รื้อตำนาน..สิ่งมีชีวิตขนาดยักษ์...ต้องการให้อ่านข้อความครับ ไม่ใช่วิจารณ์ภาพครับ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย นักเดินธรรม, 6 เมษายน 2010.

  1. นักเดินธรรม

    นักเดินธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +2,393
    หนังสือประวัติศาสตร์โบราณวัตถุ History and Antiquities of Afterdate ของอังกฤษ มีรายงานการค้นพบโครงกระดูกขนาดใหญ่ในประเทศอังกฤษ เป็นประวัติการค้นพบที่เกิดขึ้นในสมัยกลาง-Middle Ages (นักประวัติศาสตร์ให้การล่มสลายของจักรวรรดิโรมันในศตวรรษที่ 5 เป็นจุดเริ่มต้นของสมัยกลาง จนในศตวรรษที่ 15 ชาติต่างๆ ในยุโรปสามารถรวมตัวกันเป็นประเทศ รัฐ จนพัฒนาเป็นประเทศต่างๆ ในปัจจุบัน นักประวัติศาสตร์ให้การล่มสลายของจักรวรรดิไบแซนไทน์ ค.ศ.1453 เป็นจุดสิ้นสุดสมัยกลาง)

    ใจความตอนหนึ่งของหนังสือระบุว่า การขุดครั้งนั้นที่ตำบลคัมเบอร์แลนด์ ได้ขุดเจอซากศพของมนุษย์ยักษ์โบราณ สุสานหรือหลุมศพนั้นอยู่ลึกลงไปจากระดับพื้นดินซึ่งเป็นไร่ข้าวโพดประมาณ 4 หลา (3 เมตร หรือ 12 ฟุต) ศพนั้นมีแต่โครงกระดูกอยู่ภายในเสื้อเกราะเหล็กแบบโบราณ ไม่ทราบว่าเป็นชุดเสื้อเกราะในยุคสมัยใด

    จากโครงกระดูกวัดจากหัวกะโหลกถึงปลายนิ้วเท้าพบว่ามีความยาวถึง 4 หลาครึ่ง สองข้างของศพมีดาบและขวานขนาดมหึมาวางนอนอยู่ข้างละเล่ม หัวขวานเป็นเหล็กหนา 6 นิ้ว ส่วนดาบก็เป็นเหล็กสองคมยาว 2 หลา รวมกับตัวด้ามถืออีก 16 นิ้วเป็น 2 หลา 16 นิ้ว...ศพซึ่งมีแต่กระดูกพบว่ามีหัวกะโหลกหน้าผากกว้างถึง 18 นิ้ว มีกรามใหญ่และมีฟันยาวยื่นขนาด 6 นิ้ว กว้าง 2 นิ้ว

    หนังสือบอกไว้ด้วยว่าชิ้นส่วนต่างๆ ของโครงกระดูกยักษ์ที่พบนั้น ถูกพวกนักสะสมของเก่าหรือของแปลกๆ แย่งกันประมูลซื้อกันไปคนละชิ้นสองชิ้น กระจัดกระจายไปอยู่ในพิพิธภัณฑ์ส่วนตัวของใครต่อใครกันหมด จนไม่เหลือซากให้คนรุ่นหลังได้เห็นกัน เช่น บอกว่า เครื่องแต่งกายชุดเสื้อเกราะโบราณของศพได้ตกไปเป็นสมบัติส่วนตัวของ แซนด์แห่งเรดิงตัน (Sands of Redington) ส่วนอาวุธขนาดยักษ์ตกไปอยู่ในมือของนักสะสมของเก่าชื่อ ไวเบอร์แห่งเซนต์บีส์ (Wybers of St.Bees)

    รายงานอีกชิ้นหนึ่งเป็นบันทึกเก่าแก่ของ ดร.มาซูเรียร์ เขียนไว้เป็นแพม เฟลต หรือเกร็ดความรู้เล็กๆ น้อยๆ ที่รวบรวมไว้เป็นข้อมูล ความตอนหนึ่งกล่าวว่า มีสุสานแห่งหนึ่งถูกขุดพบใกล้บริเวณปราสาทคูมองต์ในอังกฤษ สุสานนี้มีศพของมนุษย์ที่เหลือแต่โครงกระดูกที่มีความยาวตั้งแต่หัวกะโหลก ถึงปลายเท้าวัดได้ 25 ฟุต มีช่วงไหล่กว้างถึง 10 ฟุต...

    รายงานกล่าวว่า ดร.มาซูเรียร์ได้พยายามของซื้อชิ้นส่วนของโครงร่างนั้น แต่เขาไม่มีเงินมากพอ และพวกคนงานนักขุดหาของเก่าก็โก่งราคา มีหลากพวกยื้อแย่งกันโดยหวังจะนำไปขายในตลาดมืดของเก่าซึ่งได้ราคาสูงกว่า เขาจึงได้มาเพียงกระดูกหน้าแข้งชิ้นเดียวและนำไปเก็บไว้ ณ พิพิธภัณฑ์ Musee de Paleontologie กรุงปารีส

    ยังมีหลักฐานการค้นพบมนุษย์ยักษ์ ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นรากษส หรือยักษ์ อีกจำนวนไม่น้อย อาทิ ค.ศ.1969 นักโบราณคดีชาวอิตาลี ขุดพบสุสานโครงกระ ดูก 50 โครง บรรจุรวมกันอยู่ในโลงศพใหญ่ที่ทำด้วยดินเผาซึ่งไม่มีลวดลายแกะสลัก หรือเขียนคำจารึกใดๆ ไว้ โดยขุดพบบริเวณตำบลเตอร์ราซินา ห่างจากกรุงโรมไปทางใต้ประมาณ 60 ไมล์ ดร.ลุยจิ คาวาลลูซซิ นักโบราณคดีตรวจสอบโดยละเอียดแล้วลงความเห็นไว้ในบันทึกทางโบราณคดีว่า

    โครงกระดูกทั้ง 50 โครง มีความสูงไม่ต่ำกว่า 7 ฟุต โครงที่สูงที่สุดวัดจากหัวกะโหลกถึงปลายเท้าสูงถึง 9 ฟุต 8 นิ้ว ทั้งหมดตายเมื่ออายุ 35-40 ปีโดยประมาณ พวกเขายังมีฟันที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ดีเกือบทั้งหมด เราตั้งเป็นทฤษฎีขึ้นอธิบายไว้อย่างหยาบๆ ว่า พวกนี้อาจเป็นพวกนักรบป่าโบราณที่ถูกทหารโรมันเกณฑ์มาเป็นทาสทหาร และคงถูกฆ่าตายด้วยเหตุผลบางประการ แต่ที่น่าแปลกคือไม่พบเครื่องแต่งกายหรืออาวุธยุทโธปกรณ์ใดๆ ในบริเวณหลุมฝังศพนั้นเลย

    :boo::boo::boo::boo::boo:

    [​IMG]

    [​IMG]


    โดย ข่าวสด <script language="JavaScript" src="http://news.sanook.com/global_js/global_function.js"></script><!--START-->วัน จันทร์ ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2551 00:05 น.

    ***โปรดทราบ รูปที่นำมาลงเป็นเพียงภาพประกอบบทความ ไม่ได้นำมาลงเพื่อยืนยันว่าภาพทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริง ทางเจ้าของกระทู้มีเจตนาให้ทุกท่านศึกษาบทความด้วยการอ่าน และอ้างอิงจากแหล่งหลักฐาน ขออย่าได้เอาแต่วิเคราะห์จากรุปภาพและเอาแต่จับผิดรูปภาพ...จุดประสงค์ต้องการให้อ่านและศึกษาข้อความที่นำมาเสนอที่มีการอ้างอิงจากประวัติศาสตร์และข้อมูลเชิงวิเคราะห์...หากยังเอาแต่วิจารณ์เรื่องภาพ พวกคุณก็ไม่ต่างอะไรกับการกระทำแบบเกรียนๆ เด็กๆ...และแสดงให้เห็นว่าคณไม่รุ้จักการอ่านและวิเคราะห์ สังเคราะห์ข้อมูลอย่างเข้าใจตามที่ผู้ได้รับการศึกษาพึงกระทำ...จากนี้ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าท่านที่จะตอบกระทู้คงจะอ่านข้อความและวิเคราะห์ข้อมูลและตอบตามนั้น...หวังว่าคงไม่เอาแต่มานั่งวิจารณ์เรื่องภาพตัดต่อหรือไม่อีกนะครับ กรุณาใช้วิชาการสังเคราะห์ในการอ่านเพื่อเข้าใจเจตนาและจุดประสงค์ของผู้นำเสนอด้วย ขอบคุณครับ***
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 เมษายน 2010
  2. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,951
    ค่าพลัง:
    +43,556
    ขอบคุณจ่ะ
    น่าจะมีรูปให้ดูด้วย........
     
