว้ให้ศึกษา ซึ่งท่านผู้ที่เขียนนั้น ล้วนพูดถึงจิตสังขารทั้งนั้น คือจิตที่ผสมปรุงแต่งไปกับอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดเข้าไปแล้วทั้งสิ้น และจิตก็ได้แสดงอาการของจิต ให้ปรากฏถึงความรัก ชอบ ชัง ออกมาสู่สายตาธารกำนัลทั่วไป ซึ่งจิตสังขารเหล่านั้น ล้วนต้องเกิดดับไปตามอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดที่เข้ามาปรุงแต่งจิต ซึ่งเกิดขึ้นที่จิต

    ถ้าผู้ศึกษาได้ลงมือปฏิบัติสัมมาสมาธิในหลักอริยมรรคมีองค์ ๘ มาแล้วอย่างจริงจัง ตามรอยพระบาทของพระบรมครูแล้ว จะไม่สงสัยในอาการของจิต(จิตสังขาร)ที่เกิดดับไปตามอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดต่างๆ เหล่านั้น ย่อมจะรู้เห็นความเป็นจริงได้ไม่ยากว่า ตัวจิตซึ่งเป็นธาตุรู้ไม่เคยเกิดดับหรือดับตายหายสูญไปไหนเลย จิตรู้อยู่ตลอดเวลาในขณะปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนา “พุทโธ” ซึ่งมีบ้างที่จิตเผลอสติไปในบางครั้ง

    จิตของผู้ปฏิบัติอยู่นั้น รู้เห็นว่าที่เกิดดับ หรือ ดับตามหายสูญไปนั้น ล้วนเป็นจิตสังขารคืออาการของจิตที่เกิดขึ้นและแสดงปฏิกิริยาตอบต่ออารมณ์ความนึกคิดทั้งหลายเหล่านั้น ในขณะที่เผลอสติไป และเกิดดับหรือดับตายหายสูญไปกับอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดเหล่านั้น ที่เวียนตายเวียนเกิดเข้ามาอยู่ตลอดเวลา ในขณะที่จิตเผลอสติอยู่นั่นเอง

    ส่วนผู้ที่ศึกษาปริยัติธรรมมา โดยที่ไม่เคยลงมือปฏิบัติสัมมาสมาธิอย่างจริงจังมาก่อนเลยนั้น เพียงใช้แต่ความรู้ความเข้าใจและความรู้สึกนึกคิดที่ตกผลึกแล้ว และเชื่อตามๆกันมา โดยที่ไม่เคยพิจารณาว่าสิ่งที่ตนเองรู้มานั้น ขาดเหตุขาดผลที่น่าเชื่อถือได้ และพิจารณาตามให้เห็นจริงไปด้วยไม่ได้ เพราะไม่สามารถชี้แจงให้เห็นจริงเป็นเหตุเป็นผลให้พิจารณาตามไปได้เลย

    ที่สอนกันอยู่ในปัจจุบันว่าอารมณ์เกิด จิตจึงเกิด อารมณ์ดับ จิตจึงดับตามอารมณ์เหล่านั้น และสรุปได้ว่าจิตเกิดดับตามอารมณ์ ต้องมีอารมณ์ก่อนจึงมีจิต ซึ่งไม่เป็นความจริงเลย เราลองมาพิจารณ์ประโยคข้างต้นนี้ด้วยใจที่เป็นธรรม อย่าปล่อยให้ความเชื่อที่เคยมีตามๆกันมาครอบงำเอาเสียก่อน แล้วเราจะเห็นว่า ประโยคข้างต้นดังกล่าวมานั้น เป็นสิ่งที่ขาดเหตุขาดผลอย่างยิ่งยวด ไม่น่าเชื่อถือเอาเสียเลย

    พวกเราทุกคนย่อมรู้ดีอยู่แล้วว่า รูปวัตถุสิ่งของต่างๆที่เกิดขึ้นมาในโลกนั้น ล้วนเป็นสิ่งที่จะก่อให้เกิดอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดขึ้นมาได้ ที่เป็นของมีอยู่คู่กับโลก เพียงแต่รูปวัตถุสิ่งของต่างๆเหล่านั้นจะเป็นอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดขึ้นมาได้นั้น ต้องมีผู้ที่เข้าไปยึดมั่นถือมั่นเกิดขึ้นเสียก่อนใช่มั้ย??? จึงจะเรียกว่าเป็นอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้นของคนๆนั้นใช่มั้ย???

