สมภารไม่ยอม ถอดป้ายหมิ่นฯ

ในห้อง 'ข่าวพุทธศาสนา' ตั้งกระทู้โดย เฮียปอ ตำมะลัง, 29 กรกฎาคม 2008.

  1. sasitorn2006

    sasitorn2006 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +4
    </PRE>ผลการค้นหาคำว่า “ พระพุทธรูป ” :- <CENTER></CENTER>พบในอรรถกถาเพื่ออธิบายเนื้อความในพระไตรปิฎก ดังนี้ :- <CENTER></CENTER>พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๑ ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค

    อรรถกถา ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค
    อัคคัญญสูตร
    http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=11&i=51&p=1

    ทีนั้น มารเนรมิตพระพุทธรูปอันประดับด้วยลักษณะอันประเสริฐ ๓๒ ประการ ยืนอยู่ที่ประตูเรือนของอุบาสกนั้น แล้วส่งสาส์นไปว่า พระศาสดาเสด็จมาดังนี้.

    พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๒ มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์

    อรรถกถา มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ จูฬยมกวรรค
    มารตัชชนียสูตร ว่าด้วยการคุกคามมาร
    http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=12&i=557&p=1

    เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงถอยกลับพระสรีระทั้งสิ้นเทียวชำเลืองดู ดุจพระพุทธรูปทองคำที่หมุนไปด้วยเครื่องยนต์

    พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๔ มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์

    อรรถกถา มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ วิภังควรรค
    ธาตุวิภังคสูตร
    http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=14&i=673&p=2

    นั่งเหมือนเสาเขื่อนที่ฝังไว้อย่างดีแล้ว เหมือนพระพุทธรูปทองไม่หวั่นไหวเป็นนิตย์

    อรรถกถา มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ วิภังควรรค
    ทักขิณาวิภังคสูตร
    http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=14&i=706&p=1

    อย่างไร. ก็พึงตั้งพระพุทธรูปที่มีพระธาตุในฐานะประมุขของสงฆ์ ๒ ฝ่ายในอาสนะ วางตั่ง
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="66%" background="" border=0><TBODY><TR><TD align=right hspace="0" vspace="0">[​IMG]</TD></TR><TR><TD width="100%" bgColor=blue hspace="0" vspace="0" goldenrod>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><FORM name=form1 target=_top>
    ข้อความ <INPUT maxLength=30 size=30 value=พระพุทธรูป name=text> <INPUT type=submit value=" ค้นหา "> กำหนดเล่มที่เริ่มค้น และจำนวนเล่มที่จะค้น <INPUT id=ta type=radio CHECKED value=b name=t>โดยเลขที่ของเล่ม เริ่มเล่มที่ <SELECT onclick=dA1(0) name=b> <OPTION value=9 selected> 09<OPTION value=10> 10<OPTION value=11> 11<OPTION value=12> 12<OPTION value=13> 13<OPTION value=14> 14<OPTION value=15> 15<OPTION value=16> 16<OPTION value=17> 17<OPTION value=18> 18<OPTION value=19> 19<OPTION value=20> 20<OPTION value=21> 21<OPTION value=22> 22<OPTION value=23> 23<OPTION value=24> 24<OPTION value=25> 25<OPTION value=26> 26<OPTION value=27> 27<OPTION value=28> 28<OPTION value=29> 29<OPTION value=30> 30<OPTION value=31> 31<OPTION value=32> 32<OPTION value=33> 33 </OPTION></SELECT> จำนวนเล่มที่ค้น <SELECT onclick=dA1(0) name=bs><OPTION value=1> 1<OPTION value=2> 2<OPTION value=3> 3<OPTION value=4> 4<OPTION value=5> 5<OPTION value=6 selected> 6 </OPTION></SELECT> <INPUT id=tb type=radio value=a name=t>โดยเนื้อหาอรรถกถา ค้นใน <SELECT onclick=dA1(1) name=a><OPTION value=0911 selected>อรรถกถาทีฆนิกาย [เล่ม 09-11]<OPTION value=1214>อรรถกถามัชฌิมนิกาย [เล่ม 12-14]<OPTION value=1519>อรรถกถาสังยุตตนิกาย [เล่ม 15-19]<OPTION value=2024>อรรถกถาอังคุตตรนิกาย [เล่ม 20-24]<OPTION value=2525>อรรถกถาขุททกนิกาย [เล่ม 25]<OPTION value=2626>อรรถกถาขุททกนิกาย [เล่ม 26]<OPTION value=2728>อรรถกถา ขุ. ชาดก [เล่ม 27-28]<OPTION value=2929>อรรถกถา ขุ. มหานิเทส [เล่ม 29]<OPTION value=3030>อรรถกถา ขุ. จูฬนิเทส [เล่ม 30]<OPTION value=2930>อรรถกถาขุททกนิกาย [เล่ม 29-30]<OPTION value=3131>อรรถกถา ขุ. ปฏิสัมภิทามรรค [เล่ม 31]<OPTION value=3232>อรรถกถา ขุ. อปทาน ๑ [เล่ม 32]<OPTION value=3333>อรรถกถา ขุ. อปทาน ๒ -พุทธ -จริยา [เล่ม 33]<OPTION value=3233>อรรถกถาขุททกนิกาย [เล่ม 32-33]</OPTION></SELECT><INPUT type=hidden value=1 name=original></FORM>
    </TD></TR></TABLE>
    3 วิ.</PRE></PRE>
     
  2. sasitorn2006

    sasitorn2006 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +4
    อรรถกถา มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ วิภังควรรค
    ทักขิณาวิภังคสูตร
    http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=14&i=706&p=1

    อย่างไร. ก็พึงตั้งพระพุทธรูปที่มีพระธาตุในฐานะประมุขของสงฆ์ ๒ ฝ่ายในอาสนะ วางตั่ง


    ดูดีๆนะ ถ้าไม่มีคำว่า ที่มีพระธาตุ กำกับ วัดสามแยกผิดล้านเปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว ทีนี้เอาไงต้องแก้ พระไตรปิฎก กับ อรรถคาถาเลยมั้ย
     
  3. sasitorn2006

    sasitorn2006 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +4
    ดูจากกระทู้ข้างบนนะ จะมีคำว่า เนรมิต ดุจ เหมือน ทั้งนั้นเลย และที่สำคัญเพิ่งมามีใน อรรถกถา เท่านั้น ที่มี
    อย่างไร. ก็พึงตั้งพระพุทธรูปที่มีพระธาตุในฐานะประมุขของสงฆ์ ๒ ฝ่ายในอาสนะ วางตั่ง
     
  4. seahero

    seahero เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    335
    ค่าพลัง:
    +602
    พูดได้ดีครับ ขออนุโมทนา
     
  5. sasitorn2006

    sasitorn2006 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +4
    <TABLE width="100%"><TBODY><TR><TD>พุ ท ธ ศิ ล ป สู่ พ ร ะ พุ ท ธ รู ป
    [3 มีนาคม 2551 13:47 น.] จำนวนผู้เข้าชม 21 คน </TD></TR><TR><TD>
    [​IMG]