  3. นักเดินธรรม

    นักเดินธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +2,393
    ไขปริศนามังกรกันต่อเลย

    นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อว่าเมื่อ 65 ล้านปีก่อน เป็นยุคที่ไดโนเสาร์เกือบจะสูญพันธุ์ไปจากโลกตอนนั้นเชื่อกันว่า มีอุกกาบาทขนาดยักษ์พุ่งชนโลกแต่ก็ยังมีสัตว์บางชนิดอยู่รอดมาได้ 300,000 ปีหรือว่ามังกรจะเป็นสัตว์ที่รอดมาได้

    ดร. ฟิวส์ แมนนิ่ง ผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์ดึกดำบรรพ์ แห่งมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ ฟิวส์เป็นคนหนึ่งที่หลงใหลเกี่ยวกับมังกรเข้าเชื่อว่าทฤษฏีทางวิทยาศาสตร์ จะนำไปสู่ต้นกำเนิดของมังกรได้ ฟิวส์เดินทางไปทั่วทุกแห่งในโลกเพื่อพิสูจน์ว่ามังกรเคยมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ จริงหรือไม่ ฟิวส์ต้องการทราบหน้าตาที่แท้จริงของมังกร เขาคิดว่าควรเริ่มต้นจากไดโนเสาร์ สัตว์ดึกดำบรรพ์ที่มีความใกล้เคียงกับมังกรในจินตนาการมากที่สุด เขาศึกษาสัตว์ยุคดึกดำบรรพ์อย่างจริงจัง การค้นพบมังกรทะเลในฝรั่งเศส เป็นแรงบันดาลใจของเขา จากกระดูกเพียงชิ้นเดียว ฟิวส์เริ่มศึกษามังกรตั้งแต่ นั้นมา


    ต้นศตวรรษที่ 19ชาวฝรั่งเศสชื่อ จอร์จ ครูดิเย่ นักธรรมชาติวิทยาเป็นคนแรกที่เสนอแนวคิดว่า กระดูกมังกรทะเล แท้ที่จริงคือไดโนเสาร์นั่นเอง แนวคิดของเขามีอิทธิพลต่อต่อการศึกษาตำนานมังกรมาจนถึงปัจจุบัน


    นอกจากนี้ จอร์จ ยังเป็นผู้คิดทฤษฏีการสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์ด้วยการเปรียบเทียบกระดูกของ สัตว์ที่ยังมีชีวิตอยู่ กับกระดูกของสัตว์โบราณที่สูญพันธุ์ไปแล้ว


    ริชาร์ท โอเวน นักวิทยาศาสตร์ประจำพิพิธภัณฑ์ในอังกฤษ ให้ความสนใจกระดูกมังกรทะเลมากเป็นพิเศษ เขาคนนี้เองที่เป็นผู้ บัญญัติศัพท์ที่เรียกสัตว์ดึกดำบรรพ์ว่า ไดโนเสาร์ ตั้งแต่ปี 1842 เป็นต้นมา


    มังกรตามความเชื่อของคนโบราณ จึงเป็นที่รู้จักกันในนามไดโนเสาร์ แต่ความเชื่อเรื่องมังกรก็ยัง ไม่หมดไป ฟิวส์เดินทางไปยังเบอร์ลินประเทศเยอรมนี เขาเริ่มจากพิพิธภัณฑ์ฮัมโบร ที่นี่เองมี ฟอสซิลของ อาร์เคอ๊อกเทอรีส นกดึกดำบรรพ์ในยุคจูราสสิก บรรพบุรุษของสัตว์จำพวกนก

    [​IMG]

    ถ้าพบกแต่โครงกระดูกของสัตว์ดึกดำบรรพ์เราก็อาจคิดว่ามันคือไดโนเสาร์ธรรมดา แต่เมื่อ อาร์เคอ๊อกเทอรีส มีปีกและขนเหมือนนกปกคลุมอยู่ทุกตัว มันก็น่าจะบินได้ แต่ก็ใช่ว่า อาร์เคอ๊อกเทอรีส จะเหมือนมังกรไปเสียทุกอย่าง ส่วน สัตว์ตระกูล เทโรซอร์จะมีความแตกต่างไปนิดคือมีปีกกว้าง 40 ฟุต นอกจากนี้ยังมีอุ้งมือขนาดใหญ่ มีขากรรไกรที่ยาวมาก และมีฟันขนาดใหญ่ ไดโนเสาร์ตระกูลนี้จึงน่าจะใกล้เคียงกับมังกรมากที่สุด

    [​IMG]

    สเตกอร์ซอรัส เป็นไดโนเสาร์ที่มีแผงหลังขนาดใหญ่ แต่มีส่วนหัวเล็ก ที่หลังมีกระดูกเรียงกันเป็นแถว และมีขนาดลำตัวยาวถึง 9 เมตร สเตกอซอรัสเป็นไดโนเสาร์กินพืช แต่ประโยชน์ที่แท้จริงของแผงหลังก็ยังคงเป็นปริศนา มีการคาดเดาไปต่าง ๆ นา ๆ ไม่ว่าจะควบคุมอุณหภูมิร่างกาย หรือใช้ป้องกันตัวเอง หรือแม้กระทั่งเพื่อความสวยงาม แต่รูปร่างของสเตกอซอรัส


    ไดโนเสาร์ เควิน ครูเกอร์ ผุ้เชี่ยวชาญด้านสัตว์ดึกดำบรรพ์บอกว่า การขุดชิ้นส่วนเล็ก ๆ ของสัตว์ดึกดำบรรพ์ขึ้นมา เป็นภาพที่สมบูรณ์ที่สุด ซึ่งทำสำเร็จจะเป็นภาพที่งดงามมาก ที่เราได้เคยเห็นสัตว์ที่มีชีวิตอยู่ เมื่อ 70 ล้านปีก่อนอีกครั้ง แต่การขุดค้นพบสัตว์ดึกดำบรรพ์ ต้องอาศัยโชคไม่น้อย พวกเขาพบไดโนเสาร์ปากเป็ดโดยบังเอิญ ลำตัวยาว 10 เมตร มีชื่อว่า โคริทอซอรัส เชื่อกันว่า โคริทอซอรัส อาศัยลึกเข้าไปในป่าบนเนินเขา ฟอสซิล ของโคริทอซอรัส ยังมีสภาพสมบูรณ์ ทำให้เราเห็นรูปร่างหน้าตาได้ชัดเจน เมื่อสังเกตตัวอย่างชองฟอสซิล สามารถเห็นได้แม้แต่ริ้วรอยตามผิวหนัง

    [​IMG]
    [​IMG]

    ตามตำนานมังกรโบราณกล่าวว่า มังกรมีผิวหนังเป็นเกล็ด ซึ่งตรงกับผิวหนังของ โคริทอซอรัสพอดี อาจเป็นไปได้ว่าคนโบราณ ค้นพบฟอสซิลของโคริทอซอรัส แล้วจินตนาการเป็นมังกรตามที่เคยเห็นจนชินตา ครูเกอร์ ผู้เชี่ยวชาญสัตว์ดึกดำบรรพ์ บอกว่า นักโบราณคดีในปัจจุบัน ขุดพบตั้งแต่ชิ้นส่วนเล็ก ๆ ของไดโนเสาร์ ไปจนถึงกระดูกขากรรไกร กระดูกขนาดใหญ่ กระดูกซี่โครง หรือบางครั้งก็พบกระดูกไดโนเสาร์ที่มีความสมบูรณ์มาก คนยุคโบราณก็คงไม่ต่างกัน พวกเขาอาจพบกระดูกเหล่านี้มากก่อนพวกเราก็เป็นได้ เมื่อไม่มีความเจริญทางวิทยาศาสตร์ จึงไม่แปลกที่คนยุคโบราณบอกไว้ว่า โครงกระดูกขนาดใหญ่ที่พบ เป็นของสัตว์ประหลาด


    เมืองอัลเบอร์ต้า ของแคนาดา ผู้คนที่นี่ส่วนใหญ่เชื่อว่า มังกรมีอยู่จริงในโลก


    เฟรสดี้ โครซอร์ หัวหน้าเผ่าแบล๊คฟุต โครซอร์เล่าว่าเมื่อพูดถึงไดโนเสาร์กับคนในเผ่า จะต้องมีเรื่องของมังกรอยู่ด้วยเสมอเพราะพวกเขาเชื่อว่ามังกรยังมีอยู่จริง ทุกวันนี้ก็ยังมีรอยเท้าและโครงกระดูก ของไดโนเสาร์ปรากฏอยู่ เมื่อพบหลักฐานสองอย่างนี้ จึงไม่แปลกเพราะคนในเผ่าเชื่อว่า มังกรมีตัวตนอยู่จริง ๆ


    ชนเผ่าแบล๊คฟุต เรียกมังกรว่า อีลีสกิ่ง คนเก่าคนแก่ในเผ่ามักจะเล่าเรื่องที่พื้นดินสั่นสะเทือน เวลาที่มังกรหรือไดโนเสาร์เดินผ่าน ให้ลูกหลานฟังอยู่เสมอ ดังนั้นชาวบ้านต้องหลบหลังอยู่ก้อนหิน รอจนกว่ามังกรจะเดินผ่านไป ซึ่งทุกวันนี้เรื่องเล่าแบบนี้ ก็ยังคงมีให้ฟังกันอยู่
    [​IMG]

    แน่นอนว่า ตำนานมังกรของชนเผ่าแบล๊คฟุต มีที่มาจาก โคริทอซอรัส และไดโนเสาร์พันธุ์อื่น ๆ ที่อาศัยอยู่บริเวณนั้น


    ฟิวส์ สร้างส่วนลำตัวของมังกรจากซากไดโนเสาร์ แต่ส่วนสำคัญที่ยังขาดหายไปก็คือ ปีก สัตว์ดึกดำบรรพ์ที่บินได้ และที่น่าสนใจที่สุดก็คือสัตว์ตระกูลเทโรซอร์