    ถ้าไม่มีผู้เข้าไปยึดมั่นถือมั่นในวัตถุสิ่งของต่างๆเหล่านั้นแล้ว เราจะเรียกว่าเป็นอารมณ์เกิดได้มั้ย??? ย่อมไม่ได้แน่นอน เพราะไม่มีผู้เข้าไปยึดมั่นถือมั่นในรูปวัตถุสิ่งของต่างๆ เหล่านั้น อารมณ์จะเกิดขึ้นได้อย่างไร???

    เราจะเรียกว่าอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดเกิดขึ้นมาได้นั้น จะต้องมีผู้ที่เข้าไปยึดมั่นถือมั่นในวัตถุสิ่งของต่างๆเหล่านั้นก่อน และแสดงอาการของจิตออกมาเช่น รัก ชอบ ชังให้เกิดขึ้นมา จึงเรียกว่าเกิดอารมณ์ความรู้สึกนึกคิด รัก ชอบ ชังต่อวัตถุสิ่งของต่างๆ เหล่านั้นใช่มั้ย???

    ถ้าไม่มีจิตผู้รู้อยู่ก่อนแล้ว จะมีผู้ที่เข้าไปยึดมั่นถือมั่นต่อวัตถุสิ่งของต่างๆเหล่านั้นขึ้นมาได้อย่างไรรึ ก็จะเป็นได้เพียงแค่รูปวัตถุสิ่งของต่างๆที่มีอยู่ประจำโลกเท่านั้น จะเป็นอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดของใครไปไม่ได้เลย เพราะขาดผู้ที่เข้าไปยึดมั่นถือมั่นในรูปวัตถุสิ่งของต่างๆเหล่านั้น

    เหตุผลเพียงพื้นๆแบบนี้ ย่อมเกิดมีขึ้นได้ในผู้ที่ลงมือปฏิบัติสัมมาสมาธิมาก่อน และเข้าใจเรื่องจิตได้ จะละเอียดลึกซึ้งขึ้นไปเรื่อยๆ ตามภูมิธรรมภูมิจิตของผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบในสมาธิกรรมฐานภาวนาเหล่านั้น
     
  2. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    มีพระพุทธพจน์รับรองเรื่องจิตไม่เกิดดับไปตามอารมณ์ความรู้สึกนึกคิด ที่กล่าวไว้ในมหาสติปัฏฐานสูตรดังนี้

    "ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ อย่างไรเล่า

    ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นธรรมในธรรม คือ นิวรณ์ ๕ ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรม คือ นิวรณ์ ๕ อย่างไรเล่า

    ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เมื่อกามฉันท์ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ วิจิกิจฉา มีอยู่ ณ ภายในจิต ย่อมรู้ชัดว่า กามฉันท์ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ วิจิกิจฉา
    มีอยู่ ณ ภายในจิตของเรา

    หรือเมื่อกามฉันท์ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ วิจิกิจฉาไม่มีอยู่ ณ ภายในจิต ย่อมรู้ชัดว่า กามฉันท์ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ วิจิกิจฉาไม่มีอยู่ ณ ภายในจิตของเรา

    อนึ่ง กามฉันท์พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ วิจิกิจฉาที่ยังไม่เกิดจะเกิดขึ้นด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย

    กามฉันท์ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ วิจิกิจฉาที่เกิดขึ้นแล้วจะละเสียได้ด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย

    กามฉันท์ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ วิจิกิจฉาที่ละได้แล้วจะไม่เกิดขึ้นต่อไปด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วยอีกอย่างหนึ่ง ฯลฯ"

    เมือเราลองมาพิจารณาพระพุทธพจน์ในบทนิวรณ์บรรพะนี้ด้วยใจที่เป็นธรรม ไม่ถูกครอบงำด้วยความเชื่อที่มีตามๆกันมาแล้ว เราย่อมเห็นได้ชัดว่าอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดที่เกี่ยวกับนิวรณ์ทั้ง ๕ นั้น ล้วนเกิดขึ้นที่จิต และดับไปจากจิตใช่มั้ย???

    เนื่องจากพระพุทธพจน์ได้กล่าวไว้ชัดเจนว่า "ย่อมรู้ชัดว่า" ก็แสดงว่าอะไรเกิดขึ้นที่จิต จิตก็รู้ชัดว่าอะไรเกิดขึ้นที่จิต อะไรดับไปจากจิต จิตก็รู้ชัดว่าอะไรดับไปจากจิตใช่มั้ย???

