ทฤษฎีสัมพันธภาพและกลศาสตร์ควอนตัม สู่การเดินทางของจิต การมองเห็นวิญญาน และกาลเวลา

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย gotodido, 6 พฤษภาคม 2008.

  1. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    จริงๆมีต่อนะนี้ แต่ถ้าพูดออกไปแล้ว เกรงจะตีความไปทาง
    แสงทิพย์บ้าง ไปทางอยาตนะนิพพานบ้าง หรือ สังขตธรรมบ้าง
    ก็เลยต้อง งด ดีกว่า

    จบไว้ที่ตรง

    กับคำพ้องที่ว่า ไม่มีการเดินทาง พ้นระยะ เวลา และ ทาง
     
  2. apple_meppo

    apple_meppo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    258
    ค่าพลัง:
    +135
    จบแล้วหรอ ...
     
  3. gotodido

    gotodido เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    61
    ค่าพลัง:
    +147
    ต่อจากครั้งก่อนให้แล้วครับ ผมรวมไว้กะอันแรก

    เดี๋ยวจะมีภาคต่อเรื่อง สิ่งมีชีวิตกับสิ่งที่ไม่มีชีวิต สองสิ่งนี้ประกอบด้วยอะตอมที่มีลักษณะเหมือนกัน แต่แตกต่างกันด้วยคำว่า "ชีวิต"


    เชิญแลกเปลี่ยน และร่วมแสดงความคิดเห็น ครับ ผมอยากรู้ว่าท่านอื่นคิดยังไง
     
  4. Little Raccoon

    Little Raccoon Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +89
    เรื่องที่คุณบุคคลทั่วไป 3 คนตั้งข้อสงสัยไว้ว่า

    "ที่นี้ ถ้าเกิดการเคลื่อนที่ๆไวมาก ย่อมมีการใช้พลังงาน

    เมื่อใช้พลังงาน ย่อมมีการสลายของมวล และยังต้องมี
    เวลาเข้าไปสัมพันธภาพอีก คือ มีการสูญไปของเวลา
    ตรงการสูญไปของเวลาจึงเป็นประเด็นที่น่าสงสัย น่าตั้งคำถาม

    เพราะ เรื่อง แสง กับ มวล มันไม่หายไปไหน อันนี้ก็เป็นไปตาม
    สมการ โดยมีพลังงานเป็นส่วนควบคุมสมดุล แต่ในสมการไม่
    ได้กำหนด t ลงไป เพราะมันเป็นสัมพันธภาพ หรือ กล่าวว่า
    มัน ขนาน ก็เลยสงสัย แล้วก็จี้ขอสงสัยตรงจุดนี้ เผื่อท่านทั้ง
    หลายแสดงความรู้มา จะได้แจ่มกัน ( คือ ผมไม่รู้นะครับ )"<!-- / message -->

    ตามสมการ E = mc^2 นั้นหมายความว่าถ้ามวลทั้งหมดถูกเปลี่ยนไปเป็นพลังงานหรือมวลสลายไปเป็นพลังงาน จะได้พลังงานเท่าไร่

    นั่นหมายความว่า ท.ไม่ได้บอกว่าเมื่อเราเคลื่อนที่วัตถุแล้ว วัตถุจะต้องสลายมวลไปเป็นพลังงาน แต่บอกเราว่าถ้าเราจะแปลงมวลเป็นพลังงานแล้ว เราจะได้พลังงานจากมวลนั้นเท่าไร่ ดังนั้นจึงไม่มีเรื่องของ t หรือเวลาเข้ามาเกี่ยวข้อง

    ทีนี้ถ้าหากเราใส่พลังงานเข้าไปเพื่อเคลื่อนที่วัตถุให้ใกล้ความเร็วแสง จะเกิดอะไรขึ้น?
    ตัวทฤษฎีบอกเราว่า เมื่อวัตถุเคลื่อนที่ด้วยความเร็ว เวลาของวัตถุนั้นจะหดสั้นลง มวลจะเพิ่มขึ้นและความยาวก็จะหดสั้นลง ทั้งหมดนี้เทียบกับผู้สังเกตที่หยุดนิ่ง
    และเมื่อยิ่งความเร็วเพิ่มขึ้น มวลก็จะเพิ่มขึ้นด้วย ตาม ท.บอกเราว่าเมื่อเคลื่อนที่ถึงความเร็วแสง มวลจะมีขนาดเป็นอนันต์จึงทำให้ไม่ว่าเราจะใส่พลังงานเข้าไปเท่าไร่ เราจึงไม่อาจทำให้วัตถุเคลื่อนที่เร็วกว่าแสงได้ หรือเราจะตีความว่าพลังงานที่ใส่เข้าไปทั้งหมดนั้นกลายเป็นมวล(ไม่ใช่มวลสลายไป เนื่องจากเราต้องใส่พลังงานให้กับระบบและพลังงานนั้นดันให้วัตถุเคลื่อนที่และกลายเป็นมวลต้านการเคลื่อนที่) ดังนั้นเราจึงไม่สามารถเติมพลังงานเข้าไปอีกเพื่อเคลื่อนมวลที่เป็นอนันต์ได้