    [​IMG]

    พันธุ์ เทราโนดอน ตรงส่วนหัวของมันมีหงอน ทำหน้าที่เหมือนเป็นใบเรือ ซึ่งช่วยควบคุมทิศทางเวลาบิน กระดูกทุกชิ้นกลวงและเป็นโพรงอากาศ ทำให้มันมีน้ำหนักเบา ฟิวส์บอกว่าเขาอยากจะเห็นสัตว์พันธุ์นี้บิน อยู่จริง ๆ บนท้องฟ้า เพราะมันเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าสนใจมาก ในปัจจุบันไม่มีสิ่งมีชีวิตใดในธรรมชาติ ที่เหมือนกับสัตว์ในตระกูลเทโรซอร์ จะมีก็แต่เครื่องร่อนที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นมาเท่านั้น ที่ใช้หลักการเดียวกับเทราโนดอน โดยเครื่องร่อนใช้โครงสร้างเป็นอลุมิเนียมกลวง ส่วนเทโรซอร์ มีขนาดใหญ่ และมีขนาดปีกที่กว้างถึง 10 เมตร ปีกขนาดใหญ่น่าจะเข้ากันได้ดีกับปีกของมังกรในจินตนาการ ฟิวส์เชื่อว่า มังกรอาจมีน้ำหนักตัวเบาเหมือนกับไดโนเสาร์กินพืชหลายชนิด ที่ร่างกายเต็มไปด้วยอากาศก็ได้ ทำให้มันบินขึ้นจากพื้น ทำให้ไม่ต้องใช้แรงมากเหมือนที่คิดกัน ถ้ามังกรมีปีกขนาดใหญ่เหมือนเทโรซอร์ และมีกระดูกกลวง ก็บินได้เหมือนกัน

    [​IMG]

    ชาวมายา ก็มีเรื่องเล่า ตามตำนานโบราณได้ว่ารูปร่างของมังกรเอาไว้ ว่า เป็นสัตว์ที่บินลงมาจากฟากฟ้า ลำตัวเป็นสีเขียวเปล่งประกาย ส่วนหัวดูน่ากลัว มีกรามคล้ายกับจระเข้ นกท้องถิ่นในป่าเม็กซิโก จะเป็นที่มาของมังกร ตามความเชื่อของชาวมายา


    เม็กซิโกไม่เพียงแต่เป็นแหล่งความเชื่อเรื่องมังกรมนยุคหินเท่านั้น แต่ยังเป็นแหล่งความเชื่อเรื่องสัตว์ประหลาดอีกด้วย


    คาบสมุทร ยูคาทาล ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นจุดที่อุกกาบาทนอกโลกพุ่งชน เมื่อ 65 ล้านปีก่อน อุกกาบาทขนาดมหึมาที่พุ่งชนโลก ได้ทำลายล้างสิ่งมีชีวิตไปมากกว่าครึ่ง นักโบราณคดีพบว่า มีไดโดนเสาร์หลายชนิดรอดชีวิตมาได้ และอยู่อีกต่อมาอย่างน้อย 200,000 ปี จนสิ้นสุดยุค ครีเตเชียส


    นอกจากนี้ยังมีสัตว์สายพันธุ์อื่นที่ดำรงเผ่าพันธุ์มาจนถึงทุกวันนี้ เช่น จระเข้ เต่า และนก การสืบสวนด้วยวิธีทางโบราณคดี ทำให้มองเห็นภาพมังกรได้ชัดเจนขึ้น ในลอนดอนของอังกฤษก็ปรากฏหลักฐานความเชื่อเรื่องมังกร ประตูเมืองเก่ามีมังกรคอยปกป้องรักษา


    สำหรับชาวจีนความเชื่อเรื่องมังกร เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมาช้านาน แม้แต่ในย่านไชนาทาว ของอังกฤษ ก็ยังพบเห็นร่องรอยความเชื่อเรื่องมังกร


    หลายพันปีมาแล้ว ที่กระดูกมังกรเคยเป็นส่วนผสมเครื่องปรุงยาของชาวจีน ที่เป็นสัพคุณ เป็นยาอายุวัฒนะ ทำให้จิตใจสงบแก้โรคนอนไม่หลับ และคลายเครียด หลายคนเชื่อว่ากระดูกมังกร แท้ที่จริงก็คือกระดูกของไดโนเสาร์นั่นเอง

    [​IMG]

    มังกรเป็นสัตว์ในตำนานที่มีอยู่ทั่วทุกมุมโลก ไม่ว่าจะเป็นมังกรบินได้ ตามความเชื่อของชาวเอเชีย หรือจะเป็นมังกรพ่นไฟของชาวยุโรป นอกจากนี้ลวดลายมังกร ยังเป็นที่นิยมชื่นชอบขอบคนที่ชอบสัตว์ในตำนาน แม้แต่การ์ตูน ความเชื่อเรื่องมังกรน่าจะเกิดมาจากความไม่รู้ของคนในอดีต เมื่อพบกระดูกขนาดใหญ่ แม้จะแค่ชิ้นเดียวก็อาจนำไปจินตนาการ จนเกิดเป็นสัตว์ประหลาดขนาดใหญ่ได้


    และถ้ามังกรพ่นไฟมีอยู่จริง พวกมันจะทำอย่างงั้นได้หรือไม่ ตามหลักวิทยาศาสตร์ มังกรอาจมีลมหายใจที่พ่นไฟได้จริง ตามทฤษฏีถ้าร่างกายของมังกร ผลิตฟอสฟอรัส หรือ โพแตสเซียมได้ และไปทำปฏิกิริยากับมีเทน และออกซิเจนในร่างกาย มันก็จะสร้างลูกไฟได้ ด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ ในที่สุดมังกรในจินตนาการ ก็เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา


    แต่มังกรก็ยังมีเรื่องราวอีกหลายแง่มุม ซึ่งเป็นปริศนา และยังคงต้องอาศัยวิทยาศาสตร์ในอนาคต ช่วยอธิบาย


    แม้มีความเชื่อใหม่เกี่ยวกับมังกรแต่ก็ไม่อาจลบล้างความเชื่อเก่าเกี่ยวกับ มังกรลงไปได้


    วิทยาศาสตร์ที่ล้ำหน้าในอนาคต อาจนำมาซึ่งคำตอบว่า มังกรเคยมีชีวิตจริงหรือไม่ และเมื่อถึงเวลานั้น ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ก็จะทำให้ตำนานมังกร คงอยู่กับเราตลอดไป




    [​IMG]


    จากข้อมูลของดิสคัฟเวอรี่ (discovery : dragon - a fantasy made real เป็นซากมังกรแม่ลูก ถูกแช่แข็งไว้ จากศตวรรษที่ 15 เป็นการค้นพบทางโบราณคดี นิติวิทยาศาสตร์ มีการตรวจสอบความเป็นไปได้ของตำนานมังกร)
    มีการค้นพบกระดูกมังกรบนเทือกเขาสูงด้วยครับ !!! แปลกดีมั้ยเอ่ย:boo:
     
  4. นักเดินธรรม

    นักเดินธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +2,393
    ข่าว ฮือฮา! คนงานจีนเจอ งูยักษ์ 140 ปี

    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน ว่า คนงานชาวจีน ขับแทรกเตอร์ขุดดิน ถางป่า ปรับพื้นที่เพื่อสร้างถนนสายใหม่ แต่ต้องตะลึงเมื่อพบงูยักษ์ขนาดมหึมา ยาวกว่า 16.7 เมตร คาดอายุมากถึง 140 ปี...

    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 12 พ.ย. ว่า คนงานชาวจีน ขับแทรกเตอร์ขุดถางป่า เพื่อสร้างถนนสายใหม่ ที่เมืองกูผิง มณฑลเจียงซี แต่ต้องตกใจสุดขีดเมื่อพบงูขนาดมหึมาถึง 2 ตัว

    กลุ่มคน งานระบุว่า ขณะทำการขุดดิน และถางป่า เพื่อปรับพื้นที่อยู่นั้น กลับพบเลือดบริเวณหน้าดิน แต่การขุดยังดำเนินต่อไป กระทั่งพบงูขนาดมหึมา วัดความยาวได้ราว 16.7 เมตร หนักกว่า 300 กิโลกรัม และคาดว่ามีอายุมากถึง 140 ปี อยู่ในสภาพอ่อนแรง คาดว่าเป็นเพราะการขุดดินอาจส่งผลให้งูยักษ์ได้รับบาดเจ็บ

    ทั้งนี้คน งานกล่าวว่า นอกจากงูยักษ์ตัวดังกล่าวยัง พบงูเหลือม ขนาดใหญ่อีก 1 ตัว บริเวณเดียวกัน เป็นเหตุให้บรรดาคนงานตั้งสติไม่อยู่และวิ่งหนีไปในที่สุด หลังจากรวบรวมสติคืนมาได้ก็ย้อนกลับมายังสถานที่เกิดเหตุ แต่งูเหลือมได้เลื้อยหนีหายเข้าไปในป่าแล้ว เหลือแต่เพียงงูยักษ์ ที่ทนพิษบาดแผลไม่ไหว และตายในที่สุด

    ภาพของงูยักษ์ตัวดังกล่าวถูก ถ่ายภาพเก็บไว้ และเผยแพร่ในหนังสือพิมพ์พีเพิลส์เดลี่ของจีน อีกทั้งถูกโพสลงอินเตอร์เน็ต จนเป็นที่ฮือฮาจากบรรดานักท่องเว็บ

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 เมษายน 2010
  5. นักเดินธรรม

    นักเดินธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +2,393
    ...ขณะที่มนุษย์เอาแต่ออกค้นหาความลับในที่ไกลตัวอย่างอวกาศเพื่อตามหาสิ่งมีชีวิตนอกโลก....เราแน่ใจแล้วหรือว่าเรารู้จักโลกนี้ดีพอ และ แน่ใจแล้วหรือว่าเทพนิยายที่เล่าขานกันมาเป็นเพียงเรื่องเล่าที่สนุกสนาน...แน่ใจหรือว่า มันไม่ใช่เรื่องจริง!!!
     
