ช่วยตัวเองไม่ได้ไม่รู้เพราะท้อหรือเบื่อทางโลกทำให้อยากตาย

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย Igiko_L, 15 พฤษภาคม 2009.

แท็ก: แก้ไข
  1. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ผมคิดว่าถ้าเราคิดว่าทั้งโลกมีเราคนเดียวที่เป็นทุกข์ เราก็จะทุกข์อยู่คนเดียว แต่ในความเป็นจริงชีวิตมนุษย์ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อค้นหาตัวตนที่แท้จริงของตนเอง เช่น ใครมีจริตความเชื่อ ศรัทธา ในศาสนาใด ก็จะปฏิสนธิในประเทศที่มีศาสนานั้นตามบุญบารมีที่ได้สั่งสมมา แต่ประเด็นคือ ทุกชีวิตบนโลกนี้จะต้องเจอและเคยผ่านพ้นอุปสรรคด้วยกันทั้งนั้น ความสำเร็จจึงจะเกิด (ในทุกๆทาง) ตัวผมก็เป็นสิ่งที่พ่อผมสอนอยู่เสมอ คือ แม้เราจะเกิดมาไม่มีทรัพย์สินเงินทองมากมาย แต่ของทั้งหลายเราสามารถหาได้ ด้วยปัญญาของเราเอง ส่วนเรื่องของน้อง ในเมื่อน้องเคยศึกษาพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัพุทธเจ้าอยู่บ้างน้องก็น่าจะรู้นะว่า เส้นทางของน้อง(การเป็นหมอ)คือการได้ช่วยเหลือผู้คนมากมายนับไม่ถ้วน นับเป็นบุญเป็นกุศลอย่างมากมากๆ ที่น้องได้เกิดมาแล้วมีปัญญาดี สามารถสอบได้ น้องแน่ใจหรือว่าแพทย์แผนไทย คือการเป็นหมอนวด คนเราเมื่อไม่ศรัทธาในตัวเองแล้วจะทำอะไรก็จะกลายเป็นเรื่องยากทั้งที่ปัญหาเรื่องที่คิดเกิดจากความคิดของคนอื่น ทำไมเราไม่ดึงศักยภาพที่มีในตัวเอง มาใช้ให้เป็นประโยช์ละ เท่าที่พี่รู้มา สาขาที่ว่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านการใช้สมุนไพรในการรักษาโรคถามว่า ถ้าอนาคตยาที่ได้จากการสังเคราะห์ทางเคมี รักษาไม่หาย หรือมีราคาแพง เมื่อเทียบกับยาสมุนไพรซึ่งถ้ามีความรู้ก็จะหามารักษาได้ ราคาไม่แพง และที่สำคัญไอ้ยาที่เรากินๆกันเข้าไป เป็นการสกัดและแยกเอาส่วนที่มีฤทธิ์จริงๆเอาไว้ และที่สำคัญต้นตอของมันก็มาจากสมุนไพร ไม่เชื่อลองไปดูในวารสารทางการแพทย์ หรือทางเคมีก็ได้ คนเรานั้นทำอะไรก็ตาม หรือคิดอยากทำอะไรก็ตาม มันจะตันไม่ได้มันต้องมีทางออกเสมอ เหมือนกับลมหายใจ ชีวิตของทุกๆคนไม่ถูกกำหนดด้วยความคิดของใครก็ตามแม้แต่ตัวเราเอง แต่ต้องรู้วิธีที่จะผ่อนหนักให้เป็นเบา หาสาเหตุ ถ้าเราบอกว่าเราไม่อยากเรียนแบบนี้ แต่เราอยากเรียนแพทย์รามา หรือแพทย์ศิริราชสาเหตุที่เราไม่ได้จริงๆคือ คะแนนไม่ถึง ไม่ใช่ไม่มีเงินเรียน ลองสอบติดสิได้เรียนสิ ใครไม่สนับสนุนก็บ้าแล้ว หมอมีน้อยมากในประเทศ เข้าไปเรียนเลยถ้าสอบติดตั้งใจเรียนเดี๋ยวเงินมันมาเอง จำเอาไว้ว่าเราไม่เกิดมาลอยๆคนเดียว นอกจากพ่อแม่ พี่น้อง แล้วยังมีญาติโก โหติกา แต่ชาติปางก่อนเกิดมาร่วมภพร่วมชาติกันอยู่อีกมากมาย เมื่อเราพิจารณาแล้วว่าเป็นเพราะคะแนนเราไม่ถึงเราก็หาจุดบกพร่องของมันสิมันอยู่ตรงไหน วิชาอะไรที่หายไปหรือได้น้อย พี่เองก็ไม่ใช่คนเก่งมากมายอะไรหรอก แต่พี่เป็นคนที่พอใจในสิ่งที่พี่เป็น และทำในสิ่งที่เป็นอย่างเต็มที่แม้จะมีอุปสรรคมากมายกองอยู่ตรงหน้า (คล้ายๆกับน้อง) แต่พี่ไม่ใช่หมอ เพราะฉนั้นพี่อยากจะบอกแค่ว่า ถ้าเราไม่พอใจในสิ่งที่เราเป็น เราต้องขวนขวายและพยายามให้มากขึ้น ที่สำคัญต้องไม่วอกแวกต่อสิ่งรอบข้าง(ปัจจัยภายนอก) นั่นคือเราจะต้องโฟกัสให้ตรงจุด ไม่งั้นถ้าพลาดไปมันจะเสียเวลาเปล่าๆ สุดท้ายขอให้น้องระลึกอยู่เสมอว่าบนโลกใบนี้ไม่ได้มีเธอผู้เดียวที่เป็นแบบนี้ มีคนอีกมากมายที่เป็นเหมือนกับเธอ และมีคนอีกมากมายที่เป็นยิ่งกว่าเธอ การทำให้ตัวเองตายเพราะเหตุผลที่ไม่สมควร นั้นถือเป็นเรื่องผิดร้ายแรง เป็นการฝืนกฏ จักรวาล จะต้องถูกปรับฟาล์ว ผิดกติกา ของสิ่งมีชีวิต แต่ถ้าเกิดเพราะบาป-กรรม ที่เราสร้างมาก็ขอให้จงทำใจยอมรับมันคิดสร้างสิ่งดีๆ ทำสิ่งดีๆ สักวันหนึ่งเจ้ากรรมนายเวรจะเห็นใจและ อโหสิกรรมให้เรา สุดท้ายขอให้น้องจงมีแต่ความสุขความเจริญ หากมีทุกข์ ขอให้พ้นจาก ทุกข์ หากมีสุข ก็ขอให้มีสุขยิ่งๆขึ้นไป ปราศจากโรค แค้วลคลาดจากอันตรายทั้งปวง ขอให้มีสติปัญญาเฉียบแหลม เพื่อใช้ต่อสู้ฝ่าฟันอุปสรรคที่เกิดนี้ได้ด้วยเทอญ
     
  2. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    ฤาษีที่หนูฝันถึง คือ หมอของพระพุทธเจ้าค่ะ

    ชีวกโกมารภัจจ์...บรมครูแห่งการแพทย์


    [​IMG]

    พระคาถา อัญเชิญ ดวงจิต วิญญาณ
    ปรมาจารย์ทางการแพทย์ " ชีวกโกมารภัจจ์"


    โอม นะโม ชีวะโก สิระสา อะหัง กรุณิโก สัพพะสัทธานัง
    โอสะถะ ทิพพะมันตัง ประภาโส สุริยาจันทัง โกมารภัจจ์โต
    ประภาเสสิ วันทามิ ปัณฑิโต สุเมทะโส อะโรคา สุมนาโหม
    ( ว่า ๓ ครั้ง )

    นะอะ นะวะ โรคา พยาธิ วินาสสันติ
    ( ว่า ๓ ครั้ง )
    <B>[FONT=Tahoma, sans-serif][FONT=Tahoma, sans-serif]คำไหว้ครูว่านยา : ชีวกโกมารภัจจ์
    [FONT=Tahoma, sans-serif]ข้าขอประนมหัตถ์ [/FONT][FONT=Tahoma, sans-serif]พระไตรรัตน์นาถา[/FONT]
    [/FONT]</B>[FONT=Tahoma, sans-serif]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]ตรีโลกอมรา [/FONT][FONT=Tahoma, sans-serif]อภิวาทนากร[/FONT]

    [FONT=Tahoma, sans-serif]หนึ่งข้าอัญชลี [/FONT][FONT=Tahoma, sans-serif]พระฤษีผู้ทรงญาณ[/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]แปดองค์เธอมีญาณ[/FONT][FONT=Tahoma, sans-serif]โดยรอบรู้ในโรคา[/FONT]

    [FONT=Tahoma, sans-serif]ไหว้คุณอิศวเรศ [/FONT][FONT=Tahoma, sans-serif]ทั้งพรหมเมศทั่วชั้นฟ้า[/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]สาบสรรซึ่งว่านยา [/FONT][FONT=Tahoma, sans-serif]ประทานทั่วโลกธาตรี[/FONT]

    [FONT=Tahoma, sans-serif]ไหว้คุณกุมารภัจจ์ [/FONT][FONT=Tahoma, sans-serif]ผู้เจนจัดในคัมภีร์[/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]เวชศาสตร์บรรดามี [/FONT][FONT=Tahoma, sans-serif]ให้ทานทั่วแก่นรชน[/FONT]