    พุ ท ธ ศิ ล ป สู่ พ ร ะ พุ ท ธ รู ป
    มูลเหตุที่สร้างพระพุทธรูป


    เรื่องกำเนิดแห่งพระพุทธรูปขึ้นนั้น มีในหนังสือเรื่องตำนานพระแก่นจันทน์ กล่าวว่า “เมื่อพระพุทธองค์เสด็จไปประทานเทศนาโปรดพระพุทธมารดาและทรงประทับอยู่ในดาวดึงส์สวรรค์พรรษาหนึ่งนั้น พระเจ้าประเสนชิต แห่งกรุงโกศลราช เมื่อมิได้เห็นพระพุทธองค์มาเป็นเวลานาน จนเกิดความรำลึกถึง จึงตรัสสั่งให้นายช่างแกะรูปพระพุทธองค์ขึ้นด้วยไม้แก่นจันทน์แดง ประดิษฐานไว้เหนืออาสนะที่ซึ่งพระพุทธเจ้าเคยประทับ ครั้นพระพุทธองค์เสด็จกลับจากดาวดึงส์มาถึงที่ประทับ พระบรมพุทธานุภาพบันดาลให้พระพุทธรูปแก่นจันทน์ เลื่อนหลีกไปจากพระพุทธอาสน์ แต่พระตถาคตเจ้าตรัสสั่งให้รักษาพระพุทธรูปนั้นไว้ เพื่อสาธุชนจะได้ใช้เป็นแบบอย่างสร้างพระพุทธรูปเมื่อพระพุทธองค์ล่วงลับไปแล้ว ความที่กล่าวในตำนานประสงค์จะอ้างว่าพระพุทธรูปแก่นจันทน์องค์นั้น เป็นต้นกำเนิดของพระพุทธรูปซึ่งสร้างกันต่อมาภายหลัง” หรืออีกนัยหนึ่งคือ “อ้างว่า พระพุทธรูปมีขึ้นโดยพระบรมพุทธานุญาต และเหมือนพระพุทธองค์ เนื่องด้วยปฐมองค์นั้นสร้างขึ้นแต่ในครั้งพุทธกาลเดิม” เข้าใจว่าหนังสือเรื่องตำนานพระแก่นจันทน์จะเกิดขึ้นในลังกาทวีป แต่มาพบในหนังสือจดหมายระยะทางของหลวงจีนฟาเหียน ซึ่งไปอินเดีย เมื่อราว พ.ศ. ๙๕๐ กล่าวว่า “เมื่อไปถึงเมืองสาวัตถีได้ฟังเล่าเรื่องพระเจ้าประเสนชิตให้สร้างพระพุทธรูปตรงกับที่กล่าวในหนังสือตำนานพระแก่นจันทน์ จึงรู้ว่าเป็นเรื่องตำนานในอินเดียมีมาแต่โบราณ ถึงกระนั้นความที่กล่าวในตำนานก็ขัดกับหลักฐานที่มีโบราณวัตถุเป็นเครื่องพิสูจน์ เป็นต้นว่าถ้าเคยสร้าง พระพุทธรูปแต่เมื่อในพุทธกาล และพระพุทธองค์ได้โปรดประทานพระบรมพุทธานุญาตให้สร้างกันต่อมาดังอ้างในตำนานไซร้ พระเจ้าอโศกมหาราชก็คงสร้างพระพุทธรูปเป็นเจดียวัตถุแห่งหนึ่ง เช่นเราชอบสร้างกันในชั้นหลัง แต่ในบรรดาพุทธเจดีย์ที่พระเจ้าอโศกสร้างไว้หามีพระพุทธรูปไม่ ใช่แต่เท่านั้นแม้อุทเทสิกเจดีย์ที่สร้างกันเมื่อล่วงสมัยพระเจ้าอโศกแล้วจนราว พ.ศ.๔๐๐ เช่นลายจำหลักรูปภาพเรื่องพุทธประวัติ ซึ่งทำเป็นเครื่องประดับพระมหาธาตุเจดีย์ ดังกล่าวมาในตอนก่อน (ในพุทธเจดีย์สยาม) ทำแต่รูปคนอื่น ส่วนตรงไหนที่จะต้องทำพระพุทธรูปก็คิดทำรูปสิ่งอื่น เช่น รอยพระพุทธบาท หรือ พระธรรมจักรและพุทธอาสน์เป็นต้น สมมติแทนพระพุทธรูปทุกแห่งไป ข้อนี้พิสูจน์ให้เห็นว่าประเพณีที่ทำพระพุทธรูปยังไม่มีในสมัยนั้น หรือยังเป็นข้อห้ามอยู่ในมัชฌิมประเทศจนถึง พ.ศ. ๔๐๐ ข้อนี้แสดงให้เห็นว่าตำนานเรื่องพระแก่นจันทน์นั้น จะเกิดขึ้นต่อสมัยเมื่อมีประเพณีสร้างพระพุทธรูปกันแพร่หลายแล้ว ราวใน พ.ศ.๗๐๐ ปี หรือ ๘๐๐ ปี”
    เรื่องสร้างพระพุทธรูป นักปราชญ์ในชั้นหลังสอบเรื่องพงศาวดาร ประกอบกับพิจารณาโบราณวัตถุที่ตรวจพบในอินเดีย ได้ความเป็นหลักฐานว่า พระพุทธรูปเป็นของพวกโยนก (คือฝรั่งชาติกรีก) ซึ่งเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา เริ่มคิดประดิษฐ์ขึ้นในคันธารราฐ เมื่อราว พ.ศ.๓๗๐ มีเรื่องตำนานดังจะกล่าวต่อไป คือครั้งพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช สามารถแผ่อาณาเขตตั้งแต่ยุโรป ตลอดมาจนในอินเดียข้างฝ่ายเหนือ เมื่อ พ.ศ. ๒๐๐ นั้น ได้ทรงแต่งตั้งพวกโยนกที่เป็นแม่ทัพนายกองครองบ้านเมืองรักษาพระราชอาณาเขตตลอดมา ครั้นพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชสิ้นพระชนม์ ผู้อื่นไม่สามารถจะรับรัชทายาทได้ ราชอาณาเขตก็กลับแยกกันออกเป็นประเทศต่างๆ ทางฝ่ายเอเชียนี้ พวกโยนกที่เป็นเจ้าบ้านผ่านเมือง ต่างก็ตั้งตนขึ้นเป็นอิสระหลายอาณาเขตด้วยกัน แล้วชักชวนชาวโยนกพรรคพวกของตนให้มาตั้งภูมิลำเนาทำมาหากิน เป็นมูลเหตุที่จะมี พวกโยนกมาอยู่ในแผ่นดินอินเดียตอนชายแดนข้างด้านตะวันตกเฉียงเหนือ ซึ่งเรียกว่าอาณาเขตคันธารราฐ ในสมัยนั้นขึ้นอยู่ในประเทศบัคเตรียซึ่งแม่ทัพโยนกคนหนึ่งตั้งตัวเป็นเจ้า ครั้นต่อมาเจ้าเมืองบัคเตรียแพ้สงครามต้องตัดอาณาเขตคันธารราฐให้แก่พระเจ้าจันทรคุปต์ ต้นราชวงศ์โมริยะอันเป็นองค์พระอัยกาของพระเจ้าอโศกมหาราช แต่นั้นคันธารราฐ ก็ตกมาเป็นเมืองขึ้นของมคธราฐ เพราะฉะนั้น เมื่อพระเจ้าอโศกอุปถัมภ์พระพุทธศาสนา จึงให้ไปประดิษฐานพระพุทธศาสนาในคันธารราฐ และพึงสันนิษฐานว่า พวกโยนกที่ตั้งภูมิลำเนาอยู่ ณ ที่นั้นคงเข้ารีตเลื่อมใสมิมากก็น้อย แต่เมื่อพ้นสมัยราชวงศ์โมริยะมาถึงสมัยราชวงศ์สุงคะ ซึ่งทรงมีพระอานุภาพน้อย ไม่สามารถปกครองไปถึงคันธารราฐได้ พวกโยนกในประเทศบัคเตรียก็ขยายอาณาเขตรุกแดนอินเดียเข้ามาโดยลำดับ จนได้คันธารราฐและบ้านเมืองในลุ่มแม่น้ำสินธุ มีเมืองตักศิลาเป็นต้น ไว้ในอาณาเขต โดยมากจึงรวมอาณาเขตเข้ารวมเป็นประเทศคันธารราฐ ตั้งตนเป็นอิสระ มีพระเจ้าแผ่นดินโยนกปกครองตั้งแต่ราว พ.ศ.๓๐๐ เป็นต้นมา