  6. นักเดินธรรม

    นักเดินธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +2,393
    มาถึงตำนานงูยักษ์กันบ้าง

    วัฒนธรรมความเชื่อของคนโบราณแทบทุกแห่งทั่วโลกมีตำนานหรือเรื่องเล่าที่เกี่ยวข้องกับงู อาทิชาวอียิปต์ยุคฟาโรห์เชื่อว่า เมื่อสุริยเทพ (Ra) ทรงปรากฏพระองค์เหนือทะเล งูเป็นสัตว์โลกตัวแรกที่ตระหนัก และน้อมรับว่าพระองค์คือเทพเจ้าสูงสุด นอกจากนี้ชาวอียิปต์ยังยกย่องงูเป็นเทพเจ้าแห่งการต่อสู้ป้องกันตัวด้วย สำหรับพระนางคลีโอพัตรานั้นโปรดงูมากถึงกับมีพระราชเสาวนีย์ให้ช่างทำเครื่องประดับต่าง ๆ ในพระราชวังเป็นรูปงู
    ชาวกรีกโบราณนับถืองูว่าเป็นสัตว์พิเศษ สามารถเป็นมิตรทั้งกับเทวดาและซาตาน ชาวกรีกผู้มั่งคั่งยังมักให้จิตรกรวาดภาพปูนเปียกบนผนังเป็นงู ๒ ตัวกำลังสู้กัน ทั้งนี้เพราะคนกรีกนิยมการต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจนั่นเอง ในโรงเรียนกรีกก็มีสอนเรื่องงูเป็นวิชาที่เรียกว่า ophiology (มาจากคำกรีก ophis แปลว่างู) เทพนิยายกรีกยังกล่าวถึงงูยักษ์ชื่อ Ophion ว่า เมื่อมันแลบลิ้นเลียหูของ Melampus เขาก็สามารถเข้าใจภาษาของนกและแมลงได้ดี นิทานกรีกยังมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับนางเมดูซาผู้มีเส้นผมเป็นงูพิษ และเมื่อนางถูก Perseus สังหารโดยการตัดศีรษะ หยดเลือดที่หลั่งรินได้กลายเป็นงูพิษมากมาย นอกจากนี้เทพนิยายกรีกยังมีเทพ Aesculapius เทพแห่งการรักษาไข้ ตามปรกติพระองค์ทรงถือไม้เท้าที่มีงูเลื้อยพันกัน ต่อมาแพทย์จึงนำไม้เท้างูพันมาเป็นสัญลักษณ์ของสมาคมแพทย์
    ชาวอินเดียก็นับถืองูมาก เพราะเชื่อว่าปราชญ์ Garga ผู้เป็นบิดาของวิชาดาราศาสตร์ได้รับความรู้เรื่องนี้จากงู และทุกปีเมื่อถึงวันที่ ๕ ของเดือน Shravan ชาวอินเดียที่นับถืองูจะจัดงานเฉลิมฉลองชื่อ Naga Panchami โดยนำงูเห่ามาร่ายรำประกอบการบรรเลงปี่ ทั้งที่ในความเป็นจริงหูของงูจะรับเสียงที่มีความถี่ต่ำเท่านั้น ดังนั้นงูจึงไม่ได้ยินเสียงปี่เลย การที่งูวาดลีลาโยกย้ายส่ายตัวนั้นก็เป็นไปตามลักษณะการโยกตัวของคนเป่าปี่ เพราะการโยกตัวทำให้งูสามารถชูตัวได้ ดังนั้นทันทีที่เสียงปี่หยุด และตัวคนเป่าปี่หยุดนิ่ง งูก็จะทรุดตัวไถลไปกับพื้นตามธรรมชาติของมัน ส่วนงูเลี้ยงตามศาสนสถานต่าง ๆ ก็จะได้กินอาหารอย่างอุดมสมบูรณ์ในงานนี้เช่นกัน
    ชาวแอซเตกก็มีเทพ Quetzalcoatl ผู้รอบรู้ด้านศิลปกรรมกับเกษตรกรรม และเป็นเทพผู้ปกป้องข้าวโพดของชาวแอซเตก ตำนานของชนเผ่านี้ยังอ้างอีกว่า เทพ Quetzalcoatl มีพระวรกายครึ่งนกครึ่งงู แม้แต่ชาวไวกิงก็มีเรื่องเล่าว่างูยักษ์พำนักที่ Midgard อาณาจักรที่อยู่ระหว่างนรกกับสวรรค์ เชื่อว่าเมื่อคนบนโลกตายวิญญาณที่จะไปนรกหรือสวรรค์จะต้องผ่านด่านงูนี้ คัมภีร์ไบเบิลก็มีงู (ซึ่งถือเป็นมารร้าย) ในสวนอีเดน และงูได้หลอกล่อให้ Eve กินผลไม้ต้องห้ามบนต้น Tree of Life ทำให้พระเจ้าพิโรธ จึงทรงขับทั้ง Adam และ Eve ออกจากสวนอีเดน
    นอกจากเทพนิยายเรื่องงูบกแล้ว เรื่องเล่าเกี่ยวกับงูทะเลก็มีมากเช่นกัน ดังในพุทธศตวรรษที่ ๒๓ ซึ่งเป็นช่วงเวลาแห่งการเดินทางผจญภัยในต่างแดนของชาวยุโรป ทั้งเพื่อล่าอาณานิคมและแสวงหาความรู้ใหม่ นักสำรวจเล่าว่า ในประเทศแอฟริกาใต้ บริเวณแม่น้ำ Orange มีถ้ำที่มีเพชรนิลจินดาซุกซ่อนอยู่ โดยมีงูยักษ์ชื่อ Grootslang เฝ้าอยู่ปากถ้ำ งูนี้มีลำตัวยาว ๑๓ เมตร และเส้นผ่านศูนย์กลางลำตัวกว้าง ๑ เมตร สำหรับ Hans Egede หมอสอนศาสนาชาวสแกนดิเนเวียก็ได้บันทึกไว้ในปี พ.ศ. ๒๒๗๗ ว่า ขณะเรือของเขาเดินทางใกล้ถึงเกาะกรีนแลนด์ เขาและลูกเรือได้เห็นงูทะเลที่ยาว ๓-๔ เท่าของลำเรือ
    หลังจากที่งูชูคอเหนือผิวน้ำจนศีรษะอยู่สูงเท่าเสากระโดงแล้วก็ดำน้ำหายไป ในอังกฤษมีรายงานการเห็นงูทะเลยักษ์เช่นกัน เมื่อวันที่ ๑๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๓๖๐ ณ บริเวณปากอ่าว เมือง Gloucester กะลาสี ๒๐ คนได้รายงานการเห็นงูยักษ์ยาว ๑๓ เมตร ศีรษะมีขนาดใหญ่เท่าถังเบียร์ ว่ายน้ำเข้าหาเรือด้วยความเร็ว ๓๐-๔๐ กิโลเมตร/ชั่วโมง จนเมื่อเข้าใกล้ประมาณ ๑๐ เมตร ความหวาดกลัวทำให้คนบนเรือใช้ปืนยิงป้องกันตัว แต่ก็ทำอะไรงูไม่ได้ หลังจากนั้นงูก็ดำน้ำหายไปโดยไม่สนใจแก้แค้นคนที่มุ่งร้ายมันอีกเลย
    [​IMG]