    นอกจากเรื่องเวลาสัมพัทธ์ใน ท.สัมพัทธภาพพิเศษแล้ว ภาพของเอกภพใน ท.สัมพัทธภาพทั่วไปยังบอกเราอีกว่าความโน้มถ่วงมีผลกับเวลา นั่นหมายความว่าภาพของเวลาในเอกภพไม่ได้ราบเรียบสม่ำเสมอเท่ากันทั้งหมดทุกส่วน
    นั่นคือเราต้องมองภาพของเอกภพในแบบ 4 มิติคือมีเวลาเข้ามาเกี่ยวข้อง

    คำว่าภาพของเวลาในเอกภพไม่ได้ราบเรียบสม่ำเสมอเท่ากันทั้งหมดทุกส่วนผมขอยกตัวอย่างเช่น สมมุติดาวอังคารมีมวลมากกว่าโลกซัก 10,000 เท่า หากผมไปอยู่บนดาวอังคารผมจะแก่ช้ากว่าคนที่อยู่บนโลก(หรือเวลาของผมจะผ่านไปช้ากว่า)เนื่องจากสนามความโน้มถ่วงที่สูงมาก(เนื่องจากมวลของดาวอังคาร)รอบดาวอังคารทำให้อวกาศรอบดาวอังคารเกิดการบิดเบี้ยว และเวลาก็หดสั้นลง
    และเนื่องจากการบิดเบี้ยวของกาล-อวกาศรอบวัตถุที่มีมวลมากนั้นทำให้แสงซึ่งเดินทางเป็นเส้นตรง จึงเดินทางโค้งตามอวกาศและกาลที่บิดเบี้ยวนั้นด้วย

    ตรงจุดนี้ผมจึงคิดว่า หากจะมีที่อยู่ของเทวดาหรือสวรรค์ อาจเป็นที่ใดที่หนึ่งในเอกภพซึ่งมีมวลมากจนทำให้อวกาศและกาลบิดเบี้ยว ทำให้เวลาผ่านไปช้ากว่าบนโลกก็เป็นได้

    นอกจากนี้ตัว ท.สัมพัทธภาพยังบอกเราว่าเวลามีจุดเริ่มต้นและสิ้นสุดได้
    จากการค้นพบหลุดดำนั้น เป็นการยืนยันตัว ท.สัมพัทธภาพทั่วไปในเรื่องการบิดเบี้ยวของกาล-อวกาศได้เป็นอย่างดี เนื่องจากนักวิทยาศาสตร์ตรวจพบว่าแสงบริเวณรอบหลุมดำนั้นจะพุ่งเข้าสู่หลุมดำ นั่นคือแม้แต่แสงยังไม่สามารถผ่านออกมาได้
    และเนื่องจากหลุมดำมีมวลเป็นอนันต์จึงทำให้วัตถุที่หล่นเข้าไปยังหลุมดำจะมีเวลาเป็นศูนย์นั่นคือไม่มีเวลาอีกต่อไปซึ่งก็คือจุดสิ้นสุดของเวลานั่นเอง นักวิทยาศาสตร์เรียกจุดนี้ว่า Singularity และเรียกขอบเขตที่หากวัตถุหล่นเข้าไปยังหลุมดำเกินขอบเขตหนึ่งซึ่งจะไม่สามารถกลับออกมาได้ว่าเส้นขอบฟ้าเหตุการณ์หรือ Event Horizon

    จุดนี้จึงเป็นเรื่องน่าคิดว่า จุดที่เวลาหยุดนิ่งในเอกภพนั้นคืออะไร หรือมีสภาพเป็นอย่างไร ผมไม่แน่ใจว่าจะเทียบกับแดนนิพพานได้หรือไม่ แต่ภาพของหลุมดำก็ทำให้รู้สึกว่าเป็นอะไรที่น่ากลัวมากกว่า

    นอกจากนี้ใน Modern Physics ยังมีเรื่องแปลกๆขัดแย้งกับความรู้สึกอยู่อีกมากเช่น ในทฤษฎี Super Gravity บอกเราว่าเอกภพอาจมีได้ถึง 11 มิติ แต่ที่เราไม่สามารถสัมผัสมิติอื่นๆได้นั้นเพราะ มิติอื่นๆมีขนาดเล็กมากและม้วนตัวซ่อนซ้อนอยู่กับอวกาศและกาล 4 มิติของเรา

    หรืออย่างเช่นเรื่องของจำนวนจินตภาพซึ่งดูจะไม่มีความหมายใดๆในความเป็นจริง แต่ปรากฏว่าเมื่อเรารวมเวลาที่เป็นจำนวนจินตภาพเข้ากับแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ของเอกภพแล้ว ค่าพยากรณ์ที่ได้จากแบบจำลองนี้ตรงกับค่าที่เราสังเกตได้ในเอกภพพอดี
    แล้วถ้าเช่นนั้นเราจะตีความหมายเวลาจินตภาพในสมการว่ามันมีลักษณะเป็นอย่างไรในจักรวาลหรือเอกภพของเรา?
    และเนื่องจากแบบจำลองข้างต้นนั้น เวลาจินตภาพจะตั้งฉากกับเวลาจริงของเรา ตามแบบจำลองจะบอกว่าประวัติศาสตร์ในเวลาจินตภาพจะกำหนดประวัติศาตร์ในเวลาจริงของเราและมีเส้นทางเป็นไปได้มากมายในประวัติศาสตร์ของเวลาจินตภาพที่จะเกิดในเวลาจริง ในเรื่องนี้ถ้าได้อ่านหนังสือ "โลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติ" ของโนวา อนาลัย ซึ่งผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ก็ได้ถาม-ตอบปัญหาอยู่ในห้องนี้ด้วยนั้น จะพบว่าเรื่องของเวลาจินตภาพที่นักวิทยาศาสตร์ใช้สมการทางคณิตศาสตร์มาอธิบายนั้นมีเส้นทางความเป็นไปได้ของประวัติศาสตร์หลากหลายเป็นอนันต์สอดคล้องกับคำกล่าวในหนังสือเล่มนั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าทึ่งและน่าแปลกใจจริงๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 พฤษภาคม 2008
  5. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,017
    Little Raccoon<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1181494", true); </SCRIPT> เก่ง
     