    ในเขตอาณาจักรของประเทศคันธารราฐนั้น ชาวเมืองโดยมากนับถือพระพุทธศาสนาสืบมาแต่ครั้งพระเจ้าอโศกมหาราช พวกโยนกตามมาชั้นหลัง เมื่อมาได้สมาคมสมพงศ์กับพวกชาวเมืองก็มักเข้ารีตเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา แต่พระเจ้าแผ่นดินนั้นยังถือศาสนาเดิมของพวกโยนก มาจนถึงราวเมื่อ พ.ศ.๓๖๐ พระเจ้าแผ่นดินพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่ามิลินท์ ทรงมีพระราชอานุภาพมาก ทำสงครามแผ่อาณาเขตเข้าไปในมัชฌิมประเทศจนถึงมคธราฐ ชะรอยจะได้ไปทราบพิธีการปกครองของพระเจ้าอโศกมหาราช และได้สมาคมคุ้นเคยกับผู้รอบรู้พระพุทธศาสนา ประกาศแสดงพระองค์เป็นพุทธศาสนูปถัมภกทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้รุ่งเรืองขึ้นในประเทศคันธารราฐนับแต่นั้นมา
    พุทธเจดีย์ที่สร้างขึ้นในคันธารราฐ ในรัชสมัยของพระเจ้ามิลินท์นั้น ก็เอาแบบอย่างไปจากมัชฌิมประเทศ แต่พวกโยนกเป็นชาวต่างประเทศ ไม่เคยถือข้อห้ามการทำรูปเคารพ ซ้ำคติศาสนาเดิมของพวกโยนก ก็เลื่อมใสในการสร้างเทวรูปสำหรับสักการะบูชาด้วย เพราะเหตุนี้พวกโยนกไม่ชอบแบบของชาวอินเดียที่ทำรูปสิ่งอื่นสมมติแทนพระพุทธองค์จึงคิดทำพระพุทธรูปขึ้นในเครื่องประดับเจดียสถาน พระพุทธรูปจึงมีขึ้นในคันธารราฐเป็นปฐม (เมื่อในระหว่าง พ.ศ.๓๖๕ จนถึง พ.ศ.๓๘๓) ความที่กล่าวนี้มีหลักฐานด้วย พระพุทธรูปชั้นเก่าที่สุด ซึ่งตรวจพบในอินเดีย พบในแคว้นคันธารราฐ และเป็นแบบอย่างช่างโยนกทำทั้งนั้น แต่เมื่อพิจารณาดูลักษณะพระพุทธรูปคันธารราฐที่พวกโยนกทำ เห็นได้ว่ามิใช่เป็นแต่ความคิดของช่างเชลยศักดิ์ หรือทำแต่ตามอำเภอใจของพวกโยนก การที่สร้างพระพุทธรูปขึ้นทีแรกน่าจะเป็นพระราชดำริของพระเจ้าแผ่นดิน และให้นักปราชญ์ราชบัณฑิตกับพวกนายช่างประชุมปรึกษาหารือกันว่า ควรจะทำอย่างไร และพวกที่ปรึกษากันนั้นก็คงรู้สึกว่าเป็นการยากมิใช่น้อย ด้วยการทำพระพุทธรูปมีข้อสำคัญบังคับอยู่ ๒ อย่าง คือ อย่างหนึ่งจะต้องคิดให้แปลกกับรูปภาพคนอื่นๆ ใครเห็นให้รู้ได้ทันทีว่าเป็นรูปพระพุทธเจ้า กับอีกอย่างหนึ่ง จะต้องให้งามชอบใจคนทั้งหลายที่เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา
    จากประวัติศาสตร์ของอินเดียเท่าที่พรรณนามานี้ในด้านเกี่ยวกับการสร้างพระพุทธรูป จะเห็นว่าแต่เดิมนั้นนับแต่สมัยหลังพระพุทธกาลไม่มีการสร้างพระพุทธรูป คงสร้างรูปเคารพอย่างอื่นเป็นสัญลักษณ์แทน แม้ในสมัยของพระเจ้าอโศกมหาราช ก็ยังไม่มีการสร้างพระพุทธรูปไว้เคารพบูชา ชนชาติกรีกซึ่งนับถือพระพุทธศาสนา ดำเนินรอยตามพระเจ้ามิลินท์ นับเป็นพวกแรกที่สร้างพระพุทธรูปขึ้น เมื่อ พ.ศ.๓๗๐ หรือระหว่าง พ.ศ.๓๖๕-๓๘๓ เรียกพระพุทธรูปสมัยแรกนี้ว่าสมัยคันธาราฐ
    ศิลปคันธาระ (คันธาราฐ) พ.ศ.๓๖๕-๓๘๓
    อันความรุ่งเรืองในสมัยต้นของราชวงศ์อินเดีย หาเป็นเหตุให้ศิลปะแห่งคันธาระ มีส่วนผสานกับอารยธรรมเดิมของอินเดียไม่ ด้วยส่วนใหญ่ยังคงมีอิทธิพลของตะวันตกอยู่ กล่าวง่ายๆ ก็คือศิลปะคันธาระกับของอินเดียแท้ๆ ดูจะดำเนินไปบนมรรคาคนละสาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เกี่ยวกับศาสนาพุทธด้วยศิลปะของคันธาระเอาแบบอย่าง การสลักพระพุทธรูปมาจากทรวดทรงของมนุษย์เลียนแบบธรรมชาติ หาได้เข้าถึงอารมณ์ส่วนลึกอันเป็นเรื่องของจิตใจไม่ ตรงกันข้ามชาวอินเดียพยายามแสวงหาอารมณ์ ความรู้สึกอันเร้นลับและสภาพอันอิ่มเอิบไปด้วยฌานให้แอบแฝงอยู่ในรูปปั้นด้วย โดยการตัดความกังวลใจในด้านการถอดพิมพ์จากธรรมชาติให้หมดไป แล้วมุ่งถ่ายถอดอารมณ์ความรู้สึกแต่ฝ่ายเดียว ดังปรากฏให้เห็นความสำเร็จอันงดงาม ในศิลปะคุปตะ อันเป็นศิลปะที่งามสุดยอดทางด้านพุทธศิลปะของอินเดีย