    ซากกระดูกงู Titanaboa cerrejonensis (ขวา) เปรียบเทียบกับกระดูกงู Anaconda (ซ้าย)
    ภาพ : University of Florida News Bureau
    [​IMG]
    ภาพวาดงูยักษ์ในป่าโคลอมเบีย เมื่อ ๕๘ ล้านปีก่อนจากจินตนาการของศิลปิน
    ความหมกมุ่นและปักใจเชื่อว่าโลกนี้มีและเคยมีงูยักษ์จริงได้ชักนำให้ Albert Koch ใช้วิธีหลอกลวงประชาชนว่าเขามีหลักฐานงูยักษ์จริง โดยในปี ๒๓๘๘ หนุ่มเยอรมันคนนี้ได้จัดงานแสดงซากกระดูกงูยักษ์ที่ยาวเกือบ ๔๐ เมตรในพิพิธภัณฑ์ที่เบอร์ลิน ซึ่งได้ทำให้ชาวเยอรมันแตกตื่นกันมาก แต่เมื่อ Jeffries Wyman นักชีววิทยาผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์ดึกดำบรรพ์ได้ทดสอบกระดูกฟันของงู ก็พบว่ามันเป็นฟันของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม หาใช่ฟันของสัตว์เลื้อยคลานไม่ ส่วนกระดูกงูนั้นแท้จริงเป็นกระดูกวาฬที่ Koch นำมาร้อยเรียงกัน การโชว์ครั้งนั้นจึงทำให้ Koch ถูกจองจำด้วยข้อหาหลอกลวงประชาชน และเมื่อวันที่ ๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๓๙๑ Peter M’Quhae กัปตันแห่งเรือรบหลวง Daedalus ของอังกฤษ ได้รายงานในหนังสือพิมพ์ London Time ว่า เห็นงูทะเลลำตัวยาว ๒๐ เมตร กว้าง ๑.๕ เมตร ชูศีรษะเหนือผิวน้ำที่ระดับสูง ๑.๕ เมตร ทำให้เห็นคองูมีสีเหลือง-ขาว แล้วงูก็ดำน้ำหายไปอีก ข่าวนี้ทำให้ผู้คนมีทั้งเชื่อและไม่เชื่อ โดยคนที่เชื่ออ้างว่าผู้เห็นงูเป็นทหาร และเพราะทหารไม่พูดปด ดังนั้นคำอ้างจึงมีน้ำหนัก ส่วนคนที่ไม่เชื่อก็ให้เหตุผลว่า ผู้เห็นมิใช่นักชีววิทยา จึงไม่มีวิธีสังเกตที่ดี ดังนั้นสิ่งที่อ้างจึงขาดเหตุผลและความน่าเชื่อถือ แต่เหตุผลที่สำคัญที่สุดของการไม่เชื่อ เพราะไม่มีหลักฐานเช่นภาพถ่ายหรือโครงกระดูกประกอบคำกล่าวอ้าง
    เมื่อถึงวันนี้ ในวารสาร Nature ฉบับวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๒ Jason J. Head แห่งมหา-วิทยาลัยโทรอนโตในแคนาดาและคณะ ได้รายงานการพบซากฟอสซิลงูเหลือมที่มีลำตัวยาว ๑๒.๘๒ ±๒.๑๘เมตร น้ำหนักตั้งแต่ ๑,๑๓๕-๑,๘๑๕ กิโลกรัม ว่างูนี้เคยมีชีวิตอยู่เมื่อ ๖๐-๕๘ ล้านปีก่อน ในป่าฝนที่อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศโคลอมเบียในอเมริกาใต้
    ขนาดมโหฬารของซากฟอสซิลงูทำให้มันเป็นซากกระดูกงูที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก จึงได้รับการตั้งชื่อว่า Titanoboa cerrejonensis ซึ่งมาจากคำ Titan ในภาษากรีก แปลว่ายักษ์ และ boa ที่แปลตรง ๆ ว่างูเหลือม ส่วนชื่อหลังนั้นบอกสถานที่พบซากกระดูกงู คือที่เมือง Cerrejo´n ดังนั้นคำแปลของชื่องูตัวนี้คือ งูเหลือมยักษ์แห่งเมือง Cerrejo´n อนึ่ง นอกจากซากงูแล้ว Head ยังพบกระดูกจระเข้และปลาในบริเวณนั้นด้วย ซากเหล่านี้ทำให้เขารู้ว่างูชนิดนี้กินจระเข้และปลาเป็นอาหาร
    การพบซากงูนอกจากจะให้ความรู้ด้านชีววิทยาโดยตรงแล้วขนาดของงูยังช่วยให้นักอุตุนิยมวิทยารู้สภาพดินฟ้าอากาศเมื่อ ๕๘ ล้านปีก่อนด้วย
    ในขณะที่โลกร้อนขึ้น ๆ ตลอดเวลาเพราะปรากฏการณ์เรือนกระจก นักวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมหลายคนต่างหันมาสนใจศึกษาสภาพดินฟ้าอากาศในยุคดึกดำบรรพ์ และได้พบว่าในยุคพาลีโอจีน (Paleogene) ราว ๖๕-๔๐ ล้านปีก่อน อุณหภูมิโดยเฉลี่ยของโลกสูงกว่าปัจจุบันมาก ข้อสรุปนี้ได้จากการขุดพบซากฟอสซิลจระเข้และต้นปาล์มซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตเขตร้อนในบริเวณอาร์กติก ไซบีเรีย และรัฐไวโอมิงของอเมริกา และเมื่อเขานำตัวอย่างอากาศยุคนั้นมาประกอบการพิจารณา ผลการคำนวณแสดงว่าบริเวณขั้วโลก ณ เวลานั้นมีอุณหภูมิสูงถึง ๑๕ องศาเซลเซียส ซึ่งถ้าอุณหภูมิแถบอาร์กติกสูงปานนั้น อุณหภูมิแถบศูนย์สูตรจะมีค่าสูงเพียงใด
    ใครบ้างจะคิดว่า คนที่ตอบคำถามนี้คือ Head และคณะผู้พบซากงูดึกดำบรรพ์ที่ Cerrejo´n ในโคลอมเบีย
    ในความเข้าใจของคนทั่วไป เขตร้อนคืออาณาบริเวณที่ตั้งอยู่ระหว่างเส้นรุ้งที่ ๓๐ องศาเหนือกับ ๓๐ องศาใต้ บริเวณนี้ประกอบด้วยแผ่นดินที่มีพื้นที่ประมาณครึ่งหนึ่งของพื้นดินบนโลก ดังนั้นเขตร้อนจึงมีบทบาทมากในการควบคุมสภาวะเรือนกระจกของโลก เพราะมีป่าที่อุดมสมบูรณ์และมีสัตว์ป่าหลากหลายชนิดจำนวนมากยิ่งกว่าบริเวณอื่นใดของโลก โดยเฉพาะสัตว์จำพวก Poikilotherm ซึ่งเป็นสัตว์บกขนาดใหญ่ที่หายใจในอากาศ นักชีววิทยาพบว่าอุณหภูมิร่างกายของมันแปรโดยตรงกับอุณหภูมิแวดล้อม ทั้งนี้เพราะระบบ metabolism ซึ่งสร้างพลังงานโดยการเผาผลาญอาหารต้องทำงานอย่างสมดุลกับสภาพแวดล้อม ทำให้อัตราการสร้างพลังงานขึ้นกับอุณหภูมิ ด้วยเหตุนี้สัตว์จำพวก Poikilotherm เช่นงูขนาดใหญ่จึงต้องใช้ชีวิตอยู่ในอากาศอบอุ่น ส่วนงูขนาดเล็กก็ต้องอยู่ในบรรยากาศที่เย็น
    จากหลักการนี้ Head และคณะจึงสรุปว่า งูยักษ์แห่ง Cerrejo´n ในโคลอมเบียเคยใช้ชีวิตอยู่ในบริเวณที่มีอุณหภูมิสูง ๓๒-๓๓ องศาเซลเซียส ซึ่งนับว่าสูงกว่าที่ได้จากการศึกษาอื่น ๆ ถึง ๗ องศาเซลเซียส และนี้ก็คือการศึกษาแรกของโลกที่ใช้งูวัดอุณหภูมิยุคดึกดำบรรพ์
    แต่ก็ใช่จะเป็นคำตอบสุดท้ายของปริศนานี้ เพราะคำถามต่าง ๆ ที่ไม่มีข้อสรุปชัดเจนก็ยังมีอยู่ เช่นกระดูกที่พบบอกขนาดที่แท้จริงของงูหรือไม่ และที่ว่าขนาดของสัตว์แปรโดยตรงกับอุณหภูมิแวดล้อมนั้นจริงที่ระดับความเชื่อมั่นเพียงใด แล้วเหตุใดจึงยังไม่มีการพบซากงูยักษ์ในเขตร้อนอื่น ๆ ของโลกบ้าง เหล่านี้ถือเป็นปริศนาที่ต้องศึกษาหาคำตอบเพิ่มเติมครับ
     
  7. amorthem

    amorthem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    90
    ค่าพลัง:
    +130
    Oh!! my god!! o_O
     
  8. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260
    [​IMG]

    มนุษย์ในยุคปัจจุบันสูงประมาณ ๓ ถึง ๔ ศอก
    ขอยกตัวอย่างในสมัยพระพุทธทีปังกรทรงมีพระวรกายสูง ๘๐ ศอก
    ถ้าเทียบกับรูปที่เห็นก็น่าจะเป็นไปได้

    พระพุทธทีปังกร
    เมื่อศาสนาพระพุทธสรณังกรล่วงแล้ว
    พระพุทธทีปังกร ทรงบำเพ็ญบารมีครบ ๑๖ อสงไขยแสนกัลป์
    จึงมากำเนิดเป็นราชบุตรพระเจ้าเทวมหาราช ครองกรุงรมวดี
    พระมารดาพระนามว่า สุเมธาราชเทวี มีมเหสีชื่อ ปทุมาราชกัลยา
    มีราชบุตรชื่อ พระอุศภขันธกุมาร
    เมื่อพระชนม์ได้ ๙,๐๐๐ ปี เสด็จประพาสอุทยาน ทรงเห็นนิมิตร ๔ ประการ
    จึงออกสู่ภิเนษกรมณ์ด้วยช้าง พาหนะ และโยธาอีก ๘๔,๐๐๐
    บรรพชาในอุทยานได้ ๑๐ เดือน แล้วเสด็จไปบิณฑบาต ณ เมืองหนึ่ง
    ชาวเมืองนำข้าว มธุปายาสมาถวาย
    เมื่อเวลาเย็นก็รับหญ้าคาจากสุนันทาชีวก แล้วตรัสรู้ใต้ต้นไม้เลียบ
    ครั้งนั้นนพระโพธิสัตว์เป็นสุเมธดาบส ได้ทอดกายเป็นสะพาน
    ถวายพระพุทธเจ้ากับพระสงฆ์ให้ดำเนินไป
    พระพุทธทีปังกรก็พยากรณ์ว่าดาบสผู้นี้จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
    ในอีก ๔ อสงไขยแสนกัลป์ ทรงนามว่าพระโคดม
    พระพุทธทีปังกร มีพระวรกายสูง ๘๐ ศอก
    เมื่อเสด็จปรินิพพานแล้ว ศาสนาคงอยู่อีกแสนปี
    เมื่อสิ้นพระศาสนาแล้ว สารมัณฑกัลป์ ก็พินาศด้วยเพลิงประลัย