    [FONT=Tahoma, sans-serif]ไหว้ครูผู้สั่งสอน [/FONT][FONT=Tahoma, sans-serif]แต่ปางก่อนเจริญผล[/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]ล่วงลุนิพานดล [/FONT][FONT=Tahoma, sans-serif]สำเร็จกิจประสิทธิพรฯ[/FONT]
    [/FONT]
    ความหมายของคำว่า ชีวก
    ชีวก ชื่อหมอใหญ่ผู้เชี่ยวชาญในการรักษาและมีชื่อเสียงมากในครั้งพุทธกาล เป็นแพทย์ประจำพระองค์ของพระเจ้าพิมพิสาร และพระเจ้าพิมพิสารได้ถวายให้เป็นแพทย์ประจำพระองค์ของพระพุทธเจ้าด้วย,
    เรียกชื่อเต็มว่า ชีวกโกมารภัจจ์ หมอชีวกเกิดที่เมืองราชคฤห์แคว้นมคธ เป็นบุตรของนางคณิกา (หญิง งามเมือง) ชื่อว่าสาลวดี แต่ไม่รู้จัก มารดาบิดาของตน เพราะเมื่อนางสาลวดีมีครรภ์ เกรงค่าตัวจะตกจึงเก็บตัวอยู่ ครั้นคลอดแล้วก็ให้คนรับใช้เอาทารก ไปทิ้งที่กองขยะ แต่พอดีเมื่อถึงเวลาเช้าตรู่ เจ้าชายอภัย โอรสองค์หนึ่งของพระเจ้าพิมพิสาร จะไปเข้าเฝ้า เสด็จผ่านไป เห็นการุมล้อมทารกอยู่ เมื่อทรงทราบว่าเป็นทารกและยังมีชีวิต อยู่ จึงได้โปรดให้นำไปให้นางนมเลี้ยงไว้ในวัง ใน ขณะที่ทรงทราบว่าเป็นทารกเจ้าชายอภัยได้ตรัสถามว่าเด็กยังมีชีวิตอยู่ (หรือยังเป็นอยู่) หรือไม่ และทรงได้รับคำตอบ ว่ายังมีชีวิตอยู่ (ชีวติ = ยังเป็นอยู่ หรือยังมีชีวิตอยู่) ทารกนั้นจึงได้ชื่อว่า ชีวก (ผู้ยังเป็น) และเพราะเหตุที่เป็นผู้อันเจ้าชายเลี้ยงจึงได้มีสร้อยนามว่า โกมารภัจจ์ (ผู้อันพระราชกุมารเลี้ยง)
    ครั้นชีวกเจริญวัยขึ้น พอจะทราบว่าตนเป็นเด็กกำพร้า ก็คิดแสวงหาศิลปวิทยาไว้เลี้ยงตัว จึงได้เดินทางไป ศึกษาวิชาแพทย์กับอาจารย์แพทย์ทิศาปาโมกข์ ที่เมืองตักสิลา ศึกษาอยู่ ๗ ปี อยากทราบว่าเมื่อใดจะเรียนจบ อาจารย์ให้ ถือเสียมไปตรวจดูทั่วบริเวณ ๑ โยชน์รอบเมืองตักสิลา เพื่อหาสิ่งที่ไม่ใช่ตัวยา ชีวกหาไม่พบ กลับมาบอกอาจารย์ ๆ ว่า สำเร็จการศึกษามีวิชาพอเลี้ยงชีพแล้ว และมอบเสบียงเดินทางให้เล็กน้อย ชีวกเดินทางกลับยังพระนครราชคฤห์เมื่อ เสบียงหมดในระหว่างทาง ได้แวะหาเสบียงที่เมือง สาเกต โดยไปอาสารักษาภรรยาเศรษฐีเมืองนั้นซึ่งเป็นโรคปวด ศีรษะมา ๗ ปี ไม่มีใครรักษาหาย ภรรยาเศรษฐีหายโรคแล้ว ให้รางวัลมากมาย หมอชีวกได้เงินมา ๑๖,๐๐๐ กษาปณ์ พร้อมด้วยทาสทาสีและรถม้าเดินทางกลับถึงพระนครราชคฤห์ นำเงินและของรางวัลทั้งหมดไปถวายเจ้าชายอภัยเป็น ค่าปฏิการะคุณที่ได้ทรงเลี้ยงตนมา เจ้าชายอภัยโปรดให้หมอชีวกเก็บรางวัลนั้นไว้เป็นของตนเอง ไม่ทรงรับเอา และ โปรดให้หมอชีวกสร้างบ้านอยู่ในวังของพระองค์ ต่อมาไม่นานเจ้าชายอภัยนำหมอชีวกไปรักษาโรคริดสีดวงงอกแด่ พระเจ้าพิมพิสาร จอมชนแห่งมคธทรงหายประชวรแล้ว จะพระราชทานเครื่องประดับของสตรีชาววัง ๕๐๐ นางให้ เป็นรางวัล หมอชีวกไม่รับ ขอให้ทรงถือว่าเป็นหน้าที่ของตนเท่านั้น พระเจ้าพิมพิสารจึงโปรดให้หมอชีวกเป็นแพทย์ ประจำพระองค์ ประจำฝ่ายในทั้งหมด และประจำพระภิกษุสงฆ์อันมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข หมอชีวกได้รักษาโรค ร้ายสำคัญหลายครั้ง เช่น
    ผ่าตัดรักษาโรคในสมองของเศรษฐีเมืองราชคฤห์ ผ่าตัดเนื้องอกในลำไส้ของบุตรเศรษฐี เมืองพาราณสี รักษาโรคผอมเหลืองแด่พระเจ้าจัณฑปัชโชตแห่งกรุงอุชเชนี และถวายการรักษาแด่พระพุทธเจ้าใน คราวที่พระบาทห้อพระโลหิต เนื่องจากเศษหินจากก้อนศิลาที่พระเทวทัตกลิ้งลงมาจากภูเขาเพื่อหมายปลงพระชนม์ชีพ หมอชีวกได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน และด้วยศรัทธาในพระพุทธเจ้า ปรารถนาจะไปเฝ้าวันละ ๒-๓ ครั้ง เห็นว่าพระเวฬุวันไกลเกินไปจึงสร้าง วัดถวายในอัมพวันคือสวนมะม่วงของตนเรียกกันว่า ชีวกัมพวัน (อัมพวัน ของหมอชีวก) เมื่อพระเจ้าอชาตศัตรูเริ่มน้อมพระทัยมาทางศาสนา หมอชีวกก็เป็นผู้แนะนำให้เสด็จไปเฝ้าพระพุทธเจ้า
    ด้วยเหตุที่หมอชีวกเป็นแพทย์ประจำคณะสงฆ์และเป็นผู้มีศรัทธาเอาใจใส่เกื้อกูลพระสงฆ์มาก จึงเป็นเหตุให้ มีคนมาบวชเพื่ออาศัยวัดเป็นที่รักษา ตัวจำนวนมาก จนหมอชีวกต้องทูลเสนอพระพุทธเจ้าให้ทรงบัญญัติข้อ ห้ามมิ ให้รับบวชคนเจ็บป่วย ด้วยโรคบางชนิด นอกจากนั้นหมอชีวกได้กราบทูลเสนอให้ทรงอนุญาตที่จงกรมและเรือนไฟ เพื่อเป็นที่บริหารกายช่วยรักษาสุขภาพของภิกษุทั้งหลาย หมอ ชีวกได้รับพระดำรัสยกย่องเป็นเอตทัคคะในบรรดา อุบาสกผู้เลื่อมใสในบุคคล
    [/FONT]
     
  3. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    [​IMG]


    เอตทัคคะในฝ่ายผู้เลื่อมใสในบุคคล

    ชีวกโกมารภัจจ์ เป็นลูกของนางสาลวดี ซึ่งเป็นหญิงโสเภณีในเมืองราชคฤห์ธรรมดาหญิงโสเภณีจะไม่เลี้ยงลูกชาย เพราะช่วยสืบสายอาชีพไม่ได้ ดังนั้นเมื่อนางคลอดลูกออกมาแล้วรู้ว่าเป็นเพศชาย จึงให้สาวใช้นำลูกชายใส่กระด้งไปวางไว้ที่กองขยะ

    จากกองขยะมาเป็นลูกเจ้า

    บ่ายวันนั้น อภัยราชกุมาร พระราชโอรสของพระเจ้าพิมพิสารเสด็จประพาสพระนครผ่านมาทางนั้น เห็นฝูงนกการุมล้อมเด็กทารกอยู่ ตรัสสั่งให้นายสารถีไปดูว่าเด็กยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า เมื่อนายสารถีกลับมากราบทูลว่ายังมีชีวิตอยู่จึงรับสั่งให้อุ้มมาแล้วนำเข้าไปมอบให้นางนมเลี้ยงดูเป็นอย่างดีภายในประราชนิเวศแล้วตั้งชื่อให้ว่า ชีวก ซึ่งมาจากคำว่า ชีวิตคือรอดชีวิตมาได้ เมื่อเจริญวัยขึ้นมาได้ประทานนามเพิ่มเติมว่า โกมารภัจจ์ ซึ่งหมายถึงเป็นบุตรบุญธรรมของพระราชกุมาร ทรงชุบเลี้ยงดูโอรสแท้ ๆ ของพระองค์ แม้พระเจ้าพิมพิสารก็โปรดปรานประดุจหลานของพระองค์ และประชาชนทั่วไปก็เข้าใจว่าเป็นโอรสที่แท้จริง ของอภัยราชกุมาร


    หนีจากวังหาสำนักศึกษา

    เมื่อชีวกโกมารภัจจ์ เจริญเติบโตเข้าสู่วัยเรียน และทราบว่าตนเป็นเด็กกำพร้า จึงต้องการที่จะศึกษาวิชาความรู้เพื่อประกอบอาชีพในอนาคต อาชีพที่เขาชอบคือหมอรักษาโรคเพื่อช่วยเหลือชีวิตมนุษย์ ดังนั้น เขาได้หนีออกจากวังเดินทางไปกับกองเกวียนพ่อค้า จนถึงเมืองตักสิลา แล้วให้พ่อค้าที่เขาอาศัยมานั้นช่วยพาไปฝากอาจารย์ทิศาปาโมกข์ คือพระฤาษีโรคาพฤกษตริญญา ผู้เป็นเจ้าสำนัก ชีวกได้มอบหมายถวายตัวเป็นศิษย์รับใช้ ทำงานทุกอย่างในสำนักอาจารย์เพื่อแลกกับวิชาความรู้เพราะตนไม่มีทรัพย์สินเป็นค่าเรียน เขาศึกษาอย่างตั้งอกตั้งใจ ทำให้เรียนได้เร็วกว่าศิษย์คนอื่น ๆ และสำเร็จจบหลักสูตรใน ๗ ปี ซึ่งปกติคนอื่น จะเรียนถึง ๑๖ ปี แม้จบหลักสูตรแล้ว ก็ยังมีความสงสัยในความรู้ของตนเองว่าอาจจะไม่สมบูรณ์ จึงเข้าไปปรึกษาอาจารย์ ซึ่งอาจารย์ได้สั่งให้เขาออกไปหาต้นไม้ใบหญ้าหรือพืชชนิดใดชนิดหนึ่งก็ได้ ที่เห็นว่าใช้ทำยาไม่ได้มาให้อาจารย์ เขาได้ใช้เวลาหลายวันเข้าไปในป่ารอบ ๆเมืองตักสิลา ค้นหาจนทั่วก็ไม่พบใบหญ้าหรือพืชสักชนิดเดียวที่ใช้ทำยาไม่ได้ จึงรู้สึกผิดหวังกลัวอาจารย์จะตำหนิแต่พอแจ้งแก่อาจารย์แล้ว อาจารย์กลับยิ้มอย่างพอใจและกล่าวว่า เธอเรียนจบแล้ว ออกไปประกอบอาชีพรักษาคนไข้ได้แล้ว


    ชีวกโกมารภัยได้เรียนวิชาแพทย์พิเศษ

    ชีวกโกมารภัจจ์ เป็นศิษย์ที่มีอัธยาศัยดี มีความเคารพนับถือเชื่อฟังอยู่ในโอวาทของอาจารย์ มีความกตัญญูกตเวที มีศีลธรรม และอัธยาศัยความสุขุมละเอียดเยือกเย็น สุภาพเรียบร้อยไม่พลาดพลั้ง อีกทั้งเชาว์ปัญญาก็ดีเยี่ยมจึงเป็นที่รักของอาจารย์ ท่านอาจารย์จึงเมตตาสอนวิชาแพทย์พิเศษให้อีกแขนงหนึ่ง ซึ่งอาจารย์จะไม่ค่อยสอนให้แก่ใคร ๆ คือ วิชาประสมยา ปรุงยาขนานเอก พร้อมทั้งวิธีการรักษาโรคให้ด้วย ยาขนานนี้พิเศษจริง ๆ สามารถรักษาโรคได้ทุกชนิด และวางยาครั้งเดียวไม่ต้องซ้ำ ยกเว้นโรคที่เกิดจากผลกรรมรักษาไม่ได้ เมื่อศึกษาจบครบวิชาการที่อาจารย์ประสิทธิ์ประสาทให้แล้วได้ลาอาจารย์กลับสู่บ้านเมืองของตน


    คนไข้คนแรกของชีวกโกมารภัจจ์

    หมอชีวกโกมารภัจจ์ ออกเดินทางจากเมืองตักสิลามุ่งสู่กรุงราชคฤห์พักผ่อนรอนแรมในระหว่างทางเสบียงที่อาจารย์มอบหมายก็ใกล้หมด จึงเที่ยวหารักษาใช้พอดีภริยาเศรษฐีในเมืองสาเกตเป็นโรคปวดศีรษะมาเป็นเวลาประมาณ ๗ ปี พยายามรักษาสิ้นทรัพย์จำนวนมากก็ไม่หาย หมดอาลัยในชีวิตจึงปล่อยไปตามกรรมเมื่อหมอชีวกโกมารภัจ ทราบจึงเข้าไปอาสารักษาให้ ทั้งคนไข้และเศรษฐีเห็นหมอยังหนุ่มอยู่ไม่เชื่อความสามารถ จึงบอกปัดไม่ยอมให้รักษา เพราะเกรงว่าจะเสียค่ารักษาเปล่า ๆไม่ได้ประโยชน์ แต่หมอชีวกโกมารภัจจ์บอกจะรักษาให้ก่อน เมื่อหายแล้ว จึงจะรับค่ารักษา ดังนั้นเศรษฐีและภริยาจึงตอบตกลงยอมให้รักษา หมอชีวกโกมารภัจจ์ จึงประกอบยาให้นัตถุ์เข้าทางจมูก ฤทธิ์ยาทำให้คนไข้อาเจียนออกมาทางปาก หลังจากนั้นโรคของนางก็หายเป็นปกติ เขาได้รับค่ารักษาและรางวัลมาถึง ๑๖๐๐๐ กหาปณะ แล้วเดินทางต่อไปจนถึงกรุงราชคฤห์เมื่อถึงแล้วหมอชีวกโกมารภัจจ์ ได้เข้าเฝ้าพระบิดาอภัยราชกุมาร กราบทูลขออภัยโทษที่หนีไปโดยมิได้ทูลลา ทูลเล่าเรื่องการศึกษาวิชาแพทย์ตั้งแต่ต้นจนจบ ตลอดจนการเดินทางกลับแล้วได้ถวายเงินรางวัลที่ได้รับระหว่างทางแก่พระบิดา พระอภัยราชกุมารทรงปลาบปลื้มพระทัย คืนทรัพย์สินที่ถวายให้กลับคืนเพื่อเป็นทุนใช้สอย