    ราชวงศ์กุษาณะ ได้พยายามสร้างความเจริญให้แก่คันธาระนานาประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการค้าการรวบรวมอำนาจ หาได้คำนึงถึงศรัทธาปสาทะอันแท้จริงในศิลปะไม่ จึงได้รวบรวมศิลปินจากต่างชาติในเมืองไกล ณ ที่ต่างๆ เพื่อทำงานตามที่ต้องการ ชนเหล่านี้ย่อมไม่อาจเข้าถึงความลึกซึ้งในศาสนาพุทธและฮินดูแต่ประการใด จึงทำให้ศิลปสมัยแรกๆมีความแตกต่างอย่างรุนแรงกับศิลปะอินเดียสมัยหลังซึ่งเป็นศิลปะอินเดียแท้ๆ
    เมืองภาคใต้ คือ มถุราซึ่งได้รับอิทธิพลการสร้างศิลปะไปจากคันธาระ แต่ก็สามารถทำตามอารมณ์ความรู้สึกของตนเองอันเป็นแบบที่อินเดียเคยทำกันมาก่อน ในขณะเดียวกับคันธาระ ยังคงมีอิทธิพลของกรีกอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าศิลปะทั้งหมดจะเป็นพุทธศิลปะ
    พระเจ้ากนิษกะซึ่งเป็นองค์อุปถัมภกสำคัญของพระพุทธศาสนา และได้เป็นผู้อุปถัมภ์การช่างศิลปะด้วย เพราะมีการก่อสร้างอย่างใหญ่โต สร้างวัดวาอารามต่างๆ พระองค์จึงได้ชื่อว่าเป็นผู้ก่อตั้งสกุลช่าง “คันธาระ” ขึ้น
    อิทธิพลศิลปะเฮนเลนนิสติคของกรีกได้ปรากฏในงานสมัยนั้นทั่วๆไป ดังจะเห็นได้ในงานประติมากรรมที่ขุดค้นได้จากเมืองตักศิลา ศิลปะเหล่านี้อยู่ในอิทธิพลของศิลปะกรีก ซึ่งแท้จริงขณะนั้น โรมันมีอำนาจอยู่เหนือกรีก และได้รับอิทธิพลไปจากกรีกอีกต่อหนึ่ง จึงกล่าวได้อีกอย่างหนึ่งว่าเป็น ศิลปะภายใต้อิทธิพลของอาณาจักรโรมันซึ่งตรงกับสมัยของเฟลเวี่ยน
    ภาพสลักของพุทธศิลปะสมัยแรกๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระพุทธรูปจึงเป็นแบบอย่างคล้ายศิลปะตะวันตก คือรูปร่างพระพุทธองค์เป็นแบบมนุษย์ธรรมดา มีกล้ามเนื้อนูนเด่นชัด แม้จีวรก็มีรอยย่นแบบธรรมชาติ สมัยคันธาระ ได้มีการสลักรูปพระโพธิสัตว์ด้วย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นภาพเจ้าชายสิทธัตถะสมัยก่อนจะตรัสรู้
    ภาพพระโพธิสัตว์จึงมีเครื่องประดับอันอลังการต่างๆ มีสังวาลย์ และสร้อยเพชรคาดบนพระเศียร (ศีรษะ) รวมทั้งประดับตามพระกรด้วย เครื่องทรงเหล่านี้ก็คงจะลอกเลียนเครื่องทรงกษัตริย์ หรือพระราชวงศ์ของพวกกุษาณนั่นเอง ภาพพระโพธิสัตว์เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ และท่าทางเลียนแบบศิลปะโรมันทุกอย่าง ซึ่งเข้าใจว่าจะสลักขึ้นโดยชาวต่างชาติซึ่งชำนาญงานด้านนี้โดยตรง มิใช่ชาวอินเดียพื้นเมือง ภาพพระโพธิสัตว์เจ้าชายสิทธัตถะ ก็เหมือนกับรูปสลักเทพเจ้า อะปอลโล่ไม่ผิดเพี้ยน
    ศิลปะคันธาระ ได้หยุดชะงักโดยสิ้นเชิง ด้วยผลจากการรุกรานของพวกฮั่นขาว ซึ่งหลวงจีนเฮี่ยนจังได้พรรณนาถึงสภาพคันธาระว่า เต็มไปด้วยซากสลักปรักหักพังของโบสถ์ วิหาร วัดวาอาราม น่าเอน็จอนาถยิ่งนัก
    ศิลปะคันธาระสูญหายไป แต่ก็มีบทบาทใหม่ของศิลปะในอิทธิพลคันธาระไปผุดเกิดที่แคชเมียร์ ซึ่งคงมีฝีมือและความคิดเช่นเดียวกัน และยังคงมีอายุยืนนานจนถึงพุทธศตวรรษที่ ๑๒
    พระพุทธรูปสมัยคันธาราฐหรือคันธาระนี้ สร้างขึ้นด้วยวิธีสลักหินตามอย่าง คติการสลักเทพเจ้าของกรีกซึ่งใช้ศิลาเป็นพื้น และก็สลักในลักษณะรูปร่างเหมือนมนุษย์ มีกล้ามเนื้อ จีวรมีรอยย่นคล้ายธรรมชาติ แต่พระพุทธรูปแบบคันธาราฐก็ยังคงยึดคัมภีร์มหาปุริสลักเป็นแบบด้วย ดังเช่น ทำพระอุณาโลมไว้ระหว่างพระขนง (คิ้ว) และทำพระเศียร (ศีรษะ) มีพระเกตุมาลา (มวยผม) แทนที่จะทำเป็นพระเศียรเลียนแบบพระภิกษุผู้ปลงผมแล้วทั่วไป
    ข้อที่ทำพระเกตุมาลานี้ บางทีจะเอาแบบมาจากข้อความในคัมภีร์นั้นที่ว่า “อณหิสสิโส” แปลว่า พระเศียรเหมือนทรงอุณหิส คือเครื่องทรงที่พระเศียร นายช่างสลักจึงทำพระเศียรนูน แบบมีพระเกตุมาลา
    คติการทำพระเศียรนูนแบบมีพระเกตุมาลา (มวยผม) นี้ นับว่าเป็นคติอันแปลก และย่อมดำเนินรอยตามแบบเดิมของนายช่างประติมากรกรีก บางท่านวิจารณ์ว่าเพราะพระพุทธองค์เป็นผู้มีปัญญาอันล้ำเลิศ รูปของพระเศียรจึงนูนขึ้นผิดปกติชน ซึ่งแม้รูปสลักโมเสส ซึ่งเป็นศาสดาพยากรณ์ของคริสตศาสนาอันสลักโดย ไมเคิล แอนเจโล ประติมากรเอกของโลกชาวอิตาเลี่ยนก็ยังทำปุ่มยื่นออกมาเหนือหน้าผาก ๒ ปุ่ม เป็นลักษณะของบุคคลพิเศษ ซึ่งมีอำนาจอันมหัศจรรย์อีกประการหนึ่งตรงกระหม่อม คือส่วนสูงสุดของศีรษะทางศาสนาพราหมณ์ ถือว่านักบวชพราหมณ์ เมื่อถึงแก่มรณภาพแล้ว เขาจะต้องทุบกระหม่อมให้แตกเพื่อให้จิตวิญญาณหรืออาตมันของพราหมณ์ออกทางนั้น ตรงกันข้ามหากใครทำชั่ว หรือมีอกุศลจิตเป็นที่ตั้ง วิญญาณก็จะออกไปทางปลายเท้า หมายถึงไปสู่อบายภูมิ