    สาธุ ขออนุโมทนากับท่านเจ้าของกระทู้เป็นอย่างสูงครับ

    เว็บทางนิพพาน เว็บไซด์ เผยแพร่ ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น<O:p</O:p
    ที่รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน<O:p</O:p
    ขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านได้ที่
    www.tangnipparn.com<O:p</O:p

    <?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p>ขอเชิญแวะเยี่ยมชมและโมทนาบุญเว็บศูนย์พุทธศรัทธา


    [​IMG]</O:p>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 เมษายน 2010
  9. emaN resU

    emaN resU เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    2,944
    ค่าพลัง:
    +3,294
    [​IMG]

    [​IMG]

    มาทักทายนะท่าน...
    อย่าท้าพรานประลองนา ขี้เกียจไปหายาถ่ายมาให้ท่านกิน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • un_01.gif
      un_01.gif
      ขนาดไฟล์:
      95.8 KB
      เปิดดู:
      13,315
    • un_02.gif
      un_02.gif
      ขนาดไฟล์:
      119.6 KB
      เปิดดู:
      8,869
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 6 เมษายน 2010
  10. no-ne

    no-ne เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    1,199
    ค่าพลัง:
    +3,381
    มีรูปมาเพิ่มให้ค่ะ ได้รับมาจาก FWD เมล์

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     
  11. kodyhusky

    kodyhusky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    464
    ค่าพลัง:
    +829
    รูปแรก ไมไม่มีเงาคนอ่ะครับ [​IMG]
     
  12. มิคาเอล777

    มิคาเอล777 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    283
    ค่าพลัง:
    +244
    ใน ไบเบิลมีกล่าวถึง พวกมนุษย์เนี่ย เยอะเลยคับ
    ลองยกๆมาให้ดูกัน และคิดว่า คงมีในทุกประวัติศาสตร์ด้วยอย่างที่หลายๆท่านยกตัวอย่างมา

    ในคัมภีร์ โบราณ มักจะเรียกว่า คนเนฟิล หรือ เนฟิลิม "Nephilim''
    ข้อความในไบเบิล ก็มีที่ว่า
    "ในคราวนั้น มีคนเนฟิล (พวกมนุษย์ยักษ์) อยู่บนแผ่นดิน..." (ปฐมกาล 6.4)
    " แผ่นดินที่เราได้ไปสืบดูตลอดแล้วนั้น เป็นแผ่นดินที่กินคนซึ่งอยู่ในนั้น ชาวเมืองที่เราเห็นเป็นคนรูปร่างใหญ่โต ที่นั่น เราเห็นคนเนฟิลในสายตาของเรา เราเหมือนเป็นตั๊กแตน ในสายตาของเขาก็เหมือนกัน" (กันดารวิถี 13.32-33)

    ตามความเชื่อ ของคริสตชน ในสมัยก่อนนั้น มีความเชื่อว่า เนฟิลิม คือพวกฑูตสวรรค์กลุ่มหนึ่งที่มีหัวหน้าใหญ่คือลูซิเฟอร์ล่อลวงและพามายังโลก ด้วย พวกนี้เท่าที่มีผู้ศึกษาในต่างประเทศได้ค้นคว้า หาข้อมูลจากแหล่ง ต่าง ๆ และในหนังสือเอโนคจริงจัง พบว่า พวกนี้ครั้งหนึ่งได้เคยลงมาสมสู่กับมนุษย์ผู้หญิงที่เป็นมนุษย์โลกปกติ และให้กำเนิดมนุษย์ประหลาดตัวโต เก่งกาจ ไอคิวสูงมาก และแพร่ขยายไปมาก และก่อให้เกิดมนุษย์ยักษ์ที่มีอายุยืน
    ซึ่งเรื่องราวของ เนฟิลิม จะปรากฎอยู่ใน หนังสือ เอโนค " Book of Enoch" เอโนคเป็นคนที่ได้รู้ได้เห็นเรื่องโลกฑูตสวรรค์อย่างมากจนเขียน เป็นหนังสือหรือเชิงจดหมายเหตุบันทึกไว้เป็นเล่ม

    เอโนค พระคัมภีร์กล่าวว่าเขาเป็นคนที่ดำเนินชีวิตกับพระเจ้า คือเป็นคนที่มีความเชื่อในพระเจ้า และมีชีวิตที่ชอบธรรม พระเจ้าจึงรับเขาหายไปเลย ซึ่งเอโนคถูกรับหายขึ้นไปก่อนน้ำท่วมโลกสมัยโนอาห์

    คำถามคือเหตุใดหนังสือเอโนคไม่ถูกรวบเข้าสารระบบพระคัมภีร์ เพราะรอจนยุคสุดท้ายก่อนการเสด็จมาของพระเยซูคริสต์ การกล่าวเล่าเรื่องราวรายละเอียดมากถึงการติดต่อสื่อสารระหว่างสิ่ง เหล่านี้กับมนุษย์ และอื่น ๆ ตามที่เขาได้รู้ได้เห็น ในสมัยโบราณก่อนน้ำท่วมโลก
    คำถามต่อมาแล้วพวกมนุษย์ยักษ์พวกนี้ไปหลบที่ไหน คำตอบก็คือตายหมดสมัยน้ำท่วมโลกแล้ว รวมทั้งสัตว์ประหลาดต่าง ๆ อีกเหตุหนึ่งที่ต้องให้น้ำท่วมโลกเพราะเชื้อสายมนุษย์ที่ผสมและผิดปกติไปนี้ อาจจะไปผสมกับครอบครัวของโนอาห์ในอนาคตได้ ซึ่งนั่นจะทำให้มีผลต่อการมาเกิดของพระเยซู คือเป็นการทำลายพงศ์พันธุ์ของอิสราเอลที่พระเยซูจะมาเกิด และมนุษย์โลกจะไม่รอดหากเป็นเช่นนี้

    [​IMG]
    แม้โกไลแอทไม่ใช่คนเนฟิล แต่ความสูงของโกไลแอธนั้น
    หากเทียบมาตรากับสมัยนี้แล้วก็ประมาณ 9 ฟุต (270 ซม.)


    แต่ว่า คนเนฟิล ที่เหลือรอดก็มีอยู่ ผ่านมาในสมัยต่อมาเมื่อใน อดีต ในไบเบิล
    ได้กล่าวต่อไป ภายหลังจากน้ำท่วมโลก
    ครั้นเมื่อ โมเสส ได้ยกกำลังคนอิสราเอลทั้งหมด มาถึงแผ่นดินที่ชื่อ คานาอัน
    แผ่นดินอันสมบูรณ์ อุดมด้วยอาหารครบถ้วน แต่มีเชื้อสายของคนยักษ์อาศัยอยู่ ที่เรียกกันว่า "คนอานาค"
    [FONT=AngsanaUPC, BrowalliaUPC, CordiaUPC, MS Sans Serif]“เขาทั้งหลายเล่าให้โมเสสฟังว่า “ข้าพเจ้าทั้งหลายได้ไปถึงแผ่นดินซึ่งท่านใช้ไป มีน้ำนมและน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์ที่นั่นจริง และนี่เป็นผลไม้ของเมืองนั้น แต่คนที่อยู่ในเมืองนั้นมีกำลังมาก และเมืองของเขาก็ใหญ่โตมีกำแพงล้อมรอบ นอกจากนั้น ข้าพเจ้าทั้งหลายยังเห็นคนอานาคที่นั่นด้วย คนอามาเลขอยู่ในแผ่นดินเนเกบ คนฮิตไทต์ คนเยบุส และคนอาโมไรต์อยู่บนภูเขา คนคานาอันอาศัยอยู่ที่ริมทะเล และตามฝั่งแม่น้ำจอร์แดน”
    [FONT=AngsanaUPC, BrowalliaUPC, CordiaUPC, MS Sans Serif]กันดารวิถี 13:27-29