    ประวัติการรักษาโรคครั้งสำคัญ

    เมื่อหมอชีวกโกมารภัจจ์ เดินทางถึง กรุงราชคฤห์แล้ว ได้รับรักษาโรคต่าง ๆ จนมีชื่อเสียงปรากฏเลื่องลือทั่วทั้งกรุงราชคฤห์และแคว้นอื่น ๆ การรักษาโรครั้งสำคัญของหมอชีวก ก็คือ
    ๑. รักษาโรคริดสีดวงทวารให้พระเจ้าพิมพิสารจนหายสนิท ทำให้พระองค์สบายพระวรกายขึ้นได้พระราชทานรางวัลเป็นอันมากทั้งทรัพย์สินเงินทอง ข้าทาสบริวารและที่ดินแต่หมอชีวกขอรับเพียงอย่างเดียวคือสวนมะม่วง จากนั้นพระเจ้าพิมพิสารทรงแต่งตั้งให้เป็นแพทย์หลวงประจำพระองค์
    ๒. ผ่าตัดเปิดกะโหลกศีรษะเศรษฐีชาวเมืองราชคฤห์ ซึ่งป่วยปวดศีรษะมานานเกือบ๑๐ ปี
    ๓. ผ่าตัดโรคฝีในลำไส้ให้ลูกชายเศรษฐีในเมืองพาราณสี
    ๔. รักษาอาการประชวรด้วยโรควัณโรคปอด ให้พระเจ้าจัณฑปัชโชต แห่งกรุงอุชเชนีแคว้นอวันตี

    ในการรักษาให้พระเจ้าจัณฑปัชโชตนั้น หมอชีวกเกือบถูกประหารชีวิตเนื่องจากพระองค์ท่านมีพระอัธยาศัยโหดร้าย สั่งประหารคนง่าย ๆ โดยไม่มีเหตุผลและพระองค์เกลียดกลิ่นเนยใสเป็นที่สุด บังเอิญยาที่จะรักษานั้นก็มีส่วนผสมเนยใสอยู่ด้วย ทำให้หมอชีวกหนักใจมากจึงวางแผนเตรียมก่อนที่จะถวายการรักษา ได้กราบทูลขอพระราชทานช้างชื่อภัททวดี ซึ่งมีฝีเท้าเร็ว และประตูเมืองหนึ่งประตู โดยอ้างว่าเพื่อสะดวกในการออกไปเที่ยวหาตัวยาสมุนไพรซึ่งบางชนิดต้องเก็บในเวลากลางคืน บางชนิดต้องเก็บในเวลากลางวัน การรักษาจึงจะได้ผล


    หลอกให้พระเจ้าจุณฑปัชโชต เสวยเนยใส

    หมอชีวกได้ผสมยาโดยเคี่ยวใส่เนยใสบนเตาไฟจนสี รส และ กลิ่น เปลี่ยนไปเสร็จแล้วนำเข้าไปถวายพระราชากราบทูลว่าเป็นโอสถสูตรใหม่มิได้ผสมเนยใสเมื่อพระราชาเสวยแล้วกราบทูลลากลับ เพื่อขอไปจัดโอสถมาถวายอีก พอออกมาพ้นพระราชนิเวศน์แล้วรีบตรงไปยังโรงช้าง แจ้งแก่พนักงานดูแลช้างว่าขอช้างพังชื่อภัททวดี เพื่อรีบไปเก็บตัวยา เมื่อขึ้นหลังช้างแล้วรีบออกจากกรุงอุชเชนี ทันที

    พระโอสถที่พระจ้าจัณฑปัชโชตเสวยแล้ว ก็ละลายกระจายรสและกลิ่นออกมา ทำให้พระเจ้าจัณฑปัชโชต ได้กลิ่นเนยใส จึงกริ้วขึ้นมาทันที รับสั่งให้ทหารรีบไปจับตัวหมอชีวกมาโดยเร็ว เมื่อทรงทราบว่าหนีออกจากเมืองไปแล้วรับสั่งให้ทหารนำพาหนะที่มีฝีม้าเร็วติดตามจับตัวมาให้ได้ และทหารผู้นั้นก็ได้ติดตามไปทับ ณ หมู่บ้านตำบลหนึ่ง ซึ่งเป็นไปตามที่หมอชีวกได้คาการณ์ไว้แล้วจึงเตรียมยาระบายอย่างแรงซ่อนไว้ในเล็บ เมื่อนายทหารผู้นั้นจะเข้ามาจับกุม จึงถูกหมอชีวกหลอกให้กินยาระบายจนถ่ายท้องหมดเรี่ยวแรง ปล่อยให้หมอชีวกหนีต่อไปได้ฝ่ายพระเจ้าจัณฑปัชโชตเมื่อพระโอสถออกฤทธิ์แล้ว พระอาการประชวรก็หายเป็นปกติ พระวรกายโปร่งเบาสบาย รู้สึกขอบใจหมอชีวก แม้ทหารที่ติดตามไปจับตัวหมอชีวกแล้วถูกหลอกให้กินยาระบายจับตัวไม่ได้ กลับมารายงานแล้ว พระราชาก็มิได้กริ้วโกรธแต่ประการใด รับสั่งให้จัดส่งของมีค่าหลายประการรวมทั้งผ้าเนื้อดีจากแคว้นการสี อันเป็นที่นิยมกันว่าเป็นผ้าดีฝีมือการเย็บการทอยอดเยี่ยมกว่าผ้าเมืองอื่น ๆ ให้ทูตนำไปมอบให้แก่หมอชีวกโกมารภัจจ์ ที่กรุงราชคฤห์ หมอชีวกรับของรางวัลมาแล้วพิจารณาเห็นว่าเป็นผ้าเนื้อดีไม่สมควรที่ตนจะใช้สอย เป็นของสมควรแก่พระบรมศาสดาหรือพระมหากษัตริย์จึงได้เก็บรักษาไว้เพื่อนำไปถวายพระบรมศาสดาต่อไป


    แพทย์ประจำองค์พระศาสดาและภิกษุสงฆ์

    พระเจ้าพิมพิสารนอกจากจะแต่งตั้งให้หมอชีวกโกมารภัจเป็นแพทย์ประจำพระองค์แล้ว ยังมอบให้รับหน้าที่เป็นแพทย์ประจำองค์พระศาสดาและภิกษุสงฆ์ทั้งหลายอีกด้วยหมอชีวกโกมารภัจจ์ ได้เคยถวายการรักษาให้พระบรมศาสดาครั้งสำคัญ ๒ ครั้ง คือครั้งแรก ได้ปรุงยาระบายชนิดพิเศษถวาย เพื่อระบายสิ่งหมักหมมในพระวารกายออกครั้งที่สอง ในคราวที่พระเทวทัตกลิ้งหินหมายปลงพระชนม์พระศาสดาแต่หินกลิ้งไปผิดทาง มีเพียงสะเก็ดหินก้อนเล็ก ๆ กระเด็นมากระทบพระบาทจนทำให้พระโลหินห้อขึ้นหมอชีวกได้ปรุงพระโอสถพอกที่แผลแล้วใช้ผ้าพันแผลไว้พอรุ่งขึ้นตอนเช้าแผลก็หายสนิทเป็นปกตินอกจากนี้หมอชีวกยังได้ให้การรักษาพระภิกษุสงฆ์ที่อาพาธด้วยโรคต่าง ๆ โดยไม่คิดมูลค่า จนไม่ค่อยจะมีเวลารักษาให้คนทั่ว ๆ ไป เพราะท่านหมอมีความห่วงใยพระภิกษุสงฆ์มากกว่าจงเป็นเหตุให้คนบางพวกเมื่อเจ็บป่วยหรือเป็นโรคขึ้นมา ก็พากันมาบวชเพื่อสะดวกแก่การให้หมอรักษา พอหายดีแล้วก็ลาสิกขาไป


    กราบทูลขอพรห้ามบวชคนที่มีโรคติดต่อ

    สมัยหนึ่งในพระนครราชคฤห์เกิดโรคสกปรก โรคติดต่อและโรคร้ายแรง ระบาดไปทั่วกรุงละจังหวัดใกล้เคียง เช่น

        • กุฏฐัง โรคเรื้อน
        • คัณโฑ โรคฝีดาษ
        • กิลาโส โรคกลาก
        • โสโส โรคไข้มองคร่อ
        • อปมาโร โรคลมบ้าหมู
    ซึ่งโรคเหล่านี้เป็นกันทั่วไปแก่ประชาชนพลเมือง ทั้งภายนอกทั้งภายในราชสำนักตลอดจนพระสงฆ์ในอารามต่าง ๆ หมอทั้งหลายต้องทำงานกันอย่างหนัก ส่วนหมอชีวกโกมารภัจจ์ ก็จะให้การรักษาแก่พระภิกษุสงฆ์และบุคคลภายราชสำนักก่อน เนื่องจากหมอชีวกโกมารภัจจ์ รักษาแล้วได้ผลหายเร็วค่ารักษาถูกกว่าหมออื่น โดยเฉพาะพระภิกษุสงฆ์แล้วจะรักษาให้โดยไม่คิดค่ายาค่ารักษาแต่ประการใด

    ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้มีคนคิดอาศัยพระศาสนาเพื่อเข้ามารักษาตัว โดยเข้ามาบวชเป็นพระให้หมอรักษาจนหายจากโรคที่เป็นอยู่แล้วก็สึกออกไป และคนพวกนี้ก็เป็นตัวนำเชื้อโรคบางอย่างมาแพร่เชื่อติดต่อให้พระ เช่น โรคเรื้อนและโรคกลากเกลื้อน เป็นต้น จนระยะหลัง ๆหมอชีวกสังเกตเห็นว่าคนหัวโล้นมีมากขึ้น ทั้ง ๆ ที่เป็นที่น่ารังเกียจของสังคม เมื่อสอบถามดูจึงได้ทราบความจริงว่าเพิ่งสึกมาจากพระ และที่บวชก็มิได้บวชด้วยศรัทธา แต่บวชเพื่อรักษาตัว เมื่อโรคหายแล้วก็สึกออกมา

    ด้วยเหตุนี้ วันหนึ่งหมอชีวกเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค กราบทูลของพรว่าขออย่าได้บวชให้คนที่มีโรคติดต่อทั้ง ๕ ชนิดข้างต้นเลยพระพุทธองค์ประทานให้ตามที่กราบทูลขอ และได้ประกาศให้ภิกษุสงฆ์ทราบโดยทั่วกัน ตั้งแต่นั้นมา คนที่เป็นโรคทั้ง ๕ ชนิดนั้นก็ไม่สามารถบวชในพระพุทธศาสนาได้

    กราบทูบขอพรให้ภิกษุรับคฤหบดีจีวรได้

    หมอชีวกโกมารภัจจ์ หลังจากที่รักษาอาการประชวรของพระเจ้าจัณฑปัชโชตจนหายเป็นปกติดีแล้ว ได้รับพระราชทานรางวัลเป็นผ้าเนื้อดีจากแคว้นกาสี แต่ท่านหมอคิดว่า ผ้าเนื้อดี อย่างนี้ ไม่สมควรที่ตนจะใช้สอย เป็นของสมควรแก่พระบรมศาสดาหรือพระมหากษัตริย์จึงได้น้อมนำผ้านั้นไปถวายแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ก่อนที่จะถวายได้กราบทูลขอพรว่า ขอให้ภิกษุรับคฤหบดีจีวรได้ พระพุทธองค์ประทานอนุญาตให้ตามที่ขอ

    การที่หมอชีวกโกมารภัจจ์ กราบทูลขอพรเช่นนั้น ก็เพราะแต่ก่อนนั้นภิกษุใช้สอยแต่ผ้าบังสุกุล คือ ผ้าที่ชาวบ้านทั้งหลายทิ้งตามกองขยะบ้าง กองหยากเยื่อบ้าง ผ้าที่ห่อศพทิ้งในป่าบ้าง นำมาทำความสะอาดแล้วเย็บย้อมเป็นผ้าสบงจีวร สำหรับนุ่งห่ม จะไม่รับผ้าที่ชาวบ้านถวาย หมอชีวกโกมารภัจจ์ เห็นความลำบากของพระภิกษุสงฆ์ในเรื่องนี้ จึงกราบทูลขอพรและได้เป็นผู้ถวายเป็นคนแรก ผ้าที่ภิกษุรับอย่างนี้เรียกว่า คฤหบดีจีวร

    แม้พระพุทธองค์จะทรงอนุญาตตามที่หมอชีวกโกมารภัจจ์ กราบทูลขอ แต่ก็ยังมีพุทธดำรัสตรัสว่า ถ้าภิกษุปรารถนาจะถือผ้าบังสุกุลก็ให้ถือ ปรารถนาจะรับคฤหบดีรจีวรก็ให้รับ และได้ตรัสสรรเสริญความสันโดษคือความยินดีตามมีตามได้พระพุทธองค์ ทรงแสดงพระธรรมเทศนาอนุโมทนาบุญแก่หมอชีวกผู้ถวายผ้านั้น เมื่อจบพระธรรมเทศนาแล้ว หมอชีวกโกมารภัจจ์ ก็ได้ดวงตาเห็นธรรมดำรงอยู่ในอริยภูมิคือพระโสดาบัน