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    อ้างอิงจาก : http://www.bookskanessporn.com/content_437_4927_TH.html3
     
  6. sasitorn2006

    sasitorn2006 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +4
    สรุปแล้วที่มาเถียงกันเพราะ พวกโยนก (คือฝรั่งชาติกรีก) ซึ่งเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา เริ่มคิดประดิษฐ์ขึ้นในคันธารราฐ เมื่อราว พ.ศ.๓๗๐ นี่เอง
     
  7. Hma

    Hma เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,307
    ค่าพลัง:
    +6,426
    ขอนำเรื่องพระยามารกับพระอุปคุตมาคร่าวๆ

    พอพระเจ้าอโศกมหาราช ฉลองศาสนาเสร็จ ไปถึง พระยามาร ก็บ่นว่า โธ่เอ๋ย พระสมณโคดม ท่านก็ใจดี นะ แต่สาวกนี่แหมใจร้ายเต็มที ท่านอุปคุตไปถึงก็ต่อว่า สาวกสมัยก่อน อย่างพระโมคคัลนา พระสารีบุตร พระบิณโฑลภารทวาชะ ใคร ๆ ก็มีฤทธิ์ มากกว่าท่านเสียอีก แต่ไม่ใจร้าย มีท่านคนเดียว ใจร้ายกับเรา ท่านอุปคุตก็โต้ว่า รู้แล้วไม่ใช่หรือ พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ว่า ท่านกับเราเท่านั้น ที่เป็นคู่ปรับกัน ความจริงแล้ว ท่านผู้มีฤทธิ์ ทั้งหมดน่ะ ตัวท่านสู้ไม่ได้หรอก ไม่มีทางสู้ เวลานี้ แม้แต่เณร 7 ขวบ ที่ไปตามเรา ท่านก็สู้ไม่ได้ แต่ที่ท่านทั้งหลายไม่ทำ ก็เพราะไม่ใช่หน้าที่ของท่าน แต่เป็นหน้าที่ของเราผลที่สุดพระอุปคุตท่านก็ปล่อย แต่บอกว่า ก่อนปล่อย ต้องสัญญากับเราก่อนว่า จะไม่รบกวน บรรดาภิกษุ ภิกษุณี อุบาสิกา ผู้ปรารถนาในธรรม ถ้ารบกวนเมื่อไรโทษจะหนักกว่านี้หลายพันเท่า พระยามารก็บอกว่าไม่เอาแล้ว ไอ้ 7 ปี 7 เดือน 7 วัน นี่ก็พอแล้ว
    พระอุปคุตท่าน ก็ขอร้องให้พระยามาร แสดงเป็นรูปพระพุทธเจ้า สมัยยังทรงพระชนม์อยู่ให้ดู พระยามาร ตอบว่า ได้ ๆ ๆ เรื่องเล็ก แต่สัญญากันก่อนนะ จะไหว้ผมไม่ได้ นะห้ามไหว้ โดยเฉพาะ พวกท่าน เป็นอรหันต์ เป็นพระอริยะ มาไหว้ผมละ ไม่เป็นเรื่องหรอก พระอุปคุต ก็ตกลง พระยามาราธิราช บอกว่า ผมจะ เดินไปทางหลังเขา ถ้าออกมา ห้ามไหว้เด็ดขาดนะ เพราะ บาปจะตกอยู่กับผม พอพระยามาร ไปหลังเขา พระอุปคุต ก็ให้สัญญาณ เรียกพระอรหันต์มาทั้ง 2 แสนรูป สักครู่หนึ่ง พระยามารก็ออก เป็นพระพุทธเจ้า มีฉัพพรรณรังสี รัศมี สว่างไสว สวยสด งดงามมาก มี พระโมคคัลลา พระสารีบุตร อยู่เบื้อง ซ้าย ขวา ครบ เครื่องมาเลย พระทั้งหมด ลืมสัญญา ลุกขึ้นกราบพร้อมกัน กราบพระพุทธเจ้า พระยามารรีบคลายตัว ทันทีบอกว่า ท่านทำไมทำยังงี้ เป็นโทษกับผม ท่านอุปคุตก็บอกว่า ท่านไม่ต้องวิตก เพราะว่า การกราบนี้เขา ไม่ได้กราบท่าน เขากราบพระพุทธเจ้า โทษของท่านไม่มี พระยามาราธิราชก็บอกว่า ถ้าอย่างนั้น ขอพระคุณเจ้าทั้งหมดงดโทษให้ผมด้วย พร้อมด้วยพระรัตนตรัย เพราะว่า ผมเอง ก็ปรารถนาพุทธภูมิ แล้วท่าน ก็กลับไป เรื่องก็จบลงแต่เพียงนี้

    พระอรหันต์ จนถึงคนสามัญทั่วไป เห็นเป็นพระพุทธเจ้าก็กราบลงแทบบาท พระพุทธองค์
    เพราะสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ และพระรัตนตรัย
     
  8. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    คุณ ศศิธร ครับ ผมไม่อยากจะพูดอะไรมาก ก็รอดูกันไป
    แต่สิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะบอกก็คือว่า ไม่จำเป็นต้องยกพระไตรปิฎกมาอ้างการกระทำทุเรสของตนเองหรือพวกพ้อง
    คุณไม่ยอมรับความจริงเลยว่า แม้ขนาดรูปเคารพหลวงปู่มั่น หลวงตามหาบัวท่านยังกราบ
    มีวัตถุ เจดีย์ ที่บรรจุพระธาตุท่านก็กราบ พระพุทธรูปท่านก็กราบไหว้บูชา

    คำถามนะครับ ที่บอกว่า พระพุทธรูป ไม่ต้องกราบ คุณไปพิจารณาดีๆ สิว่า มันเกี่ยวข้องกับหลักการในการดับกิเลสตรงไหน
    ถ้าจะบอกว่าเป็นไปเพื่อไม่ยึดติด ผมก็จะบอกว่า มีมากมายที่สามารถสอนเพื่อไม่ยึดติดได้ เช่น เงินทอง อย่าไปหยิบจับมันมาก
    บ้านช่อง อย่าไปหรูหราฟู่ฟ่ามาก เหล่านี้คุณทำกันได้หรือยัง แล้วพระพุทธรูป ก็อยู่ดีๆ เรียกว่า เป็น วัตถุเพื่อเป็นเครื่องระลึก แล้วทำไมจะต้องไปเพ่งที่สิ่งประเสริฐนี้ว่า ไม่ดี ไม่จำเป็น ถ้าพระยืนอยู่ตรงหน้า ก็บอกว่า อย่าไปกราบมัน มันเป็นเพียงร่างกายสังขาร ให้มุ่งเน้นที่จิตใจ ก็จะบอกว่า ไอ้คนที่คิดสุดโต่งนี้จิตใจมันก็ไม่ประเสริฐแล้ว ทำไมไม่ไปดูจิตใจตัวเองก่อนกระทำอะไรลงไป อะไรที่ดีๆ สร้างสรรค์ มันก็คือสิ่งดี ต่อไปก็ไม่ต้องมีวัตถุเลยสิครับ