  6. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,610
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,605
    แหมพี่ จริงๆแล้ว ที่ผมแย้งกับคุณใบไม้ฯนั้น อยู่ที่ความหมายในการโพสต์ครับ โดยเฉพาะการสรุปซึ่งละเมิดและปรามาสพระพุทธองค์ครับ

    การ "อนุมาน" หรือ "อุปมาน" โดยการนำเรื่องต่างๆมาเชื่อมโยงกันนั้น แน่นอนว่า ต้องมีขอบเขตครับ โดยเฉพาะการ "ฟันธง" ลงไปนั้น ดูจะไม่เหมาะเลยทีเดียว หากปรับเป็นการแสดงความเห็นเชิงสงสัย แต่ไม่สรุปฟันธงลงไปก็คงจะดีครับ เพราะผมเชื่อว่า ทุกคนรู้จากสิ่งที่คนอื่นเขียนขึ้นครับ

    อาจถูกก็ได้ หรือ อาจผิดก็ได้

    ศึกษาธรรมของพระพุทธองค์เพื่อไปพระนิพพานดีที่สุดครับ
    อย่าศึกษาธรรมของพระพุทธองค์เพื่อสงสัยเลยครับ เพราะเชื้อกิเลสจะไม่มีวันดับได้สิ้น หากเรายังมีแต่ความสงสัยครับ

    ก็ขอโมทนากับพี่ด้วยนะครับ มีอะไรตักเตือนน้องก็แจ้งด้วยนะครับ รบกวนพี่ WebSnow บ่อยคงไม่ดีครับ ให้พี่เค้าไปทำมาหากินดีแล้วครับ (หาตังค์มาจ่ายค่าบำรุงเว็บ 555)
     
  7. Little Raccoon

    Little Raccoon Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +89
    ขอขอบคุณสำหรับคำชมจากคุณ WebSnow ครับ

    เนื่องจากเห็นว่าคุณบุคคลทั่วไป 3 คนต้องการคำตอบ ผมจึงเข้ามาตอบเท่าที่ความรู้ของผมจะอำนวยครับ
     
  8. gotodido

    gotodido เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    61
    ค่าพลัง:
    +147
    ขอแสดงความเห็นนะครับ
    เราอยู่ในโลกที่มีสี่มิติ เวลาคือมิติที่สี่ มีลักษณะเป็น relative ถูกอ้างอิงตามพลังงาน จากสมการE= mc^2, E ก็คือมวลที่ถูกสะลายเป็นอนุภาคจนมีสถานะเป็นพลัง (ฟิสิกส์ควอนตัม)

    -ระเบิดอะตอมที่ใช้ทำลายเมืองฮิโรชิม่า ใช้หลักการยิงอนุภาคนิวตรอนไปยังนิวเครียสของอะตอมยูเรเนียม-235 ทำให้เกิดการแตกตัวของยูเรเนียม-235 เป็นนิวเคลียสที่เล็กลง โดยให้นิวตรอน และพลังงานจำนวนมากออกมา(E) เกิดเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่

    ถ้าเรามองที่พลังงานที่ถูกปล่อยออกมา พลังงานนั้นย่อมมีทิศทางและระยะทางในการเคลื่อนที่ เวลาก็เกิดจากการเคลื่อนที่นั้นด้วย(อธิบายการเคลื่อนของพลังงานได้จากจุดที่อยู่ใกล้จุดระเบิดจะมีความเข้มของพลังงานมาก พลังงานกระจายออกทุกทิศทาง - การกระจายของความร้อน) พลังงานที่เกิดไม่มีวันสูญสลายไป แต่มีการเปลี่ยนรูปแบบ (กฏของพลังงาน)



    ยังมีบางสมการที่แย้งกับเรื่องนี้อยู่ครับ สมการที่ว่า E = &frac12; mv^2 เมื่อ พลังงาน E เป็นค่าคงที่ใดๆ มวล m จะแปรผกผัน กับ ค่าความเร็ว v (m=1/v) กล่าวคือเมื่อค่าความเร็ว v เพิ่มขึ้น มวล m จะมีค่าลดลง
    ตรงนี้เองปัจจุบันเรารู้ว่า อิเล็กตรอนซึ่งเป็นอนุภาควิ่งด้วยด้วยอัตราเร็วของแสง มีมวล 9.109 x 10^-31 kg


    โอกาสที่อิเล็กตรอนจะวิ่งได้เร็วกว่านั้น ต้องหาอะไรที่วิ่งเร็วได้เท่ากันจะได้ตามมันทัน เพื่อไปเตะก้นมัน