    หมอชีวกโกมารภัจจ์ สร้างวัด

    หมอชีวกโกมารภัจจฺ เมื่อยามว่างเว้นจากการรักษาคนไข้ก็หวนคิดถึงตนเอง มีความปรารถนาจะเข้าเฝ้าใกล้ชิดพระบรมศาสดาอย่างน้อยวันละ ๒ เวลา เช้า-เย็น เพื่ออบรมจิตใจได้มากขึ้น แต่วัดเวฬุวันก็ตั้งอยู่ห่างไกลจากบ้าน อีกทั้งไม่สะดวกในการฟังธรรม และการรักษาพยาบาลภิกษุไข้ จึงได้น้อมนำถวายสวนมะม่วงที่พระเจ้าพิมพิสารพระราชทานให้แก่ตนนั้นสร้างวัดถวายในพระพุทธศาสนาสร้างพระคันธกุฏีที่ประทับส่วนพระพุทธองค์ พร้อมด้วยกุฏสงฆ์ ศาลาฟังธรรมบ่อน้ำ และกำแพงขอบเขตวัดพร้อมบริบูรณ์ทุกสิ่งแล้ว กราบทูลอาราธนาพระบรมศาสดาพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์พุทธสาวกเสด็จเข้าประทับยังพระอารามใหม่นั้นถวายอาหารบิณฑบาตเป็นการฉลองพระอารามแล้ว หลังน้ำทักษิโณทกให้ตกลงบนฝ่าพระหัตถ์ของพระบรมศาสดา กล่าวอุทิศถวายมอบกรรมสิทธิ์ในที่ดินและอาคาร ให้เป็นศาสนสถานอยู่จำพรรษาของภิกษุสงฆ์ที่มาจากทิศทั้ง ๔ พระอารามใหม่นี้ได้นามตามผู้ถวายว่า ชีวกัมพวัน(ชีวก+อัมพวัน)


    พาพระเจ้าอชาตศัตรูเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า

    อชาตศัตรูราชกุมาร มีพระอัธยาศัยคิดทรยศไม่ซื่อตรง ขาดความจงรักภักดีต่อพระเจ้าพิมพิสาร ผู้เป็นพระราชบิดาอยู่แล้ว ต่อมาได้คบหาสมาคมกับพระเทวทัต มีศรัทธาเลื่อมใสได้ให้ความอุปถัมภ์บำรุงด้วยปัจจัย ๔ ถูกพระเทวทัตยุยงให้ปลงพระชนม์พระบิดา อีกทั้งให้การสนับสนุนพระเทวทัตกระทำอนัตริยกรรมลอบปลงพระชนม์พระบรมศาสดาและทำสังฆเภททำลายสงฆ์ให้แตกแยกกัน

    ต่อมา พระเทวทัตถูกแผ่นดินสูบเพราะกระทำกรรมหนัก พระเจ้าอชาตศัตรูได้ทราบข่าวก็สะดุ้งพระทัยกลัวภัยจะถึงตัว ถึงกับเสวยไม่ได้บรรทมไม่หลับติดต่อกันหลายวัน กลัดกลุ้มพระทัยเป็นที่สุด คืนเพ็ญวันหนึ่งพระองค์ไม่สามารถจะนิทราหลับลงได้ จึงเรียกอำมาตย์ทั้งหลายเข้าเฝ้ายามดึกทรงปรึกษาว่า คืนเดือนเพ็ญอย่างนี้จะไปหาสมณพราหมณ์ผู้มีศีลคนดีจึงจะสามารถทำจิตใจให้สงบได้ พวกอำมาตย์ล้วนแต่แนะนำเดียรถีย์อาจารย์ของตน ได้แก่ครูทั้ง ๖ ซึ่งพระเจ้าอชาต ศรัตรูก็เคยไปฟังคำสอนมาแล้วล้วนแต่ไร้สาระทั้งสิ้นหมอชีวกโกมารภัจ อยู่ในที่นั้นด้วย จึงกราบทูลแนะนำให้ไปเฝ้าพระสมณโคดมบรมศาสดา ซึ่งขณะนี้พระพุทธองค์ประทับอยู่ที่ชีวกัมพวันใกล้ ๆบ้านของตนนี่เอง พระเจ้าอชาตศรัตรูทรงเห็นด้วย จึงเสด็จไปพร้อมด้วยกองจตุรงคเสนา เมื่อเสด็จไปถึงได้เข้าไปกราบถวายบังคมพระบรมศาสดา พระพุทธองค์ตรัสทักทายปฏิสันถารขึ้นก่อนแล้วตรัสถามถึงราชกิจต่าง ๆ ทำให้พระเจ้าอชาตศรัตรูไม่เก้อเขิน และทรงดีพระทัยเป็นอย่างยิ่ง ที่พระพุทธองค์ไม่ทรงถือโทษในการกระทำของพระองค์ที่ผ่านมาพระพุทธองค์ ทรงทราบว่าพระเจ้าอชาตศัตรูมีพระทัยผ่องใสดีแล้ว จึงแสดงพระธรรมเทศนา สมัญผลสูตร ให้ทรงสดับ เมื่อจบลงทรงมีพระทัยผ่องใสโสมนัสยิ่งขึ้น เกิดศรัทธาเลื่อมใสถวายตัวเป็นอุบาสก ขอถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะที่พึ่งตลอดชีวิต (ถ้าพระองค์ไม่ทำปิตุฆาตคือฆ่าพระบิดาเสียก่อน ก็จะได้บรรลุเป็นพระอริยบุคคลชั้นใดชั้นหนึ่งเป็นแน่) จากนั้นได้กราบขอขมาโทษต่อพระพุทธองค์เสด็จกลับพระราชนิเวศน์

    หมอชีวกโกมารภัจจ์ ทำประโยชน์แก่พระพุทธศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชนทั่วไปเป็นอเนกประการ ท่านเป็นอุบาสกผู้เป็นพระอริยชั้นพระโสดาบัน พระบรมศาสดา ได้ยกย่องท่านในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นผู้เลิศกว่าอุบาสิกาทั้งหลาย ในฝ่ายเลื่อมใสในบุคคล

    ขอขอบพระคุณ
    คัดจาก http://www.geocities.com/sakyaputto/chivok.htm
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 พฤษภาคม 2009
  4. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
     
  5. Pelagia

    Pelagia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    790
    ค่าพลัง:
    +1,198
    เรียนแพทย์แผนไทยประยุกต์ให้จบก่อนดีไหมแล้วค่อยไปสอบหมออีกที ก็เท่ากับว่าจะได้มีความรู้มากกว่าแพทย์คนอื่นๆ อีก

    เดี๋ยวนี้เค้าสอบหมอตรงได้ คนที่เรียนจบป.ตรีแล้วไปต่อหมออีกทีก็มีนะ

    รายละเอียดข้อมูล

    จบป.ตรี แล้วสอบแพทย์ กสพท ได้ไหมครับ
    ไม่ทราบว่ามีคนที่จบป.ตรีแล้วติดแพทย์จุฬาปีนี้จริงๆเหรอคะ
    สอบถามค่ะ เรียนจบป.ตรีจะสอบแพทย์ กสพท.ปี53 - Dek-D.com > Board

    ประกาศการสมัครสอบแพทย์ กสพท. (กลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย)
    http://www9.si.mahidol.ac.th/pdf/2552_consortium_announce_1_2072552.pdf


    คนเรามีความหวังและมีความฝันที่จะเป็นอะไร ทำอะไร ไม่ใช่ความผิด และการที่หวังไว้แล้วไม่เป็นดังหวังก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ความฝันและความหวังบางทีก็ไม่ได้ไขว่คว้ามาง่ายๆ บางคนลองแล้วลองอีก บางคนล้มแล้วล้มอีก

    ถ้าเป็นกังวลกับเรื่องที่ว่าจะโดนคนอื่นหัวเราะเยาะที่ทำไม่ได้ตามที่เคยพูดไว้ ก็ปล่อยๆ มันเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาไปเถอะ

    ขอยกเอาประโยคคำพูดดีๆ มาฝากล่ะกัน

    <center>เขื่อนอภัยทาน</center>
    จงเรียนรู้ที่จะให้อภัย
    เพราะการอภัยจะช่วยเปิดประตูกว้าง
    ช่วยปลดปล่อยอดีตให้เป็นอิสระ
    เหมือนประตูน้ำที่ถูกปิด
    เพื่อให้คลื่นแห่งพลังงานทะลักออกมา
    ซึ่งจะช่วยให้เราปลอดโปร่งโล่งสบาย

    &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จงให้อภัย
    &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; แล้วเราจะเป็นอิสระจากวังวนของความปวดร้าว
    &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; เป็นอิสระจากการยึดติดอยู่กับความเกลียดชัง

    จงเริ่มที่จะให้อภัย
    และบาดแผลในจิตใจจะเริ่มได้รับการเยียวยา
    แต่ถ้าเรายังผูกใจเจ็บ
    บาดแผลก็จะยิ่งเน่าพุพอง
    และกลายเป็นมะเร็งในที่สุด



    15 ก.ค. 42
    จากหนังสือเรื่อง "Your body speaks your mind"


    <center>ปรับใบเรือ</center>
    เราไม่อาจบังคับคลื่นลมได้
    แต่เราสามารถปรับใบเรือได้
    &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; เราไม่อาจเปลี่ยนแปลงสถานการณ์
    &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แต่เราสามารถปรับทัศนะคติได้
    ประสบการณ์ชีวิตสอนว่า
    ทุกอย่างล้วนเป็นกลาง
    เหมือนน้ำที่เหลืออยู่ครึ่งขวด
    บางคนมองว่า "เหลือแค่ครึ่งขวด"
    บางคนมองว่า "เหลือตั้งครึ่งขวด"
    &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; จุดต่างของคนไม่ได้อยู่ที่ "มี" หรือ "ไม่มี" ปัญหา
    &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แต่อยู่ที่ท่าทีการเผชิญหน้ากับปัญหาต่างหาก
    จงหัดเป็นคนมองโลกในแง่ดีเสมอ
    แล้วเราจะสามารถยอมรับทุกสภาพการณ์ของชีวิตได้



    15 ก.ค. 42
    สะเก็ดความคิดจากการอ่านเรื่อง
    "Your body speaks your mind"


    <center>อย่าทำร้ายตนเอง</center>
    ไม่มีใครสามารถทำร้ายตัวเราได้
    มากเท่ากับการที่เราทำร้ายตัวเอง
    &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;คำพูดเหน็บแนมสอดเสียด
    &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;มิอาจทำร้ายจิตใจเราได้
    &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ถ้าเราไม่เก็บมาคิดเล็กคิดน้อย
    คำนินทาลับหลัง
    ไม่อาจทำลายเราได้
    ถ้าเรายังคงยืนหยัดในความดี
    &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่าเหยียบย่ำตัวเองให้ตกต่ำ
    &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้วยการทำประชดขี้ปาก
    &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แต่จงนิ่งไว้
    &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทำดีของเราต่อไป
    อย่าซ้ำเติมตัวเองให้บอบช้ำ
    ด้วยการท้อใจที่จะทำดี
    แต่จงทำตัวให้เบิกบาน
    ทำดีของเราต่อไป



    22 ส.ค. 42
    ลองนั่งเรือด่วน คลองแสนแสบ (เหม็นสมคำร่ำลือ)


    <center>ต้นไม้บนหินผา</center>
    เห็นต้นไม้บนหินผา
    ยืนตระหง่านด้วยมาดทะนง
    ทะนงในชัยชนะที่แลกมาด้วยการไม่ยอมแพ้
    ไม่ยอมแพ้ที่จะเจาะไชหยั่งรกลงในหินผา
    และยังคงตั้งตัวเด่นสง่า
    ดุจคนที่ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้
    แม้จะถูกกระหน่ำด้วยลมแรงสักปานใด
    &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เราเองก็เช่นกัน
    &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ต้องยืนตระหง่านด้วยมาดทะนง
    &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคทั้งมวล
    &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; เป็นต้นต่อกระแสลมปากของผู้ไม่หวังดี
    เราจะได้เช่นนี้ได้ก็ต่อเมื่อ
    เราสามารถหยั่งรากชีวิตลงบนหิน
    เมื่อเรามีจุดยืนที่มั่นคง



    10 ก.ย. 42
    จากเรื่อง "ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้"
    ของ กฤษณะ กฤตมโนรถ



    <center>มั่นคงดุจภูผา</center>
    จงมั่นคงดุจภูผา
    อย่าหวั่นไหวไปกับคำพูดที่เป็นเพียงลมตด