    คุณศศิธร ผู้โอหัง ศิษย์เทวทัตครับ คุณเลิกบ้าเถอะ และผมจะคุยกับคนโง่อย่างคุณครั้งนี้ครั้งสุดท้าย เพราะคุณมันโง่ ให้ศิษย์เทวทัตหลอก ก็ไปเจอศาสดาคุณในอเวจีก็แล้วกัน ผมไม่คุยกับศิษย์เทวทัต อย่างเกษม
    ช่วยไปบอกเกษมด้วยว่า คนที่เคยเถียงกับเขาแล้วเกษมเถียงไม่ออกนั้น ฝากมาด่าและเตือนด้วยว่า นรกอยู่บนหัวเกษมแล้ว
     
  9. sasitorn2006

    sasitorn2006 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +4
    เอะอะอะไรก็ศิษย์เทวทัต อะไรที่ไม่เห็นด้วยกับคุณ ก็ยกให้เป็นศิษย์เทวทัตหมด อย่างนั้นหรือ ข้าพเจ้าไม่เคยว่าใครในที่นี้บ้า โอหัง หรือโง่นะ
     
  10. paranyu

    paranyu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    259
    ค่าพลัง:
    +122
    คุณขันธ์ช่วยขยายความให้เป็นบุญกับผมหน่อยได้ไหมครับ
    ว่า คุณ เถียงกับ ท่าน เรื่องอะไรที่ท่านเถียงไม่ออก.......
    เผื่อผมพอรับทราบเหตุผลของคุณขันธ์ว่า ดีกว่าถูกต้องกว่า ผมจะได้เลิกนับถือหลวงปู่มา
    นับถือคุณขันธ์แทนครับ (แม้คุณจะปฎิเสธไม่รับศิศย์ หรือคุณไม่ต้องการ ผมก็จะขอนับถือครับ) และ ตัวคุณขันธ์ก็จะได้บุญเพราะช่วยนำคนออกจากลิทธิเทวทัต(แบบที่คุณกล่าวหา)
     
  11. คนตาบอด

    คนตาบอด Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2008
    โพสต์:
    51
    ค่าพลัง:
    +42
    เป็นความสงสัย ในฐานะที่เป็นพุทธบริษัท เคารพกราบไหว้พระพุทธรูป

    ให้ทางวัดสามแยก รวมทั้ง บรรดาสมาชิกที่เชื่อในคำสอนของภิกษุรูปนี้ ได้ใช้ปัญญาอธิบายเหตุผล ให้กระจ่าง ตามคำถามข่างล่างนี้..(ให้ตอบทุกข้อ ตามความเข้าใจที่คิดว่า ถูกที่สุด)

    1.เหตุใดจึง ต้องให้พระภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ยกเลิกการกราบไหว้ พระพุทธรูป

    2.ท่านศรัทธา ต่อพระพุทธเจ้า จนขนาดขอบวชเข้ามาในศาสนา ท่องบทสิกขาบท รักษาศีล ในศาสนาพุทธ เวลาท่านสวดมนต์เช้า สวดมนต์เย็น ท่านสวดที่ไหน มีวิธีการอย่างไร

    3.การที่บรรพบุรุษ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ไหว้พระพุทธรูป เป็นบุญหรือเป็นบาป

    4.ท่านพยายาม ลบล้างความเชื่อ คือการกราบไหว้ ของชาวพุทธที่มีต่อพระพุทธรูป มาแต่ก่อนโบราณกาลหรือไม่

    5.การที่ท่านบวช เข้ามาในพุทธศาสนา ท่านไม่เคยกราบใครเลยหรอ พระอุปัชฌาย์ อาจารย์ พระคู่สวด พระพุทธรูป การท่องบ่น สวดมนต์ ไม่เคยทำเลยหรอ.

    6.ท่านมีความคิดเห็นว่า ชาวพุทธ คือ พระภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกางมงายที่กราบไหว้พระพุทธรูป

    7.ท่านตีความหมายของพระพุทธรูป ว่า เป็นเพียงแค่อิฐ แค่ปูน แค่ทองเหลืองเท่านั้น ใช่หรือไม่

    8.สาธุชน ชาวพุทธทั้งหลายทั้งไทยและทั่วโลก กำลังหลงผิดที่กราบพระพุทธรูป ด้วยความงมงาย เพราะพระพุทธรูปนั้นเป็นเพียงแค่ทองเหลือง อิฐ ปูน ไม่มีค่าต่อการกราบไหว้ แบบนั้นหรือ

    9. ท่านระลึก ถึง คุณของพระรัตนตรัย ท่านทำอย่างไร ช่วยอธิบายให้ชัดเจน เป็นขั้นเป็นตอน มีพิธีการ มีการตั้งโต๊ะหมู่บูชาหรือไม่อย่างไร บทสวด ที่ใช้ในงานต่างๆ ท่านแต่งใหม่ หรือว่า เอาตามพระที่ท่านสวดต่อๆกันมา

    10.สุดท้ายแล้ว ท่านว่า เหล่าชาวพุทธ โง่หรอ ที่กราบไหว้ พระพุทธรูป ตามคำประกาศของท่าน ว่า ..พระพุทธรูปนี้ ไม่ใช่พระพุทธเจ้า ไม่ต้องไปกราบไหว้มัน..

    ขอท่านได้ใช้สติปัญญา ความเข้าใจ ตอบให้ดี อย่าเป็นคนขาดสติในการตอบปัญหา เพราะว่าถ้าท่านให้คำตอบไม่ดี ไม่มีเหตุผล ท่านจะไร้ค่าโดยทันที ทันใด ความถูกผิดจะติดตัวท่านไปตามกรรมที่ท่านทำไว้
     
  12. ปรัม

    ปรัม สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +4
    คงต้อง รอให้ ธรรมชาติ พิพากษา
    เมื่อใช้ข้อมูลเด็ดๆ เถียงกันไปมากมาย หลายใจความ
    สุดท้าย กลับหันมามองตัวเอง เราก็แค่มนุษย์ คนนึง
    ถามว่า ใครจะรู้ คำตอบความถูกต้อง ที่แท้จริงบ้าง
     
  13. พิม

    พิม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +95


    ลิ้งค์>>>หมวดบาปบุญเวปสามแยก

    ตัวอย่าง

    คัดลอกจากพระไตรปิฎกฉบับมหามกุฎราชวิทยาลัย ชุด 91 เล่ม

    ทำบุญ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 31 กรกฎาคม 2008
  14. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,621
    ค่าพลัง:
    +13,004
    ว่าแล้วงัย!!!!สักวันว่าคงมีอะไรเพี้ยนๆ เพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ จากท่านเกษม ผู้นี้
    จับตารอดูมานานแล้วนะ มันแปลกๆ ออกมาเรื่อยๆ เหนื่อยใจจริงเลย
     