    จากตรงนี้เองเครื่อง Large Hadron Collider จึงถูกสร้างขึ้นมา

    " Large Hadron Collider (LHC) เป็นเครื่องเร่งความเร็วอนุภาค ของศูนย์วิจัย CERN ในสวิตเซอร์แลนด์ มีลักษณะเป็นท่อใต้ดินวนเป็นวงกลมยาว 27 กิโลเมตร เป้าหมายของ LHC คือใช้ทดลองเร่งความเร็วอนุภาคแล้วเอามาวิ่งชนกัน เพื่อตรวจสอบทฤษฎีทางฟิสิกส์อนุภาคว่าเป็นไปได้จริงหรือไม่ โดยเฉพาะ Higgs Boson ซึ่งถ้าสร้างขึ้นมาได้จริงตามทฤษฎี วงการฟิสิกส์จะก้าวหน้าขึ้นไปอีกมาก LHC ตอนนี้กำลังสร้างอยู่และมีกำหนดเปิดใช้งานเดือนพฤษภาคมนี้(2008)

    อย่างไรก็ตาม มีกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ที่คาใจเรื่องความปลอดภัยของ LHC ในหลายประเด็น เช่นว่า การใช้งาน LHC อาจก่อให้เกิดแบล็คโฮลขนาดเล็กขึ้นมาทำลายล้างโลก หรือเปลี่ยนขั้วแม่เหล็กโลกให้เหลือข้างเดียวได้ ล่าสุดได้มีคนยื่นฟ้องต่อศาลสหรัฐ ให้กระทรวงพลังงานสหรัฐและห้องทดลอง Fermilab ซึ่งเป็นภาคีสมาชิกของ LHC ชะลอการใช้งานไปอีก 4 เดือนเพื่อตรวจสอบความปลอดภัย ซึ่งทางฝ่ายสนับสนุน LHC เองก็ออกมาโต้แย้งว่าไม่มีหลักฐานใดๆ ว่าจะเกิดอันตรายขึ้นแต่อย่างใด ส่วนศาลจะรับฟ้องหรือไม่นั้นอยู่ระหว่างกระบวนการด้านเอกสาร "

    ภาพเครื่องLarge Hadron Collider
    <IFRAME src="http://farm3.static.flickr.com/2159/2162816861_ab74009e9a_o.jpg" frameBorder=0 width=600 scrolling=no height=350></IFRAME>

    <IFRAME src="http://farm2.static.flickr.com/1365/1086071141_52b17f1087.jpg?v=0" frameBorder=0 width=500 scrolling=no height=375></IFRAME>

    <IFRAME src="http://farm2.static.flickr.com/1090/1086097119_8ff0e789a2.jpg?v=0" frameBorder=0 width=500 scrolling=no height=375></IFRAME>

    <IFRAME src="http://farm3.static.flickr.com/2168/2163618172_6e7d2ec0dd_o.jpg" frameBorder=0 width=685 scrolling=no height=570></IFRAME>





    <IFRAME src="http://www.ngthai.com/0803/images/god-particle-06.jpg" frameBorder=0 width=650 scrolling=no height=500></IFRAME>

    link ที่สนใจเรื่องความเสี่ยงของการทดลองนี้
    http://www.lhcconcerns.com/LHCConcerns/Forums/phpBB3/viewtopic.php?t=134
    http://www.risk-evaluation-forum.org
    http://www.lhcdefense.org/
    http://www.lhcconcerns.com/



    ไม่แน่นะครับถ้าเกิดความผิดพลาดในการทดลองขึ้นจริงๆ เช่นทำให้แม่เหล็กของโลกเหลือขั้วเดียว รึอะไรก็แล้วแต่ที่อยู่นอกเหนือการคำนวณ เราคงได้สนุกกันแน่ ตอนนี้ชะลอการใช้งานไปอีก 4 เดือนเพื่อตรวจสอบความปลอดภัย เดือนกันยาก็ได้มีลุ้นครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤษภาคม 2008
  9. gotodido

    gotodido เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    61
    ค่าพลัง:
    +147
    "เอกภพคู่ขนาน"

    <IFRAME src="http://www.vcharkarn.com/vastronomy/pic_dir/A313/A313p4x1.jpg" frameBorder=0 width=550 scrolling=no height=200></IFRAME>

    การกำเนิดของจักรวาลเกิดขึ้นเมื่อ
    (ก) เอกภพคู่ขนานอีกอันหนึ่งคลื่อนที่เข้ามาใกล้
    (ข) เมื่อเอกภพคื่อขนานทั้งสองชนกันจะเกิดการระเบิดครั้งใหญ่ที่เรียกว่าบิกแบง
    (ค) จากนั้นแผ่นเอกภพทั้งสองก็จะเคลื่อนที่ออกจากกัน เอกภพเกิดการขยายตัวเกิดเป็นเอกภพที่เราเห็นในปัจจุบัน
    (ง) เมื่อขยายตัวมาขึ้นมวลสารในเอกภพก็จะเจือจางลง
    (จ) จนเมื่อถึงจุดหนึ่งแรงดึงดูดระหว่างมวลของเอกภพคู่ขนานทั้งสองก็จะดึงให้มันวิ่งเข้าหากัน และเกิดกระบวนการบิกแบงอีกครั้ง ซึ่งในทฤษฎีนี้เอกภพไม่มีจุดจบ แต่จะเกิดใหม่เรื่อยๆ
     