    &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; เป็นภาษิตที่ผุดขึ้นมาในบทสนทนา
    &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ชอบ..ดิบดี..เห็นภาพพจน์..และเป็นจริง
    เจอมานักต่อนัก
    คนที่ล้มลงเพราะเพียงคำพูดของผู้ไม่หวังดี
    สังคมเลวเพราะคนดีท้อใจ
    ท้อใจที่ตั้งใจทำดีแล้วยังโดนด่า
    &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จงมองดูภูผาเถิด
    &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แม้ลมจะแรงแค่ไหน
    &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ที่สุดมันก็จะผ่านไป

    &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในขณะที่ภูผายังคงอยู่
    &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ยิ่งคำพูดที่เป็นเพียงลมตดด้วยแล้ว
    &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ทั้งเบา..และไม่ควรค่าแก่การสูดดม
    &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จงปล่อยให้มันผ่านไปเถิด..ภูผาเอ๋ย.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 พฤษภาคม 2009
  6. ^บัวหลวง^

    ^บัวหลวง^ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    543
    ค่าพลัง:
    +661
    อย่าลืมดูในprofileของตัวเองด้วยนะจ้ะ พี่บัวส่งคำแนะนำเกี่ยวกับหนังสือที่ควรอ่านเตรียมสอบentไปให้น้องIgiko_Lแล้วจ้ะ
     
  7. ^บัวหลวง^

    ^บัวหลวง^ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    543
    ค่าพลัง:
    +661
    เรียนหมอไม่ได้ง่ายๆเลยจ้ะ วันเสาร์อาทิตย์ ต้องไปround ward ไปซักประวัติ
    ตรวจคนไข้และทำรายงานส่งอาทิตย์ละ1ฉบับ เรียนปี1,2,3 ยังสบายอยู่พอขึ้นปี4,5ก็ต้องขึ้นward อยู่เวร มีอยู่เวรวันเสาร์อาทิตย์ด้วยจ้ะ อยู่แต่เช้า 8.00ถึง00.00 น. แล้วตื่นขึ้นมาตี5มาเจาะเลือดคนไข้ เห็นพี่ๆหมอปี6 (extern)อยู่เวรทั้งคืนจ้ะ ตั้งแต่เย็นยันเช้า พยาบาลโทรมาตามเป็นระยะๆ บางวันก็ได้นอนแค่2-3 ชม.แล้วตอนเช้าก็ยังต้องมาเรียนจ้ะ ไปผ่าตัดทียืนนานมากจ้ะไม่ต่ำกว่า3ชม.(ยืนตลอดไม่ได้นั่งหรอก) ไปteaching round กับอาจารย์ ก็ยืนตลอดจ้ะ ประมาณ2-3 ชม. บางทีถ้าร่างกายไม่แข็งแรงก็น็อคเหมือนกัน อย่างพี่นี่หน้ามืดเป็นลมไปเลยตอน เรียนteaching round กับอาจารย์
    ไปอยู่wardเด็ก เด็กไอใส่ก็ไม่สบายตามคนไข้ไปด้วย จะเรียนหมอสุขภาพต้องแข็งแรงด้วยนะจ้ะ แล้วเพื่อนๆพี่เนี่ยเก่งมากๆแต่ละคน อาจารย์สอนรอบเดียวมันจำได้(แต่พี่ยังจำไม่ได้ ต้องไปอ่านอีกรอบ) อย่างcalculus วิชาเลือกเสรี ตอนปี1 คะแนนเต็ม100 เพื่อนพี่เค้าได้กัน 100 เต็มหลายคน บางคนได้ 99 คะแนน ส่วนพี่ไม่เก่งก็ได้แค่ 70-80 คะแนน แบบว่าเคยเก่งที่โรงเรียนแต่มาเรียนหมอกลายเป็นเรียนไม่เก่งไปเลยจ้ะ ถ้าน้องเข้ามาเรียนแพทย์ต้องทำใจกับมนุษย์พันธุ์พิเศษ(ความจำเป็นเลิศ)ด้วยนะจ้ะ อย่างเราๆความจำไม่ดีต้องอ่านหนังสือเยอะกว่าเพื่อนหลายเท่าแล้วใช้กรรมฐาน(สมาธิ)ด้วยถึงจะผ่านไปได้จ้ะ ยังงัยก็สู้ๆนะจ้ะ จะเรียนแพทย์แผนไทยหรือแพทย์แผนปัจจุบันก็มีความสำคัญทั้งนั้นล่ะจ้ะ อยู่ที่ว่าเราตั้งใจ เต็มใจช่วยคนไข้แค่ไหนจ้ะ เอาใจช่วยนะจ้ะขอให้น้องประสบความสำเร็จอย่างที่ตั้งใจไว้จ้ะ ^^
     
  8. Igiko_L

    Igiko_L เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,407
    ค่าพลัง:
    +2,836
    ขอบพระคุณทุกท่านนะคะ ที่เข้ามาเพิ่มเติม ..ใช่แล้วคะ บุคคลในภาพที่คือบุคคลที่หนูฝันถึง ลักษณะเด่นๆคือ 1.ท่านไม่ได้ห่มผ้าลายเสื้อ(เคยเข้าใจว่าฤาษีห่มผ้าลายเสื้อ)แต่ท่านห่มขาว2.เครา ท่านไม่ยาว เคยคิดว่าฤาษีเคราจะยาว 3.ท่านทำจุกไว้ด้านหลัง ไม่ใช่จุกตั้ง เหมือนที่เคยเห็น ได้อ่านประวัติท่านแล้ว รู้สึกเสียใจ ที่มองการแพทย์แผนไทย ว่า ล้าหลัง จะสู้ ยาฝรั่ง หมอตะวันออกได้ยังไง เรียนจบไป จะเปิดคลีนิก ก็คงไม่มีใครเข้า เพราะคิดแบบนี้ ใจยิ่งเศร้า และกังวล ทุกข์หนัก ทั้งอายที่จะบอกแม่ ยิ่งไม่อยากให้คนแถวบ้านรู้ จะบอกว่าสอบไม่ติด ก็อายอีกนั้นละ เลยไม่รู้จะทำอย่างไรกับชีวิต แต่ตอนนี้รู้แล้วว่า การแพทย์ไทย ก็มีจุดดีและที่หนูเรียนก็เป้นแพทย์แผนไทยประยุกต์ ก็ได้เรียนแพทย์สมัยใหม่ด้วย ขอบคุณคุณสันโดษมากนะคะ ตกลงว่าวันที่1-7 มิย52 นี้จะบวชชีพรามณ์แน่นอน คิดว่าบอกอาจารย์ ท่านคงเข้าใจ หนูอยากบวชมาก ตั้งแต่ที่รู้ข่าวบอกตามตรงหนูอยากเริ่มต้นชีวิตใหม่ ขอผลบุญในการตั้งใจบวชชีพรามณ์ครั้งนี้ ส่งผลให้กับทุกๆท่าน ที่มีใจเมตตา ต่อ หนูเข้ามาให้คำแนะนำ ให้สิ่งดีๆ ให้กำลังใจ ได้ประสบความสำเร็จในชีวิต ทั้งทางโลก และทางธรรม ได้บรรลุมรรคผล นิพพาน โดยทั่วกันเถอะ สาธุๆ ฝากคำถามหน่อยนะคะ หนูควรจะฝึกจิตอย่างไร จึงจะไม่หวั่นไหวกับคำคน และเลิกอิจฉาคนอื่น แม้ต่อหน้าคนพูดหนูจะเฉยๆ แต่ในใจ ยอมรับว่าแค้นใจมาก เช่น รุ่นน้อง คนนั้น คนนี้ สอบติดแพทย์(ถ้าบอกติดคณะอื่น จะเฉยๆ) ยิ่งบอกติดจุฬาฯ หนูแบบตา หู ไฟลุกเลย ด้วยความอิจฉา (ฉันสอบมากี่ปี ไม่ติด ไอ้เนี้ย สอบครั้งเดียวก็ติดแถมติดแพทย์จุฬาฯ ครอบครัวก็รวย ยังมาแย่งทีฉันอีกนะ)แล้วก็ โทษฟ้า โทษสวรรค์ไม่มีตา ลำเอียง คนก็ต่างกัน คนนั้นเกิดมา ทั้ง สวย รวย ยังให้มันเก่งอีก ดูตัวเรา หน้าตาก็ขี้เหล่ ฐานะ ก็ไม่ดี ยังดันสอบไม่ติดอีก ทำไมสวรรค์ไม่แบ่งมาทางนี้บาง ไม่สวย ไม่รวย แต่ขยัน ก้น่าจะให้ได้เรียนบ้าง ทำดีได้ดี มีไว้หลอกคนโง่ให้เชื่อหรือเปล่า คิดแบบนี้วนไปวนมา พอได้ร้องไห้ ก็จะสบายใจ แต่ พอเจอเหตการณ์นี้อีก คนสอบติด คนเรียนเก่งความรู้สึกนี้ก้จะกลับมา หรือแม้แต่ ถ้ามีคนพูดถึง(บางทีตัวเองลืมไปแล้ว)อารมณ์นี้จะกลับมาอีก เพราะอะไรถึงปลงไม่ตก อยากเลิกเปรียบเทียบตัวเอง เพราะสิ่งที่ได้ คือความเศร้าและท้อแท้ ไม่ได้มีไรเจริญขึ้นมาเลย แต่ทำไม่ได้สักครั้ง ถ้าไปรับน้อง ได้อยู่รวมกับ นิสิตที่เรียนแพทย์ ยังคิดอยู่เลยว่าอาการแบบนี้ กลับมาแน่นอน อาการอิจฉา และเปรียบกับตัวเอง ทำไมฉันไม่ได้ๆ หนูควรทำอย่างไร
     
  9. ^บัวหลวง^

    ^บัวหลวง^ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    543
    ค่าพลัง:
    +661
    บัวก็เคยรู้สึกอย่างนี้มาก่อนเหมือนกันค่ะ ตอนยังสอบเข้าไม่ได้เห็นใครเรียนหมอแล้วอยากร้องไห้ แต่พอเข้าได้แล้วรู้สึกว่านรกบนดินมีจริงค่ะ วิธีแก้มีอยู่2 อย่าง
    1. สอบเข้าคณะที่ต้องการให้ได้ ( ต้องใช้ความพยายามมากหน่อย)
    2.ปล่อยวาง ทำจิตใจให้สบายเลือกที่จะไม่ทุกข์ มองว่าสิ่งต่างๆเกิดขึ้นแต่เหตุ ทุกคนมีกรรมเป็นของตนแล้วทำกรรมฐานให้มาก พิจารณาความไม่เที่ยงของโลก พิจารณาความไม่เที่ยงของร่างกายว่าทุกคนเกิดมาต้องตายทั้งนั้น ยากดีมีจน ไม่สามารถล่วงพ้นความตายไปได้ พิจารณาโลกธรรม8 แล้วทำสิ่งเฉพาะหน้าให้ดีที่สุดถือว่าเป็นหน้าที่ๆจะต้องกระทำ มนุษย์บนโลกทุกคนมีความทุกข์ทั้งนั้นแต่อาจจะทุกข์กันคนละอย่าง ต้องทำใจยอมรับ ปล่อยวางความทุกข์ในใจแล้วสู้ต่อไป อะไรที่มันหนักมากก็วางซะ อย่าไปแบกมันแล้วทำให้ดีที่สุดเท่าที่มีโอกาสค่ะ ^^
     
  10. od2499

    od2499 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    298
    ค่าพลัง:
    +532
    ลุงก็ไม่รู้นะ คำว่า ขยัน ของหนูนี่ขนาดไหน อยากจะยกตัวอย่างให้ฟัง สมัยลุงเรียน ม.ปลาย ลุงก็อยู่ในเกณท์กลางๆ เรียนบ้าง เที่ยวบ้าง ดูหนัง แทงสนุ๊คไปตามเรื่องตามราว แต่มีเพื่อนคนหนึ่ง กลับจากเรียนอ่านหนังสือ ไม่ก็ไปเรียนพิเศษต่อ เสาร์อาทิตย์ เรียนพิเศษ ที่ไหนที่ว่าดี วิชาไหน ไม่ว่า ฟิสิกส์ เคมี อังกฤษ คณิต เรียนหมด ผ่านการทำแบบฝึกหัด ทำข้อสอบในแต่ละวิชาน่าจะเป็นหลักพัน เมื่อใกล้สอบลุงสงสัยอะไร ไม่ว่าวิชาไหน ถามเขา ก็ตอบตอนนั้นเลย ไม่ต้องเปิดหนังสือมาตอบ ลุงอยากถามหนูว่า หนูขยันถึงระดับนี้ไหม ผ่านการฝึกฝน อ่านหนังสือถึงระดับนี้ไหม ถ้าคนอย่างนี้เขาสอบได้ เราจะอิจฉาเขาได้ไหม แบบนี้เรียกว่าฟ้าลำเอียงหรือเปล่า