    พระพุทธพจน์ยังเน้นย้ำให้เห็นว่าอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดนั้นมีเกิดขึ้นมาในภายหลัง ไม่ใช่เกิดขึ้นมาก่อนจิตเลยดังนี้ “อนึ่ง กามฉันท์พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ วิจิกิจฉา ที่ยังไม่เกิดจะเกิดขึ้นด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย”

    ถ้าจิตผู้รู้เกิดดับไปตามอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดที่เป็นเครื่องเศร้าหมองที่เกิดขึ้นดับไป แบบที่ยังมีการสอนๆกันอยู่นั้น เราจะชำระจิตให้บริสุทธิ์หมดจดจากอารมณ์ความรู้สึกนึกคิด ที่เป็นเครื่องเครื่องเศร้าได้อย่างไร???

    ในเมื่อมีพระพุทธพจน์รับรองไว้ชัดเจนในโอวาทปาฏิโมกข์ หรือที่เราเรียกว่าหัวใจพระพุทธศาสนานั้นว่า ๑ ละชั่ว ๒ ทำดี ในสองข้อต้นนี้มีสอนในทุกๆ ศาสนาที่มีในโลก ส่วนข้อที่ ๓ การชำระจิตให้บริสุทธิ์หมดจดจากอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดที่เป็นเครื่องเศร้าหมองทั้งหลายนั้น มีเฉพาะในพระพุทธศาสนานี้เท่านั้น.

    ธรรมภูต

    ;aa24


     
  3. poppykun

    poppykun Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2010
    โพสต์:
    47
    ค่าพลัง:
    +82
  4. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
  5. poppykun

    poppykun Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2010
    โพสต์:
    47
    ค่าพลัง:
    +82
    ได้ข่าวแว่วๆมาว่า งานนี้คงจะมีคนไปร่วมกันด้วยช่วยกันมากมายหลายวัตถุประสงค์
    - สอบถามธรรม
    - สอบถามความเป็นไป
    - ยืนยันข้อมูลข่าวสารที่ออกมาตลอด ตั้งแต่ ม.ค.-พ.ค.
    - แห่มาดูคนตามวัตถุประสงค์ข้างต้น

    ได้ยินมาเหมือนกันว่า ศิษย์เอกของสำนักนี้ เปลี่ยนท่าทีแล้ว
    เดี๋ยวนี้ไม่ใช้คำว่า "จิตเกิดดับ" หันมาใช้คำว่า "จิตดับสว่าง" แทน
    คงต้องมองย้อนไปที่บอกว่า "จิตมีหลายดวง" หลายดวงได้ยังไง
     
  6. มังกี้

    มังกี้ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +66

    กระผมเกรงว่า มันจะไม่ใช่แค่ทองเนื้อเก้า แต่เป็นก้อนอึสีทองๆ มากกว่ากระมังครับ
     
  7. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    เท่าที่ผมสังเกตุดู
    ดูพวกคุณจะทำงานกันเป็นทีมนะ

    พวกคุณแสดงกิริยาแบบนี้
    อาจารย์คุณยิ่งเสียหายนะผมจะบอกให้

    คุณควรแสดงความคิดเห็นโดยสุภาพ
    ผู้อ่านเค้าก็จะได้พิจารณาว่า
    ศิษย์สำนักนี้ทำไมดูน่าเลื่อมใส
    อาจารย์เค้าคงน่าเลื่อมใสมาก

    เหมือนพระสารีบุตร พบ พระอัสสชิ
    ถามว่าพระอัสสชิเป็นศิษย์ของใคร
    พระอัสสชิก็บอกว่าเป็นศิษย์ของพระพุทธองค์

    พอพระสารีบุตรบอกให้พระอัสสชิแสดงธรรมให้ฟังหน่อย
    พระอัสสชิท่านก็ถ่อมตน บอกว่ายังศึกษามาน้อย
    (เห็นมั้ยการแสดงออกของจอมปราชญ์ดูเอาไว้)

    แล้วพระอัสสชิก็แสดงว่า
    "ธรรมที่เกิดมาด้วยเหตุ
    พระพุทธองค์ตรัสถึงเหตุของธรรมนั้น และการดับของธรรมนั้น"

    ท่านแสดงแค่นั้น
    แต่เป็นไงล่ะ
    พระสารีบุตรบรรลุโสดาบัน

    นี่คุณดูเอา
    ดูเอานะ
    ดูจอมปราชญ์ไว้เป็นตัวอย่าง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มิถุนายน 2010
  8. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,240
    กระทู้เรื่องเด่น:
    54
    ค่าพลัง:
    +4,023
    จิตดับ กิเลสก็ดับรึป่าวตอนจิตดับ ....