  10. เฮียปอ ตำมะลัง

    เฮียปอ ตำมะลัง ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย วุ่นวายทำไม ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    24,969
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +91,130
    คนที่เรียนสายศิลป์ ฯ อ่านไม่รู้เรื่องแน่ ๆ
     
  11. หล่อล่องลม

    หล่อล่องลม สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2008
    โพสต์:
    75
    ค่าพลัง:
    +2
    มันก็แค่ทฤษฎี ไม่ใช่กฏซะหน่อย

    ทำเป็นคิดมาก

    หึหึ
     
  12. บัวรองพุทธบาท

    บัวรองพุทธบาท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    194
    ค่าพลัง:
    +745
    เห็นอุปกรณ์นี้ผมนึกถึง เรื่องของอะไรนะครับ คล้ายๆเรียกว่า อุปกรณ์เส้นแสง ซึ่งพระภิกษุท่านหนึ่งท่านกล่าวไว้ ผมเห็นรูปผมรู้สึกกลัวจังครับ รู้สึกว่ามันอันตรายต่อโลกจังครับ
     
  13. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,017
    ถามผู้รู้
    -------

    เรื่อง บิกแบง การระเบิดแล้วการเกิดของจักรวาล
    ตอนนั้นจักรวาลไม่มีอะไร จะว่างๆ มืดๆ

    คำถามคือ

    1. แล้วเอาอนุภาคที่ไหนมาชนกันแล้วเกิดระเบิดขึ้นมาได้ ?
    2. อะไรเป็นตัวขับเคลื่อนทำให้เกิดการระเบิด
     
  14. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870


    ตอบ เจ้าชายหิมะ

    จะรู้ไปทำไม? อจินไตย รู้จักเปล่า?

    อยากรู้ละเอียดจริงๆ กรุณา Google เอา

    กระทู้นะคะ ไม่ใช่ องค์การนาซ่า

    [​IMG]
     
  15. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,017
    หาแล้วไม่เจอ ถามผู้รู้ง่ายดี
     
  16. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,017
    [​IMG]
    [​IMG]
    ตามทฤษฎีบิกแบง จักรวาลมีจุดกำเนิดมาจากสภาพที่มีความหนาแน่นสูงและร้อน และจักรวาลมีการขยายตัวอยู่ตลอดเวลา




    ในวิชาจักรวาลวิทยา บิกแบง (Big Bang - การระเบิดครั้งใหญ่) เป็นทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ที่กล่าวถึงการก่อกำเนิด วิวัฒนาการ และรูปร่างของเอกภพ แนวคิดรวบยอด คือ การนำความรู้จากทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป กับผลจากการสังเกตการณ์ที่พบว่าดาราจักรทั้งหลายต่างกำลังเคลื่อนที่ออกจากกัน มาคาดหมายสภาพของเอกภพทั้งในอดีตและอนาคต สิ่งที่พบ คือ ในอดีตเอกภพมีอุณหภูมิและความหนาแน่นสูงกว่าปัจจุบัน. เรานำคำว่า "บิกแบง" มาใช้ทั้งในความหมายแคบ ๆ ที่หมายถึงการระเบิดใหญ่ อันเป็นเวลาที่เอกภพเริ่มขยายตัว และในความหมายทั่วไปที่หมายถึงแบบจำลองการกำเนิด และวิวัฒนาการของเอกภพที่กำลังได้รับการพิสูจน์ว่าถูกต้อง


    บิกแบง คือแบบจำลองของเอกภพในวิชาจักรวาลวิทยาซึ่งได้รับการสนับสนุนจากการสังเกตการณ์ที่แตกต่างกันจำนวนมาก หลังจากเอ็ดวิน ฮับเบิลค้นพบเมื่อปี ค.ศ. 1929 ว่า ระยะห่างของกาแลกซี่มีสัดส่วนที่เปลี่ยนแปลงสัมพันธ์กับเรดชิฟต์ (redshift) ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ว่าเอกภพกำลังขยายตัว หากเอกภพในปัจจุบันกำลังขยายตัว แสดงว่าก่อนหน้านี้ เอกภพย่อมมีขนาดเล็กกว่า หนาแน่นกว่า และร้อนกว่าที่เป็นอยู่ แนวคิดนี้มีการพิจารณาอย่างละเอียดย้อนไปจนถึงระดับความหนาแน่นและอุณหภูมิที่จุดสูงสุด และผลสรุปที่ได้ก็สอดคล้องอย่างยิ่งกับผลจากการสังเกตการณ์
    คำว่า "บิกแบง" ที่จริงเป็นคำล้อเลียนที่เกิดจากนักดาราศาสตร์ชื่อ เฟรด ฮอยล์ ซึ่งเขาดูหมิ่นและตั้งใจจะทำลายความน่าเชื่อถือของทฤษฎีที่เขาเห็นว่าไม่มีทางเป็นจริง<SUP class=reference id=cite_ref-0>[1]</SUP> อย่างไรก็ดี การค้นพบคอสมิกไมโครเวฟในปี ค.ศ. 1964 ยิ่งทำให้ไม่สามารถปฏิเสธทฤษฎีบิกแบงได้


    http://th.wikipedia.org/wiki/บิกแบง
     
  17. นายฉิม

    นายฉิม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2004
    โพสต์:
    2,099
    ค่าพลัง:
    +2,696
    กระทู้ดีมีสาระ
     