    นึกภาพไม่ออกเหมือนกันว่าองุ่นพวงหนึ่งต้องใช้ 2 คนหามมันจะใหญ่ขนาดไหน แต่ตามที่ศึกษากันดู คนอานาคเป็นคนที่ตัวใหญ่มาก เหมือนยักษ์ สมัยนั้นเราได้ยินโกไลอัท ก็ไม่รู้ว่าใหญ่ขนาดไหน แต่ดูจากหมวกหรือมีด หรืออาวุธที่ต่อสู้กันในสมัยเก่าๆ คนธรรมดาไม่น่าจะถือได้ นั่นแสดงว่าตัวใหญ่มาก
    “แต่คาเลบได้ให้คนทั้งปวงเงียบต่อหน้าโมเสสกล่าวว่า “ให้เราขึ้นไปทันทีและยึดเมืองนั้น เพราะว่าพวกเรามีกำลังสามารถที่จะเอาชัยชนะได้” ฝ่ายคนทั้งปวงที่ขึ้นไปสอดแนมด้วยกันกล่าวว่า “เราไม่สามารถสู้คนเหล่านั้นได้ เพราะเขามีกำลังมากกว่าเรา” และเขาได้กล่าวร้ายเรื่องแผ่นดินที่เขาได้ไปสอดแนม มาเล่าให้คนอิสราเอลฟังว่า “แผ่นดินที่เราได้ไปสืบดูตลอดแล้วนั้น เป็นแผ่นดินที่กินคน ซึ่งอยู่ในนั้น ชาวเมืองที่เราเห็นเป็นคนรูปร่างใหญ่โต ที่นั่นเราเห็นคนเนฟิล (คนอานาคผู้มาจากคนเนฟิล) ในสายตาของเรา เราเหมือนตั๊กแตนโมในสายตาของเขาก็เหมือนกัน”กันดารวิถี 13:30-33

    จากที่เห็นมาผม ยกมาให้อ่านจาก ไบเบิล จะเห็นได้ว่า ในปัจุบันก็มีคนตัวยักษ์ อยู่บ้าง
    มีชื่อเสียงบ้าง ไม่มีบ้าง หลายคนคงเคยเห็นภาพของเค้าเหล่านั้นมาบ้าง ซึ่งผมว่า
    คงหลงเหลือ อยู่ใน DNA ของคนเหล่านั้น
    [/FONT][/FONT]
     
  13. มิคาเอล777

    มิคาเอล777 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    283
    ค่าพลัง:
    +244
    [​IMG]
    <TABLE border=0 cellSpacing=1 cellPadding=3 width=560 bgColor=#f2fff2 align=center><TBODY><TR><TD class=textmain>ข่าวหญิงวัย 16 ปีที่มีส่วนสูงผิดปกติถึง 212 เซนติเมตร ทำให้โรคเนื้องอกของต่อมใต้สมองผิดปกติหรืออะโครเมกาลี เริ่มเป็นที่สนใจของประชาชน

    ภัยของโรคเนื้องอกของต่อมใต้สมองผิดปกติ (Acromegaly) นั้นเกิดจากความผิดปกติของเนื้องอก ที่ได้สร้างฮอร์โมนชนิดหนึ่ง ที่เรียกว่า โกร๊ธฮอร์โมน (Growth Homone) ซึ่งผลิตขึ้นมามากกว่าคนปกติทั่วไป

    โรคนี้ปกติจะไม่ค่อยพบบ่อยมากนัก เทียบเป็นอัตราส่วน 1 ต่อหลายแสนคน แต่สำหรับในประเทศไทยนั้นพบจำนวนผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากว่าระบบการแพทย์ของไทยในปัจจุบัน ดีขึ้นกว่าในอดีตมาก มีการร่วมมือกันระหว่างแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านต่อมไร้ท่อ และแพทย์ระบบทางเดินทางประสาทในการวินิจฉัยและรักษา ทำให้ค้นพบผู้ที่เป็นโรคนี้เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง

    โรคเนื้องอกของต่อมใต้สมองผิดปกติ เกิดจากความผิดปกติของสมองลึกลงไปบริเวณหลังกระบอกตา จะมีต่อมใต้สมองซึ่งมีรูปร่างคล้ายเม็ดถั่ว ทำหน้าที่สร้างฮอร์โมนที่ควบคุมการเจริญเติบโตหรือโกร๊ธฮอร์โมน

    เราเรียกต่อมนี้ว่า “พิทูอิตารี (Pituitary)” ซึ่งถ้าเกิดเนื้องอกที่สร้างโกร๊ธฮอร์โมนมากผิดปกติอย่างขาดการควบคุม ก็จะทำให้เกิดโรคคนยักษ์หรืออะโครเมกาลี (Acromegaly) โรคนี้เกิดกับใครก็ได้ทุกเมื่อ และมันจะเปลี่ยนแปลงร่างกายของเราไปตลอดชีวิต

    หลายปีที่ผ่านมา ผมได้พบคนไข้รายหนึ่งโดยบังเอิญ ในระหว่างตรวจเช็คสถานที่จัดงานในโรงแรมย่านถนนพระราม 3 ก่อนหน้าวันสัมมนาหนึ่งวัน ตอนนั้นมีชายอายุราว 30 ปีเศษ เป็นช่างไฟประจำโรงแรมมากำลังติดตั้งระบบไฟฟ้า ขณะที่เขาง่วนอยู่กับการทำงาน ผมสังเกตเห็นความผิดปกติของรูปร่างหน้าตา จึงเข้าไปพูดคุยด้วย

    สังเกตพบว่ามีเสียงห้าวใหญ่ คิ้วโหนก ริมฝีปากหนา มือและเท้ามีขนาดใหญ่และโตขึ้นเรื่อยๆ จนต้องเปลี่ยนรองเท้าคู่ใหม่ที่ใหญ่ขึ้นบ่อยๆ และชอบเดินชนสิ่งต่างๆ ทั้งหมดนี้เจ้าตัวไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องผิดปกติ แต่ในฐานะหมอระบบต่อมไร้ท่อ

    ผมค่อนข้างแน่ใจว่าเขาคือผู้ป่วยโรคอะโครเมกาลี แต่ ไม่รู้ตัวว่าตนเองป่วย จึงแนะนำให้ไปตรวจเช็คอย่างละเอียดที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ พร้อมทั้งให้นำภาพถ่ายสมัยเป็นนักเรียน นักศึกษามาด้วย

    เมื่อถึงวันนัด จากภาพถ่ายจะเห็นได้ชัดว่าผู้ป่วยมีหน้าตาเปลี่ยนไปจากเดิมมาก ผมได้ทำการตรวจเลือดตรวจ เพื่อวัดระดับโกร๊ธฮอร์โมน ทั้งก่อนและหลังดื่มน้ำตาลกลูโคส ผลปรากฏว่าระดับโกร๊ธฮอร์โมนสูงกว่าค่าของคนปกติหลายเท่าและไม่ลดลงภายหลังดื่มน้ำตาลกลูโคส

    ผลการเอ็กซเรย์กระดูกทั้งตัว ก็พบความผิดปกติตามคาด คือกระดูกเขาเติบโตต่างจากคนทั่วไป มีเนื้อเยื่อผิวหนังบริเวณฝ่ามือและฝ่าเท้าหนามาก ผลการตรวจ MRI สมอง ก็พบว่ามีก้อนเนื้องอกต่อมพิทูอิตารีขนาดใหญ่มากถึง 4 เซนติเมตร โดยก้อนเนื้องอกได้กดทับปราสาทสมองส่วนควบคุมการมองเห็น ทำให้ลานสายตาทางด้านข้างทั้งสองข้างแคบลง เป็นสาเหตุให้เขาเดินชนสิ่งนั้นสิ่งนี้อยู่บ่อยๆ ซึ่งหากปล่อยไว้อย่างนี้ไม่ดีแน่

    หลังจากการตรวจวินิจฉัยครบทุกขั้นตอนแล้วจึงส่งไปรับการผ่าตัดเพื่อเอาก้อนเนื้องอกทิ้งไป ผู้ป่วยรายนี้ก่อนผ่าตัดก็พบว่าเป็นเบาหวานร่วมด้วย ซึ่งน่าจะเป็นผลมาจากเนื้องอกชนิดนี้

    การผ่าตัดคนไข้รายนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะต้องทำการผ่ากันถึง 3 ครั้ง หลังผ่าตัดครั้งแรกพบว่าไม่หมด ฮอร์โมนยังสูงอยู่ จึงได้รับการผ่าตัดครั้งที่สอง และครั้งที่สามตามมาในระยะเวลา 1 ปี แต่หลังผ่าตัดแล้วทุกครั้งระดับฮอร์โมนก็ยังไม่ลดลง

    แต่กลับพบว่า ต่อมหมวกไตทำงานผิดปกติและฮอร์โมนเพศลดลง ต้องให้ฮอร์โมนเสริม เพื่อปราบก้อนเนื้องอกอย่างถอนรากถอนโคน จึงจำเป็นต้องส่งผู้ป่วยไปฉายแสงอีก 20 โดส (Dose) ให้เนื้องอกฝ่อลง และรายนี้ก็ หลังจากฉายแสงไปได้ 2-3 ปี ระดับฮอร์โมนก็ลดลง แต่คนไข้กลับมีฮอร์โมนธัยรอยด์ต่ำ ช่วงที่เนื้องอกค่อยๆ ฝ่อ อาการเบาหวานก็หายไปโดยไม่ต้องทานยา แต่ต้องรับยาฮอร์โมนจากต่อมหมวกไตและฮอร์โมนธัยรอยด์ และฉีดฮอร์โมนเพศทดแทนทุกเดือน

    ปัจจุบันคนไข้รายนี้หายจากโรคและกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติแล้ว แต่อาการมือ เท้าใหญ่ จะยังคงอยู่ตลอดไป ส่วนเรื่องเสียงห้าวและหน้าตาเปลี่ยนแปลงดีขึ้นเล็กน้อย

    อีกรายเป็นหญิงวัยกลางคนที่รักสวยรักงาม มาหาหมอเพราะสังเกตตนเองหน้าเปลี่ยนไป กรามใหญ่ขึ้น คางหนา โหนกคิ้วใหญ่ ที่สำคัญคือแหวนที่ใส่คับ ถอดไม่ได้ ผลการตรวจยืนยันว่าเป็นอะโครเมกาลี แต่รายนี้โชคดีมาพบแพทย์ค่อนข้างเร็ว เนื้องอกมีขนาดไม่โตมาก (1.2 ซ.ม.)