    อวิชาก็ดับพร้อมกันใช่รึป่าวนะ ....

    รบกวนผู้รู้ช่วยสงเคราะห์ด้วยครับ ....
     
  9. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ครับคุณเสขะ บุคคล จิตดับใช่หมายถึงดับจิตมั้ยครับ?

    จิตไม่มีดับตายหายสูญไปไหนหรอกครับ ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ร่ำไป

    คนตายที่จิตดับไป ก็ยังต้องไปเกิดตามภพภูมิที่ตนเองสร้างไว้ก่อนตาย

    ต่อเมื่อกิเลสดับไปจากจิตอย่างสิ้นเชื้อหรืออวิชชาดับไปอย่างสิ้นเชิงเท่านั้น

    จิตก็จะอิสระจากเครื่องร้อยรัดทั้งหลาย บรรลุพระนิพพานเพราะสิ้นตัณหา

    ถึงตรงนั้น เป็นธรรมธาตุหรืออมตะธาตุ อมตะธรรมไปแล้ว......

    ;aa24
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มิถุนายน 2010
  10. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    เฉพาะกรณีนี้นะ

    อวิชชาอันเป็นของละเอียดดับ เป็นเหตุให้กิเลสน้อยใหญ่ไม่เกิดหรือดับ กิเลสทั้งปวงดับ ทุกข์ย่อมหาที่ตั้งไม่ได้ เพราะไม่เหลืออะไรให้ยึดเกาะ ไม่ว่าจะเป็นกายจิต หรือรูปนาม

    ส่วนใครจะว่าจิตไม่ดับ หรือจิตดับ ก็แล้วแต่ความเข้าใจ แล้วแต่ว่าจะมีธุลีในจักษุมากน้อย เรื่องนี้ ไม่ใช่สาระ
     
  11. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,240
    กระทู้เรื่องเด่น:
    54
    ค่าพลัง:
    +4,023
    พุทธศาสนาท่านมุ่งเน้นสอนเรื่องจิต ถ้าผู้ใดยังกล่าวว่าเรื่องจิตเป็นเรื่องไม่ใช่สาระ
    ผมเกรงว่าเศษผงอาจจะเข้าตากระผมอยู่มากทำให้เกิดการระคายเคือง รบกวนผู้รู้ช่วยเขี่ยผงให้ ....

    ขอผู้รู้ผู้มีปัญญากระจ่างแจ้งช่วยเขียเศษธุลีในตาให้ด้วยครับ ...
     
  12. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ถ้าพุทธศาสนาของท่านเสขะ เน้นสอนเรื่องจิต

    งั้นผมผู้ปัญญาด้อย ขอเดินข้างทางแล้วกัน เพราะสิ่งประเสริฐ สำหรับผม ก็คือค ทุกข์ดับ หรือใครจะเรียกนิพพาน หรืออะไรก็ช่าง

    อันทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค น้ำหนักอยู่ที่ใด ใจความอันเป็นสุขที่ ที่ทำให้พอ ให้สิ้นชาติภพ มันอยู่ที่ว่าถึง นิโรธหรือยัง และเมื่อถึงแล้ว ทำให้แจ้งหรือยัง

    ส่วนเรื่องที่ผู้รู้ ผู้ปัญญามาก ทั้งหลาย ชอบตีความ ชอบถกเีถียงกัน เรื่องจิตดับ หรือจิตไม่ดับ ก็อย่างที่กล่าวไว้ในโพสก่อนหน้า

    ไม่ใช่สาระ สำหรับผู้ปัญญาน้อย เช่นผม
     
  13. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,240
    กระทู้เรื่องเด่น:
    54
    ค่าพลัง:
    +4,023
    ใครเป็นผู้ทุกข์ ใครเป็นผู้สร้างเหตุแห่งทุกข์ ใครเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความดับทุกข์ ใครเป็นผู้หลุดพ้นจากอุปทานในกองขันธ์ครับ .......

    ถ้ากระผมยังไม่รู้จักตัวเอง ไม่รู้จักตน แล้ว กระผมจะเป็นที่พึ่งแห่งตน ได้อย่างไร .....