  18. gotodido

    gotodido เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    61
    ค่าพลัง:
    +147
    มีข้อเทียบเคียงเรื่องบิ๊กแบง
    (ผมแค่สันนิษฐานนะครับ)

    - ถามว่าตอนนี้เอกภพอยู่ที่ไหน อะไรคือเอกภพ ดูเหมือนไกลตัว

    = ไม่รู้ว่าจะเป็นทฤษฎีกำปั้นทุบดินสำหรับคนที่สนใจแต่ฟิสิกส์รึเปล่า

    โลกเราอยู่ในเอกภพ เป็นส่วนนึงของเอกภพ ง่ายๆก็คือเอกภพsection นึง
    ตัวเรา(ขันธ์ห้า)อยู่ในโลก เป็นส่วนของโลก ก็คือ เอกภพsection นึง
    อวิชชาอยู่ในตัวเรา ก็คือ เอกภพsection นึง
    จิตเดิมตามที่หลวงปู่มั่นบอกว่าเป็นต้นกำเนิดของอวิชชาก็อยู่ในตัวเรา ก็คือ เอกภพsection นึง

    เห็นต้นกำเนิดของเอกภพรึยังครับ
    มาจากความว่างเปล่า

    ซึ่งถ้าอธิบายทางฟิสิกสืไม่ได้ว่างเปล่าซะทีเดียว

    เข้ามาดูทางฟิสิกส์ ควอนตัม

    (คัดลอกมาจากวิชาการดอทคอม)
    ปัจจุบัน อธิบายได้ว่า เล็กสุดของธาตุอะตอมต่างๆคือ อนุภาคต่างๆ อนุภาคที่มีนาดเล็กสุดที่แต่ก่อนเข้าใจคือ อิเล็กตรอน โปรตรอน นิวตรอน ต่อมามีการศึกษาหน่วยย่อย อนุภาคสามตัวแรก พบว่ามี"พลาสมา"เพิ่มขึ้นมาในนิวเครียสของอะตอมของสาร พลาสมาเป็นสถานะหนึ่งของสสารในธรรมชาติที่เราไม่เคยพบเห็นมาก่อนเพราะอยู่ในสภาวะสุดโต่งที่ไม่สามารถพบเห็นได้ในชีวิตประจำวัน สภาวะสุดโต่งดังกล่าวคือสภาวะที่มีอุณหภูมิสูงกว่าประมาณ 175 MeV (ประมาณ 2 ล้านล้านเคลวิน!) และมีความหนาแน่นประมาณ 1 GeV/ลูกบาศก์เฟมโตเมตร หรือประมาณ 2 พันล้านล้านตันต่อลูกบาศก์เมตร โดยมีอนุภาคมูลฐานที่เรียกว่าควาร์ก และกลูออน

    ควาร์กและกลูออน คืออะไร?

    ในแบบจำลองมาตรฐานของฟิสิกส์อนุภาค (The Standard Model of particle physics) อนุภาคมูลฐาน (elementary particles) มี 2 ประเภท คือ โบซอน (boson) และ เฟอร์มิออน (fermion) โบซอนเป็นอนุภาคสปินเลขจำนวนเต็ม (integer spin) ส่วนเฟอร์มิออนเป็นอนุภาคสปินเลขครึ่งจำนวนเต็ม (half integer spin) เช่น 1/2 3/2 5/2 ฯลฯ

    หมู่อนุภาคโบซอนได้แก่ โฟตอน (photon) อนุภาคซี (Z) อนุภาคดับบลิว (W) และ อนุภาคกลูออน ส่วนอนุภาคฮิกส์ (Higgs particle) บางครั้งก็ถูกนับรวมอยู่ใน Standard Model แม้จะยังไม่มีการค้นพบอย่างเป็นทางการ นักฟิสิกส์จำนวนไม่น้อยเชื่อว่าเราจะพบอนุภาคฮิกส์โดย LHC (Large Hadron Collider) ที่ ห้องปฏิบัติการ CERN ในไม่ช้า
    (ตอนนี้ผมเข้าใจว่าฮิกส์เล็กสุด แต่ยังไม่เป็นที่ยอบรับ)

    หมู่อนุภาคเฟอร์มิออน ประกอบไปด้วยอนุภาคเลปตอน (lepton) และควาร์ก (quark) ซึ่งมี 3 รุ่น (3 generations, 3 families) ควาร์กรุ่นแรกคือ ควาร์กชนิด up (up quark)และชนิด down (down quark) รุ่นที่สองคือ ชนิด charm และชนิด strange ส่วนรุ่นที่สามคือ ชนิด top และชนิด bottom ควาร์กที่พบในนิวเคลียสของธาตุเป็นควาร์กรุ่นแรก ควาร์กรุ่นอื่นๆนั้นเราพบในอนุภาคอายุสั้นมวลปานกลางที่เรียกว่าเมซอน (mesons) เป็นสิ่งที่น่าสนใจว่าในขณะที่โบซอนใน Standard Model มีแค่ 1 รุ่น เฟอร์มิออนกลับมีถึง 3 รุ่น อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้เฟอร์มิออนมีหลายรุ่นยังเป็นคำถามที่ไม่มีใครรู้คำตอบที่แน่ชัด