    เพื่อนคนนี้สอบติดทันตแพทย์ เขาเสียใจ แต่เขาไม่พูดสักคำ เขารู้ว่าเขาพลาดตรงไหน ทำข้อสอบผิดข้อสองข้อก็ทำให้ไม่ติดแพทย์ได้ เขาไม่เรียน อ่านหนังสืออย่างเดียว ลองสอบอีกปี ก็ติดทันตแพทย์อีก ก็ไม่เอาอีก ลองอีกปี ก็ยังติดทันตแพทย์อีกเหมือนเดิม ถ้าแบบนี้ ก็พอจะพูดได้ว่าฟ้าลำเอียง เพราะลุงรู้ลุงเห็นว่าเขาทุ่มเทมากเหลือเกิน หนูได้ทำถึงขนาดเขาไหม ในที่สุดเขาก็ยอมแพ้ ยอมเรียนทันตแพทย์ ถามว่าน่าเห็นใจเขาไหม น่าเห็นใจ เพราะเขาทุ่มเทมาก แต่ก็เห็นใจเขาได้แค่ในตอนนั้น ตอนนี้เห็นใจไม่ไหว เพราะบ้านที่เขาอยู่ ราคาสิบกว่าล้าน รายได้แต่ละเดือน ทั้งเปิดคลีนิค ทั้งเป็นอาจารย์พิเศษ ไม่ต้องพูดถึง

    ก่อนที่จะอิจฉาใคร หนูถามตัวเองดีๆว่าหนูทุ่มเทแค่ไหน ขยันขนาดไหน ทำได้อย่างเขาไหม ลุงคิดว่าคนที่สอบเข้าแพทย์ได้ เขาต้องทุ่มเทแบบเอาตัวเข้าแลกทั้งนั้น และถึงขนาดนี้ก็ไม่ได้เป็นหลักประกันว่าจะสอบเข้าได้เสมอไป เพราะการแข่งขันสูงเหลือเกิน
     
  11. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ยังต้องใช้เวลาเรียนรู้ในสิ่งที่เป็นประโยช์อีกเยอะ ถ้ามัวแต่คืดเรื่องแบบนั้นแล้วจะเอาเวลาที่ไหนคิดเพื่อเรียนรู้สิ่งดีๆใช้ช่วยเหลือคนอื่นละ เวลาที่ใช้พิสูจน์ความสำเร็จของคนนั้นมันไม่ได้พิสูจน์ว่าการที่ได้เรียนหมอแล้วจะเป็นจุดสูงสุดของชีวิต ยังมีนิสิตหมออีกหลายต่อหลายคนที่เรียนไม่ได้ต้อง ซิ้ว มา แต่ไม่ว่าเราจะทำอะไรถ้าคิดว่าดีทำแล้วเกิดประโยชน์ต่อตัวเราและคนอื่นทำให้เต็มที่ไปเลยเชื่อว่าอนาคตจะต้องมีความสุขแน่นอน
     
  12. Igiko_L

    Igiko_L เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,407
    ค่าพลัง:
    +2,836
    ตอนแรกหนูตั้งใจจะเข้าไปถามเป็นการส่วนตัวกับพี่บัว แต่คิดว่าโพสตรงนี้ เพราะหนูยอมรับข้อผิดพลาดของตน เพื่อจะได้ปรับปรุง หนูต้องขอบคุณ คุณลุงod2477มากคะ ที่เตือนสติ หนูไม่ได้ขยันเลยเมื่อเปรียบเทียบกับเพื่อนลุง หนูก็แค่คนขี้เกียจคนหนึ่งเท่านั้น มักอ้างว่าต้องทำงาน(หาเงินเรียน)อ่านหนังสือ ก็อ่านรอบเดียว ทำโจทย์ ได้5-6ข้อ ทำได้ก็พยอง คิดว่าเข้าใจทำได้แล้ว ขอบคุณพี่บัวนะคะที่แนะนำหนังสือ อยากถามพี่บัว(รวมถึง ทุกๆท่านด้วยนะคะ)ถ้าเป็นวิชาคำนวณ ไม่ค่อยมีปัญหาคือไม่ง่วงสนุกดี แต่ถ้าเป็นวิชาท่อง ชีวะ เคมี อังกฤษ อ่านไป ก็จะเคลิมๆ (แล้วหลับโดยไม่รู้ตัว คือ ไม่มีอาการ แต่หลับไปเลย)ต้องดื่มกาแฟไปด้วยอ่านไปด้วย ทั้งๆที่ชอบเรียนชีวะ ยังหลับได้ทำไมเหรอคะ มีวิธีที่จะไม่ดื่มกาแฟ แต่อ่านหนังสือโดยไม่หลับไหมคะ หนูอ่านวิชาท่องจะจดไปด้วยเสมอ ?เหมือนเช่นเวลาหนูสวดมนต์ เหมือนจะหลับไป(โดยไม่รู้ตัวแต่ไม่ได้เป็นทุกครั้งที่สวดนะคะ เป็นบ้างครั้งที่ทำงานหนัก) แต่เวลานั่งสมาธิ ไม่เคยหลับเลย มันรู้สึกตัวตลอด ตามจิตทัน ว่าอยู่ในความสงบ อ่านหนังสือก็น่าจะเหมือนกัน ทำไมหลับโดยไม่รู้ตัวได้ ที่พี่บัวแนะกรรมฐาน อยากได้วิธีปฎิบัติ หรือท่านอื่นจะส่งมาให้ก็ได้นะคะ ขอบคุณล่วงหน้า ?พี่บัว หนูคิดช้า ข้อเสียคือทำได้แต่ไม่ทัน ควรจะทำยังไงถึงจะทำข้อสอบคำนวณที่ถนัดได้เร็ว เพราะหนูหวังมากเกินไปหรือเปล่าคะเวลาเข้าสอบจึงรน เลยทำให้คิดไม่ออกในทันที ยิ่งพยายามรวบรวมสมาธิ ก็เหมือนความจำมันแค่คลับคล้ายคลับคลา สุดท้ายเบรอไปเลย พอเดินออกมา ถึงคิดได้ว่า อ๋อ ทำแบบนี้เอง(ข้อสอบชีวะ เคมี บางข้อ พอเจอโจทย์ มันจะคลับคล้ายๆนะ ดูตัวเลือก พยายามคิด กลับ จำไม่ได้เลย)??? สุดท้าย ไม่ทราบว่ามีใครมีหนังสือเตรียมสอบ ไม่ได้ใช้แล้วหรือยังไม่ใช้ แต่พอให้ยืมได้ ไม่ว่าจะให้เลย หรือแค่ให้ยืม(หนูสัญญา จะคืนให้ในสภาพดีดังเดิม จะรักษาให้ดีที่สุด)ถ้ามี แจ้งด้วยนะคะ แล้วหนูจะส่งที่อยู่ไปให้ ขอบคุณล่วงหน้า ขอพระธรรมของพระพุทธองค์อยู่กับทุกๆคนนะคะ ขอบคุณค่ะ
     
  13. Igiko_L

    Igiko_L เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,407
    ค่าพลัง:
    +2,836
    ชี้แจ้งหน่อยนะคะ ไม่ใช่แก้ตัว หนูอ่านหนังสือรอบเดียว ไม่ได้หมายถึงอ่านผ่านตาไปรอบเดียวนะ แต่หมายถึงอ่าน แล้ววิเคราะห์ตาม จับประเด็น ว่าต้องการบอกอะไร ถ้ามีอะไรที่เชื่อมโยง(เช่นคำนวณ จะสัมพันกันอย่างเห้นได้ชัด ก้จะคิดทบทวนเรื่องนั้นด้วย ถ้าจำไม่ได้ก็จะเปิดดู)ทำให้ กว่าจะจบแต่ละเรื่องใช้เวลานาน ถ้าท่อง ก็จะท่อง พยายามทำความเข้าใจ จะเสียเวลามากกว่าอ่านคำนวณ เพราะท่องแบบได้หน้าลืมหลัง(เลยต้องจดให้ผ่านมือ แต่เวลาสอบก็เป้นแบบที่เล่านนั้นละคะ เบรอๆ) ส่วนเรื่องหนังสือหนูเคยเห้นหนังสือ วิธีฝึกสมองทั้ง2ซีก ฝึกแล้วจะทำให้ใช้สมองได้มีประสิทธิผล(นักวิทยาศาสตร์ที่เก่งๆอย่างไอไตร์สามารถใช้สมองทั้ง2ซีกทำงานไปด้วยกัน) คือหนูไม่มีเงินซื้อ ถ้าใครมีจะให้ยืม จะเป็
    นพระคุณนะคะ อ่านจบจะส่งคืนให้ หรือถ้าจะให้ยืมพร้อมหนังสือเตรียมสอบ ก็จะเป็นพระคุณมากเลยนะคะ
     
  14. Pelagia

    Pelagia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    790
    ค่าพลัง:
    +1,198
    อย่างที่คุณบัวว่าเรียนแพทย์ที่หนักมาก แล้วเข้าไปเรียนแล้วก็ย่อมจะมีคนเก่งๆ เป็นธรรมดาไม่รู้ว่าเมื่อเข้าไปแล้วเจอคนที่เก่งๆ แบบว่าอ่านแป๊ปเดียวก็รู้เรื่องแล้วจะทำให้คุณ Igiko น้อยใจอีกหรือเปล่าว่าทำไมเก่งได้ขนาดนั้น ที่เคยเจอมาก็เข้าใจว่าคนเราหัวมันต่างกันบางคนอ่านแป๊ปเดียวก็รู้เรื่อง จะสอบอยู่แล้วยังไปเล่นบอลหน้าตาเฉย สอบเสร็จมาคะแนนก็สูงกว่าชาวบ้านชาวช่องเค้าอีก บางคนก็ต้องอ่านหลายรอบ แต่จะเก่งหรือไม่เก่ง สิ่งสำคัญก็คือต้องรู้ว่าหัวเราไวขนาดไหน ถ้ารู้ตัวว่าไม่ไวก็ต้องอ่านหลายรอบหน่อย หรือหาวิธีอ่านที่เข้ากับตัวเอง คะแนนก็จะสูงได้เหมือนกัน

    ไม่เคยอ่านหนังสือแล้วง่วงเลยไม่รู้ว่าจะแนะยังไงดี แต่เรื่องการเตรียมตัวสอบ เรื่องเข้าไปสอบแล้วทำไม่ทัน นึกถึงตอนเรียนมัธยมที่ตอนนั้นคิดว่าตัวเองรู้ภาษาอังกฤษดีพอแล้วเลยไม่ได้เตรียมตัวสอบเท่าไหร่นัก ผลก็คือต้องมาสอบซ่อม ตั้งแต่นั้นมาเลยเป็นบทเรียนเลยว่า อย่าประมาทอย่าคิดว่าตัวเองรู้ดีแล้ว เลยไม่เตรียมตัวให้ดี

    ทำโจทย์ 5-6 ข้อ คิดว่าน้อยไปนะ ยิ่งคิดว่าทำได้ก็ถือว่ารู้เรื่องแล้ว นี่ก็ยิ่งประมาท เพราะโจทย์วิชาคำนวณนั้นมักจะพลิกแพลงไปได้เสมอ ทำโจทย์เราต้องทำเยอะๆ บ่อยๆ แล้วในห้องสอบเราจะนึกได้เองว่าโจทย์ข้อนี้ต้องทำยังไง

    โดยส่วนตัวแล้วเป็นคนไม่ค่อยเก่งคำนวณเลยต้องอาศัยทำบ่อยๆ ทำเยอะๆ แต่คนที่เก่งคำนวณส่วนมากแล้วเค้าจะเข้าใจว่าสูตรนี้มีที่มายังไง และต้องใช้ยังไง

    ที่เรียนมาวิชาที่ถนัดๆ ก็เป็นวิชาชีววิทยา ที่จำได้เพราะว่าพยายามหาความสัมพันธ์ของศัพท์ที่เรียกกับของสิ่งนั้น อย่างเช่นลิ้นหัวใจที่ชื่อว่า pulmonary semilunar valve ที่เป็นชื่ออย่างนี้ก็เพราะว่าลิ้นหัวใจนี้เชื่อมกับเส้นเลือดที่ชื่อว่า pulmonary และคำว่า semilunar ก็มาจากคำว่า semi กับ lunar ประกอบกับ คำว่า semi แปลว่าครึ่ง คำว่า lunar แปลว่าดวงจันทร์ semilunar จึงแปลว่าจันทร์ครึ่งดวง ซึ่งเป็นการบรรยายถึงลิ้นหัวใจที่เป็นวงกลมครึ่งดวงเหมือนจันทร์ครึ่งดวง value ก็แปลว่าตัวเปิดปิด