    ช่วยเขี่ยเศษธุลีให้กระผมที เพื่อเข้าสู่หนทางที่ถูกตรงต่อไป .....
    อยากฟังหลายๆทัศนะ หลายๆความคิดเห็น ช่วยชี้แนะด้วย ......
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 7 มิถุนายน 2010
  14. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ถ้าจะเอาละเอียด มันจะตอบว่า ทั้งหมดลงสู่ จิต อย่างที่ท่านตั้งธงมาถาม คงไม่ถูกเสียทีเดียว

    ใครเป็นผู้ทุกข์ อยากจะตอบว่ากายจิตเป็นผู้ทุกข์
    ใครเป็นผู้สร้างเหตุ อยากจะตอบว่ากิเลสเป็นเหตุ

    ส่วนใครเป็นผู้ปฎิบัติ ใครเป็นผู้พ้นทุกข์ ตอบแบบโลกุตตระ ก็เมื่อหมดเหตุ คำว่าใคร คำว่าเรา คำว่าจิต มันก็ไม่เกิดมา ให้มีอะไรต้องย้อนถาม

    ถ้ายังมีใคร ก็ยังมีภาชนะ ให้อาสวะบังเกิด ทุกข์ ก็ย่อมตามมาเป็นสงสารวัฎ

    ไปนอนก่อนนะครับ ท่านเสขะ วันนี้อารมณ์ดี เลยนึกสนุก อาจยียวน กวนไปหน่อย อย่าคิดมากล่ะ
     
  15. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,240
    กระทู้เรื่องเด่น:
    54
    ค่าพลัง:
    +4,023
    ยินดีได้สนทนานะครับ ขอขอบพระคุณ ยังไงก็รับข้อชี้แนะไปพิจารณาต่อไปครับ....
    สนทนาเพื่อน้อมนำธรรมไปพิจารณามิได้เพื่อหาถูกผิดนี่ครับ ไม่คิดมากครับท่าน :VO:VO.....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 7 มิถุนายน 2010
  16. kastsuyaz

    kastsuyaz สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +9
    จิตดับ กิเลสก็ดับรึป่าวตอนจิตดับ ....
    ตอบ ไม่ดับ

    อวิชาก็ดับพร้อมกันใช่รึป่าวนะ ....
    ตอบ ไม่ดับ
     
  17. รอดมี

    รอดมี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    155
    ค่าพลัง:
    +161
    นายพะโล้เอ๋ย ก่อนที่นายจะแสดงความเห็น เราว่านายควรเอาสมองมาเป็น
    องค์ประกอบในการแสดงความเห็นด้วย ไม่งั้นมันจะเข้าทำนอง "ไปไหนมา
    สามวาสองศอก"

    นายลองดูดีๆซิว่า "นายมังกี้" เขากำลังว่าใครและเป็นพวกใคร
    คนอาไรด่าพวกเดียวกันก็มี

    ดีแต่เอาสมองไปใช้ในเรื่องไม่เป็นเรื่อง อย่าทำแบบจขกท แทนที่จะเอา
    เวลาไปปฏิบัติ มัวแต่มาคอยโจมตีผู้อื่น หรือไม่ก็จัดมี้ตติ้งหาคู่ เราว่ามัน
    ไม่เหมาะเลยน่ะ

    พะโล้นายมันไร้ราคา กรุณาอย่าแสดงความเห็นเลย ไม่มีใครเขาสนใจหรอก
    แม้แต่คำพูดตัวเองนายยังไม่เชื่อไม่ทำตามที่พูด สัมหาอะไรกับคนอื่น
    ไหนนายประกาศว่าจะไม่เข้ามาเว็บนี้อีกแล้วไงล่ะ
     
  18. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    คนชำนาญ มีวาสนา ทางดูจิต ก็เน้นดูจิต รวมลงดูที่จิต ก็ว่าจิตเป็นใหญ่ มันก็ไม่ได้ผิด
    คนที่ชำนาญ วาสนา ทางดูธรรม ก็บอก มันไม่ได้มีอะไรที่เป็นของตัว มันก็เป็นเหตุปัจจัย มาประชุมกัน ตามเหตุของมัน ก็เท่านั้น