    การที่เราไม่สามารถสังเกตเห็นควาร์กหรือกลูออนอิสระ ตัวเดียวโดดๆได้ สมบัตินี้เรียกว่า การกักขัง (confinement) ของควาร์กและกลูออน ควาร์กและกลูออนจะถูกกักขังอยู่ในนิวเคลียสของธาตุต่างๆ (มีควาร์ก 3 ตัว) และในอนุภาคเมซอน (มีควาร์ก 2 ตัว) เราพบว่าความแรงของแรงนิวเคลียร์อย่างเข้มมีขนาดลดลงเมื่อระดับพลังงานที่เกี่ยวข้องมีค่าสูงขึ้นซึ่งตรงกันข้ามกับแรงแม่เหล็กไฟฟ้าและแรงนิวเคลียร์อย่างอ่อนที่จะมีความแรงมากขึ้นเมื่อพลังงานที่เกี่ยวข้องมีค่าสูงขึ้น

    มีนักวิทยาศาสตร์บางท่าน นำความรู้ที่ค้นพบใหม่นี้ มาพิสูจน์ความต่างของสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิต

    จนนำไปสู่การทดลองสร้างสิ่งมีชีวิตขึ้นจากพลังงาน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤษภาคม 2008
  19. gotodido

    gotodido เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    61
    ค่าพลัง:
    +147
    แม้นักฟิสิกส์ทั่วโลกจะใช้เวลาถึง 14 ปีและลงทุนไปกว่า 8 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อสร้างเครื่องเร่งอนุภาคแอลเอชซี (Large Hadron Collider: LHC) ที่ใหญ่สุดในโลก ภายใต้ความร่วมมือขององค์การศึกษาวิจัยนิวเคลียร์ยุโรป "เซิร์น" (Cern) เพื่อเร่งให้อนุภาคโปรตอนชนกัน แล้วสร้างพลังงานและเงื่อนไขที่เหมือนกับเสี้ยววินาทีที่ 1 ในล้านล้านล้านหลังเกิดบิกแบง (Big Bang) โดยนักวิทยาศาสตร์จะวิเคราะห์เศษซากที่เกิดขึ้น เพื่อไขปริศนาธรรมชาติของมวลและแรงใหม่ๆ รวมถึงความสมมาตรของธรรมชาติด้วย

    หากแต่วอลเตอร์ แอล.วากเนอร์ (Walter L.Wagner) ผู้อาศัยอยู่ในมลรัฐฮาวาย สหรัฐอเมริกา และศึกษาวิจัยฟิสิกส์และรังสีคอสมิกที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กเลย์ (University of California, Berkeley) ทั้งยังได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยนอร์เธิร์นแคลิฟอร์เนียในซาคราเมนโต (University of Northern California in Sacramento) และลูอิส ซานโช (Luis Sancho) ซึ่งระบุว่าทำวิจัยเกี่ยวกับทฤษฎีเวลาและอาศัยอยู่ในสเปน ได้ฟ้องต่อศาลฮาวายเพื่อเรียกร้องสิทธิให้ระงับการทดลองของเซิร์น เนื่องจากอาจทำให้เกิดหลุมดำขนาดเล็กที่อาจ "กินโลก" หรือทำให้เกิดอนุภาคแปลกๆ ที่เปลี่ยนโลกให้หดกลายเป็นก้อนที่มีความหนาแน่นสูง

    ทั้งนี้แม้จะฟังดูประหลาด แต่กรณีนี้ก็เป็นประเด็นเคร่งเครียดที่สร้างความวิตกให้กับนักวิชาการและนักวิทยาศาสตร์ในช่วงเวลาไม่กี่ปีมานี้ กล่าวคือพวกเขาจะประมาณความเสี่ยงจากการทดลองใต้ดินที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อนนี้ได้อย่างไร และใครที่จะเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะหยุดหรือเดินหน้าการทดลอง

    ในเอกสารคำฟ้องร้องของทั้งสองคนยังกล่าวอีกว่า เซิร์นล้มเหลวในการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามข้อกำหนดของกฎหมายด้านนโยบายสิ่งแวดล้อมสหรัฐฯ จึงเรียกร้องให้ระงับการทดลองชั่วคราวจนกว่าเซิร์นจะได้ทำการประเมินความปลอดภัยและผลกระทบสิ่งแวดล้อมก่อน

    ผู้ที่เป็นจำเลยของการฟ้องร้องครั้งนี้ นอกจากเซิร์นแล้วยังมีกระทรวงพลังงานสหรัฐฯ ห้องปฏิบัติการเร่งอนุภาคเฟอร์มิแห่งสหรัฐฯ (Fermi National Accealerator) หรือเฟอร์มิแล็บ (Fermi Lab) มูลนิธิวิทยาศาสตร์สหรัฐฯ

    วากเนอร์และซานโชได้ยื่นคำร้องให้ศาลไปเมื่อวันที่ 21 มี.ค.51 ที่ผ่านมา และจะมีการไต่สวนในวันที่ 16 มิ.ย.51 ซึ่งไม่ว่าเซิร์นซึ่งเป็นองค์การวิจัยของชาติยุโรปที่ตั้งอยู่ในสวิตเซอร์แลนด์จะเดินทางไปที่ศาลในฮาวายเพื่อให้ปากคำหรือไม่ แต่วากเนอร์กล่าวว่าองค์กรวิจัยระดับโลกนี้ต้องยอมรับในคำตัดสินของศาลแต่โดยดี และเพิ่มเติมว่าเขายังสามารถยื่นฟ้องแก่ศาลในฝรั่งเศสหรือสวิตเซอร์แลนด์ได้ อย่างไรก็ดีเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายพวกเขาจึงยื่นฟ้องในสหรัฐฯ แทน