    ผู้ป่วยรายนี้ไม่ได้ผ่าตัดเพราะเป็นช่วงที่มียาใหม่เข้ามา (แซนโดสแตตินชนิดออกฤทธิ์นาน) หมอจึงฉีดให้ยาตัวนี้กับเธอมาตลอด โดยฉีดยาเดือนละ 1 เข็มทุกๆ เดือน เกือบสองปี โกร๊ธฮอร์โมนจึงเข้าสู่ระดับปกติ แต่เธอต้องได้รับยาตลอดชีวิต เพื่อไปกดไม่ให้เนื้องอกโต

    ถามว่าทำไมไม่ผ่าออกเหมือนรายแรก เพราะการผ่าตัดก็มีความเสี่ยงหรือแม้ฉายแสงด้วยวิธีใหม่ ที่เรียกว่าแกมม่าไน้ฟว์ก็ให้ผลเพียง 70-80 เปอร์เซ็นต์ และอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ โดยเฉพาะทำให้ฮอร์โมนอื่นๆ หมดไปได้เหมือนเช่นรายแรก

    หลังได้ยาต่อเนื่องเป็นเวลา 2 ปี พบว่าเนื้องอกมีขนาดเล็กลง 50 เปอร์เซ็นต์ ระดับฮอร์โมนลดลงเกือบเท่ากับคนปกติ แต่ยังไม่สามารถหยุดการใช้ยาฉีดตัวนี้ได้ ต้องใช้ไปตลอด ยาตัวนี้ค่อนข้างแพง ผู้ป่วยต้องรับภาระราวเดือนละ 5-6 หมื่นบาทไปตลอดชีวิต

    สำหรับหญิงสาววัย 16 ปี ที่เป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์เมื่อต้นปี 2552 ก็เป็นเนื้องอกชนิดนี้เช่นกัน แต่เนื่องจากเป็นตั้งแต่เด็ก กระดูกยังเติบโตยาวขึ้นได้เรื่อยๆ จึงทำให้เกิดเป็นเด็กร่างยักษ์ รายนี้สูงมาก ในช่วงวัยประถมปลายก็สูงเกือบสองเมตร ขณะนี้กำลังรักษาด้วยยาตัวใหม่นี้เช่นกัน โชคดีที่มีผู้มีใจบุญกุศลช่วยเหลือบริจาคค่ายา

    โรคนี้ที่จริงแล้วพบได้น้อยมาก แต่ก็ใช่ว่าจะหายาก ผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้ฝ่ามือจะใหญ่ หยาบ เป็นคนตัวใหญ่ ล่ำ ๆ เสียงจะเปลี่ยนไป การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายจะช้ามาก จึงต้องควรสังเกตตัวเอง

    มีวิธีสังเกตง่าย ๆ เช่น แหวนที่เคยใส่อยู่คับไปต้องเปลี่ยนวง หรือเปลี่ยนเบอร์รองเท้าบ่อยๆ ซึ่งไม่ควรจะเกิดในผู้ใหญ่ เป็นต้น ซึ่งแพทย์หลายท่าน สามารถตรวจได้ โดยตรวจดูจากโครงกระดูก และอวัยวะภายใน ว่ามีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ หากเกิดความสงสัย ว่าเป็นโรคนี้ ใช้วิธีการตรวจเลือดเพื่อวัดระดับฮอร์โมนซึ่งสามารถทดสอบได้ง่าย ๆ

    หากเนื้องอกไปกระทบในส่วนของฮอร์โมนไทรอยด์ ก็จะเฉื่อย ชา ทำงานช้า ขี้หนาว ท้องผูก หากเนื้องอกลุกลามไปที่ต่อมฮอร์โมนเพศ จะทำให้ขาดฮอร์โมนเพศ ซึ่งจะมีความผิดปกติทางเพศ ซึ่งจะไม่มีลักษณะของผู้หญิงหรือผู้ชาย ผู้หญิง ก็จะไม่มีประจำเดือน ผู้ชายก็ไม่มีความรู้สึกทางเพศ แต่จะตัวสูง แต่ต่อมทางเพศถูกทำลายหมดแล้ว

    หรือหากเนื้องอกไปกดทับฮอร์โมน ที่เรียกว่า สเตอรอยด์ ก็จะไม่มีแรง ลุกนั่งก็จะเป็นลม น้ำตาลต่ำและเกิดโรคภาวะแทรกซ้อน อื่น ๆ ตามมา เป็นโรคเบาหวาน โรคหัวใจ เป็นต้น

    ดังนั้น หากคุณสวมแหวนประจำ แล้ววันหนึ่งเกิดคับขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ หรือเท้าใหญ่ขึ้นต้องเปลี่ยนรองเท้าบ่อยๆ ร่วมกับมีอาการของเบาหวาน อ่อนล้า กล้ามเนื้ออ่อนแรง ปวดข้อต่อ ทัศนวิสัยการมองเห็นเปลี่ยนไป ควรมาพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุตั้งแต่เนิ่นๆ

    โรคเนื้องอกของต่อมใต้สมองผิดปกติหรือโรคอะโครเมกาลี เป็นความผิดปกติที่ยังหาสาเหตุแท้จริงไม่ได้ แต่ก็ไม่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม ควรรีบพบแพทย์เพื่อรักษา ความผิดปกติก็จะน้อยลงและสามารถอยู่กับมันได้อย่างไม่ลำบากมากนัก

    * รศ.นพ.สมพงษ์ สุวรรณวลัยกร รองผู้อำนวยการฝ่ายบริการ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ และอาจารย์สาขาวิชาต่อมไร้ท่อและเมตาบอลิซึม

    </TD></TR><TR><TD class=textmain>แหล่งข่าว : กรุงเทพธุรกิจ</TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
  14. emaN resU

    emaN resU เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    2,944
    ค่าพลัง:
    +3,294
    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • un_03.gif
      un_03.gif
      ขนาดไฟล์:
      205.7 KB
      เปิดดู:
      8,507
    • un_04.gif
      un_04.gif
      ขนาดไฟล์:
      239.4 KB
      เปิดดู:
      8,180
    • un_05.gif
      un_05.gif
      ขนาดไฟล์:
      99.2 KB
      เปิดดู:
      8,234
  15. no-ne

    no-ne เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    1,199
    ค่าพลัง:
    +3,381
    น่าเห็นใจค่ะ เพราะเธอคงมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ลำบากกว่าคนปกติ เป็นแน่แท้ ..
     
  16. 0atitaya0

    0atitaya0 ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มกราคม 2010
    โพสต์:
    381
    ค่าพลัง:
    +2,728
  17. มิคาเอล777

    มิคาเอล777 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    283
    ค่าพลัง:
    +244
    [​IMG]
    แต่ถ้าเป็นยักษ์ตัวเขียวล่ะ จะทำยังงัยกันดี อิอิ ^^
     
  18. glassbuddha2009

    glassbuddha2009 087-7459995 สมบูรณ์ ติยะวงศ์สกุล

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    36,824
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +53,839
    *************************************

    ผมมาเห็นรูปนี้เข้าจึงร้องอ๋อ สมัยบวชอยู่ ทุกเช้าที่ออกบิณฑบาตรจะพบรอยเหมือนงูเลื้อยไปเป็นคู่ คือมี 2 รอย แต่ละรอยมีความกว้างประมาณ 2 ฟุตรอยนึง อีกรอยประมาณ 1 ฟุตเศษ พระภิกษุรูปอื่น ๆ ที่เป็นคนท้องถิ่นบอกว่า เป็นรอยงูยักษ์คู่หนึ่งที่มาลงหนองน้ำ ตกดึก ๆ เขาก็จะย้ายไปอีกหนองน้ำนึง รุ่งสางก็จะกลับมาหนองนี้ ผมเองไม่เชื่อ นึกให้เป็นวิทยาศาสตร์ก็นึกไม่ออก เห็นรอยอย่างนี้อยู่หลายเดือนก่อนจากที่นั่นไป มาเห็นรูปนี้ก็ร้องอ๋อเลย
     
  19. emaN resU

    emaN resU เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    2,944
    ค่าพลัง:
    +3,294
    งั้นก็ต้องสกัดดาวรุ่ง... ด้วยไอ้ตัวเขียวยุคไดโนเสาร์

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • peter01.gif
      peter01.gif
      ขนาดไฟล์:
      86.6 KB
      เปิดดู:
      8,627
  20. ชอบของหวาน

    ชอบของหวาน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +43
    เอ่อ น่าเป็นไปได้ อาจเป็นมนุษย์ยุค ก่อนพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันครับ ต้องนำไปเปรียบเทียบความสูงดูว่าแต่ละยุค มนุษย์ สูงประมาณเท่าไร ใครพอทราบข้อมูลช่วยกันหาข้อมูลมาลงกันครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...