  15. อุดมเกียรติ

    อุดมเกียรติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    63
    ค่าพลัง:
    +136
    1.ขอเชิญพวกนี้ รวมทั้งคุณศศิธร หลวงพ่อเกษฒ และใครต่อใครที่สนับสนุนการกระทำ และแนวคิดนี้ลงอเวจีกันตามสบายเถิด
    2.พวกคุณรู้จักคำว่าปรามาสพระรัตนตรัยกันไหม โทษมีว่าอย่างไร เชิญหากันให้ดี มีบุญกลับสำนึกก็พ้นตัว
    3.เอาทองคำมากง เอาเพ็ชรพลอยมากอง ผมก็ไม่ไหว้ แต่ต่อให้เอาสิ่งโสโครก อัปมงคลขนาดไหนก็ตามมาประดิษฐ์เป็นรูปแทนองค์พระพุทธเจ้า แม้นไม่ได้ปลุกเสกใด ๆ ผมก็ไหว้ได้อย่างสนิทใจ
    4.ผมและครอบครัวเคยเดินทางไปกราบ และพักค้างคืนที่นั่นด้วยความศรัทธา เพราะคำว่าเนื้อนาบุญ และท่านเองก็ยืยันว่าตนเองจบกิจคือเป็นพระอรหันต์แล้ว มีหูทิพย์ ตาทิพย์ ผมก็ยิ่งเชื่อแลธศรัทธาท่านมาก
    5.มีคำสอนอย่างหนึ่งที่ทำให้ผมยั้งตัวและมีเวลาพิจารณา คือ ขณะที่เรามีความสุขสามารถโอนบุญได้ แม้แต่ขณะมีเพศสัมพันธ์..... นี่มันอะไรกัน มันเป็นกิเลส ตัณหา ชัด ๆ
    6.สนทนากับผู้ทรงฌาณในมโนมยิทธิ ก่อนหน้านี้ 1 ปี ท่านบอกว่าหลวงพ่อเกษมเป็นเพียงแค่ทรงฌาณ เป็นการใช้ฌาณกดทับกิเลส มีวิปัสนูกิเลส ทำให้หลงผิดคิดว่าตนเองบรรลุธรรม
    7.สงสารครับสงสาร พวกท่านรักครูบาอาจารย์มากกว่าพระพุทธเจ้า จะเอาดีโดยธรรมขององค์ท่านแล้ว แม้แต่แค่การกราบไหว้องค์สมมุติแทนท่านยังไม่ยอมทำ ศรัทธาหาพระแสงอะไร บุญบารมี และมรรผล ญญาจะเกิดขึ้นได้อย่างไร....ตรองดูดี ดี [​IMG]
     
  16. อธิมุตโต

    อธิมุตโต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    4,741
    ค่าพลัง:
    +13,087
    โพสต์ ให้อ่านเล่น ๆ จาก FW mail

    ... กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีแม่ลูกคู่หนึ่งทำนากันเพียงสองคน โดยที่ลูกชายเป็นคนที่มีความศรัทธาต่อพระพุทธศาสนาอันแรงกล้า โดยความคิดของเขาคือ อยากพบพระอรหันต์ จริงๆ สักครั้งหนึ่ง .....

    จนมาได้ยินชาวบ้านพูดกันว่ามีพระอรหันต์รูปหนึ่งมาธุดงค์ที่เขาทางตอนเหนือ
    ห่างจากนี่ไปประมาณไม่กี่กิโดเมตร ชายคนนั้นก็ขอแม่ไปหาพระรูปนั้นทันที
    จนกระทั่งมายังเขาลูกนั้นก็ทำการตามหาพระอรหันต์รูปนั้นทันทีก็ไปพบตาลุงแก่ๆ
    คนหนึ่งจึงตรงไปถามว่าเห็นพระรูปหนึ่งไหม แต่ลุงนั้นก็ปฏิเสธว่าไม่พบใครเลย
    ชายคนนั้นจึงแจ้งความประสงค์ในการมาให้ลุงแก่ฟัง

    ลุงจึงบอกว่าที่นี่ไม่มีหรอกพระอรหันต์อะไรนะ
    โดยชี้ว่าถ้าอยากเจอให้ไปตามทางนี้ จึงเขียนแผนผังให้ชายหนุ่มนั้น โดยให้เดินไปทิศใต้
    จากนั้นจะพบคนที่เป็นพระอรหันต์นะจะเป็นคนที่ซึ่งสังเกตุง่ายๆ คือใส่เสื้อผ้าและรองเท้าสลับข้างกัน

    ชายหนุ่มนั่นจึงเดินตามแผนที่เขียนทุกประการจนกลับมาที่แห่งหนึ่ง
    ซึ่งเป็นที่คุ้นมาก ฝ่ายมารดาหนุ่มนั่นพอได้ยินเสียงก็คิดว่าคงเป็นลูกชายที่กลับมาแน่ๆ จึงรีบออกมาต้อนรับ
    ซึ่งเป็นเวลาดึกมากและประกอบกับดีใจ จึงทำให้แม่ของหนุ่มนั่นใส่เสื้อสลับหน้าหลัง
    และรีบสวมรองเท้าจนใส่กลับข้าง มารับลูกชาย
    .......
    พอชายหนุ่มนั่นเห็นแม่มารับและเห็นเห็นการแต่งตัวของแม่ก็นั่งคุกเข่าร้องไห้ แบบเด็กทารกทันที
    เพราะนี่แหละ คือ พระอรหันต์ที่เขาใฝ่หาอยากพบอยากเห็นมาตลอดนั่นเอง

    นิทานเรื่องนี้ ..... สอนได้เรื่องเดียวเลยคือ
    บางครั้งคนเราจะใฝ่หาและนึกถึงแต่คนที่เรารักคนที่เราต้องการ
    โดยที่เราไม่ได้คิดเลย.....ว่าคนที่อยู่ข้างหลังเรานั้น
    เป็นคนที่เราควรรักและบูชารักมากที่สุดเหนืออื่นใดแล้ว
    และจะเป็นคนที่เราดีใจก็จะดีใจไปกับเรา
    หรือเสียใจก็พร้อมเศร้าใจไปพร้อมเราเช่นกัน.....