    นอกจากนี้วากเนอร์ยังเรียกร้องให้เฟอร์มิแล็บและกระทรวงพลังงานสหรัฐฯ ยุติการสนับสนุนและช่วยเหลือในการสร้างแม่เหล็กตัวนำยิ่งยวดขนาดยักษ์ที่เป็นส่วนประกอบของเครื่องเร่งอนุภาคไม่ว่าอย่างไรก็ตาม

    ทางด้านเจมส์ ยิลลิเอส (James Gillies) หัวหน้าโฆษกที่เซิร์นกล่าวว่า เซิร์นยังไม่มีความเห็นใดๆ ต่อการฟ้องร้องดังกล่าว และยังเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจว่าศาลท้องถิ่นในฮาวายจะพิพากษาองค์กรนานาชาติซึ่งตั้งอยู่ที่ยุโรปได้อย่างไร

    โฆษกของเซิร์นระบุอีกว่า ขณะนี้ยังไม่มีอะไรใหม่ที่บ่งชี้ว่าเครื่องเร่งอนุภาคแอลเอชซีนั้นไม่ปลอดภัย และเสริมอีกว่าความปลอดภัยของเซิร์นได้นำเสนอผ่านรายงาน 2 ฉบับ ส่วนฉบับที่ 3 กำลังอยู่ระหว่างการจัดทำซึ่งจะเป็นหัวข้อให้อภิปรายกันในวันเปิดให้ประชาชนทั่วไปได้เข้าชมห้องปฏิบัติการใต้ดินของเซิร์นในวันที่ 6 เม.ย.51 นี้

    อย่างไรก็ดีคำชี้แจงของเจ้าหน้าที่จากเซิร์นก็ไม่ได้ทำให้วากเนอร์สงบลง โดยเขาได้กล่าวว่าเซิร์นได้ปล่อยโฆษณาชวนเชื่ออย่างมากว่ามีความปลอดภัย แต่โดยพื้นฐานแล้วก็ยังเป็นเพียงโฆษณาชวนเชื่ออยู่นั่นเอง

    นักฟิสิกส์ที่อยู่ทั้งในและนอกเซิร์นกล่าวว่าการศึกษาหลายๆ แห่งซึ่งรวมถึงรายงานอย่างเป็นทางการของเซิร์นเมื่อปี 2546 ให้ข้อสรุปว่าการทดลองไม่มีปัญหาใด แต่เพียงเพื่อความมั่นใจ เมื่อปีที่แล้วกลุ่มประเมินความปลอดภัยนิรนามได้เตรียมเพื่อจัดทำบทวิจารณ์ความปลอดภัยอีกครั้ง

    "ความเป็นไปได้ที่หลุมดำจะกลืนกินโลกนั้นเป็นเรื่องเคร่งเครียดที่ถกเถียงกันเฉพาะในหมู่คนสติไม่สมประกอบเท่านั้น" มิเคาลางเจโล มางกาโน (Michelangelo Mangano) นักทฤษฎีที่เซิร์นกล่าว

    นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่วากเนอร์ออกมาคัดค้านการทดลอง เมื่อปี 2542 และ 2543 เขาได้ยื่นฟ้องในลักษณะเดียวกันนี้กับห้องปฏิบัติการบรูกฮาเวนแห่งสหรัฐฯ (Brookhaven National Laboratory) ไม่ให้เดินเครื่องเร่งไออนธาตุหนัก (Relativistic Heavy Ion Collider) แต่ศาลก็ไม่รับคำฟ้องดังกล่าวในปี 2544 ขณะที่เครื่องดังกล่าวได้เร่งให้ไออนของทองชนกัน เพื่อหวังว่าจะสร้างสิ่งที่เรียกว่า "พลาสมาควาร์ก-กลูออน" (Quark-gluon plasma) โดยทำให้เกิดอุบัติเหตุมาตั้งแต่ปี 2543


    : จากบทความ <TABLE style="MARGIN: 0px" cellSpacing=0 width="100%" border=0 padding="0"><TBODY><TR><TD width=4></TD><TD vAlign=top width=auto><TABLE style="MARGIN: 0px" cellSpacing=0 width="100%" border=0 padding="0"><TBODY><TR><TD width=4> </TD><TD vAlign=top width=auto>ข่าว ฟ้องศาลระงับ "เซิร์น" เดินเครื่องหวั่นเกิดหลุมดำทำลายโลก


    </TD></TR></TBODY></TABLE>



    ไม่ควรมองเป็นเรื่องไกลตัวนะครับ เพราะเรื่องนี้บอกว่าเรา(ขันธ์5)มาจากที่ไหนแล้วจะสิ้นสุดตรงไหนอีกอย่างการทดลองจะมีขึ้นเร็วๆนี้
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  20. V NOOT

    V NOOT Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2008
    โพสต์:
    53
    ค่าพลัง:
    +43
    สุดยอด ขนาดเรียนวิทย์มา ต้องบอกว่าความรู้นี้ขั้นเซียน เพียวซายน์ จริงๆ

    ขออ่านแล้วคิดตามละกัน เพิ่มพูนความรู้อ่ะ

    ขอบคุณค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...