    ตอนนั้นตัวไหนที่พอแปลได้ก็แปลทำความเข้าใจอย่างนี้ไป คำไหนไม่รู้ก็ท่องๆ จำๆ เอา

    ทั้งนี้ทั้งนั้นสิ่งสำคัญที่สุดก็คือซ้อม ซ้อม ซ้อมและก็ซ้อม
    คนหัวใจก็ได้เปรียบตรงที่เข้าใจเร็วกว่า แต่สิ่งสำคัญก็คือความขยัน

    กระต่ายเร็วกว่าเต่า แต่ถ้าเต่าขยัน กระต่ายขี้เกียจ เต่าก็แซงได้
     
  15. ^บัวหลวง^

    ^บัวหลวง^ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    543
    ค่าพลัง:
    +661
    พี่เองตอนสอบคณิตก็ไม่เคยทำทันซะทีอ่ะจ้ะ แต่จะเลือกทำโจทย์ที่ถนัดหรือดูแล้วง่ายๆก่อน จากนั้นเวลาเหลือค่อยทำข้อที่ยากๆทีหลังจ้ะ ลองฝึกทำข้อสอบคณิตแบบไม่ต้องจับเวลาก่อน เน้นทำได้และให้เข้าใจทุกๆข้อไปก่อนสัก10 ฉบับ จากนั้นค่อยฝึกทำข้อสอบแบบจับเวลาก็จะทำให้ทำข้อสอบได้เร็วขึ้นจ้ะ ว้า...เรื่องหนังสือเตรียมสอบ ent พี่ได้บริจาคให้ห้องสมุดไปเกือบหมดแล้ว เหลืออยู่ไม่กี่เล่มที่บ้านง่ะ
    ตอนนี้ยังไม่มีเวลากลับบ้าน(เพราะต้องอยู่เวร)บ้านอยู่ต่างจังหวัดด้วยอ่ะ แต่ยังงัยถ้าน้องจะเอาที่อยู่มาก่อนก็ได้จ้ะ ส่งที่อยู่ให้พี่บัวมาทางpm แล้วหลังวันที่7 มิ.ย.จะลองไปหาหนังสือดู แล้วจะส่งไปให้จ้ะ ส่วนวิธีที่อ่านหนังสือแล้วไม่ง่วงก็คือดูลมหายใจเข้าออกไปด้วยจ้ะ ตอนอ่านหนังสือพยายามจับลมหายใจไปด้วยให้ได้สัก2 ฐานดูลมหายใจผ่านเข้า-ออกที่ปลายจมูกและที่หน้าอก ถ้าจับลมหายใจได้สัก2 ฐานก็อยู่ระดับอุปจารสมาธิ เกิดปีติทำให้ไม่ง่วงจ้ะ ถ้าจับลมหายใจได้1 ฐาน(ตรงปลายจมูก)ก็มีสิทธิง่วงได้เพราะสมาธิไม่มากพอ แต่ถ้าจับลมหายใจได้3ฐาน คือที่ปลายจมูก,หน้าอก,ศูนย์เหนือสะดือ1 นิ้ว แสดงว่าสมาธิอย่างต่ำคือฌาน1 ขึ้นไปจ้ะ แต่สมาธิที่เหมาะในการอ่านหนังสือก็เป็นระดับอุปจารสมาธิ(จับลมหายใจได้ 2ฐานจ้ะ)อันนี้ก็แล้วแต่คนนะจ้ะ แต่เคยลองวิธีนี้ได้ผลเลยแนะนำจ้ะ บางวันไม่ไหวจริงๆก็กินกาแฟเหมือนกันจ้ะ
    สู้ๆแล้วกันนะจ้ะ ^^
     
  16. od2499

    od2499 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    298
    ค่าพลัง:
    +532
    คิดได้แต่คิดช้า ก็มีค่าเท่ากับคิดไม่ออกทำไม่ได้ ในการสอบ แต่ละนาทีมีความหมาย เราต้องคำนวนเวลาว่าแต่ละข้อเราใช้เวลาได้กี่นาที ถ้าไม่ได้เราต้องข้ามไปทำข้อต่อไปก่อน

    การที่หนูคิดช้า เหตุผลที่แน่ๆอย่างหนึ่งคือ หนูไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ ฝึกหัดไม่พอ ก็อ่านรอบเดียว ทำแบบฝึกหัด 5-6 ข้อ จะไปหวังอะไรมาก ไม่ต้องดูเพื่อนลุง แค่ลุงเอง วิชาเคมี ลุงจำได้ ลุงไปเรียนที่พันธะเคมี แถวเทเวศน์ สมัยลุงเรียนนั้น ที่นี่ดังมาก เขาแจกชีทเป็นบทๆ มีแบบฝึกหัดท้ายบท และมีข้อสอบเอ็นทร้านซ์เก่าเป็นเล่มๆอีกต่างหาก แต่ละบทลุงว่ากว่าจะสอบ ลุงอ่านไม่น้อยกว่า 20 เที่ยว ข้อสอบลุงทำไม่ต่ำกว่า 3 รอบ ตารางธาตุไม่ต้องนึกนาน พูดมาลุงก็รู้เลยว่าอยู่หมู่ไหนบรรทัดไหน เห็นข้อสอบไม่ต้องเสียเวลานึก เห็นแล้วก็ทำเลย ลุงว่าลุงเอ็นทร้า่นซ์ติด วิชานี้ช่วยลุงได้เยอะ

    เหตุผลคือ ถ้าเทียบแล้ว เคมีกับอังกฤษ ถือว่าง่ายกว่าฟิสิกซ์กับคณิต เพราะข้อสอบดิ้นได้ไม่มาก คนส่วนมากจะทำได้ ได้เกือบเต็มหรือว่าเต็ม เขาทำได้ เราก็ต้องทำให้ได้ แล้วก็ไปวัดกันตรงฟิสิกซ์ ซึ่งสมัยลุงเรียนนั้นข้อสอบโหดจริงๆ ถ้าเราทำเคมีกับอังกฤษไม่ได้เกือบเต็มหรือ 90 ขึ้น ก็ถือว่าจบ ไม่ต้องหวังเรื่องเอ็นทร้านซ์ติด

    ที่ว่าหนูหัวไม่ดีนั้น คงไม่ใช่แล้วล่ะ อ่านหนังสือรอบเดียว ไม่ค่อยทำแบบฝึกหัด อย่าไปโทษอะไรหรืออิจฉาใคร คนอื่นเขาควรอิจฉาหนู ลงทุนลงแรงแค่นี้ยังสอบแพทย์ไทยได้ ถ้าเทียบกันจริงๆ ลุงเป็นคนหัวช้ากว่าหนูมาก คนอื่นเขาอ่านกันรอบสองรอบ ลุงต้องอ่านอย่างน้อยสามรอบ ถึงพอจะจำได้ พอสอบเสร็จก็ลืมหมดอีก สอบใหม่ก็ต้องอ่านใหม่ เป็นมาอย่างนี้ตั้งแต่เด็ก

    เรื่องการอ่านหนังสือทนนี่ ลุงว่าลุงผ่านมาเยอะ เพราะลุงค่อนข้างจะขี้เกียจ โดดเรียนประจำแล้วมาลุยอ่านตอนใกล้สอบ อ่านหนังสือยันสว่างนี่ลุงทำประจำ วิธีการที่ลุงใช้คือ อ่านพักทุกชั่วโมง เพราะคนเรามีสมาธิได้ไม่เกินชั่วโมง ต้องพักสายตาสักสิบนาที ล้างหน้าล้างตาแล้วอ่านต่อ ขณะที่อ่านให้ใช้นิ้วหรือปากกาลากตามข้อความที่เราอ่านด้วย จะทำให้ใจเราจดจ่อ ไม่ลอยไปไหน ถ้ากำลังอ่านแล้วเกิดง่วง ให้ล้างหน้า ถ้ายังไม่หาย ให้เอาน้ำราดหัวจะช่วยได้เยอะ ถ้ายังไม่ไหวอีก ก็นอนเถอะ อ่านไปก็ไม่มีประโยขน์ ในการอ่านแต่ละบท อ่านครั้งแรกให้จดข้อความสำคัญทั้งหมดลงในสมุดโน๊ต เพราะตอนใกล้สอบหรือก่อนเข้าห้องสอบ เราไม่มีเวลาจะอ่านทั้งเล่มหรอก เมื่ออ่านจบบทแล้วจดหมดแล้ว อย่าเพิ่งไปอ่านบทใหม่ ให้อ่านข้อความที่เราจด จบหน้าหนึ่ง ให้ปิดหนังสือ แล้วท่องว่าเราอ่านอะไรไปบ้าง ถ้าไม่ได้ก็อ่านใหม่ ท่องให้ได้ ถ้ามีเวลาเหลือเฟือ ก็ทำแบบฝึกหัดในตอนนั้นเลย ทำให้เข้าใจ ถึงค่อยไปอ่านบทใหม่ ถ้าหนูรีบตะลุยอ่านให้จบรวดเดียว หนูจะจำอะไรไม่ได้ อย่างดีก็แค่นึกออกคลับคล้ายคลับคลาอย่างที่หนูเป็น สำหรับคนที่ทำได้ ถือว่าเป็นพรสวรรค์ของเขาไป ไม่ต้องไปอิจฉาเขา ลุงว่ามีน้อยคนที่ทำได้

    เมื่อมาถึงตอนนี้ ลุงหวังว่าหนูคงเข้าใจแล้วว่า หนูไม่ได้มีกรรมเวรอะไรหรอก ที่จริงแล้วหนูมีโชคมากกว่า ที่อ่านแค่นี้ยังสอบติด ไม่ต้องเทียบกับเพื่อนลุงหรอกหนู แค่กับลุง เรื่องการลงแรงอ่านหนังสือ ยังห่างกันเยอะ คงเลิกคิดน้อยใจได้แล้วนะ ถ้าน้อยใจอีกลุงจะหมั่นไส้ ลงทุนแค่นี้พอไม่ได้หมอแล้วเสียใจ ขอให้มองไปข้างหน้า ทำอย่างที่ลุงและเพื่อนสมาชิกแนะนำ แล้วก็ขยันกว่านี้อีก 10 เท่า ก็ขอเป็นกำลังใจให้เหมือนเดิมจ๊ะ
     
  17. od2499

    od2499 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    298
    ค่าพลัง:
    +532
    คิดได้แต่คิดช้า ก็มีค่าเท่ากับคิดไม่ออกทำไม่ได้ ในการสอบ แต่ละนาทีมีความหมาย เราต้องคำนวนเวลาว่าแต่ละข้อเราใช้เวลาได้กี่นาที ถ้าไม่ได้เราต้องข้ามไปทำข้อต่อไปก่อน

    การที่หนูคิดช้า เหตุผลที่แน่ๆอย่างหนึ่งคือ หนูไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ ฝึกหัดไม่พอ ก็อ่านรอบเดียว ทำแบบฝึกหัด 5-6 ข้อ จะไปหวังอะไรมาก ไม่ต้องดูเพื่อนลุง แค่ลุงเอง วิชาเคมี ลุงจำได้ ลุงไปเรียนที่พันธะเคมี แถวเทเวศน์ สมัยลุงเรียนนั้น ที่นี่ดังมาก เขาแจกชีทเป็นบทๆ มีแบบฝึกหัดท้ายบท และมีข้อสอบเอ็นทร้านซ์เก่าเป็นเล่มๆอีกต่างหาก แต่ละบทลุงว่ากว่าจะสอบ ลุงอ่านไม่น้อยกว่า 20 เที่ยว ข้อสอบลุงทำไม่ต่ำกว่า 3 รอบ ตารางธาตุไม่ต้องนึกนาน พูดมาลุงก็รู้เลยว่าอยู่หมู่ไหนบรรทัดไหน เห็นข้อสอบไม่ต้องเสียเวลานึก เห็นแล้วก็ทำเลย ลุงว่าลุงเอ็นทร้า่นซ์ติด วิชานี้ช่วยลุงได้เยอะ อังกฤษนี่ ในส่วนของแกรมม่า ตำราขนาดสมุดธรรมดา หนาเกือบสองนิ้ว vocab นี่อีกเล่มใหญ่ ศัพท์อะไรก็ไม่รู้ ไม่คุ้นตาสักตัว ต้องท่องทุกวัน

    เหตุผลคือ ถ้าเทียบแล้ว เคมีกับอังกฤษ ถือว่าง่ายกว่าฟิสิกซ์กับคณิต เพราะข้อสอบดิ้นได้ไม่มาก คนส่วนมากจะทำได้ ได้เกือบเต็มหรือว่าเต็ม เขาทำได้ เราก็ต้องทำให้ได้ แล้วก็ไปวัดกันตรงฟิสิกซ์ ซึ่งสมัยลุงเรียนนั้นข้อสอบโหดจริงๆ ถ้าเราทำเคมีกับอังกฤษไม่ได้เกือบเต็มหรือ 90 ขึ้น ก็ถือว่าจบ ไม่ต้องหวังเรื่องเอ็นทร้านซ์ติด