    พระอรหันต์ อยู่ใกล้ ตัวที่สุด ใยต้องไขว้คว้า ... หาสุด ขุนเขา<STYLE type=text/css><!--td.attachrow { font: normal 11px Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; color : ; border-color : ; }td.attachheader { font: normal 11px Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; color : ; border-color : ; background-color: #D1D7DC; }table.attachtable { font: normal 12px Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; color : ; border-color : ; border-collapse : collapse; }--></STYLE>
     
  17. กระติ๊บ

    กระติ๊บ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    672
    ค่าพลัง:
    +939
    เอาง่ายๆ ไม่ต้องถึงขนาดพระพุทธเจ้าหรอก เอาแค่ในหลวงของเราเนี่ย
    เวลาทุกๆท่าน พบรูปในหลวง ท่านกราบไหว้ด้วยความเคารพไหม
    หรือท่านคิดว่าเป็นแค่กระดาษ คิดจะข้ามก็ข้ามอย่างงั้นเหรอ เอาง่ายๆแค่เนี้ย
     
  18. เฮียปอ ตำมะลัง

    เฮียปอ ตำมะลัง ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย วุ่นวายทำไม ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    24,969
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +91,130
  19. ธัมมนัตา

    ธัมมนัตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,515
    ค่าพลัง:
    +9,765
    แม้ได้สมาบัติ ๘ แต่ไม่รู้ตัวว่ายังเป็นปุถุชน

    พระมีฤทธิ์แต่ยังไม่บรรลุธรรมก็มีมาแต่สมัยพุทธกาล ดังตัวอย่างดังนี้

    แม้ได้สมาบัติ ๘ แต่ไม่รู้ตัวว่ายังเป็นปุถุชน

    ได้ยินว่า พระมหาติสสเถระได้สมาบัติ ๘ ตั้งแต่เวลาที่มีพรรษา ๘ ท่านกล่าวธรรมได้ใกล้เคียงอริยมรรค ด้วยอำนาจเรียนและการสอบถาม เพราะกิเลสที่ถูกข่มไว้ด้วยสมาบัติไม่ฟุ้งขึ้น แม้ในเวลาที่ท่านมีพรรษา ๖๐ ก็ไม่รู้ตัวว่ายังเป็นปุถุชน <O:p</O:p
    ครั้นวันหนึ่ง ภิกษุสงฆ์จากติสสมหาวิหาร ในบ้านมหาคาม ได้ส่งข่าวแก่พระธัมมทินนเถระผู้อยู่ที่หาดทรายว่า ขอพระเถระจงมากล่าวธรรมกถาแก่พวกกระผม. พระเถระรับคำแล้ว คิดว่า ภิกษุผู้แก่กว่าไม่มีในสำนักของเรา แต่พระมหาติสสเถระเล่าก็เป็นอาจารย์ผู้บอกกรรมฐานแก่เรา เราจะตั้งท่านให้เป็นพระสังฆเถระแล้วจักไป ท่านอันภิกษุสงฆ์แวดล้อมแล้วไปยังวิหารของพระเถระ แสดงวัตรแก่พระเถระในที่พักกลางวัน นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. <O:p</O:p
    พระเถระกล่าวว่า ธัมมทินนะ ท่านมานานแล้วหรือ? <O:p</O:p
    พระธัมมทินนเถระกล่าวว่า ท่านผู้เจริญขอรับ ภิกษุสงฆ์ส่งข่าวสาสน์จากติสสมหาวิหารมาถึงกระผม ลำพังกระผมผู้เดียวก็จักไม่มา แต่กระผมปรารถนาจะไปกับท่านจึงได้มา ท่านกล่าวสาราณิยกถาถ่วงเวลาให้ช้าๆ แล้วถามว่า ท่านผู้เจริญ ท่านบรรลุธรรมนี้เมื่อไร? <O:p</O:p
    พระเถระกล่าวว่า ท่านธัมมทินนะ ประมาณ ๖๐ ปี. พระธัมมทินนเถระกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ ท่านใช้สมาธิหรือ? พระเถระกล่าวว่า ขอรับท่าน. พระธัมมทินนเถระกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ ท่านเนรมิตสระโปกขรณีสระหนึ่งได้ไหม? พระเถระกล่าวว่า ท่าน ข้อนั้นไม่หนักเลย แล้วเนรมิตสระโปกขรณีขึ้นในที่ต่อหน้า และถูกท่านกล่าวว่า ท่านจงเนรมิตกอปทุม กอหนึ่งในสระนี้. ก็เนรมิตกอปทุมแม้นั้น. พระธัมมทินนเถระกล่าวว่า บัดนี้ ท่านจงสร้างดอกไม้ใหญ่ในกอปทุมนี้ พระเถระก็แสดงดอกไม้แม้นั้น ถูกกล่าวว่า ท่านจงแสดงรูปหญิงมีอายุประมาณ ๑๖ ปีในดอกไม้นี้ ก็แสดงรูปหญิงแม้นั้น. <O:p</O:p
    ลำดับนั้น พระธัมมทินนะกล่าวกะพระเถระนั้นว่า ท่านผู้เจริญ ท่านจงใส่ใจถึงรูปหญิงนั้นบ่อยๆ โดยความงาม. พระเถระแลดูรูปหญิงที่ตนเนรมิตขึ้น เกิดความกำหนัดขึ้นในเวลานั้น จึงรู้ตัวว่ายังเป็นปุถุชน จึงกล่าวว่า ท่านสัปปุรุษ ขอท่านจงเป็นที่พึ่งของผม แล้วนั่งกระโหย่งในสำนักของอันเตวาสิก. พระธรรมทินนะกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ กระผมมาเพื่อประโยชน์นี้เอง แล้วบอกกรรมฐานเบาๆ เนื่องด้วยอสุภแก่พระเถระ แล้วออกไปข้างนอกเพื่อให้โอกาสแก่พระเถระ. พระเถระผู้มีสังขารอันปริกรรมไว้ดีแล้ว พอพระธัมมทินนะนั้นออกไปจากที่พักกลางวันเท่านั้น ก็ได้บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา.<O:p</O:p
    อรรถกถา อังคุตตรนิกาย เอกนิบาตเอกธัมมาทิบาลี
    <O:p</O:p
    <O:p
    ยกมาเพื่อให้ได้ไตร่ตรองกัน </O:p
     
  20. อุดมเกียรติ

    อุดมเกียรติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    63
    ค่าพลัง:
    +136
    เอาหล่ะ ถ้าท่านยังมีดวงตามืดบอด ข้าพเจ้าขอตอบแทน
    1.ที่ว่าผิด ตรงไหน อย่างไร....
    ขอตอบว่าไม่ผิดตรงไหน อย่างไรทั้งสิ้น แต่นี่มันเกี่ยวพันมากกว่าคำว่าถูกผิด ดังนี้
    - เป็นมิจฉาทิฐิ
    - เป็นการปรามาสพระรัตนตรัย
    - ผู้เชื่อถือด้วยพลอยรับกรรมนั้นตาม
    - ทำลายศรัทธาในพุทธานุสติ
    ฯลฯ เอาแค่นี้ก็อเวจีกินหัวไม่รู้กี่กัปป์แล้ว
    2.ที่ว่าท่านทำลายพระพุทธศาสนา ท่านทำไปเพื่ออะไร
    ขอตอบว่าท่านไม่ได้ทำเพื่ออะไร แต่ทำเพื่อสงเคราะห์ชาวพุทธ ให้รู้เห็นตามความเป็นจริง และปฏิบัติให้ถูกต้อง ตามที่ท่านเข้าใจ และมีเจตนาเต็มที่ทุกอย่างตามความเข้าใจเอาเองที่ว่าท่านบรรลุธรรมแล้ว ท่านก็มีเจตนาที่จะให้ทุกคนมีความเห็นที่ถูกต้อง ตามที่ท่านคิดเอาเอง แต่ท่านไม่ได้รู้ตัวว่าตนเองไม่ได้บรรลุธรรมใดเลย อยู่ในสภาพฌาณกดทับและวิปัสนูกิเลส จึงมีความเห็นผิด และเพี้ยนดังนี้แล.............[​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...