    มันก็ได้ แต่ก็ควรให้มุ่งอยู่ในขอบ ก็คือ ทุกข์ที่ไหน เห็นทุกข์ที่ไหน ก็ให้พิจารณาที่นั่น หาเหตุ ค้นดูเหตุนั่นแหล่ะ ดีที่สุด แล้วก็อย่าไปคิดนึกเอาล่วงหน้า อย่าไปย้อนธรรม ดูเอา พิจารณาเอาจากสิ่งที่ยังเป็นเรา สิ่งที่ยังเป็นตัวตน สิ่งที่ดำรงเป็นเรา เฉพาะปัจจุบันนี้ก่อน

    เอาธรรมมาฝากหน่อยนะ


    www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=9703

    รู้ แล้ว ละ คืออิสระที่สุด
     
  19. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    ใครเป็นผู้ทุกข์ -- เรา(จิต)
    ใครเป็นผู้สร้างเหตุแห่งทุกข์ -- เรา(จิต)
    ใครเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความดับทุกข์ -- เรา(จิต)
    ใครเป็นผู้หลุดพ้นจากอุปทานในกองขันธ์ -- เรา(จิต)

    ถ้ากระผมยังไม่รู้จักตัวเอง ไม่รู้จักตน แล้ว กระผมจะเป็นที่พึ่งแห่งตน ได้อย่างไร .....
    นั่นสินะคะ ถ้า เรา(จิต) ยังไม่รู้จักตัวเอง ไม่รู้จักตน แล้ว เรา(จิต) จะเป็นที่พึ่งแห่งตน ได้อย่างไร???

    พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า “เรากระทำที่พึ่งแก่ตนแล้ว”

    “วัยของเรา แก่หง่อมแล้ว ชีวิตของเราเป็นของน้อย
    เราจักละพวกเธอไป
    เรากระทำที่พึ่งแก่ตนแล้ว

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงเป็นผู้ไม่ประมาท มีสติ มีศีล อันดีเถิด
    จงเป็นผู้มีความดำริตั้งมั่นดีแล้ว
    ตามรักษาจิตของตนเถิด

    ผู้ใด จักเป็นผู้ไม่ประมาท อยู่ในธรรมวินัยนี้
    ผู้นั้นจักละชาติสงสาร แล้วกระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ ดังนี้ ฯ”


    (smile)
     
  20. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    มนุษย์เป็นอันมากแล ถูกภัยคุกคามแล้ว
    ย่อมถึงภูเขา ป่า อารามและรุกขเจดีย์ว่า เป็นที่พึ่ง
    ที่พึ่งนั้นแลไม่เกษม ที่พึ่งนั้นไม่อุดม
    เพราะบุคคลอาศัยที่พึ่งนั้น ย่อมไม่พ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้


    ส่วนผู้ใดถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ว่าเป็นที่พึ่ง
    ย่อมเห็นอริยสัจ ๔ คือ
    ทุกข์
    เหตุให้เกิดทุกข์
    ความก้าวล่วงทุกข์
    และอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ อันให้ถึงความสงบระงับทุกข์

    ด้วยปัญญาอันชอบ
    ที่พึ่งนั้นแลเป็นที่พึ่งอันเกษม ที่พึ่งนั้นอุดม
    เพราะบุคคลอาศัยที่พึ่งนั้น ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้


    จึงทรงสอนให้มีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง จึงจะพ้นจากทุกข์ได้
    โดยการปฏิบัติอริยมรรค ๘ หรือปฏิบัติสติปัฏฐาน ๔ อันเป็นการปฏิบัติทางจิต

    เพื่อให้เรา(จิต)รู้จักอริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง เรา(จิต)ไม่หลงผิดยึดขันธ์ ๕ เป็นอัตตา(ตัวตน)
    เพราะเรา(จิต)รู้อยู่ เห็นอยู่ว่า ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ตน ตนไม่ใช่ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่อัตตา(ตัวตน)ของตน
    ขันธ์ ๕ พึ่งไม่ได้ ต้องพึ่งตนเอง

    ตนแลเป็นที่พึ่งของตน
    บุคคลอื่นใครเล่าจะเป็นที่พึ่งได้
    บุคคลมีตนที่ฝึกดีแล้ว
    ย่อมได้ที่พึ่งที่บุคคลอื่นได้โดยยาก


    ก็คือ จิตที่ได้รับการอบรมจนบริสุทธิ์ปราศจากกิเลสอย่างสิ้นเชิงนั้นแล
    จิตตั้งมั่นอยู่โดยลำพังตนเอง ไม่ต้องพึ่งพาอาศัยอารมณ์ใดๆอีกต่อไป

    (smile)
     

แชร์หน้านี้

Loading...