    ที่ว่าหนูหัวไม่ดีนั้น คงไม่ใช่แล้วล่ะ อ่านหนังสือรอบเดียว ไม่ค่อยทำแบบฝึกหัด อย่าไปโทษอะไรหรืออิจฉาใคร คนอื่นเขาควรอิจฉาหนู ลงทุนลงแรงแค่นี้ยังสอบแพทย์ไทยได้ ถ้าเทียบกันจริงๆ ลุงเป็นคนหัวช้ากว่าหนูมาก คนอื่นเขาอ่านกันรอบสองรอบ ลุงต้องอ่านอย่างน้อยสามรอบ ถึงพอจะจำได้ พอสอบเสร็จก็ลืมหมดอีก สอบใหม่ก็ต้องอ่านใหม่ เป็นมาอย่างนี้ตั้งแต่เด็ก

    เรื่องการอ่านหนังสือทนนี่ ลุงว่าลุงผ่านมาเยอะ เพราะลุงค่อนข้างจะขี้เกียจ โดดเรียนประจำแล้วมาลุยอ่านตอนใกล้สอบ อ่านหนังสือยันสว่างนี่ลุงทำประจำ วิธีการที่ลุงใช้คือ อ่านพักทุกชั่วโมง เพราะคนเรามีสมาธิได้ไม่เกินชั่วโมง ต้องพักสายตาสักสิบนาที ล้างหน้าล้างตาแล้วอ่านต่อ ขณะที่อ่านให้ใช้นิ้วหรือปากกาลากตามข้อความที่เราอ่านด้วย จะทำให้ใจเราจดจ่อ ไม่ลอยไปไหน ถ้ากำลังอ่านแล้วเกิดง่วง ให้ล้างหน้า ถ้ายังไม่หาย ให้เอาน้ำราดหัวจะช่วยได้เยอะ ถ้ายังไม่ไหวอีก ก็นอนเถอะ อ่านไปก็ไม่มีประโยขน์ ในการอ่านแต่ละบท อ่านครั้งแรกให้จดข้อความสำคัญทั้งหมดลงในสมุดโน๊ต เพราะตอนใกล้สอบหรือก่อนเข้าห้องสอบ เราไม่มีเวลาจะอ่านทั้งเล่มหรอก เมื่ออ่านจบบทแล้วจดหมดแล้ว อย่าเพิ่งไปอ่านบทใหม่ ให้อ่านข้อความที่เราจด จบหน้าหนึ่ง ให้ปิดหนังสือ แล้วท่องว่าเราอ่านอะไรไปบ้าง ถ้าไม่ได้ก็อ่านใหม่ ท่องให้ได้ ถ้ามีเวลาเหลือเฟือ ก็ทำแบบฝึกหัดในตอนนั้นเลย ทำให้เข้าใจ ถึงค่อยไปอ่านบทใหม่ ถ้าหนูรีบตะลุยอ่านให้จบรวดเดียว หนูจะจำอะไรไม่ได้ อย่างดีก็แค่นึกออกคลับคล้ายคลับคลาอย่างที่หนูเป็น สำหรับคนที่ทำได้ ถือว่าเป็นพรสวรรค์ของเขาไป ไม่ต้องไปอิจฉาเขา ลุงว่ามีน้อยคนที่ทำได้

    เมื่อมาถึงตอนนี้ ลุงหวังว่าหนูคงเข้าใจแล้วว่า หนูไม่ได้มีกรรมเวรอะไรหรอก ที่จริงแล้วหนูมีโชคมากกว่า ที่อ่านแค่นี้ยังสอบติด ไม่ต้องเทียบกับเพื่อนลุงหรอกหนู แค่กับลุง เรื่องการลงแรงอ่านหนังสือ ยังห่างกันเยอะ คงเลิกคิดน้อยใจได้แล้วนะ ถ้าน้อยใจอีกลุงจะหมั่นไส้ ลงทุนแค่นี้พอไม่ได้หมอแล้วเสียใจ ขอให้มองไปข้างหน้า ทำอย่างที่ลุงและเพื่อนสมาชิกแนะนำ แล้วก็ขยันกว่านี้อีก 10 เท่า ก็ขอเป็นกำลังใจให้เหมือนเดิมจ๊ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤษภาคม 2009
  18. Igiko_L

    Igiko_L เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,407
    ค่าพลัง:
    +2,836
    อ่านที่ลุงod2499 เขียนแล้วอายแก่ใจมากในความขี้เกียจของตัวเอง แต่เป้นนิสัยตอนเรียนมอ ปลายคะ และที่หนูทำข้อสอบน้อย(ในวิชาคณิตศาสตร์ และฟิสิกส์)เพราะหนู คิดว่าตัวเองเก่งแล้ว ติวให้เพื่อนก็ได้ ส่วนวิชาเคมี ชีวะ คือ เรียนทั้งวันกลับมาบ้านก็ทำงาน(หาเงินเรียน ตอนนั้นไม่ได้ขอแม่) กว่าจะได้อ่านหนังสือบางวันเที่ยงคืน(บางวันเหนื่อยมากไม่ได้อาบน้ำ นอนเลย)ต้องตื่น6โมงเช้าขึ้นรถไปเรียนตัวจังหวัด แล้วที่สำคัญ หนูโง่ ไม่ยอมซื้อหนังสือ อยากประหยัด ก็อ่านหนังสือเรียนเท่านั้น ภาษาอังกฤษ ก็ท่องศัทพ์ แต่จำไม่ได้อีกนั้นละ วันนี้หนูสำนึกแล้วคะ จะอ้างว่าตัวเองติวให้คนอื่นแล้วไม่ยอมทำข้อสอบความคิดโง่ๆ จะอ้างว่าต้องทำงานจนไม่ได้อ่านหนังสือก็ไม่ได้อีก(นี้คงเป็นเหตุผลที่ทำไมพอดูข่าวคนรวยสอบติดแพทย์จุฬาฯ ซึ่งส่วนมากก็เป้นลูกหมอนะคะ หนูจึงได้อิจฉาตาร้อน)รู้สึกเกรงใจ ที่มาเขียนขอรับบริจากหนังสือ แต่พอดีว่ามีรุ่นพี่ ที่มหาลัยรู้ว่าจะสอบใหม่ ก็ให้หนังสือ ชีวะมา1เล่มเป้นของ อาจารย์ที่พี่บัวบอกพอดี พี่มหาลัยบอกว่า "ไม่ได้ใช้ น้องเอาไปอ่านนะ" เลยคิดว่า อาจจะมีคนที่สอบติดแล้วไม่ได้ใช้ แต่พอเขียนลงแล้ว รู้สึกไม่ดี เพราะตอนแรกมาขอคำแนะนำ แต่ต่อมาก็มาขอหนังสือ รู้สึกว่า ไม่เอาดีกว่า เกรงใจ หนูหางานทำแถวมหาลัย เก็บเงินซื้อเอง ดีกว่า หรือไปนั่งอ่านตามร้านขายหนังสือก็ได้ ตอนนี้พักที่มหาลัยยค่ะ คงจะพักถึงวันที่ 19 พ.ค.2552 แล้วจะกลับบ้าน ช่วงกลับบ้านคงไม่ได้เข้ามาโพส เพราะที่บ้านไม่มีคอม ช่วงที่ใช้คอมคือ มาพักมหาลัยนะคะ หนูเหนื่อยเพราะเรื่องเรียนมาก มากกว่าที่ทุกคนเข้าใจ ถ้าไม่เพราะรักอยากที่จะเรียน หนูไม่ดิ้นรนหาเงินเหนื่อยขนาดนี้หรอก แต่เห้นคุณหนูไปเรียนสบายๆ อิจฉาค่ะคุณลุง (วาสนามันต่างกันจริงๆ ตั้งแต่เริ่มต้น จนถึงปลายเค้าสอบติดไปแล้ว)แต่หนูก็โง่ไม่ยอมสอบติดสักที ทำให้เสียค่าสมัครสอบไปเยอะ ขอบคุณนะคะที่ทำให้หนูมีกำลังใจ ขึ้น ต่อไปหนูจะไม่โทษฟ้า โทษดิน หันมาโทษตัวเองดีกว่า ต่อไปจะขยันให้มากกว่านี้ขอบคุณนะคะ คุณลุง ที่ทำให้หนูตาสว่าง
     
  19. Igiko_L

    Igiko_L เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,407
    ค่าพลัง:
    +2,836
    หนูทำข้อสอบ แบบไม่จับเวลาแต่ก็ดูอยู่นะว่าทำข้อสอบตอนกี่โมง และทำเสร้จกี่โมง ก็ทำได้นะ80%ขึ้น เป็นเพราะเวลาสอบบรรยากาศกดดันมากกว่าที่ทำให้หนูคิดไม่ออก (หนูเข้าข้างตัวเองหรือเปล่านา) ^_^ เวลาหนูคิดอะไรไม่ออก หนูจะหัวเราะขึ้นมาเลย หนูคิดว่าจะรับติว นักเรียนมอปลาย รรสาธิต ใกล้มหาลัย ใจหนูไม่อยากได้เงินหรอกนะคะแต่อยากซื้อหนังสือ คงไม่ผิดนะคะ ก่อนนั้นหนูเคยคิดว่าคนดี เป็นแค่เรื่องเล่าในสมัยพุทธกาล แต่ตอนนี้หนูได้เจอแล้ว ทุกคนที่เข้ามาแนะนำหนู รู้สึกว่า คนดีๆยังมีในโลกจริงๆ ขอบคุณนะคะ
     
  20. od2499

    od2499 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    298
    ค่าพลัง:
    +532
    พูดถึงเรื่องวาสนานี่ ก็แข่งเรือแข่งพายพอแข่งกันได้แหละนะ เรื่องนี้ทำไมใครจะไม่คิด ลุงเองก็คิดจนขี้เกียจคิดนะ แต่วันนี้หนูมีโอกาศแล้ว ดูอย่างเพื่อนลุง บ้านเขาก็เป็นร้านขายของชำธรรมดา มาวันนี้อยู่บ้านราคาสิบกว่าล้าน เขาสร้างตัวเองมาล้วนๆ ลุงว่าถ้าจะพูดเรื่องรายได้ หมอฟันนี่รายได้ดีกว่าหมอทั่วไปนะ ขอให้ทนลำบากไม่กี่ปี ชีวิตที่เหลือหนูจะสบาย กลุ้มใจอะไรก็ไม่เท่ากลุ้มเรื่องไม่มีจะกินเรื่องทำมาหากินนี่แหละ

    ลูกหมอที่มักจะสอบได้หมอ นอกจากจะมีเวลา มีโอกาศแล้ว ที่เราไม่เคยคิดคือ เขามีวินัยมากๆ ลุงก็ดูตัวอย่างกับลูกเพื่อนลุงคนนี้แหละ เราไม่มีเวลา ไม่มีเงิน ต้องทำงานด้วย ได้ขนาดนี้ ลุงถือว่าสวรรค์ประทานนะ เราจะหวังมากกว่านี้ ก็จัดเวลาให้ดี ยอมเหนื่อย ทำให้ดีที่สุด ได้ก็ดี ไม่ได้ก็เอาตรงนี้ให้ดีที่สุด

    เรื่องหนังสือนี่ประหยัดไม่ได้ ลุงเพิ่งรู้นะว่าหนูอ่านแต่หนังสือแบบเรียน ขอให้รีบไปกราบพระหลายๆวัดหน่อย หนูโชคดีอย่างที่สุดแล้ว สมัยลุงเรียนนี่ ซื้อไม่รู้กี่เจ้าต่อกี่เจ้า แต่อย่างที่บอก ลุงไม่ได้อ่านอย่างเต็มที่ มัวห่วงเล่น ติดสาวซะมากกว่า ถ้าย้อนเวลากลับได้ ลุงก็อยากจะตั้งใจเรียนให้มากกว่านี้ การเป็นหมอ ไม่ว่าสาขาไหน ในความคิดของลุง ข้อดีที่สุดคือไม่ต้องง้อใคร เรารักษาให้ดีก็มีคนมาง้อเรา ไม่ต้องไปเป็นลูกน้องใคร หรือทำการค้าเอง ต้องเจอแรงกดดัน การเอาเปรียบ เสี่ยงขาดทุน ที่ลุงทำได้คือบอกเด็กๆที่ลุงรู้จัก ให้ตั้งใจเรียน จะได้ไม่ต้องลำบากในตอนหลัง

    ไม่ต้องมองคนที่รวยกว่าเรา สบายกว่าเรา ขอให้กัดฟัน ดูเพื่อนลุงเป็นตัวอย่าง วันข้างหน้าหนูจะสบายและได้ช่วยเหลือคนตามที่หนูต้องการ
     

แชร์หน้านี้

Loading...